รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ตามฟ้า ครับ

    เพื่อนฝากให้โพสถามให้ว่า เวลาทำอะไรบางอย่างเหมือนมีเสียงใครก็ไม่รู้คอยกระซิบอยู่ข้างๆหูตลอด แปลว่าอะไรคะ หรือปรุงแต่งไปเอง<!-- google_ad_section_end -->

    ขอโทษที่ตอบช้าไปหน่อยครับ

    ไม่ได้ปรุงไปเองครับ พอจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็จะได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้
    ตรงนี้ เรารู้ว่ามีเสียงอยู่จริง แต่ให้เราอย่าไปติด หรือสนใจมากครับ
    ให้เรามุ่งไปที่อารมณ์สมาธิ อารมณ์จิตเป็นสำคัญ
    พอจิตมุ่งไปที่สมาธิ จนอารมณ์มีความสุข แช่มชื่น สงบ ตั้งมั่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
    เสียงก็จะหายไปเองครับ

    พอจะทราบไหมครับ ว่าเสียงนั้นกระซิบว่าอย่างไร เพราะมีหลายกรณีเหมือนกันครับ
    ผมจะได้แนะนำได้ถูก ขอรายละเอียดนิดนึงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    สงสัยเรื่อง จักรวาล
    พอดีว่า ได้รับคำแนะนำเรื่องการแผ่เมตตา ไปจนสุดขอบจักรวาล(ย้อนดูในหน้าแรก ๆ ของกระทู้นีได้ครับ)
    แล้ว ขณะเจริญกรรมฐาน รู้สึกว่าจักรวาล มันหมุนอยู่รอบ ตัวเรา ตัวเราเป็นศูนย์กลางแล้วก็แผ่เมตตาไป ในจักรวาลรอบตัวเราก็ไปจนสุดขอบจักรวาลแล้ว

    อยากได้รับคำแนะนำเพิ่มเติม ขอบคุณครับ

    <!-- google_ad_section_end -->ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมา
    ท่านจะให้แผ่เมตตาไปยังสุดรอบขอบจักรวาล
    โดยเห็นตัวเรา ได้มโนแล้ว เราก็เห็นเป็นกายพระวิสุทธิเทพ
    ลอยอยู่ตรงกลางของจักรวาล และระเบิดแสงสว่าง สีทอง ได้มโนแล้วเราก็เอาเป็นแสงเพชร
    แห่งความชุ่มเย็น ความรักความเมตตา ความสุข ความอิ่มเอิบกาย อิ่มเอิบใจ ความแช่มชื่น ความสุขจากบุญกุศล ความสุขจากอารมณ์พระนิพพาน

    ออกจากตัวเรา ให้กระจายไปทั้งจักรวาล
    ระเบิดกระจายออก คล้ายๆ ซูเปอร์โนวา นึกภาพออกเลยใช่ไหมครับ
    กระจายไปยังทั้งจักรวาล ระเบิดออก กระจายออก เป็นระลอกๆ หรือเป็นแสงสว่าง แผ่ออกไปทีเดียวก็ได้

    ไปจนถึงสุดขอบจักรวาล
    เพื่อให้สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทุกๆดาวเคราะห์ ของจักรวาลนี้
    ได้รับสัมผัสจากความรักความเมตตาของเรา เสมอด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    เสร็จแล้วเราก็แผ่ไปยังทุกมิติ ทุกภพภูมิ เบื้องบน แผ่ขึ้นไปยัง สวรรค์ พรหม ตลอดจนถึงพระนิพพาน
    ได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ให้เห็นว่าแสงสว่าง แผ่ขึ้นไปยังแต่ละชั้น
    เห็นแต่ละชั้นของสวรรค์ พรหม พระนิพพานอย่างชัดเจนด้วยกำลังของมโนมยิทธิ
    เห็นทุกๆท่าน ทุกๆพระองค์ แย้มยิ้มด้วยความสุข ด้วยความเบิกบานใจ อย่างถึงที่สุด
    เห็นทุกๆท่านโมทนาในการแผ่เมตตาของเรา
    ในบุญกุศลใดที่เราได้ทำมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต
    เราก็ขอน้อมถวายต่อทุกๆท่าน ทุกๆพระองค์

    เบื้องล่าง ก็แผ่ลงไปยังอบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
    ผ่านนรกแต่ละชั้นลงไปจนถึงนรกขุมล่างสุด
    ให้สัตว์ทั้งหลาย พ้นจากความทุกข์ได้โดยไว เห็นภาพว่าไฟนรกดับไล่ลงไปเป็นชั้นๆๆ ดับลงจนหมด
    ขอให้ไฟนรก ไฟแห่งความเร่าร้อนด้วยอำนาจแห่งกรรม กิเลส ตัณหา
    ดับลงชั่วคราว ด้วยอำนาจแห่งความรักความเมตตา ที่เรามีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณนี้ด้วยเทอญ

    แผ่ไปยังทั้งสังสารวัฏ ขอให้ทุกๆดวงจิต ที่ได้สัมผัสกับแสงสว่าง แห่งความรักความเมตตานี้
    ได้พ้นจากความทุกข์ ได้เข้าถึง ได้สัมผัสซึ่งพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขได้โดยเร็วด้วยเทอญ

    ให้เป็นความรักความเมตตาที่ปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ซึ่งจะเป็นการควบอารมณ์ของความเป็นพระอริยะเจ้า เป็นพรหมวิหาร4 ควบอารมณ์พระนิพพาน

    เสวยสุขจากความรักความเมตตา ควบอารมณ์พระนิพพานนี้
    สัมผัสกับความสุข ความชุ่มเย็น จนดวงจิตของเราเบิกบาน แย้มยิ้ม สว่างไสวถึงที่สุด
    ยิ่งเราอยากให้ผู้อื่นมีความสุข มากเท่าไหร่ เราเองก็ยิ่งมีความสุข ชุ่มเย็นยิ่งๆขึ้นไปเท่านั้น

    ให้ความสุขเอ่อล้น ท่วมท้นไปยังทั้งดวงจิตของเรา ยิ่งแผ่ออกมากเท่าไหร่ ยิ่งเย็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
    ให้ความสุข ความชุ่มเย็น พี๊คถึงขีดสุด สุข เย็นถึงที่สุด
    จนเราแย้มยิ้มจนแก้มปริ จนจิตเราเปิดออก แผ่กระจาย เบาโล่ง โปร่งสบายถึงที่สุด

    เสร็จแล้วให้เราจดจำอารมณ์จิตนี้ และอธิษฐานกำกับเอาไว้ ว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งความสุข จากความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ควบกับอารมณ์พระนิพพานนี้
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่ว ขณะจิต ทุกภพชาติ ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำ เอาไว้ สามครั้ง

    จากนั้นให้เราประคอง รักษาอารมณ์ใจ นี้ให้อยู่กับเราได้ตลอดไป และเราจะมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันอย่างแน่นอน
    การปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    อานิสงค์ก็คือ จะทำให้เราก็จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    ก่อนนอน ให้เราตั้งจิต แผ่เมตตาควบอารมณ์พระนิพพานแบบนี้ทุกคืน
    และให้เราตั้งจิตว่า หากเราตายไปขณะที่หลับนี้ ข้าพเจ้าจะไปยังพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น
    จากนั้นให้เราประคองความสุข จนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มล้นแก้ม ของเรา ทุกๆคืน
    ถ้าเราด้วยอารมณ์จิตนี้อย่างต่ำเราก็เป็นพรหม เพราะพรหมวิหาร4 เต็มล้นหัวใจของเรา
    ถ้ากำลังใจแน่วแน่ถึงที่สุด เราก็ไปพระนิพพานเลย

    ปฏิบัติกันแบบมีความสุข หลับด้วยรอยยิ้มทุกคืน ตายแล้วก็ไปพระนิพพาน ดีไหมครับ

    ขอให้ทุกๆดวงจิต สามารถเข้าถึงซึ่งเมตตาอัปปมาณฌาณ
    ความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณต่อผู้อื่น
    ควบอารมณ์พระนิพพาน ปรารถนาให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเสมอกัน
    ได้อย่างละเอียด เบิกบาน แช่มชื่น ชุ่มเย็น สว่างไสวถึงที่สุด ได้โดยฉับพลันทันใด
    และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน กันทุกๆดวงจิตด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันที่ 2 ส.ค.

    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ จะร่วมถวายมหาสังฆทาน ณ ซอยสายลม เวลา 9.30
    ใครที่ว่างหรือ สนใจ ขอเชิญมาร่วมกันได้ครับ

    หากท่านใดไม่ว่างก็ขอให้ร่วมอนุโมทนา
    ถือว่าทุกๆคนในเว็บนี้ ได้มีส่วนร่วมในบุญกุศล จากการถวายมหาสังฆทานนี้ด้วยกันทั้งมวลทั้งหมด ให้ได้บุญกันเต็มๆทุกหน่วย

    ด้วยอานิสงค์นี้ขอให้พระพุทธศาสนา อยู่ครบ5000ปี มีความเจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาล
    ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆทั้งจากศึกสงคราม จากภัยธรรมชาติ จากภัยทุกอย่างทุกประการ
    มากด้วยพระอริยเจ้า พระสุปฏิปัณโณ พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์
    มีพระยาธรรมิกราชปกปักรักษาคุ้มครองประเทศไทยตลอดไป
    ยังทุกๆดวงจิตทั่งทั้งสังสารวัฏ ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน และโดยเร็วด้วยเทอญ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อนุโมทนาครับ ตอนนี้พอที่จะรู้ตัวของตัว หยุด แล้วครับ ตอนนี้กำลังฝึกเรื่อง ใช้จิต นึก ครับ
    แต่ทีนี้คือเมื่อวานเข้าสมาธิแล้ว ไม่หายใจ ตัวลมนั้นมันหยุดจริงคับ แต่ มันมีแต่ลมหายใจเข้าไม่มีลมออก พอเข้าไปเรื่อยๆๆๆๆๆ จิตก็ตามมอง มันรู้สึกว่า หมุนๆตรงหน้าอก จิตก็นึกได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมันชินกับการมองด้วยตาเปล่าในขณะนั่งสมาธิ แล้ว เมื่อวาน เหมือนกับเป็นดวงๆที่แผ่ออกมีความรู้สึก จะกำหนดจิตเป็นรูปพระ หรือ จะแผ่เมตตาล่ะ ตอนแรกลองทำทั้งสองอย่าง กำหนดจิตเป็นภาพพระ แต่ แผ่เมตตาค่อยๆลดลง พอรู้ตัว ก็มาแผ่เมตตา แต่ จิตที่กำลังประคองรูปพระก็ค่อยๆหายไป ควร ทำอย่างไรดีครับ แล้วตัวหยุดนี่ เรานำไปใช้ในส่วนไหนต่อไปได้ครับ หรือทั้งจับภาพพระและแผ่เมตตา หรือว่าทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันครับ

    เริ่ม มาให้เรา หยุดจิต หยุดความคิด ให้จิตมีอาการนิ่ง ตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย นิ่ง หยุดอยู่
    พอจิตหยุด เราจึงค่อย แผ่เมตตา

    เพราะจิตจะแผ่เมตตาได้อย่างชุ่มเย็นถึงที่สุด ก็ต่อเมื่อจิตหยุด ตั้งมั่นเสียก่อน
    พอจิตมีกำลัง มีความสงบ ความนิ่งแล้ว
    ให้เราทรงภาพพระให้เห็นท่านเป็นเนื้อเพชร ใส ประกายระยิบระยับ และเห็นพระท่านแย้มยิ้ม
    ต้องเห็นท่านยิ้มสำคัญมาก

    จากนั้นก็ให้เราแผ่เมตตา สัมผัสความชุ่มเย็น ความรัก ความเมตตา
    ให้ชุ่มเย็นเต็มทั้งหัวจิตหัวใจของเรา จนแก้มของเราล้นปริ
    จนหัวใจของเราท่วมท้นด้วยความสุข ความเย็น ความโปร่งโล่งเบาสบาย
    เรายิ้มถึงที่สุด ยิ้มจนไม่รู้จะยิ้มยังไง จิตใจเบิกบานถึงที่สุด จนเราแทบจะรำพึงว่าสุขหนอๆๆ

    และแผ่ความชุ่มเย็นนี้ออกจากภาพองค์พระที่เป็นเพชรในจิตของเรา
    เป็นแสงสว่างสีทอง หรือสีเพชร กระจายออกจากองค์พระ
    ยิ่งแผ่เมตตามาก ยิ่งเห็นพระท่านยิ้มมาก ยิ่งเห็นพระท่านยิ้มมาก เรายิ่งยิ้มมาก

    1.จิตหยุด
    2.ภาพพระท่านยิ้ม
    3.แผ่เมตตาออกจากองค์พระที่ยิ้ม

    ตอนนี้(ผมมองภาพพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธรูปแล้ว รู้สึกยิ่งกว่าเราแผ่เมตตาอีก เพราะอย่างนั้นแล้ว ผมนำพระพุทธรูปนี้เป็นภาพพระที่เรากำหนดจิตได้ไหมครับ แต่ในรูปพระองค์ท่านเป็นพระพุทธรูปสีทอง )

    ขออนุญาติโพสลิ้งของแกลอรี่ลงในนี้นะครับ

    รูปนี้ครับ [​IMG]
    พระเมตตา - Image Gallery
    พระเมตตา - Image Gallery

    แต่พอไม่ได้มองรูปพระแล้ว ตอนนี้มาทำงานมานึกกำหนดจิตให้เห็นภาพนั้น ให้เห็นก็เห็นนะครับ แต่พอจะนึกได้คิ้วก็ขมวด ทุกอย่างที่บริเวณใบหน้า ขยับหมด ทุกทีที่นึก ส่วนลมก็เป็นไปตามที่มันจะเป็นเราแค่มองมันก็เป็นปรกติครับ ตรงจุดนี้ก็ไม่ได้สนใจ แต่ ในขณะทำงานเราจะให้คิ้วขมวดหน้าขยับไม่ได้หน่ะสิเดี๋ยวก็หาว่าเราโกรธหรือเยาะเยิ้ย ใครอีก จึงมีเรื่องมาถามด้วยประการละฉะนี้
    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ ขอให้บารมีกุศลผลบุญเพิ่มพูลยิ่งๆขึ้นไปครับ

    คิ้วขมวด แปลว่า อารมณ์ของเรา...
    อารมณ์หนักครับ จำเอาไว้เลย ถ้าคิ้วขมวดอารมณ์หนักทันที เ อาไว้สังเกตุตัวเอง
    คิ้วขมวดเกิดจาก เราพยายามจะให้เห็นภาพพระท่านมากเกินไป
    จริงๆต้องนึกด้วยอารมณ์สบายๆครับ
    เอางี้ครับ เวลาเรานึกถึงหน้าคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่เรารัก เราคิ้วขมวดไหมครับ
    ก็ไม่ขมวด

    แล้วทำไมเวลาเรานึกถึงพระเราคิ้วขมวดล่ะครับ
    นึกถึงพระเราต้องให้เห็นท่านยิ้ม พอเห็นท่านยิ้ม ใจของเราก็สบาย เราก็ยิ้มตามพระท่าน
    พอเราใจเรายิ้ม กายเรายิ้มออกมาจากใจที่มีคามสุข คิ้วก็ไม่ขมวด
    ต้องวางอารมณ์ให้เบาสบาย นึกสบายๆ

    ผมขอลองถามทุกๆคนให้ไปลองคิดดูครับ
    เคยมีใครเห็นพระพุทธรูปที่คิ้วขมวดไหมครับ
    ผมไม่เคยเห็นครับ
    พระพุทธรูปทุกองค์ ท่านยิ้มหมด

    ตรงนี้เราก็มาเทียบกับอารมณ์ในการปฏิบัติว่า เวลาฝึกสมาธิ
    เราต้องยิ้มออกมาจากจิต จนกายของเราแย้มยิ้มเหมือนกับพระท่าน

    ถ้าเรามาปฏิบัติแล้วคิ้วขมวด ก็แปลว่าเราปฏิบัติผิดจากที่พระท่านสอน
    เพราะพระพุทธเจ้าท่านยิ้มเสมอ ท่านไม่เคยขมวดคิ้ว

    เคยได้ยินพระอรหันต์ท่านกล่าวว่า
    วันนี้อารมณ์ของเราช่างหนัก ช่างอึดอัด ช่างขมวดคิ้ว ดีจริงหนอ ไหมครับ
    มีแต่ท่านกล่าวว่า อารมณ์ของเราวันนี้ ช่างโปร่ง โล่ง เบาสบาย ยิ่งนัก

    เรายิ่งปฏิบัติยิ่งขมวดคิ้ว ยิ่งเครียด ยิ่งเคร่ง ยิ่งอารมณ์หนัก ยิ่งยิ้มไม่ออก
    ก็แปลว่าเราปฏิบัติสวนทางกับพระพุทธเจ้าน่ะสิครับ
    อันนี้เป็นข้อสังเกตุได้ชัดเจน

    ยิ่งปฏิบัติตามพระพุทธองค์ท่านสอน ต้องยิ่งยิ้มจากจิต จิตยิ้ม ใจแย้ม กายเบิกบาน มีความสุข
    ถ้าเราปฏิบัติแล้ว ยิ้มน้อยกว่าเดิม ขมวดคิ้วมากขึ้น
    เรารู้ตัวเองได้เลยครับ ว่าเราปฏิบัติผิด อารมณ์หนักไปแน่นอน

    ขอให้ทุกๆคนมีจิตใจที่แย้มยิ้ม เบิกบาน ยิ้มทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะจิต
    ดั่งพระพุทธรูป ที่ท่านยิ้มแย้มอยู่เสมอตลอดเวลา ไม่ยอมหยุดยิ้ม
    ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาสาธุ ครับ ค่อยๆดีกว่าเร่ง ^^; เพราะเร่งเลยหนักเลยเครียด อนุโมทนาครับ หมดข้อสงสัยเหลือเพียงแต่ปฏิบัติครับอนุโมทนาบุญครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2009
  6. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอบคุณครับ
     
  7. kanlaya_tae

    kanlaya_tae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +24
    เรียนท่านเจ้าของกระทู้ทราบ
    ถ้าต้องการฝึกกรรมฐานแบบท่านจะต้องทำอะไรบ้างค่ะ ช่วยสอนให้ได้มั้ยค่ะขอตั้งแต่ ก ไก่
    เลยได้รึเปล่าด้วยเป็นผู้ต้อยประสบการณ์และขาดความรู้อีกอย่างคือเป็นสมาชิกใหม่ด้วยค่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  8. nati

    nati สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีครับ คุณ Xorce

    เมื่อครั้งผมทำฌาน1กสิณเหลืองได้ ผมชอบทำไว้ก่อนจะนอนหลับทุกคืน

    มีคืนหนึ่ง ผมนอนหลับไป แล้วรู้สึกว่ามีใครมาดันเข่า2ข้างของผมเพื่อให้ขาแบะออก แต่ผมก็ฝืนไว้จนได้ยินเสียงเตียงสั่นดัง กึ๊กๆๆๆๆๆ ผมไม่สามารถลืมตาได้และ ก็หายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ ......... ในอารมณ์นั้น ผมก็แค่เซ็งว่าหายใจไม่ออกอีกแล้ว แล้วผมก็จะตั้งใจ จะท่องนะโม3จบ

    ทันใดนั้น (ขณะที่ผมลืมตาไม่ได้นะครับ) ผมเห็นกายใสนะ ลุกออกจากกายที่นอนอยู่(ลุกมาครึ่งตัว) มีลักษณะใสสว่างเนียนมีแสงสว่างเป็นประกายระยิบๆที่ผิว เอามือซ้ายผลักไปที่หน้าของสิ่งที่มาแบะขาผม1ที แล้วทันใดนั้นกายใสก็กลับมาทับร่างผมที่นอนอยู่ แล้วผมก็ขยับลืมตาได้ .... เมื่อผมลืมตาเห็นท่าทางของร่างกายที่กายใสๆที่กลับมาทาบนั้นมีลักษณะเหมือนกับที่ผมเห็นตอนที่ไม่ลืมตาเลยครับ

    1. อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับ
    2. หลักจากทีผมเคยถามท่าน เรื่องทำฌานในกสิณ พอสุดท้ายแล้ว กสิณต้องใส .... ผมนำมาเทียบกับกายใสนั้น แล้วมันน่าจะใกล้เคียงกัน ..... ผมเลยลองนึกสภาวะนั้น แล้วขอให้เป็นลูกกลมใส ก็รู้สึกว่าใสสว่างดีซึ่งผมสุขใจมาก(แต่ถ้าจะให้ดีถูกใจที่สุด ก็นึกว่าร่างที่นั่งสมาธินั้นใสๆไปเลย ไม่ต้องให้เป็นลูกกลม จะได้ไหมครับ?) ......... แบบนี้ ถูกวิธีไหมครับ
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ kanlaya_tae ครับ

    เรียนท่านเจ้าของกระทู้ทราบ
    ถ้าต้องการฝึกกรรมฐานแบบท่านจะต้องทำอะไรบ้างค่ะ ช่วยสอนให้ได้มั้ยค่ะขอตั้งแต่ ก ไก่
    เลยได้รึเปล่าด้วยเป็นผู้ต้อยประสบการณ์และขาดความรู้อีกอย่างคือเป็นสมาชิกใหม่ด้วยค่ะ

    ขอบคุณค่ะ

    ปกติจะมีจัดฝึกที่สวนลุมพินี ทุกๆเดือนครับ
    ถ้าจะมีจัดฝึก ผมก็จะลงวันและเวลาในกระทู้นี้ให้ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากคับ

    เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราได้กสิณ กองนั้นแล้ว

    คือว่าถ้าให้นึกภาพนั้นให้กายเป็นเพชร และรับรู้ถึงอารมณ์ รู้สึกและสัมผัสได้ในกสิน

    ผมคิดว่าผมก็ทำได้บ้างแล้ว แล้วผมจะทราบไอย่างไรว่าไม่ได้เป็นอุปทาน

    จำเป็นมั๊ยคับว่ากายนึกภาพของกสิณให้กายเป็นเพชร และรับรู้ถึงอารมณ์

    รู้สึกและสัมผัสได้ในกสิน จะต้องเป็นฌาณ 4 เป็น 1 2 3 ได้มั๊ยคับ
     
  11. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ตอนนี้เข้าใจแล้วคับ ว่าทำไมคิ้วถึงขมวด หนักไปจริงๆ ทั้งๆที่เคยคิดว่านี่อยู่ในอารมณ์ที่เบาแล้ว พอรู้สึกตัวเมื่อวานนี้ที่ได้นั่งปฏิบัติ มันจะอารมณ์หนักติดมาเรื่อยๆจนเราไม่ได้สังเกตุเลย ทำจนเป็นนิสัยมองจุดนี้ไม่เห็น จนมาถึงเมื่อวานนี้ได้เข้าใจว่า เราพยายามเกร็งช่วงต่อระหว่างจมูกกับกรามและลำคอเพื่อให้หายใจได้การเกร็งนี้ไม่สั่งเกตุให้ดีๆเหมือนกับไม่มีอาการเกร็งใดๆเลยเพราะจุดมันเล็กมากๆก็เลยคิดว่าไม่ได้หนักอะไรมันปฏิบัติต่อๆกันมาเรื่อยจนสังเกตุไม่ออกมองไม่เห็นในจุดที่เราเกร็ง หลังจากผ่อนจุดที่เกร็งแล้ว อารมณ์คนละเรื่องเลยครับ เบามากๆนึกคิดอะไรแผ่เมตตาก็ได้ดีกว่าเดิมครับ สมาธิก็มีมากกว่าเดิม ก็ต้องขอขอบคุณ คุณชัดด้วยครับ ผมค่อยๆปฏิบัติได้เรื่อยๆ อนุโมทนาบุญครับ ภาพจากจิตที่นึกคิดกับภาพจากตาเนื้อในขณะนั่งสมาธิจริงๆเข้าใจคับ แต่ มันยังติดขันต์5จุดนี้เลยแยกไม่ออกว่าอันไหนคืออันไหน (พูดตรงๆยังติดหล่อคับ น่าจะเกิดมาหน้าตาขี้เหล่ จะได้ไม่ติดหล่อ ^^;) ถามหน่อยคับคนที่หน้าตาดีมีผิวพรรณ์ดีนี้แต่เดิม ได้ทำอะไรมาเหรอคับถึงได้ผลอย่างนี้(คำถามนอกเรื่องหน่อยคับ) อนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอให้เจริญสติและเจริญผลบุญบารมียิ่งๆขึ้นไปตราบเข้าถึงพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2009
  12. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    มีข้อสงสัยนิดหน่อยครับเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ คือ ผมไม่ทราบนะว่าผมได้เข้าถึงนิพพานจริงหรือเปล่าเพราะที่ผมเข้าถึงนิพพาน มันรู้สึกเย็น(อาจจะเป็นเพราะแอร์) แต่ความรู้สึกของการไปที่ แท่นอะไรซักอย่าง (ลืม) ผมรู้สึกชัดจนเห็นเป็นภาพลางๆในตาเลยครับ

    ตอนผมไปนั่งฝึกจะมีอาการอยู่4อาการ คือ
    1. อาการเย็นเหมือนเวลาแผ่เมตตา ช่วงนั้นจะเห็นภาพสีทองด้วย(ช่วงก่อนที่อาจารย์จะถามผมแผ่เมตตา อาจารย์บอกให้ลองเข้าไปดูใหม่) เห็นเป็นภาพสีทองบางทีเป็นรูปบางทีก็เป็นเส้น
    2. อาการเหมือนสภาวะ เข้าญาณ คือความรู้สึกหายไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึกที่ตัวเลยมีแม้แต่ความเย็นของแอร์ก็ไม่รู้สึก ช่วงนี้จะรู้สึกเหมือนคนรอบข้างถูกตัดออกไปเลยอ่าครับ
    3. สภาวะที่รู้สึกตัว รู้สึกชาบริเวณช่วงล่าง เหมือนกับมันนั่งทับเส้น แล้วขาชา ประมาณนั้นครับแล้วก็พยายามคิดว่ามันไม่ใช่ร่างกายของเรา สักพักหนึ่งก็ รู้สึกถึงสภาวะอื่น
    4. สภาวะเห็นภาพ คือช่วงที่อาจารย์พาไปถึงแท่นอะไรซักอย่าง ผมเห็นภาพในตาเลยครับ ว่ามีคนเท่าที่จิตจะกำหนดได้ อยู่มากมายไปหมด เห็นสภาพแท่นลางๆ

    ทั้งหมดนี้ผมพอสัมผัสได้ อยากทราบว่าเป็นเพราะผมใ้ช้อารมณ์หนักเกินไปรึปล่าวครับมันถึงได้เข้าญา๊ณไปเอง แต่ผมว่าผมไม่ได้ลงอารมณ์อะไรเลย อาจารย์บอกอะไรผมก็ตามไปตามไป แต่จะว่าไปผมใส่อารมณ์กับร่างกายตอนที่รู้สึกตัวบ้าง ว่ารู้สึกไม่อยากมีมันเลย ปวดก็ปวดเมื่อยก็เมื่อย

    มะกี้นี้หลับไป30นาที รู้สึกเหมือนหลับไปเกือบครึ่งวัน เพราะตัวชาไปหมด ไม่รู้เป็นเพราะอะไรหน่ะครับ (สงสัยขาดสารอาหาร)
     
  13. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาบุญกับนักปฏิบัติทุกท่านด้วยคร๊าปป ไม่มีข้อสงสัยแล้ว ^^ ;)
     
  14. ปูชิกา

    ปูชิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +631
    เรียนปรึกษาท่านผู้รุ้
    เคยฝึกนั่งสมาธิมาบ้าง แบบอาณาปนสติ
    แต่ตอนนี้ลองหันมาฝึกกสินสีขาว เพราะเห็นว่าน่าจะเหมาะกับจริตตัวเอง
    ฝึกได้3-4วัน รู้สึกว่าจิตส่ายมาก จับภาพได้แบบว่า เห็นแล้วก็หายไป ไม่นิ่ง เหมือนกับสไลด์ที่เปลี่ยนแผ่น ขึ้นมาแล้วหาย แต่ภาพยังเป็นภาพเดิม แต่ ไกล้บ้างไกลบาง
    เล็กบ้างใหญ่บ้าง เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำใช่หรือเปล่า ถูกมั้ย รู้สึกว่าท้อจะหันกับไปฝึกแบบเดิมคิดว่าเข้าสมาธิได้เร็วกว่า จิตไม่ส่าย เลยมะรู้จาปึกษาใคร จึงเรียนปรึกษาผู้รู้เจ้าคะ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ช่วงนี้ผมตอบช้านิดนึงนะครับ
    เนื่องคอมพิวเตอร์ขัดข้องนิดหน่อย

    ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราได้กสิณ กองนั้นแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เป็นเพชร ใส กระกายพรึก มีแสงสว่าง มีประกายระยิบระยับ นั่นแหละ สุดอารมณ์ของกสิณแล้วครับ

    คือว่าถ้าให้นึกภาพนั้นให้กายเป็นเพชร และรับรู้ถึงอารมณ์ รู้สึกและสัมผัสได้ในกสิน

    ผมคิดว่าผมก็ทำได้บ้างแล้ว แล้วผมจะทราบได้อย่างไรว่าไม่ได้เป็นอุปทาน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สัมผัสอารมณ์ได้นี่ก็ไม่อุปาทานแล้วครับ<o:p></o:p>
    แต่เราก็ให้ตั้งกำลังใจว่า<o:p></o:p>
    ยังมีอารมณ์ของกสิณที่มีความละเอียด ประณีต ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ <o:p></o:p>
    ดังนั้นเราจะต้องพัฒนาการทรงกสิณของเราให้ยิ่งๆขึ้นไป ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อุปาทานก็จะไม่กินเรา เพราะเราคิดว่าเรายังดีไม่พอ ต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้<o:p></o:p>


    จำเป็นมั๊ยคับว่ากายนึกภาพของกสิณให้กายเป็นเพชร และรับรู้ถึงอารมณ์

    รู้สึกและสัมผัสได้ในกสิน จะต้องเป็นฌาณ 4 เป็น 1 2 3 ได้มั๊ย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ภาพกสิณจะไล่แบบนี้ครับ<o:p></o:p>
    เป็นกสิณธรรมดา เช่น กสิณสีแดง ก็เป็นภาพ <o:p></o:p>
    ลูกบอลกลมสีแดง-ลูกบอลกลมสีขาว-ลูกบอลเนื้อแก้วใส-ลูกบอลเพชรใสประกายระยิบระยับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ธรรมดา-ขาว-แก้ว-เพชร ประกายระยิบระยับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พอได้เป็นเพชรแล้ว ให้เรากำหนดจิตว่า แสงสว่างจากภาพกสิณนี้ แผ่ขยายออกไปยังทั้งจักรวาล เพื่อเปิดญาณทัศนะให้ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น<o:p></o:p>
    ให้เราควบกับเมตตาด้วยก็ยิ่งดีครับ<o:p></o:p>
    ขอให้ผู้ใดที่ได้สัมผัสกับความรักความเมตตาจากแสงสว่างนี้ มีแต่ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มใจ มีแต่ความรักความเมตตาต่อกัน<o:p></o:p>
    ให้เป็นแสงสว่างแห่งความเย็นจากเมตตา ส่องสว่างท่ามกลางจักรวาลที่มืดมิด แผ่ขยายไปยังทั้งจักรวาล อนันตจักรวาล<o:p></o:p>
    ไม่มีสถานที่ใด ที่ไม่ได้รับแสงสว่างแห่งความรักความเมตตา ความชุ่มเย็นของเรา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เป็นกสิณควบ เมตตา พรหมวิหาร4<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เสร็จแล้วให้เราลองฝึกทรงภาพพระพุทธรูป ให้เป็นเนื้อเพชรใสประกายพรึก<o:p></o:p>
    เป็นพุทธานุสติ ควบกสิณ โดยอารมณ์ จะต้อง <o:p></o:p>
    1.มีความสว่างไสว เป็นเพชร จากกสิณ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    2.เป็นอารมณ์จิตที่เรามีความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า อย่างถึงที่สุด <o:p></o:p>
    จนสามารถนำพระบาทของพระองค์มาวางไว้เหนือศรีษะของเราได้อย่างเป็นเรื่องธรรมดา<o:p></o:p>
    อารมณ์นี้สำคัญมาก ถ้าจะทำอภิญญาให้เกิดต้องเน้น ไปที่ความนอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า<o:p></o:p>
    ยิ่งนอบน้อมมาก ญาณทัศนะยิ่งแจ่มใส อภิญญายิ่งเกิดขึ้นมาก และเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าโดยง่าย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    3.เห็นพระพุทธเจ้าท่านทรงแย้มยิ้ม ใจของเราจะแย้มยิ้มตามท่าน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    4.แผ่เมตตาเป็นแสงสว่าง ฉรรพพรรณรังสี ออกจากภาพพระพุทธเจ้าที่เป็นเพชร และแย้มยิ้ม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ลองไปทำเพิ่มดูครับ<o:p></o:p>
    และอย่าลืมอธิษฐาน วสี ปักหมุด เพื่อให้เกิดความคล่องเอาไว้ด้วย<o:p></o:p>
    ทรงภาพกสิณให้เป็นเพชร<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งกสิณทั้งสิบกอง เป็นฌาณ4 ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ทุกภพชาติ ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<o:p></o:p>
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง<o:p></o:p>
    ถ้าจะเอาละเอียด ก็กสิณกองละสามครั้ง จะได้มีความคล่องตัว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขอให้ภาพนิมิตกสิณ มีความสว่าง ชัดเจน แจ่มใส ทรงได้ทุกเวลาที่ต้องการ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งสัมมาอภิญญาสมาบัติ ได้ตลอดไป ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<o:p></o:p>
     
  17. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากคับ
     
  18. |ฅนจร|

    |ฅนจร| เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +229
    ขอถามหน่อยนะครับ คือตอนนี้ผมเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ เดือนนึงเเล้ว ตอนแรกๆๆนั่งได้ไม่เกินสิบห้านาทีก็รู้สึกวอกแวก แต่หลังๆๆมานี้ตั้งแต่ได้ไปฝึกปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมที่แก่งคอย สระบุรี นั่งสมาธิแบบโต้รุ่งอะครับ รู้สึกว่าดีขึ้นเยอะมากเพราะที่นั้นเงียบและวังเวงมากเลยครับ พอมาฝึกที่บ้านแล้วนั่งได้นานกว่าเมือก่อนมากเป็นชั่วโมง วอกแวกนิดหน่อยแล้วพอนั่งสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่มั้ง มือใหญ่มั้ง ตัวยาวทะลุโลกมั้ง พอนั่งระลึกถึงลมหายใจสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองมีตัวเท่าเดิมไม่ใหญ่เเล้ว แล้วจิตตอนนั้นมันก็สงบเหมือนๆๆดิ่งลงและไม่คิดอะไรเลย รู้สึกสบายแต่ไม่เยอะ แต่ก็สามารถนั่งได้ต่อไปได้ ผมสอบถามผู้รู้เค้าบอกว่านี้คืออาการของปฐมฌาณ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมมันมีอาการแค่นี้ไม่เหมือนอาการของคนอื่นๆเลยที่มี อาการขนลุก หรือน้ำตาไหล ก็เลยอยากถามว่าอาการของผมนี้เป็นอาการปิติเหมือนกันหรือเปล่าครับ และคือตอนนี้เมื่อผมนั่งสมาธิแล้วนั่งสักพักก็จะรู้สึกว่าตัวใหญ่หรือยาวทุกครั้งเลยครับแล้วสักพักก็เล็กลง คือผมอยากรู้ว่าเราจำต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ ตอนที่ผ่านอาการข้างต้นแล้วจิตนิ่งนะครับ แต่พอได้สักสิบนาที เริ่มคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว แต่ทำไมรู้สึกว่าจิตยังนิ่งเหมือนเดิม และทำยังไรให้เข้าสู่ทุติยฌาณ ขั้นถัดไปครับ พี่ที่ผมปรึกษาเค้าแนะนำให้เราพิจารณาร่างกาย ให้คิดขั้นตอนประมาณว่า นั่งดูการเปลี่ยนสภาพของคนที่เสียชีวิตแล้วครับ ผมก็ลองทำดู แต่มันก็ลางๆ ไม่ชัดสักที แต่ทำครั้งล่าสุดนี้ ก็ดูๆๆยังนั้น เห็นเหมือนมีแสงสว่างอยู่เหนือศีรษะของผมอ่ะครับ ผมก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก แต่ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในขั้นปฐมฌาณนี้มาเยอะเเล้ว ประมาณ 4 ครั้ง ครับที่รู้สึกว่าจิตเราสงบ สงสัยยังมีกิเลสอยู่เลยอยากพัฒนาเพิ่มอีก อ่านในหนังสือของหลวงพ่อทูล บอกว่าให้เราฝึกจนชินแล้วค่อยก้าวสู่ขั้นต่อไป ผมคิดว่าผมชินแล้วนะครับกับขั้นนี้ เพราะนั่งไม่นาน จิตก็จะนิ่ง (ผ่านขั้นตอนตัวใหญ่ หรือยาว ทุกครั้ง) และอยากถามว่าการออกจากฌาณ เราควรปฏิบัติยังไรครับ
     
  19. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    เมื่อวานใช้เวลานั่งสมาธินานพอสมควร ขณะที่จิตสงบ จึงแผ่เมตตา แล้วหลังจากนั้น อยู่ๆก็นึกถึงองค์เจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันรู้สึกว่าจิตตัวเองพุ่งออกไปแล้วก้มลงกราบเจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันไม่แน่ใจว่าสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นสิ่งที่จินตนาการ เป็นนิมิตร หรือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตจริงๆค่ะ?<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. |ฅนจร|

    |ฅนจร| เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +229
    จากการที่ได้อ่านเรื่องการฝึกกสิณของทุกๆๆ คน ที่ให้แบบธรรมดาแล้วเป็นสีขาว แล้วใส จนกลายเป็นเพชร ขณะนั่งอ่านผมจินตนาการไปพร้อมได้ด้วยครับ เห็นทุกขั้นตอนเลย สงสัยผมคงเป็นนักจินตนาการด้วย เพราะวันๆผมเอาแต่จินตนาการ เหอๆ และ เมื่ออ่านรายละเอียดแล้วรู้สึกชอบและคิดว่าไม่ยากเลยครับ แต่ผมก็พึ่งรู้จักการฝึกกสิณไม่กี่วันมานี้เองแหละครับ แต่รู้สึกชอบ อยากทำแต่ก็กลัวว่าสมาธิยังไม่ถึงขั้น เลยคิดว่าค่อยดีกว่า หรือผมควรฝึกไปพร้อมการทำสมาธิเลยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...