ทั้งที่รักมาก แต่ทำไมถึงได้ชวนทะเลาะอยู่เรื่อย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย SuraTae, 5 พฤศจิกายน 2008.

  1. SuraTae

    SuraTae สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    เคยเห็นคู่รักหลายราย(หรือแม้แต่ผู้เขียนเองที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์แห่งความรัก) ทั้งๆ ที่ต่างก็รักกัน แต่ทำไมต่างฝ่ายถึงได้ชวนทะเลาะกันอยู่ หลายครั้งที่ใส่อารมณ์ราวกับว่าต้องการให้อีกฝ่ายย่อยยับไปกับตา แต่พอเหตุการณ์นี้ผ่านไปก็กลับมาสำนึก หลายคู่เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ต่างต้องเลิกร้างกันไป หลายคู่ต้องมีรอยร้าวในจิตใจจนไม่อาจจะประสานกลับคืน เป็นเวรกรรมต่อกัน ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอ รักให้เป็นนั้นยากเหลือเกิน...
    ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับสำหรับกระทู้ เพราะผู้เขียนรู้สึกอึดอัดกับความทุกข์ของตนเองจึงได้โพสต์ / แต้
     
  2. กระติ๊บ

    กระติ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    672
    ค่าพลัง:
    +939
    เราก็เป็นอีกคนนึง ที่คนรักชอบพูดจากระทบกระเทียบ ประชดประชัน บ่อยๆ
    เข้าใจถึงหัวอกของคุณดีค่ะ สำหรับคำแนะนำ เราจะแนะในแบบที่เรากำลังทำอยู่
    คือ เจริญ พรหมวิหาร 4 ให้มากๆ พรหมวิหาร 4 ก็คือ
    1. เมตตา คือ ความรัก
    2.กรุณา คือ ความสงสาร
    3.มุฑิตา คือ พยายามหาทางให้คนที่เรารักพ้นจากทุกข์
    4.อุเบกขา คือ วางเฉย เมื่อเราหาทางให้แล้วเค้าไม่เชื่อก็ต้องวางเฉยไปก่อน

    เมื่อถูกพูดจา กระทบกระเทียบ ให้นึกถึงความรักที่เรามีต่อเค้าก่อน ต่อจากนั้นก็นึกสงสาร เค้าคงมีเรื่องทุกข์ใจเลยแสดงออกทางคำพูด หาทางให้เค้าพ้นจากทุกข์โดยการพูดตอบกลับไปดีๆ ให้ไพเราะ ไม่ก็ปลอบเค้า ถามถึงเหตุแห่งทุกข์ในนั้น หากเค้ายังไม่เลิกพูด ก็วางเฉยและเดินหนีไปดีกว่า หากเค้าอารมณ์ดี ค่อยมาพูดกับเค้าใหม่

    นี่แหละค่ะ วิธี...จากประสบการณ์ของตัวเอง ถือว่าประสบความสำเร็จส่วนนึง
    แน่นอนทุกคนย่อมอยากให้ใครมาพูดดีๆด้วย หากเค้าไม่พูดดีๆ เราก็เป็นฝ่ายพูดดีก่อนจะเป็นไรไป เป็นการฝึกขันติ คือความอดทนด้วย ถือซะว่าเค้าเป็นครูผู้ฝึกเราให้มีความอดทน

    โชคดีนะคะ
     
  3. SuraTae

    SuraTae สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณมากครับคุณกระติ๊บสำหรับข้อแนะนำที่ดี
    เรื่องนี้ผมก็มีส่วนก่อวจีกรรมไม่ดีครับ(ผิดที่โกรธตอบอย่างแรง อย่างขาดสติ)
    สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ นานา ก็ขุดคุ้ยกันขึ้นมาสาดเสียเทเสีย
    ทั้งที่คิดว่าจริงและไม่จริง เป็นไฟเผาผลาญใจ ชนิดที่ว่า
    จะต้องทำให้เธอเสียใจและสำนึกในความเสียใจ ต่อหน้าต่อตาเรา
    ..........
    ต้องก้มหน้ารับกรรมที่ได้ทำไว้แล้วครับ
    ทั้งๆ ที่รู้ว่าการมีสติรู้นั้นสำคัญ ทั้งๆ ที่พยายามตัดนิสัยแย่ๆ
    หลายอย่างของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังแพ้กับไฟโทสะ / แต้
     
  4. praw@ti

    praw@ti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +347
    ผมก็เป็นอีกคนนึง...แต่ในเมื่อเค้าเป็นคู่เราแล้วและมีลูกด้วยกัน....มีสองคำครับ.....อดทนและอดทน....ไม่มีวันสิ้นสุดครับเพื่อครอบครัวและลูกๆ
     
  5. SuraTae

    SuraTae สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    ตอนนี้ได้แต่เฝ้าระวังความรู้สึกและสติของตัวเอง คอยตามรู้ ไม่ปล่อยให้ความเสียใจกับสิ่งผิด ที่ได้ระเบิดอารมณ์นั้นขึ้นมาเกาะกุมจิตใจให้ตกต่ำ และจ่อมจมอยู่กับความสำนึกผิด เราไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดได้ แต่เราต้องไม่ทำผิดซ้ำสองซ้าสาม แค่อยากแชร์ให้เพื่อนสมาชิกได้เห็นว่าดอกผลของความโกรธนั้นลงโทษเราได้เจ็บแสบยิ่งนัก ไม่แพ้ตอนที่กำลังโกรธเลย หวังว่าตัวอย่างจากกระทู้เล็กๆ นี้จะช่วยให้เพื่อนสมาชิกได้ระลึก เมื่อความโกรธมาเยือนท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามครับ / แต้
     
  6. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    ตามมาอ่านค่ะ^_^
     
  7. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่

    คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

    หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่า คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

    มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

    ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ ปัจจุบันประกอบกัน

    ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

    ๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

    ๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นใน กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

    ๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

    ๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

    หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

    และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้


    แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

    จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น อย่างน้อยที่สุดคือร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ

    ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ ประการแรกคือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้

    มองด้วยข้อสรุปนี้ คู่บุญตัวจริงก็คือคนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน รวมทั้งมีศรัทธาไปในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ ประเภทใส่บาตรครั้งสองครั้ง อาจมีผลให้เกิดความรู้สึกปิ๊งๆบ้าง แต่จะไม่มีเหตุปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ได้พบกันบ่อยๆ ได้เกื้อกูลกันโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวางอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆ ว่าต้องสร้างปัจจัยใหม่กันเหนื่อยพอดูครับ
     
  8. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น

    ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่

    "บุพเพสันนิวาส" ตามความหมายอันแท้จริง จะต้องเคยครองคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันแล้วสุขสมด้วยกันมาก่อน มีลูกให้ช่วยกันเลี้ยงดูด้วยกันมาก่อน มีความจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสำคัญอย่างสูงคือเคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกันมาก่อน
    (จะทำบุญร่วมกันในศาสนาไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ลัทธิความเชื่ออันนำไปสู่อบาย แต่การทำบุญร่วมกันในพุทธเขต มีกำลัง มีความสว่างสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด)

    ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศล ดังเดิมอีกด้วย

    แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง

    การที่มีอัตภาพได้มาเจอกันแล้วรู้สึกดี ก็ถือว่าเป็นบุญเก่าที่ให้ผลเป็นกุศลวิบากอยู่แล้ว นั่นเป็นของในอดีตล้วนๆ นับแต่วินาทีแรกที่พบกัน แม้ว่าวิบากเก่าอาจจะยังให้ผลไม่หมดสิ้น มีแรงหนุนให้อยากคบหา หรือมีความหนุนเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ปัจจัยประกอบดีๆ ก็ต้องถือว่าทั้งสองต้องเลือกเอาเอง กำหนดเอาเอง ว่าจะทำปัจจุบันให้เป็นอย่างไร ถางทางอนาคตให้ดีร้ายแค่ไหน

    จะเลี้ยงความรู้สึกดีต่อกันไว้ได้นั้น บุญเก่าอาจมีส่วนในแง่ของการเอื้อปัจจัย แต่ไม่ได้เป็นประกันชัดเจนเหมือนบุญใหม่แน่นอน

    คนสองคนที่สร้างบุญมาด้วยกันหากชาติใกล้ชักชวนกันทำทานเป็นงานอดิเรก ต่างฝ่ายต่างก็ได้แดนเกิดร่ำรวยไม่ขัดสน พอมาเจอกัน คบกัน อยู่ด้วยกันไม่ทันไร อยากทำธุรกิจค้าขาย ก็อาจรวยไม่รู้เรื่อง

    หากชาติใกล้เตือนกันและกันตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างมีรูปร่างหน้าตาต้องใจเพศตรงข้าม พอมาเจอกัน ก็เอ็นดูเสน่หา หลงใหลในกันและกันรุนแรง ชนิดที่ใครอื่นหมื่นแสนก็ทำให้หลงไม่ได้เท่า

    หากชาติใกล้อาจจูงมือกันเข้าวัดเข้าวา ฝึกภาวนาให้เกิดความตั้งมั่นทางจิตใจ เจริญปัญญาให้แก่กล้าหวังความหลุดพ้นในที่สุดด้วยกัน ตั้งความปรารถนาว่าจะพบเพื่อเกื้อกูลกันให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ขวางกันและกันในเส้นทางมรรคผล พอมาเจอกัน ก็เกิดความผ่องใส เย็นรื่น แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆก็อาจเป็นแรงสะกิดอีกฝ่ายให้สงบลงจากทุกข์ และโน้มน้าวกันให้ใฝ่แต่เรื่องแสนดี งดงาม ไม่เป็นที่ระคายต่อกัน เจอพระสงฆ์องค์เจ้าก็แต่ที่ดีๆ ไม่ลุ่มหลงประเภทพาญาติโยมลงเหว

    มีคู่รักหลายคู่ ที่ทำบุญมาด้วยกันแค่ระดับทาน อาจรวยร่วมกัน เจอกันยิ่งรวยมหารวยเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ปัญญาที่จะประคองรักร่วมกันอาจขาดไป ได้กันแล้วก็เบื่อกัน ไม่ต่างกับเสพสมบัติชนิดอื่นๆ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจมักมากในกามจนต้องออกไปเลอะเทอะข้างนอก และคนมีเงินนั้น ผิดศีลได้มากข้อนัก คงไม่ต้องขยายความ

    มีคู่รักอีกหลายคู่ ที่ชวนกันรักษาศีลมาก่อน จะโกหกนั้นไม่เอา บี้มดตบยุงก็ไม่ยอม แต่ขาดทานบารมีร่วมกันมา ชวนกันอดออม ชวนกันตระหนี่เสียมาก เพราะไม่รู้ค่าของทาน ไม่เชื่อผลของทาน เกิดมาเจอกันอาจจะรักกันดูดดื่มปานจะกลืน เพราะรูปสวยด้วยกันทั้งคู่ แต่ขอโทษ ต้องกัดก้อนเกลือกินจนตาย ถึงสัญญาเก่าที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ของศีลจะดึงรั้งไม่ให้นอกใจกัน ก็อยู่ร่วมกันอย่างอัตคัดขัดสน ผอมแห้งแรงน้อย เจ็บออดๆแอดๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายกันและกันอันเนื่องจากความเป็นอยู่ได้อีก

    โดยความไม่สมบูรณ์ของ ทาน ศีล ภาวนา ที่บำเพ็ญมาร่วมกัน คู่รักที่เป็นปุถุชนทั่วไปจึงมักขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงตามวิถีทางธรรมชาติ ให้มั่นคงในรักต่อกัน หรือให้มีความสุขสดชื่นบำรุงจิตใจกันและกัน ฉะนั้นถ้าหากอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีปัจจัยปรุงแต่งชนิดที่เป็นกุศล หล่อเลี้ยงให้เกิดความชุ่มชื่นใหม่ๆ ทวีขึ้นทุกๆวัน ก็เป็นธรรมดาที่ความรักจะโรยราลงตามธรรมชาติใจที่เบื่อหน่ายของเก่าซ้ำซากจำ เจ
     
  9. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักกันว่าบุญกรรมที่มีกำลังส่งผลสูงสุด
    มีอิทธิพลดีร้าย และเป็นตัวจัดสรร เลือกคู่ครองให้เราอย่างแท้จริง
    ได้แก่กรรมทางกาย วาจา ใจที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "นิสัยใจคอ" นั่นเอง
    นิสัยคือพฤติกรรม หรือการกระทำที่สั่งสมจนเกิดความเคยชิน
    และนั่นก็ตรงกับศัพท์บัญญัติทางพุทธคือ อาจิณณกรรม

    เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่หรือคู่แท้ สังสารสัตว์ที่มาจับคู่กันนั้น
    ไม่ใช่มีใครดลบันดาล ไม่ใช่มีฐานะคู่กันโดยเดิม
    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยกรรมสัมพันธ์ทั้งสิ้น

    วิธีที่จะเจอคนจริงใจกับเรา ไม่ว่าในด้านความรักหรือธุรกิจ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ทำนองเดียวกับที่ไม่มีใครงมเข็มในมหาสมุทรเจอโดยปราศจากเครื่องช่วย ซึ่งในที่นี้ก็คือกรรมนั่นแหละ คุณต้องเข้าใจหลักกรรมข้อหนึ่ง คือ เมื่อให้สิ่งใดย่อมไม่สูญเปล่า ต้องมีการสะท้อนตอบเป็นการได้รับสิ่งนั้นคืนมาเสมอ ฉะนั้น หากตอนนี้อยู่ในช่วงรับความไม่จริงใจซึ่งเราเคยทำไว้กับใครมาก่อนก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ขอให้สร้างเหตุ สร้างเครื่องช่วยให้เราไปพบกับคนจริงใจในกาลข้างหน้า คือพยายามจริงใจกับคนอื่นโดยไม่ย่อท้อ ก็แล้วกัน

    ชีวิตคู่จะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลวใช่ว่าเกิดจากการสำคัญถูกหรือ สำคัญผิดในเบื้องต้น ที่ว่าใช่แน่เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเป็นใบข่อย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่ว่าเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด วันหนึ่งหมาวัดกลายเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองก็มีให้เห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันมาก นานไปก็อาจรักกันน้อยลง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันน้อย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติกรรมปัจจุบันมาเป็นแนวโน้มพอได้ แต่ไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก

    คู่ที่แตกต่างกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเข้าหากันในช่วงแรก แต่อาจไม่ใช่อย่างที่แม่เหล็กรักความเป็นขั้วตรงข้ามได้ตลอดเวลา การอยู่กินร่วมกันในระยะยาวต้องการอะไรบางอย่างชวนใจให้อยู่ใกล้กันทุกวัน ได้โดยไม่อึดอัด ถ้าต่างคนต่างอยากทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วลืมเลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน หรือมุมไหนของบ้าน วันหนึ่งก็กลายเป็นความห่างเหินโดยปริยาย

    ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆ ขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากันได้สนิทจริงหรือไม่

    ตรงนี้น่าคิดว่าถึงจะเคยร่วมบุญกันมา ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย แม้มีเวลากระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด

    เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

    สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง ผลัดเปลี่ยนเวียนจับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคู่แท้ถาวรมิได้? ...

    ในเมื่อยังต้องติดอยู่กับความรักประจำโลก ก็ควรเป็นความรักที่เกื้อกูลกันและกันด้วยธรรมะ อยู่ร่วมกันด้วยกระแสบุญกุศล

    หากผูกพันกับใครด้วยกระแสบุญมากกว่ากระแสบาป ก็มักได้เป็นตัวจริงของเขาหรือเธอในที่สุด

    Credit : http://www.sk-hospital.com/skmessage/viewtopic.php?t=4069
     
  10. ลิงเมืองละโว้

    ลิงเมืองละโว้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    709
    ค่าพลัง:
    +1,521
    คู่ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกันเป็นเช่นนี้บ่อย ทะเลาะกันบ่อยจริงๆ ข้าพเจ้าเองนิ่งๆ อดทน
    ปล่อยให้สงบก่อนแล้วคุยด้วยเหตุผลและก็จะบอกเค้าว่า โทสะ อยู่นะ เพื่อให้รู้ตัว
    เพราะผมเองชวนเค้าปฏิบัติ ชวนทำบุญ ทำให้เวลาทะเลาะ ถ้าเตือนกันก็จะเบา่ลงไป
    ลองให้คู่ของคุณอ่านเกี่ยวหนังสือธรรมะดู ชวนเค้า
    ปล. ตอนคบกัน ผมบอกว่าผมธรรมะธรรมโม คุณต้องเข้าหาธรรมะด้วยกันนะ เลยแฮปปี้ทุกวันนี้
     
  11. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ผมขอตอบสรุปเลยนะครับ

    หากท่านครองคู่กันแล้วเจริญพรหมวิหารในการครองคู่
    หรือจะดูความเสมอกันของ ศรัทธา-ศีล-ทาน-ปัญญา หรือ ขันติ-อดทน อยู่่ก็เหมือนกันหมดครับ

    มันมีเจริญก็มีเสื่อม

    ไม่ต้องมาเจริญอะไร เพราะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา
    ทั้ง พรหมวิหารธรรม ทั้งธรรมในการครองคู่ ทั้งขันติ เป็นอนิจจังหมด เป็นอนัตตาเหมือนกันหมด คือ

    หากมีการเจริญก็มี ผู้มาคอยเจริญคอยเสื่อม
    มีผู้มาอดทน ก็มีผู้มาคอยอดทน มาทุกข์อยู่ดี


    ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงอยู่แล้ว อารมณ์ก็ไม่เที่ยง คนก็ไม่เที่ยง ชีวิตก็ไม่เที่ยง
    ความรักก็ไม่เที่ยง ความเกลียดก็ไม่เที่ยง ความโกรธก็ไม่เที่ยง

    ทั้งหลายนี้มีค่าเท่ากันคือไม่เที่ยงเหมือนกันหมด

    หากท่านจะ ครองคู่ให้ไม่ทุกข์ เข้าใจให้ตรงต่อสัจจะธรรมของพุทธองค์ไว้

    ท่านก็จะไม่ต้องทุกข์ ในการอดทน ในการเจริญ ในการตั้งใจ ระวังใจ

    ทั้งหลายนี้มันยังมีการตั้งอยู่ในใจ ในตัวตน ตนเองอยู่

    ฟันธงลงไปตรง ๆ เลยว่า มันไม่ใช่อะไรอยู่แล้วอย่างจิต

    โกรธก็ไม่ใช่ ไม่โกรธก็ไม่ใช่ อดทนก็ไม่ใช่ ไม่อดทนก็ไม่ใช่

    มันจะได้ไม่ไปตอกย้ำในตัวตนให้ทุกข์กันหนักเข้าไปอีก

    ที่ท่านทุกข์เพราะท่านไปเจริญในตัวตน ตอกย้ำในความยึดมั่น

    ซึ่งบทสรุปของสมุทัย คือ ความยึดมั่น

    หากท่านไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ นี้สรุปธรรมกันแล้วทีเดียว

    ตอบหมดทุกปัญหา แก้หมดทุกกระบวนการ คือ เข้าใจให้ตรงว่ามันไม่ยึดกันอยู่แล้ว
    มันไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อนิจจัง อนัตตาหมดแล้วก็จบกันแต่เพียงเท่านี้ และเท่านี้จริง ๆ จบจริง
    ไม่ใช่จบไม่จริง มีมาเจริญ มาเสื่อม มาตั้งใจ วางใจให้ตรงต่อธรรมกันอีก จนกลายเป็นกิเลสในธรรมไป

    หนีพฤติกรรมหยาบ ๆ แบบโลก มายึดติด ในพฤติกรรมละเอียด ๆ แบบธรรมอยู่อีก มันก็พอกัน ไม่จบสักที

    นี้ให้จบจริง คือ มันไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อนิจจังหมด อนัตตาเหมือนกันหมด นี่หมดความหมายไร้ความแตกต่าง นิพพานอยู่แล้วทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2008
  12. sapmoden

    sapmoden สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +12
    มันไม่เที่ยงจริงๆ
     
  13. ^_HaPpY_^

    ^_HaPpY_^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +29
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ

    ช่วยกันพัฒนาดวงจิตดวงน้อยๆต่อไปนะคะ อะไรไม่ดีก็คอยเตือน อย่าแรงตอบค่ะ เพราะจะสร้างรอยร้าวฝังลึกในใจค่ะ

    สู้ๆๆๆนะ

    ^^
     
  14. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width=700 border=0><TBODY><TR><TD align=middle>รักมีคำเดียว ....แต่มีความหมายมากมาย</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>

    <TABLE width=690 align=center border=0><TBODY><TR><TD>คิดจากความว่าง ๒ โดย ดังตฤณ

    อาการทางจิตของคนมีรัก

    อาการทางกายใดบ้างเป็นสัญญาณว่ากำลังมีรัก? คำถามแบบนี้อาจชวนให้คุณสังเกตพฤติกรรมภายนอกของคนอื่น เช่นเห็นเขานั่งเหม่อลอย แม้ในเวลาสมควรตั้งใจมีสมาธิฟังครูสอน หรือฟังนายสั่ง

    แต่เมื่อถามเจาะจงลงไปว่าเป็น
     
  15. Nud

    Nud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +555
    ฮิๆเราก็เป็นเหมือน จขกท เลยค่ะ แทบคุยกันไม่ได้เลย ยามร้อนนี้ร้อนใส่กันเลยค่ะ ไม่มีใครยอมใคร ยามดีนี้ดีจนขนลุก ยามเขาโกรธนะบางครั้งสามีเรายังพูดเลยว่า ถ้าเราเป็นผู้ชายนะจะท้าต่อยกันเลย ฮิๆ โชคดีที่เราเป็นผู้หญิงก็เลยรอดตัวโดนทำร้ายไป แต่เราก็มีวิธีแก้นะ บางครั้งถ้าเขาอารมณ์เสีย เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หรือไม่ฟังปล่อยๆเขาบ่นไป เหนื่อยแล้วเดียวหยุดเอง ถ้าไม่หยุด เรามีวิธีแก้ค่ะไปเอาถุงนวม(สำหรับต่อยมวย เราซื้อไว้ซ่อมต่อยมวยเล่นๆเพื่อออกกำลังกายค่ะ) มาสองคู่โยนให้เขาใส่ เราใส่ด้วยบอกเขาว่า เรามาต่อยกันจะได้หายแค้น หายโมโห แค่เขาเห็นเราโยนถุงนวมให้เขาใส่ เขาก็หัวเราะแล้ว ขำที่เรามาท้าต่อย เราก็ต่อยกันนะ แต่ไม่จริงจังหรอก ต่อยแก้แค้นเล่นๆ ต่อยไปก็หัวเราะกันไป ลูกก็เป็นกรรมการให้อีกต่างหากค่ะ
    เราต่อยชนะทุกทีฮิๆ;aa24
     
  16. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เพราะรักมาก แต่รักไม่เป็นนะสิครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...