เคล็ดลับ วิชาดูจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 15 พฤศจิกายน 2005.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    [​IMG]


    บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม



    (ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)

    ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน

    ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า

    "จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ" ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 107 Track 7.mp3
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      1,006
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กุมภาพันธ์ 2008
  2. Mood

    Mood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +230
    ขอบคุณมากครับ
     
  3. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    โมทนาครับ
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อนุโมทนาครับ...
    พลังในการต่อสู้กิเลส คือสติและปัญญา ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2005
  5. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    ซาบซึ้ง...... อ่านแล้วเกิดปิติครับ...... อนุโมทนาด้วยครับ
     
  6. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2005
  7. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    หลวงปู่ดูลย์

    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    (เห็นว่าจิตที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ทำให้หลงไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้าย)
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    (เห็นว่าจิตที่ไปจมแช่กับอารมณ์ด้วยความยินดียินร้ายเป็นทุกข์)
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    (เห็นจิตที่เป็นทุกข์ เห็นสมุทัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จึงมีความเพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เพราะเห็นแล้วว่าเป็นสภาพที่พ้นจากทุกข์ได้)
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
    (เมื่อ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลางได้ ก็ย่อมที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เราไปพยายามแยกผู้รู้ให้ออกจากอารมณ์ เราเพียงแต่เพียรที่จะ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง จนจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง)

    อย่าส่งจิตออกนอก

    จิตคิด จิตถูกทำลาย
    ((เมื่อ)จิตคิด จิต(รู้ก็)ถูกทำลาย บรรดานักคิดทั้งหลาย ถ้าเข้าใจตนเองได้ว่า ตนกำลังฝันทั้งที่ลืมตาตื่น ตนกำลังหลงอยู่ในโลกของความคิด เพียงรู้ทันเท่านี้ ก็รู้แล้ว และเมื่อรู้แล้วก็อย่าหลงไปคิดต่อไปอีก ว่า "รู้เป็นอย่างไร ที่รู้นี้ถูกหรือไม่ถูก" เพราะจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดในทันที คือหลงเข้าไปในโลกของความคิดอีกรอบหนึ่ง)
    (ความคิดนั้น มันเกิดอยู่เสมอ เหมือนลมหายใจนั่นเอง ห้ามไม่ได้ การปฏิบัติก็ไม่ได้มุ่งให้ดับความคิด เอาแค่ว่า พอรู้อารมณ์แล้วจิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ก็ให้รู้ทัน อย่าให้ฝันทั้งที่ตื่น คือหลงคิดไปโดยไม่รู้ตัว เท่านี้ก็พอครับ อย่าไปพยายามดับความคิดเข้าเชียวครับ จิตจะยิ่งฟุ้งซ่านหนักกว่าเก่าอีก และอันที่จริง เราก็ต้องอาศัยความคิดเหมือนกัน ในการอบรมสั่งสอนจิต เป็นบางครั้งบางคราว เวลามันดื้อมากๆ)

    "จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิตนี้คือ พุทธะ นั่นเอง"

    "จิตหนึ่งนั่นแหละคือพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งคิดฝันไปต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือกพุทธะ"

    "การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะ ซึ่งมีตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นั่นแหละคือ พุทธะ ที่แท้จริง"

    "จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่องดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง"

    "เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ถ้าไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิต นี้ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของพวกเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง"
    http://se-ed.net/yogavacara/dule.html
     
  8. ดวงแก้ว

    ดวงแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +259
    สาธุ อนุโมทนากับดวงตาที่เห็นธรรมของผู้ปฏิบัติ
     
  9. mido

    mido Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +71
    อนุโมทนาครับ
     
  10. หมูตุ้ย

    หมูตุ้ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +104
    อนุโมทนาครับ
     
  11. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    อนุโมทนาครับ
    อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งในใจครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2005
  12. Nukool

    Nukool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ขออนุโมทนาครับ
     
  13. K.Sup

    K.Sup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +39
    อนุโมทนาด้วยครับ
     
  14. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้อมูลเพิ่มเติม
    http://www.geocities.com/tmchote/Thumma/General/gn001.htm

    ขันธ์ 5

    สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน (ดูแผนผังด้านล่างประกอบ) คือ

    1.) ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
    ซึ่งรวมเรียกว่ารูปขันธ์ (ขันธ์ = กอง หมวด หมู่)

    2.) ส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด และความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ แยกได้ 4 ชนิดคือ


    2.1) เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรืออทุกขมสุขเวทนา(เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์)

    2.2) สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)

    2.3) สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง

    2.4) วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ
    ตั้งแต่ ข้อ 2.1 จนถึงข้อ 2.3 และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย

    3.) นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
    หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย
    นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน)
    นิ = พ้น
    วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ ตัณหาคือความทะยานอยาก และอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
    นิวาน หรือนิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง

    สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย

    1.) รูปขันธ์
    2.) เวทนาขันธ์
    3.) สัญญาขันธ์
    4.) สังขารขันธ์
    5.) วิญญาณขันธ์

    โดยที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์รวมเรียกว่าเจตสิก ซึ่งแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ (ในภาษาบาลีนั้นสระ อิ กับสระ เอ ใช้แทนกันได้ เจต จึงเท่ากับ จิต นั่นเอง) คือจิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่นเท่านั้นเอง

    ธัมมโชติ
    21 พฤศจิกายน 2543
     
  15. boonta

    boonta Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +64
    ดีครับ มีแบบนี้อีกไหมครับ
     
  16. EvilWit

    EvilWit สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
     
  17. T D-Da

    T D-Da เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +286
    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ขอให้ทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรมในชาตินี้ค่ะ
     
  18. fantasy

    fantasy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +27
    ขออนุโมทนาครับ ได้รับความรู้ได้ดียิ่ง ฟังแล้วขนลุกเลย ซาบซึ้งมาก ขอบคุณครับ ที่เผยแพร่
     
  19. omega

    omega เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +440
    โมทนาครับ

    โมทนาครับ ได้ความรู้ดีๆอีกแล้ว ซักวันเราจะตามรู้เท่าทันจิตให้ได้
     
  20. xlmen

    xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    สาธุธรรมทานเป็นประโยชน์มากครับ

    ประโยคที่บอกว่าตามเห็นจิตรู้จิตเข้าไปเมื่อถึงจุดนึงจะเกิดนิมิตรวมตัวเป็นดวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ ถ้าในทางพระไตรปิฏกก็จะหมายถึง อัปปนาสมาธิครับ คำว่าอัปปนาหมายถึง สมาธิแนบแน่นเป็นดวงครับ เมื่อจิตหยุดปรุงแต่ง หยุดเคลื่อนที่ หยุดส่งกระแสไปในทวารกาย ทวารวาจา ทวารใจจะเกิดการหยุดนิ่งปราศจากความปรุงแต่ง ถ้าคิดหยุดคิด แสดงว่าจิตไม่หยุดคิด ปล่อยวางและมีสติไปเรื่อย ๆ เมื่อจิตหยุดวิ่งในทวารต่าง ๆ แล้วนั่นแหละจะเห็นจิตเป็นดวงคล้ายดวงอาทิตย์ไม่ใช่วิปัสนูกิเลสครับ
    วิธีสังเกตวิปัสสนูกิเลสคือ โอภาสหรือนิมิตจะไม่มีช่องทางหรืออายตนะภายในเชื่อมต่อกับจิต แต่ถ้าเป็นจิตที่รวมกันเป็นดวงจะมีอายนะภายในที่สามารถเชื่อมต่ออายตนะภายนอกได้ครับ ว่าง่าย ๆ ก็คือพระอรหันต์มีความรู้สึกร้อนหนาวอ่อนแข็ง เป็นสุขหรือทุกข์ด้วยกาย แต่ไม่ถึงใจเพราะท่านตัดขาดความยินดีหรือไม่ยินดีจากอายตนะภายนอกครับ
    ถ้าปฏิบัติเห็นจิตเดิมแท้ เหมือนที่พระอาจารย์มั่นท่านเรียก ดวงพุทโธ แล้วกลับคิดว่าเป็นวิปัสนูกิเลส ระวังการฝึกสมาธิจะกลายเป็นการฝึกเพื่อความเป็นพรหม หรืออรูปพรหมนะครับ
    ข้อสังเกตว่าหนทางที่ฝึกอยู่นี้ใช่ความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลสหรือไม่ก็คือ กิเลสในตัวเรานี้หมดไปมากน้อยเพียงใด หมดแบบชั่วคราวหรือถาวร ความไม่รู้คืออวิชชายังมีอยู่หรือไม่ เช่น ถามว่าพรุ่งนี้เราจะตายไหม ถ้าจิตเดิมแท้ที่เราคิดว่าเข้าถึงแล้วไม่สามารถตอบได้ขอให้พึงรู้เถอะครับว่าอวิชชายังไม่ดับ ความไม่รู้อดีต ไม่รู้ในปัจจุบัน ไม่รู้แม้ในอนาคตที่กำลังจะมาถึง เรียกว่า "อวิชชา" การบรรลุเพื่อความเป็นอรหัตผลนั้นจะต้องรู้แจ้งโลกครับถ้าง่ายเพียงคิดเดาพระพุทธเจ้าท่านคงไม่วิเศษขนาดนี้แน่นอนครับขอความเจริญในธรรมจงบังเกิดแก่พุทธบริษัททุกคนครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...