เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตื่นเช้ามา กระผม/อาตมภาพรู้สึกสยองขวัญกับสภาพอากาศ เนื่องเพราะว่าอยู่ที่ ๙ องศาเซลเซียส ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิ ๙ องศาเซลเซียส ถ้ามีเครื่องกันหนาวก็พอทน แต่ว่าที่เมืองซาปาแห่งนี้ลมแรงมาก จึงทำให้ความหนาวทวีคูณขึ้นไปอีก

    ด้วยความที่ไม่มีอะไรจะทำ เนื่องเพราะว่าออกไปเดินข้างนอกก็หนาวจัด กระผม/อาตมภาพจึงรอจนตี ๕ ครึ่ง แล้วถึงได้เดินขึ้นไปยังห้องอาหารที่ชั้น ๙ หลังจากที่ตระเวนถ่ายรูปรอบบริเวณ โดยเฉพาะ "ห้องแห่งความเมา" ซึ่งได้มีสารพัดสมุนไพรดองสุราเอาไว้ ไม่ทราบว่านานกี่ปีแล้ว สมุนไพรบางอย่างเช่นต้นโสม กระผม/อาตมภาพพอที่จะรู้จัก แต่ว่าสมุนไพรอื่น ๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่รู้จักเอาเสียเลย

    เมื่อเวลาประมาณ ๖ โมงเช้า ยังห่างจากเวลานัดรับประทานอาหารเช้าประมาณครึ่งชั่วโมง แต่กระผม/อาตมภาพเห็นทางห้องอาหารเขาพร้อมแล้ว และบรรดานักท่องเที่ยวทั้งไทย จีน และเวียดนาม ก็แห่กันเข้ามา ๒๐ - ๓๐ คน จึงได้ไปตักเอาอาหารเช้ามาฉันไปพร้อมกับพวกเขา ครั้นอิ่มแล้ว ก็กลับห้องไปภาวนาสะสม "เสบียงบุญ" จนกระทั่งได้เวลาแล้วจึงเก็บข้าวของลงมา

    แต่ด้วยความที่เดินลงไปจนสุดแล้ว หาทางไปไม่เจอ จึงได้กดเรียกลิฟท์ เนื่องเพราะคิดว่าเมื่อถึงชั้น ๑ แล้ว น่าจะมีชั้น G อีก แต่ปรากฏว่าเจอญาติโยมสองคนที่มาคณะเดียวกัน แล้วเขาพักอยู่ชั้น ๑ โยมบอกว่า "เราจะต้องขึ้นไปที่ล็อบบี้ชั้น ๙ เจ้าค่ะ..!"

    กระผม/อาตมภาพงงอยู่พักใหญ่ หลังจากตั้งสติแล้ว ถึงได้รู้ว่าโรงแรมแห่งนี้นั้นสร้างพิงภูเขาอยู่ ส่วนที่โผล่พ้นพื้นมาหน้าถนน นั่นคือชั้นที่ ๙ ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๘ นั้น ฝังอยู่ในดิน..! เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่หลงทิศหลงทางอีก จึงออกมารอขึ้นรถเล็ก ซึ่งจะต้องมาถ่ายส่งพวกเราลงไป เนื่องเพราะว่าเมืองซาปานี้ ถนนคับแคบมาก ต้องบอกว่าน่าเห็นใจ เพราะว่าสร้างอยู่บนภูเขา จะให้สกัดภูเขาจนกว้างขวางใหญ่โตก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    รถเล็กได้พาพวกเราลงมาที่ร้านกาแฟ Moana ซึ่งมีจุดเช็คอินสวย ๆ มากมากทีเดียว กระผม/อาตมภาพเองดูแล้วก็ยังคิดว่า ถ้าใครจะทำเกี่ยวกับ "งานเที่ยวชุมชน ยลวิถี" ควรที่จะมาดูการสร้างจุดเช็คอินของร้านกาแฟ Moana แห่งนี้

    เนื่องเพราะว่ามีทั้งบ้านทาร์ซาน มีทั้งหัวบุคคลที่เหมือนอย่างกับเทพแห่งธรรมชาติ มีหงส์คู่ ซึ่งศีรษะจรดกันเป็นรูปหัวใจ มีฝ่ามือขนาดใหญ่ให้ขึ้นไปถ่ายรูปได้ แม้กระทั่งประตูทางจิตวิญญาณของชาวบาหลี ก็ยังมาสร้างไว้ที่นี่ แล้วยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกหลายอย่างด้วยกัน เพียงแต่ว่าเขายังมีการก่อสร้างอยู่เรื่อย ๆ ก็คือมีการเทคอนกรีตเพื่อเพิ่มเส้นทางขึ้นมาอีก แล้วในขณะเดียวกัน ที่นี่หมอกลงหนักมาก เมื่อกระทบกับความเย็นของอากาศระดับ ๙ องศาเซลเซียส ปรากฏว่ากลั่นตัวลงมาเป็นฝอยเล็ก ๆ แบบที่คนไทยเรียกว่า "ฝนเยี่ยวจั๊กจั่น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    พวกเราตระเวนถ่ายรูปกันจนครบแล้ว ก็นั่งรถลงไปยังหมู่บ้านม้งกั๊ตกั๊ต ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวม้งดำ แต่ว่ารถมินิบัสนำพวกเรามาที่ร้านกาแฟ Z Mong ซึ่งตัว Z นี้ออกเสียงตามภาษาไทย ถ้าหากว่าออกเสียงตามภาษาสากล ก็ต้องออกเสียง จ.จานบวกกับ ย.ยักษ์อย่างละครึ่ง ทำให้ฟังชื่อร้านแล้วเป็นเสียงที่ประหลาดมาก

    ร้านนี้ต้องบอกว่าท้าทายสุด ๆ เนื่องเพราะว่าเมนูกาแฟที่เขียนไว้ทุกอย่างคือภาษาไทย แถมบอกด้วยว่า "ไม่อร่อยไม่คิดตังค์" นอกจากนี้ยังประกอบกิจการในการให้เช่าชุดม้ง เพื่อแต่งตัวไปเดินในหมู่บ้าน ราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรนัก แบบชุดที่มีเครื่องเงินประดับมาก ๆ ก็ ๑๐๐,๐๐๐ ด่อง ถ้าหากว่าแบบปกติธรรมดาก็ ๕๐,๐๐๐ ด่องเท่านั้น

    เงิน ๑๐๐,๐๐๐ ด่อง คิดเป็นเงินของเราเองก็ไม่ถึง ๑๐๐ บาทดี เนื่องเพราะว่า ๑ บาทก็ได้ ๖๕๐ ด่องแล้ว ๑๐ บาท ได้ ๖,๕๐๐ ด่อง ๑๐๐ บาท ๖๕,๐๐๐ ด่อง ถ้าหากว่า ๕๐,๐๐๐ ด่องก็ไม่ถึง ๑๐๐ บาท ๑๐๐,๐๐๐ ด่อง ก็ไม่ถึง ๒๐๐ บาท เป็นต้น

    เมื่อพวกเรามากันครบถ้วนแล้ว ทางอาหลันซึ่งนำพวกเราเดินไปยังหมู่บ้านม้งกั๊ตกั๊ต ห่างออกไปประมาณ ๒๐๐ เมตรเท่านั้น พวกเราซื้อตั๋วมาเป็นกรุ๊ป ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ง่ายมาก เพราะว่าสแกนจ่ายแล้วก็สแกนผ่านได้เลย

    พวกเราเดินลงไปดูสินค้าไปเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากว่าผู้คนแห่กันมามากมาย เพราะว่าเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์
    กระผม/อาตมภาพจึงต้องคอยหลบคอยหลีกสุภาพสตรีเดินลงไปเรื่อย สินค้าต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นชุดม้งและเครื่องกันหนาว อย่างอื่น ๆ ก็เห็นมีบ้องยาสูบบ้าง เครื่องประดับฝีมือม้งบ้าง หรือว่าบรรดากระเป๋า ผ้าทอ ฝีมือม้งบ้าง ฝีมือเครื่องจักรบ้าง แต่ว่าเป็นลายม้งนิยม

    ระหว่างทางก็มีการสร้างจุดเช็คอินให้ถ่ายรูปเป็นระยะไป บรรดาเจ้าของร้านก็จะมารอเก็บสตางค์ ก็คือบอกชัดเจนเลยว่า "ถ่ายรูป ๑๕ บาทค่ะ" อยากจะบอกว่าคนในหมู่บ้านม้งกั๊ตกั๊ต พูดภาษาไทยชัดเจนเกือบทุกคน..! เพราะฉะนั้น..อย่าได้ไปนินทาใครทีเดียว อาหลันบอกว่า "ยิ่งด่าภาษาไทยยิ่งชัดเป็นอันมาก" แล้วก็ปล่อยให้พวกเราเดินกันฟรีสไตล์ โดยกำหนดเวลาพบกันตอน ๑๑ โมงครึ่ง ที่ร้านกาแฟ Z Mong ตามเดิม

    เมื่อพวกเราเดินลงไปเรื่อย ปรากฏว่าหมู่บ้านม้งนี้สร้างขึ้นตามไหล่เขา ซึ่งลาดลงไปเรื่อย ๆ จึงทำให้ทุกคนที่เป็นเจ้าของบ้าน นำเอาสินค้าต่าง ๆ มาวางขาย ประเภทเนื้อหมูแห้ง เนื้อวัวแห้งก็มี แต่ว่ามัคคุเทศก์ของเราบอกว่า "อมไว้ ๓ วันยังไม่ละลายเลย..!" เพราะว่าหนาวจนแข็งไปหมด

    บางที่ก็มี "ไก่หมุน" มาขายด้วย และเป็นไก่บ้าน ตลอดจนกระทั่งไก่ดำ พวกพืชผักต่าง ๆ ก็มีแทรกอยู่เป็นระยะ ผลไม้อย่างพวกพลับแห้ง พุทราแห้งก็พอมี แต่ว่าพวกเด็ก ๆ ซึ่งวางขายของอยู่นั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก จนกว่าลูกค้าจะเข้าไปทักถาม ถึงได้บอกราคา ถ้าเป็นบ้านเราก็คงตะโกนแย่งลูกค้ากันอุตลุดไปแล้ว..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เมื่อเดินไปเกือบจะถึงจุดสุดท้าย เพราะว่าเราต้องลงต่ำในลักษณะลงเขาไปเลย เพื่อให้ลงไปยังน้ำตก ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นของเราก็บอกว่า "นิมนต์หลวงพ่อตามสะดวกค่ะ" เขาขออยู่แค่นี้ เนื่องเพราะว่าตอนเดินลงไม่เท่าไร แต่ตอนเดินขึ้นนี่ต้องคิดหนักเลย..!

    กระผม/อาตมภาพเดินลงไปแล้วก็รู้สึกทึ่งมาก อยากให้ทางเมืองไทยมีสถานที่แบบนี้บ้าง เนื่องเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน หรือว่าสะพานข้ามลำน้ำ ตลอดจนกระทั่งตัวน้ำตกเอง ก็เป็นจุดเช็คอิน ถ่ายรูปสวย ๆ ได้ทั้งนั้น แล้วถ้าหากว่าเช่าชุดม้งใส่มาด้วย ก็จะกลมกลืนกับสถานที่เป็นที่สุด

    เมื่อถ่ายรูปตามจุดเช็คอินต่าง ๆ เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็เดินย้อนกลับขึ้นมา แต่ว่าเป็นการกลับขึ้นมาแค่ตรงทางแยก ซึ่งมัคคุเทศก์ของเรารออยู่ แล้วไม่ได้เดินชิดขวาเบียดคนย้อนขึ้นไป แต่ว่าเดินไปตามทางที่มีรถจักรยานยนต์คอยรับคนที่เดินไม่ไหว เพื่อที่จะไปส่งยังร้านกาแฟ Z Mong ของเรา

    ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพได้กำไรมาเยอะมาก เพราะได้ยินว่าค่ารถมอเตอร์ไซค์ ๔๐,๐๐๐ ดjอง เมื่อเดินดูแล้ว ระยะทางนั้นต้องอ้อมโลกไปประมาณ ๓ กิโลเมตร..! ถ้าหากว่าเดินเบียดคนย้อนกลับมาทางเดิม แค่ประมาณกิโลเมตรเดียวเท่านั้น สงสารแต่ทิดแจ๊ค (กรชัย บันดาลศิริกุล) ซึ่งเดินตามมาเป็น "องครักษ์พิทักษ์หลวงพ่อ" ต้องเดินขาลากตามมาด้วย..!

    เนื่องเพราะว่าขาขึ้นนั้น ก็คือการเดินขึ้นเขาสูงชันดี ๆ นี่เอง แล้วรถยนต์ก็เบียดเสียดเยียดยัดกันแทบจะไม่มีที่ให้ไป พวกเราต้อง "เขย่งเก็งกอย" ไปตามขอบถนน บางทีก็จะต้องตกขอบลงไปบ้าง เนื่องเพราะว่ารถเบียดชิดเข้าไปมากเกินไป

    เมื่อมาถึงแล้ว ก็นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ ทางด้านเจ้าของร้านคงสงสารที่กระผม/อาตมภาพเดินตากลมหนาว ๗ องศาเซลเซียส ซึ่งลืมบอกไปว่าอากาศลดลงไปอีก มาถึงเขาก็เลยมีน้ำชาซึ่งใส่น้ำมะนาวและมีตะไคร้ทุบใส่มาด้วย กระผม/อาตมภาพจึงฉวยโอกาสฉันยาแก้ไข้ไปพร้อม ๆ กันในทีเดียว

    เมื่อรอจนทุกคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว รถมินิบัสก็รับเรา วิ่งลงมาอีกนิดเดียวก็เป็นลานคนเมืองของซาปา ซึ่งจะมีจุดเช็คอินจำนวนมากให้พวกเราถ่ายรูปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเวทีคนเมือง โบสถ์คริสต์ร้อยปี หรือแม้กระทั่งด้านหน้าของอาคารซันพลาซ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    แต่กระผม/อาตมภาพไปติดใจม้งน้อยตัวนิดเดียว น่าจะอายุประมาณ ๒ - ๓ ขวบเท่านั้น ใส่ชุดม้งออกมาเต้นระบำอย่างขยันขันแข็ง แล้วมีตะกร้ารับบริจาคอยู่ด้วย กระผม/อาตมภาพจึงหยอดตะกร้าไปคนละ ๑๐๐,๐๐๐ ด่อง เท่านั้นเอง เด็กม้งรอบข้างก็ฮือกันเข้ามา เสนอขายสินค้าบ้าง ลงแรงเต้นบ้าง เผื่อที่จะได้สตางค์ จนกระผม/อาตมภาพต้องเดินหนีออกมา ให้พวกเราได้ถ่ายรูปหมู่รวมกัน

    แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจุดที่ถ่ายอยู่นั้นเป็นด้านหลังของลานคนเมือง เมื่อไปถ่ายรูปที่โบสถ์คริสต์ร้อยปีแล้วหันกลับมาก็ยังขำตัวเองว่า จัดแถวให้พวกเราถ่ายรูปกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ดันเป็นด้านหลัง..! จึงต้องมาถ่ายชดเชยทางด้านหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

    หลังจากนั้นมัคคุเทศก์ของเติมเต็มทราเวล ก็พาพวกเราเดินเข้าไปในอาคารซันพลาซ่านั่นเอง เมื่อเข้าไปถึงได้รู้ว่าภายในนี้เป็นสถานีรถราง ที่จะพาพวกเราไปยังร้านอาหาร ก่อนที่จะขึ้นยอดเขาฟานซีปัน ซึ่งทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นก็ได้ซื้อตั๋วหมู่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าต้องเช็คกันทีละคน โดยบอกว่า "ขาดไม่กลัว กลัวเกิน" เนื่องเพราะว่ามีตัวอย่างมาแล้ว ได้ยินพูดไทยแล้วถือธง ก็เดินตามกันมาเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนละกรุ๊ปทัวร์กัน..!

    พวกเราวิ่งไปไม่นานก็ลงจากรถราง แล้วต้องเดินอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าไปในห้องอาหาร ปรากฏว่าเขาจัดห้องพิเศษไว้ให้คณะของพวกเรา คำว่าพิเศษนี้อยากจะบอกว่าหนาวเป็นพิเศษ..! เนื่องเพราะว่าไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่นภายในห้องรวม ที่เขาอยู่กันหลายร้อยคนจึงค่อนข้างจะอุ่น เมื่อมาอยู่ห้องพิเศษ แค่ห้องละ ๑๐ กว่าคน ทำให้รู้สึกว่าหนาวมาก แล้วก็ห่างจากจุดตักอาหารบุฟเฟ่ต์ไกลเสียด้วย ญาติโยมก็เลยให้กระผม/อาตมภาพนั่งรอ แล้วพากันไปตักอาหารมาถวาย

    แต่ด้วยความที่ไม่ทราบว่ากระผม/อาตมภาพชอบฉันอะไร จึงตักกันมาตามใจของตน จึงทำให้กระผม/อาตมภาพต้องแบ่งเอาอาหารมาอย่างละเล็กอย่างละน้อย ฉันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยออกไปหาที่ถ่ายรูป แต่ว่าทางด้านนอกก็มีละอองฝนปรอยลงมา ส่วนทางด้านในคนก็ยังเข้ามากินอาหารอยู่เป็นระลอก ๆ

    พวกบรรดาทัวร์ทั้งหลายที่มายังยอดเขาฟานซีปันล้วนแล้วแต่เข้ามาที่นี่ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่ภาษาไทย ญาติโยมบางท่านยังเข้ามาถามอีกด้วยว่า "หลวงพ่อมีความสุขหรือเปล่าที่มาเที่ยวแบบนี้ ?" กระผม/อาตมภาพจึงย้อนถามไปว่า "ถ้าคุณโดนจับเป็นตัวประกันแล้วจะมีความสุขไหม ?" อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบว่าเข้าใจหรือเปล่า ว่า "ตัวประกัน" นี้หมายถึงอะไร ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เมื่อถึงเวลานัด พวกเราก็ไปยังสถานที่ซี่งจะนำพวกเราขึ้นไปยังยอดเขาฟานซีปัน ก็คือกระเช้าขนส่งซึ่งนั่งได้คันละ ๓๐ คน โชคดีที่พวกเราสามารถยัดกันเข้าไปได้ทั้งคณะ ปรากฏว่าสิ่งที่พวกเราเฮกันสนั่นก็คือ จากข้างล่างที่ฟ้าปิดมืดตื๋อ ขึ้นไปได้หน่อยเดียวฟ้าก็เปิดให้ถ่ายรูปได้..! ต้องขอบคุณเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่จัดให้อย่างเต็มที่

    แต่พอลงจากกระเช้าแล้วมารอคณะจนครบถ้วนนี่สิ เมื่อ
    มัคคุเทศก์พาพวกเราออกมาทางด้านนอก เพื่อที่จะขึ้นรถรางไปยังยอดเขาฟานซีปัน เจ้าประคุณเอ๋ย..อากาศ ๗ องศาเซลเซียส แต่ลมแรงพัดชนิดที่เซเลยทีเดียว..! ยิ่งทำให้หนาวจับจิตจับใจเข้าไปอีก กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ฝืนใจ เดินตามมัคคุเทศก์ของเราไป ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะต้องไปสั่นให้ขายหน้าคนอื่นเขา การถ่ายรูปแถวนี้ก็ได้แต่รูปที่มีเมฆหมอกมืดมัวเต็มไปหมด

    ครั้นเดินมาจนกระทั่งถึงจุดขายตั๋วขึ้นรถราง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวไทยคณะอื่น ๆ อีก ๓ - ๔ คณะ เบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ จนกระทั่งถึงคิวของพวกเรา จึงได้ขึ้นรถรางพ้นจากความหนาวไปได้ ครั้นลงจากรถรางแล้ว ก็ต้องมาผจญความหนาวกันต่อ เดินคลำไปตามบันไดที่มืดมัวสลัวตา ด้วยเหตุสองประการ

    ประการแรกก็คือหมอกหนักมาก ประการที่สองก็คือกระผม/อาตมภาพใส่หน้ากากป้องกันเชื้อโรค เมื่อหายใจแล้วก็ละอองน้ำขึ้นไปที่แว่น ทำให้แว่นฝ้า จนมองทางไม่เห็น ต้องถอดมาเช็ดบ่อย ๆ กว่าที่จะ "มะงุมมะงาหรา" ขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดของยอดเขาฟานซีปัน

    ก่อนที่จะมีกระเช้านั้น เขาจะต้องขออนุญาตเดินทางเข้ามา แล้วก็ต้องมีลูกหาบ มีผู้นำทาง ตะเกียกตะกายกันเป็นอาทิตย์ กว่าที่จะขึ้นมาถึงยอดเขา แต่ด้วยความที่เขาสร้างกระเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราแค่ผจญกับความหนาวและลมแรง ตลอดจนกับผู้คนอีกล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสน..! ก็สามารถเข้าไปถ่ายรูปตามจุดเช็คอินต่าง ๆ ได้แล้ว

    เสร็จแล้วก็รีบย่ำลงมาอย่างเร็วไว เพื่อที่จะมาหลบหนาว แต่ปรากฏว่าโดน "น้องเจด้า" ซึ่งเป็นขวัญใจประจำคณะ มาทำอาการ "ขิง" ใส่ตามภาษาวัยรุ่น เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพฉันน้ำร้อนแก้หนาว แต่ว่าน้องเจด้าเล่นกินไอศกรีมอวดหลวงตาเสียเลย..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เมื่อพวกเราลงมาได้จำนวนพอแล้ว ก็มีการไปซื้อตั๋วรถราง แล้วนั่งลงมารอทางร้านค้าด้านล่าง รอจนคณะของเรามาครบถ้วนแล้ว จึงได้ขึ้นกระเช้ากลับลงมาที่พื้นอีกทีหนึ่ง ครั้นมาระดมพลกันเรียบร้อย นับยอดแล้วว่าไม่ได้หายไปไหน นอกจากมีผู้โชคดี ก็คือ "หญิงชุ" ของเรา (นาวาอากาศเอกหญิงชุถิรา ฟองชล) คุณเธอไม่ทราบว่าเดินหลงไปทางไหน แทนที่จะเดินมาขึ้นรถราง ก็เลยเดินลงมาขึ้นกระเช้าแทน..! นับว่าได้แสดงสมรรถภาพร่างกายในตอนแก่นี่เอง จากนั้นพวกเราก็ต้องผ่านการตรวจตั๋ว เพื่อมานั่งรถรางกลับมาสู่อาคารซันพลาซ่าตามเดิม

    ครั้นเมื่อผ่านอุโมงค์แล้ว ถึงได้เห็นว่าต้องผ่านถึงสองช่วงด้วยกัน ขาขึ้นกระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นอะไรเลย เนื่องเพราะว่าอยู่ท้ายรถ แต่ขาลงจุดที่คิดว่าเป็นท้ายรถกลับกลายเป็นหัวรถ เนื่องเพราะว่าพลขับเดินดุ่ย ๆ มาถึง ก็เปิดประตูเข้าไป ไขกุญแจแล้วก็บังคับรถให้วิ่งย้อนกลับแบบหน้าตาเฉย..!

    เมื่อพวกเราลงมาถึงสถานีซันพลาซ่าเรียบร้อยแล้ว ก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งที่ไม่กินอาหารเย็น ซึ่งมีถึง ๑๖ คน ได้ติดตามกระผม/อาตมภาพนั่งรถรางกลับมายังโรงแรม Sapa Charm Hotel เพื่อเข้าสู่ที่พักเลย อีกส่วนหนึ่งก็ไปกินอาหารเย็นตามที่ทางเติมเต็มทราเวลจัดเอาไว้ให้

    กระผม/อาตมภาพเมื่อมาถึงห้อง ก็รีบแช่น้ำร้อนไล่ความหนาวเสียก่อน หลังจากนั้นแล้วถึงได้มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ฟังอยู่ในขณะนี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2024
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...