กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. รูปติดบัตร

    รูปติดบัตร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2016
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +372
    ระหว่างรอ"ลบ" ดูเรื่องราวอื่นไปพลางๆ
    .. โพสต์ของ Naitiw .. ขออนุญาตอ้างอิงครับ

    "naitiw, post: 10338999, member: 23172"
    ช่วงนี้กระแสบูชานาคระบาดหนัก เห็นยกรูปปั้นใส่อ่างน้ำไว้หน้าบ้านกัน
    แต่มองไปเห็นมีแต่ผี แล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร ต่อให้ผีมันดีช่วยบอกช่องทาง
    ไม่เกิน 3 ปี ยังไงเสียลง แต่อาจจะลงมากกว่าเดิม แถมสุขภาพคนในบ้านเสียหายอีกด้วย

    หมายเหตุ เรียนทางผู้ดูแลเว็บ ไม่ใช่เป็นการมาป่วนนะครับ เนื่องจากมีข้อความค้างคาอยู่นิดหน่อย ทางเจ้าของกระทู้ไม่ยอมลบ เรื่องก็เลยยังไม่จบ
    ...........................

    ขออนุญาตแปะ Youtube ครับ







    คงมีทั้งคนชอบ และมีทั้งคิดว่าผมงมงาย .. เปล่าเลย ผมไม่เคยไปร่วมงานใดๆ เรียนรู้ ดูสวยงาม .. แล้วจะลบออกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2024
  2. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +143
    สวัสดีค่ะทุกท่าน :)
    วันนี้กะเข้ามาย้อนอ่านเรื่องเก่าๆ
    ไม่คิดว่าอ.นพจะกลับมา หายไปเป็นปีๆเลยนะคะ :D
     
  3. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +231
    ไม่ใช่แค่ อ.นพฯ ครับ แต่ทุกคนกลับมากันหมด
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696
    :oops::oops::oops::rolleyes::rolleyes:o_Oo_Oo_Oo_O

    (ปักหมุด24/1) หน้า30
    มาจากวรรคทองTips & Tricks
    เขียนโดยอาจารย์นพ
    หน้า 7 ลำดับที่ #128(ต่อ)
    nopphakan post

    (ถ้าเนื้อหาปักหมุดซ้ำต้องขออภัย)

    อีกเสียงที่ต้องระวัง คือ
    เสียงสูงแต่เรียกชื่อเราเอง
    แบบรู้กันสองคน
    (ตัวใครตัวมันนะครับ ๕๕๕)

    คือเสียง ต้นกำเนิดจากคลื่นๆ คลื่นจากไหน
    ก็คลื่นที่สร้างจากตัวจิตเราในสภาวะบังเอิญชั่วคราว
    กับคลื่นที่ส่งมาจากภายนอก
    ที่พยายามส่งเข้ามาเชื่อม
    กับตัวจิตเรานั่นหละครับ
    แต่ว่าตำแหน่งที่เข้ามาในกายนั้น
    มันพอจะบอกได้ว่า
    เป็นคลื่นความถี่ระดับไหนครับ....

    ถ้าเป็นแบบ...
    ๑.มาทางด้านซ้ายใกล้หู
    ในระดับเดียวกับหู
    คือต้องการกำลังบุญอย่างแรง
    เสียงพวกนี้จะไม่ค่อยชัด
    พูดเหมือนคนไม่มีแรง พูดได้สั้นๆ
    ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำบุญให้เลย
    จัดไป ๕ ดอกครับ(ทำบุญนะ)

    แต่ถ้าด้านซ้ายใกล้หู
    แต่อยู่ต่ำกว่าใบหู นั่นบอกว่า
    ตายมานานมากแล้วต้องยิ่งรีบทำบุญให้...
    ไม่ใช่ใกล้หูขวาแต่อยู่เหนือหูหน่อยเดียวนะ
    นี่ก็ตายมานานแต่พอมีกำลังบุญนะครับ
    เข้าใจที่พูดเนาะ...

    ๒.เสียงที่มาทางด้านขวา
    จะเป็นดวงวิญญานที่พอมีกำลังบุญ
    ทำไมถึงมาทางด้านขวาหละ.
    ก็เพราะคลื่นมันเป็นพลังงานครับ
    มันจะมีเรื่องเกี่ยวกับการดึงดูดพลังงาน
    ส่วนหนึ่งมันจะมาจากธาตุเหล็ก
    ที่อยู่ในเส้นเลือดดำด้านหลังขวาเรา
    ถ้าไม่เชื่อ ลองเอามีดกรีดดู
    จะพบแต่เส้นเลือดดำด้านนี้ ๕๕๕

    เวลาที่เราจะสัมผัสเสียงได้
    จิตมันจะมีความเป็นทิพย์ชั่วคราว
    ซึ่งสภาวะนี้ มันจะตัดร่างกาย
    ในส่วนที่เป็นธาตุออกชั่วคราวเหมือนกัน
    มันเลยจะเข้าถึงธาตุเหล็ก
    ที่อยู่ในกระแสเลือดดำเราได้
    ถ้ากำลังไม่มากพอ
    แล้วมาทางด้านขวา
    ผลก็คือจะถูกดูดนั่นเองครับ
    เล่าให้ฟังเชิงวิทย์
    เพราะจริงๆมันไม่มีอะไรพิศดารครับ...

    ๓.เสียงทางหูขวา
    แต่เส้นเสียงขนานกับหูเรา เข้าตรงกลางหู
    นั่นคือ คนที่เราเคยรู้จักในชาตินี้
    แต่ชิงเปลี่ยนภพภูมิไปก่อนครับ

    ๔.ถ้าเสียงเรียก มุมขวาบน เสียงดังฟังชัด
    เป็นท่านที่จะมาสอนเราในชาตินี้
    หรือแวะมาทักทาย แบบชั่วคราว

    ๕.เสียงผุดจากกลางจิตเราเอง
    เป็นสภาวะจิตเราเอง
    ที่จะพยายามพ้นสภาวะธรรมที่ทำเราติดขัด
    หรือเพื่อบอกหลักธรรมที่จะก้าวข้าม

    ๖.เสียงระดับกลางหน้าอก
    เป็นระดับไม่เกินเทพ...

    ๗.เสียงระดับกลางกระโหลก
    เยื้องขวานิดเดียว เบาๆ เป็นระดับพรหม

    ๘.เสียงตรงกลางกระโหลกเลย
    เบา นิ่ม ได้ยินทั้งประโยค
    แต่เราฟังเป็นพยางค์เดียว
    คืออะไรที่สูงกว่า พรหม...

    ๙.เสียงมาทางหูด้านซ้าย
    คุยได้เรื่อยๆ อย่าไปสนใจ
    พวกนี้เป็นเสียงของพวกผีมีฤทธิ์
    กึ่งๆประมาณตำหนักทรง..

    ๑๐.เสียงเรียกทางด้านหลังเหนือศรีษะ
    เป็นระดับครูบาร์
    อาจารย์มีชื่อในอดีต ที่จะมาสอนเรา....

    ๑๑.เวลาสัตว์คุยกัน พวกตัวเล็กๆ
    มันจะเอาอวัยวะแตะกัน
    ตอนที่แตะกันนั่นหละ จะเกิดคลื่นเสียง
    จะแปลเป็นภาษาให้เราเข้าใจได้ว่า
    มันคุยอะไรกันครับ
    พวกนี้จะคุยวนๆอยู่ไม่กี่คำหรอกครับ
    ..เช่น ไปไหนมา ทำอะไร ฯลฯ ๕๕

    ที่พูดมาข้างบนนี้
    เป็นแค่กิริยาที่เกิดขึ้นได้ปกติ
    ไม่มีผลต่อความดีของจิต
    ไม่มีผลต่อความสามารถทางด้านเสียง
    ยกเว้นว่า เราจะได้ยินเสียงผีคุยกัน
    เหมือนชาวบ้านปกติคุยกัน
    ถึงจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านเสียงได้ครับ

    ดังนั้น ที่เล่ามาทั้งหมด
    ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
    ทั่วไปที่ใครก็จะเจอได้ครับ

    ปล.ตาดีแค่ไหน เสียงดีเท่านั้นครับ
    มันเป็นบางคนครับ..

    (ปักหมุด 24/2) หน้า30 ลำดับที่#584
    เรื่อง การจำแนกมังกรกับพญานาค

    1. ถ้าพูดถึงมังกรกับพยานาค ที่เข้าใจน่าจะตระกูลเดียวกันนั่นหละครับ
    2. บางก็ว่าชนิดเดียวกัน หรือในระบบภพภูมิเดียวกัน
      เพียงแต่ต่างที่ ต่างถิ่นรูปร่างก็ปรากฏตามสัญญา

      อย่างมังกรที่เด่นสุดคือ มีขา เขา และหนวดครับ
      อย่างมังกรชิวเล้งเนี่ย สีใสนะครับ
      และก็ไปไวมาไว้มา เร็วปานจรวด
      ชอบแอบซ่อนตัวอยู่ตามก้อนเฆข ประมาณนี้
      ลำตัวยาวมากๆ

      แล้วก็มีมังกรทอง เวลาปรากฏบนโลก
      ลำตัวจะเป็นคล้ายๆละอองสีทอง กระจายๆ
      เคลื่อนไหวช้าๆ


      ถ้าอย่างบ้านเราพยานาค เท่าที่ทราบ จะมีพยานาคภูเขา กายสีดำ
      ปกติเวลาปรากฏตัวจะรูปร่างใหญ่มาก ถ้าเป็นคนหน้าตาจะออกคมๆดูดุๆหน่อย
      พยานาคที่ดูและพุทธสถาน สีเขียว รู้ๆทั่วไปที่ชอบช่วยคน
      สามารถปรากฏได้หลายรูปแบบ ชีวัดแน่นอนได้ยาก
      เกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ ทำมาค้าขายด้วย
      พยานาคที่ชอบทำบุญ สีขาวล้วนๆ สังเกตุง่ายๆชอบมาแบบชุดขาว
      แบบคนที่แต่งตัวไปวัด แต่งกายหลวมๆหน่อย
      พยานาคที่ มีสีขาวปนทอง มีความสามารถในการรักษาโรคได้
      เป็นกลุ่มพยานาคที่มีวิชาเดินธาตุโบราณ เป็นแนวคล้ายๆทาง นักพรต
      ทางฤษี แต่ว่า จะเป็นชุดขาวนะครับ
      พยานาคดูแลท้องฟ้าก็สีขาวบางทีก็ปนสีฟ้าบ้าง ส่วนตัวยังไม่เคยเจอตอนปรากฏเป็นคน
      ส่วนพยานาคดูแลแม่น้ำ หลายสีหน่อย มีแดง เขียว ฟ้า ปนๆกัน
      พยานาคสีแดงล้วนๆก็มี
      ส่วนพยานาคสีออกน้ำตาลๆ(ความจริงมีฟ้า มีแดงปน)
      เป็นลักษณะที่เฝ้าสมบัติอะไรซักอย่างอยู่

      ส่วนตัวยังไม่เคยปรากฏว่า มังกรจะปรากฏอีกกายเป็นคล้ายๆมนุษย์
      แต่พยานาคที่เล่ามาทั้งหมด สามารถปรากฏเป็นคล้ายมนุษย์ได้
      อย่าง สีขาว ก็เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป ที่ชอบห่มขาว ปล่อยผมเรียบๆธรรมดา
      แต่พอเป็นพนานาคก็จะมีลำตัวสีขาวหมดทั้งตัว
      ทางด้านหงอน บนศรีษะ ก็มีขนาดเล็กใหญ่ต่างๆกันไป....

      คือ สีก็คือ สิ่งที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมานั่นหละครับ...
      แต่ในภูมิ พยานาค ที่ฝ่ายภพภูมิยอมรับกัน
      ก็คือ วิชาเดินธาตุโบราณ ที่ใช้การตั้งธาตุ
      น้ำ ดิน ไฟ ลม กลางอากาศ แล้วใช้หน้าอกบังคับเข้ามานั้นหละครับ
      ถ้าเดินธาตุในดง จะใช้หน้าฝากบังคับ ไม่ได้กำหนดว่าธาตุอะไรแน่นอน
      แต่อย่างน้อยๆ ก็ น้ำ ดิน ไฟ ลม อากาศ
      ส่วนวิชาเดินธาตุ สายอดีตสมเด็จพระสังฆราชฯ
      ก็ใช้การตั้ง ๑๐ ธาตุ บนอากาศก่อน แล้วใช้จุดเหนือสะดีอในการบังครับ


      ซึ่งจุดเหนือสะดือ นี้ ก็ได้ถูกเอามา ใช้ ในวิชาเฉพาะของหลายสาขา
      บางที่ ก็บอกว่า เป็นฐานของจิต แต่จริงๆมันเป็นฐานเริ่มต้นที่ใช้
      ในการฝึกกรรมฐานกองนั้นๆ ไม่ใช่ ฐานของจิตที่อยู่ในกาย
      เวลากายกับจิตมันแยกขาดจากกันเด็ดขาดชั่วคราว ตรงลิ้นปี่นะครับ
      ฐานของจิตจริงๆเราจะดูตรงนี้

      วิชาเฉพาะก็เอามาฝึกได้อยู่ แต่มันจะไปได้ทางด้านภายในแทน
      แต่ว่ามันจะไม่ได้ทางด้านกำลังจิต เพราะว่า มันเริ่มต้นด้วยการกำหนด
      จุดและสร้างภายในกายขึ้นมาก่อน มันจะต่างจากการที่ไปตั้งธาตุภายนอกหรือขึ้นรูป
      ภายนอกก่อนแล้วบังคับเข้ามาในกาย พวกนี้ถึงจะได้ทางกำลังจิต
      จากการที่พยายามลดรูป หรือ ปั่นธาตุให้รวมกัน แล้วดึงเข้ามาที่กายนั่นหละ

      อย่างวิชา ทางหลวงพ่อ ส วัด ปากน้ำนะ ไม่ใช่แถวๆคลองนะครับ
      เริ่มตั้งในกายเพราะว่า จะใช้หลัก ในการเริ่มซ้อนกายพระจากจุด
      ที่กำหนดในร่างกายๆขยายออกไปเรื่อยๆ ซ้อนกันไปเรื่อย
      เป็นอุบายในการเข้าถึงพระนั่นเอง....
      แต่ที่สำคัญอย่าไปยึดนามธรรม ไม่งั้นเสร็จและอาจจะหลงสภาวะได้

      ส่วนทาง จ.อุทัย นั้น ก็ใช้อุบายเดียวกัน
      ในลักษณะที่รู้เห็นได้ในใจ คล้ายตาเห็น
      ก็เพื่อคงอุบาย ให้พระอยู่ในกายอยู่เป็นเบื้องต้นนั่นเอง
      ทั้ง ๒ หลักการนี้ จึงต้องมาเน้นวิปัสสนาตัดร่างกายให้มาก
      เพราะไม่งั้น โอกาสจะหลงตัวเองค่อนข้างสูง

      คือ ปกติถ้าแยกรูปแยกนาม เดินปัญญามาก่อน
      มีกำลังสมาธิสะสมมาบ้าง
      แล้วค่อยมาฝึกอะไรพวกนี้ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
      แต่ส่วนมากไม่ใช่ เน้นฝึกก่อน ค่อยว่ากัน..

      พอเกิดกิริยาต่างๆนา พอเห็นนามธรรมอะไรแล้ว
      ไม่มาตัดร่างกาย มาวิปัสสนาต่อ ก็เลยจะหลงสภาวะ
      ไปหลงในนามธรรม จนเผลอดึงเข้ามา สร้างเป็นอัตตาตัวเอง
      ก็จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่นี้หละบอกยากเลย...
      ที่ในวงการเรียกว่า เฝื่อ นั่นเอง...

      ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดู ปฏิปทา ของผู้ถ่ายทอดหลักด้วย
      ว่าเน้นเรื่องอะไร ห้ามอะไรไว้ ผู้ที่จะเรียนรู้
      ควรทำความเข้าใจให้ดีในเบื้องต้น.....
      แต่ส่วนมาก มักจะทำตรงกันข้าม
      เลยไม่สามารถ ที่จะต่อ ในอีกระดับได้....


      เรื่อง อดีตชาติ ไม่ว่าจะเคยเกิดเป็นใคร
      หรือมีความสามารถที่จะย้อนอดีตได้ ถึงยุคไดโนเสาร์ก็ตาม
      แนะนำว่า อย่าไปสนใจเลย เอาปัจจุบันก็พอ

      เพราะการย้อนอดีต ที่มีประโยชน์จริงๆ ต้องการให้เรารู้แค่เพียงว่า
      เราไปพลาดอะไรตรงไหน ทำไมถึงยังต้องได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

      ณ ปัจจุบัน ตัวเรา จิตเรา ไปผูกพันธ์ กับภูมิอะไร มากไปถึงขนาดที่ยึด
      เวลาเราตาย ตัวจิตเรามันก็จะไปภูมินั้นนั่นหละครับ

      เพราะฉนั้น ไม่ว่า จะดีหรือไม่ดี เราเคารพนับถือได้หมด
      แต่ไม่ควรที่จะไปยึดมั่นถือมั่น

      การปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุดคือ การปล่อยวาง นั่นเอง.....
      เพราะไม่งั้น มันจะยังต้องทำให้เราเป็นไปตาม
      วิบาก จริต อนุสัย อย่างใดอย่างหนึ่งได้อยู่
      ซึ่งจะเป็นตัวขวางทำให้เรายังไม่พ้นได้.....

      นัยยะ ส่งท้าย จากท่านผู้เป็นเลิศด้าน
      พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมบอกว่า
      ''โสดา ฟัง
      สกิทา อีกครั้ง
      อนาคา ไม่พึ่งอีก
      อรหันต์ ดำเนินชีวิตที่ดี...''
      เป็นพิจารณากันเอาเอง..........

      ปล. แค่เพียงแต่เล่านิทานให้ฟัง......

      (บุรุษไร้เงา, 27 กรกฎาคม 2018)
     
  5. รูปติดบัตร

    รูปติดบัตร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2016
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +372
    ระหว่างรอ"ลบ" ดูเรื่องราวอื่นไปพลางๆ

    ไดโนเสาร์ สูญพันธุ์ไปแล้ว
    คงจะสูญทั้งกายเนื้อและกายทิพย์
    จึงไม่มีร่างทรงของไดโนเสาร์
    .. ก็เป็นไปได้ เพราะวิญญาณหรือกายทิพย์
    ของไดโนเสาร์ไปเกิดในร่างสัตว์อื่นหมดแล้ว

    สำหรับพญานาค
    เขาว่า (เขาไหนไม่รู้นะครับ เขาวิทย์กระมัง)
    เป็นสายพันธุ์หนึ่งของไดโนเสาร์
    ค้นในเน็ตคงพอหารายละเอียดได้

    ดูเรื่องไดโนเสาร์
    .. ขออนุญาตแปะ YouTube ครับ




    บั้งไฟพญานาค
    โดยคุณสมภพ
    .. ขออนุญาตคุณสมภพ แปะ YouTube ครับ


    ...............

    โดย อ.เจษฎา
    .. ขออนญาตแปะ YouTube ครับ




    หมายเหตุ
    .. พญานาคยังหวงแหนลักษณะของเผ่าพันธ์ุ
    ไม่ยอมไปเกิดในกายเนื้ออื่น ?

    .. ไดโนเสาร์สูญพันธ์ุ ไม่มีเยื่อใยผูกพันธ์ในเผ่าพันธุ์
    ดวงวิญญาณไปเกิดในร่างอื่นหมดแล้ว ?

    .. ทั้งหมดเป็นข้อสงสัยนะครับ ไม่ได้ฟันธง
    เพราะผมเองก็ไม่มีญาณจะดูเรื่องใดๆ

    และมีข้อสงสัยด้วยว่า..
    แล้วมีสัตว์อื่นอยากเป็นไดโนเสาร์รึเปล่านะ ?
    เต่าล้านปีด้วย ?

    เข้ามาแก้ไข แล้วจะลบออกครับ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2024
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,014
    พอมีบ้างหลายเหตุการณ์ หลายตอน
    ใครผ่านกสิณมาได้ หรือใครมีแววทางด้านยารักษาโรค. ช่วยคนไม่หวังผล แล้วเมตตาผ่านเกณฑ์ รวมทั้งพวกที่ชอบทำดีแบบอยู่เบื้องหลัง
    มักจะได้ไปต่อ ทางสูตรยาแปลกๆ หรือ
    ทางวิชาเดินธาตุในดงได้เอง
    ซึ่งมีประโยชน์ มากในการนำไปสงเคราะห์
    สำหรับ บุคคลบางกลุ่ม นอกจากกำลังสมาธิสะสมที่ได้ และยังใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการต่อยอดต่อไป
    แต่ มักจะรู้กันเองว่าหลายเรื่อง มักพูดไม่ได้ แล้วก็รู้กันทั่วไปว่าอยากรู้อะไรให้ดูที่ ใจตัวเอง บางเรื่อง ท่านในดงทำให้ปรากฏ เพื่อให้รู้ว่าเรื่องแบบนี้ มันยังมีอยู่ บน โลกนะ(หลาย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจหรือทำได้ ท่าน ในดงที่ มี connect กับทางบ้านเราจะมีอยู่ 3 ท่าน แต่ความจริงอยู่ในป่ามีเยอะมาก สามารถปรากฏตัวได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพียงในนิมิต แต่หลายครั้งมักจะปรากฏ ให้เห็น ได้ ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ถ้ามาตรฐาน ทาง ใจเราได้ประเด็นนี้สุดแล้วแต่ จะเข้าใจ เดี๋ยวท่านมาหาเอง ก็เหมือนครูบาอาจารย์ทางภพภูมินั่นแหละ ที่ท่านจะมาหาเอง และ สิ่งที่เราเป็นลักษณะนิสัยเรา ความสามารถในการทำได้ นำไปใช้ได้ของเรา จะเป็นตัวบอกเอง ว่า เป็นท่านใด เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และในทางระบบ ภพภูมิแล้วครูบาอาจารย์ท่านต่างๆ เป็นพันธมิตรกัน ถ้าผ่านท่านนู่นท่านนี้แล้ว ก็จะได้ พบเจอท่าน ในดงเอง และเหมือนท่านมักจะเอ็นดูสุนัขเป็นพิเศษ. ประมานนี้หละ ในภาพกว้างๆ ที่พอเล่าได้ ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,014
    คลื่นความถี่ได้พอดี ครับ นำมาปรับใช้เวลาเข้านอนจะดีมากครับ บางทีสวดไม่กี่คำก็หลับแล้วครับ ถ้าง่วงก็ควรพักผ่อน ปล่อยหลับไปเลยครับ ตื่นมาร่างกายจะไม่รู้สึกเพลียครับ.
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,014
    ส่วนใหญ่ก็ไปเจอกันข้างนอกเจอตัวกันเป็นๆ
    คือมันเจอแล้วจบอ่ะ มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไง
    หลายคนเขาก็มีพรสวรรค์ พอได้รับคำแนะนำได้รับการช่วยเหลือนิดหน่อยเขาก็ไปได้ของเขาเอง บางคนก็ได้แต่ยืนดูนั่งดู แล้วก็งงๆ เอาว่าในภาพรวมๆมันมีหลากหลายอารมณ์555
    บางคนก็เป็นแม่ชีสร้างบ้านอยู่ในวัดเลย รุ่นน้องบางคนก็บวชเป็นพระตอนนี้ยังไม่สึกเลย( กลุ่มนี้ฮานะ ส่วนตัวเคยเนียนๆเดินเข้าไปนั่งปะปนอยู่กับเขา คุยเล่นกันตั้งนาน กลุ่มนี้บอกว่ามารอคุณนพอยู่ คุณนพอ่ะต้องเป็นคนที่แบบอายุมากๆนุ่งขาวห่มขาว เพราะเขาสังเกต จากการเขียนบทความ555) สุดท้ายเรียกพี่นพหมดเลยฮาเลย 55 บางคน กลายเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิพระเกจิเลย ทั้งที่ส่วนตัวเป็นคนแนะนำให้ไปหาท่านทั้งนั้น กลายเป็นว่า คนกลุ่มนั้นทุกวันนี้สนิทกับท่านมากกว่าคนแนะนำอีก 555 ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มของคนที่มีภาระทางโลกอยู่ ก็ดำรงชีวิตกันต่อไปแต่คงไม่ได้มาเน้นปฏิบัติอะไรมากมาย แต่หลายคนที่เขาสามารถทำอะไรพิเศษได้นะ แต่แสดงออกไม่ได้เพราะยังอยู่ร่วมกับสังคมอยู่ และส่วนมากจะมาให้ช่วยในเรื่องพิเศษมากกว่า55 ไม่ว่าญาติพี่น้อง คนที่เคารพ หรือใครอะไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยได้ทุกคนแล้วแต่เหตุและปัจจัยแห่งตน และต้องพึ่งพาอาศัยวิธีการทางด้านอื่นหลายๆส่วนร่วมกัน และก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาไปวัดหรือเจอกันข้างนอก จะได้ช่วยกันทุกครั้งไป เพราะส่วนใหญ่เวลาเจอกัน มักจะเน้นคุยเรื่องฮา แซวกันมากกว่านะ บางคนก็เน้นไปคุยกับพระอาจารย์อย่างเดียวก็มี บางกลุ่มเขาก็ไปศาสตร์ทางด้านหนึ่งเลย ตามความเชื่อของเขา ประมาณนี้แหละไม่มีอะไรหรอก พอขำๆ
     
  9. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +231
    พอจ.ชื่อดังจังหวัดชัยภูมิ ตอนนี้ยังไปหาท่านได้ไหมครับ?
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696

    ขอบคุณครับอจ.นพ
    ที่ถ่ายทอดเคล็ดลับทำให้นอนหลับง่าย
    "...คลื่นความถี่ได้พอดี ครับ นำมาปรับใช้เวลาเข้านอนจะดีมากครับ บางทีสวดไม่กี่คำก็หลับแล้ว"
     
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696
    Test Test ส่ง4-5ครั้งไม่ผ่าน
    (ปิดเครื่องแล้วเข้าเวปใหม่ก็ไม่ผ่าน)
    จึงขอถ่ายรูปเก็บไว้
     
  12. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696
    1. :oops::oops::oops::oops::oops::oops::rolleyes::rolleyes::rolleyes:o_Oo_O
    2. (ปักหมุด 25) หน้า32 # 624
    3. https://palungjit.org/threads/88.637310/page-32#post-10777937
    4. บทความเรื่องพญานาคข้างล่างนี้น่าสนใจมาก
    5. ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณสุพรรณ์ ก้อนคำ (ผู้เขียน)
    6. เรื่อง "9 พญานาค 9 ปราสาทโบราณที่เก่าแก่ที่สุด!"

      การสร้างพญานาคในปราสาทโบราณที่เก่าแก่นั้น เป็นความเชื่ออย่างพราหมณ์

      เป็นศิลปะขอมที่สร้างขึ้นในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ จึงเก่าแก่และทรงพลังในด้านการวางยุทธศาสตร์ด้านจิตวิญญาณสูงสุด เป็นศาสตร์ที่โลกตะลึง!

      แต่ละปราสาทได้รับการวางแผนจากปราชญ์โบราณ ที่แตกฉานด้านจิตวิญญาณที่ชัดเจนและทรงอิทธิพลที่สุด ดังนั้น ในทุกปราสาทที่ปรากฏอยู่ จึงมีอาถรรพ์ เวทย์มนต์ และพลังอำนาจ

      ส่วนพญานาคที่ปรากฏอยู่นั้น สร้างแทนองค์อนันตนาคราช ผู้เรืองอำนาจและพลานุภาพเหนือนาคราชทั้งหลาย เป็นนาคเทพ นาคสวรรค์ นาคบริวารของพระนารายณ์

      เมื่อได้ไปไหว้บูชา หรือทำพิธีใดพิธีหนึ่งในอาณาบริเวณ จึงเข้มขลังและทรงพลังอำนาจลี้ลับ ที่ยังอธิบายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์โบราณ

      ความจริงแล้วพญานาคและปราสาทเก่าแก่มีมาก แต่ในที่นี้ขอเลือกที่โดดเด่น และคนส่วนใหญ่รู้จัก เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษา และเดินทางไปเยือน ดังนี้
      = = = = = = = =

      1. พญานาค ณ ปราสาทเขาพนมรุ้ง

      ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิท บริเวณบ้านดอนหนองแหน ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17 และในพุทธศตวรรษที่ 18
      = = = = = = = =

      2. พญานาค ณ ปราสาทเมืองต่ำ

      ปราสาทเมืองต่ำอยู่ในกลุ่มปราสาทมรรคโค ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดปราสาทบูรพาราม ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัยจังหวัดบุรีรัมย์ สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 16-17
      = = = = = = = =

      3. พญานาค ณ ปราสาทหินพิมาย

      ตั้งอยู่ในตัวเมืองอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 พุทธศตวรรษที่ 16
      = = = = = = = =

      4. พญานาค ณ ปราสาทหินพนมวัน
      ตั้งอยู่ที่บ้านมะค่า ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์ และมีพญานาคเก่าแก่
      = = = = = = = =

      5. พญานาค ณ อุทยานศรีเทพ

      อยู่ในบริเวณอุทยานศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีอายุไม่น้อยกว่า 1,000 ปี

      เจริญอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11-17 ในอาณาจักรนี้มีหลายปราสาท แม้การสร้างพญานาคก็งดงาม เก่าแก่ และทรงพลังอำนาจ
      = = = = = = = =

      6. พญานาค ณ ปราสาทเมืองสิงห์

      ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือใน เขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ศิลปะการสร้างคล้ายคลึงกับศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในพุทธศตวรรษที่ 17
      = = = = = = = =

      7. พญานาค ณ ปราสาทตาเมือนธม

      ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน หรือช่องเขาตาเมียง เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นศิลปะการสร้างอย่างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อยู่ในกลุ่มปราสาทตาเมือน
      = = = = = = = =

      8. พญานาค ณ ปราสาทศรีขรภูมิ

      ตั้งอยู่ข้างวัดบ้านปราสาท บ้านปราสาท ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทหลังนี้เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในจังหวัดสุรินทร์

      ศิลปะการสร้างอย่างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กลุ่มเดียวกันปราสาทตาเมือน
      = = = = = = = =

      9. พญานาค ณ ปราสาทสด๊อกก๊อกธม
      ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านหนองเสม็ด ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว

      สร้างในช่วงพุทธศวรรษที่ 15-16 หรือ คริสศตวรรษที่ 11 สมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในเขตตะวันออก
      = = = = = = = =

      9 พญานาคใน 9 ปราสาทนี้ เหมาะสำหรับคนที่อยากสัมผัสความเก่าแก่ ชอบศิลปะอย่างขอม อยากศึกษาการวางยุทธศาสตร์ด้านจิตวิญญาณ หรืออยากสัมผัสพลังลี้ลับที่ยังคงมีอยู่

      ผู้ใดเชื่อเรื่องพญานาคยิ่งไม่ควรพลาดเด็ดขาด ควรหาโอกาสเดินทางไปศึกษา จะได้เข้าใจ เข้าถึง และนำมาซึ่งแนวคิดหรือจิตวิญญาณที่งดงามในศิลปะของชาติที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วโลกใบนี้!
      = = = = = = = =

      #ด้วยไมตรีจิต
      #สุพรรณ์ ก้อนคำ

      9@Phonlee, 4 สิงหาคม 2018


     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,014
    ได้แต่โทรถามแอดมินเพจวัดก่อนเพื่อความชัว
     
  14. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +231
    ขอบคุณครับ :)
     
  15. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696
    :oops::oops::oops::rolleyes::rolleyes:o_Oo_O
    (ปักหมุด26) หน้า33
    เลือกอ่าน บุรุษไร้เงา(อจ.นพ) 9@Phonlee(ถ้ามีเวลาน้อย)
    แต่ถ้าพอมีเวลาว่างอ่านทั้งหน้าจะยินดีครับ :):):)

    https://palungjit.org/threads/88.637310/page-33
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696
    พระธาตุเสด็จบนพระเนื้อผงลพ.โสธรปี2509
    320792 - Copy.jpg

    320791 - Copy.jpg

    คำว่าพระธาตุเสด็จ ผมตีความมาจาก
    ตอนได้รับมาใหม่ๆเมื่อหลายปีหรือหลาย10ปี่ก่อน
    องค์พระผิวเรียบขาวนวลเหมือนองค์พระทำบุญตามวัดต่างๆ
    แต่หลังจากนั่นบางองค์มีการเปลี่ยนแปลงตามรูปที่เห็น
    ทั้งคล้ายพระธาตุสัณฐานเรียบหรือนูนเหมือนกรวดทราย)
     
  17. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,851
    ค่าพลัง:
    +4,696

    ความรู้เกี่ยวกับ พระบรมสารีริกธาตุ

    พระบรมสารีริกธาตุ เป็นธาตุพิเศษอันเกิดจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ ภายหลังการเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระบรมสารีริกธาตุจึงเป็นสิ่งมีคุณค่ายิ่งกว่าปูชนียวัตถุอื่นใดในโลกนี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา

    ความหมายและความสำคัญของพระบรมสารีริกธาตุ
    การใช้ศัพท์เรียกกระดูกหรือส่วนที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าที่ยังเหลือจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ จึงได้มีการบัญญัติศัพท์เรียกให้ชัดลงไปโดยเฉพาะว่า “พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึง พระธาตุที่นับเนื่องหรือเป็นส่วนทางร่างกายหรือพระวรกายของพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับธาตุของพระอริยสาวก และมิได้หมายถึงพระธาตูเจดีย์ หรือธาตุสถูป” นอกจากนั้น ชาวพุทธยังถือคติว่า การสร้างพุทธเจดีย์ก็เพื่อบูชาพระพุทธคุณ จึงพยายามแสวงหาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแล้วสร้างสถูปหรือเจดีย์บรจุไว้เป็นที่สักการบูชา พระเจดีย์หรือพุทธเจดีย์ นิยมแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ตามหน้าที่ของการสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ หรือวัตถุที่ใช้บรรจุไว้ในพระเจดีย์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ปรินิพานไปแล้ว โดยได้แบ่งประเภทแห่งพระเจดีย์ไว้ 4 ประเภท คือ
    1. ธาตุเจดีย์ ได้แก่ เจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระธาตุของพระอรหันตสาวก เช่น ในประเทศไทยได้มีการสร้างพระเจดีย์สำคัญๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ พระธาตุพนม พระธาตุดอยสุเทพ พระบรมบรรพต(ภูเขาทอง)
    2. บริโภคเจดีย์ ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้า เช่น สังเวชนียสถาน 4 ตำบล และมีการเพิ่มเข้ามาอีกว่า สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฎิหาริย์ สถานที่บรรจุพระอังคาร สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ สถานที่บรรจุทะนานโลหิตที่ตวงพระธาตุ ตลอดจนนับการรับพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในสถานที่ต่างๆ เป็นบริโภคเจดีย์อีกด้วย และยังนับเครื่องบริขารของพระพุทธเจ้า มีบาตร จีวร บริขารพิเศษ มีธัมมกรก เสนาสนะ เตียง ตั่ง กุฏิ วิหาร เป็นต้น
    3. ธรรมเจดีย์ ได้แก่ การจารึกข้อพระธรรมไว้บูชา ในชั้นเดิมมักเลือกเอาข้อพระธรรมที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เช่น คาถาแสดงพระอริยสัจ 4 มาจารึกไว้บูชา ต่อเมื่อภายหลังมีการจารึกพระธรรมลงเป็นตัวอักษรแล้ว ก็นับพระไตรปิฎกเป็นธรรมเจดีย์เช่นเดียวกัน
    4. อุเทสิกเจดีย์ ได้แก่ สิ่งที่เราสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย โดยไม่มีการกำหนดรูปแบบอย่างชัดเจน อยู่นอกเหนือจากพุทธเจดีย์อย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสามข้อข้างต้นเช่น พระพุทธรูป พระผง พระเครื่อง พระพุทธบาท(จำลอง) ฯลฯ ทั้งนี้ รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุจำลองด้วย แต่ชั้นเดิม ในอินเดียยังไม่มีคติการสร้างรูปเคารพ จึงทำเป็นเครื่องหมายแทนพระพุทธองค์ เป็นต้นว่า รูปม้าผูกเครื่องอานเปล่าแทนตอนเสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์ รวมถึงประติมากรรมต่างๆ ที่สร้างด้วยถาวรวัตถุมีค่ามากบ้าง น้อยบ้าง เช่น ทำด้วยเงิน ทอง แก้วมณี ศิลา โลหะ ดิน และไม้ เป็นต้น

    พระบรมสารีริกธาตุจึงถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อชาวพุทเป็นอย่างมาก แม้ในการประพฤติปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ มักจะนำพระบรมสารีริกธาตุเป็นสื่อนำการบำเพ็ญประเพณี เช่น ประเพณีขึ้นพระธาตุ ประเพณีแห่พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น แม้ในการพระบรมศพก็มีการนำพระบรมสารีริกธาตุไปร่วมสมโภชด้วย ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชการที่ 2 ตอนหนึ่งว่า
    “ถึง ณ วันเสาร์ เดือน 6 ขึ้น 5 ค่ำ เชิญพระบรมสารีริกธาตุแต่ในพระบรมมหาราชวังตั้งกระบวนแห่ออกไปยังพระเมรุมาศ ประดิษฐานพระเบญจาทอง พระสงฆ์ราชาคณะฐานานุกรม เปรียญฝ่ายคามวาสี อรัญวาสี 80 รูป เจริญพระพุทธมนต์ มีหนัง จุดดอกไม้เพลิง เป็นการสมโภชพระบรมสารีริกธาตุวันหนึ่งคืนหนึ่ง...เวลาบ่ายทิ้งทานเวลาค่ำ จึงแห่พระบรมสารีริกธาตุกลับเข้ามาในพระบรมมหาราชวัง”

    เหตุเกิดพระบรมสารีริกธาตุ
    การเกิดของพระธาตุเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เพราะกระดูกที่เผาไฟหรือยังไม่เผาไฟก็ดี สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลึกรูปร่างต่างๆ สีสันสวยงาม คล้ายกรวด คล้ายแก้ว แม้กระทั่งผม เล็บ ฟัน ก็สามารถแปรเป็นพระธาตุได้เช่นตามคำอธิษฐานก่อนนิพพาน ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎก ตลอดทั้งตำราพระธาตุโบราณได้กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เกิดพระบรมสารีริกธาตุว่า เป็นพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานซึ่งจะแตกต่างกันไปแต่ละพระองค์ โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
    1. พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนยาว สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง พระบรมสารีริกธาตุจะมีลักษณะรวมกันเป็นแท่งเดียว ดุจทองธรรมชาติ
    2. พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุไม่ยืนยาว เช่น พระโคดมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีเวลาปฏิบัติพุทธกิจเพียง 45 ปี ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้า ได้ทรงอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แตกย่อยลงกระจายไปในที่ต่างๆ เพื่อที่พุทธศาสนิกชนจะได้นำไปเคารพสักการะ และเพื่อเป็นพุทธานุสติและธัมมานุสติ
    พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้ประดิษฐานอยู่บนมนุษยโลกชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนเมื่อพระพุทธศาสนาได้เสื่อมลง พระบรมสารีริกธาตุก็จะอันตรธานไป จึงเรียกว่า “ธาตุอันตรธาน” ซึ่งหมายถึงพระบรมสารีริกธาตุได้หายไป ไม่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าสูญสิ้นไปจากโลก ดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วผู้ประสงค์จะเห็นพระพุทธเจ้าขอให้อธิษฐานจิตบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนากล่าวคำอธิษฐานขอให้พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา ณ ภาชนะหรือสถานที่เหมาะสมซึ่งจัดเรียมเอาไว้ เมื่อทำความดีถึงขั้น พระบรมสารีริกธาตุก็จะเสด็จมาตามที่ปรารถนา

    relics001 - Copy.jpg


    การแบ่งพระบรมสารีริกธุาต

    เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นพุทธบริษัทได้ทราบข่าวการปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ถึงกับวิสัญญีภาพ(สลบ) หลังจากคลายทุกขเวทนาก็มีดำที่จะขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากกษัตริย์เมืองกุสินารา พร้อมกันนั้นก็จัดเตรียมกองทัพไว้ด้วย หากไม่ได้พระบรมสารีริกธาตุแต่โดยดี นอกจากนี้ยังมีกษัตริย์จากเมืองต่างๆ ที่ได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ต่างก็ขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งยกทัพติดตามมาเช่นกัน รวม 6 เมือง และมีพราหมณ์อีก 1 เมือง ได้แก่
    1. พระเจ้าอชาตศัตรู เมืองราชคฤห์
    2. กษัตริย์ศากยราช เมืองกบิลพัสดุ์
    3. กษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี
    4. กษัตริย์ถูลิยะ เมืองอัลลกัปปะ
    5. กษัตยริย์โกลิยะ เมืองรามคาม
    6. กษัตริย์มัลละ เมืองปาวา
    7. มหาพราหมณ์ เมืองเวฎฐทีปกะ
    โดยกองทัพทั้ง 7 ได้ตั้งค่ายล้อมเมืองกุสินาราไว้ ร้องประกาศให้รีบแบ่งพระบรมสารีริกธาตุแต่โดยดี มิเช่นนั้นจะเกิดสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ฝ่ายกษัตริย์เมืองกุสินาราก็ไม่ทรงยินยอม จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น
    ขณะนั้พราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า “โทณะ” ซึ่งเป็นอาจารย์ของกษัตริย์เหล่านั้นได้ยินการโต้เถียงรุนแรงขึ้น จึงได้ออกไประงับเหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าว และประกาศว่าจะแบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนให้เท่าๆ กัน จะได้อัญเชิญไปบรรจุในสถูปทุกๆ พระนคร เป็นที่กราบไหว้บูชาของมหาชน กษัตริย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ต่างเห็นดีด้วยกับวิธีการดังกล่าว
    บรรดากษัตริย์ทั้งหลายพอได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุก็ต่างร่ำไห้รำพันต่างๆ นาๆ ฝ่ายโทณพราหมณ์เห็นบรรดากษัตริย์ต่างๆ กำลังเศร้าโศกเสียใจ จึงได้แอบหยิบเอาพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาด้านบนซ่อนไว้ในผ้าโพกศรีษะ แล้วดำเนินการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุโดยใช้ทะนานตวงได้ทั้งหมด 16 ทะนาน แบ่งให้พระนครทั้ง 8 ได้นครละ 2 ทะนาน
    องค์อัมรินทราธิราชทอดพระเนตรเห็นโทณพราหมณ์แอบซ่อนพระเขี้ยวแก้วเอาไว้ ทั้งๆ ที่ตนเองไม่สามารถจำทำสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเป็นที่สักการะบูชาอันเหมาะสมได้ จึงลงมานำเอาพระเขี้ยวแก้วนั้นไปบรรจุในพระโกศทอง แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานในพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ ฝ่ายโทณพราหมณ์เมื่อคลำหาพระเขี้ยวแก้วก็ไม่พบ จึงได้ขอทะนานสำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุไปก่อสถูปบรรจุไว้สักการะ

    ต่อมากษัตริย์เมืองโมริยะได้สดับข่าวพระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว จึงส่งราชทูตมาขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง แต่พระบรมสารีริกธาตุได้ถูกแบ่งไปยังนครต่างๆ หมดแล้ว จึงได้นำพระอังคาร (เถ้า) กลับสู่พระนคร สร้างสถูปบรรจุเป็นสถานที่สักการะบูชา

    relic_distribution.jpg



    ขอขอบคุณ แหล่งที่มามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    วิทยาเขตขอนแก่น
    https://kk.mcu.ac.th/relics/intro.html#:~:text=พระบรมสารีริกธาตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...