เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 มกราคม 2025 at 18:44.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,951
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,581
    ค่าพลัง:
    +26,420
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,951
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,581
    ค่าพลัง:
    +26,420
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เราท่านทั้งหลายซึ่งตั้งใจบำเพ็ญกุศลรับปีใหม่ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ตั้งแต่การสวดมนต์ข้ามปี ซึ่งทางวัดท่าขนุนใช้การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบเป็นการสวดมนต์ ต่อด้วยการรับบิณฑบาตสร้างกุศลรับปีใหม่ ซึ่งจัดงานร่วมกับทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ มีทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวมาใส่บาตรมากกว่าทุกปี

    ต้องขอเจริญพรขอบคุณท่านศราวุธ ศรีทันดร นายกเทศมนตรีตำบลทองผาภูมิและคณะ ร่วมกับคณะกรรมการบริหารตลาดริมแควเมืองท่าขนุน ที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องเพราะว่าการบริหารจัดการคนจำนวนมาก ๆ นั้น อย่างน้อยก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ว่าทุกท่านก็อดกลั้นอดทน จนงานทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

    ส่วนที่มาลำบากก็คือหลังจากที่ทุกท่านเริ่มเดินทางกลับสู่เรือนชานบ้านช่อง ญาติโยมได้ส่งภาพมาให้ดู มีรถติดกันเป็นจำนวนมาก หลายท่านถึงกับบ่นว่า "ประชากรไทย ๗๐ ล้านคน มาอยู่ที่กาญจนบุรีไป ๕๐ ล้านคน..!" ยังดีที่ลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) เจ้าของ "เติมเต็ม ทราเวล" ได้นำลูกทัวร์ขึ้นไปพักที่บ้านอีต่อง ไม่เช่นนั้นก็จะไปร่วมการติดบนถนนกับเขาอีกคณะหนึ่ง

    การเดินทางไกลนั้น ต่อให้เราระมัดระวังขนาดไหนก็ตาม อุบัติเหตุก็อาจจะเกิดขึ้นจากความประมาทของผู้อื่นได้ เนื่องเพราะว่าบางอย่างก็เป็นบุญสัมพันธ์ทำให้มีความคล่องตัวผิดปกติ บางอย่างก็เกิดจากกรรมสัมพันธ์ ทำให้จะต้องเกิดการติดขัด เกิดอุบัติเหตุ หรือว่าบาดเจ็บล้มตายไป ตามแต่วาระบุญวาระกรรมของตน

    ในส่วนที่เราท่านทั้งหลายได้สร้างกุศลเอาไว้ ก็เป็นการทำให้จิตของตนนั้น เกาะในสิ่งที่ดีที่งามตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราควรอย่างยิ่งที่จะทำเอาไว้ทุกเมื่อเชื่อวัน เหมือนกับการรับประทานอาหาร ที่เรารับประทานกันวันละ ๒ รอบ ๓ รอบ ตามแต่ฐานะของตน ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลายนั้น เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารวันละ ๒ มื้อบ้าง ๓ มื้อบ้าง แต่เราอาจจะไม่ได้เลี้ยงอาหารใจแก่ตนเองเลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,951
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,581
    ค่าพลัง:
    +26,420
    หลายท่านจึงเกิดอาการเหนื่อยล้า พักผ่อนเท่าไรก็รู้สึกว่าไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าท่านได้พักแต่ร่างกายเท่านั้น ในส่วนของจิตใจไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะว่ามีแต่ความฟุ้งซ่านเป็นปกติ เราจึงควรที่จะให้ใจพักผ่อนบ้าง ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ หรือว่าปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างเป็นทางการไปเลย

    การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถ้าท่านที่ไม่คล่องตัว เราก็จะได้แต่สมาธิเบื้องต้นเท่านั้น เพราะว่าถ้าเริ่มเป็นอัปปนาสมาธิ บางทีเราก็เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เพราะว่าจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แต่ละวันเราจึงควรหาเวลาในการภาวนาอย่างเป็นทางการ อย่างเช่นว่าหลังตื่นนอนแล้ว ให้ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกสัก ๓๐ นาที ก่อนที่จะนอนถ้าหากว่าร่างกายยังไหว ก็ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกอีกสัก ๓๐ นาที แต่ถ้าไม่ไหวก็ทำเฉพาะช่วงเช้า ส่วนช่วงค่ำ ท่านสามารถที่จะนอนนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วภาวนาให้หลับไปเลย

    ถ้าท่านทำในลักษณะอย่างนี้ กำลังใจของตนก็จะเข้มแข็งขึ้นตามกำลังสมาธิที่สูงขึ้น สามารถที่จะบังคับตนเองให้สร้างความดีได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะบังคับตนเองไม่ให้กระทำในสิ่งที่ชั่ว เนื่องเพราะว่าถ้าอาศัยความละอายชั่วกลัวบาปในจิตสำนึกของเราอย่างเดียว บางทีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีกำลังมากกว่า สามารถที่จะชักจูงให้เราไปกระทำความชั่วจนได้ จนบางทีก็ทำให้เรากลายเป็นคนคิดมาก ซึมเศร้าไปเลยก็มี แต่ถ้าท่านทรงสมาธิจิตเอาไว้ได้ กำลังสมาธิที่เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป เราก็จะมีกำลังในการต่อต้านกระแสกิเลส

    บุคคลผู้ทรงฌานสมาบัติได้คล่องตัว ในช่วงที่ทรงฌานอยู่นั้น รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า
    ผู้ที่ทรงฌานได้นั้น มารจะมองไม่เห็นเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า มารจะอาศัย รัก โลภ โกรธ หลง ของเรานั่นแหละ ในการส่งเสนามาร คือบริวารของตนแทรกเข้ามา เพื่อที่จะก่อกวนให้พวกเราต้องลำบาก ต้องเดือดร้อน วนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไม่รู้จบ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,951
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,581
    ค่าพลัง:
    +26,420
    เมื่อเราทรงฌานสมาบัติได้ กำลังของเราสามารถกดทับกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับสนิทลงได้ชั่วคราว เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ มารก็ไม่มีกำลังที่จะทำอันตรายแก่เราได้ จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายควรที่จะขวนขวายใส่ตนเอาไว้เสมอ จนกว่าเราจะทรงฌานสมาบัติได้คล่องตัว

    เนื่องเพราะว่าการรักษาศีลอย่างเดียว บางทีเราก็หักห้ามใจตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยกำลังสมาธิที่ทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็ง มีสติว่องไว รู้ตัวว่าสิ่งผิดพลาดไม่ดีไม่งามจะเกิดขึ้น เพราะการชักจูงของมาร เราก็รั้งตนเองเอาไว้ด้วยกำลังสมาธิ ไม่ไปละเมิดในสิ่งที่ทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนภายหลัง

    เมื่อสมาธิของเรามีความคล่องตัวมาก สภาพจิตมีความสงบมาก เราก็สามารถที่จะอาศัยความสงบของจิต ยกเอาข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาพิจารณา

    ไม่ว่าพระองค์จะตรัสเอาไว้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายหาความเที่ยงไม่ได้ เราลองดูว่าสิ่งนี้เป็นความจริงหรือไม่อย่างไร ?

    สรรพสิ่งทั้งหลายประกอบไปด้วยความทุกข์ เราพิจารณาให้เห็นว่ามีความทุกข์ตามนั้นจริงหรือไม่ ?

    สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้
    เราก็มาพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้หรือไม่ ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,951
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,581
    ค่าพลัง:
    +26,420
    ถ้าหากว่าเห็นจริงตามนั้น ก็น้อมจิตน้อมใจยอมรับ ถ้าเป็นเช่นนั้น กำลังใจของท่านก็เข้าใกล้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้าไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าสมาธิทรงตัว เรามีความสุขสงบจากการที่ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ เราก็เห็นคุณในศีล ในสมาธิ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ เริ่มที่จะทราบว่า คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

    เมื่อมีปัญญามองเห็นความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง สรรพสิ่งเป็นทุกข์ สรรพสิ่งไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาให้ยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าท่านทั้งหลายเห็นจริงแล้ว สภาพจิตคลายจากการยึดมั่นถือมั่น ถอนตนออกจากการต้องการร่างกายนี้ ถอนตนออกจากการปรารถนาการเกิดอีก ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะถอยห่างจากวัฏสงสารเหล่านี้ออกไป ใกล้ไกลตามวาสนาบารมีที่ท่านได้สั่งสมมา หรือว่าก้าวพ้นห้วงวัฏสงสารนี้ เข้าสู่พระนิพพานได้ นั่นก็จะเป็นเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรมของเรา

    ดังนั้น..การใช้ปัญญานั้น ส่วนหนึ่งต้องมองเห็นคุณพระศรีรัตนตรัยอย่างแท้จริง ว่าป้องกันเราไม่ให้ตกในที่ชั่วอย่างไร ? สามารถชำระใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลสได้อย่างไร ? ความเคารพเลื่อมใสของเราก็จะมีมากขึ้นไปตามลำดับ ท้ายที่สุด "ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี" เราก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...