ปราบผู้จาบจ้วงในพระไตรปิฎก

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย Chati, 28 พฤษภาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Chati

    Chati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,982
    สืบเนื่องจากกระทู้
    พุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า ที่มารในเว็บศาสนา่ต่างๆไม่ยอมให้ลง และ
    ช่วยคิดหน่อยว่า พระพุทธเจ้าทำกรรมอะไรกับเว็บนี้เอาไว้ จึงไม่สามารถลงพุทธพจน์ทั้ง 2 ได้ (ซึ่งบัดนี้ถูกย้ายไปอยู่ห้องหลุมดำแล้ว)

    ซึ่งเนื้อหาในกระทู้ทั้ง ๒ นี้เป็นการกล่าวตู่และบิดเบือนเนื้อหาในพระไตรปิฎกโดยตรง โดยกล่าวถึงพระไตรปิฎกและอรรถกถาไว้ในทำนองว่า พระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้า (ในศาสนาอื่น)

    " มีการชี้นำว่า พระพุทธเจ้า คือ อวตาร ของพระเจ้าในศาสนาอื่นและเป็นส่วนหนึ่งของศาสนานั้น ๆ " (ไม่ค่อยอยากพิมพ์ประโยคนี้เลยกลัวเป็นเสนียดติดนิ้ว)

    ซ้ำร้ายยังไปจาบจ้วงและบิดเบือนพระไตรปิฎกและอรรถกถาอีกใน ๒ กรณี คือ

    ๑. กล่าวว่า พระรามคือ อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ (พระเจ้า) แต่พระพุทธเจ้าตรัสใน อรรถกถาทสรถชาดก ว่า: พระรามมาเกิดเป็นเราตถาคต สีดาเกิดเป็นพระนางพิมพา พระลักษณ์เกิดเป็นพระสารีบุตร ด้วยเหตุนี้ พระรามมาเกิดเป็นเราตถาคต ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอวตารของพระนารายณ์(องค์พระผู้เป็นเจ้า)นั่นเอง

    ๒. อ้างว่า พระพุทธองค์ตรัสเองในในอัคคัญญสูตร เรื่อง วาเสฎฐะภารทวาชะว่า "เราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ซึ่งก็กล่าวต่อไปว่าไปตรงกับของพราหมณ์ที่บอกว่า พวกพราหมณ์บอกว่า: "เราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม "

    อ่านไปก็ให้แสลงลูกตาเป็นอย่างยิ่ง จึงอดรนทนไม่ได้ต้องมานั่งพิมพ์เนื้อหาในพระไตรปิฎกไปแสดงให้คนที่เข้าไปอ่านกระทู้เหล่านี้เห็นว่า เรื่องราวที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร

    โดย ข้อที่ ๑ ที่กล่าวหาว่าพระอรรพระพุทธเจ้าตรัสใน อรรถกถาทสรถชาดก ว่า: พระรามมาเกิดเป็นเราตถาคต สีดาเกิดเป็นพระนางพิมพา พระลักษณ์เกิดเป็นพระสารีบุตร ความจริงคือ

    ใน อรรถกถาทสรถชาดก เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพระแสดงพระธรรมเทศนา ปรารภกับกุฎุมพีที่บิดาตายผู้หนึ่ง จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส

    ซึ่งในเรื่องพระองค์ได้เล่าถึง พระเจ้าทสรถมหาราช ผู้เสวยราชสมบัติโดยธรรม ในกรุงพาราณสี มีพระโอรส ๒ พระองค์ และพระธิดา ๑ พระองค์ โดยพระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลักขณกุมาร พระธิดาทรงพระนามว่าสีดาเทวี ต่อมาเมื่อพระเมหาสีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าทสรถมหาราชจึงมีพระมเหสีอีกองค์หนึ่ง โดยมีพระโอรสพระนามว่า ภรตกุมาร

    ...และจากนั้นพระองค์ก็ทรงแสดงเนื้อธรรมจนกุฎุมพีผู้ที่บิดาตายท่านนั้น ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

    พระองค์จึงได้กล่าวตอนจบว่า พระเจ้าทสรถมหาราช ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็นพระนางมหาสิริมหามายา สีดาเทวีได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท

    ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต...

    อรรถกถาทสรถชาดกอ้างอิงจาก http://www.palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=6000018




    </PRE>
    ***เมื่อลองดู โดยละเอียดแล้วก็จะพบว่า เป็นจิตนาการที่เกินเลยของผู้ตั้งกระทู้นั้นเองว่า พระรามคือ อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ (พระเจ้า) กับ รามบัณฑิต ของพวกเรา เป็นท่านเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  2. Chati

    Chati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,982
    กรณีที่ ๒ ที่บอกว่าใน อัคคัญญสูตร เรื่อง วาเสฎฐะภารทวาชะ มีการกล่าวว่า

    "เราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิด จากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต" แล้วก็ยกไปเทียบกับพวกพราหมณ์ที่บอกว่า "เราเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม " แล้วเหมาไปว่าพระพุทธเจ้าของเรากับพวกพราหมณ์เป็นพวกเดียวกัน

    ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้


    (๑๑๑) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เป็นปราสาทของนาง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]วิสาขามิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี</st1:personName> ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐสามเณรกับภารทวาชสามเณร เมื่อจำนงความเป็นภิกษุอยู่ อยู่อบรมในสำนักภิกษุทั้งหลาย เย็นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทแล้ว ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท

    (๑๑๒) วาเสฏฐสามเณรได้เห็นพระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทกำลังเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ในร่มเงาปราสาทในเวลาเย็น ครั้นแล้วจึงเรียกภารทวาชสามเณรมาพูดว่า “ภารทวาชะผู้มีอายุ นี้พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น เสด็จลงจากปราสาททรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท มาเถิด เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ เราควรจะได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง” ภารทวาชสามเณรก็รับคำแล้ว


    (๑๑๓) ทันใดนั้น วาเสฏฐสามเณรกับภารทวาชสามเณร พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วชวนกันเดินตามเสด็จพระองค์ผู้กำลังเสด็จจงกรมอยู่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมาแล้วตรัสว่า “วาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสองมีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ พวกพราหมณ์ไม่ด่าว่าเธอทั้งสองบ้างหรือ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้ง ๒ ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลย” “ก็พวกพราหมณ์พากันด่าว่าเธอทั้งสองด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อน อย่างไร” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันว่าอย่างนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐสุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเสียแล้ว ไปเข้ารีตวรรณะที่เลวทราม คือ พวกสมณะโล้น เป็นคนรับใช้ มีวรรณะต่ำ (กัณหโคตร) เป็นเผ่าของมาร เกิดจากเท้าของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละพวกที่ประเสริฐที่สุดใดเสีย ไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือ พวกสมณะโล้น เป็นคนรับใช้ มีวรรณะต่ำ (กัณหโคตร) เป็นเผ่าของมาร เป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม ไม่เป็นการดี ไม่เป็นการสมควรเลย’ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้งสองด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยาม อย่างสมใจอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างนี้แล”


    (๑๑๔) พระองค์จึงตรัสว่า “วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขาไม่ได้ จึงพากันพูดอย่างนี้ว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐสุดคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม’ วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ตามที่ปรากฏชัดอยู่ว่า นางพราหมณีทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนมอยู่บ้าง อันที่จริง พวกพราหมณ์เหล่านั้น ก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น ยังพากันอวดอ้างอีกว่า ‘วรรณะที่ประเสริฐสุดคือพราหมณ์เท่านั้น ฯลฯ เป็นทายาทของพระพรหม’ ก็พราหมณ์เหล่านั้นกล่าวตู่พระพรหมและพูดเท็จ พวกเขาจะต้องประสบแต่บาปเป็นอันมาก”<O:p
    <O:p
    ***อ้างอิงจาก จากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ใน อัคคัญญสูตร ว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก เรื่องสามเณรชื่อวาเสฏฐะและสามเณรชื่อภารทวาชะ

    (จะอ้างอะไรก็ต้องมีหลักฐานที่มาให้ชัดเจน)

    ถ้าลองอ่านดูก็จะพบว่า ไม่มีตอนไหนเลยที่พระองค์จะบอกว่าพระองค์เป็นบุตรของใคร ดังที่ผู้จาบจ้วงได้กล่าวถึง[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  3. ดับ

    ดับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +533
    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 19.3pt 72.0pt 27.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ผมได้คัดลอกมาจากเวปๆหนึ่ง จำไม่ได้แล้วขอยกความดีทั้งหมดให้กับเจ้าของครับ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัดจับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้นแล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขาก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า [/FONT][FONT=&quot]''บ้า'' อีกท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]๑.[/FONT][FONT=&quot] ''เหตุที่จิตมีอุปทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าวเป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ยึดเอาอุปทานนั้น ๆ[/FONT][FONT=&quot] (บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา)ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคนมาแล้วจับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระมีอารมณ์พอใจสนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรม อันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้กล่าวคือ จะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวายและปลานั้น กลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิดเท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น''วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง''<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]๒. ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม หรือ วจีกรรมก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด ในโลกนี้มัน เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วน ๆ[/FONT][FONT=&quot]''[/FONT][FONT=&quot]
    ๓. '' ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคนจากคนที่เป็นปลาก็ต้องตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรม หรือ กรรมของผู้อื่นอันสืบเนื่องเป็นสันตติ ประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้วพวกเจ้าจักเอาชาติไหนมาตัดสินว่า ใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้เพราะกิเลส-ตัญหา-อุปทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุทำให้จิตของคนกระทำกรรม ให้เกิดแก่มโน-วจี และกายได้อยู่เป็นอาจิณ''<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]๔. [/FONT][FONT=&quot]''เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิด[/FONT][FONT=&quot]
    ก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้นจงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่ก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก''<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]๕. [/FONT][FONT=&quot]'' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิดค่อยๆวาง ค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับกำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือกฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆ เข้ามรรคผล ก็จะปรากฎขึ้นเองอย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรมให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนตลอดเวลาอยู่กับจิต ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้นๆ กรรมใดกรรมมันพวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆ มาตำหนิเลว เพราะเท่ากับมีอุปาทานเห็นกรรมนั้นๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้งไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก ''<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]๖. " ถ้าบุคคลที่ไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่า ต่อขานคนที่จับปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกันจนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันเข้าไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกันสร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไปด้วยความหมั่นไส้เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีกยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรมก็ต้องยุติลง ใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฏของกรรมโทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดจงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าเข้าไปมีหุ้นส่วนกรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรม เป็นอันขาด จำไว้นะ [/FONT][FONT=&quot]'' อนุโมทนาครับ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
     
  4. หวังปู้เลี่ยว

    หวังปู้เลี่ยว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +87
  5. เอกวัฒน์

    เอกวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +2,431
    มีแต่พวกใกล้เพี้ยน
    ความรู้ท่วมหัวมันจะเอาตัวไม่รอด
     
  6. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353


    มนุษย์มนากิเลสหนาเป็นแค่ใส้ติ่งของจักวาล...

    อย่าบังอาจเอื้อมกับพระพุทธเจ้าเลย....


    rabbit_run_awayrabbit_run_away
     
  7. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    เราจะเอาอะไรไปปราบดีล่ะคุณ

    ใช้ความหวานเข้าหว่านล้อมดีไหม
     
  8. lord_vishanu

    lord_vishanu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +15
    พระพุทธเจ้าคือพระนารายณ ไม่ได้เป็นคนธรรมดา แต่เป็นเทพในร่างมนุษย์ เพราะคนธรรมดาบรรลุอรหันต์แล้วตายภายใน 7 วันแต่พระพทธเจ้าไม่ตาย พระพุทธเจาเกิดมาสามารถมองเห็นพระพุทธเปนเม็ดเล็กๆใสๆมากมายดั่งเมดทรายในแม่น้ำคงคา หลังจากที่ตรัสรูเมื่อเข้าสมาธิจะเห็นดาวในความมืดเมื่อหลับตา ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยม ไม่ใช่อเทวนิยม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นเทพในร่างมนุษย์ เจ้าแม่กวนอิมก็เป็นเทพ ดวงโหราศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเป็นมหาเกษตร หลังจากที่ตรัสรู้จะมีดาวที่เป็นเกษตร 7 ตัว และเมื่อตรัสรู้จะมีแสง ในกาลนี้จะอวตารมาเพื่อปราบกลียุคแลพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย
     
  9. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ไปกันใหญ่แล้ว...เฮ้อ...พุทธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตืน ไม่ใช่ ผู้หลง มัวเมา
     
  10. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,199
    ค่าพลัง:
    +7,815
    คนไทยมีการนับถือศาสนาต่างๆกันออกไปตามศรัธทาของตน แต่บางคนก็นับถือทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ 4 แบบคือ

    1. ฮินดู พุทธศาสนา ที่นำเอาลัทธิฮินดู หรือ พราหมณ์ มาผสมด้วยเช่น มีการบวงสรวงเซ่นไหว้ ในพิธีกรรมต่างๆ

    2. โพธิสัตว์พุทธศาสนา คือ พุทธศาสนาที่พระโพธิสัตว์ ทั้งหลายนำไปปฎิบัติผสมกับความคิดของตน และสอนให้ไปเกิดกับตน ให้ไปบำเพ็ญบารมีกับตน ให้ไปเกิดอีกในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    3. โลกียะพุทธศาสนา คือ พุทธศาสนาที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขจาก โลกุตระธรรมให้เป็นโลกียะธรรม เช่น สอนผิด ใช้ภาษาเพี้ยน แปลผิด ปฎิบัติผิด และนำเอาพระพุทธพจน์ ไปใช้ในที่ต่ำ ในคนทั่วไป

    4. โลกกุตระพุทธศาสนา คือ พระพุทธศาสนาที่นำไปปฎิบัติถูกต้องตามมัชฌิมาปฎิปทาเพื่อ มรรค ผล นิพพาน


    ในแบบที่ 1 2 3 นั้น เป็นการทำบาปและ อกุศลกรรม เพราะละเมิดข้อห้าม ที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ไม่ให้เอาลัทธิอื่นมาปะปน และละเมิดคำสั่งสอนที่ทรงสอนให้ทำลาย กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา แต่กลับสอนให้เกิดอีก เป็นต้น ผู้ทำบุญในพระพุทธศาสนาแบบนี้จึงไม่ได้บุญอย่างที่คิด


    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. สายลมสีขาว

    สายลมสีขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +144
    ......ตอบ.....ใครครับจินตนาการ ไม่ใช่ผมแน่ เนื่องจาก

    a.เรื่องรามายณะ เป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์ของอินเดีย เชื่อว่าเป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป ก่อนพุทธสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ได้รวบรวมแต่งใหม่ ให้เป็นระเบียบครั้งแรก โดย มหาฤๅษีวาลมีกิ เมื่อกว่า 2,400 ปีมาแล้ว

    แล้วศาสนาพราหมณ์ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า มีมาก่อนศาสนาพุทธ และมีพระเจ้า 3 องค์ คือ พระพรหมณ์ พระศิวะ พระนารายณ์ ทั้ง 3 องค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า ตรีมูรติ หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระรามก็เป็นอวตารปางที่สำคัญที่สุดของพระนารายณ์

    ยุคที่มีการกล่าวอ้างว่า ศาสนาพราหมณปลอมปนและแทรกแซงศาสนาพุทธ คือ ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูเหล่านั้น เชื่อว่าพระนารายณ์อวตารมาในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะ และพยายามแยกตัวออกไป

    b. ตัวละครที่พระพุทธเจ้าเล่า ไม่ว่าจะเป็น ราม ลักษณ์ สีดา และพ่อแม่พี่น้องคนอื่น ล้วนตรงกับในรามมายณะที่ศาสนาพราหมณ์เล่ากันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น


    อ้างอิง: รามายณะ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี[/quote]

    ผมขอพูดอย่างเป็นกลางตามความคิดของตัวเองนะครับ ผมรู้น้อยด้อยปัญญาพูดผิดๆถูกๆคงไม่ว่ากัน

    อันดับแรกเลย ผมมีความรู้สึกว่า เหตุผลของพี่ใบไม้ที่มาเถียงนี้ฟังไม่ขึ้น
    ไม่ได้มีหลักฐานใดอ้างอิงเลยว่า รามบัณฑิต คือ พระราม สีดาเทวี คือ นางสีดา และคนอื่นๆด้วย พี่ใบไม้กำลังเอานิยายพื้นบ้านมาเทียบกับพระไตรปิฏกนะครับ แถมจิตนาการเอาเองอีกว่าสัมพันธ์กัน
     
  12. สายลมสีขาว

    สายลมสีขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +144
    นั้นสิ
     
  13. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ไม่พอใจที่เค้าเห็นแย้งกับคุณหรือ โทสะจริตขึ้นขนดตั้งชื่อพ่อแม่เค้าด้วยคำต่ำช้าสามาลย์เช่นนี้ นี่หรือผู้บรรลุธรรมขั้นสูง นี่หรือพุทธบุตร นี่หรือผู้เจริญในธรรม....พิจารณามหาพิจารณา ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่ามีศีลธรรม ธรรมะในใจที่คนทั่วไปพึงมีก็คงยากเลยครับ...ไม่มีคนที่เจริญในธรรมคนใดหรอกเที่ยวตั้งชื่อกล่าวว่าบิดามารดาผู้อื่นด้วยคำต่ำช้าแบบคุณน่ะ
     
  14. สายลมสีขาว

    สายลมสีขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +144
    55555+ เข้าใจเปรียบเทียบนะครับ




    ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมรู้น้อยด้อยปัญญาจริงๆ แต่ก็ยังพยายามพิจารณาตาม ขอความกรุณาอย่าถือสา



    ก็ๆๆ อย่างที่ท่านพี่ใบไม้พูด

    แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง ใช้คนเดียวกับพระรามหรือไม่ พี่ใบไม้กรุณาหาหลักฐานมายืนยันด้วยว่า รามบัณฑิต คือคนเดียวกับพระราม

    อับดับแรก พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้โลก ท่านบอกว่ารามบัณฑิต กับ พระนางสีดา เป็นพี่น้องกัน
    แต่พวกพรามห์ บอกว่า พระราม กับนางสีดา เป็นสามีภรรยากัน ซึ่งขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ จึงอาจสรุปได้ว่า ทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน และอีกอย่าง พวกพรามณ์ไม่ใช้ผู้รู้แจ้ง แล้วเขาจะไปรู้เรื่องที่เกิดในอดีตได้อย่างไร และถ้าหากเขาใช้กำลังชานมองจึงรู้เรื่องในอดีต งั้นทำไม่ ถึงดูความสัมพันธ์ของนางสีดากับพระรามแตกต่างจากที่พระพุทธเจ้าตรัส นั้นก็น่าจะเพราะว่า สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน พระรามและนางสีดาในรามายนะเป็นเพียงนิยาย



    กรุณามาชี้แจงผมด้วยนะครับ
     
  15. jowpoy

    jowpoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +758
    คติความเชื่อที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายนั้น มีมาในสมัยท่านสังคราจารย์นักปรัชญาเมทีของอินเดียซึ่งเป็นสมัยหลังๆที่ฮินดูเริ่มเสื่อม ท่านสังกราจารจึงพยายามหาทางให้ชาวอินเดียกลับมานับถือฮินดูอีกครั้ง จึงมีการสร้างความเชื่อเรื่องนารายอวตาลสิบปางขึ้นมาและกล่าวอ้างว่าพระนารายได้อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าในปางที่เก้า เพื่อสอนอธรรมให้แกผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าเพื่อขับออกจากศาสนา พวกที่นับถือพุทธจึงกลายเป็นอสูรหรือคนชั่วที่พระเจ้าต้องการทำลายล้าง ถ้าคุณยอมรับว่าพระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์แสดงว่าคุณก็......
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...