รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณ K. Xorce มากค่ะ
    นอกจากความรู้สึกอยากลุกขึ้นแล้ว บางครั้งก็รู้สึกอยากเคลื่อนไหวร่างกายด้วยค่ะ (ไม่ได้เมื่อยค่ะ)

    ขอถามเรื่องการแผ่เมตตาขณะนั่งสมาธิค่ะ มีหรือไม่คะที่เราสามารถแผ่เมตตาออกมาได้เอง ดิฉันหมายถึงพลังที่แผ่ออกมามันออกมาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งจิตทำสมาธิเพื่อที่จะแผ่เมตตาก่อน เพราะบางครั้งขณะจิตสงบมากๆจะรู้สึกว่ามีพลังที่แผ่ออกมาจากนั้นดิฉันจะจินตนาการถึงแสงสีทองแล้วส่งออกไปให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพภูิมิ ค่ะ

    จะพยายามหาโอกาสไปซอยสายลมค่ะ แม้ว่าจะลำบากอยู่เพราะความเชื่อเดินสวนทางกับทางบ้านค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ชอโทษครับ ที่ให้รอนิดนึง
    เดี้ยวจะค่อยๆทยอยมาตอบครับ
     
  3. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    สวัสดีครับ คุณชัด ผมไปต่อไม่ได้ ครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลังจากไปถือศีลแปด มา 5 วัน ผมได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน มาเล่าให้ฟ้งและอยากขอคำแนะนำเพิ่มเติมครับ<o:p></o:p>
    ประสบการณ์ ที่ 1 ( 6 ก.ค. 52) ตั้งแต่เริ่มรับศีล ผมจับลมหายใจ และภาวนา พุทธ-โธ ตามลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าผมจะเดิน ยืน นั่งนอน เอาแบบหลวงปู่ฤาษีท่านสอน ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ เอาชนิดไม่สนใจอย่างอื่น สนใจแต่ลมหายใจเข้าออก กับภาวนาพุทธ-โธ พอนั่งสมาธิเริ่มจับลมหายใจได้นานขึ้น <o:p></o:p>
    ประสบการณ์ที่ 2 ( 7 ก.ค. 52 ) วันนี้เป็นวันพระ ตอนเช้าทำวัตรเช้า เดินจงกรม นั่งสมาธิ ได้ยึดเอาอสุภะกรรมฐาน 10 โดยกำหนดร่างกายตัวเอง มาพิจารณาก่อนที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและภาวนา <o:p></o:p>
    พุทธ- โธ (อาการจับลมหายใจ และภาวนา พุทธ-โธ มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แปลกมาก แม้ไม่คิดมันก็มากำหนดรู้เอง) เกิดอาการปีติแบบเต็มขั้น แม้ออกจากการนั่งสมาธิแล้ว เดินไปกินข้าว เหมือนตัวจะลอยได้เลย ขนลุกซู่เป็นระยะๆ น้ำตาไหลตลอด พอจับลมหายใจแป๊ปเดียว เกิดวูบวาบ อาการปีติมาเลยแม้ในขณะเดิน<o:p></o:p>
    ประสบการณ์ที่ 3( 8 ก.ค. 52 ) วันนี้ลมหายใจเบาสบาย ไม่แส่ส่าย หรือคิดเรื่องอื่น นิ่งดีมาก หลังจากทำวัตรเช้า เดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิ ก็ทำเหมือนเดิม ยกอสุภะกรรมฐาน10 มาพิจารณาก่อน พอเสร็จก็จับลมหายใจเข้าออกแป๊ปเดียว ดิ่งลึก ลมหายใจเริ่มอ่อน คำภาวนาไม่ต้องพูดถึง จับลมหายใจแป๊ปเดียวปีติเกิดแล้ว รู้แต่ว่าลมหายใจมันเริ่มจะหายไป แต่พอยังมีอยู่นิดๆ หูเริ่มได้ยินเสียงเบา ร่างกายตึงมาก มั่นคงดี พอมาถึงตอนนี้มันก็อยู่ในอาการนี้ อยู่นาน จนได้ยินเสียงแว่วๆว่าให้กำหนดแผ่เมตตา เลยค่อยๆคลาย และผ่อนลมหายใจให้ยาวขึ้นมาเป็นลำดับ วันนี้ทั้งวัน(เพราะต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิ 3 รอบ) อาการเป็นแบบนี้ทั้ง 3 รอบ และครั้งสุดท้าย ( ตอนหลังทำวัตรเย็นเสร็จ) คราวนี้ พอมีอาการดังกล่าวข้างต้น รู้สึกว่าตัวมันเอียง มาทางด้านซ้าย ประมาณ 45 องศา (จริงๆ กายตั้งตรง) ร่างกายตึง มั่นคง แม้รู้ว่ามันเอียงแต่ก็มั่นคงดี แล้วก็ได้ยินเสียงแว่วๆว่าให้แผ่เมตตาเลยถอยลมหายใจขึ้นมา <o:p></o:p>
    พอตกกลางคืน นอนไม่ได้เลย แปลกมาก เพราะพอจับลมหายใจแป๊ปเดียว หลับตายังกับยังไม่ได้หลับตา สว่างมาก ภาพต่างๆเริ่มมา ตอนนั่งมันก็เริ่มมา แต่ที่หลวงปู่สอนว่าไม่ให้สนใจ ก็ทำตามนั้นเลยมีไม่มาก<o:p></o:p>
    แต่ตอนนอนนี่ ภาพที่เห็นมันคล้ายๆกับภาพที่มีแสงจ้ามากๆ (อธิบายไม่ถูก ) แต่ก็พอมองเห็นคน เห็นสัตว์ แต่ภาพที่มันนานกว่าภาพอื่นและมาบ่อยแบบต่อเนื่องเป็น 10 นาที คือ เห็นพระนั่งคุยกันเล่นใต้กอไผ่ ในความรู้สึกตอนนั้นคิดว่าตัวเองก็เป็นพระ และอีกภาพหนึ่งที่มาบ่อยแบบต่อเนื่องเป็น 10 นาทีเหมือนกันคือ อยู่ในสงคราม คนถือดาบไล่ฆ่ากัน ช้าง ม้า วัวที่ลากเกวียนวิ่งชุลมุน ภาพนี้อยู่นามมาก ในความรู้สึกตอนนั้นคือตนเองเป็นทหาร กว่าจะข่มตาหลับลงได้ต้องพยายามไม่จับลมหายใจ เพราะตอนนั้นอยากพักมาก แต่กว่าจะทำได้ก็เกือบเที่ยงคืน<o:p></o:p>
    ประสบการณ์ที่ 4( 9 ก.ค. 52 ) นั่งสมาธิมีอาการอย่างเดียวกับวันที่แล้ว ในใจก็คิดว่าทำไมหูมันจึงไม่ดับ ลมหายใจทำไมไม่หาย แต่พอมาถึงตรงนี้ทีไรทำไมมันหยุดอยู่แค่นี้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าในขั้นนี้ต้องทำอย่างไร มาถึงตรงนี้ก็คิดถึงมิตรธรรมในเวบพลังจิต คิดว่าคงมีนักปฏิบัติรุ่นพี่ที่พอจะให้คำแนะนำเพื่อจะได้ไปต่อได้ เพราะตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพิจารณาอะไร ก็กำหนดรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆ หาอ่านก็ไม่มี<o:p></o:p>
    ประสบการณ์ที่ 5( 10 ก.ค. 52 ) วันนี้เป็นวันออกศีล ทำวัตรเช้า แล้วก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ ก็มีอาการเหมือนกับวันที่ผ่านมา ก็รู้สึกเสียดายที่เวลาน้อย เพราะแต่ก่อนที่ปฏิบัติเองที่บ้านก็เคยเข้าสภาวะนี้ได้แต่ไม่ทรงตัวนานๆครั้ง แต่ไม่ได้ฝึกแบบมีแบบแผน แต่พอมีแบบแผน และรู้อารมร์ใจว่าจะเข้ายังไง พอจะเข้าใกล้ แต่ก็ไปไม่ถึง.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มีคำถามครับ<o:p></o:p>
    ผมต้องทำยังไงถึงจะเข้าถึงสภาวะ ลมหายใจหายไป หูไม่ได้ยินเสียง ชนิดดังวิ้งๆในหู ?<o:p></o:p>
    คือตอนนั้นผมต้องกำหนดอะไร เพราะกำหนดลมหายใจก็กำหนดตลอดรู้แต่ว่ามันเบามาก เบาจนจะไม่หายใจแต่มันยังไม่หลุดออกไป ผมติด ผมไปต่อไม่ได้ . ขอความกรุณาด้วยครับ ขอคุณมาก<o:p></o:p>
     
  4. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เล่าต่อ คือ วันนั้นที่ไปฝึกมโนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ร่างกาย กับจิตมันคนละเรื่องกันเลยครับ เหมือนอยู่คนละที่ ครูที่เค้าอยู่นั้นจะนำทางถามตลอดว่าเห็นอะไรบ้าง เห็นไหม เป็นยังไง แต่ ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะจิตไปตามที่คุณครูนำแต่ ครูถามคำไหน ถ้าถูกร่างกายมันก็จะผยักหน้า ถ้าผิดร่างกายมันก็ส่ายหน้า คือมันทำของมันเองผมไม่ได้บังคับเลย ~~; ตอนแรกก็งงแต่ร่างกายมันขยับเอง เออก็แปลกดีแต่รู้ว่า ร่างเป็นยังไงได้ยินอะไรแต่จิตมันอยุ่ที่ๆเค้านำไปครับ แต่จิตอยู่ตรงนั้น อยู่ที่ๆครูพาไป ร่างกายไม่ได้ไปด้วย ความรู้สึกแบบนั้น แต่ ยังเห็น เป็น สีขาวประกายตัดกับสีดำนวลๆอยู่ ครับ

    แล้วตอนนี้ ที่หัวสั่นๆ มันเหมือนกับว่า สองฝ่ายตีกัน ทั้งดีและไม่ดี ร่างกายเลยเป็นกลาง รองรับอารมณ์ทั้งสองฝ่าย จึงทำให้จิตอยู่ภาวะที่ไม่อยากจะอยู่ในร่างหน่ะคับ ตอนนี้นะ

    กลัวว่าจิตจะเตลิดไปไกล ใจมันระสั่นครับ

    จะว่าตอนเข้าสมาธินิ่งก็นิ่งนะแต่ ถ้าหากสิ่งที่ไม่ดีผุดออกมามันก็พยายามเลี้ยง ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็ลด ตอนนี้พยายามอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2009
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    คือช่วงนี้ผมรู้สึกตัวเองเลยครับว่าร่างกายอ่อนแอ จากการกินอาหารน้อย วันละ1-2มื้อ แต่รู้สึกเหมือนจิตเข้าสู่สภาวะสงบได้ ทุกวันนี้พอสำรวจตัวเองดูแล้ว มันบอกร่างกายอ่อนแอจริง ผมว่าพระท่านฉันวันละ 2มื้อท่านยังอยู่ได้ แต่ผมรู้สึกเลยว่าร่างกายมันอ่อนแอลงจนมันเบาโหวง ผมควรกลับไปกินให้ครบมื้อ3มื้อดีรึปล่าวครับ

    อันนี้ให้เราปรับให้เหมาะกับเราครับ
    บางคนสามารถที่จะกินสองมื้อได้ บางคนก็ทานสองมื้อไม่ไหว
    ถ้าเราออกกำลังกายด้วย เรียนด้วย ทำงานหนักด้วย ทานสามมื้อก็จะเหมาะกว่าครับ
    อย่าลืมว่าถ้าร่างกายไม่สัปปายะ หิวไปบ้าง เหนื่อยไปบ้าง พักผ่อนไม่เพียงพอบ้าง
    สมาธิของเราก็จะพังครับ

    ดังนั้นต้องปรับให้เหมาะสมกับเรา ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ตามสถานการณ์ของเรา จึงจะเป็นทางสายกลางครับ
    และสิ่งที่สัปปายะ เป็นทางสายกลางของเรา ก็อาจจะไม่เหมือนกับคนอื่น
    เช่น เขากินสองมื้อได้ กินเจได้ เรากินแบบเขาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
    เพราะร่างกายแต่ละคนมีความเหมาะสมที่ไม่เท่ากัน
    ถ้าเราฝืนความเหมะสมของร่างกายของเรา สมาธิก็จะพังเช่นกัน

    ช่วงหลังๆมานี้พอผมแผ่เมตตา มันจะรู้สึกวาบๆ เหมือนกายหายไปรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสีทอง

    อันนี้ถูกแล้วครับ ถ้ามีต่อจะรู้สึกว่าแสงสว่างสีทองนี้ ระเบิดแผ่ขยายออกไปยังทั้งจักรวาล จิตจะมีความชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอมสุดๆ

    หลังจากนั้นเหมือนมันหายไปหมดเลยกลับสู่ความมืด

    ถ้าหายไปหมดกลับสู่ความมืด แปลว่าเรายังประคองอารมณ์ไว้ไม่ได้ครับ
    ก็ค่อยๆฝึกประคองอารมณ์ ให้ใจชุ่มเย็น อยู่ด้วยเมตตาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น
    เดี้ยวเราก็จะประคองได้ดีกว่าเดิมครับ

    ไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือปล่าว แล้วฝึกมโนรอบหน้าวันไหนหรือครับ รอบนี้ผมว่าจะหาโอกาสไปฝึกบ้าง<!-- google_ad_section_end -->

    1-2 สิงหาคมครับ ลองไปดูครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งความอิ่มใจที่บังเกิดจากสมาธิ ที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ vishnurama ครับ

    อยากถามเรื่องกรรมฐานเปิดโลก ว่า ถ้าผมจะเริ่มต้นฝึก ควรที่จะ ทำอย่างไร และสามารถฝึกคนเดียวได้หรือไม่ โดยที่ไม่ต้องมีพระอาจารย์คอยกำกับ ครับ<!-- google_ad_section_end -->

    กรรมฐานเปิดโลกต้องมีพระอาจารย์คุมตลอดครับ
    ไม่งั้นมีโอกาส ไขว้เขวได้สูง ห้ามฝึกเองครับ
    เพราะถ้าเจ้ากรรมนายเวร เขาเข้ามาแล้วไม่ยอมออก
    หรืออาการไม่ยอมสลายตัวไปหลังจากการฝึก จะเป็นปัญหาได้

    ลักษณะคือ จะภาวนาไปเรื่อยๆ จนมีอาการของกรรมที่เราเคยทำในอดีตชาติปรากฏขึ้น
    จากนั้นก็ล้างออกไป ด้วยแผ่เมตตาบ้าง ชำระกรรมกันบ้าง

    จริงๆผมแนะนำว่าถ้าเราอยากจะปฏิบัติแบบปลอดภัย
    ผมแนะนำฝึกมโนมยิทธิดีกว่า เราดูกรรมของเราได้เช่นกัน ดูของคนอื่นก็ได้
    ดูอดีตชาติก็ได้ เห็นภพภูมิต่างๆด้วย
    และไม่มีอาการแสดงออกมาทางกายด้วย
    ซึ่งจริงๆแล้ว วิชชามโนมยิทธิ มีกำลังสูงกว่ากรรมฐานเปิดโลก
    นี่ว่ากันจริงๆ แบบไม่ได้เอาทิฐิเข้ามาใส่นะครับ

    เพราะว่ามโนมยิทธิ เราไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ เห็นกรรมจากชาติไหนๆก็ได้ ระลึกชาติไปชาติไหนก็ได้
    เห็นชัดประจักษ์แก่จิต ตามกำลังของวิปัสสนาญาณ
    ฝึกมโนมยิทธิ เราได้ทั้งอาณาปานสติ กสิณ พุทธานุสติ และวิปัสสนาญาณด้วย

    ส่วนกรรมฐานเปิดโลก เราเห็นกรรม เป็นกรรมประเภทหนึ่งๆ จะไม่เห็นภพภูมิอื่นๆไม่เห็นพระนิพพาน

    กรรมฐานเปิดโลกเป็นวิชาเพื่อโปรดสงเคราะห์ผู้อื่น ให้เขาได้แก้กรรม ได้เห็นกรรม

    แต่ถ้าเราจะจับเป็นกรรมฐานหลัก แล้วจะตีขึ้นไปถึงพระนิพพานเลย
    ผมขอบอกตามตรงว่าจับหลัก แล้วตีขึ้นไปถึงพระนิพพานได้ยากกว่ามโนมยิทธิเยอะ

    ทั้งนี้ก็แล้วแต่เราครับ
    อยากจะไปลองฝึกก็ได้ครับ เป็นความรู้ เป็นวิชาติดตัวเราไป
    แต่ถ้าเราจะเอาเป็นกรรมฐานหลักเลย คงยังไม่เหมาะครับ

    หันมาเก็บฐานของสมาธิอย่าง จับลมหายใจ แผ่เมตตา กสิณ มโนมยิทธิ จะมีความง่ายในการปฏิบัติมากกว่า

    ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ thippayawan ครับ

    นอกจากความรู้สึกอยากลุกขึ้นแล้ว บางครั้งก็รู้สึกอยากเคลื่อนไหวร่างกายด้วยค่ะ (ไม่ได้เมื่อยค่ะ)

    มันเป็นจิต เป็นกายทิพย์ของเราน่ะครับ ที่อยากจะขยับออกไปจากกายเนื้อ อยากจะออกจากร่าง

    ขอถามเรื่องการแผ่เมตตาขณะนั่งสมาธิค่ะ มีหรือไม่คะที่เราสามารถแผ่เมตตาออกมาได้เอง ดิฉันหมายถึงพลังที่แผ่ออกมามันออกมาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งจิตทำสมาธิเพื่อที่จะแผ่เมตตาก่อน เพราะบางครั้งขณะจิตสงบมากๆจะรู้สึกว่ามีพลังที่แผ่ออกมาจากนั้นดิฉันจะจินตนาการถึงแสงสีทองแล้วส่งออกไปให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพภูิมิ ค่ะ

    ได้ครับ อันนี้จะเป็นตัวเมตตาที่เป็นอารมณ์เมตตาแบบเต็มที่ด้วย
    เพราะมันจะออกมาจากดวงจิตของเราเอง เป็นความรู้สึกที่เราอยากจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์
    อยากจะให้ผู้อื่นได้รับบุญได้รับกุศล แบบที่เรากำลังได้รับ ณ ขณะนี้
    สิ่งไหนที่มันออกมาเองสิ่งนั้นมักจะเป็นอารมณ์ที่ละเอียดครับ

    จิตของเราก็จะระเบิดออก จิตจะแผ่ขยายออก เป็นแสงสว่างสีทอง เป็นความชุ่มเย็น เป็นความรักความเมตตา อันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณไปยังทุกๆดวงจิต
    แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนดวงจิตของเรามีความอิ่มเอิบอิ่มเอม ชุ่มเย็น อยู่ด้วยความสุขกายสบายใจ
    จนจิตของเราแย้มยิ้มกายของเราก็แย้มยิ้ม เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด
    มีแต่แสงสว่างสีทอง มีแต่ความชุ่มเย็น แผ่ขยายออกไปยังทั้งจักรวาล
    แล้วก็รักษาอารมณ์จิตนี้เอาไว้

    พร้อมกับอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา อันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณนี้ ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง
    จากนั้นให้เราเสวยสุขอยู่ในเมตตาจนเราพอใจ จนเราอิ่มใจถึงที่สุด
    จากนั้นจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    จะพยายามหาโอกาสไปซอยสายลมค่ะ แม้ว่าจะลำบากอยู่เพราะความเชื่อเดินสวนทางกับทางบ้านค่ะ

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->ลองว่า เราไปโดยไม่ต้องบอกเขาว่าเราไปฝึกมโนมยิทธิ
    บอกว่าไปเที่ยวก็ได้ เที่ยวสวรรค์ เที่ยวพระนิพพาน เที่ยวในภพภูมิอื่นๆนี่
    เราก็บอกสั้นๆว่า เราไปเที่ยวนะเดี้ยวกลับ ผมก็เล่นสูตรนี้ครับ

    ขอให้สัมผัสกับความชุ่มเย็นจากความเมตตา ที่ชุ่มเย็น ที่อิ่มเอิบอิ่มเอม ที่ส่องสว่างไปทั้งจักรวาล ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai0329 ครับ

    อยากถาม สำหรับผมจะฝึกอะไรดีครับ ท่าน<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้ามาว่ากันจริงๆเลย
    เราก็มาดูก่อนครับ ว่าเราเป็นพุทธภูมิ หรือสาวกภูมิ
    ถ้าเป็นสาวกภูมิเราก็ ปฏิบัติตามแนวทางวิสัย 4 แล้วแต่คุณวิเศษที่เราอยากจะได้เมื่อบรรลุธรรรม

    ถ้าเราเป็นพุทธภูมิ เราก็ต้องเก็บกรรมฐานให้ครบ 40 กอง และเก็บวิชาความรู้ทุๆศาสตร์ในพระพุทธศาสนา
    รวมถึงวิชาทางโลก ที่เกี่ยวกับการสร้างความสุขให้กับประชาชนเราก็ต้องเก็บทั้งหมด

    กรรมฐาน40กอง ถ้าเราจะจับหลักให้ได้ง่ายๆ เราก็ไล่ตามนี้

    1.จับลมหายใจ อาณาปานสติ จนลมหายใจหยุด จิตหยุดนิ่ง ปราจากความคิด ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
    2.แผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ ความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณไปยังผู้อื่น พุทธภูมิต้องได้ทุกคน ไม่งั้นยังถือว่าบารมียังไม่เข้มแข็ง
    3.กสิณ 10
    4.มโนมยิทธิ
    5.อรูป 4
    6.วิปัสสนาญาณ

    ถ้าไล่ฝึกไปทีละขั้นตามนี้ จะมีความง่ายมากกว่า
    เพราะอารมณ์จิตจะละเอียดขึ้นไปตามลำดับ จากหยาบเป็นละเอียด จากง่ายก็ค่อยๆซับซ้อนมากขึ้น

    พอเราทำได้ทั้ง 6 ข้อแล้ว เราสามารถจะไล่กรรมฐานทั้ง40กอง จบได้ในระยะเวลาอันสั้น
    กรรมฐานแต่ละกอง เราต้องไล่อารมณ์ตั้งแต่
    -จับลมหายใจจนหยุด
    -แผ่เมตตา
    -ทรงภาพกสิณในกรรมฐานกองนั้นจนเป็นเพชร
    -เข้าอรูปฌาณในกรรมฐานกองนั้น
    -ใช้มโนขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ด้วยอำนาจของกรรมฐานกองนั้น
    -ใช้วิปัสสนาญาณเจริญจิตตัดสังโยชน์ให้ครบ 10 ข้อ
    -ขอสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน
    -อธิษฐานปักหมุดเอาไว้ ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงกรรมฐานกองนี้ จับเป็นกสิณ อรูปฌาณ จนมาถงอารมณ์พระนิพพานนี้ ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    -จากนั้นจึงเข้ากรรมฐานอีกกองนึง และไล่อารมณ์ขึ้นมา จนครบทั้ง40กอง

    ดังนั้นถ้าเราเป็นพุทธภูมิ กิจในการปฏิบัติของเราจะมากกว่าผู้อื่น
    และก็ไม่ใช่ว่าเราไล่กรรมฐานครบ40กอง แล้วจะจบแค่นั้น
    เราต้องศึกษาวิชาความรู้อื่นๆ ในการช่วยเหลือผู้คน รวมถึงอภิญญาสมาบัติก็ต้องทรงได้เช่นกัน

    ดังนั้นสำหรับท่านที่เป็นพุทธภูมิ ถ้าเราจะมานั่งคุยกันว่า
    โอ้ย บารมีของฉันขั้นนั้น ขั้นนี้ มีนู่น มีนี่ มีนั่น อีกนี้ๆชาติ จะบารมีเต็ม ยิ่งใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้
    ผมก็เห็นว่าเป็นการไม่สมควรอยู่
    เพราะเพียงแค่จะเก็บความรู้ที่จำเป็นของพุทธภุมิ เวลาก็มีจะไม่พออยู่แล้ว
    แล้วพุทธภูมิจะมาเสียเวลากับการอวดตัวเอง ยกตนข่มท่าน กันอยู่
    ก็จะเป็นการเสียเวลาในการบำเพ็ญบารมีเพื่อความสุขของผู้อื่นโดย ใช่เหตุ

    ดังนั้นใครที่ทราบแล้วว่าเราเป็นพุทธภูมิ ก็ควรจะรีบหันมาเร่งฝึกกรรมฐานจนมีความแตกฉานโดยเร็วไว
    เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไปในอนาคต

    ผู้ใดปรารถนาสาวกภูมิ ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน
    ผู้ใดปรารถนาพุทธภุมิ ขอให้มีจิตใจแกล้วกล้าอาจหาญ ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ เพื่อความสุข ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความสุขของผู้อื่น เป็นเป้าหมายสำคัญ โดยจุดเดียวด้วยเทอญ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ โทสะ ครับ

    ก่อนที่จะจับลมหายใจให้เรา

    หายใจเข้าลึกๆ สัมผัสถึงความเย็นเบาสบายของลมหายใจ จนลมหายใจเต็มปอด
    จากนั้นกักลมหายใจเอาไว้สบายๆและภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ10วินาที

    พอครบ10วินาทีจึงหายใจออกและทำซ้ำ10ครั้ง
    เสร็จแล้วให้เราจับลมหายใจเหมือนเดิมให้เราคอยตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
    ลมหายใจของเราจะช้าลงๆ จนหยุดไปเอง
    จากนั้นก็ประคองลมหายใจที่หยุด จิตที่หยุดนิ่ง หยุดคิด ความนิ่งของจิต ความตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย อารมณ์ใจที่เบาสบายนี้ เอาไว้ซักระยะหนึ่ง

    แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมหายใจสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง
    จากนั้นให้เราทรงสมาธิเอาไว้นานตราบเท่าที่เราต้องการ

    พอเราต้องการจะออกจากสมาธิให้เราหายใจเข้าลึกๆหายใจออกช้าๆ สามครั้ง
    หายใจเข้าครั้งที่หนึ่ง ภาวนาพุทธ หายใจออกภาวนา โธ
    หายใจเข้าครั้งที่สอง ภาวนา ธัมหายใจออกภาวนา โม
    หายใจเข้าครั้งที่สาม ภาวนา สังหายใจออกภาวนา โฆ

    แล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    จากนั้นก็ให้เราลองฝึกทรงลมหายใจสบายเอาไว้ตลอดเวลา
    และฝึกในขั้นเมตตาอัปปมาณฌานต่อไปครับ
     
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ช่วงนี้เป็นบ่อยมากๆร่างกายมันขยับเอง -*- บางครั้ง ถ้าทำถูกมันก็จะพยักหน้าของมันเอง ถ้าหาก ทำผิดมันก็จะส่ายหน้า (ลองฝืนดูมันก็รู้สึกเกร็งฝืนสู้ แล้วมันจะเกร็งๆปวดๆหัวมันก็จะสั่นไปเรื่อยๆ) จะเป็นบางครั้งแต่ช่วงนี้เริ่มที่จะบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

    ถามหน่อยคับ ว่ามันเ็ป็นเพราะสาเหตุใด ผลจากการนั่งกรรมฐานรึเปล่า แต่ก่อนหน้านั้นเคยเกร็งเพราะนั่งอารมณ์หนักไปจนควบคุมตัวเองไม่ได้ใจสั่นตลอดทั่งวัน ตอนนี้นั่งสมาธิจิตเบาสบายแต่ทำไมถึงยังเป็นอาการอย่างนี้อยู่ แต่ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เกิดจากนั่งสมาธิหนักไป แต่เวลาปรกติดหัวมันจะเหมือนเจ้าเข้าเลย -*-สั่นถี่ๆขึ้นลงๆนิดๆไม่โยกมาก(เป็นตั้งแต่ตอนที่ไปเกาะลอยที่สวนลุมมาถึงตอนนี้ยังไม่หายสั่นเลย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2009
  11. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณมากค่ะ จะนำไปปฏิบัติตามค่ะ
    ขอถามถึงความรู้สึกในขณะที่จิตอยู่ระหว่างคิ้ว อยู่ๆรู้สึกเหมือนในหัวจะหมุนๆ เป็นเพราะอะไรคะ
     
  12. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อ่อแล้ววันก่อนตอนเดินกับเมื่อกำลังจะนอน

    ตอนที่เดินๆกำลังจะกลับบ้านหลังจากที่เลิกงานแล้วอยู่ๆก็รู้สึกว่าขาหายไป แต่ก็รู้ว่ามีแต่มันเหมือนไม่มีขาแขนก็ด้วย

    แล้วเืมื่อวานนนี้ ช่วงก่อนนอน ความรู้สึกเหมือนกับว่า เราอยู่ใต้น้ำ พยายามที่จะว่ายขึ้นไปจะหายใจหรือว่าอะไรก็ได้ขอให้ได้ขึ้นไปเถอะ แต่มันเหมือนมีสาหร่ายหรืออะไรสักอย่างพันติดตัว อยู่ พอสักพัก เหมือนกับจะหลุดจากที่ถูกมัดแต่ก็หลุดแหล่ไม่อยู่แหล่ติดอยู่อย่างนั้น ใจไม่อึดอัดครับ มีสมาธิแต่ความรู้สึกเป็นอย่างนั้น

    ถามหน่อยคับว่าเป็นอะไร อุปทานรึเปล่าครับ หรือเป็นเพราะสาเหตุใด ขอบคุณกับคุณชัดด้วยครับ อนุโมทนาบุญครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2009
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    เล่าต่อ คือ วันนั้นที่ไปฝึกมโนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ร่างกาย กับจิตมันคนละเรื่องกันเลยครับ เหมือนอยู่คนละที่ ครูที่เค้าอยู่นั้นจะนำทางถามตลอดว่าเห็นอะไรบ้าง เห็นไหม เป็นยังไง แต่ ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะจิตไปตามที่คุณครูนำแต่ ครูถามคำไหน ถ้าถูกร่างกายมันก็จะผยักหน้า ถ้าผิดร่างกายมันก็ส่ายหน้า คือมันทำของมันเองผมไม่ได้บังคับเลย ~~; ตอนแรกก็งงแต่ร่างกายมันขยับเอง เออก็แปลกดีแต่รู้ว่า ร่างเป็นยังไงได้ยินอะไรแต่จิตมันอยุ่ที่ๆเค้านำไปครับ แต่จิตอยู่ตรงนั้น อยู่ที่ๆครูพาไป ร่างกายไม่ได้ไปด้วย ความรู้สึกแบบนั้น แต่ ยังเห็น เป็น สีขาวประกายตัดกับสีดำนวลๆอยู่ ครับ

    แล้วตอนนี้ ที่หัวสั่นๆ มันเหมือนกับว่า สองฝ่ายตีกัน ทั้งดีและไม่ดี ร่างกายเลยเป็นกลาง รองรับอารมณ์ทั้งสองฝ่าย จึงทำให้จิตอยู่ภาวะที่ไม่อยากจะอยู่ในร่างหน่ะคับ ตอนนี้นะ

    กลัวว่าจิตจะเตลิดไปไกล ใจมันระสั่นครับ

    จะว่าตอนเข้าสมาธินิ่งก็นิ่งนะแต่ ถ้าหากสิ่งที่ไม่ดีผุดออกมามันก็พยายามเลี้ยง ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็ลด ตอนนี้พยายามอยู่ครับ

    ช่วงนี้เป็นบ่อยมากๆร่างกายมันขยับเอง -*- บางครั้ง ถ้าทำถูกมันก็จะพยักหน้าของมันเอง ถ้าหาก ทำผิดมันก็จะส่ายหน้า (ลองฝืนดูมันก็รู้สึกเกร็งฝืนสู้มันไม่ได้บางที ก็เลยไม่ค่อยอะไรกับร่างกายมันมากเท่าไหร่) จะเป็นบางครั้งแต่ช่วงนี้เริ่มที่จะบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

    ถามหน่อยคับ ว่ามันเ็ป็นเพราะสาเหตุใด ผลจากการนั่งกรรมฐานรึเปล่า แต่ก่อนหน้านั้นเคยเกร็งเพราะนั่งอารมณ์หนักไปจนควบคุมตัวเองไม่ได้ใจสั่นตลอดทั่งวัน ตอนนี้นั่งสมาธิจิตเบาสบายแต่ทำไมถึงยังเป็นอาการอย่างนี้อยู่ แต่ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เกิดจากนั่งสมาธิหนักไป แต่เวลาปรกติดหัวมันจะเหมือนเจ้าเข้าเลย -*-สั่นถี่ๆขึ้นลงๆนิดๆไม่โยกมาก(เป็นตั้งแต่ตอนที่ไปเกาะลอยที่สวนลุมมาถึงตอนนี้ยังไม่หายสั่นเลย)<!-- google_ad_section_end -->

    เป็นกลไกของซับคอนเซียส และอารมณ์หนักไป
    หากปล่อยหรือยึดหรือไปติดมาก จะทำให้ไม่ได้สมาธิ

    วิธีแก้คือปล่อยวางอาการทางกาย มุ่งที่จิตเป็นสำคัญ
    อย่าสนใจร่างกาย มันจะพยักหน้า หรือส่ายหน้าไม่ต้องไปสนใจครับ มุ่งที่สมาธิ ที่อารมณ์จิตเป็นสำคัญ
    เพราะจะทำให้เราควบคุม กายและจิตได้
    กายยังคุมไม่ได้แล้วจะคุมจิตได้อย่างไร

    ดังนั้นสัมมาสมาธิ เราต้องคุมกาย คุมจิต ด้วยสติ สัมปชัญญะได้
    ถ้าคุมกาย คุมจิต ไม่ได้ มันก็จะกลายเป็นเข้าทรง หรือสูญเสียการควบคุมในตัวเองไป

    ตอนนี้ยังมีอารมณ์หนักอยู่ครับ เราต้องค่อยๆสลายมันออกไปครับ
    บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวหรอกครับว่ามันหนัก แต่มันยังมีความหนักอยู่ครับ

    ถ้าเราว่ากันอย่างละเอียด หากจิตเราตกจากฌาณ
    หรือโดนกิเลสเกาะนิดนึงก็จะมีความหนักแล้วครับ อยู่ที่ว่าเราจะสัมผัสความต่างของอารมณ์จิตได้รึเปล่า

    และให้เราวางเฉยไม่ต้องสนใจในร่างกาย มุ่งที่สมาธิ ที่อารมณ์จิตให้เป็นสุข
    พอใจสบาย อาการที่ว่าจะหายไปเองครับ

    อ่อแล้ววันก่อนตอนเดินกับเมื่อกำลังจะนอน

    ตอนที่เดินๆอยู่ๆก็รู้สึกว่าขาหายไป แต่ก็รู้ว่ามีแต่มันเหมือนไม่มีขาแขนก็ด้วย

    อันนี้เป็นฌาณครับ

    แล้วเืมื่อวานนนี้ ช่วงก่อนนอน ความรู้สึกเหมือนกับว่า เราอยู่ใต้น้ำ พยายามที่จะว่ายขึ้นไปจะหายใจหรือว่าอะไรก็ได้ขอให้ได้ขึ้นไปเถอะ แต่มันเหมือนมีสาหร่ายหรืออะไรสักอย่างพันติดตัว อยู่ พอสักพัก เหมือนกับจะหลุดจากที่ถูกมัดแต่ก็หลุดแหล่ไม่อยู่แหล่ติดอยู่อย่างนั้น ใจไม่อึดอัดครับ มีสมาธิแต่ความรู้สึกเป็นอย่างนั้น

    นี่ก็เป็นอาการส่วนหนึ่งของอารมณ์หนักเหมือนกันครับ เราต้องทำใจให้สบายให้แย้มยิ้มเอาไว้เสมอครับ

    ตอนนี้ให้เราหันมาเน้นแผ่มตตาเยอะๆเลยครับ ต้องแผ่เมตตาจนจิตของเราสมารถสลายอาการหนักทั้งหมดออกไปได้
    พอเราได้สัมผัสกับอารมณ์แห่งเมตตาที่เบาชุ่มเย็น สบายอย่างเต็มที่
    เราจะทราบเลยครับว่าความต่างระหว่างอารมณ์เบากับหนักเป็นอย่างไร
    และหากอารมณ์เรากลับไปหนักอีก เราจะรู้ตัวทัน และทำให้กลับมาเบาได้ครับ

    ตอนนี้ก่อนฝึกมโน ก็แผ่เมตตาก่อนครับ ถ้าอารมณ์หนักเราก็รู้ตัว แล้วหันกลับมาแผ่เมตตาใหม่ครับ

    ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ และเข้าถึงซึ่งอารมณ์ใจที่มีความเบา สบาย ชุ่มเย็น ด้วยอำนาจแห่งเมตตา ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. water_minute

    water_minute สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีครับ เนื่องจากผมเพิ่งเริ่มเข้ามาศึกษาในพระพุทธศาสนา จากเดิมที่สักแต่ว่าเขียนในบัตรประชาชนเท่านั้นเอง

    ถ้าจะให้เทียบแล้วก็คงไม่พ้นชั้นเตรียมอนุบาลเลยล่ะครับ

    ผมมีคำถามที่อยากให้ผู้รู้ช่วยอธิบายเพื่อไขข้อข้องใจหน่อยครับ

    อ่านจากบางที่บอกว่า"สมถกรรมฐานเป็นพื้นฐานของวิปัสสนากรรมฐาน และช่วยให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างราบรื่น รวมทั้งเป็นการพักผ่อนด้วย เหมือนคนก็ต้องยืนด้วยขาสองข้าง"

    บอกตรงๆว่าอ่านจากหลายที่แล้วงง เขียนไม่เหมือนกันบ้าง บอกต่างกันบ้าง

    ดังนั้นจึงอยากถามว่า ในการฝึกกรรมฐานนั้น เราควรฝึกทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน หรือแค่อย่างใดอย่างหนึ่งครับ แล้วผลที่ได้จะต่างกันอย่างไรครับ

    ขอบคุณครับ

     
  15. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    อนุโมทนา จ้า
    เราควรจะฝึก แบบเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมาเรื่อย ๆหรือควรจะหาสิ่งใหม่ๆบาง
    รบกวนแนะนำด้วยครับ

    ออ ของเดิม ๆ นี้ก็ฝึกจนคล่องแล้วหรือเปล่าไม่ทราบเพราะบางอย่างไม่ค่อยได้ไปลองวิชาหรือพิสูจน์อะไรมากครับ

    ขอบคุณครับ
     
  16. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาคับ แต่ก่อนยึดติดตอนนี้ไม่แล้วคับคอยตามดูว่ามันเฉยๆ แล้ว คับ ตอนนี้ก็เริ่มที่จะหายจากอาการหัวสั่นแล้วคับ
     
  17. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    อนุโมทนาครับ
     
  18. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ผมขอยอมรับว่าตรงเผงครับ ขอพระคุณมาก ครับ
     
  19. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    จากข้อความข้างบนนั้น แล้วมามองดูตัวผมเอง ในการฝึกนี้ มันข้ามไปข้ามมาไม่เป็นขั้นเป็นตอนเลย มีอยู่2อย่างจับจิตให้นิ่งและก็แผ่เมตตาเท่านั้นถ้าพูดกันตามความเป็นจริง ถามว่า หากจับรูปพระยังไม่ได้มีแต่เพียงประกายเพรช แล้วอย่างนี้ควรจะปฏิบัติให้อยู่ในขั้นตอนหรือ ปฏิบัติตามที่เคยปฏิบัติอย่างไร อนุโมทนาครับ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ water_minute ครับ

    สวัสดีครับ เนื่องจากผมเพิ่งเริ่มเข้ามาศึกษาในพระพุทธศาสนา จากเดิมที่สักแต่ว่าเขียนในบัตรประชาชนเท่านั้นเอง

    ถ้าจะให้เทียบแล้วก็คงไม่พ้นชั้นเตรียมอนุบาลเลยล่ะครับ

    ผมมีคำถามที่อยากให้ผู้รู้ช่วยอธิบายเพื่อไขข้อข้องใจหน่อยครับ

    อ่านจากบางที่บอกว่า"สมถกรรมฐานเป็นพื้นฐานของวิปัสสนากรรมฐาน และช่วยให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างราบรื่น รวมทั้งเป็นการพักผ่อนด้วย เหมือนคนก็ต้องยืนด้วยขาสองข้าง"

    บอกตรงๆว่าอ่านจากหลายที่แล้วงง เขียนไม่เหมือนกันบ้าง บอกต่างกันบ้าง

    ดังนั้นจึงอยากถามว่า ในการฝึกกรรมฐานนั้น เราควรฝึกทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน หรือแค่อย่างใดอย่างหนึ่งครับ แล้วผลที่ได้จะต่างกันอย่างไรครับ

    พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนการฝึกสมาธิเอาไว้สองส่วน
    1. สมถะ คือความสงบ อารมณ์จิตที่ตั้งมั่น นิ่ง หยุดจากความคิด หยุดจากการซัดส่าย เป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจดับ ลมหายใจหายไป
    2. วิปัสสนา คือ การพิจารณาในฌาณ การนำกำลังของฌาณสมาธิ มาใช้ในการพิจารณา เพื่อถอนกิเลสออกจากจิตใจของเรา

    การปฏิบัติจะต้องปฏิบัติจนได้สมถะ ตัวนิ่ง หยุด เป็นฌาณ4
    จากนั้นเราจึงค่อยเข้าฌาณ4 ลมหยุด ลมนิ่ง และใช้กำลังจากฌาณ4 ในการพิจารณาวิปัสสนาญาณ

    เหตุผลว่าทำไมเราจึงจะต้องใช้ฌาณ4 ในการพิจารณา
    ก็เพราะว่าหากเราพิจารณาธรรมะนอกฌาณ บางครั้งเราจะนำเอากิเลส เอาทิษฐิมานะ หรือเอาความจำของเรา มาใช้พิจารณา
    และจะส่งผลให้ธรรมะที่เราพิจารณามีความผิดเพี้ยนไป เพราะว่าถูกอุปาทานของเราเองเข้าแทรก

    แต่หากเราพิจารณาในฌาณ จิตของเราจะมีความสะอาด จากกิเลส
    จากการครอบงำของนิวรณ์ เราจะสามารถพิจารณาธรรมะ ได้ด้วยจิตที่วางเฉย เป็นกลาง เป็นอุเบกขา

    ที่ธรรมะของพระพุทธองค์ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
    ก็เพราะว่า มีการพิจารณาธรรมะนอกฌาณ เมื่อพิจารณานอกฌาณ
    พิจารณาโดยจิตยังมีกิเลส อุปาทาน นิวรณ์อยู่ครบ
    ก็จะมีการนำเอากิเลส อุปาทาน นิวรณ์ อคติของเรา เข้าไปใส่ในธรรมะ
    และบุคคลนั้นๆ ก็เผยแพร่ธรรมะที่มีอุปาทาน นิวรร์เจืออยู่ออกไป
    พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงอย่างทุกวันนี้

    ลองพิจารณาดูว่าจริงไหมครับ

    เราตีความธรรมะ เราเผยแพร่ธรรมะ โดยที่จิตของเรายังมีนิวรณ์อยู่
    ธรรมะจะไม่ผิดเพี้ยนก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

    ดังนั้นสมถะ ต้องฝึกจนได้ ตัวหยุด ตัวนิ่ง ตัวลมดับก่อน
    แล้วจึงค่อยขึ้นวิปัสสนา ไม่งั้นเราก็จะพิจารณาธรรมะผิดเพี้ยน

    แล้วปัจจุบันจะมีความเข้าใจผิดอีกข้อนึง
    เขามักจะบอกว่าฌาณ4 ยากไป ทำกันไม่ได้หรอก 10ปีก็ไม่ได้
    เพราะฉะนั้นอย่าทำมันซะเลย แล้วต่อมาก็บอกว่าฝึกฌาณ4น่ะเป็นพวกหลง
    หลงฌาณ ติดฌาณบ้าง

    ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว
    1. ฌาณ4 ไม่ใช่ของยาก หากเรารู้อารมณ์ใจที่ถูกต้อง แล้วจี้ไปที่อารมณ์ใจนั้นๆเลย
    ฌาณ4 ในปัจจุบันทำกันได้ในครึ่งชั่วโมง ใน10นาที
    มีผู้ที่ทำได้มากมาย พร้อมจะมายืนยัน ทำกันได้ใน30นาที ใน10นาทีด้วย
    สำคัญจริงๆ คือเราจะต้องชี้อารมณ์ให้ถูก บอกอารมณ์ในแต่ละขั้นอย่างละเอียด

    2.ติดฌาณ หลงในฌาณ กับมีฌาณ ทรงฌาณได้นี่คนละเรื่องกัน
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงฌาณได้ ท่านก็ฝึกฌาณได้
    แล้วถ้าไปหาว่าใครฝึกฌาณแปลว่า หลงฌาณ ติดฌาณ
    เท่ากับว่าบุคคลนั้นไปหาว่า พระพุทธเจ้าก็หลงฌาณ หลงอภิญญาด้วยสิ จริงไหม

    การหลงฌาณน่ะ จริงๆแล้ว คืออารมณ์ที่เราไปคิดว่า ฌาณ4 อรูปฌาณ คือพระนิพพาน
    ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่
    ฌาณ4 ยังมีเสื่อม อรูปฌาณ4 ก็ยังมีเสื่อม
    แต่เราใช้ฌาณ ใช้ อรูปฌาณ เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    เปรียบเสมือนเป็นขั้นบรรไดไปสู่พระนิพพาน
    แต่ไม่ใช่ตัวพระนิพพานเอง

    จะมีความต่างของอารมณ์อยู่ ระหว่างเครื่องมือที่จะไปถึงเป้าหมาย กับตัวเป้าหมายเอง
    ซึงหลงฌาณ ติดฌาณ ก็คือ หลงว่าขั้นบรรได เป็น ยอดของบรรไดแล้ว
    ถ้าทรงฌาณ มีฌาณ แต่ไม่ติด ไม่หลงในฌาณ ก็คือ เรามีขั้นบรรไดก็รู้ว่ามันเป็นขั้นบรรได แต่ยังไม่ถึงยอดบรรได

    และพระพุทธองค์ทรงจำแนกวิสัยในการปฏิบัติเอาไว้หลักๆ4วิสัยในแบบของสาวกภูมิ
    ซึ่งทั้ง 4 วิสัย ต้องได้อย่างต่ำฌาณ4 ในอานาปานสติทั้งหมด
    1.สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติแบบไม่รู้ไม่เห็นอะไร ไม่มีคุณวิเศษอื่นใด นอกจากการทำกิเลสให้สิ้น
    อย่างต่ำต้องได้ ฌาณ4 ในอานาปานสติกรรมฐาน หรือการจับลมหายใจ

    2.เตวิชโช ปฏิบัติแล้วได้ วิชชา3 ทิพยจักษุญาณ ตาทิพย์ ญาณระลึกาติ เห็นกรรม เห็นภพภูมิ เห็นนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน เห็นหมดด้วยบารมีพระพุทธเจ้า
    ต้องได้ฌาณ4 ในกรรมฐานที่เป็นกสิณที่เกี่ยวกับญาณต่างๆ
    ได้แก่ กสิณไฟ กสิณสีขาว กสิณแสงสว่าง

    3.ฉฬภิญโญ ปฏิบัติแล้วทรงอภิญญา6 เหาะเหินเดินอากาศ ทรงอิทธิฤทธิ์ได้หมด
    พระนิพพานเป็นไง พรหม สวรรค์ นรก เป็นไง เหาะไปได้ด้วยกายเนื้อ
    ต้องได้ฌาณ 4 ในกสิณครบ10กอง เพื่อให้สามารถคุมธาตุได้ทุกธาตุ

    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต ปฏิบัติแล้ว ได้ วิชชา3 อภิญญา6 และได้ปฏิสัมภิทาญาณ4
    สามารถรู้ทุกภาษา คุยกับสัตว์ได้ รู้ธรรมะละเอียดลึกซึ่ง ย่อขยายธรรมะยากให้ง่าย
    ง่ายให้ละเอียดพิศดาร ร้ธรรมะในพระไตรปิฏกทั้งหมด
    ต้องได้อรูปฌาณ 4 กสิณ 10 ฌาณ4

    นอกจากนี้ ยังมีการปฏิบัติในแนวทางของพุทธภุมิ สำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
    เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ ช่วยให้สรรพสัตว์ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ซึ่งพุทธภูมิต้องได้ กรรมฐานครบ40กอง สมถะ วิปัสสนา อภิญญาได้หมด

    จะสังเกตุว่าพระพุทธองค์ทรงวางหมวดหมู่วางหลักเกณฑ์มาดีแล้ว

    แต่ว่าผู้คนดันไปเข้าใจว่า มีเพียงแค่สุกขวิปัสสโก ไม่รู้ไม่เห็น
    เท่ากับว่า การปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ถูกตัดตอนไป เหลือเพียง 1 ใน4
    บุคคลที่จะบรรลุธรรมได้ ก็ถูกตัดตอนไป 75 เปอเซ็นต์
    ส่วนที่บรรลุธรรมได้ ก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีคุณวิเศษ เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่

    ถามว่าเมื่อเป็นแบบนี้ การที่มีแต่สุกขวิปัสสโกอย่างเดียว
    เป็นคุณหรือเป็นโทษ ที่ไปริบรอนมรรคผลนิพพาน ของผู้คนอีก 75เปอเซ็นต์
    นอกจากนั้นยังริบรอนความเป็นพุทธภูมิ ไปตัดทางการบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าของผู้อื่นอีก

    แล้วพอมาพิจารณาเข้าไปอีกว่า แม้แต่สุกขวิปัสสโก ก็ต้องได้ฌาณ4
    แล้วไม่ได้ฌาณมันจะบรรลุธรรมกันได้ยังไงครับ

    มันก็ไม่ได้บรรลุธรรมหรอก บรรลุกิเลส บรรลุมานะทิษฐิ บรรลุปริยัติกันน่ะสิ

    สรุปว่า
    1. ฌาณ4 ต้องได้ทุกคน ถ้าจะไปพระนิพพาน และฌาณ4ไม่ยาก
    2. วิปัสสนา ต้องเข้าฌาณ4ก่อน แล้วพิจารณาธรรมในฌาณ
    3.การปฏิบัติมีหลายวิสัย ไม่ใช่มีวิสัยเดียว ถ้าตัดเหลือวิสัยเดียวเท่ากับตัดทางบรรลุธรรมของบุคคลอีก 3 ใน 4 ของพระพุทธศาสนา
    และตัดความเป็นพระพุทธเจ้าของบุคคลอื่น
    เป็นบาป หรือบุญ ครับ

    ขอฝากเอาไว้พิจารณากันด้วยครับ

    และหากเราอยากจะรู้ว่าเราเป็นวิสัยใด เรารู้สึกพึงพอใจ หรือยินดีในการฝึกแบบไหน เราก็เป็นวิสัยนั้นน่ะแหละครับ
    อย่าง เฮ้ย บรรลุธรรมแล้วต้องเหาะได้ ทรงอิทธิฤทธิ์ แบบนี้ก็อย่างต่ำฉฬภิญโญ
    บรรลุแล้ว ต้องรู้ทุกภาษา ทรงพระไตรปิฏกได้ เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนา
    แบบนี้ก็ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    เวลาปฏิบัติเราก็เลือกวิสัยที่เหมาะกับเรา ที่เป็นตัวเราครับ
    ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการปฏิบัติไม่ขึ้น หรือปฏิบัติไม่ก้าวหน้า

    อย่างเราเป็นฉฬภิญโญ ตามบุญที่เคยบำเพ็ญมาต้องได้อภิญญา
    แต่เราดันไปฝึกแบบสุกขวิปัสสโก ไม่รู้ไม่เห็นอะไร
    เราก็บรรลุธรรมไม่ได้ครับ เพราะมันจะเกิดความค้างคาในจิตของเรา
    ที่จะหายคาใจก็ต่อเมื่อได้อภิญญาแล้ว

    ขอให้ทุกๆคนช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนา ช่วยกันนำความเจริญดั่งสมัยพุทธกาลกลับมาอีกครั้งนึง
    ด้วยการปฏิบัติจิต จนเกิดผลประจักษ์แก่ดวงจิตของเรา ทรงได้ทั้ง ญาณทัศนะ อภิญญา ปฏิสัมภิทาญาณ กันทุกคน
    และนำเอาธรรมะที่ถูกต้องของพระพุทธองค์กลับมาสู่ดินแดนแห่งสุวรรณภูมินี้ด้วยเทอญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...