รบกวน ถามเรื่องเวลาในสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lg786ls, 7 ธันวาคม 2008.

  1. lg786ls

    lg786ls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +9
    ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้รบกวนทุกท่าน หลังจากที่ได้คำตอบ
    จากครั้งแรกเอาไปปฏิบัติ หลังจากนั้นก็มีเหตุให้สงสัยอีกแล้วครับ
    1 สภาวะที่อยู่ในสมาธิ (นั่งสมาธิ) แล้วเห็นว่าความมีสมาธิในขณะหลับตา
    และความไม่มีสมาธิในขณะหลับตา จะเหมือนกันกับ ตอนที่ลืมตา เลยทำให้เข้าใจว่า
    สมาธินั้นไม่ขึ้นอยู่กับอริยาบทใดบทหนึ่ง (ผมคิอย่างนี้ถูกไหมครับ)
    2 วันถัดมา (นั่งสมาธิ) จะเห็นในความไม่มีอะไรในร่างกาย เหลือแต่
    ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
    3 วันถัดมา (นั่งสมาธิ) จะเหมือนข้อ 2 แต่ครั้งนี้มีเสียงเพลงมารบกวน
    จิตมันพิจรานาไปเองเห็นความไม่ชอบใจในเสียงแล้วก็กลับมาอยู่ที่จิตอีก
    เลยรู้้ว่าจิตเข้าไปคว้าเอาเสียงนั้นมาพิจราณาว่าเสียงมันก็มีอยู่อย่างนั้น
    เราต่างหากที่มีความวุ่นวายกับมัน เลยปล่อยวางมันเสีย เกิดผลตามมาคือมี
    สมาธิที่ลึกเข้าไปอีก เหมือนกับว่าจับสมาธิขึ้นมาอีกชั้นแทนคำภวานา
    เมื่อออกจากสมาธิเห็นคนเดินแต่จิตมันไม่ตัดสินใจว่าเป็นคน เป็นอะไรสักอย่างรวมถึงตัวเองด้วย
    4 อันนี้ที่ทำให้งงครับ ในขณะที่จิต พิจจราณาในสิ่งที่เรียกว่าสงบอยู่นั้น
    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เริ่มจะเห็นลมหมายกลับมาอีกจึงพิจรณาไปตามนั้น ก็เกิด
    ความรู้ว่า เวลาเริ่มเดินทันทีในขณะที่เริ่มรับรู้อารมฌ์
    ซึ่งในขณะที่ตามรู้อยู่ในสมาธิ (ตามอารมฌ์ในสมาธิ) ในช่วงนั้นจะมีแต่ปัจจุบันไม่มีเวลาเกิดขึ้น
    และเมื่อใดก็ตามที่พิจรณาไม่ทันจะเกิดความหลงเข้าไปกับสิ่งนั้นทำให้มีเวลา
    เกิดขึ้นมา

    ผมอยากจะถามว่าข้อ 4 (หรือข้ออื่นๆ) ผมพิจรณาได้ถูกต้องหรือไม่ครับ
    ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะถามใครกลัวจะไปผิดทางครับ
     
  2. lg786ls

    lg786ls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอโทษทีครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
    ข้อ3 ผมหมายถึงว่าเมื่อได้ยินเสียงก็กลับมาพิจรณาที่เคยกำหมดอยู่ในครั้งแรก
    แล้วจิตมันเข้าสมาธิซ้อนเข้าไปอีกชั้นครับ
    ข้อ4 สงสังผมคงจะคิดไปเอง ผมหทานถึงเมื่อเข้าสมาธิถึงที่สุด จิตจะไม่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องใดๆจะรู้แต่ปัจจุบัน รวมถึงเวลาด้วยครับ
    สงสัยคงจะเป็นอย่างที่คุณ DarkCentre บอกทั้งหมดเป็นกริยาของใจ
    ขอบคุณมากๆครับ
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออนุญาติเสนอบ้าง เน้นมาทางปริยัติของพุทธศาสนา

    สมาธิ นั้นพิจารณาจากองค์ประกอบของเจตสิกครับ โดยมีเจตสิกอยู่ 5 ตัวใช้วัด
    ความลึกหรือระดับของสมาธิคือ 1.วิตก 2.วิจาร 3.ปิติ 4.สุข 5.เอกัคคตา ดังนั้น
    ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ หากมีองค์ประกอบของเจตสิกเหล่านี้ เรียกว่า ทำสมาธิอยู่ทั้ง
    นั้น เช่น เล็งปืนยิงคน ร้องเพลง เต้นรำ นั่งสมาธิเพื่อศึกษาจิต ภาวนาวิปัสสนา จะเห็น
    ว่า สมาธิ นั้นมีความเป็นกลางเป็นกุศลที่กลางๆ ถ้าผลิกเอาไปทำอกุศลจะมีผลมาก ถ้า
    ผลิกมาทำกุศลก็มีผลดียิ่งกว่า

    มีสมาธิอีกแบบที่เกิดขึ้นได้ เราเรียกกันว่าสุขวิปัสโก หรือ สุขาปฏิปทา คือ พวกที่คอย
    เจริญสติตามรู้ตามดูกิเลส นิวรณ์ จนกระทั่งกิเลส และนิวรณ์ถูกชำระไปเป็นจำนวนมาก
    ทำให้จิตเกิดปราศจากเจตสิกอกุศลพวก กิเลส และ นิวรณ์ ...จิตที่ปราศจากอกุศล
    เจตสิก ก็เรียกว่ามันมีสภาวะกุศล ....สภาวะที่จิตเป็นกุศลอยู่ ก็เรียกว่า เกิดสมาธิขึ้น

    สภาวะของสมาธิที่เกิดขึ้นแต่ตั้งมั่นในการรู้อยู่ที่กายที่ใจ ไม่เคลื่อนไปปรุงกเลส อุปทาน
    ตัณหา สังขาร ก็เรียกว่า เป็น สัมมาสมาธิ(โดยอนุโลม) ก็เช่น ที่คุณมีจิตตั้งมั่นเห็นคน
    เป็นเพียงวัตถุ ไม่เคลื่อนเข้าไปหมายว่านั่นคือคน เป็นต้น

    ...แต่ถ้าการตั้งมั่นในการรู้ เหมือนมันไม่เห็นกายตนด้วยอันนี้ใช้ไม่ได้ จิตมันเกาะอากาส
    อยู่ข้างหน้า มันรู้อยู่ในช่องว่างของอากาสในเบื้องหน้า เรียกว่าเป็น อากาสาวิญญาจนะ
    อย่าให้จิตมันอยู่ตรงนี้ จิตควรรู้อยู่ที่กายที่ใจตน โดยถ้าจิตมันเข้ามารู้ที่กายที่ใจตนมัน
    จะเห็นกายเราเป็นเพียงวัตถุอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ตนอยู่เนืองๆ ตรงนี้คือเรื่องทิฏฐิชุกรรม
    ต้องเห็นแบบนี้เนืองๆถึงจะมีประโยชน์ จิตถึงจะบริสุทธิ์ได้จริง แต่ถ้าปล่อยให้มันเกาะ
    อยู่ข้างหน้าแล้วไปพอใจ หรือ ทำการเห็นตรงนั้นเพิ่ม จะเสียหาย ภาวนาพลาดเป้า

    นี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งในการทำสมาธิ

    ทำถูกแล้วครับ เมื่อทำสมาธิโดยอาศัยการครอง ประครองอารมณ์ หรือ บริกรรม
    เมื่อทำจนจิตเคล้าเคลียร์อยู่แค่อารมณ์นั้นๆจนเป็นหนึ่ง สิ่งอื่นก็ถูกเผิกถอนความ
    สำคัญมั่นหมายไปโดยปริยาย เมื่อนั้นจะรู้สึกว่า ชีวิตนี้มีแต่องค์บริกรรมที่เป็นเนื้อ
    หาสาระของชีวิตทั้งหมด ทิฏฐิที่เคยครอบงำเราในการเห็นกายเนื้อว่าเป็นตัวตน
    ของเราจึงถูกเผิกถอนออกไป แล้วไปเห็นว่า สิ่งสำเนียกที่ทำอยู่ในองค์บริกรรม
    คือกายใหม่ กายทิพย์ก็เรียกกันไป แต่จริงๆก็คือ อุปทานตัวใหม่มาบดบังอุปทาน
    เดิมๆ แต่เพราะอุปทานเดิมถูกทำให้เห็นว่านั้นคืออุปทานเท่านั้น ตรงนี้จึงไปตรง
    กับการทำความเห็นตรง ทิฏฐิชุกรรม แต่คนไม่นิยมคำนี้ มักไปใช้ สัมมาทิฏฐิ
    แทนเพราะต้องการยึดหลักไมล์ว่าข้าได้ทำมรรคตามพุทธศาสนาอยู่ ก็...อย่างไร
    ก็ได้ทั้งนั้นครับ ข้อให้ทำความเห็นว่า การเห็นกายเนื้อเป็นตนนั้นมันคืออุปทาน
    ไว้เนืองๆแบบนี้เป็นใช้ได้ พอๆกับการทำอสุภะกรรมฐานแต่ดีกว่า เพราะถอนตรง
    รากตรงโคนมัน


    ตรงนี้คือการทำสมาธิที่ได้ผลดีมากทีเดียว ปรกติทำสมาธิ ถ้าไม่อยู่กับการเห็นกายใหม่
    ว่าเป็นองค์ปริกรรม(กายในกาย) ก็จะไปเห็นนิมิต(กายทิพย์ อาทิสมานกาย) แต่การเห็น
    เสียงของคุณแล้วเห็นว่าแท้จริง จิต มันเคลื่อนเขาไปจับ เข้าไปรู้ เข้าไปหมาย อันนี้ประ
    เสริฐกว่า เป็นการรู้ระดับวิญญาณขันธ์ จะเห็นเป็นการเคลื่อนของธาตุรู้(จิต) เข้าไปรู้รูป
    ปรมัตถ์(สี เสียง สัมผัส รสชาติ กลิ่น อารมณ์) หากรู้โดยไม่สงสัย จะมีคุณภาพในการรู้
    ยิ่งกว่านี้ จะเป็นการรู้ที่ดูไม่ออกว่ารู้อะไร เห็นแต่มันไหวๆ สว่างๆ เกิดดับๆ อยู่อย่างนั้น
    ถ้าพิจารณาการรู้ตรงนี้ไปเรื่อยๆ อีกโดยไม่ต้องสงสัยว่ารู้อะไรอยู่ ก็จะไปเห็นความเป็น
    จริงของอริยสัจจ คือ ตัวจิตมันคือตัวทุกขัง พอเห็นตรงนี้ได้ก็จะสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าความ
    สุขอย่างยิ่ง พอเห็นตรงนี้ก็จะได้ที่พึ่งอันเกษมทีเลิศกว่าพึ่งพิง อินทร์ พรหม ยม ยักษ์


    เป็นปรกติครับ เวลามีสติตั้งมั่นในการรู้อยู่ที่ระดับวิญญาณแล้ว เรื่องจะมารู้ลม
    หายใจเข้าออกนั้นมันจะถูกบดบังไป มันเป็นของหยาบที่เราไม่ได้ใส่ใจจะรู้ มันเลย
    เหมือนหายไป แต่จริงๆไม่ได้หายไป ก็คล้ายๆที่คุณทำสมาธิแล้วรู้สึกว่า กายมัน
    หายไปแล้วมีอย่าอื่นเป็นกายขึ้นมาแทน การรู้ที่ลึกไปกว่าระบวิญญาณคือการรู้
    ระดับเห็นจิตเกิดดับตามทวาร6 หรือแส่ส่ายออกมาตามอยานตนะ เช่น เห็นรูปคน
    แต่ยังไม่เคลื่อนไปจากการรู้รูปปรมัตถ์ จึงเหมือนเห็นอะไรที่ไม่ใช่คน เป็นเพียงรูป
    วัตถุที่ตัดกันด้วยแสงทำให้พอแยกรูปต่างๆออกจากกันได้ นี่คือ จิตรู้อยู่ทีอยานตนะ
    ของจักษุวิญญาณ

    ก็ให้ทำต่อไปครับ

    ส่วนเรื่องหยุดเวลานั้น อย่าไปทำความเข้าใจแบบนั้น อย่าไปคิดว่าเราหยุดการ
    หมุนของเวลา ของโลก โลกมันหมุนของมันเรื่อยๆแหละครับ เวลามันเปลี่ยนเสมอ
    นั่งๆไปเดี่ญวก็เช้า สาย บ่าย เย็นตามเรื่องของมัน

    แต่ที่รู้สึกว่า เวลามันหยุด มันหด มันสั้นลง นั่นเป็นเพราะกุศลกรรมที่คุณทำไว้ ณ
    การรับรู้อยู่ที่อยานตนะ หรือ วิญญาณ หากทำได้มากกว่านั้น คือไปรู้อยู่ที่เห็นสภาวะ
    เกิดดับ ตรงนั้นเรียกว่า ทำการระลึกชาติและล้างภพชาติอยู่ ถ้ามันไม่ดับ มันจะปรากฏ
    เป็นภาพ หรือ เสียง ที่ทำให้เราคล้อยตามจนรู้เรื่องว่าเห็นอะไร อันนั้นคือ ภพชาติ
    และอนุสัยที่สามารถชุดรั้งเราให้มีอนาคตได้ ทำให้มีเวลาในสังสารวัฏ แต่ถ้าเห็นแต่
    อะไรไม่รู้มันดับไป สังสารวัฏชาติภพของคุณกำลังจะสั้นลง จนเป็นกุศลพอที่จะเห็น
    สภาวะสุขอย่างยิ่ง(สิ้นภพชาติทั้งปวง)

    * * * *

    คำว่า รู้ในระดับวิญญาณ ไม่ได้แปลว่าเป็น ผี เป็นสัมพเวสี นะครับ หมายถึงอาการรู้
    ของจิตเท่านั้นเอง เช่นเรารู้รสเค็มก็เรียกว่าเรามีชิวหาวิญญาณ รับรู้รสได้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2008
  4. lg786ls

    lg786ls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆครับ จะตั้งใจปฏิบัติต่อไปจนกว่าจะหมดเวลาครับ
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ถ้าชอบแนว สมถะนำ แนะนำให้ฟังซีดีหลวงพ่อพุธฐานิโย ฟังให้จบก่อนค่อยลงมือทำนะ หรือจะฟังหลวงพ่อจรัญก็ได้
    เรียนรู้วิธีการให้เข้าใจก่อนจะได้ไม่หลงทางครับ...http://www.geocities.com/thaniyo/
     
  6. lg786ls

    lg786ls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +9
    เข้าใขแล้วครับที่คุณ wawa แนะนำ
    และที่คุณ วิษณุ12 บอกให้ฟังหลวงพ่อพุธนั้นผมใช้ฟังเพื่อเทียบสภาวะ
    อยู่เหมือนกันครับ แต่ถ้าอยู่นอกเหนือจากนี้ผมก็จะถามท่านอื่นๆครับ
    ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาที่เขียนว่า "วันถัดมา" ไม่ได้หมายถึงวันที่ติดต่อกันนะครับ
    แต่จะเอาเหตุการณ์ที่คิดว่าน่าจะมีผลกับการปฎิบัติเข้ามาถามครับ ต้องขอโทษครับ
    อาจจะทำให้หลายท่านเข้าใจผิดได้
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ฟังหลวงพ่อพุธครบ 20 แผ่นหรือเปล่าครับหรือฟังหมดแล้ว....ยินดีด้วยครับ
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอแสดงความคิดเห็นครับ....[quote=lg786ls;1716086]ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้รบกวนทุกท่าน หลังจากที่ได้คำตอบ
    จากครั้งแรกเอาไปปฏิบัติ หลังจากนั้นก็มีเหตุให้สงสัยอีกแล้วครับ
    1 สภาวะที่อยู่ในสมาธิ (นั่งสมาธิ) แล้วเห็นว่าความมีสมาธิในขณะหลับตา
    และความไม่มีสมาธิในขณะหลับตา จะเหมือนกันกับ ตอนที่ลืมตา เลยทำให้เข้าใจว่า
    สมาธินั้นไม่ขึ้นอยู่กับอริยาบทใดบทหนึ่ง (ผมคิอย่างนี้ถูกไหมครับ)ความคิดเห็น...ผมก็คิดแบบนั้น...อริยาบทไหนก้เป็นสมาธิได้ จะแตกต่างก้แต่ ประเภทของสมาธิเท่านั้น
    2 วันถัดมา (นั่งสมาธิ) จะเห็นในความไม่มีอะไรในร่างกาย เหลือแต่
    ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวความคิดเห็น...ไม่รู้ว่าความรู้สึกอะไรมั่งมีหลายอย่าง..เช่น รู้ถึงลมหายใจอย่างเดียว ..รู้ถึงแสงสว่าง มากน้อยแล้วแต่กำลังเพียงอย่างเดียว..รู้ถึงคำภาวนาอย่างเดียว...
    3 วันถัดมา (นั่งสมาธิ) จะเหมือนข้อ 2 แต่ครั้งนี้มีเสียงเพลงมารบกวน
    จิตมันพิจรานาไปเองเห็นความไม่ชอบใจในเสียงแล้วก็กลับมาอยู่ที่จิตอีกความคิดเห็น...หากได้ยินเสียงเพลงมากระทบแล้วดูที่ใจ ถ้าไปปรุง ไปพิจารณา เป็นการไปเพ่งไว้ หากได้ยินดูที่ใจรู้ทันว่าไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบ..มันก็จบเสียงก้เป็นเสียง
    เลยรู้้ว่าจิตเข้าไปคว้าเอาเสียงนั้นมาพิจราณาว่าเสียงมันก็มีอยู่อย่างนั้น
    เราต่างหากที่มีความวุ่นวายกับมัน เลยปล่อยวางมันเสีย เกิดผลตามมาคือมี
    สมาธิที่ลึกเข้าไปอีก เหมือนกับว่าจับสมาธิขึ้นมาอีกชั้นแทนคำภวานาความคิดเห็น...หากคำภาวนาหายไปจะเริ่มเข้าสู่องค์ฌานที่1 จะประกอบไปด้วย วิตก วิจาร วิตกเหมือนกับเป็นความคิดที่เป็นคำถามพุดถามขึ้นมาเอง วิจารเป็นเหมือนคำตอบที่จิตพุดตอบขึ้นมาเอง เช่นว่า นี่อะไร นี่แก้ว มันจะถามเองตอบเองในจิต คิดเองเออเองอย่างนั้น เรียกวิตกวิจาร บุคคลทั่วไปบางท่านไม่เข้าใจคิดว่าเป็นความฟุ้งซ่าน หากนักปฏิบัติฉลาด จะเฝ้าดู ชำเรืองดูความคิด วิตกวิจารนี้ไปเรื่อยๆๆเป็นวิปัสนาทันที ตรงกับสติปัฏฐาน ว่าด้วย จิตตานุปัสนา นอกจากจะมีวิตกวิจารแล้ว จะมีปีติ สลับ ปีติก้แล้วแต่กำลังของสมาธิ ขนจะลุกซู่พล่าน สลับกันถี่ขึ้น ปีติเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสถิต สามารถ รักษาโรคในกายได้ รักษาความปวดเมื่อยได้ ระยะนึง ถ้าถ่ายด้วยกล้องออร่า ขณะมีปีติจะเป็นพลังคลื่นวิ่งไปวิ่งมา ..หากนักปฏิบัติฉลาด จะเฝ้าดู ชำเรืองดูความรู้สึกขนลุกพอลุกแล้วชำเรืองดูที่ใจ..
    เมื่อออกจากสมาธิเห็นคนเดินแต่จิตมันไม่ตัดสินใจว่าเป็นคน เป็นอะไรสักอย่างรวมถึงตัวเองด้วยความคิดเห็น...หากเห็นคนเดินแล้วยังบอกว่าไม่ใช่คนเดินเห็นเป็นอย่างอื่นก้แสดงว่ามันไปปรุงเข้าไปในจิตที่ตามไม่ทันความคิด...คนก้ก็คนเป็นสมมุติ เห็นแล้วก้เท่านั้นเอง
    4 อันนี้ที่ทำให้งงครับ ในขณะที่จิต พิจจราณาในสิ่งที่เรียกว่าสงบอยู่นั้น
    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เริ่มจะเห็นลมหมายกลับมาอีกจึงพิจรณาไปตามนั้น ก็เกิด
    ความรู้ว่า เวลาเริ่มเดินทันทีในขณะที่เริ่มรับรู้อารมฌ์
    ซึ่งในขณะที่ตามรู้อยู่ในสมาธิ (ตามอารมฌ์ในสมาธิ) ในช่วงนั้นจะมีแต่ปัจจุบันไม่มีเวลาเกิดขึ้น
    และเมื่อใดก็ตามที่พิจรณาไม่ทันจะเกิดความหลงเข้าไปกับสิ่งนั้นทำให้มีเวลาความคิดเห็น...อย่างที่ท่านบอกว่าเห็นคนเดินแต่บอกเหมือนไม่ใช่คน อย่างนี้เรียกตามไม่ทันจิต
    เกิดขึ้นมา

    ผมอยากจะถามว่าข้อ 4 (หรือข้ออื่นๆ) ผมพิจรณาได้ถูกต้องหรือไม่ครับ
    ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะถามใครกลัวจะไปผิดทางครับ[/quote] เมื่อฟังหลวงพ่อพุธ ลองไปฟัง หลวงพ่อปราโมทย์ อีกนะครับ ให้เข้าใจในวิปัสนา เมื่อเข้าใจวิปัสนา จะฝึกอะไรก็ไม่หลงทางครับ....ยินดีกับการปฏิบัติครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...