รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ตอนนี้เข้าใจแล้วคับ ว่าทำไมคิ้วถึงขมวด หนักไปจริงๆ ทั้งๆที่เคยคิดว่านี่อยู่ในอารมณ์ที่เบาแล้ว พอรู้สึกตัวเมื่อวานนี้ที่ได้นั่งปฏิบัติ มันจะอารมณ์หนักติดมาเรื่อยๆจนเราไม่ได้สังเกตุเลย ทำจนเป็นนิสัยมองจุดนี้ไม่เห็น จนมาถึงเมื่อวานนี้ได้เข้าใจว่า เราพยายามเกร็งช่วงต่อระหว่างจมูกกับกรามและลำคอเพื่อให้หายใจได้การเกร็งนี้ไม่สั่งเกตุให้ดีๆเหมือนกับไม่มีอาการเกร็งใดๆเลยเพราะจุดมันเล็กมากๆก็เลยคิดว่าไม่ได้หนักอะไรมันปฏิบัติต่อๆกันมาเรื่อยจนสังเกตุไม่ออกมองไม่เห็นในจุดที่เราเกร็ง หลังจากผ่อนจุดที่เกร็งแล้ว อารมณ์คนละเรื่องเลยครับ เบามากๆนึกคิดอะไรแผ่เมตตาก็ได้ดีกว่าเดิมครับ

    ตอนนี้คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า การเกร็งโดยไม่รู้ตัวนี่ มันไม่รู้ตัวจริงๆครับ
    เราดูตัวเองไม่ออกจริงๆ นอกจากจิตเราจะค่อนข้างละเอียดแล้ว
    ถ้าจิตเราละเอียดแล้ว พอหนักไปนิดนึงจะรู้เลยครับ
    อย่างถ้าเราแผ่เมตตาจนเย็น แล้วมาอารมณ์หนักนี่ จะเห็นได้ชัดเจนเลยครับ
    เหตุนี้การปฏิบัติควรจะมีกัลยาณมิตร คอยตักเตือนช่วยเหลือเวลาที่เราพลาดครับ
    ถ้าเราฝึกคนเดียว โดยไม่มีเพื่อนทางธรรม เราอาจจะวางอารมณ์ผิดโดยไม่รุ้ได้ครับ

    สมาธิก็มีมากกว่าเดิม ก็ต้องขอขอบคุณ คุณชัดด้วยครับ ผมค่อยๆปฏิบัติได้เรื่อยๆ อนุโมทนาบุญครับ

    ยิ่งใจเบาสบายมาก มีความสุขมาก สมาธิยิ่งตั้งมั่น
    ดังนั้นปฏิบัติต้องปฏิบัติด้วยอารมณ์สบายครับ ห้ามเครียด ห้ามหนัก ห้ามขมวดคิ้ว

    ภาพจากจิตที่นึกคิดกับภาพจากตาเนื้อในขณะนั่งสมาธิจริงๆเข้าใจคับ แต่ มันยังติดขันต์5จุดนี้เลยแยกไม่ออกว่าอันไหนคืออันไหน (พูดตรงๆยังติดหล่อคับ น่าจะเกิดมาหน้าตาขี้เหล่ จะได้ไม่ติดหล่อ ^^[​IMG]

    แหะๆ ที่ติดหล่อนี่ ไม่น่าจะเกี่ยวครับ
    ที่แยกไม่ออกเกิดจากอารมณ์หนัก กับเราติดว่า
    จะพยายามมองภาพด้วยตาเนื้อ ขณะที่เราหลับตาครับ
    เหมือนมองไปในความมืด แล้วพยายามจะให้ภาพปรากฏทางตาเนื้อ
    ก็เลยเพ่งเกินไปทำให้อารมณ์หนักด้วย
    ซึ่งภาพจะปรากฏที่จิตเท่านั้นครับ ยิ่งใจสบายมาก ภาพยิ่งชัด ยิงใจหนักมาก ภาพยิ่งมองไม่เห็น

    ถามหน่อยคับคนที่หน้าตาดีมีผิวพรรณ์ดีนี้แต่เดิม ได้ทำอะไรมาเหรอคับถึงได้ผลอย่างนี้(คำถามนอกเรื่องหน่อยคับ)

    งดงาม ด้วยเมตตา พรหมวิหาร4 + ศีล5 ครับ
    ยิ่งแผ่เมตตามากยิ่งหน้าตาดี ผิวพรรณมีความสวย มีความงดงาม แก่ช้าด้วยนะ
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระเมตตามากล้นที่สุดในจักรวาล
    ปรารถนาให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน โดยยอมลำบากพระองค์เพื่อความสุขของผู้อื่น
    พระพุทธองค์จึงเป็นผู้ที่มีพระรูปพระโฉมงดงามที่สุด ไม่มีผู้ใดเทียมได้เช่นกัน

    ขอให้รักษาอารมณ์ใจที่มีความเบาสบาย ชุ่มเย็นนี้ ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ข้อสงสัยนิดหน่อยครับเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ คือ ผมไม่ทราบนะว่าผมได้เข้าถึงนิพพานจริงหรือเปล่าเพราะที่ผมเข้าถึงนิพพาน มันรู้สึกเย็น(อาจจะเป็นเพราะแอร์) แต่ความรู้สึกของการไปที่ แท่นอะไรซักอย่าง (ลืม) ผมรู้สึกชัดจนเห็นเป็นภาพลางๆในตาเลยครับ

    เย็น เป็นเย็นจากจิตที่ไปสัมผัสอารมณ์ข้างบนด้วยครับ ส่วนพระแท่น อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ

    ตอนผมไปนั่งฝึกจะมีอาการอยู่4อาการ คือ
    1. อาการเย็นเหมือนเวลาแผ่เมตตา ช่วงนั้นจะเห็นภาพสีทองด้วย(ช่วงก่อนที่อาจารย์จะถามผมแผ่เมตตา อาจารย์บอกให้ลองเข้าไปดูใหม่) เห็นเป็นภาพสีทองบางทีเป็นรูปบางทีก็เป็นเส้น

    สีทอง เป็นสีของเมตตา ก็ถูกแล้วครับ

    2. อาการเหมือนสภาวะ เข้าญาณ คือความรู้สึกหายไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึกที่ตัวเลยมีแม้แต่ความเย็นของแอร์ก็ไม่รู้สึก ช่วงนี้จะรู้สึกเหมือนคนรอบข้างถูกตัดออกไปเลยอ่าครับ

    เป็นฌาณ ละเอียดครับ จะรู้สึกคล้ายตัวเราหายไป จิตของเราจะลอยอยู่นิ่งๆ ลมหายใจจะดับด้วยเช่นกัน

    3. สภาวะที่รู้สึกตัว รู้สึกชาบริเวณช่วงล่าง เหมือนกับมันนั่งทับเส้น แล้วขาชา ประมาณนั้นครับแล้วก็พยายามคิดว่ามันไม่ใช่ร่างกายของเรา สักพักหนึ่งก็ รู้สึกถึงสภาวะอื่น

    จริงๆ ขยับขาได้ครับ ให้เราประคองจิตให้เป็นสมาธิเอาไว้ แล้วก็ขยับขา
    เพื่อปรับไม่ให้ร่างกายเกิดความทรมานครับ
    ถ้าทรมานมากสมาธิจะทรงไม่อยู่

    4. สภาวะเห็นภาพ คือช่วงที่อาจารย์พาไปถึงแท่นอะไรซักอย่าง ผมเห็นภาพในตาเลยครับ ว่ามีคนเท่าที่จิตจะกำหนดได้ อยู่มากมายไปหมด เห็นสภาพแท่นลางๆ

    ทั้งหมดนี้ผมพอสัมผัสได้ อยากทราบว่าเป็นเพราะผมใ้ช้อารมณ์หนักเกินไปรึปล่าวครับมันถึงได้เข้าญา๊ณไปเอง

    เป็นความเคยชินของเราครับ คราวหน้าลองยั้งอารมณ์เอาไว้นิดนึงครับ
    อย่าให้ดิ่งลึกมาก ถ้าจิตสงบดิ่งลึกมาก ภาพจะไม่ปรากฏ
    เพราะเราใช้กันแค่อุปจารสมาธิ สำหรับมโนมยิทธิ

    แต่ผมว่าผมไม่ได้ลงอารมณ์อะไรเลย อาจารย์บอกอะไรผมก็ตามไปตามไป แต่จะว่าไปผมใส่อารมณ์กับร่างกายตอนที่รู้สึกตัวบ้าง ว่ารู้สึกไม่อยากมีมันเลย ปวดก็ปวดเมื่อยก็เมื่อย

    พิจารณาตัดร่างกาย ถูกแล้วครับ แต่ถ้าเมื่อย ให้เราขยับขาได้ครับ
    มะกี้นี้หลับไป30นาที รู้สึกเหมือนหลับไปเกือบครึ่งวัน เพราะตัวชาไปหมด ไม่รู้เป็นเพราะอะไรหน่ะครับ (สงสัยขาดสารอาหาร)<!-- google_ad_section_end -->

    เราเข้าฌาณตอนหลับครับ จะทำให้รู้สึกว่าหลับไปนาน
    ถ้าหลับแบบนี้ ตื่นขึ้นมาจะมีความสดชื่นมาก เพราะเราหลับแบบเต็มอิ่ม

    ให้เราขึ้นไปกราบพระท่านข้างบนอีกครั้งนึง จากนั้นตั้งจิตขอบารมีพระท่านพร้อม
    อธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงมโนมยทิธิได้ ตลอดไป ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    แล้วสภาวะข้างบนพระนิพพานเป็นยังไงบ้างครับ มาเล่าเป็นธรรมทานให้นักปฏิบัติท่านอื่นๆฟังด้วยครับ
    พระนิพพานสูญ ไม่สูญ อะไรที่สูญ กิเลสหรือเรา สภาวะเป็นอย่างไรบ้างครับ

    ขอให้มีความชัดเจนแจ่มใส ในการเจริญมโนมยิทธิ ให้ยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็วด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ปูชิกา ครับ

    เรียนปรึกษาท่านผู้รุ้
    เคยฝึกนั่งสมาธิมาบ้าง แบบอาณาปนสติ
    แต่ตอนนี้ลองหันมาฝึกกสินสีขาว เพราะเห็นว่าน่าจะเหมาะกับจริตตัวเอง
    ฝึกได้3-4วัน รู้สึกว่าจิตส่ายมาก จับภาพได้แบบว่า เห็นแล้วก็หายไป ไม่นิ่ง เหมือนกับสไลด์ที่เปลี่ยนแผ่น ขึ้นมาแล้วหาย แต่ภาพยังเป็นภาพเดิม แต่ ไกล้บ้างไกลบาง
    เล็กบ้างใหญ่บ้าง เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำใช่หรือเปล่า ถูกมั้ย รู้สึกว่าท้อจะหันกับไปฝึกแบบเดิมคิดว่าเข้าสมาธิได้เร็วกว่า จิตไม่ส่าย เลยมะรู้จาปึกษาใคร จึงเรียนปรึกษาผู้รู้เจ้าคะ

    <!-- google_ad_section_end -->เราจะต้องวางอารมณ์ใจของเราให้เบาสบายด้วยครับ
    ถ้าอยากให้สงบมากไป ก็ไม่ได้ผลเช่นกันครับ ต้องอย่าอยากให้สงบครับ
    ให้เราตั้งกำลังใจว่า ฝึกเพื่อความสบายใจ อย่าฝึกเพื่อสงบ
    เพราะพอใจสบายแล้วเราจะสงบเอง แต่ถ้าตั้งใจจะให้สงบมากไป
    มันจะบีบคั้นตัวเอง เลยไม่ต้องสงบกัน

    เดี้ยวลองอ่านแล้วทำตามเลยนะครับ ท่านใดอ่านตรงนี้แล้วให้ทำตามด้วยเลยครับ

    ให้เรานึกถึงภาพของลูกบอลกลมๆ สีขาว มีเนื้อสีขาวทึบทั้งลูก

    เสร็จแล้วให้เรานึกต่อว่า ภาพลูกบอลสีขาวนี้ ใสขึ้นๆ สว่างมากขึ้น ใสขึ้นเรื่อยๆ
    จนกลายเป็นลูกแก้วกลม ใส สว่าง ทั้งลูก เป็นเนื้อแก้วใส โปร่ง สว่าง

    จากนั้นให้เรานึกต่อว่า ลูกแก้วใสนี้ สว่างขึ้นเรื่อยๆ เปล่งประกายระยิบระยับมากขึ้นๆ
    สว่างมากขึ้น ระยิบระยับมากขึ้นเรื่อยๆ
    จนกลายเป็นเนื้อเพชรทั้งลูก
    เป็นลูกเพชรใส ประกายระยิบระยับทั้งลูก

    จากนั้นให้เรานึกว่ามีลำแสงเพชร แผ่กระจายออกจากดวงเพชร
    แผ่กระจายขยายออกไปยังททั้งโลก ทั้งจักรวาล เห็นภาพว่าทั้งจักรวาล เรืองแสงสว่าง เป็นเพชร ประกายระยิบระยับไปหมด
    พอถึงจุดนี้ให้เราลองย้อนกลับมาดูลมหายใจของเรา หากดวงเพชร ชัดเจนแจ่มใส ระยิบระยับมาก ลมหายใจของเราจะดับ หยุดนิ่ง ไม่หายใจ

    จากนั้นให้เราอธิษฐานว่า ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงกสิณสีขาวเป็นเพชรนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง

    จากนั้นให้เราหมั่นทรงภาพดวงเพชรนี้ เอาไว้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ทั้งยามหลับ ยามตื่น
    นึกเมื่อไหร่เห็นเป็นดวงเพชรใส ระยบิระยับทั้งลูก ได้ตลอด
    ทรงเอาไว้ตลอดแล้วญาณทัศนะจะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานครับ

    1.เน้นอารมณ์ใจสบาย ฝึกสมาธิเราต้องยิ้มใจเบิกบาน ถ้ายิ้มไม่ออก แปลว่าอารมณ์หนักไป บีบเค้นเกินไป
    2.ภาพกสิณทรงเอาไว้แบบเป็นเพชร และแผ่แสงเพชรไปยังทุกๆทิศทาง ทั้งจักรวาล
    3.พอกสิณเป็นเพชรเต็มที่ เราย้อนดูลมหายใจพบว่าดับไป
    4.อธิษฐานปักหมุดเอาไว้ เพื่อให้เข้าออกได้คล่องแคล่ว
    5.ทรงกสิณเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะตอนฝึก ที่เหลืออีก23ชั่วโมงในหนึ่งวัน เราไม่ทรง
    ต้องเล่นเนื้อๆ เน้นๆ 24ชั่วโมงต่อวัน ทำทุกวันครับ
    6.พอได้ดวงเพชรคล่องแคล่วแล้ว ให้หันมาทรงภาพพระพุทธเจ้าให้เป็นเนื้อเพชรทั้งองค์

    ขอให้เข้าถึงซึ่งกสิณได้โดยง่าย นิมิต มีความสว่างแจ่มใสด้วยบารมีแห่งพระพุทธเจ้า และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  4. ปูชิกา

    ปูชิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +631
    ขอบคุณท่านผู้รู้ที่ชี้แนะ

    จะนำไปปฎิบัติเจ้าคะ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ คนจร ครับ

    ขอถามหน่อยนะครับ คือตอนนี้ผมเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ เดือนนึงเเล้ว ตอนแรกๆๆนั่งได้ไม่เกินสิบห้านาทีก็รู้สึกวอกแวก แต่หลังๆๆมานี้ตั้งแต่ได้ไปฝึกปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมที่แก่งคอย สระบุรี นั่งสมาธิแบบโต้รุ่งอะครับ รู้สึกว่าดีขึ้นเยอะมากเพราะที่นั้นเงียบและวังเวงมากเลยครับ พอมาฝึกที่บ้านแล้วนั่งได้นานกว่าเมือก่อนมากเป็นชั่วโมง วอกแวกนิดหน่อยแล้วพอนั่งสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่มั้ง มือใหญ่มั้ง ตัวยาวทะลุโลกมั้ง

    อันนี้เป็นอาการของปีติ5ครับ ตัวโตบ้าง ขยายใหญ่บ้าง ขนลุกบ้าง น้ำตาไหลบ้าง

    พอนั่งระลึกถึงลมหายใจสักพักก็รู้สึกว่าตัวเองมีตัวเท่าเดิมไม่ใหญ่เเล้ว

    พอจิตสงบผ่านช่วงนึงไปแล้ว ปีติจะหายไป ซึ่งถูกแล้วครับ
    ถ้าปีติยังอยู่แปลว่าจิตยังไม่สงบเต็มที่ครับ

    แล้วจิตตอนนั้นมันก็สงบเหมือนๆๆดิ่งลงและไม่คิดอะไรเลย รู้สึกสบายแต่ไม่เยอะ แต่ก็สามารถนั่งได้ต่อไปได้

    ผมสอบถามผู้รู้เค้าบอกว่านี้คืออาการของปฐมฌาณ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมมันมีอาการแค่นี้ไม่เหมือนอาการของคนอื่นๆเลยที่มี อาการขนลุก หรือน้ำตาไหล ก็เลยอยากถามว่าอาการของผมนี้เป็นอาการปิติเหมือนกันหรือเปล่าครับ และคือตอนนี้เมื่อผมนั่งสมาธิแล้วนั่งสักพักก็จะรู้สึกว่าตัวใหญ่หรือยาวทุกครั้งเลยครับแล้วสักพักก็เล็กลง คือผมอยากรู้ว่าเราจำต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ

    เลยปฐมฌาณแล้วครับ ขนลุกน้ำตาไหลเป็นปีติ ตัวพองขยายก็เป็นปีติ
    ถ้าปีติหายไป แปลว่าจิตของเราเลย ปฐมฌาณแล้วครับ
    1.จะไม่เกิดปีติทุกครั้งครับ ถ้าจิตสงบผ่านช่วงนี้อย่างรวดเร็ว จิตจะไม่สัมผัสกับปีติเลย
    2.ปีติจะไม่เกิดกับทุกคน บางคนจะเจอปีติ1ตัว 2 ตัว
    บางคนไม่เจอเลยก็มี ถ้าเจอครบ5ตัวส่วนมากจะเป็นพุทธภูมิครับ
    เพราะต้องมาสอนคนอื่น เลยต้องผ่านหมด
    3.ปีติให้เราวางอารมณ์ เฉยๆ เรารู้ว่ามันเป็นปีติ แล้วก็อย่าไปสนใจกับมัน
    ซักพักก็จะหายไปเองครับ ถ้าเราไปสนใจกับปีติมากจิตก็จะไม่สงบต่อไป

    ตอนที่ผ่านอาการข้างต้นแล้วจิตนิ่งนะครับ

    ช่วงที่จิตนิ่ง มีอาการ อารมณ์อย่างไรบ้างครับ ลมหายใจเรายังมีไหมครับ

    แต่พอได้สักสิบนาที เริ่มคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว แต่ทำไมรู้สึกว่าจิตยังนิ่งเหมือนเดิม และทำยังไรให้เข้าสู่ทุติยฌาณ ขั้นถัดไปครับ พี่ที่ผมปรึกษาเค้าแนะนำให้เราพิจารณาร่างกาย ให้คิดขั้นตอนประมาณว่า นั่งดูการเปลี่ยนสภาพของคนที่เสียชีวิตแล้วครับ ผมก็ลองทำดู แต่มันก็ลางๆ ไม่ชัดสักที แต่ทำครั้งล่าสุดนี้ ก็ดูๆๆยังนั้น เห็นเหมือนมีแสงสว่างอยู่เหนือศีรษะของผมอ่ะครับ ผมก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก แต่ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในขั้นปฐมฌาณนี้มาเยอะเเล้ว ประมาณ 4 ครั้ง ครับที่รู้สึกว่าจิตเราสงบ สงสัยยังมีกิเลสอยู่เลยอยากพัฒนาเพิ่มอีก อ่านในหนังสือของหลวงพ่อทูล บอกว่าให้เราฝึกจนชินแล้วค่อยก้าวสู่ขั้นต่อไป ผมคิดว่าผมชินแล้วนะครับกับขั้นนี้ เพราะนั่งไม่นาน จิตก็จะนิ่ง (ผ่านขั้นตอนตัวใหญ่ หรือยาว ทุกครั้ง) และอยากถามว่าการออกจากฌาณ เราควรปฏิบัติยังไรครับ<!-- google_ad_section_end -->

    1.พอเราเข้าถึงจุดที่สงบถึงที่สุด ของแต่ละวัน ให้เราอธิษฐานปักหมุด เป็นวสี เอาไว้ว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตที่มีความสงบระดับนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    2.พอเริ่มทำสมาธิ ให้เรากลับเข้าสู่จุดที่สงบเลย โดยไม่ต้องไล่อารมณ์ใหม่
    โดยการจำอารมณ์เดิมให้ได้ แล้วกลับเข้าสู่จุดที่สงบนิ่งเลย
    หรือก่อนทำสมาธิ ตั้งจิตนกึถึงภาพของพระพุทธเจ้า แล้วตั้งจิตว่า
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านเมตตาสงเคราะห์ ให้ข้าพเจ้าได้กลับเข้าสู่สภาวะที่จิตนิ่ง หยุด ตั้งมั่น อีกครั้งด้วยเทอญ
    แล้วเราจะกลับสู่สภาวะเดิมในทันที

    3.การออกจากสมาธิให้เราค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ หายใจออกช้าๆ ยาวๆ 3 ครั้ง
    ครั้งที่1 หายใจเข้าภาวนา พุท ออก โธ
    ครั้งที่2 เข้า ธัม ออก โม
    ครั้งที่3 เข้าสัง ออก โฆ
    ตื่นขึ้นด้วยอำนาจแห่ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    เราจะรู้สึกว่าจิตของเราที่นิ่งดิ่งอยู่ ค่อยๆ ถอน ลอยขึ้นมา จะรู้สึกว่าลอยขึ้นชัดเจน
    พอจิตลอยขึ้นมาจนสุด เราก็จะออกจากสมาธิโดยสมบูรณ์แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้น

    จากการที่ได้อ่านเรื่องการฝึกกสิณของทุกๆๆ คน ที่ให้แบบธรรมดาแล้วเป็นสีขาว แล้วใส จนกลายเป็นเพชร ขณะนั่งอ่านผมจินตนาการไปพร้อมได้ด้วยครับ เห็นทุกขั้นตอนเลย สงสัยผมคงเป็นนักจินตนาการด้วย เพราะวันๆผมเอาแต่จินตนาการ เหอๆ และ เมื่ออ่านรายละเอียดแล้วรู้สึกชอบและคิดว่าไม่ยากเลยครับ แต่ผมก็พึ่งรู้จักการฝึกกสิณไม่กี่วันมานี้เองแหละครับ แต่รู้สึกชอบ อยากทำแต่ก็กลัวว่าสมาธิยังไม่ถึงขั้น เลยคิดว่าค่อยดีกว่า หรือผมควรฝึกไปพร้อมการทำสมาธิเลยครับ

    1.กสิณเป็น สมาธิที่ฝึกได้ง่าย คนไม่เคยเริ่มฝึกสมาธิมาก่อน จับมาฝึกทำกสิณก็ทำได้เลย
    ดังนั้นสมาธิขั้นไหนก็ฝึกได้ครับ ฝึกได้เลยนะครับ ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น<!-- google_ad_section_end -->

    2.วิสัยของคุณ เป็นประเภทต้อง ฝึกกสิณ ต้องให้ได้ญาณรู้เห็น ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา
    ถ้าจะมาฝึกแบบไม่รู้ไม่เห็น มันจะขัดกับอารมณ์เก่า จะทำให้ไปได้ช้า

    ดังนั้นเราฝึกกสิณไปเลยครับ
    ลองฝึกทรงภาพกสิณ เป็นภาพพระพุทธรูป เนื้อเพชรใส สว่าง ประกายระยิบระยับ ให้ได้ตลอดทั้งวันดูครับ
    แล้วเราแผ่แสงเพชร ให้กระจายออกจากพระพุทธรูป ระเบิดกระจายออก สว่างเป็นเพชรไปทั้งจักรวาล ทรงเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลาครับ
    แล้วเราย้อนมาดูว่าพอเราเห็นทั้งจักรวาลสว่างเป็นเพชร ลมหายใจของเราดับไปไหม

    ขอให้สามารถทรงกสิณทั้งสิบ รวมถึงกรรมฐานทุกๆกอง ฌาณ ญาณ อภิญญา ได้โดยง่าย ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยพุทธะบารมี ธัมมะบารมี สังฆะบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ thippayawan ครับ

    เมื่อวานใช้เวลานั่งสมาธินานพอสมควร ขณะที่จิตสงบ จึงแผ่เมตตา แล้วหลังจากนั้น อยู่ๆก็นึกถึงองค์เจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันรู้สึกว่าจิตตัวเองพุ่งออกไปแล้วก้มลงกราบเจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันไม่แน่ใจว่าสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นสิ่งที่จินตนาการ เป็นนิมิตร หรือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตจริงๆค่ะ?<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    เป็นมโนมยิทธิ ครับ คราวนี้เวลาเราจะกราบพระ หรือครูบาอาจารย์
    ให้เราลองนึกว่า มีตัวเราอีกคนนี้กำลังก้มลงกราบท่าน
    ให้จิตของเรามีความนอบน้อม อ่อนโยน เคารพ ท่านอย่างถึงที่สุดเวลากราบ
    ลองทำดูครับ

    และหาเวลาไปฝึกมโนมยิทธิ ที่ซอยสายลมด้วย จะยิ่งดีครับ
     
  7. |ฅนจร|

    |ฅนจร| เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +229
    ขอบคุณมากๆๆจากใจเลยครับ ที่ช่วยแก้ข้องสงสัยของผม คุณXorce
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ยินดีเสมอครับ

    ถ้าช่วยคนให้เข้าถึงธรรมได้


    ผมพอจะช่วยอะไรได้ก็จะช่วยให้เต็มที่ครับ

    ผมจะเน้นจี้อารมณ์ ให้เห็นชัดเจน คล้ายกับการขีดเส้นใต้
    จะได้เข้าใจได้ง่าย และปฏิบัติได้เร็วครับ

    ถ้ามาว่ากันแต่ปริยัติ มันช้า ได้แต่ เข้า หัว แต่ ไม่เข้า ใจ
    ต้องเน้นชี้ที่อารมณ์ขณะปฏิบัติจริง จะได้เห้นชัดเจน และเข้าไปถึง ใจ

    ดังนั้นหากมีข้อสงสัยก็สอบถามได้เสมอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  9. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    วันนี้ได้เห็น เป็น จอกหรือถ้วยหรือว่า อ่างอะไรสักอย่างที่เค้าตวงน้ำอะไรไม่รู้อยู่บนแท่นอ่ะคับ สูงๆหน่อย ขนาดประมาณแจกัน2ใบรวมกัน(สองฝามือแบมือแล้วชนกัน)เห็นจะได้มั้ง ตรงแท่นที่วางจอกมีลักษณะเป็น เหมือนคล้ายๆเจดีที่ตัดหัวเจดีออก แต่เป็นทรงเหลี่ยมๆ สวยงามระยิบระยับมากๆ หรือผมเพ้อฟุ้งไปเองหว๋า งง เห็นค่อนข้างขัดเจนครับ คุณชัดช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับว่ามันคืออะไร มันรู้สึกไม่ได้เห็นอย่างเดียว คือเหมือนกะเราอยู่ตรงนั้นด้วยครึ่งนึง -.- จู่ๆภาพมันก็ปรากฏมาให้เห็นเองอ่ะไม่ได้เพ่งไม่ได้กำหนดจิตพยายามนึกแต่พระ อารมณ์ตอนนี้ดีมากๆ เอาสบายไว้ จะถอดก็ช่าง จะทำอะไรก็ช่าง มันจะฟุ้งก็ช่าง แป๊ปๆก็กลับมามีสมาธิได้อย่างไว -.- ส่วนไอเจ้าจอกน้ำนี่มันไม่เกี่ยวเลยแล้วผมเห็นได้อย่างไร งง แต่ มันสวยมากๆเลยครับ น้ำก็ใสกว่าแก้วซะอีก ใสมากๆเลย ทั้งแทนทั้งจอกน้ำระยิบระยับ อ่อผมเห็น พยาฏานางฟ้า หรือ เทวดา ก็ไม่แน่ใจ แต่ใส่ชุดคล้ายๆ หยิบจอกนั้นด้วย พอหยิบแล้วเค้าก็หันมาทางผมแล้วก็ยิ้ม งดงามมากๆ ผิวนี้สวยจริงๆผิวพรรณและ เครื่องประดับสวยไปหมด ตอนที่เห็นน่าจะมีสัก 2-3 องค์ แล้วมันคืออะไรนี่่ - -; งง

    มีำคำถามครับ แต่คำถามบางส่วนพรุ้งนี้ค่อยมาถามคำถามต่อครับ เพราะ วันนี้เพลีย จัง โดนหัวหน้าด่าทั้งวันไม่มีอะไรก็ด่าเราซะงั้นแต่ผมก็ทนอย่างถึก ทนไปได้-.- เหมือนกับไม่สะท้กสะท้าน เพราะหัวหน้าเค้าเอาแต่ใจ พูดแรงๆพูดหยาบๆ ใสเรา ว่ากุอย่างนู๊นอย่างนี้เมิงทำไมวะบ้าง ขออภัยนี่ยกตัวอย่างครับ แต่คิดสักพักเดี๋ยวก็กลับมาดูลมเอง เออเอากะมันสิ มันเป็นอัตโนมัติแฮะ ไม่ต้องกำหนดมันก็กลับมาดูลม ฟุ้งแป๊ปๆประเดี๋ยวประด๋าวก็กลับมาดูลมใหม่ คำภาวนาก็เหมือนกัน บทสวดยังงี้ มันยังกะสวดตลอดเวลายังไงยังงั้นถ้าจิตไม่คิดอะไร บางที บทสวดมนต์ที่เราภาวนาทุกวันมันก็ไหลมาในหัวสมอง เหมือนกับมีพระมานั่งสมาธิในหูเราแล้วสวดมนต์ให้เราฟัง
    แต่ก็ดีคับมีสมาธิเวลาเราฟุ้งๆ

    ถ้าหัวโล่งๆ กำลังเดิน นั่ง นอน หรือจะทำอะไร เอาแล้ว บทสวดมาล่ะ มาจากไหน-.- (แง๊ะ) ถ้าเราฟุ้งแบบว่า โกรธหัวหน้า เครียดจากงาน เรื่องอื่นๆ ฯลฯ มันก็จะไปดูลมหายใจทันที(ถ้าลมไม่มีก็ดูจิตง่ะ) เป็นงั้นไป

    ไม่ได้เริ่มคำถามสักที
    1.จอกนั้นคืออะไร
    2.ผมเคยเห็นพระประมาณ3-4รูปที่สวยงามมากๆ(ไม่แน่ใจว่าใช่จริงๆหรือว่าผมคิดไปเอง) อยู่เหนือหัวผมไป2-3เมตร ตามลำดับและมีอยู่้องค์นึงที่มีรัศมีเปร่งประกายสีทองทั้งตัมี อะไรไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไรนะที่มันเป็นวงแหวนอยู่รอบๆหัว มีชฏา หรืออะไรแหลมๆ เป็นพระที่มีบุญาธิการมากๆ อยู่เหนือหัวเราสักประมาณครึ่งชั่วยามมั้งครับ ตอนนั้น หลังจากที่ผมโดนจอมมารเชื้อเชิญให้เป็นสาวก ผมก็เืกือบหมดแรง เพราะ ร่างกายขยับไม่ได้มันอำผมขาขยับไม่ได้อีกร่างผมอยู่ในที่ๆมีไฟล้อมรอบกายเนื้อก็ขยับไม่ได้มันมีความรู้สึกเหมือนกับอยู่2ที่ในเวลาเดียวกันง่ะ หลังจากนั้น สักพัก ก็มี พระ อย่างที่ผมเห็นนี่แหละ มา อยู่บนหัวผมหรือว่าท่านมาช่วยผมไว้ก็ไม่รู้ อนุโมทนา ด้วยคับ แต่ ตั้งแต่ตอนนั้นผมจำไม่ได้นะว่า มี ตอนนี้เริ่มเห็น เพราะผมรองมองย้อนไปดู ก็จำได้ลางๆ จะึดึงภาพพระที่ท่านอยู่บนเหนือหัวเราเมื่อตอนครั้งกระนู๊นที่ช่วยเรา จะได้ไหมครับ ผมรู้สึกว่าผมเริ่มเห็นท่านชัดขึ้น ความรู้สึกมันเบาและเหว๋งโหว๋ง เหมือนกะเราเป็นฝ้ายหรือนุ่นที่ลอยบนอากาศยังไงยั่งงั้น ตอนนั้นที่เห็น พื้นจะเป็นสีดำแต่มีประกายสีทองของพระท่านสาดมาอยู่ก็เลยผสมๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกไม่มืดและก็ไม่สว่างจ้าจนแสบตาอย่างนั้นแต่ แสงสีทองที่ออกมาจากพระสว่างมากๆนะคับ ค่อยๆกลืนความมืดๆง่ะ แล้วก็จำไม่ได้ล่ะ ถึงแค่เนี่ย เหมือนแผ่นซีดีตกร่อง -*-
    3.ตอนนี้ผมนึกกำหนดให้พระท่านอยู่เหนือศรีษะผมตลอดเวลาแต่ก็แผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา คือ ให้พระท่าน นั่งบนหัวอาจจะลอยจากหัวไปนิดหน่อย ผมกำหนดยังงี้จะได้รึเปล่าคับ เพราะง่ายกว่ากำหนดพระที่ท่านนั่งตรงข้ามเรา
    4.คือยังมีกังวลอยู่บางครั้งเหมือนมันจะหลุดแล้วแต่ก็กลับมาห่วง อย่างนั้นห่วงอย่างนี้ มันก็เลยเกิดความกลัว ว่าเราจะตายจริงๆ ไอตายจริงๆไม่เท่าไหร่กลับมาไม่ได้นี่สิคือคนไม่เคยไปอ่ะนะ บอกตามตรง ว่ากลัวเรานั่งเน่าในห้องแล้วพ่อหรือญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้านไม่ได้ส่งข่าวคราวไปบอกกลัวว่าเค้าจะเป็นห่วง แค่เรื่องนี้เอง เพราะนั่งสมาธิอยู่ในห้องคนเีดียวไม่มีใครรุ้ไม่มีใครเห็น แล้วเราจะไปที่ใดถ้าหากจิตหลุดแล้ว บางทีมันก็คิดขึ้นมาเอง แหน่ะ -*-เอากะมันจิ จิตนี้มันน่าจับมัดติดกับลูกโป่งให้ลอยไปยังนิพพาน เลยนิ๊ o.0
    เอาแค่นี้ก่อน -*-รู้สึกว่าคำถามจะมีเยอะกว่าตอนที่ยังอารมณ์หนักนะผมว่า
    อนุโมทนาบุญกับเพื่อนๆที่ทนอ่านนะคับอาจจะยาวสักกะหน่อย ^^
    อนุโมทนาบุญครับคุณชัดและเพื่อนๆด้วยครับ ขอบารมีพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยให้พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไปถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้โดยเร็ววันด้วยเทอญ สาธุสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 สิงหาคม 2009
  10. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณ คุณXorce ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    อืม..... พี่ชัดให้ผมพูดถึงสภาวะ ข้างบนพระนิพพาน
    ผมรู้สึก(เอาตามความรู้สึกเลยนะ) สภาวะเย็นสบายแต่มันไม่้เหมือนกับแผ่เมตตานะครับ แผ่เมตตามันเย็นเหมือนกัน แต่มันเย็นกันคนละแบบ แม้ว่าผมจะไม่เกิดภาพ(จากความรู้สึก) แต่สัมผัสที่มีข้างบนนั้น อยากให้ลองไปสัมผัสเอง ผมไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาอธิบาย มันรู้สึกสบายจนไม่อยากจะกลับลงมา = = เย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ สภาวะทุกอย่างสร้างขึ้นได้จากจิตของเราเอง เราคิดว่ามีมันก็มี เราคิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี บางทีผมก็รู้สึกอยากเห็นภาพของนิพพาน แม้จะเป็นภาพจากการจินตนการ ว่าเราไปที่นั่นก็ตาม(ผมเป็นคนจินตนการต่ำ)
     
  12. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    นำมาจากห้องแกลลอรี่ค่ะ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>พระพุทธเจ้า
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>กำลังใจปรมัตถ์ คือใจที่ยังมั่นคงในความดี
     
  14. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันนี้ได้เห็น เป็น จอกหรือถ้วยหรือว่า อ่างอะไรสักอย่างที่เค้าตวงน้ำอะไรไม่รู้อยู่บนแท่นอ่ะคับ สูงๆหน่อย ขนาดประมาณแจกัน2ใบรวมกัน(สองฝามือแบมือแล้วชนกัน)เห็นจะได้มั้ง ตรงแท่นที่วางจอกมีลักษณะเป็น เหมือนคล้ายๆเจดีที่ตัดหัวเจดีออก แต่เป็นทรงเหลี่ยมๆ สวยงามระยิบระยับมากๆ หรือผมเพ้อฟุ้งไปเองหว๋า งง เห็นค่อนข้างขัดเจนครับ คุณชัดช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับว่ามันคืออะไร มันรู้สึกไม่ได้เห็นอย่างเดียว คือเหมือนกะเราอยู่ตรงนั้นด้วยครึ่งนึง

    เรื่องจอกนี่ เดี้ยวผมส่งให้ทางpm ครับ

    -.- จู่ๆภาพมันก็ปรากฏมาให้เห็นเองอ่ะไม่ได้เพ่งไม่ได้กำหนดจิตพยายามนึกแต่พระ อารมณ์ตอนนี้ดีมากๆ เอาสบายไว้ จะถอดก็ช่าง จะทำอะไรก็ช่าง มันจะฟุ้งก็ช่าง แป๊ปๆก็กลับมามีสมาธิได้อย่างไว -.- ส่วนไอเจ้าจอกน้ำนี่มันไม่เกี่ยวเลยแล้วผมเห็นได้อย่างไร งง แต่ มันสวยมากๆเลยครับ น้ำก็ใสกว่าแก้วซะอีก ใสมากๆเลย ทั้งแทนทั้งจอกน้ำระยิบระยับ อ่อผมเห็น พยาฏานางฟ้า หรือ เทวดา ก็ไม่แน่ใจ แต่ใส่ชุดคล้ายๆ หยิบจอกนั้นด้วย พอหยิบแล้วเค้าก็หันมาทางผมแล้วก็ยิ้ม งดงามมากๆ ผิวนี้สวยจริงๆผิวพรรณและ เครื่องประดับสวยไปหมด ตอนที่เห็นน่าจะมีสัก 2-3 องค์ แล้วมันคืออะไรนี่่ - -; งง

    มีำคำถามครับ แต่คำถามบางส่วนพรุ้งนี้ค่อยมาถามคำถามต่อครับ เพราะ วันนี้เพลีย จัง โดนหัวหน้าด่าทั้งวันไม่มีอะไรก็ด่าเราซะงั้นแต่ผมก็ทนอย่างถึก ทนไปได้-.- เหมือนกับไม่สะท้กสะท้าน เพราะหัวหน้าเค้าเอาแต่ใจ พูดแรงๆพูดหยาบๆ ใสเรา ว่ากุอย่างนู๊นอย่างนี้เมิงทำไมวะบ้าง ขออภัยนี่ยกตัวอย่างครับ แต่คิดสักพักเดี๋ยวก็กลับมาดูลมเอง เออเอากะมันสิ มันเป็นอัตโนมัติแฮะ ไม่ต้องกำหนดมันก็กลับมาดูลม ฟุ้งแป๊ปๆประเดี๋ยวประด๋าวก็กลับมาดูลมใหม่

    อันนี้จิตเริ่มเกาะสมาธิในการจับลมหายใจ ทรงตัวแล้วครับ
    การปฏิบัติตลอดเวลา จะช่วยให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้ ความโกรธ
    หรือกิเลสตัวอื่นมีกำลังในการครอบงำเราได้
    พอกืเลสมันเริ่มๆขึ้น เราก็กลับมาจับลมหายใจ เพื่อตัดอารมณ์ของกิเลสออกไป

    แล้วตรงนี้เราจะสังเกตุเห็นได้ชัดเจน ระหว่างจิตที่เป็นสมาธิ อยู่ในอารมณ์สบาย กับจิตที่มีกิเลส
    มันมีความร้อน ความเย็นต่างกันอย่างไร เราจะเริ่มเห็นได้ชัดเจน
    เพื่อที่เราจะได้เห็นโทษของความโกรธ และพยายามเปลื้องความโกรธออกไปจากจิตของเรา

    คำภาวนาก็เหมือนกัน บทสวดยังงี้ มันยังกะสวดตลอดเวลายังไงยังงั้นถ้าจิตไม่คิดอะไร บางที บทสวดมนต์ที่เราภาวนาทุกวันมันก็ไหลมาในหัวสมอง เหมือนกับมีพระมานั่งสมาธิในหูเราแล้วสวดมนต์ให้เราฟัง
    แต่ก็ดีคับมีสมาธิเวลาเราฟุ้งๆ

    อันนี้เป็นธัมมานุสติกรรมฐาน ระลึกถึงธรรมเป็นอารมณ์ เริ่มทรงตัวแล้วเช่นกัน
    จะคล้ายได้ยินเสียงทิพย์สวดมนต์ ในความคิด ในหัวของเรา อยู่เสมอๆ

    ถ้าหัวโล่งๆ กำลังเดิน นั่ง นอน หรือจะทำอะไร เอาแล้ว บทสวดมาล่ะ มาจากไหน-.- (แง๊ะ) ถ้าเราฟุ้งแบบว่า โกรธหัวหน้า เครียดจากงาน เรื่องอื่นๆ ฯลฯ มันก็จะไปดูลมหายใจทันที(ถ้าลมไม่มีก็ดูจิตง่ะ) เป็นงั้นไป

    ถูกแล้วครับ พอลมหายใจหายไป
    ให้เรามาดูที่จิต ความนิ่ง อาการหยุด ความตั้งมั่น และอารมณ์สบายของจิต

    จิตที่เจือด้วยกิเลส เหมือนกับ ฟืนที่กำลังถูกไฟไหม้
    จิตที่ทรงฌาณ 4เฉยๆ ยังมีอารมณ์นิ่งๆ มีอารมณ์ของความแห้ง
    คล้ายกับไม้แห้ง ที่ยังติดไฟได้
    จิตที่ทรงพรหมวิหาร4 เปี่ยมด้วยความรักความเมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    เปรียบเหมือน ไม้ที่ถูกราดน้ำจนเปียกชุ่ม ไฟติดได้ยาก

    ดังนั้น ลมสบาย จับลมหายใจ เอาไว้หยุด ความโกรธเวลาที่กำเริบขึ้นมาแล้ว หรืออารมณ์จิตไหลไปทางฟุ้งซ่าน
    แต่หากเราต้องการจะไม่ให้ความโกรธกำเริบตั้งแต่แรก ให้เราทำจิตของเราให้ชุ่มชื่น ด้วยความเมตตาอยู่เสมอ
    แล้วไฟกิเลส จะเผาใจของเราไม่ได้ เพราะใจของเรามันชุ่มด้วยน้ำทิพย์แห่งเมตตาเสียแล้ว


    ไม่ได้เริ่มคำถามสักที
    1.จอกนั้นคืออะไร เดี้ยวส่งทางpm ครับ
    2.ผมเคยเห็นพระประมาณ3-4รูปที่สวยงามมากๆ(ไม่แน่ใจว่าใช่จริงๆหรือว่าผมคิดไปเอง) อยู่เหนือหัวผมไป2-3เมตร ตามลำดับและมีอยู่้องค์นึงที่มีรัศมีเปร่งประกายสีทองทั้งตัมี อะไรไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไรนะที่มันเป็นวงแหวนอยู่รอบๆหัว

    เรียกว่าฉัพพรรณรังสี

    มีชฏา หรืออะไรแหลมๆ เป็นพระที่มีบุญาธิการมากๆ อยู่เหนือหัวเราสักประมาณครึ่งชั่วยามมั้งครับ ตอนนั้น หลังจากที่ผมโดนจอมมารเชื้อเชิญให้เป็นสาวก ผมก็เืกือบหมดแรง เพราะ ร่างกายขยับไม่ได้มันอำผมขาขยับไม่ได้อีกร่างผมอยู่ในที่ๆมีไฟล้อมรอบกายเนื้อก็ขยับไม่ได้มันมีความรู้สึกเหมือนกับอยู่2ที่ในเวลาเดียวกันง่ะ หลังจากนั้น สักพัก ก็มี พระ อย่างที่ผมเห็นนี่แหละ มา อยู่บนหัวผมหรือว่าท่านมาช่วยผมไว้ก็ไม่รู้ อนุโมทนา ด้วยคับ

    ท่านมาช่วยแหละครับ ไม่งั้นถูกดึงไปนี่ยุ่งเลย

    แต่ ตั้งแต่ตอนนั้นผมจำไม่ได้นะว่า มี ตอนนี้เริ่มเห็น เพราะผมรองมองย้อนไปดู ก็จำได้ลางๆ จะึดึงภาพพระที่ท่านอยู่บนเหนือหัวเราเมื่อตอนครั้งกระนู๊นที่ช่วยเรา จะได้ไหมครับ

    ได้ครับ ให้เราเห็นภาพพระอยู่เหนือศรีษะของเราเอาไว้เสมอ
    เราจะปลอดภัย จากภัยอันตาย และความเป็นมิจฉาทิษฐิทั้งหมด จะเข้ามาทำลายเราไม่ได้

    ผมรู้สึกว่าผมเริ่มเห็นท่านชัดขึ้น ความรู้สึกมันเบาและเหว๋งโหว๋ง เหมือนกะเราเป็นฝ้ายหรือนุ่นที่ลอยบนอากาศยังไงยั่งงั้น

    ถูกแล้วครับ ถ้าปฏิบัติถูก อารมณ์ต้องเบา สบาย มีความสุข อิ่มเอิบใจ

    ตอนนั้นที่เห็น พื้นจะเป็นสีดำแต่มีประกายสีทองของพระท่านสาดมาอยู่ก็เลยผสมๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกไม่มืดและก็ไม่สว่างจ้าจนแสบตาอย่างนั้นแต่ แสงสีทองที่ออกมาจากพระสว่างมากๆนะคับ ค่อยๆกลืนความมืดๆง่ะ แล้วก็จำไม่ได้ล่ะ ถึงแค่เนี่ย เหมือนแผ่นซีดีตกร่อง -*-

    แสงสีทองเป็นสีของเมตตา จริงๆ ท่านกำลังแผ่เมตตาเพื่อช่วยเราอยู่
    แสงสว่างสีทอง จะสลายความมืด ออกไปจากจิตของเรา เพื่อให้ฝ่ายไม่ดี ครอบงำเราไม่ได้

    3.ตอนนี้ผมนึกกำหนดให้พระท่านอยู่เหนือศรีษะผมตลอดเวลาแต่ก็แผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา คือ ให้พระท่าน นั่งบนหัวอาจจะลอยจากหัวไปนิดหน่อย ผมกำหนดยังงี้จะได้รึเปล่าคับ เพราะง่ายกว่ากำหนดพระที่ท่านนั่งตรงข้ามเรา

    ได้ครับ เอาแบบนี้เลย อย่าลืมอธิษฐานปักหมุดด้วย
    ว่าขอให้ข้าพเจ้าทรงภาพพระพุทธเจ้า ไว้เหนือศรีษะ ได้ชัดเจนแจ่มใส ระดับนี้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้ สามครั้ง

    จำไว้เลยครับ ถ้ารู้สึกว่าเราก้าวหน้า หรือปฏิบัติแล้วเจออะไรใหม่ๆดีๆ
    ให้เราอธิษฐานให้เราทำแบบนี้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ย้ำไว้สามรอบ

    4.คือยังมีกังวลอยู่บางครั้งเหมือนมันจะหลุดแล้วแต่ก็กลับมาห่วง อย่างนั้นห่วงอย่างนี้ มันก็เลยเกิดความกลัว ว่าเราจะตายจริงๆ ไอตายจริงๆไม่เท่าไหร่กลับมาไม่ได้นี่สิคือคนไม่เคยไปอ่ะนะ บอกตามตรง ว่ากลัวเรานั่งเน่าในห้องแล้วพ่อหรือญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้านไม่ได้ส่งข่าวคราวไปบอกกลัวว่าเค้าจะเป็นห่วง แค่เรื่องนี้เอง เพราะนั่งสมาธิอยู่ในห้องคนเีดียวไม่มีใครรุ้ไม่มีใครเห็น แล้วเราจะไปที่ใดถ้าหากจิตหลุดแล้ว บางทีมันก็คิดขึ้นมาเอง แหน่ะ -*-เอากะมันจิ จิตนี้มันน่าจับมัดติดกับลูกโป่งให้ลอยไปยังนิพพาน เลยนิ๊ o.0
    เอาแค่นี้ก่อน

    เคยเจอใครนั่งสมาธิตายไหมครับ ถ้าเจอบอกผมด้วยนะ
    เพราะข่าวดีคือ ผมยังไม่เคยเจอใครนั่งสมาธิแล้วตาย
    มีแต่เขาจะตายกัน แล้วเข้าสมาธิตาย เพื่อให้ไปเกิดที่ดีๆ แต่ไม่มีนั่งสมาธิแล้วตาย

    เพราะถ้าว่ากันจริงๆ ถ้าจิตเราเป็นฌาณ จริงๆเนี่ย ฆ่าก็ไม่ตาย
    นอกจากจะเป็นวาระกรรมเข้ามาส่งผล
    ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมแล้ว หากทรงฌาณ4อยู่ ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย

    สมัยก่อนก็มีเรื่องเล่า ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์ทรงเสวยสุขอยู่ในฌาณ
    แล้วมีคนผ่านมา นึกว่าท่านละสังขารไปแล้ว เลยหวังดี จะฌาปนกิจ เผาศพท่านให้
    ปรากฏว่าท่านก็ออกฌาณมาพอดี ทางนั้นเขาก็เผาท่าน
    ท่านก็ไม่ตาย ไฟไม่ไหม้ เผาไม่ติดร่าง
    ทางนั้นเห็นท่านลืมตาขึ้นมาก็กราบขอขมากันใหญ่

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แล้วอีกเรื่องก็คือ ที่เรากลัวตายเนี่ย จริงๆเราโดนกิเลสมารหลอก
    หลอกให้คิดนู่น คิดนี่ เดี้ยวกลับไม่ได้บ้าง อะไรบ้าง เลยไม่ต้องไปไหนกัน

    จริงๆเราโดนกิเลสมันหลอกเล่นครับ มันไม่ตายหรอกครับ
    อันนีโดนกิเลสหลอกนะครับ ขอให้เข้าใจแบบนี้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันหลอกเรา
    เราก็อย่าไปหลงตามมัน อย่าปล่อยให้กิเลสมันหลอกให้กลัวตายได้สำเร็จ

    คราวนี้เราเอาใหม่ ตั้งใจขอบารมีพระท่าน แล้วทำใจสบายๆ
    มันจะไปไม่ไป เรื่องของมัน เน้นแผ่เมตตาทำใจให้มีความสุขไว้
    พออกมาแล้วเราก็นึกถึงพระท่านไว้ เดี้ยวท่านจะมาพาไปที่ต่างๆเองครับ

    อย่าลืมด้วย พอออกมาได้แล้ว อธิษฐานปักหมุด
    ขอให้ข้าพเจ้าออกมาได้แบบนี้ ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง

    คราวเนี้ย เดี้ยวไปเที่ยวทุกคืนเลย

    และเมตตาของเราเนี่ย ให้เราฝึกแผ่เมตตาให้เย็นถึงที่สุดจนกระทั่งว่า
    เจ้านายของเรา พอเจอกับความเย็นจากเมตตาของเราเข้าไปแล้ว ยังต้องนิ่ง อึ้ง ยิ้ม จนด่าเราไม่ลง เอาให้ได้แบบนั้นเลยนะครับ

    ขอให้ประคองอารมณ์จิต ให้มีความสุข ชุ่มเย็น แช่มชื่น เบิกบานได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  16. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาบุญคับกับคำตอบทุกคำถามด้วยครับคุณชัด เพราะว่า ผมคิดว่าน่าจะได้ผลมาบ้าง เมื่อวาน พลังเมตตาของผมผมแผ่ไปเรื่อยๆรู้สึกว่าเค้าจะด่าเราน้อยลงนะ ^^; และก็ด่าแป๊ปเดียว ความรู้สึกผมมันบอกว่าแถวๆนั้นบริเวณที่ผมอยู่ ในขณะที่ผมแผ่เมตตา+กับการที่ผมทำงานไปด้วยนั้น ผู้คนที่อยู่แถบๆนั้นอาจจะรัศมีไม่ไกล เป็นวงใกล้ๆ มีความสุขได้รับความชุ่มเย็นจากผมไปด้วย แต่พวกเค้าไม่รู้ตัว (ขอบอกว่าเจ้าที่แถวนั้นแรงมากๆ ผมรู้เนืองๆด้วยรัศมีของท่าน-.- เมื่อวานผมไปจัดบูธ ที่ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552)

    อ่อ บางครั้งบางทีผมปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันยิ้มเองแฮะ แปลกดีเหมือนกันอันนี้ใช่รึเปล่าคับที่เรียกว่าอะไรนะ พลังเมตตาล้นจนเปี่ยมไปด้วยความรักจิตมีความสุขกายก็มีความสุขไปด้วยกายมันยิ้มเอง ^^; ดีจัง

    อนุโมทนบุญด้วยครับ
    ขอให้บารมีเพิ่มพูลตราบจนเข้าถึงซึ่งนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 สิงหาคม 2009
  17. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    น้อง Xorce<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2343080", true); </SCRIPT> ที่จริงกระทู้นั้นมีความหมายอย่างนี้ค่ะ...ประสบการณ์ฝึกจิตที่ผ่านมามีตกภวังค์กี่แบบ อธิบายให้ฟังหน่อย...

    [URL="http://palungjit.org/media/p.23554/full ?dl=1236327164[/IMG][/URL] ขออภัยอย่างแรง...ที่จริงต้องถามว่า...
    ผู้ที่มีประสบการณ์ฝึกปฏิบัติมา ท่านใดมีประสบการณ์จิตตกภวังค์มาบ้าง?
    อาการที่จิตตกภวังค์มีกี่แบบ...และแต่ละแบบมีอาการอย่างไร ?
    (ตอบตามประสบการณ์จริงที่เคยผ่านมา...เนื่องจากเจ้าของกระทู้เคย link ไปอ่านบทความข้างต้น...และมีประสบการณ์มาบ้างเลยอยากทราบความคิดเห็นท่านอื่น)<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    อืม..... พี่ชัดให้ผมพูดถึงสภาวะ ข้างบนพระนิพพาน
    ผมรู้สึก(เอาตามความรู้สึกเลยนะ) สภาวะเย็นสบายแต่มันไม่้เหมือนกับแผ่เมตตานะครับ แผ่เมตตามันเย็นเหมือนกัน แต่มันเย็นกันคนละแบบ

    ใช่ครับ จะเย็นคนละแบบกับเมตตา จะเย็นชุ่มยิ่งกว่าเมตตา
    คราวนี้ให้เราลองควบ เป็นอารมณ์พระนิพพาน แล้วแผ่เมตตาด้วยอารมณืนี้ไปยังทั้งจักรวาล
    ตั้งจิตว่าข้าพเจ้าปรารถนาให้ทุกๆดวงจิตได้สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุข
    คราวนี้จะยิ่งเย็นชุ่มฉ่ำ เป็นเมตตาควบอารมณ์พระนิพพาน อันนี้เย็นสุดๆเลยครับ
    ถ้าใครทรงอารมณ์เมตตาควบพระนิพพานได้ตลอดเวลานี่ ผมขอไหว้เลยครับ
    เพราะถ้าได้ตลอดเวลานี่ ต้องเป็นพระอริยเจ้าแล้ว
    ดังนั้นเราหมั่นทำให้มาก ทำให้ได้ตลอดเวลา ทำไว้เสมอๆครับ

    แม้ว่าผมจะไม่เกิดภาพ(จากความรู้สึก) แต่สัมผัสที่มีข้างบนนั้น อยากให้ลองไปสัมผัสเอง ผมไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาอธิบาย มันรู้สึกสบายจนไม่อยากจะกลับลงมา = = เย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ สภาวะทุกอย่างสร้างขึ้นได้จากจิตของเราเอง เราคิดว่ามีมันก็มี เราคิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี บางทีผมก็รู้สึกอยากเห็นภาพของนิพพาน แม้จะเป็นภาพจากการจินตนการ ว่าเราไปที่นั่นก็ตาม(ผมเป็นคนจินตนการต่ำ)

    อารมณ์ที่ได้สัมผัสนั้นเป็นของจริงแท้แล้วแน่นอน ขอให้มั่นใจได้
    แล้วเราจะเข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    เพราะว่าพระนิพพานนั้นเป็นสุขจริงๆ ตอนนี้เราได้สัมผัสแล้ว ได้เข้าใจแล้ว ประจักษ์แล้วแก่จิตของเรา สิ้นสงสัยแล้ว
    ขอให้รักษาปฏิปทา รักษาอารมณ์ใจนี้ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    และหาโอกาสแนะนำผู้อื่น ด้วยความเมตตาที่อยากจะเขามีความสุขแบบที่เราได้สัมผัสนี้
    เพื่อเป็นการตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน
    แต่ต้องเลือกคนที่จำแนะนำด้วย บางคนจิตยังไม่ถึงที่จะรับ เขาจะปรามาสเราเอาได้

    ให้เราอธิษฐานไว้เลย ว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะแห่งพระนิพพานที่ถูกต้อง แท้จริงนี้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริงในอนาคตกาลนี้ด้วยเทอญ

    ย้ำเอาไว้สามครั้ง

    แล้วแผ่เมตตาควบอารมณ์พระนิพพานนี้ ไปยังทุกๆดวงจิต เสวยสุขอยู่จนเราเกิด ธรรมปีติ ความอิ่มใจ พอใจในธรรม

    ขอให้สามารถทรงความสุขจากอารมณ์แห่งเมตตา ควบอารมณ์พระนิพพานนี้
    รวมถึงความตั้งมั่นในไตรสรณคมอย่างถึงที่สุด ไม่มีสรณะใดยิ่งกว่าพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า
    ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ azalia ครับ

    คำถามจริงๆ ที่ต้องการจะถาม คือว่า
    อารมณ์ที่เราได้เข้าไปสัมผัส ซึ่งมีอาการคล้าย ตกภวังค์ คือจิตหายไป สภาวะการรับรู้หายไปทั้งหมด
    แม้แต่ความทรงจำก็หายไปหรือรู้สึกว่า ทุกๆอย่างหายไปหมด ไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าหายไปนานแค่ไหน

    สภาวะนี้ เป็นการตกภวังค์ หรือเป็นสภาวะที่จะบรรลุธรรม หรือเป็นสภาวะของพระนิพพานกันแน่?

    ที่ต้องการจะถามจริงๆ คือแบบนี้รึเปล่าครับ
     
  20. ทิดทิด

    ทิดทิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +203
    ทำสมาธิ กับ ทำกัมฐาน แตกต่างกันอย่างไร
    เพราะนั่งสมาธิ กับนั่งกัมฐาน เหมือนกัน และ กำหนดลมหายใจเหมือนกัน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...