วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอโมทนากับพี่เกษมที่ช่วยนำลงด้วยครับ

    บางส่วนของคำสอนเรื่องพุทธภูมิและพระโพธิสัตว์
    โดยพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    สำหรับท่านที่บำเพ็ญตนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นการก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า

    เรา ปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้

    หมายความว่า เราจะทุกข์แค่ไหนนั้นมันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีความสำคัญ จิตใจของเรานั้น เราคิดว่าเราจะพ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเราช่วยเหลือความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องทุกข์เขาได้ เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้เราก็เป็นคนมีความสุข จิตใจของพระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี

    บารมีของพระโพธิสัตว์นั้น แม้จะเป็นการเริ่มต้นแห่งการปรารถนาพุทธภูมิ กำลังใจเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาปรานี ก็จะมีบริษัทมาก จะมีบริวารมาก เป็นการฝึกกำลังใจของนักปฏิบัติเพื่อจะได้ซ้อมกำลังใจของเราว่ามีความหนัก แน่นเพียงใด นักปรารถนาพุทธภูมิจะต้องมีทั้งขันติและโสรัจจะ ขันติ อดทนต่อความยากลำบากทุกประการ เพื่อความสุขของปวงชน โสรัจจะ แม้จะกระทบกระทั่งทำให้ใจตนไม่สบายเพียงใดก็ตาม ก็ทำหน้าแช่มชื้นไว้เสมอ นี่ก้าวแรกสำหรับพุทธภูมิ และกำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่จะเว้นไม่ได้นั่นคือ พระนิพพาน จงอย่าคิดว่าถ้าจิตเราเกาะพระนิพพานแล้วความเป็นพุทธภูมิจะหายไป ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ต้องถือว่า เป็นผู้มีกำลังใจต่ำ ก้าวไม่ถึงก้าวสำคัญของพุทธภูมิ

    พุทธภูมิจะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราเป็นผู้ที่ต้องการพระนิพพาน อารมณ์ใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำในด้านวิปัสสนาญาณ ต้องเกาะให้ติด และมีกำลังจิตใช้ปัญญาพิจารณาไว้เสมอ เพื่อความสุขของจิต เพื่อปัญญาเลิศแล้ว ก็มีจิตตั้งไว้เสมอว่า ถ้าหากจิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเมื่อไหร่ เมื่อนั้นบารมีของเรานั้นไซร้ จะเข้าเต็มเปี่ยมในขั้น พุทธวิสัย ชื่อว่า การที่เราจะเข้าพระนิพพานคนเดียว เราไม่เข้าใจ มองไว้เข้าใจว่า บุคคลใดที่มีความทุกข์ในโลกที่ยังมีความฉลาดไม่พอ บุคคลนั้นเราเองจะเป็นผู้อุ้มเขาไปสู่แดนเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน

    อันนี้ เป็นกำลังใจของท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณ

    ที่มา http://www.bodhisattva.name/Bodhiyana/Buddhabhumi.html
     
  2. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    " บุคคลใดที่มีความทุกข์ในโลกที่ยังมีความฉลาดไม่พอ บุคคลนั้น
    เราเองจะเป็นผู้อุ้มเขาไปสู่แดนเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน "

    -------------------------- สาธุ สาธุ สาธุ -----------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF99275.jpg
      DSCF99275.jpg
      ขนาดไฟล์:
      239.1 KB
      เปิดดู:
      326
    • DSCF995455.jpg
      DSCF995455.jpg
      ขนาดไฟล์:
      242.4 KB
      เปิดดู:
      1,978
  3. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    โมทนาครับ วันนี้ได้ฟังนักข่าว นำคำพูดของสมเด็จย่า ท่านพูดว่า
    ความสุขส่วนตัวฉันนั้นไม่สำคัญเท่ากับ ทำให้ผู้อื่นมีความสุข
    หรือ ฉันเห็นผู้อื่นมีความสุข ฉันก็มีความสุขไปด้วย

    เป็นคำพูดที่เรียบง่าย และเป็นคำพูดของพระมารดา พระโพธิสัตว์โดยแท้ สาธุ
     
  4. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    สวัสดีค่ะ คิดถึง เพื่อนๆ กระทู้นี้ที่ซู๊ดดดด พี่ๆ น้องๆ ค่ะ ju ju รู้สึกได้ว่า คำพยากรณ์ เริ่มเป็นจริง เข้ามาแล้ว ครั้งที่ อ.คณานันท์ ให้เตรียมของใส่เป้ ตั้งแต่ ก่อนปีใหม่ จนผ่านมาหลายเดือน ยังไม่เห็นได้ใช้เลย มา ณ ตอนนี้ เริ่ม เห็นผล ว่าต้องได้ใช้แล้วล่ะ เริ่มจาก ผ้าปิดจมูก ได้ใช้ เพราะ โรคระบาด 2009 เข้ามา ต่อไป คง เป็นเรื่องผัก ที่กินไม่ได้ ถ้าจะกิน ต้องแช่ด่างทับทิม ต่อไป คงถึงคิว ที่ต้องรื้อ ด่างทับทิม ออกมาใช้ และ ต่อไป ก็ คงถึงคิว โปรตีนเกษตร และ ต่อไป ก็ไม่อยากคิดต่อ



    เตรียมกาย เตรียมใจ ไว้วิ่งสู้ฟัด กันดีกว่า
     
  5. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    หลวงพ่อ ฤาษี ท่านเคยเทศน์ ว่า (อ่านมาจากหนังสือของท่านอ่ะค่ะ) สรุป จากความจำอันน้อยนิด ของ ข้าพเจ้า ผิดพลาดอย่างไร ขออภัยน่ะค่ะ ท่านบอกว่า เชื้อโรค เชื่อไวรัส มันมีตัวตน เช่น โรคเอดส์ มี ลักษณะ คล้ายตัวแรด มีขนสีขาว แล้ว ขนปุยสีขาวก็จะร่วงง่ายและมีพิษ ขนมันก็จะร่วงหล่นอยู่ตามกระแสเลือด (นักวิทยาศาสตร์ เคยลองส่องกล้องดูไหมคะ) ข้าพเจ้า เลย เชื่อ เลยว่า โรคทุกโรค มีเหตุมา การขอขมากรรมหรือแผ่เมตตา ให้เชื้อโรค ได้ผลจิงๆๆนะค่ะ
     
  6. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ค่ะ พี่เดียร ..... หายไปนานเลย ,,

    จะว่าไปแล้ว เจนก็ไปบวชฯ บ่อยอยู่นะค่ะ แต่ ไม่ค่อยได้จำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมาถ่ายทอดให้พี่ ๆ
    น้อง ๆ ได้ อนุโมทนาบุญ กันเท่าไหร่ ค่ะ เห็นพี่เดียร ถามข้อมูลสถานที่เจนไปบวชหลายรอบ และ
    หลายวัดแล้ว ตั้งแต่ วัดปากน้ำ วัดท่าซุง วัดหนองหญ้าปล้อง วัดท่าขนุน และ วัดถ้ำเมืองนะ ซึ่ง
    เจนก็ไปบวชฯ มา ทุกวัดที่พี่เดียรถาม ก็อยาก จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้ดีๆที่ได้จาก การไปบวชชี -
    พราหมณ์ บ้างค่ะ แต่ช่วงนี้ ไปบวชฯ บ่อยมาก และ แทบทุกเดือน ดู ปฏิทิน ในปีนี้แล้วมี.....เดือน
    มกราคมเท่านั้นที่เจนไม่ได้ไปบวชที่ วัดไหน ค่ะ มีเรื่องราว ความรู้ดี ๆ มากมายที่ได้จากการบวชฯ

    ซึ่ง มันอาจจะเยอะ จนไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ดี ทั้งเรื่อง ที่ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในธรรม
    และ เรื่องที่เป็นบทเรียน เป็นแนวคิด บอกสอนให้เรา เห็นโลก ในหลายแง่มุมมากขึ้น ..

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    จากที่เคยมีความคิดแคบ ๆ ก็ กว้างขึ้นเพราะได้เรียนรู้อะไร ๆ เพิ่ม ขึ้น
    .......จากพระอภิญญาหลายท่านทั้งที่เป็นกายทิพย์ และ กายเนี้อ ค่ะ

    ขออนุญาต เล่า ในเรื่องที่คิดว่า จะเป็นประโยชน์ ต่อ ผู้อ่าน โดยคร่าว ๆ ก่อนนะค่ะ ,,,
    แต่ รู้สึกว่ามันก็เหมือนเป็นเรื่องที่พี่ ๆ น้อง ก็รู้กันอยู่แล้ว นิหน่า แต่ก็ต้องมี คนที่ไม่รู้ด้วยสินะค่ะ
    เอาเรื่องนิมิต ที่เกี่ยวกับ " ภัยพิบัติ " ที่เจนเห็น นะค่ะ ,,, ( ตอนบวชที่ วัดถ้ำเมืองนะ ค่ะ )

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ก็เห็นนิมิตคล้ายที่พี่ ๆ หลาย คนเห็นนั้นละค่ะ จนรู้สึกว่า มันเป็นเรื่อง ธรรมดาไปแล้วค่ะ
    ก็ ภาพ ตึก ถล่มลงมา แล้วมี น้ำใหล มา ท่วม คนลอยตายเต็มเลยมีแต่ ภาพน่าสลด หดหู่

    แต่ ก็เท่านั้นละค่ะ ที่เจนรู้เรื่อง ก็ ไปกราบถามหลวงตาม้า เรื่องนิมิตที่เห็น ลูกศิษก์ ท่านก็ถามว่าแล้วรู้
    เปล่า ว่า ภัยพิบัติร้ายแรงที่มีคน ลอยตายเต็มกรุงเทพเลยนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ .... ??.....เจนก็บอก
    เค๊าไปว่าแค่เห็นนิมิต ค่ะ ไม่มี ตัวรู้ บอก ประกอบภาพที่เห็นค่ะ คือ ฌานมีแค่ ดูภาพภัยพิบัติได้เท่านั้น
    ค่ะ..... พอกราบเรียนถาม หลวงตาม้า เกี่ยวกับ " เรื่องภับพิบัติ " ท่านก็ตอบว่า " ภัยพิบัติ มันก็ มีมา
    ตั้งนานแล้ว และ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา " ........ แต่ เจนอยากทราบ ภัยพิบัติ ครั้งรายแรง ที่ จะ ฆ่า
    ชีวิตมนุษย์ หลายคน บนโลกนี้ หรือ ในกรุงเทพ อะไรประมาณ นี้ ,,, ท่านก็เหมือนจะบอกว่า แล้วไอ้ที่
    มันตายกันไปหลายคนทุกวันนี้. ยังไม่ร้ายแรง อีก หรือ... ?? ตายเป็น พัน เป็น แสน เป็น หมื่นน ....
    ต้องให้ มีคนตาย ต่อหน้าต่อตา ตัวเองเป็น หมื่น ๆ ถึงจะ เชื่อ เรื่อง ภัยพิบัติ หรือไง - ประโยคสุดท้าย
    นั้น หลวงตาม้าไม่ได้พูดนะค่ะ แต่รู้สึกว่า ท่าน บอกมา ทางคลื่น ความคิดค่ะ - ซึ่งมันก็จริง ทุกอย่าง
    อยาง ที่เราเห็นและ รับรู้ ข่าว สาร กันในทุกวันนี้ ถ้าคุณไม่ได้ ไป อยู่หลังเขา และ ติดตามข่าวสารอยู่
    ( โดยไม่นับ ข่าวสารที่เค๊า เก็บข้อมูล ไม่ได้เปิดเผยไว้ ) ก็น่าจะเห็นอยู่ ว่า เกิดอะไรขึ้น...บนโลกใบนี้

    สำหรับนิมิต น่ากลัว ๆ ที่เจนเห็น เกี่ยว กับ ภัยพิบัติ จะเกิดขึ้นจริง หรือไม่ นั้นเจนไม่ ได้รู้เรื่องอะไรมาก
    แค่อยากบอกว่า ........... ขนาด เจนปฏิบัติไม่ค่อยได้เรื่อง ยัง มีนิมิต เกี่ยว กับภัยพิบัติมาให้เห็นเลย

    ไม่ได้บอกให้ใคร กลัว หรือ ตกใจ แค่อยากบอกด้วยความหวังดีว่า วันนี้ คุณเตรียมตัวตายหรือยัง ??
    เพราะคนทุกวันนี้ กลัวความตายกันมาก เพราะ ความไม่รู้ ทั้งสิ้น .. ถ้าคนในกลุ่มที่ปฏิบัติธรรม ด้วยกัน
    คุยกันเรื่อง ภัยพิบัติ เป็นเรื่องที่ ต้องเตรียมตัว เตรียมพร้อม เตรียมทำหน้าที่ แต่ หากคุย เรื่อง ภัยพิบัติ
    กับคนทั่วไปแล้ว...นั่นคือ ต้องเตรียมใจให้เค๊าเข้าใจในสภาพธรรม ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ของ
    โลก ไม่ให้ วิตกกังวล หรือ แตกตื่น แต่อยากให้ ตั้งจิต ตั้งใจ ปฏิบัติธรรม ประกอบคุณงาม ความดีกัน
    เพราะ หากเราเหลือเวลาน้อยลง ทุก ที่ ทุก ที อะไรคือสิ่งที่จะติดตัวเราไปได้ หากเราตายไปแล้ว

    หลายสิ่งที่เรา วิ่งเข้าหา ทุมเทเวลา ทุมเท ความคิด ให้ นั้น คุ้มแล้วหรือ ... กับการที่ต้องตายจากสิ่ง
    เหล่านั้นไป ทั้งหมดทั้งสิ้น เหลือเพียง คุณความดีงาม อันเป็นกุศล ที่ จะพาเราไปสู่ สุขติภูมิ เท่านั้น
    มนุษย์ ทุกวันนี้ น่าสงสารมากมายเหลือเกิน ............ ที่หมดเวลาไป กับสิ่งที่ ไม่มี จริง เหล่านี้ ,,,

    ,,,,, [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]

    มีลูกศิษย์ หลวงตาม้า คนหนึ่งถามหลวงตาม้า ว่า ,,,,
    ทำไมรูปหล่อหลวงปู่ ท่านยืนครับ ?? .... ปรกติ ผมเคยเห็นแต่ ท่านนั้ง ครับ
    หลวงตาจึงตอบว่า ..... ท่านนั้งบ่อยแล้ว เลยอยากยืนบ้าง ...... ( ฮ่า )

    ( จริง ๆ แล้ว ดูภาพดีดี แล้วจะทราบว่าทำไม่ท่านจึงยืนค่ะ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [vdo]http://video.mthai.com/Flash_player/player.swf?idMovie=6M1247222727M0"><EMBED< a> src="http://video.mthai.com/Flash_player/player.swf?idMovie=6M1247222727M0" type="application/x-shockwave-flash" width="407.6" height="342"></EMBED>
    [/vdo]

    เรื่องจริงผ่านจอ ปาฏิหาริย์เกาะรองเท้า ตอนที่1 - พลังจิต คลิปวีดีโอ
    ดูคลิปดี ๆ นะค่ะ เผื่อเจอ พี่ Nakamura ค่ะ ,,

    (smile)(smile)(smile)



    </EMBED>
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ remixsong
    สวัสดีครับ อ.คณานันท์

    ผมฝันว่าพระมาสอน เรื่องการอธิษฐานฤทธิ์ ท่านให้หนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง หนังสือเขียนเกี่ยวกับ บุคคลตัวอย่าง ที่ได้อภิญญา ทำการอธิฐานฤทธิ์ได้

    แต่ผมจำชื่อไม่ได้ว่าใครบ้าง แต่รู้สึกว่าจะไม่ใช่บุคคลในยุคปัจจุบันนี้ ผมอ่านหนังสือพอจับใจความได้ว่า การอธิฐานฤทธิ์ให้ได้ผลนั้น ในขณะตั้งจิต

    อธิฐานจะต้องทำให้เกิด ธรรมปีติ ให้มากๆ การอธิฐานฤทธิ์จึงจะได้ผล ยิ่งมากเท่าไร โอกาศที่ฤทธิ์จะบังเกิดผล ก็มีมากขึ้นเท่านั้น และต้องฝึกตัวเอง

    ให้เป็น อธิฐานวสี คือคล่องในการอธิฐานเข้าไว้ หมายความว่า ในชีวิตประจำวัน พบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ ให้ตั้งจิตอธิฐานไว้ก่อนเลย ช่วยให้เกิดพลังจิตตานุภาพ

    และข่วยในการ ตัดสังโยชน์ ข้อที่ ๒.คือตัว วิจิกิจฉา ด้วย ผมจับใจความได้ทั้งหมดประมาณนี้ และตอนนี้ผมเกิดธรรมปีติ ขึ้นในขณะ นึกถึงอารมณ์พระนิพพาน

    หมายความว่า หลังจาก ถอนออกจากฌานสี่ เพื่อมาเจริญวิปัสสนา พอจิตทรงตัวในด้านวิปัสสนา มาถึงจุดที่จิตมีกำลังมาก ผมจึงนึกถึง อารมณ์พระนิพพาน แล้วก็เกิด ธรรมปีติขึ้น พร้อมกับอารมณ์พระนิพพาน

    คือ ความสงบ โล่ง เบา สบาย สมาธิ ทรงตัวแต่ว่าเบาสบาย หลังจากนั้นก็ออกไปทำงาน ก็รู้สึกตัวเย็นๆ เบาๆ ตลอดทั้งวัน

    รู้สึกเหมือนน้ำหนักตัวหายไปครึ่งหนึ่ง และในขณะทำงาน สมาธิก็ทรงตัวอีก มีอาการตึงกลางหน้าผาก ในหัวสมอง และ ท้ายทอยด้านบน คล้ายจิตมารวมตัวกันเป็นแนวเส้นตรง

    เป็นก้อนแข็งๆอยู่ในหัว เต้นตุ๊บๆ ผมเลยจับอารมณ์วิปัสสนา พิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัว ในด้านของ ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ก็เกิด ธรรมปีติขึ้น อีกครั้ง

    และคล้ายกับว่าจะเกิดอารมณ์พระนิพพาน ด้วย แต่คราวนี้ ไม่เย็น แต่เป็นอุ่นๆ อุ่นใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นอารมณ์พระนิพพานจริงหรือเปล่าทำไมเกิดบ่อยจัง

    และก็อีกครั้ง กลับมาถึงบ้านก่อนจะเข้านอน นั่งสมาธิ จับภาพพระ เข้าฌานสี่ ถึงอารมณ์หยุด เกิดแสงสว่าง แล้วนึกถึง ภาพความฝันตอนที่พระท่านมาสอน ก็เกิดธรรมปีติขึ้นอีก เกิดขึ้น3-4 ครั้ง ในวันเดียวและวันต่อมาก็คล้ายๆกัน

    และผมเริ่มสังเกตุว่า ทุกๆครั้งที่เกิด ธรรมปีติ ในขณะที่จิตอยู่ในฌานสี่ จะเหมือนเป็นการได้หลุดพ้นออกจากตัวตนเดิมๆ ของเราที่เป็นอยู่

    กลายเป็นอึกคนหนึ่งที่มีความสุข อิ่มอก อิ่มใจมากกว่าเดิม มีธรรมะอยู่ในใจ และ ยังรู้สึกอีกว่า ถ้าจิตทรงอยู่ ฌานสี่ ของ รูปฌาน

    จะมีอาการ มัดแน่นทรงตัว แต่ถ้าตอนนั้นเราหันมาจับอารมณ์วิปัสสนา พอเกิด ธรรมปีติ จิตจะคลายจากอาการมัดแน่นทรงตัว มาสู่ความโล่งสบาย แต่ว่ายังเป็น จิตที่ยังทรงอยู่ในอารมณ์ของฌานสี่

    แต่ถ้าเราเอาจิตไปยุ่งกับกิเลส จิตก็จะเศร้าหมอง เสื่อมลง กลับมาเป็นคนเลวคนเดิม ผมเลยต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำตามแบบนี้ทุกๆวัน ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน

    ผมเลยอยากให้ อ.คณานันท์ ช่วยวิเคราะห์ อาการที่เกิดขึ้นกับตัวผมหน่อยนะครับ ผมกะเอาไว้ว่าถ้าจับอารมณ์ด้านวิปัสสนาญานได้ทรงตัวแล้ว

    ก็จะหันมาฝึกในด้านของมโนมยิทธิ และ กสิณ 10 ให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง
    ขอบคุณมากครับ
    โมทนาบุญด้วยครับ
    -----------------------------------------------------------------

    ที่พระท่านมาเข้าฝันและเนื้อหาในความฝันนั้นตรงกับที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนสายอภิญญา ท่านได้แนะนำไว้เช่นกัน

    หนังสือที่แนะนำให้ไปหาอ่านตามความฝันคือ "ทิพยอำนาจ"ของพระอริยธาร เส็ง ครับ เป็นเรื่องการฝึกอภิญญาโดยตรง โดยท่านที่ได้อภิญญาครับ


    -การตั้งกำลังใจ คือการขอใช้อภิญญานั้นเป็น สัมมาอภิญญา เป็นไปเพื่อช่วย เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เป็นกุศลเจตนาหรือไม่ หากเป็นไปเพื่อเพาะงำกิเลสเพิ่มมานะทิษฐิบ้าง เพื่อเบียดกันทางกาย ทางจิตบ้างก็ย่อมเป็นมิจฉาอภิญญา เป็นไปในทางอบายภูมิเช่นพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง

    -อารมณ์ที่เกิด"ธรรมปิติ"ที่สุด คืออารมณ์ใจที่เป็นสุขที่สุด อภิญญาก็จะเกิดขึ้น

    -การได้อภิญญาใหญ่ จะเป็นการอธิฐานฤทธิ์ โดยตรง สามารถใช้ได้เลยทันที เมื่อถึงวาระที่พระท่านอนุญาต

    -การมีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนไตร ความศักดิ์สิทธิ์ การกราบขอบารมีพระท่าน ความสิ้นในวิจิกิจฉา อันเป็นองค์อารมณ์แห่งพระโสดาบัน มีความสำคัญมาก

    ดังนั้นในส่วนวิปัสสนาญาณควร เจริญสมาธิตัดสังโยชน์สิบ จนจิตตั้งมั่นในอารมณ์พระนิพพานเอาไว้ให้มากครับ

    จุดสำคัญอีกจุดคือ ประคับประคองอารมณ์ใจเราเอาไว้ให้จิตโปร่งเบา เเช่มชื่นเป็นสุขให้ได้ตลอดทั้งวันไม่ว่าทำงานหรือกิจการใดอยู่ก็ตาม ให้จิตชินเอาไว้เป็นปกติเอาไว้ จนเป็นฌาน เพราะฌานแปลว่าชิน

    อาการที่ปรากฏว่า กายแยกหลุดทางหน้าอกเป็นแสงนั้น เป็นอาการ ที่จิตเริ่มแยกอาทิสมานกายออกมาจากกายเนื้อได้ชัดเจนขึ้น กำลังเป็นแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง หรือการถอดกายทิพย์แบบชักหญ้าปล้อง ถอดกายทิพย์ออกมาครับ

    หากวาระ ได้อยากให้มาเรียนแบบได้มาพบกันครับ เพื่อจะได้ถ่ายทอดสมาธิให้ได้อย่างเต็มที่ ทั้ง กสิณสิบ รวมกอง อรูปสมาบัติ และต่อมโนมยิทธิได้เลยครับ

    ขอให้ความเจริญในธรรมจงงอกงาม และก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปเพื่อเป็นกำลัง ของพระพุทธศาสนาในการจะช่วยสงเคราะห์สาธุชนทั้งหลายสืบไปครับ
     
  10. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    กราบอนุโมทนาในผลแห่งบุญกุศลของการสอนธรรมของอาจารย์พี่เล็กค่ะ

    และกราบอนุโมทนาบุญในความเจริญงอกงามแห่งสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา และสัมมาปฎิบัติของทุกๆท่านด้วยนะคะ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ทำความดีเพื่อความดี

    ทำความดี เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าถึงความดี

    เมื่อความสุขเราเกิดจากจิตที่ปรากฏมุทิตาจิต ยินดีในความสุขของผู้อื่น เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุขได้ในทุกๆสิ่ง

    เมื่อจิตเป็นสุขมากทุกข์น้อยเราก็ใกล้ พระนิพพานยิ่งขึ้น

    การปฏิบัติในพระพุทธศาสนาก็คือ การตั้งจิตในกุศล

    ปฏิบัติเพื่อความสุขของจิตใจ ปฏิบัติเพื่อจิตเป็นสุข

    แต่ก็ไม่ใช่อารมณ์ใจที่

    สะใจ(เข้าใจผิดว่าเป็นความสุข สนุก ด้วยมิจฉาทิฐิ) ในความทุกข์ ความทรมาน ความเดือดร้อน กาย ใจของผู้อื่น

    ดังนั้นพรหมวิหารเราต้องเต็มต้องบริบูรณ์ก่อน
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สวัสดีครับอาจารย์,
    ผมได้อ่านหนังสือวิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติแล้ว... ได้ปฏิบัติตามวิชชาเกี่ยวกับการกักลมหายใจ แล้วรู้สึกว่าจิตไม่ฟุ้งซ่านมากเหมือนก่อนครับ.. ผมอยากเรียนเป็น 2 ลักษณะขั้นตอนครับ
    1. ช่วงเวลาของการนั่งสมาธิ
    2. ช่วงระหว่างวันในทุกอิริยาบถ

    1. ช่วงก่่อนและระหว่างนั่งสมาธิ - ผมได้ลองวิชชากักลมหายใจและบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก่อนเริ่มจับลมหายใจปกติ ก็รู้สึกว่าจะควบคุมความฟุ้งซ่านได้ดีกว่าเริ่มจับลมเลยโดยไม่กักลม ทำให้การจับลมรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นและหลุดจากลมน้อยลง แต่ก็ยังมีหลุดอยู่

    2. ช่วงระหว่างวันในทุกอิริยาบถ - ยังหลุดๆอยู่ตลอดทั้งวันครับ.. พอนึกได้ก็เหมือนกับไปเพ่งลมซะแล้ว ตั้งใจขึ้นมาทันที ไม่เป็นธรรมชาติ จุดนี้ผมคิดว่ายังต้องใช้เวลาในการตามลมให้เป็นธรรมชาติ แปลกตรงที่ว่าเมื่อวานนี้ ตอนเริ่มทำตามหนังสืออาจารย์ โดนทดสอบอารมณ์ทั้งวัน (จิตเกิดจากลูกน้องและงานจนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่) ทุกข์สองเด้งอีกแล้วครับ คือโกรธออกไปและกลับมานั่งทุกข์ใจอีกที จุดนี้เป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ไม่อยากให้เราได้เริ่มหรือเปล่าครับ อาจารย์

    ตอนนี้ผมรู้ตัวว่ากำลังใจในทางปฏิบัติยังไม่เต็มเปี่ยม ขึ้นๆลงๆลุ่มๆดอนๆเป็นพักๆ แต่ความทุกข์จากสังขารทางกายและโดยเฉพาะทางการปรุงแต่งทางใจเข้าถึงใจตลอด ว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่อยากให้จิตเกิดอีก เป็นทุกข์จริงๆ และพยายามกระตุ้นตนอยู่ว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้วนะ แต่ยังหาจุดปล่อยจุดวางไม่เจอ ไม่กลัวตายนะครับเพราะพร้อมวางทุกอย่างหมด (ทรัพย์ภายนอกและลูกเมีย) แต่กลัวภพต่อไปมากกว่า ว่าถ้าวางกำลังใจไว้ไม่ดี กลัีวพลาดรถไฟและต้องเวียนว่ายอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ กลัวตรงนี้มากๆครับ

    ขออาจารย์ช่วยกรุณาแนะอุบายการติดตามลมอย่างเป็นธรรมชาติและให้ต่อเนื่องในอิริยาบถต่างๆในชีวิตประจำวัน... ตอนนี้ยังขาดการทรงอารมณ์ตรงจุดนี้ครับอาจารย์

    ขอบพระคุณอีกครั้งครับ;aa40[/quote]

    ขอโมทนาบุญในความตั้งใจในการปฏิบัติด้วยครับ
    1.ค่อยๆติดตามลมหายใจที่สงบ ราบรื่น ใจสบายไปจน จิตเริ่มนิ่ง เห็นสภาวะอาการหยุดของจิตชัดขึ้น หากลมหายใจหายไปก็ปล่อยไป ซึ่งเป็นผลของสมาธิที่จิตสงบจนลม(หายใจสงบ ระงับไปด้วย)

    เราต้องการสภาวะที่จิตนิ่ง ตั้งมั่นเป็นเอกกัตคตารมณ์อันเป็น ฌานสี่นี่ล่ะครับ

    2.ระหว่างเราไม่ต้องไปควบคุมจนอารมณ์ใจเราหนักหรือเครียด

    คุมในอารมณ์ที่ใจเราสบาย (เป็นสมาธิ )และให้ใจเราแย้มยิ้มจากภายใน (เป็นเมตตา)เอาไว้

    ระลึกเราเราก็ย้อนมาจับอารมณ์ใจแบบนี้เอาไว้ทั้งวัน

    พออารมณ์เครียดหรือหนักจากงานหรือ อารมณ์ใจอื่น เราก็ย้อนกลับมาทรงอารมณ์จิตเป็นสุขนี้อีก

    ไม่ต้องกังวลว่าทรงไม่ได้ตลอด เพราะ ผู้มีสติสมบูรณ์เต็มจริงทรงได้ตลอดเวลามีเพียงพระอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นเราประคับประคองอารมณ์ใจเป็นสุขนี้ให้ได้นานที่สุดเอาไว้ จนใจชินกับอารมณ์ที่เป้นสุข เป็นกุศล

    ให้สังเกตุจิตเราเองว่าเมื่อทรงจิตในอารมณ์ ที่นิ่ง เย็นแล้ว เรามีกิเลสไหม มีความอยากไหม มีความรู้สึกอยากละเมิดศีลหรือไม่ มีอกุศลเข้ามาไหม

    เราพิจารณาจิตเราดู ซึ่งจะเข้าเป็น จิตตานุปัสนาสติปัฐฐาน เองของมัน

    จากนั้นเรามาพิจารณาว่า จิตเราในอารมณ์นั้น มี จิตอับประกอบด้วยกุศลไหม

    มีเมตตา

    มีความอิ่มใจ จนจิตเริ่มเข้าใจคำว่าพอ

    มีความสุข ที่ค้นพบในจิตใจ

    มีความรัก ความปรารถนาดีต่อทุกคน

    จิตเริ่มคลายจากความหลง ความยึดติดใน วัตถุ ในร่างกาย มากขึ้น

    นั่นคือเรารักษาใจจนค่อยๆเบาบางจากกิเลสยิ่งไปทีละน้อย ในขณะที่เราทรงสมาธิเอาไว้

    จากนั้นจึงประคับประคองอารมณ์จิตให้นานเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก

    จนเป็นปกติของใจครับ

    ขอให้ความงาม ความสงบแห่งธรรม จงฉายประกายงามในดวงจิตทุกๆดวง
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอเสริมเรื่องเมตตาค่ะ พอดีปูอ่านเจอในหนังสือคำพ่อสอน พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ
    "...ผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณา หมายถึงการที่จะมีจิตใจเห็นใจผู้อื่น มีจิตใจ ที่จะเห็นถึงความเดือดร้อน เราจะต้องช่วยเหลือ จิตใจนี้ก็เป็นจิตใจที่มีกำลังมาก ทั้งอ่อนโยนมาก จิตใจนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้งานการทุกอย่างก้าวหน้าได้ เพราะว่าถ้าคนที่มีเมตตากรุณาในใจ และเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น หมายความว่าผู้นั้นเป็นคนฉลาด หมายความว่า คนนั้นเป็นคนที่อ่อนโยน และเห็นอะไรๆได้ชัด เมื่อคนเรามีความอ่อนโยน และมีความละเอียดอ่อน และเห็นอะไรได้ชัดก็ย่อมจะทำงานของตน ที่กำลังทำด้วยความก้าวหน้านั้นสำเร็จลุล่วงไปได้..."
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้ มีหลายต่อหลายท่านที่มีการปฏิบัติที่ก้าวหน้าขึ้นกัน

    มีหลายท่านอีกเช่นกันที่ อยู่ในเกณฑ์ของอภิญญาใหญ่

    นั่นคือสามารถแสดงอิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้

    แต่อย่างไรก็ดี

    ในเวลาข้างหน้าต่อไป จะปรากฏผู้มีฤทธิ์ อภิญญาให้พบเห็นจำนวนมาก
    ถึงกระนั้นก็ดี การปรากฏขึ้นของผู้มีอภิญญานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้อง เป็นฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม นั้นเขาก็มีอภิญญาเช่นกัน

    แต่ที่น่าห่วงก็คือ ผู้ได้อภิญญาฝ่ายดำนั้นเขาได้ง่ายกว่า ได้เร็ว มีคนจะหลงเข้าไปนับถือ หรือเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก ในตอนต้น

    จนพากันไปในทางมิจฉาเสียเป็นส่วนมาก

    และท้ายที่สุดของอภิญญาฝ่ายลบ นั้นย่อมมีทุกข์คติภูมิเป็นที่ไป

    ส่วนอภิญญาของฝ่ายกุศลนั้น การฝึกนั้น ยากกว่า ใช้กำลังใจสูงกว่า มีกฏ(ศีล) เป็นเครื่องควบคุม

    แต่เมื่อปรากฏแล้ว ก็ย่อมเกิดทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญญฤทธิ์ขึ้นพร้อมๆกัน มีสุขคติภูมิเป็นที่ไป ฤทธิ์ที่ได้ยังประโยชน์ สร้างศรัทธาให้แก่ส่วนรวม

    เพราะเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือ การสงเคราะห์ส่วนรวม เป็นสำคัญ


    การแยกแยะ อภิญญาฝ่ายกุศลและ อภิญญาฝ่ายดำนั้น มีความแตกต่างกันซึ่งหากเรา วางจิตเป็นอุเบกขา พิจารณาด้วยจิตเป็นกลาง เราจะพอจำแนกออกได้

    -อภิญญาฝ่ายกุศล เริ่มต้น ตั้งแต่การตั้งกำลังใจ ในการฝึกของเราเอง ว่า

    "เรายอมเหนื่อย ยอมยากลำบากพากเพียร เพื่อให้ได้อภิญญามาเพื่อช่วย สงเคราะห์ผู้คนด้วยเมตตาจิต ในยามเกิดภัยพิบัติ" อันเป็นการทำความดีเพื่อให้ เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้เป็นสุข (เป็นเหตุให้การฝึกยากและนาน เพื่อทดสอบตัวตนของเรา ว่า เป็นทองแท้หรือไม่)

    กำลังบารมี อิทธิฤทธิ์ ต่างๆเกิดขึ้นด้วย กำลังและ บารมีพระท่านมาเมตตาสงเคราะห์ ดังนั้น ยิ่งฝึกยิ่งใช้ ความตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์ยิ่งมากเพิ่มขึ้น (อย่าลืมว่าไตรสรณะคมม์คือ องค์แห่งพระโสดาบันในการละวิจิกิจฉา อันเป็นสังโยชน์สองในสังโยชน์สิบ ในการเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า)

    และยิ่งสงเคราะห์มากเท่าไร บุญฤทธิ์ยิ่งเพิ่ม ยิ่งเข้มข้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

    การใช้ฤทธิ์นั้นหาก เราวางกำลังใจผิด ผลแห่งฤทธิ์ก็จะไม่ปรากฏ ดังนั้นเราก็จะยิ่ง ขัดเกลา ระมัดระวัง จิตเราเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ

    การใช้ฤทธิ์เป็นการสงเคราะห์ ไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน หรือเพิ่มกิเลส เพิ่มโมหะ เพิ่มมานะแต่อย่างไร ดังนั้นท่านที่ได้จริง ท่านก้จะถ่อมตัว ท่านว่า ท่านไม่มีอะไร เป็นบารมีพระบ้าง ท่านไม่เก่ง (ซึ่งท่านก้าวข้ามระดับที่ใช้กำลังตนเองไปแล้ว และเป็นเหตุผลว่า ทำไม ท่านเหล่านี้ ท่านจึงต้องถาม "พระ" ตลอด เสมอมา ทรงภาพพระให้ได้อยู่ตลอดเวลา)

    ดังนั้นเมื่ออภิญญาใหญ่เข้าเต็มอัตรา ท่านก็ใช้การอธิฐานฤทธิ์โดยตรงกับพระที่ปรากฏในจิตท่าน ก็เกิดผลทันที


    -ส่วนอภิญญาดำนั้น ได้ง่าย ยอมเป็นสาวกเป็นผู้รับใช้ฝ่ายดำ ก็ได้รับพลังมา

    แต่พลังแบบนี้ไม่เที่ยง ยิ่งใช้ยิ่งบั่นทอนพลังชีวิตตนเอง
    ยิ่งใช้ยิ่งเกิดวิบากกรรมมาตัดรอน

    ยิ่งใช้ยิ่งหลง ในความเก่งของตนเอง จนต้องต่อสู้แข่งขันแย่งความเป็นหนึ่ง

    ใช้อภิญญาก็เพื่อ กด เพื่อข่ม เพื่อครอบงำจิตใจผู้อื่นให้เคารพบูชาตนเอง

    ดังนั้นย่อมเกิดความเศร้าหมองในจิต สร้างวิบากกรรม ความทุกข์ให้กับผู้อื่น

    ตนเองถึงที่สุด ก็จะเสื่อมจากอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ถูกสาปแช่งจากผู้ที่โดนทำร้ายหรือกดข่มด้วยฤทธิ์นั้น

    ฤทธิ์ที่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ได้มาด้วยการเบียดเบียน
    ฤทธิ์ที่ยิ่งก่อมานะทิฐิ ก่อกิเลสตัณหา อุปทานให้กับจิตใจตนเอง
    ฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดความเร่าร้อน ครอบงำ กดดัน จิตใจตนเองและผู้อื่น

    เหตุแห่งโทษทั้งปวง เริ่มจาก "มิจฉาทิฐิ" เป็นสำคัญ
    ------------------------------------------------------


    ดังนั้นเราทุกคนหาก ตั้งจิตในอภิญญา เพื่อสงเคราะห์ ผู้อื่นเป้นสำคัญแล้วนั้น

    จุดสำคัญที่สุดของเราที่ต้องตั้งเอาไว้ให้ดี จนเป็น ตัวตนของเราก็คือ

    -กำลังใจในการทำความดี เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าถึงความสุข

    -เมตตา พรหมวิหารสี่เต็มหัวใจ

    -ความมั่นคงและความเคารพในพระรัตนไตร เด็ดเดี่ยว และนอบน้อมอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด

    -มีความเป็นสัมมาทิฐิบริบูรณ์

    -มีวิปัสสนาญาณละเอียดชัดเจน กระจ่างแก่ใจ ไม่ใช่เพียงสัญญา ความจำ แต่เป็นความน้อมยอมรับความเป็นจริงในอนิจจะลักษณะอย่างสมบูรณ์

    -มีความเพียร ไม่ท้อถอยในการทำความดี เป็นปกติ

    -บารมีสามสิบทัศน์ต้องใคร่ครวญและทรงกำลังใจให้ได้เสมอ

    นั่นจึงจะเข้าถึง


    "สัมมาอภิญญา"



    หากเชื่อมั่นในวิสัยว่าเรา อยู่ในเกณฑ์อภิญญาใหญ่แล้ว

    ก็ขอเป็น"สััมมาอภิญญา"

    เพื่อยังประโยชน์ต่อส่วนรวม


    "ขอสัมมาอภิญญาจงรวมตัวกันในจิตของทุกท่านที่ตั้งเอาไว้ดีแล้ว ในกุศลจิต มี สัมมาทิฐิเป็นต้น มีพระนิพพานเป็นที่สุด เพื่อยังประโยชน์ไว้ใน พระพุทธศาสนาให้ดำรงตราบเท่า 5000 ปีด้วยเทอญ"
     
  15. NatAndaman

    NatAndaman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +605
    อภิญญาฝ่ายดำนี้คือ ไสยดำหรือเปล่าครับ แล้วถ้าเราเคารพในพระรัตนตรัย ฝึกสมาธิอยู่ประจำ แต่กำลังเรายังไม่ถึงระดับอภิญญา เราจะต้านเขาได้หรือเปล่าครับ
     
  16. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    กำลังตรงนี้คือความมั่นคง ที่ยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
    หากเรายึดมั่น และเชื่อมั่น ในกำลังพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    น้อมนอบ และเด็ดเดี่ยวต่อการให้ความเคารพพระรัตนตรัยเป็นที่สุด
    พระรัตนตรัยย่อมคุ้มครองรักษาเราแน่นอนค่ะ
    "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้ได้ฟังธรรมะของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เรื่อง ชีวิตมีค่า ไยฆ่าชีวิต มีคำพูดอยู่ช่วงหนึ่งฟังแล้วสะกิดใจ อาจจะจำผิดพลาดต้องขออภัยค่ะ คือ "ชีวิตเปรียบเสมือนกระดาษ คุณค่าชีวิตเปรียบเสมือนข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ ถึงแม้คุณภาพของกระดาษอาจจะเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ข้อความนั้น หากแม้นกระดาษนั้นเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ แต่ข้อความนั้นบันทึกลงไปเป็นสิ่งที่มึประโยชน์ มีสาระ กระดาษนั้นก็ทำให้เกิดมีคุณค่า หากกระดาษที่มีคุณภาพดีเพียงไร แต่เขียนข้อความที่ไร้สาระเกิดโทษลงไปเสียแล้ว กระดาษนั้นก็เป็นเพียงแค่เศษกระดาษ หาค่ามิได้ "
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่พระท่านบอก นั้น

    ท่านให้เปลี่ยน มิจฉาให้เป็นสัมมา

    มีทิฐิที่ผิดเป็นการเบียดเบียน เป็นมิจฉาทิฐิ ก็เปลี่ยนให้เป็นสัมมาทิฐิ


    มิจฉาสมาธิก็ช่วยปรับให้เขา เป็นสัมมาสมาธิ

    เหนื่อยหน่อยแต่ก็เพื่อให้เขาพ้นจากวิบากความทุกข์

    ด้วยเหตุนี้ สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ท่านจึงเปลี่ยนมหาโจรองคุลีมาลให้เป็นพระอรหันต์

    สมัยก่อนสมเด็จวัดอนงครามจึงโปรด โจรใหญ่สามคนให้เป็นพระ

    เราก็ต้องก้าวเดินตามท่านครับ
     
  19. tam220t

    tam220t ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +537
    ถ้ารอดมาได้จากช่วงภัยพิบัติ เค้าจะใช้ธนบัตรกันอยู่อีกไหมครับ ทองคำจะยังเป็นสิ่งมีค่าไหมครับ

    สงสัยครับ ว่าเราควรเตรียมาอะไรไว้ หลังจากนั้น
     
  20. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    เคยได้ยิน ดร.พี่ไก่ เล่าว่า สมัยที่คุณตาของท่านอพยพหนีภัยสงคราม
    มีแหวนทองคำซึ่งเป็นแหวนแต่งงาน ติดนิ้วเป็นสมบัติตัว
    แต่ในยามนั้น ท่านกลับต้องถอดแหวนทองคำ
    ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนแห่งความรักของคุณตาและคุณยาย... เพื่อแลกกับกระป๋องน้ำ !!
    เพื่อตักน้ำไปให้ผู้เป็นภรรยาที่นอนป่วยอยู่

    เป็นเรื่องเล่าในอดีตจากพี่ไก่ที่ประทับใจมากค่ะ
    หากเล่าผิดความเดิมอย่างไร ก็กราบขอขมาพี่ไก่ไว้ก่อนนะคะ

    ในช่วงก่อนฟื้นฟู เราคงพูดได้ยากว่าทองคำจะมีคุณค่าพอจะแลกกับสิ่งใดมั้ย
    แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ความรู้ความสามารถที่จะพลิกผืนแผ่นดินให้เป็นทองคำ นั้น
    มีคุณค่าเพียงพอต่อผู้ที่รอดเหลือหลังภัยพิบัติ และจิตใจที่ดีงาม มีความรักและเมตตาต่อกัน
    เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ให้อภัยแก่กัน ก็จักทำให้สังคมของมนุษย์ในช่วงหลังภัยพิบัติ มีความสันติสุข
    อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและร่มเย็นค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...