เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

ครีม บัวหิมะ ที่มาจาก เมืองจีน
เป็นยา ใช้ทา แก้ ไฟลวก น้ำร้อน ลวก ได้ผลดี
มี ผลงาน อ้างอิง
ในสมัย ที่ รถแก๊ส ระเบิด ที่ ถนนเพชรบุรี ตัดใหม่
คน ตาย เป็นร้อย ที่ รอดมา โดน ไฟลวก อีก นับไม่ถ้วน

เมืองจีน ส่งคณะแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ มาช่วย
และนำ ครีม บัวหิมะ มาใช้ รักษา จนหาย

ทำให้ เป็นที่ นิยม มาจนทุกวันนี้

ส่วน บัวหิมะ อีก ตัวหนึ่ง
เป็นยีส เลี้ยง ไว้ใน น้ำนมสด
ยีส จะกินนม และ เติบโต ทำให้ น้ำนม เปรี๊ยว
ถ้า ทิ้งไว้ ในอุณหภูมิ ปกติ ( เมืองไทย เรา )
สัก 24 ช.ม. ก็ เปรี้ยว ใช้ได้ แล้ว

นำมา กิน มาทา ตัว ทาหน้า
ผิวพรรณ จะ ขาว นุ่ม นวล ดีมาก
เคย ทดลอง ใช้ดู แล้ว ได้ผลดี แค่ รสชาด มันเปรียว และพิกลๆ กินยากหน่อย แค่ ทา ก็ พอไหว

พนักงาน ส่งเอกสาร บริษัทผม ปกติ หน้า ตา ดูแล้ว ยังกับโจรา
กิน ด้วย ทา ด้วย นมบัวหิมะ อยู่ 3 เดิอน
หน้าตา ขาวใส ดูดี จน ผม ต้อง เอาบ้าง.....555

มี เพื่อน รุ่น น้อง มาขอ ไป ทำกินบ้าง
เห็น โทรกลับมา บอกว่า ทำให้ ผิว ขาว และนุ่ม ดี มาก


ผมเอง ก็ กินได้ แค่ สองสาม เดือน .... จำเป็น ต้อง หยุด กิน
เพราะ แม่อีหนู ที่บ้าน นั่นแหละ
ชัก สง กะ สัย
ไม่ค่อยไว้ ใจ เรา
ทำไม่ ระยะ นี้ หายไปไหน บ่อยๆ ...... เฮ้อ.. ให้หนักใจ

เลิก กินไป ดีกว่า ......... 55

ไปไหนมา ไหน ใน ลักษณะ อย่างนี้ ก็ ดี ...
คนที่บ้าน ไม่ ต้องเป็นห่วง

เค้า บอก ว่า " บ่อ หนั่ง ไอ่ "

5 5 5

ก็ ดี ไป อย่าง เน้อ

 

เรื่องที่คุณเล่ามา ไม่รู้นะแต่ผมไม่คิดเหมือนคนอื่นเขาหลังจากทบทวนดูเพราะคนเรามนุษย์เราแม้กระทั่งสัตว์หรือมดเมื่อมีภัยก็ต้องหาที่ปลอดภัยหลบซ้อน ถ้าเป็นความจริงแสดงว่าสีแดงเป็นสีที่น่าจะมีความปลอดภัยกับวิญญาณนะ และผมคิดว่าวิญญานที่ชั่วร้ายมักจะไม่หลบซ้อนหลอก นอกจากจะเป็นวิญญาณที่ดีมากกว่าในแนวความคิดของผมนะผมไม่ค่อยคิดเหมือนคนอื่นเขา ลองคิดทบทวนให้ดีๆ เอวังโหตุ

 

เอ้อ..
รู้สึกว่าท่าน The third eye จะได้ประกาศไว้ในกระทู้แรกแล้วนะครับ

ท่าน...ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ขนาดที่พินิจพิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ
เช่นว่าสีใดเป็นสีที่ปลอดภัยสำหรับวิญญาณ แลคงมีแต่วิญญาณที่ดีเ่ท่านั้น
ที่จะหลบซ่อน เว้นแต่วิญญาณร้ายที่ไม่นิยม
แต่ใย ท่านจึงได้ละเลยซึ่งเรื่องง่ายๆ ที่เจ้าของกระทู้ได้ประกาศไว้แต่แรกเริ่ม
เช่นนี้เล่า

ใครสมควรจะต้องคิดทบทวนให้ดีๆ.. อืมม..ใครนะ.. นึกไม่ออกจริงๆ..
สงสัยตัวเราเองมั้งนี่..

 

เรื่องก้นช้ำ คุณ aditarn กลัวไปใย..ไม่ต้องใช้ น้ำบัวหิมะ หรอก
ใช้ฝักบัวในห้องน้ำ ตั้งองศาไว้ที่ 80-90องศา..พอร้อนก็ พ่นใส่ตัว..ความร้อนทำให้หายแน่ๆๆ..สำคัญ จะกล้าใช้หรือ เปล่า..วิธีที่ บอกมา
.....................................................................................

 

เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ ตอนทัวร์วัด (ต่อ)
....................................................
รถของเราหยุดชงักจังงัง..อยู่ตรงทางเข้าประตูใหญ่
เบื้องหน้า คือ ร่างสัตว์ใหญ่.งพญาวานร ..
พญาลิงใหญ่ ลูกสมุน พระราม..ในเรื่อง รามเกียรติ์
อยู่ในท่าหมอบ เอาคางเกยพื้นถนน..
มือลิงทั้งสองข้าง..กำหมัดกดที่ ข้างแก้ม
..........................................................
อ้าปากกว้าง เป็นช่อง ให้รถ ผ่านเข้าไปในปาก อันมหึมา
สองเขี้ยว โผล่จากพื้น ดิน สูงกว่า สองฟุต
สองเขี้ยวบน....ห้อยลงมา เยี่ยงกรามเสือ
ฟันซี่บนหกซี่ มีขนาดเท่า บานหน้า ต่าง วางเรียง
อยู่ในท่า ที่จะเขมือบ ทุกคันรถ และทุกชีวิตที่ผ่านเข้าท้องไป
...............................................................
บุคคลทั่วไป..เมื่อมาเห็น ประตูเข้าแบบนี้ ..ก็ย่อม ใจเสีย
เพราะ การเดินเข้าปาก สัตว์ ใหญ่ ..ถือว่า เป็น โชคลางที่ไม่ดี
จะทำให้ ชีวิต ตกอับ และพินาศ
..................................................................
แต่ในที่สุด..เราที่หยุดชงักอยู่ ก็คิดได้ว่า
เมื่อเสียงเรียกจากที่ นี่ไปยังเราที่อยู่ไกล..สิ่งนั้นย่อมไม่มีอันตราย
เราจึงทำแค่ กำหนด จิต ..ขอ อนุญาตเจ้าที่ ..
ที่ไม่ว่า จะเป็น ใครหรือ..หรือ สิ่งใดก็ตาม..ว่า เรามาดี
ขอให้เปิดทางให้ด้วย..พอกล่าวจบ..ก็สัมผัสได้ ว่า ทางเปิด แล้ว
เราจึงขับรถเข้ามายังภายในของ วัด
......................................................................

 

ขับเข้าไปด้านใน..พบว่า ถนนเรียบมาทางซ้าย.
ตัวอาคารสิ่งก่อสร้างล้วนอยู่ทางขวา
มองๆสำรวจไปอย่างกว้างๆๆ..ขนาดบริเวณพื้นที่
พอสมควรแก่วัดเล็กๆๆ...แต่ค่อนข้างรกด้วยพงหญ้า
ที่แปลว่า ..มีการบำรุงรักษา...ไม่ดีพอ
.......................................................
ทางซ้ายเบื้องหน้า ห่างไป 40 เมตร..มองเห็น อาคารเก่า สองหลัง
น่าจะเป็น โบสถ์ หรือ ศาลบูชา..สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทางซ้ายมีที่ว่าง พอ ที่จะจอดแอบรถได้..เราจึงจอดรถ.
...........................................................
เห็นพระสงฆ์ หนึ่งองค์ ..กำลัง กวาดรวมกิ่งไม้..ใบไม้
รวมกอง สุมไฟเผา...มีควัน ลอยโขมง มายัง เรา โดยสายลม..
ทำให้ หายใจขลุกขลัก เล็กน้อย
พอเราลงจากรถ มายืน..พระท่านคงจะสำเหนียกว่า มีคนมา..
ก็หันมามอง
ท่าทาง ของ ท่าน..แสดงความประหลาดใจ..
เราจึงบอกท่านว่า เราจะมาไหว้พระ
ท่าทางท่านก็งงๆๆ...ที่อยู่ดีดี..จะมีคนมาเข้าวัด ไหว้พระ
............................................................
เราเดินไปที่อาคารหลังแรก..พบว่า มีกุญแจพวงใหญ่ คล้องปิดอยู่
มีร่องรอยว่า..ไม่ได้ เปิดมานานแล้ว.พระท่านจึงบอกว่า .."คอยเดี๋ยว.."
แล้วก็ดินลับไป ด้านในลิบๆๆ..ที่เห็นเป็น กุฏิ...คงจะไปเอากุญแจ
........................................................................
ระหว่างที่ พระเดินไปเอากุญแจ...เราก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
เพราะ อยากรู้ว่า ที่นี่มีอะไรที่ มีพลังมาก เรียกเรามาจาก กรุงเทพฯได้
เดินวนจนรอบ อาคารหลังนั้น..ก็ไม่พบ ว่า มีพลังอะไร เป็นพิเศษ
............................................................................
ในที่สุด ก็พบว่า ที่ด้านหน้า..มีรูปปั้นพระพุท
ในปางนิพพานขนาดเท่าคนจริง..นอนตะแคงขวา..
พระบาทซ้อนกัน.แบบที่เคยเห็น..ในวัดบางแห่ง
..................................................................
จำได้ ว่า เคยไป วัดโพธิ์ใน กทม.หลายครั้ง
ทั้งไปเอง..และเป็นไกด์พาฝรั่งไปดู
ในอาคารใหญ่ที่ วัดโพธิ์ มีพระนอน ปางนิพพาน
ที่ ฝ่าพุทธบาท.งมีความสวยงาม ด้วยการฝังมุกเป็นลวดลาย
สวยงามแบบศิลป์ไทย
และพลังของ องค์พุทธะ..อยู่ที่ฝ่าพุทธบาท
................................................................
เราจึงทดลอง ไล่ตรวจพลัง ของ องค์พระที่ วัดคุ้งท่าเลา
ตั้งแต่พระโมฬีลงมา จนตลอดองค์ .
พบว่า มีพลัง พุทธ ค่อนข้างแรง ที่ ผ่าพุทธบาท..ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ที่ พลัง จาก ฝ่า พุทธบาท จะต้องแรงกว่า จาก รอย พุทธบาท
เพราะ พระบาท ย่อม มาก่อน รอย พุทธบาท
เราจึงสรุปได้ ว่า ..ถึงแม้พลังจากฝ่าพุทธบาท จะค่อนข้าง แรง
แต่ไม่น่าจะแรง..พอที่ จะส่ง พลังไปเรียกเราที่ กทม. ได้
...................................................................
......................................................................

 

พอดี ที่พระรูปนั้น กลับมาพร้อม กุญแจ พวงใหญ่
ก็ช่วยกันเปิด ประตู.ท่านอธิบายว่า ที่นี่เป็นศาลศาลา ของ พลวงพ่อชื้น
พอประตูเปิด.งมองเห็นภายใน เป็น โรงทึม กว้าง 5 เมตร ยาว 15 เมตร
ด้านในมีหมู่รูปปั้น ของ พระหลายรูป...พื้น เป็นพื้นปูด้วย เซรามิค สีขาว
..........................................................................
ที่ น่า อนาจใจ..จากร่องรอย บอกว่าไม่ได้ มีการเปิดมานานนับเดือนแล้ว
มองเห็น ร่องรอยน้ำท่วมเป็น คราบ..เป็นวงซ้อนๆๆกัน..ดูสกปรก
โชคดี ที่ ด้านในสุด หน้า หมู่พระ..น้ำท่วมไม่ถึง..
พื้นจึงสอาดพอที่ จะคุกเข่าลงกราบพระได้
......................................................................
ตรวจพลัง พบว่า..มีพลัง พุทธะ ปกติ เช่นวัดทั่วๆไป
แต่มีอยู่สอง ชิ้นที่ น่าสนใจ
ชิ้นแรก คือ รูปปั้น องค์พระสังกัจจายน์..ที่อยู่กลางๆๆ
เมื่อ เข้าใกล้สัมผัส พบว่า..ให้พลังแห่ง การมีโชคค่อนข้างสูง
..............................................................
ด้านริมขวาสุด..มีรูปปั้นหยก ของ พระแม่กวนอิม ประทับอยู่
จำความเก่าได้ ว่า เมื่อ หลายปีก่อน เคยไป ที่ วัด เขาอิติสุคโต หัวหิน
ที่ ศาลาใหญ่ มีรูปปั้นพระแม่กวนอิมหยก ขนาดเท่าคนจริง
ยืนประทับ อยู่กลางศาลา..เป็นปางเทคณโฑ น้ำลง
.....................................................................
เราจึงลองเอามือไป รอง ที่ ปลายคณโฑ..
อฐิษฐาน ขอให้มีน้ำมนต์ ศักดิ์ สิทธิไหลออกมา
ท่ามกลาง ความประหลาดใจ..มีน้ำมนต์เย็นๆๆไหลออกมา..เย็นชื่นใจ
เอามาลูบหน้า ลูบศีรษะ อย่างดีใจ
พวกเราไปกัน สาม คน..ก็เข้าคิว กันมารองน้ำมนต์
ลูบหน้า ลูบตากันอย่างครบถ้วน
...................................................................
รอบๆๆด้าน มีหมู่แม่ชี เกือบ สิบรูป..เป็นหมู่เดียว แม่ชีทศพร
ที่กำลังดัง เรื่องการตรวจกรรม ใน กทม.
เห็นพวกเราทำอะไร แปลกๆๆ..ก็เข้ามายืนใกล้ๆๆ ถาม ว่า ทำอะไรกัน
.........................................................................
เราก็ไม่อยาก บอกตรงๆ..บอกใบ้..ให้เอามือ มารอง น้ำ แบบเรา
แม่ชีก็ลองเอามือมารอง ที่ปลายคณโฑ..แล้วก็ร้องกรี๊ดกรําด
..."เออ..มีน้ำเย็น จากพระแม่กวนอิมด้วยจริงๆๆ"
แล้ว บรรดา แม่ชีทั้งหมด ก็มา เข้าแถว
เข้า รอง น้ำมนต์ กันอย่างทั่วหน้า .
ในความอัศจรรย์ ในอิทธิฤทธิ์ ของ พระแม่กวนอิม
...................................................
พระแม่กวนอิม แห่ง วัดคุ้งท่าเลา..
ก็ทรงให้ น้ำมนต์เย็นๆตามที่เราได้ คาดไว้
และนี่..ก็ไม่ใช่พลังที่พิเศษสุด ที่ จะเรียกเรามาจาก กทม. ได้
...................................................................
(มีต่อ)

 

วัดคุ้งท่าเลา
อยู่ริมถนนสาย บางงา-บ้านหมี่ ม.6 ต.บางพึ่ง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
ประตูทางเข้าวัดเป็นรูปหนุมานกำลังอ้าปาก(บางเวปบรรยายรูปผิดว่าเป็นพระราหู)
เป็นปูนปั้นประดับกระจกสีสวยสะดุดตา

รูปจากkritsana23.blogspot.com/

 

คุณ ตัวกลมๆๆไวจริงๆๆ..ที่เอารูปขึ้นมาจนได้
ผมมีกล้องดิจิตอล..ถ่ายได้..แต่มีปัญหา ..เอารูปขึ้นจอไม่ได้
.................................................................
จะเห็นว่า ประตู ที่ มีหนุมาณ อ้าปากให้รถแล่นลอดปาก..
น่ากลัวแค่ไหน..คนไทย เห็น แล้ว ก็ไม่อยากเข้าวัด เพราะ กลัว ดวงตก
จากรูป นี้ พบว่า มีความผิดพลาดในการนับ จำนวนซี่ฟัน
ที่ มีขนาดเท่า บานหน้าต่าง แท้จริง ล้มีอยู่ทั้งหมด 6 บาน
..ไม่ใช่แค่ห้า บานตามที่ได้ บอกไว้ แต่ต้น
.....................................................................
อย่างไรก็ตามก็ต้อง ขอขอบคุณ ที่ คุณ ตัวกลมๆๆ เอารูปขึ้นมา
เพื่อ เน้นว่า ตามที่ได้ เล่า ไป นั้น..ใกล้ความจริงไป..
...................................................................

 

เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ ตอน ทัวร์วัด (ต่อ)
วัด คุ้งท่าเลา
..................................................
เมื่อแน่ใจว่า ในศาล หลวงพ่อชื้น..
ไม่มีสิ่งใดที่ มีพลัง มากพอที่ จะเรียกเรามาจาก กทม.
เราก็ถอยออกมา..และคิดว่า สถานที่สุดท้ายที่ น่าจะเป็นไปได้
คือ ตัวโบสถ์ ที่ อยู่ข้างๆๆ..ไป ทางขวา ราว 30 เมตร
..............................................................
พระท่านก็หันหน้ามาเป็น เชิงถาม ว่า ..เราจะเข้าไปในโบสถ์ไหม
เราก็ต้องตอบ ว่า .."ครับ ท่าน"
ท่านก็เดินนำหน้า พร้อมเลือกดอกกุญแจ จากพวงใหญ่
ช่องทางระหว่าง ศาลกับ โบสถ์ เป็น ช่องว่าง.มีหญ้ารก..
เพราะขาดการดูแล..จึงต้องค่อยๆๆเดิน ตามแนวหญ้า
ที่ สั้น และพื้นดินที่ไม่แฉะ
................................................................
มองดู ตัวโบสถ์..เห็นได้ อย่างชัดเจน ว่า ก่อนหน้านี้ ทรุดโหรมมาก
แต่ขณะที่เราไป ถึง..เพิ่งจะมีการทาสีใหม่เสร็จ หมาดๆๆ.ทำให้ดูดีขึ้น
.........................................................................
ก้าวแรกที่เข้าเขตพัทธสีมา..พบ กำแพง ของแนว ใบเสมา..
รายล้อมรอบโบสถ์...พอสัมผัสแนวขอบเขตพัทธสีมา
เราก็พบว่ามีพลังกันวัด.ข้างแรง พอๆๆกับ ที่ กำแพงเสมา
ของ วัด สังฆทาน..บางกรวย นนทบุรี..ที่เป็นเครื่องแสดงว่า
โบสถ์หลังนี้ ..ไม่ธรรมดา
.........................................................................

 

เราเสียเวลา ในการ สัมผัส พลัง ของ กำแพง แนวเสมาอยู่หลายนาที
กำแพง แนวใบเสมา..มีความสำคัญ..คือเป็นกำแพง ป้องกัน สิ่งชั่วร้าย
ไม่ให้เข้าไป ในโบสถ์..เพื่อให้เป็น สถานที่ อันศักดิ์ สิทธิ์
........................................................................
เห็นหลังพระท่าน ไวๆๆ..ท่านผลุบเข้าประตูด้านหลังโบสถ์เข้าไป แล้ว
เราก็ ก้าว ตาม..ตรงทางขึ้น..เป็นโบสถ์สูง ขึ้นจากพื้น ประมาณ 5 ขั้นบันได
เราก็เดินผ่านประตูตามเข้าไป ห่างๆๆ..
ตรงทางเข้า.ระยะก้าวเดิน เพียง 5 ก้าว
เราผ่านไป อย่างค่อน ข้างเร็ว ..เพราะ ใจมันเข้าไปในโบสถ์แล้ว
แต่ก็ทันพอสังเกตว่า..มีพลังเย็นจัด พัดวูบ มาปะทะตัว ทางกายด้านซ้าย
........................................................................
เดินเข้าไปในโบสถ์ ทางด้านหลัง..
ก็พอดี พระท่านเดินไป เปิด ประตูวัดด้านหน้า..
เพื่อให้แสงสว่าง ส่อง เข้ามา
ทันทีที่ตาปรับ สายตาพอมองเห็นได้ ชัด..ก็เวทนาในจิต
................................................................
ภายในโบสถ์ ไม่มีร่องรอย คนเข้ามากราบไหว้ พระ
ไม่มี เชิงเทียน วางเทียน...ไม่มีกระถางธูปเพื่อปักธูป
ไม่มีตู้จุดตะเกียงให้คน ต่อไฟ เทียน /ธูป
ไม่มีตู้หยอด เงิน ทำบุญ ค่า น้ำ ค่าฟ ค่าธรณีสงฆ์
ไม่มีร่องรอย การตั้งโต๊ะให้คน เช่าซื้อ ดอกไม้บูชา
............................................................
มองเห็น พระพุทธรูป จำนวนจำกัด.ไม่น่าจะเกิน 5 องค์
มืดๆๆทึมๆๆ พิกล..ด้านหน้า ทำเป็น กระดานไม้ยกพื้น สูง 1 คืบ
มีเสื่อ กก เก่าๆๆ วางพาด อย่างไม่เป็น ระเบียบ
แปลว่า..ไม่มีการลงโบสถ์ ทำวัตร เช้า-เย็น แต่อย่างใด
เข้าใจว่า ในวัด คง จะมีพระเพียงไม่กี่องค์...ต่างจึงทำวัตร ที่กุฏิตัวเอง
...........................................................................

 

ลองนั่งลงทำสมาธิ..เพื่อตรวจสอบ..
พบว่า พลังพุทธจากพระพุทธรูปในโบสถ์..
มีพอสมควร แต่ไม่แรงมากพอ
.................................................
ทีนี้ก็งง กัน ละซิ...
อุตส่าห์ตามมาจากกรุงเทพ..แล้วทำไมเป็นอย่างนี้
นั่งงง กันอยู่พักใหญ่..สักพักก็นึกขึ้นได้ ว่า
ตอนผ่านประตูหลัง เข้ามา..มีพลังเย็นจัดพัดวูบเข้ามาชนตัว
ทุกคน คงจะนึกขึ้นได้ พร้อมๆๆกัน
............................................................
จิรศักดิ์เป็นคนแรกที่เผ่นออกไป ก่อน
สามตาเป็น คนที่ สอง
จักรพล เป็น คนที่ สาม
และ วิโรจน์ เป็น คนที่ สี่
...............................................
ออกประตูหลังมาได้..ก็หันซ้ายขวา ว่า พลัง มาทางไหน
มองเห็น ตู้ กระจกเก่าๆๆ เป็นฝ้าเล็ก น้อย ด้วยละอองฝุ่นสกปรก
ในตู้ มีพระพุทธรูปยืน ในท่า ปางห้ามสมุทร ขนาดเกือบเท่าคนจริง
ทันทีที่ยืน..พลันมีพลัง ที่เย็น แบบห้องแช่แข็ง กุ้ง ออกมากระทบตัว
.....................................................................
ทุกคนที่ รับสัมผัสได้ ก็ รู้ ว่า.."ใช่แล้ว"อยู่ที่นี่เอง
พอพลังเย็นจัดมากระทบ..เราทุกคนรู้เลยว่า
"นี่คือพลัง ของ องค์พระศรีอริยเมตไตร..
พระพุทธองค์ ที่กำลังจะมาแล้ว อีกไม่นาน"
..........................................................
ทุกคนเผ่นเข้าตั้งแถว แบบงูกินหาง
จิระศักดิ์ อยู่หน้า สุด
สามตาคนที่ สอง
จักรพล คนที่ สาม
วิโรจน์ เป็น คนที่ สี่
ยืนเอามือ เกาะบ่า..แบบท่ากำลัง ภายในวัดเส้าหลิน
ทันทีที่เกาะ ตั้งแถวเสร็จ..เอา ล่ะ..หว่า
พลังเย็น ผ่านเข้ามาจาก คนหน้า สุด ไป ยัง ท้ายสุด
เหมือนมีกระแสไฟดูดแรงๆๆ..แต่เป็นพลังเย็น แบบน้ำแข็ง
..............................................................
พวกเราก็พากันยืนสั่น งักๆๆ..เหมือน ผีเข้า
พระท่านที่ ยืนคอยรอปิดประตูโบสถ์..ก็แปลกใจ มายืนจ้อง
ในใจคิดว่า..ไม่รู้ว่า คนกลุ่มนี้ มาทำอะไร กัน
อยู่ดีดี..ก็มาตั้งแถวแบบงู กินหาง.แล้วมายืนสั่นงักๆๆ
เหมือน ผีเข้า...หรือ ว่า พวกนี้ เข้ามาเพื่อ คุย กับ ผี
...ท่านก็ส่ายหน้า..เราก็บอกท่านไม่ได้ ว่า..จริงๆแล้ว เกิด อะไร ขึ้น
.........................................................................
ยืนตัวสั่นทั้งแถว อยู่นาน กว่า สามนาที .
.เพื่อความสะใจ ..ที่ได้ พบแล้ว
พอจบก็ถอนสมาธิ ออก..ตัวก็สงบนิ่งเหมือนเดิม
ถาม พระว่า ..พวกเราจะ ทำบุญ วัด
มีตู้ใส่เงินทำบุญใหม..ท่านก็งงแบบว่าไม่เคย เห็น ตู้ใส่เงินทำบุญ
..................................................................
พวกเราอยากทำบุญ .ก็เดินกลับเข้าไปด้านในโบสถ์
พบว่า มีพาน พลาสติค เล็ก วางอยู่ .เอามาวาง
แล้วแต่ละคนก็ ทำบุญ เป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าธรณี สงฆ์
สีแดง สีเขียว ปนๆๆกันไป
.........................................................
(มีต่อ)

 

เมื่อก่อนตะเวนไปตามร่างทรงเจอของไม่จริงบ่อย มีครั้งหนึ่งไปที่แถว ถ.นวมินทร์ปัจจุบันเลิกไปแล้ว ตอนก่อนไปเพื่อนชวนไป2ครั้งไม่ไป ครั้งที่ 3 ไป พอถึงคิวเข้าไปเจอรูปปั้นหลวงปู่ทวดองค์เดียว ร่างก็ไปเข้าห้องน้ำ เราก็นึกในใจของปลอมอีกแล้ว ยังไงก็ตามเลยนะแล้วเอาพานมาอธิษฐานใส่พวงมาลัย พอยกขึ้นเหนือหัว (อยู๋คนเดียวนะ) พานมัลอยขึ้นไปจนเข่าลอยขึ้นจากพื้น บอกเชื่อแล้วว่าของจริง เพื่อนก็เข้ามาพร้อมร่างคุยไปมา เราก็มือสั่นเป็นระวิง
เพื่อนเห็นเข้ามันโทรมาบอกทีหลังว่าไม่เชื่อที่เห็นมือเราสั่น มันไปสั่นในห้องน้ำ สั่นเท่าไหร่ก็สั่นไม่เหมือน เชื่อว่าสั่นจริง

 

การบำเพ็ญบารมี 3 อย่างในวันเดียว ตาม ปสก.พอดีได้สูตรมาลองทำตามแล้วดีมากๆ
ตื่นเช้ามาให้เปล่งวาจา ขอรักษาศีล 5(8) ข้อคือ....ว่าไป.........ศีล
ทำงานไป เดินทางเจอคนขอทาน ก็ให้............................ทาน
สวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ ตอนเช้า หรือเย็น........................ภาวนา
ตอนทำแรกๆจะเกร็งหน่อย แต่ อภิรักษาสติเลย แต่ก่อนคำพูดไม่ระวัง...เช่นเออง่ายๆ ตอนหลังไม่มีเลยนะ
อยากให้ลองทำดู สติมามากๆ หากศีลขาดให้รีบต่อ นะ ทนไม่ไหวจริงๆหิวข้าวก็ ลาท่าน
ทำครบ 7 วัน อะไรก็เปลี่ยนไปเยอะนะ

 

สาธุครับ ท่านอาจารย์ สาธุ สาธุ สาธุ ฟังอาจารย์เล่า เห็นภาพเลยครับ

นึกตามไปด้วย ขนลุก ขนพองขึ้นทั้งตัว เกิดกำลังใจปฏิบัติ สาธุ

ขอบพระคุณครับจารย์

 

เอ้อ.. เดี๋ยวต้องนั่ง list รายชื่อวัดที่เกี่ยวกับพระศรีอาริยเมตไตรยซะแล้ว
วันนี้เราสองคนเป็นหนี้บุญคุณท่านเหลือเกิน
ไว้สารพัดเรื่องราวจบเมื่อไหร่ คงจะได้ทัวร์ไหว้องค์พระศรีอาริ์ยแน่ๆ
ถ้ามีโอกาส คงจะได้ไปนั่งเก็บกวาดวัดคุ้งท่าเลาแน่ๆล่ะ แต่ไม่อยากไปคนเดียวอ่า..

ได้รู้ว่าท่านเมตตาคนเราขนาดไหนก็วันนี้
ที่สุดแล้วจริงๆ.. องค์พระศรีอาริ์ย
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญอีกท่านเช่นกันครับ..
ท่านไม่ทิ้งคนที่ระลึกถึงท่านเป็นประจำ ในเวลาที่มีปัญหาจริงๆ..
ซ้ำยังช่วยชี้ทางสว่าง และสอนข้อเท็จ-จริง,ธรรมต่างๆ.. ที่ผมควรจะรู้ ควรจะหยิบมาไตร่ตรองประกอบการใช้ชีวิต

วันนี้วันเดียว..แค่ไม่กี่ชั่วโมง.. ซึ้งในคุณของพระศรีอาริ์ยและหลวงปู่ดู่จริงๆ

 

- -"

 

ลุงสามตาลองสัมผัสพลังพระศรีอาริยเมตตรัยที่วัดสะแกหรือยังครับ

 

เรื่องเล่าก่อนอนคืนนี้ ตอนทัวร์วัด (ต่อ)
วัด คุ้งท่าเลา ตำบลคุ้งท่าเลา บ้านหมี่ ลพบุรี
.......................................................
ออกจากตัวสั่นแบบเจ้าเข้า ..และทำบุญใส่พาน
แล้ว ก็ เดินมา ด้านหน้า โบสถ์..เพราะ แน่ใจว่า ต้อง มีด้านหน้า ด้วย
เดินมาถึง..ก็พบว่า มีตู้กระจกสูง ..และมีรูปปั้นพระยืนในตู้เช่นกัน
........................................................................

ลองสัมผัส พลังดู..พบว่า เป็นพลังอุ่นๆๆ ว่างๆๆ เบาๆๆ
ซึ่งเป็น เอกลักษณ์ ของ พลัง พุทธ ของ สมณโคดม ที่เราชินมานาน
แปลว่า โบสถ์หลังนี้ ..ครึ่งหน้า มีพลัง พุทธ ยุค พระพุทธองค์ สมณโคดม
และครึ่งหลัง เป็นพลัง แห่งพุทธ องค์ พระศรีอริยเมตไตร
แบ่งกัน คนละครึ่งโบสถ์...เท่า กับว่า แบ่งองค์ ละครึ่ง พุทธกาล
องค์ ละ 2,500 ปี
......................................................................

 

หลังจาก สัมผัส พลังพุทธ ยุค สมณโคดม โคตมะ
เราก็หันไปมอง โดยรอบ
พบว่า ด้านหน้า มีทางเข้า โบสถ์ แต่รกรุงรัง เต็มไปด้วยหญ้าคาที่ สูง
ตรงแนวประตูเข้า..มีซุ้มใหญ่ เป็น ที่พัก..หลังคาเป็นทรง จตุรมุข
หันไปมอง..พบว่า มีพลัง เข้ามากระทบ
....................................................................
เราทั้งสี่คน ที่ สัมผัสได้ ก็เดิน เข้า ไป ที่ซุ้มที่ว่า
ไปยืนตรงกลาง..พบว่า มีพลัง แบบรวมของ สอง ยุคมาด้วยกัน
หายใจแน่น จนต้องยืนกางแขน สองข้างออก
แบบนักเรียนถูกทำโทษในห้องเรียน
..............................................................
เราทั้งสี่คนยืนกางแขน เหมือนฝูงนก บินถลา..รับพลัง เข้า เต็ม กาย
ด้วยความอบอุ่น ในพลังบุญ แบบ สอง พุทธะ..ที่หาได้ ยากยิ่ง
......................................................................
พอจบก็ตั้งใจจะเดินมายัง ด้านประตู..
ที่ มีหนุมาณ นอนอ้าปาก คอย งาบ คนอยู่
เดินผ่านต้นไม้ ที่ไม่ได้ ได้ เห็น คือ ต้น สาละ
เป็น ต้น แบบ จาก อินเดีย ..เพราะ ดอกมีขนาดเล็ก
มีพลัง แบบ ยุค สมณโคดมโคตมะ
จึงช่วยกันเก็บดอกที่ ร่วงอยู่บนพื้น.. เพื่อมาไว้ บูชา
......................................................