วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาค่ะ

    กราบอนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ
     
  2. ธาตุ4

    ธาตุ4 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +91
    หลายคน หลายสาย เห็นพ้องกันว่า 2555 ครับ (เท่าที่สอบถามมา)
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไม่เป็นไรครับ เกิดเมื่อไร ก็เมื่อนั้น สำคัญที่ว่า เราปฏิบัติจิตถึง พร้อมเพียงใด

    ระหว่างนี้เราทำกุศลคุ้มค่าแห่งการเกิดแล้วหรือยัง
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    จะขอร่วมทำบุญสร้างพระองค์แสน 50 บาท
    และสมเด็จองค์ปฐมทองคำ 50 บาท

    อนุโมทนาบุญครับ สาธุ สาธุ สาธุ


    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    นะโมโพธิ สัตโต อาคันติมายะ อิติภควา
    นะโมโพธิ สัตโต พรหมปัญโญ
    นะโม พระศรีอริยเมตไตรย พุทธกรรมฐาโน พุทโธกรรมฐานัง


    สาธุพุทโธ สาธุธัมโม สาธุสังโฆ อนุโมทามิ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง ปัจจุปันนัง อธิษฐามิ

    สาธุพระพุทธคุณ สาธุพระธรรมคุณ สาธุพระสังฆคุณ อันหาประมาณมิได้
    ขออานิสงฆ์ผลบุญแห่งการอนุโมทนาบุญในครั้งนี้จงเป็นให้ข้าพเจ้ามีดวงจิต
    มีกำลังจิต ถึงพระนิพพานอันเป็นสุขอย่างยิ่งในชาติ พระศาสนานี้ด้วยเถิด
     
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2022605 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2022605", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,261
    Groans: 3
    Groaned at 14 Times in 12 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 474
    ได้รับอนุโมทนา 30,162 ครั้ง ใน 2,318 โพส
    พลังการให้คะแนน: 412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2022605 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->อารมณ์อีโก้ (EGO) หรืออุปาทาน<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1254563323&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89-ego-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-181829.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D-%25E2%2580%259C%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C-%25E2%2580%259D%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5-%25E0%25B8%2595-%25E0%25B8%2597-%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599-201273.html&dt=1254563323390&correlator=1254563323390&jscb=1&frm=0&ga_vid=1917420552.1254141608&ga_sid=1254563176&ga_hid=1783894509&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=794&bih=470&fu=0&ifi=1&dtd=63&xpc=uht2SMYeaV&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]


    อารมณ์อีโก้ (EGO) หรืออุปาทาน
    (โดยสมเด็จองค์ปัจจุบัน)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระธรรมคำสอนของพระองค์ ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 35 ให้ผมและเพื่อนของผม (คุณสุรีพร (จ๋า) สงวนมานะศักดิ์) ฟัง ผมได้อ่านทบทวนดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ เพราะเหมาะกับเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เกี่ยวกับอารมณ์อีโก้หรืออุปาทานของนักการเมืองทั้งหลาย มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศผันผวนเป็นธรรมดา ซึ่งสมเด็จองค์ปฐมก็ทรงตรัสไว้ว่า “ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงเมืองของเมืองไทยเป็นอย่างนี้เอง จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุก ๆ สภาพ เพราะล้วนเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น”<O:p</O:p
    เรื่องนี้สมเด็จองค์ปัจจุบันก็ทรงตรัสไว้เมื่อ 15 ปีก่อน ก็เพราะมีนักการเมืองเป็นต้นเหตุเช่นกัน มีผลทำให้คนไทยฆ่ากันตายไปเป็นจำนวนมาก จนในหลวงต้องออกมาห้ามทัพ เรื่องจึงสงบลงได้เกือบทันที ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน

    ในหลวงก็ต้องออกมาปรามประชาชนของท่าน ซึ่งกำลังสร้างกรรมนำไปสู่ความฉิบหายไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้ ให้รักความสามัคคี ให้เห็นประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักสำคัญให้ใช้นโยบายสมานฉันท์เป็นหลัก อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ทุกครั้งที่พระองค์ออกมาห้ามปราม หรือขอร้องก็มีผลดีทุกครั้ง ผมจึงหวังว่าในครั้งนี้ก็คงจะหรือน่าจะมีผลดีเช่นเคย ผมขอเขียนคำนำไว้ย่อ ๆ แค่นี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและจดจำได้ง่าย ๆ จึงขอเขียนแยกออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. “ผู้มีอารมณ์นี้คือ บุคคลผู้มีอุดมคติ หรือมีอุดมการณ์เป็นของตนเอง แต่อารมณ์นี้หากบุคคลผู้มีความเชื่อมั่น และนำไปใช้ให้ถูกจริตของบุคคลทั่วไป ก็สามารถปลุกใจให้บุคคลทั่วไปเหล่านั้นมาร่วมแสดงอารมณ์ร่วมด้วย อย่างเช่นนักการเมืองท่านหนึ่ง เขาเอาอุดมการณ์ของเขามาเน้นในเรื่องประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ชักชวนให้บุคคลอื่นๆ มาแสดงอารมณ์ร่วมกับเข้าได้ก็ด้วยตัวนี้
    <O:p</O:p

    2. อย่าไปตำหนิใครๆ ว่าเขาโง่ ที่มีอารมณ์ร่วมกับนักการเมืองนั้น ๆ เพราะผู้ที่จะไม่มีอารมณ์ร่วมกับนักการเมืองนั้น ก็มีแต่พระอนาคามีผลขึ้นไปจ้ามักจะมองด้านเดียวว่า ผู้ที่ร่วมชุมนุมสนับสนุนประท้วงกับนักการเมืองนั้น เป็นบุคคลกลุ่มผู้โง่เขลา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ในทางธรรมนั้นก็ต้องถือว่าบุคคลกลุ่มนั้นเป็นผู้มีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้ามีอารมณ์ความคิดต่อเนื่องกัน เรียกว่า มโนกรรม ผู้ไปพูดแสดงความคิดต่อเนื่องกันเรียกว่า วจีกรรม ผู้ไปแสดงการกระทำต่อเนื่องกันเรียกว่า กายกรรม
    <O:p</O:p

    3. “เจ้ามองอะไรเพียงด้านเดียว กล่าวคือ มักจะมีอารมณ์หลงเยี่ยงปุถุชนธรรมดาอยู่มาก เห็นบุคคลกลุ่มใดเลื่อมใสเข้าข้างนักการเมืองคนนั้น เจ้ามักตำหนิบุคคลกลุ่มนั้นว่าโง่ที่ไม่รู้ หลังฉากที่แท้จริงของนักการเมืองคนนั้น เจ้าก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนฉลาด กรรมทั้งสามประเภทจึงเกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรมของเจ้านี้ ตถาคตตรัสอยู่เสมอว่าว่า มนุษย์มีกรรม กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คือ กรรมเป็นตัวส่งผลทำให้ต้องมาเกิด และเกิดแล้วย่อมจะหลีกหนีกรรมไปไม่พ้น ถามจริง ๆ เถิดว่า ในเมื่อกรรมเก่ายังหนีไม่พ้น เราจักไปสร้างกรรมใหม่ต่อเนื่องกับนักการเมืองคนนั้นทำไม การมีอารมณ์ต่อเนื่องกัน จะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ล้วนเป็นการต่อกรรมกันทั้งสิ้นข้าใจไหม”
    <O:p</O:p

    4. (เมื่อเราคิดว่า ที่เราพูดก็เพื่อโน้มใจคนที่เข้าใจผิด ให้มาเข้าใจถูก หลวงพ่อฤาษีท่านยังเคยพูดบ้างในบางโอกาส) พระองค์ทรงตรัสว่า พูดเหมือนกัน แต่อารมณ์ไม่เหมือนกัน สัมภะเกสีท่านพูดแบบรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ท่านจะพูดหรือกระทำใด ๆ แบบดูเหมือนจะตักเตือน ดุด่า หรือแย้มพรายเรื่องนักการเมืองคนนั้น ก็ด้วยอารมณ์สงเคราะห์ไม่ต้องการให้ลูก ๆ หลงผิด ตกนรกไปตามเขา การกระทำใดๆ เกี่ยวกับระเบียบวินัย เกี่ยวกับธรรมะปฏิบัติพระทุกๆองค์ ซึ่งเป็นพระจริง ๆ แล้ว ท่านต้องใช้ไม้แข็งดุด่าเพื่อจะกันไม่ให้ลูกศิษย์ต้องตกนรก”
    <O:p</O:p

    5. “การมีอารมณ์ร่วม ต่อเนื่องกรรมกับบุคคลที่ทำจิตให้เศร้าหมอง มีแหล่งอบายภูมิ 4 เป็นที่ไปนั้น จะยินดีหรือไม่ยินดีด้วยก็ตาม จัดได้ว่าเป็นอารมณ์อันตราย มิพึงที่จะให้อารมณ์ทั้ง 2 ประเภทนี้เกิด จะเป็นเหตุให้สูญเสียความดีในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
    <O:p</O:p

    6. “อัตตนา โจทยัต ตานัง เอาไว้นะ ถ้าอยากทรงอารมณ์อุเบกขาให้ได้ดี จะต้องละการตำหนิดี เลว ให้ออกไปจากจิต” (หมายเหตุ หมายความว่า ให้คอยจับผิดตนเอง ให้คอยแก้ไขตนเองที่ใจตนเอง อย่าไปยุ่งกับกรรมหรือการกกระทำของผู้อื่ร หรือจริยาของผู้อื่น ภาษาไทยเป็นคำโดด ๆ จำง่าย ๆ ดีก็คืออย่าเสือกนั่นเอง)
    <O:p</O:p

    ต่อมาพระองค์ทรงพระเมตตาสอน การวัดผลของอารมณ์อีโก้ หรือ อุปาทาน มีความสำคัญดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. “จะวัดผลได้จากการกระทบบุคคลที่มีอารมณ์ร่วม อย่างกับนักการเมืองคนนั้น ที่ฮิตติดปากคนทั้งประเทศ จะด้านดีหรือเลวก็ตาม นับได้ว่าเป็นผลต่อเนื่องจากอารมณ์นี้ ยกตัวอย่างการปลูกต้นไม้ของชาวสวน จะสมบูรณ์งามก็ดี จะแคระแกรนไปก็ดี จะเป็นโรคก็ดี นับว่าล้วนเกิดผลแล้วทั้งสิ้น ต่างกับถ้าหากต้นไม้นั้นตาย อันนั้นแหละจึงจะเรียกได้ว่าไม่มีผล”
    <O:p</O:p

    2. “โลกนี้จึงเต็มไปด้วยอุปาทาน เพราะคนในโลกยึดถืออุดมการณ์ เกาะโลกว่าจะสามารถผันแปรได้ตามกระแสอุดมการณ์ของตน
    <O:p</O:p

    3. “เจ้าจงอย่าพึงดูแต่นักการเมือง แม้แต่นักร้อง นักดนตรี ก็แสดงอุดมการณ์ของตน เพื่อมุ่งหวังหลงยึดโลกเที่ยงทั้งสิ้น ต่างคนต่างแสดงอุดมการณ์ของตน เพื่อยังจะให้เกิดแนวร่วมของบุคคลภายนอกมาร่วมกันแสดงอารมณ์เห็นด้วยกับอุดมการณ์นั้น ๆ คนในโลกจึงว่ายวนร่วมกันอยู่ในกระแสอารมณ์อีโก้นี้ (อุปาทานหรืออุดมการณ์) ติดทุกข์ สุข สรรเสริญ ลาภ ยศ ตามอุดมการณ์ของตนไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด
    <O:p</O:p

    4. “ต่างกับชาวโลกุตระ (ชาวโลกที่ต้องการหลุดพ้น) เขาจะอยู่อย่างมีจิตสำนึกว่า กิจที่ปฏิบัติตามธรรมศาสดาแห่งตถาคตนี้ยังไม่สิ้น เขาก็ใช้ความเพียรละซึ่งกิเลสแห่งลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ระมัดระวังอารมณ์ไม่ให้ไหลลงไปในทางต่ำ เขาใช้อารมณ์อีโก้ไปในทางแสวงหา มรรค ผล นิพพาน และกิจการใดอันเป็นแนวทางสัมมาปฏิบัติ เขาก็จะกระทำตามนั้นด้วยจิตอันแน่งแน่
    <O:p</O:p

    5. “อารมณ์เดียวกันแต่เปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากเกาะโลกกลายเป็นละโลก เห็นโลกรวมทั้งขันธโลกหรือร่างกาย หาความเที่ยงมิได้เลยอยู่เป็นนิจ มันเป็นของมันอยู่อ่างนี้เป็นปกติ อารมณ์นี้จึงสร้างโลกได้ ทำลายโลกได้ และถ้าหากใช้ให้ถูกต้องตามหลักธรรมปฏิบัติ ก็จะทำลายโลกียะ สร้างโลกุตระได้
    <O:p</O:p

    6. “ที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมดนี้ หวังว่าพวกเจ้าคงเข้าใจ อย่าหลงไปในกระแสอารมณ์ทุกข์-สุขแห่งอารมณ์อีโก้ของชาวโลกียะอีก”<O:p</O:p

    หมายเหตุ ผมไปเปิดดู Dictionary ดูคำแปล Ego มีข้อความแปลไว้ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    Ego คืออัตตา, อาตมา, ตัวของตัวเอง (ก็คืออุปาทานที่ยึดว่าตัวกูเป็นของกูนั่นเอง)<O:p</O:p
    Egoism คือ การถือการกระทำของตนเอง, ของมนุษย์ก็เพื่อตนเองทั้งสิ้น, ดารเชื่อตนเอง, การเห็นแก่ตน, ความอวดดี (พระองค์จึงตรัสว่า ทุกคนล้วนมี Ego อยู่ในตนทั้งสิ้น แต่ Ego ในทางไหน ดีหรือเลว)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในวันต่อมา พะองค์ทรงพระเมตตามาสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. “Ego มีอยู่ในตัวของจิตทุกคน เป็นอารมณ์อุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่น”
    <O:p</O:p

    2. “คนเราจะได้ดีหรือเลวก็อยู่ที่ตัวนี้ เช่น ก. สอยได้ที่ 1 ในสาขาเคมีมาตลอด ใครๆก็รู้ว่า ก.เก่ง ก. ก็ยึดมั่นความเก่งนั้นไว้ตามสัญญาและตามตำรามาโดยตลอด ใครจะคัดค้านความเก่งของ ก. ก็ไม่ได้ ก.จึงยึดและปฏิบัติตามสัญญาในความรู้(ความเก่ง) ของตนไว้จนได้ผลดี เพราะการยึดมั่นในความดีของตน นี่เป็นอุปมาทางโลกทางธรรมก็เช่นกัน พระอริยะเจ้าทั้งหลายที่พระองค์สอนจนเกิดมรรคผลนั้น พระองค์ก็ต้องสอนตามอุปาทานเดิมทั้งสิ้น เข้ายึดมั่นสิ่งใด ก็จะยิ่งมีความเพียรในการทำสิ่งนั้น ๆ ให้ปรากฏ”
    <O:p</O:p

    3. ถ้าหากคุณหมอไม่มีอารมณ์นี้ ไฉนสัมภะเกสีท่านจักให้หน้าที่เล่า” (หมายเหตุ สัมภะเกสีเป็นชื่อของหลวงพ่อฤาษีที่สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสเรียกอยู่เสมอ ส่วนหน้าที่นั้นทางหมายถึง หลวงพ่อฤาษีมอบหน้าที่ตอบปัญหาธรรมะแทนท่านเมื่อท่านไม่อยู่)
    <O:p</O:p

    4. “ถึงจะรอบรู้ในพระไตรปิฏกอย่างท่านเจ้ากรมเสริม เหตุไฉนจึงมิได้ทำหน้าที่นี้เล่า นั่นเป็นเพราะอารมณ์ยึดมั่นในจุดนี้ไม่มี”
    <O:p</O:p

    5. “Ego ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้า Ego เต็มในจุดนั้นๆ ก็จะกระทำจุดนั้นๆ ได้ผลดี 100
    เปอร์เซ็นต์”
    <O:p</O:p

    6. “อนึ่ง หน้าที่ทางธรรมนั้น เป็นสัตยาธิษฐานมาแต่ชาติก่อนด้วย เป็นการตั้งความปรารถนาจักรื้อขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้ว่าจะลาพุทธภูมิแล้ว ก็ยังต้องทำหน้าที่เดิมจนกว่าธาตุขันธ์จะหมดสิ้น เช่น พระมหากัจจายนะ อสีติสาวกเป็นต้น หรืออย่างสัมภะเกสีท่านผู้ซึ่งบารมีเต็มแล้ว และลาแล้ว ก็ยังทำหน้าที่ขนสรรพสัตว์เข้าถึงพระนิพพาน”

    <O:p</O:p7. “แต่อารมณ์ Ego ทำอะไรจิตท่านไม่ได้ กายของท่านทำหน้าที่ไปต่างหาก จึงดูเด่นเสมือนหนึ่งหาใครเปรียบเทียบไม่ได้ ดูอารมณ์ของท่านเถิด เคยสักครั้งไหมที่ปรารภธรรมแล้วจักบอกว่า ธรรมนั้นเป็นของตน มีแต่จักบอกว่า ธรรมนั้นเป็นของตถาคตตรัสไว้อย่างนี้ จิตของท่านหาได้มีความคะนองในตน มีแต่เพลิดเพลินและปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นสุขในธรรมนั้นๆ”
    <O:p</O:p

    8. “อารมณ์ Ego เกิดได้เพราะมีรู้เท่าทันกองสังขารแห่งจิตและกองสังขารแห่งกาย เช่น เหยียบขี้หมา หากเราเหยียบตอนที่มันเก่ามาก จนกลายสภาพไปเป็นดินแล้ว อุปาทานยึดมั่นว่าเป็นขี้หมาก็หมดไป จิตไม่สังขารปรุงแต่งว่าขี้หมามันเหม็น-สกปรก และกล้าเหยียบย่ำได้ แต่หากมันยังทรงอยู่ในสภาพเดิมของขี้หมา อุปทานก็ยึดมั่นว่า มันเหม็น-สกปรก และไม่กล้าเหยียบ นี่แหละคืออารมณ์ที่ไม่รู้เท่าทันกองสังขาร
    แห่งจิตและกายว่าหลงไปในอารมณ์ Ego”
    <O:p</O:p

    9. อารมณ์ Ego จึงมีทั้งสองด้าน คือ ด้านดีซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิและด้านเลวซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตรงกับคำสอนของพระองค์ที่ตรัสสอนไว้ว่า “ธรรมในโลกล้วนมีอยู่เป็นคู่ทั้งสิ้น” ทุกอย่างมีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ เช่น หลงคิดว่าคำสรรเสริญเป็นของดี แต่แท้จริงแล้วเป็นของเลว (เพราะสรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ หรือเหมือนสุขกับทุกข์ก็เป็นของคู่กัน จะเลือกเอาอย่างเดียวไม่ได้ และทุกสิ่งในโลกล้วนเกิด-ดับ ๆ ทั้งสิ้น หรือเกิดกับตายเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก)
    <O:p</O:p

    10. “ตราบเมื่อจิตรู้เท่ากันกองสังขารแห่งจิต เห็นธรรมไตรลักษณ์ปรากฎเป็นปกติ ก็จะปล่อยวางอุปาทานนั้นได้ และเหยียบขี้หมาแห้งหรือดินนั้นได้อย่างสนิททั้งกายและใจ การยึดคำสรรเสริญก็เช่นกัน หากเห็นไตรลักษณ์แล้วโลกธรรม 8 จักทำอะไรจิตเราไม่ได้เลย ทุกสิ่งในโลกล้วนเกิด-ดับ ๆ อยู่อย่างนี้เป็นปกติ และทำนองเดียวกัน หากจิตไม่รู้เท่าทันกองสังขารแห่งจิต ก็จะไม่รู้ว่าโลกธรรมก็เป็นไตรลักษณ์ เกิด-ดับ ๆ อยู่เป็นปกติ จิตจึงปรุงแต่งเป็นอุปาทานยึดมั่นติดอยู่กับธรรมโลกนั้น ๆ”
    <O:p</O:p

    11. “การทำหน้าที่ทางธรรม จึงต้องมีสติปัญญามิบกพร่อง ต้องสมบูรณ์รู้เท่าทันโลกธรรมทั้ง 8 อย่าง ด้วยเคารพในกฎไตรลักษณญาณ จึงจะทำหน้าที่นั้น ๆ ได้อย่างเป็นสุข”
    <O:p</O:p

    12. จิตที่ไม่ติดข้องในธรรมก็เหมือนกระจกเงาใส ๆ มีภาพอะไรผ่านมาก็ส่องติดได้หมด เมื่อภาพผ่านไปหรือสภาพนั้นผ่านไป ภาพต่าง ๆ ก็หาได้ติดอยู่ในกระจกใส ๆ นั้นไม่ จิตที่วิมุติก็มีอุปมาคล้าย ๆ ดังกระจกนี้ ธรรมทั้งหลายจึงมิอาจจะทำร้ายดวงจิตของท่านได้เลย”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    และทรงพระเมตตาตรัสสอนแถมท้ายไว้ ความว่า<O:p</O:p
    หากจะให้เข้าใจในกฎไตรลักษณญาณได้ดีจริง ๆ จักต้องทบทวนวิปัสสนาญาณ 9 ที่พระองค์สอนไว้เสมอ ๆ ด้วยความไม่ประมาท
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    พิมพ์จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)<O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:p</O:pรวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p

    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[​IMG]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1703574 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1703574", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,261
    Groans: 3
    Groaned at 14 Times in 12 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 474
    ได้รับอนุโมทนา 30,165 ครั้ง ใน 2,318 โพส
    พลังการให้คะแนน: 412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1703574 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->บารมีเต็มเป็นอย่างไร<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1254563655&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-162199.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D-%25E2%2580%259C%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C-%25E2%2580%259D%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5-%25E0%25B8%2595-%25E0%25B8%2597-%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599-201273.html&dt=1254563655046&correlator=1254563655062&jscb=1&frm=0&ga_vid=1917420552.1254141608&ga_sid=1254563176&ga_hid=1212364351&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=794&bih=470&fu=0&ifi=1&dtd=63&xpc=zzSi3bWhm6&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    บารมีเต็มเป็นอย่างไร

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:pรวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)

    เมื่อวันจันทร์ 24 พ.ค. 2536 หลวงพ่อฤาษี ท่านเมตตามาสอนมีความสำคัญ ดัวนี้<O:p</O:p

    1. บารมีเต็ม คือ การทำกรรมฐานครั้งด้วยความเต็มใจและเต็มใจ ทำจริง หรือ การทำงานเพื่อศาสนากิจก็เช่นกันเอางานนั้นมาเป็นกรรมฐาน ทำด้วยความเต็มใจและตั้งใจทำจริง สลัดตัดความเบื่อหน่าย เกียจคร้านทิ้งไป<O:p</O:p

    2. มีความเจตนาตั้งใจทำจริง เพื่อพระนิพพานจุดเดียวเหนื่อย นั้นเหนื่อยแน่ เพราะเรายังมีขันธ์ 5 ก็ต้องทำจิตยอมรับความเบื่อหน่ายนั้นว่าเป็นธรรมดา<O:p</O:p

    3. ที่เรายอมเหน็ดเหนื่อยเพลิดเพลินอยู่ในกามโลกียวิสัยมากี่แสนอสงไขยกัปแล้ว เราเกิดตายอยู่กับความเหนื่อยของขันธ์ 5 นี้มานานเท่าไร ความเหนื่อยเหล่านั้นมันหาสาระไม่ได้ ขอให้ตั้งใจจริง เต็มใจจริง เหนื่อยเพื่อทำกรรมฐานให้พ้นโลกช่วยศาสนกิจเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตที่ทรงขันธ์ 5 อยู่นี่อดทนไปเถิด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว
    <O:p</O:p
    4. สลัดความเบื่อหน่ายทิ้งไป รู้ทุกข์นั้นดีกว่าไม่รู้ทุกข์ รู้เหน็ดเหนื่อยดีกว่าไม่รู้เหน็ดเหนื่อย รู้ธรรมดีกว่าไม่รู้ธรรมจิตจะได้ชำระความมัวเมาในกามโลกียวิสัยทิ้งไปจากอารมณ์เสียที

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    อย่ากลัวทุกข์ เพราะทุกข์เป็นของจริง
    <O:p</O:p
    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงเมตตามาตรัสสอนต่อดังนี้<O:p</O:p

    1. อย่ากลัวความทุกข์ เพราะทุกข์นั้นเป็นจริง อันเป็นของคู่กันมากับขันธ์ 5 มีชาติทุกขาเป็นต้น<O:p</O:p

    2. เมื่อประสบกับความทุกข์ ก็จงอย่ากล่าวโทษคนอื่น กฎของกรรมเกิดได้ เพราะตัวเราทำเอาไว้เอง จงหมั่นทำจิตให้ยอมรับ ชดใช้กฎของกรรมนั้นไปโดยสงบ<O:p</O:p

    3. มองด้วยปัญญา ให้เห็นโทษของกรรมมาจากสาเหตุอันใด มองแล้วจงยอมรับด้วยว่า เหตุมาจากล่วงละเมิดปัญจเวรทั้ง 5 หรือกรรมบถ 10 ข้อใดข้อหนึ่ง อันมีเราเป็นผู้กระทำผิดด้วยความหลงมาแต่กาลก่อน<O:p</O:p

    4. จิตมีความหลงผิด จึงใช้วาจา กระทำอย่างผิดๆกาลนั้นจิตเราไม่มีปัญญา จึงเห็นผิดเป็นชอบ เพลาเจ้าได้รับการอบรมทางปัญญามาพอสมควร อย่าให้อารมณ์มิจฉาทิฏฐิเข้าครอบงำจิต ให้เกิดความโง่เขลาเบาปัญญาขึ้นอีก<O:p</O:p

    5. พยายามพยุงกำลังของจิตเอาไว้ ด้วยอานาปานัสสติกรรมฐานให้ดี ๆ ใช้วิปัสสนาภาวนาถึงกฏของความจริงอย่างถ่อแท้ ใช้ความพยายามดูอารมณ์ที่ฟอกจิตอยู่ให้เห็นว่า ขณะใดมีโหะ-โทสะ-ราคะเข้ามาครอบงำอยู่บ้าง แล้วพยายามใช้กรรมฐานแก้จริตเข้าทำลายอารมณ์เศร้าหมองเหล่านั้น จนกว่าจิตจะผ่องใสขึ้นมาได้ ทำให้เป็นปกติ พยายามดูอารมณ์ของจิตอยู่ตลอดเวลา ให้นำใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติด้วย จักให้ผลดีก็ต้องไม่ทิ้งอิบาท 4<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในวันต่อมา ลูกสาวในอดีตของหลวงพ่อเกิดความเบื่อง่าย หน่ายกำเริบ หลวงพ่อฤาษีท่านก็เมตตาสอนให้มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p

    1.เอ็งต้องหาสาเหตุที่ทำให้จิตมันเบื่อง่าย หน่ายเร็วให้พบอารมณ์ฝืดๆ
    อย่างนี้ ทิ้งไว้นานไม่ดี สภาพจิตมันชอบของใหม่ๆ ก็ต้องคอยหาของใหม่ป้อนมันไปเรื่อยๆ (ลูกสาวท่านก็บอกว่าหาไม่พบ<O:p</O:p

    2.หลวงพ่อท่านก็ว่า เอ็งอย่าโง่ซิ กรรมฐาน 40 มหาสติปัฏฐานสูตรมันไม่มีทางตัน ต้องฉลาดกว่าอารมณ์ของจิตซิ เอาของเก่านั้นแหละย้อนไปย้อนมาทบทวนเข้าเป็นของใหม่ ประเดี๋ยวจิตมันก้จะเกิดความเพลิดเพลินไปเอง<O:p</O:p

    3.อย่าให้มันหลอก เราต้องหลอกอารมณ์ ขืนปล่อยให้มันเหนือเราอยู่เรื่อยๆ ก็มีหวังเจ๊ง เอาใหม่ตั้งต้นย้อนปลาย จากปลายย้อนหาต้น ทำให้มันเบา ๆ สนุกๆ อย่ามีอารมณ์เครียด ถ้าคิดแล้วหนักก็เลิก หันมาจับอานาปาก่อน รู้ลมพอจิตสบายๆ ก็หันกลับมาคิดใหม่<O:p</O:p
    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาตรัสสอนต่อให้ว่า<O:p</O:p

    1.เจ้ายังอ่อนการพิจารณาหาต้นเหตุของทุกข์ในอริยสัจเพราะฉะนั้นจงหมั่นพากเพียร เร่งหาสมุทัยในทุกข์อริสัจให้พบ<O:p</O:p

    2.บ่อเกิดของอารมณ์คือตัณหา จงพยายามหาต้นเหตุให้พบ แล้วจัก
    ละอารมณ์ตัณาหาเหล่านั้นได้ที่ต้นเหตุนั้น<O:p</O:p

    3. จำไว้เพราะพวกเจ้าศึกษาวิชาครู จึงต้องผ่านขั้นตอนโดยละเอียด ไม่มีโอกาสได้เรียนลัดเช่นบุคคลอื่น จงตั้งใจทำกันให้ดีๆ เหนื่อยเท่าไหร่ก้ขอให้อดทน ถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ที่พวกเจ้าต้องเร่งความเพียร สั่งสมบารมีเพื่อเข้าถึงพระนิพพานให้จงได้<O:p</O:p

    4.อย่าท้อถอย เพราะหนทางเหล่านี้เป็นพวกเจ้าเลือกเอาไว้ทั้งสิ้น มีพระสงเคราะห์มากมายมาถึงปัจจุบันนี้แล้วจักท้อถอยเพื่อประโยชน์อันใด จงหมั่นอดทนฟันฝ่าอุปสรรคให้เต็มความตั้งใจ เพื่อทำจริงตามหลักธรรมปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน<O:p</O:p

    5.พยายามรักษากำลังใจให้เต็มเข้าไว้ ควบกับการรู้ลมหายใจเข้า-ออก ควบกับมรณานุสสติอยู่เสมอๆ จิตจักได้มีกำลังใจ<O:p</O:p

    6.ก่อนคิดพิจารณาอันใด ก็จงระลึกนึกถึงความเมตตาเตือนจิตเองไว้เสมอๆ ถ้าหากละความดีขณะของจิตข้างหน้านี้หรือขณะจิตนี้ลมหายใจเอาจจักพลาดจากร่างกายนี้ไป เตือนจิตตนเองไว้เยี่ยงนี้ และตรวจจิตว่า คิดหรือทำอันใดอยู่ในขณะนี้เป็นการไม่ประมาณ และอัตนา โจทย์ยัตตานังไปด้วย

    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี



    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในวันต่อมาก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนต่อให้ดังนี้<O:p</O:p

    1.เบื่อก็รู้ว่าเบื่อ แต่อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยจนลืมจุดปลายทางว่าที่สุดของความต้องการ คือ พระนิพพาน<O:p</O:p

    2.พิจารณาให้เห็นทุกข์และโทษของร่างกาย มีความเบื่อหน่าย แล้วก็จงยอมรับความทุกข์ และโทษของร่างกายนี้ว่าเป็นธรรมดา ตราบใดที่เจ้ายังทรงขันธ์ 5 อยู่ พยายามลงตัวธรรมดาให้จงได้ วางจิตให้ยอมรับกฏธรรมดาของขันธ์ 5 นั้น จิตเจ้าจักคลายความเกาะติดขันธ์ 5 ลงได้ในที่สุด<O:p</O:p

    3. ค่อยๆ วางอารมณ์ อย่าเคร่งเครียดจนเกินไป จิตจักมีความกลัดกลุ้ม เบียดเบียนตนเองก็เป็นความไม่ถูกต้อง หมั่นรู้ลมให้มากในระยะนี้อารมณ์ของจิตจักไม่ซ่านจนเกินไป<O:p</O:p

    4.แล้วจงหมั่นวางอารมณ์กระทบจากภายนอกลงด้วย อย่าหุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำให้จิตขุ่นข้องปฏิฆะเกิดขึ้นได้ง่าย จักพูดสิ่งใดขอให้ใคร่ครวญให้ดีๆ<O:p</O:p

    5.(ก็ยอมรับว่าเวลามีอารมณ์ฉุนเฉียว ทำให้กล่าววาจาไม่ดี) ทรงตรัสว่า มันเป็นผลเสียทั้งคำพูดและจิตใจของเจ้าเองและผู้ถูกกระทบด้วย<O:p</O:p
    ในวันรุ่งนี้เพื่อนของผมท่านก็ปฏิบัติพระกรรมฐาน เรื่องทุกข์ โดยยกเอาทุกข์ของขันธ์ 5 หรือการมีร่างกายนั้นเป็นทุกข์อย่างไรเป็นธัมมวิจัย มีความสำคัญว่าทุกข์นั้นมีอยู่จริง แต่คนที่เห็นทุกข์นั้นหายากเต็มทน (ต่พอตาไปเห็นเด็ก 2 คน ขึ้นเดินไปเหนือพระชำระหนี้สงฆ์ จิตจึงนึกตำหนิกรรมของเด็ก 2 คนว่าไม่สำควร) หลวงพ่อฤาษีท่านก็เมตตาสอนรายละเอียดให้ มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p

    1. การที่จะรู้ว่าควรหรือไม่สมควรนั้น ต้องรู้จิตตนเอง ไม่ใช่ไปรู้ที่จิตของคนอื่น (ก็คิดว่าท่านมาเตือนเราเรื่องจงอย่าไปสนใจกรรมของผู้อื่น ให้รู้สภาวะจิตของตนเองเท่านั้นเป็นพอ) <O:p</O:p

    2. หลวงพ่อก็สอนต่อไปว่า ใช่ เอ็งคิดถูก แต่ควรจะทำให้ถูกด้วยจึงจะดี เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ตนเองไม่ใช่ไปรู้ที่คนอื่น โลกภายนอกมันกว้างเกินไปจบยาก สู้รู้โลกแคบๆ ภายในของตนเองนี่ ไล่มันให้จน จนจริงๆนะ คือรู้หมดจนมันดิ้นไปไม่ได้ ด้วยกิเลสทั้งปวง อย่างนั้นจบแน่<O:p</O:p

    3. ธรรมภายนอก นั้นมันเห็นนะเห็นแน่ เพราะเรายังอายตนะสัมผัส แต่เห็นแล้วก็จงน้อมเข้ามาเป็นธรรมะภายใน สัมผัสให้มันเกิดประโยชน์ เห็นแล้วเข้าใจในธรรมะนั้นๆ ไม่ตำหนิธรรม ดูให้เป็น คือ เห็นธรรมดาของธรรมนั้นๆ จิตมันก็สบายไม่รุ่มร้อน ไม่ปรุงแต่งธรรม แต่ให้เห็นในธรรมอารมณ์มันก็สบาย (ก็นึกว่า ท่านพูดง่ายเหลือเกิน)<O:p</O:p

    4. หลวงพ่อตอบว่า ก็ง่ายสิ มันจะยากอะไร ตั้งใจมีสติกำหนดรู้ทุกข์เสียอย่างเดียว เห็นกฏแห่งกรรมชัด จิตมันยอมจะรู้ทุกข์เสียอย่างเดียว เห็นกฎของกรรมชัด จิตมันก็จะยอมรับปล่อยวางอารมณ์ปรุงแต่งอันที่จะทำให้เกิดทุกข์ขึ้น เกิดการกระทำของกายวาจา ใจให้เป็นกรรมเกิดขึ้น แค่นี้เองง่าย ๆ (ก็นึกบ่นอยู่ในใจว่า เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา)<O:p</O:p

    5.หลวงพ่อท่านก็ว่า ห้ามบ่น พ่อไม่ชอบคนปากเปียกปากแฉะ เพราะบ่นไปมันก็ไม่มีปีประโยชน์อะไร เสียเวลา เอาเวลาที่บ่นไปปฏิบัติธรรมให้เกิดประโยชน์ดีกว่า ก็รับปากท่าน<O:p</O:p

    6.เอ็งอย่ารับปากส่งเดช ต้องทำให้ได้ด้วย เลิกบ่นท้อใจเสียที อาการบ่นคืออาการเสียกำลังใจ อย่าทำให้ให้พ่อได้ยินหรือได้เห็นอีก

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:pรวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ <O:p

    จากหนังธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์(เล่ม4)


    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>





    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <O:p</O:p


    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[​IMG]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1703950 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1703950", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,261
    Groans: 3
    Groaned at 14 Times in 12 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 474
    ได้รับอนุโมทนา 30,174 ครั้ง ใน 2,318 โพส
    พลังการให้คะแนน: 412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1703950 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->กำลังใจกับอภิญญา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1254564403&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2-162227.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D-%25E2%2580%259C%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%258C-%25E2%2580%259D%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A2-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5-%25E0%25B8%2595-%25E0%25B8%2597-%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%259E-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599-201273.html&dt=1254564403890&correlator=1254564403890&jscb=1&frm=0&ga_vid=1917420552.1254141608&ga_sid=1254563176&ga_hid=917227506&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&fu=0&ifi=1&dtd=31&xpc=3wZta6lTfF&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:pรวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)

    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​







    หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาตรัสสอนเรื่องกำลังใจกับอภิญญาว่า
    1. อยากได้อภิญญาไหม? (ตอบว่าอยากได้ แต่กำลังใจเจ้ามันไม่สู้) ทรงตรัสว่า ทุกอย่างต้องอาศัยกำลังใจ การจักได้อภิญญาใหญ่ ก็ต้องอาศัยกำลังใจ การจักมานิพพานก็ต้องอาศัยกำลังใจ แต่ว่าเจ้าจงอย่าสนใจอภิญญาให้มากจนเกินไป อย่าเพิ่งคิดเอากายเนื้อไปไหนๆ จงซักซ้อมเอากายใจมาพระนิพพานในชั่วขณะจิตดีกว่า<O:p</O:p
    2. สนใจกับการชำระจิตให้ปลดสังโยชน์ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้ดีกว่า อภิญญาใหญ่ใหญ่จักได้หรือไม่ได้อย่าพึงสนใจ<O:p</O:p
    3. เอาความขยันไปตัดสังโยชน์ดีกว่า เพราะเล่นฤทธิ์ก็จักเป็นการถ่วงการบรรลุมรรคผล อย่างวันที่พิจารณาถึงทุกข์ทั้งภายในภายนอกและภายใน ก็จัดได้ว่าพอใช้ จงหมั่นทบทวนอยู่เสมอๆ พยายามให้จิตทรงตัว พิจารณาจนยอมรับทุกข์นั้นอย่างจริงใจ<O:p</O:p
    4. หลังจากนั้นก็พิจารณาถึงสมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วย ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำจิตจักยอมรับความจริงของกฏธรรมดายิ่งขึ้น พิจารณาให้สม่ำเสมอ อย่าคิดทิ้งคิดขว้าง รวดเร็วเกินไป จิตมันไม่ยอมรับ<O:p</O:p
    5. โทษและทุกข์ของกาม และ กามสัญญา ต้องหมั่นคิดทบทวน ใคร่ครวญอยู่เสมอ<O:p</O:p
    6. เช่นเดียวกันกับอารมณ์ปฏิฆะ ทำให้เกิดโทษและทุกข์อย่างไร ก็หมั่นคิดทบทวนเช่นกัน<O:p</O:p
    7. การตัดราคะและปฏิฆะต้องตัดพร้อมๆกัน ตัวหนึ่งเบาอีกตัวหนึ่งก็ต้องเบาไปด้วย เพราะทุกข์และโทษของปฏิฆะและราคะ ล้วนทำให้ต้องมาเกิดทั้งสิ้น<O:p</O:p
    8. หมั่นดูอารมณ์จิตให้ดีๆ ดูด้วยอารมณ์เบาๆ จิตจักสบาย อย่าดูด้วยอารมณ์เครียด และมีอารมณ์หดหู่ได้ง่าย ข้อนี้จึงพึงระมัดระวังให้จงหนัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในวันต่อมาพระพุทธองค์ก็ทรงเมตตา ช่วยตรัสสอนต่อ<O:p</O:p
    เรื่องอารมณ์หนักใจ คือความเครียดจากลืมอานาปาว่า<O:p</O:p
    1.จักอยู่ที่มดก็ตาม จักทำงานประเภทใดก็ตาม ต้องกำหนดจิตจับกรรมฐานรู้อยู่ตลอดเวลา<O:p</O:p
    2.พยายามทำให้เกิดความเคยชินในอารมณ์ สมถะและวิปัสสนานั้นๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    3.รู้ด้วยอารมณ์เบา ๆ ทำให้จิตสบายๆ เวลานี้อารมณ์จิตของเจ้ายังค่อนข้างหนักอยู่ เกาะเวทนาของร่างกายมากเกินไป เวทนาย่อมรู้แล้จงหมั่นวางจิตให้สบายอย่าไปยึกเกาะเวทนานั้นๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    4.และจงอย่าลืมรู้ลมให้มากๆ เพราะอานาปานุสติกรรมฐานนี้ สามารถระงับเวทนาของร่างกายได้อยู่แล้ว อย่าปล่อยจิตให้เกาะเวทนามาเกินไป เพราะอาการเวทนาจักดึงจิตให้ฟุ้งซ่าน ก็พึงยิ่งต้องรู้ลม เพราะอานาปานุสสติระงับความฟุ้งซ่านได้อย่างดี
    <O:p</O:p5.อนึ่ง เป็นปกติของคนเรา เมื่อร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย อารมณ์วิตกจริตมันเกิดขึ้น ก็ต้องหมั่นรู้ลมให้มากขึ้น เพราะอานาปานุสสติแก้วิตกจริตได้เป็นอย่างดีเช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    6.อนึ่ง ควรคิดพิจารณาให้จิตยอมรับกฏของธรรมดา ว่าสภาพที่แท้จริงของร่างกาย ย่อมเป็นเพื่ออาพาธ (ป่วย)เป็นธรรมดา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    7.ไม่มีร่างกายของผู้ใดที่เกิดมาแล้ว จักไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน ชิคัจฉา ปรมา โรคา แม้ความหิวก็ได้ชื่อว่าเป็นโรคที่เบียดเบียนอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามีร่างกายย่อมหนีอาพาธไปไม่พ้น <O:p</O:p
    8.เมื่อเป็นเช่นนี้จงอย่าหนี ทำจิตให้ยอมรับความเป็นจริงของร่างกาย เบื่อหน่ายร่างกายด้วยเห็นทุกข์ เห็นโทษของร่างกาย ทำจิตให้คลายกำหนัดในการอยากมีร่างกายนี้เสีย ด้วยเห็นสภาพธาตุ 4 มาประชุมกันเป็นอาการ 32 เป็นของสกปรกและไม่เที่ยง มีความเสี่อม และสลายตัวไปในที่สุด<O:p</O:p
    9.เมื่อไม่อยากมีร่างกายเกิดขึ้นในอารมณืจิตแล้ว ก็จงอย่าทำอารมณืจิตให้เครียด จงปล่อยวางอารมณ์ที่หนักใจนั้นเสีย จิตจักเป็นสุข มีอารมณ์เบาได้ (ก็รับคำสั่งสอนนั้น แต่ก็ยังมีความหนักใจ เพราะวางอารมณ์เบื่อไม่ได้<O:p</O:p
    10.ทรงตรัส ที่ยังวางไม่ลง เพราะจิตไร้กำลังตัดสักกายทิฏฐิ การพิจารณายังไม่ถึงที่สุด คือจิตยังยึดเกาะร่างกายอยู่เจ้าก็ต้องอาศัยรู้ลม ทำอานาปานุสสติให้จิตมีกำลัง<O:p</O:p
    11.การเข้าถึงฌาน จิตจักสงบได้เป็นระยะๆ ตามที่ต้องการตราบนั้น จิตจักสงบได้เป็นระยะๆ ตามที่ต้องการตราบนั้นจิตจักมีกำลังพิจารณาร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราได้จนถึงที่สุด เมื่อนั้นจิตจักยอมรับกฎของธรรมดา และวางอารมณ์หนักใจลงได้<O:p</O:p
    12.เจ้าเห็นความสำคัญของอาณาปนุสสติหรือยัง เห็นแล้วก็จงหมั่นให้มากๆ กรรมฐานทุกกอง จักเป็นผลขึ้นมาได้ ก็ด้วยอานาปานุสสตินี้ พยายามรู้ลมให้มากในระยะนี้จักอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม จักทำงานอะไรอยู่ก็ตามให้จิตกำหนดรู้ลมให้มากๆ

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:pรวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)
    หน้าที่51-54
    <O:p</O:p

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[​IMG]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย teporrarit : 02-12-2008 เมื่อ 01:49 PM
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1122595 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1122595", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,261
    Groans: 3
    Groaned at 14 Times in 12 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 474
    ได้รับอนุโมทนา 30,179 ครั้ง ใน 2,318 โพส
    พลังการให้คะแนน: 412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1122595 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อเล่าเรื่อง...เครื่องวัดบารมี<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1254565851&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-124157.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%91%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%8D-%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E2%82%AC%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9E%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%89%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%9D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%90%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9C%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%98%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%90%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9B%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%8F%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%91%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%A2%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9D%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%82%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%9D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%82%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0&dtd=47&xpc=oLjFNZzhV2&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]

    ทานบารมี<O:p</O:p
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มาเริ่มเรื่องบารมีต้นกัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทราบแล้วนี่ว่าบารมีคือ อะไร ขอย้อนกันสักหน่อยดีไหม เผื่อว่าจะลืมไป<O:p</O:p
    บารมีก็คือกำลังใจ ไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมความดีในพุทธศาสนานี่ขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียวเพราะท่านทั้งหลายยังคงจำได้ว่าคนเราถ้าตายไปแล้ว ที่เขาบอกว่าไปตกนรก ไปขึ้นสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาไม่ได้ไปกันอย่างอื่น เขาเอาใจไปด้วย เขาไปด้วยกำลังใจ<O:p</O:p
    ทีนี้สำหรับบารมีที่เราจะสร้างขึ้นไว้ เราจะสร้างเพื่อไปไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน ไปส่งเดชที่เราพึงไป ถ้าเราสร้างความดีไว้ เราก็ไปใช้ในส่วนดี คำว่าเรา ในที่นี้ คือ จิต ไม่ใช่กาย<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระทศพลทรงกล่าวว่า บารมีคือกำลังใจนี่บรรดาท่านทั้งหลายเห็นความโง่ของอาตมาไหม ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าคนที่เป็นครูท่านอยู่เวลานี้เป็นคนฉลาด แต่ที่แท้แล้วองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถท่านบอกว่า จอมโง่ โง่เพราะอะไร โง่เพราะไม่รู้จักคำว่าบารมีมันคืออะไร เหมือนกับคนที่ขี่ควาย คนที่ขี่ช้าง ไม่รู้จักควายเป็นยังไง ช้างเป็นยังไง ขี่ได้ใช้งานได้ แต่ไม่รู้จักชื่อ อันนี้ได้แก่อาตมาเอง บรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    ทานบารมีเป็นบารมีต้น ที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรายังไม่ไปนิพพาน จะเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังได้ จะเกิดเป็นเทวดาก็ได้ จะเกิดเป็นพรหมก็ได้ หรือจะไปนิพพาน ตามใจท่านพุทธบริษัท ให้เลือกเอา ประเดี๋ยวจะมาหาว่ามานั่งเกณฑ์กันเข้าไปนิพพานไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไปได้ก็ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไป จะไปหรือไม่ได้ก็ตามใจบรรดาท่านทั้งหลาย<O:p</O:p
    ทานบารมีเป็นบารมีต้น ที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าทานบารมีเต็มแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงรับรองว่ามีหวังไปนิพพานได้คราวนี้เราก็นั่งพิจารณาถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรถึงรากเหง้าของกิเลส อันถือเป็นแม่บทของกิเลสบรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่าเป็นสีหลักผสมกับสีอื่นๆ เขาเรียกกันว่าแม่สี ทีนี้แม่ของกิเลสก็คือรากเหง้าของกิเลสนั้นเอง หรือจะเรียกว่าจอมกิเลสก็ได้<O:p</O:p
    จอมบงการของกิเลสก้ได้แก่กิเลส ๓ การ คือ <O:p</O:p
    โลภะ ความโลภ<O:p</O:p
    โทสะ ความโกรธ<O:p</O:p
    โมหะ ความหลง<O:p</O:p
    สำหรับคำว่าโลภะ ความโลภ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำลายด้วยการให้ทาน เพราะการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการให้ ส่วนโลภเป็นตัวดึงเข้ามา นี่เป็นศัตรูกัน
    <O:p</O:pทีนี้ว่ากันถึงกิเลสทั้ง ๓ ประการ มันเหมือนกับโต๊ะ ๓ ขา หากเราทำลายเสียขาใดขาหนึ่งได้ ที่เหลืออีก ๒ ขามันก็ทรงไม่ไหว มันต้องสลายไปด้วย<O:p</O:p
    ทีนี้เรามาดูการให้ทานที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่า ทำลายความโลภ การให้ทานนี้น่ากลัวจะแบ่งเป็นหลายระดับด้วยกัน มิฉะนั้นการให้ทานก็จะไม่สมบูรณ์แบบ การให้บรรดาพุทธบริษัทเป็นปัจจัยในกามาวจสวรรค์<O:p</O:p

    เครื่องวัดกำลังใจ<O:p</O:p

    องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า การให้ทานนี้จัดเป็น ๓ ระดับด้วยกัน นี่แบบหนึ่งนะ อันที่จริงมันมีอีกหลายแบบ<O:p</O:p
    ทาน ๓ ระดับคือ <O:p</O:p
    ๑. ทาสทาน เวลาที่เราจะให้ทาน เราก็ให้ของเลวกว่าของที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    ๒. สหายทาน เวลาที่เราให้เราก็ให้ของเสมอกับที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    ๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้เราให้ของดีกว่าที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่านพุทธบริษัท เราวัดกำลังใจของเองว่า เวลาที่เราจะให้ทานน่ะ การให้ทานนี้ต้องให้เพื่อการสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ให้หวังผลตอบแทน<O:p</O:p
    นี่อย่าลืมนะพุทธบริษัท หรือท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าเราให้ท่านแล้วก็มานั่งนึกทีหลังว่า เจ้าคนนี้เราให้ไปแล้ว นางคนนั้นเราให้ไปแล้ว แต่ให้ไปแล้วนั้นไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้จักตอบแทนเราสักที<O:p</O:p
    ถ้าท่านทั้งหลายมีเจตนาในการให้ทานแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีกล่าวว่าเป็นการให้ทานที่มีกำลังใจไม่เต็มบารมีส่วนนี้ยังอ่อนอยู่ แล้วก็บารมีที่ดึงลงอบายภูมิได้ง่ายๆ<O:p</O:p
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราให้ทานแล้วหวังผลในการตอบแทนในการตอบสนอง ถ้าเขาไม่ตอบสนองเรา เราเกิดความกลุ้มใจ ความไม่สบายใจมันก็เกิด ถ้าความไม่สบายใจมันเกิด จิตมันก็มัวหมอง พระพุทธเจ้าทรงกล่าว<O:p</O:p
    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา<O:p</O:p
    ก่อนที่จะเราจะตาย ถ้าจิตเราเศร้าหมองละก็มีหวังทุคติ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เกิดเป็นคนก็หาความสุขไม่ได้ แบบนั้นเขาไม่ชื่อว่าเป็นการให้ ถือว่าเป็นการยืมไป <O:p</O:p

    บารมีต้น<O:p</O:p

    ถ้าให้ด้วยความเต็มใจ เราให้จริงๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ทานตัวนี้ต้องมีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยการสงเคราะห์ ปรารถนาให้เขามีความสุขจากวัตถุที่เราให้ หรือว่ากำลังใจที่เราให้ ถ้าเราให้ไปด้วยการสงเคราะห์จริงๆ แต่ทว่าเวลาให้นะบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเขามาขอเรา เรายังต้องแบ่งว่า ไอ้นี่ยังใช้ได้ ไม่ให้ นี่ดีเกิดไปเรายังไม่ได้ใช้ เรายัง ไม่ให้ ให้เฉพาะของที่เราไม่ต้องการจะกินไม่ต้องการจะใช้ของเลวๆ เราจึงจะให้ ถ้าถามว่าการให้แบบนี้ดีหรือไม่ได้อาตมาตอบว่าดี เพราะเกิดชาติหน้าเราก็เป็นมหาเศรษฐีได้ อย่างอาฬวีเศรษฐี เป็นต้น<O:p</O:p
    อาฬวีเศษฐีเกิดมาในสมัยพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตมีชีวิตอยู่ อาฬวีเศษฐีคนนี้ใช้ของไม่ดี ผ้าผ่อนท่อนสไบต้องเก่าต้องเก่าต้องช้ำเสียก่อนจึงจะใช้ได้<O:p</O:p
    ของที่จะกินเข้าไปถ้าเป็นของดีๆ เช่น ข้าวมธุปายาส แกก็กินไม่ได้ ข้าวเต็มเม็ดที่เรียกกันว่าข้าว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แก่ก็กินไม่ได้ ต้องกินข้าวหัก หรือปลายข้าว แต่ว่าแก่เป็นมหาเศรษฐีได้<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสกับพระอานนท์ว่า<O:p</O:p
    อานันทะ ดูก่อน อานนท์ อาฬเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาได้เพราะอาศัยการให้ทานเป็นสำคัญ แต่ว่าการให้ทานของอาฬวีเศรษฐีนั้นให้ทานเป็น ทาสทาน คือของดีไม่ให้ ให้แต่ของเลว<O:p</O:p
    แต่ก็ยังมีผลบรรดาท่านศาสนิกชน เกิดมาเป็นคนยังมหาเศรษฐีได้ ก็เบ่งกับยาจกได้เหมือนกัน การให้ทานประเภทนี้องค์สมเด็จพระชินศรีถือว่าบารมีต่ำ นับเป็นบารมีต้น<O:p</O:p

    อุปบารมี<O:p</O:p

    องค์สมเด็จพระทศพลทรงเปรียบเทียบต่อไปว่า ถ้าเราให้ทานเป็น สหายทาน ให้เพื่อการสงเคราะห์ เวลาที่เราใช้ และก็ให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยการสงเคราะห์ ไม่หวังผลตอบแทน ใดๆ ทั้งหมด อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตกล่าวว่า ทานของท่านเป็นอุปบารมี มีความแน่นแล้ว<O:p</O:p
    อุป แปลว่า เข้าไป ใกล้ นั้นแสดงว่าเดินเข้าไปหาพระนิพพาน ไม่ถอยหลังแล้ว เดินใกล้เข้าไปทุกทีๆ ไม่ถอยหลังแล้ว<O:p</O:p

    ปรมัตถบารมี<O:p</O:p

    ต่อไปถ้ากำลังใจของเรานี้ดีขึ้นไปกว่านั้น เวลาที่เราจะให้ทานก็ต้องดู ไอ้ของนี่มันช้ำแล้วให้กันไม่ดี เขาจะตำหนิเอาหรือประการหนึ่ง ไหนๆ เราจะให้ของดี เพราะว่าทุกคนต้องของดี<O:p</O:p
    ส่วนของบริโภคเหมือนกัน ปกติเรากินน้ำพริกผักต้มได้ แต่ เวลาเราจะทำบุญหรือเราจะให้ทาน ต้องใช้ของดีๆ ทำบุญด้วยของดีๆ อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาตรัสว่า เป็นปรมัตถบารมีในด้านวัตถุหรือกำลังใจ อย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ต้องอาศัยกำลังใจ อย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ต้องอาศัยกำลังใจบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย <O:p</O:p
    <O:p></O:p
    การให้ทานอย่างนี้เป็นทานเรียบง่ายๆ ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่า มันอาศัยกำลังใจอย่างเดียว มันจะเต็มหรือไม่เต็ม ดูกำลังใจของเรา วัดที่วัตถุที่เราให้ แล้วก็ดูกำลังใจของเราว่าเรามีความห่วงใยในทานหรือไหม ให้แล้วหวังผลตอบแทนบ้างรึเปล่า<O:p</O:p
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไม่หวังสิ่งตอบแทนให้ด้วยการต้ดขาด และให้ของดีได้ อย่างนี้เป็นอันเข้าใจขอลบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ว่ายังก่อน นี่มันแค่วัตถุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อภัยทาน<O:p</O:p
    แต่ทานที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านี้อีก ทานหนึ่ง นั้นคือ ทานที่ไม่ต้องลงทุน ทานจุดนี้เป็นทานอะไรบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย คืออภัยทาน ทานตัวนี้มีความสำคัญมากแต่ก็ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน วัตถุทานเราต้องให้ แต่กำลังใจในว่าอภัยทาน ทานพวกนี้มีความสำคัญมากแต่ก็แต่ก็ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน วัตถุทานเราต้องให้ แต่ว่ากำลังใจในการให้อภัยก็ควรจะมี เพราะทานประเภทนี้นอกจากว่าจะเป็นทานที่มีกำลังสูงส่งและไม่ต้องลงทุนแล้ว<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า บวกด้วยอำนาจเมตตาบารมี นี่เป็นอันว่าการให้ทานทั้งทีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในทานของเราเต็ม ท่านทั้งหลาย<O:p</O:p
    จงอย่าพึงคิดว่าเราจะมีผลแต่เพียงทานบารมีเท่านั้น การให้ทานคราวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท บารมี ๑๐ ประการล้อมรอบเข้ามาครบหมด นี่อธิบาย ให้ฟังเพื่อความเข้าใจง่ายของบรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    คือว่าก่อนที่เราจะให้ทานก็ลองคิดดูว่า เราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ให้ทานเพื่อหวังผล ตอบแทน เป็นเพื่อตัดจริงๆ<O:p</O:p
    การให้ทานของจุดนี้เราต้องการตัดกิเลส คือโลภะ ความโลภ เพราะ ความโลภเป็นตัวดึงเข้า ทานเป็นตัวขยายออก นี่บรรดาพุทธบริษัทจำตัวนี้ไว้ให้ดี<O:p</O:p
    ไอ้การดึงเข้านี่มันเป็นตัวก่อศัตรูหนัก แต่ว่าการขยายออกนี่เป็นการสร้างมิตรอย่างหนัก คนให้ทานแล้วแต่จิตเป็นทรชน คือผู้ทรยศต่อบุคคลผู้ให้ก็มีอยู่ เช่นองค์สมเด็จบรมครูให้ พระเทวทัต ให้ทุกอย่าง ให้ทั้งวัตถุให้ทั้งกำลังใจ แต่ว่าคนจัญไรประเภทนั้นไม่รู้สึกในคุณของพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    การให้ทานนี่เราอย่าไปสนใจกับการตอบสนองการรู้คุณเราต้องการอย่างเดียวคือตัดกิเลส ได้แก่โลภะ ความโลภ<O:p</O:p
    อาตมาได้บอกกับบรรดาท่านพุทธบริษัทไว้ในตอนต้นแล้วว่า การให้ทานถ้าเราตัดความโลภได้ตัวเดียว ความโกรธกับความหลงอีกสองตัวมันก็พังไปด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่พังหมดแต่ทว่ากำลังของมันมีน้อยเกินไป จะเหลือแต่เพียงอนุวิสัยเท่านั้น มันเป็นยังไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทถึงได้เป็นแบบนั้นได้จะอธิบายให้ฟังโดยย่อจะได้ไม่ยืดยาดนัก<O:p</O:p
    การให้ทานเพื่อหวังในการสงเคราะห์ หวังตัดความโลภจากจิต อันนี้จึงจะเป็นกำลังใจตามที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรมีความประสงค์<O:p</O:p

    ความรักนำ<O:p</O:p

    ที่เรียกว่าบารมีหรือทานบารมี นี้ ในเมื่อเราให้ทานเพราะอาศัยมีความรัก มีความสงสารเป็นปัจจัย ถ้าเราเกลียดแล้วเราก็ไม่ให้เหมือนกัน เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เวลานี้เราบำเพ็ญบารมีอยู่จะเอากำลังเท่าองค์สมเด็จพระบรมครูหรือว่ากำลังใจเท่าอรหันต์นั้นเป็นไปไม่ได้<O:p</O:p
    ทีนี้ลองคิดกันดูว่า ถ้าเรา เกลียด เราจะให้ได้ไหม ไม่ได้บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าว่าแต่สละวัตถุเลย แม้แต่กำลังใจที่คิดจะให้มันก็ไม่มี ทีนี้การให้ทานเราต้องบวกอะไรเข้ามาบ้างก่อนนะจะให้หวังในการสงเคราะห์ หวังในการเกื้อกูล อาศัยความรัก ความสงสารเป็นสำคัญ<O:pความรักความสงสารเป็นอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เป็น เมตตาบารมี เห็นหรือยัง นี่เราจะให้ทานแล้วเมตตา มันเจ้าค่ำจุนอยู่ เข้ามาประคับประคอง นี่เป็นสองบารมี เข้าควบกันแล้ว<O:p</O:p
    ทีนี้คนในเมื่อเมตตาบารมีปรากฏ มีเมตตาแล้วอะไรมันตามมาอีกบรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ศีล มันปรากฏ เพราะศีลจะมีกับใครได้นั้นต้องมีเมตตาทั้งกรุณาทั้ง ๒ ประการ คือรักและสงสารในเขา ศีลก็วิ่งเข้ามาช่วยประคับประคองในทานเข้าไปอีกจุดหนึ่ง<O:p</O:p
    การให้ทานของเรานี่บรรดาพุทธบริษัท เราต้องการตัดโลภะ ความโลภ เราหวังพระนิพพานเป็นปัจจัย เราไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทน จิตมันเป็นบริสุทธิ์ การให้ทานตัวนี้ไม่ใช่ว่าผู้ชายให้ทานแก่สตรี สตรีให้ทานแก่ผู้ชาย เพื่อหวังในการร่วมรักกันในกามารมณ์นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ซื้อความรักด้วยการให้ทานในวัตถุ<O:p</O:p
    คราวนี้ เนกขัมมบารมี คือ การถือบวชมันก็ปรากฏ เนกขัมมะ ที่เขาถือกันได้ในชั้นต้นก็โดยการตัด นิวรณ์ ๕ ประการ <O:p</O:p
    ๑. ความรัก ด้วยอำนาจกามารมณ์<O:p</O:p
    ๒. ความโกรธ เรามีเมตตาเสียแล้ว จะโกรธยังไงล่ะ<O:p</O:p
    ๓. ตัวง่วง เราไม่โกรธแล้วตั้งใจให้ทานมันจะง่วงตรงไหน<O:p</O:p
    ๔. อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราทั้งรักทั้งสงสาร จิตมันตรงแน่ว มันจะฟุ้งว่านไปไหน<O:p</O:p
    ๕. ความสงสัย (ในเนกขัมมะ) มันก็ปรากฏ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า การให้ทานเป็นการตัดความโลภ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน กำลังใจเรามันให้เต็มเสียแล้ว ถ้าเราสงสัยเราจะได้ยังไง นี่เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร<O:p</O:p
    เห็นไหมบรรดาพุทธบริษัท การให้ทานในคราวเดียวเนกขัมมบารมีวิ่งเข้ามาชนอีก เป็น ๔ บารมี แล้ว<O:p</O:p
    อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า ปัญญาบารมี ลองมาคิดพิจารณากันดูให้ดี คนโง่น่ะจะมีใครให้ทานไหม คนโง่เขาไม่ให้ทานหรอกบรรดาพุทธบริษัท เขาเสียดายของ เพราะว่าของของเขามาได้โดยยาก ไม่มีใครเขาให้ ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ช่างชี ตัวอยากไม่หาทำไม<O:p</O:p
    แต่คนที่จะให้ทานได้ต้องอาศัยเป็นมีปัญญา เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาในตอนต้น เอาแบบต่ำๆ นะบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เรียกกว่าต่ำมากที่สุด นั้นคือเรามาพิจารณาว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการผูกมิตรทำจิตใจให้มีความสุข เราไปทางไหนก็ตามถ้าเรามีเพื่อนมาก มีคนเป็นที่รักมาก เราก็มีความสุข เพราะอันตรายมันมีน้อย กล่าวคือ ช่วยป้องกันอันตรายได้ ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความเป็นอยู่เป็นสุข เพราะการให้ทานก็ด้วยอำนาจเมตตาบารมีนำแล้ว การให้ทานมีผลไม่ได้ ในเมื่อเรามีเมตตาจิตคนที่เค้าคิดประทุษร้ายก็น้อยเต็มที เว้นไว้แต่ผู้ร้ายขององค์สมเด็จพระชินศรีคือ พระเทวทัต หรือเผ่าพันธุ์ของเขาผู้นั้น นี่ปล่อยเขาไปบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน<O:p</O:p
    ทีนี้มีปัญญาสูงไปกว่านั้น เขาก็คิดว่า การให้ทานนี่เป็นการทำลายความโลภ เป็นการทำลายการเกิดที่มาสู่คนให้รับผลความทุกข์ต่อไป นี่คนที่มีปัญญาใหญ่เขาก็พิจารณาอย่างนี้ ฉะนั้นการให้ทานสักทีก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องประกอบเอาละซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ปัญญาบารมีก็มากับทานอีกแล้ว<O:p</O:p
    อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระทีปแก้วบอกคือ วิริยบารมี วิริยะแปลว่าความเพียร คนที่จะให้ทานระยะแรกๆ ที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียร คนที่จะให้ทานในระยะแรกๆที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ ความตระหนี่ หรือความขี้เหนียว ความหวงแหนในทรัพย์สินของตน อันนี้อาตมารับรองผลเลย ถ้าไม่มีความเพียรตัดไอ้ตัวนี้ให้ทานไม่ได้ ต้องใช้ความเพียรเข้าไปตัดมัจฉริยะ คือความตระหนี่เหนียวแน่นให้สลายตัวไป ไม่ยังงั้นทำไม่ได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    อีกประการหนึ่งคนที่ตั้งใจจะให้ทาน หวังผลในทานบารมี ถ้าเราจะให้ทานด้วยวัตถุ เราก็ต้องเพียรหาวัตถุเข้ามานี่วิริยบารมีก็ตามมา ถ้าหากว่าเราจะให้ทานเป็นอภัยทานคือกำลังใจไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เราต้อองมีความเพียรตัดความโกรธ ตัดความพยาบาท นี่เป็นอันว่าการให้ทานครั้งเดียว วิริยบารมี วิ่งตามเข้ามาอีกแล้ว<O:p</O:p
    ต่อไปบารมีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าขันติ คือความอดทน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ วัตถุทานที่เราจะได้มาบรรดาท่านบริษัททุกท่าน เราต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก เราหามาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง กว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงจะมีเงินจะมีของ ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง ถ้าไม่อดทนในการหาละก็เราไม่มีวัตถุในการให้ทาน นี่เป็นเรื่องของทาน ขันติบารมี วิ่งเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง<O:p</O:pตานี้ขันติ ความอดทนที่ต้องเสียทรัพย์สินที่หามาได้โดยยาก นี่มันมีความสำคัญมากบรรดาพุทธบริษัท แต่ขาด ขันติบารมี แล้วหยิบอะไรไม่ได้ คิดว่าแหมของสิ่งนี้ซื้อมาแพง กว่าเราจะมีเงินซื้อก็มีความลำบากมีความยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง จะให้เขาทำไมหนอ ใจไม่สบาย ตอนนี้ก็ต้องขัตติเข้าข่ม อดทนเข้าไว้<O:p</O:p
    ว่าเราอดเปรี้ยวเพื่อกินหวาน เราให้วัตถุทานเพื่อหวังพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขในเบื้องหน้า หรือถ้ากล่าวกันโดยย่อก็คิดว่าให้ทานนี่หวังผลในความร่ำรวยอย่างอาฬวีเศรษฐี หรือ ทานัง สัคคโส ปาณัง เราให้ทานนี่เพื่อต้องการไปสวรรค์ เป็นเทวดาเป็นนางสวรรค์สบายๆ มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มขี่ ตัองมีปัญญาเข้ามาปลอม มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มชี่ ตัดมัจฉริยะความตระหนี่ให้มันพังพินาศไป<O:p</O:p
    ทีนี้บารมีต่อไป สัจจบารมี เราตั้งไว้แล้วนี่ ว่าเราจะให้ทาน เราทำกิจการงานทั้งหมดเพื่อนิพพาน เพื่อหวังสวรรรค์ เพื่อหวังพรหม เพื่อหวังความร่ารวย เราก็ต้องให้จนได้เราจะไม่ยอมเสียสัจจะความจริงใจ เอาเข้าแล้ว นี่ทานตัวเดียว ควบสัจจบารมีเข้าอีก<O:p</O:p
    ต่อไปอธิฐานบารมี ตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า นี่เราจะต้องให้ทานเพื่อเป็นการทำลายความโลภให้หมดไปจากใจ คือว่าเราจะให้ทานเพื่อความอยู่เป็นสุขในชาติปัจจุบัน หรือว่าให้ทานเพื่อความปรารถนาว่า ผลของทานนี้นั้นสามารถจะส่งผลให้ไปสวรรค์ได้<O:p</O:p
    ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า<O:p</O:p
    ทานัง สัคคโส ปาณัง<O:p</O:p
    ทานย่อมเป็นบันไดให้ไปสวรรค์<O:p</O:p
    นี่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว<O:p</O:p
    ว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ<O:p</O:p
    ๑. เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย<O:p</O:p
    ๒. เกิดเป็นเทวดา<O:p</O:p
    ๓. เข้าพระนิพพาน<O:p</O:p
    เราตั้งอธิฐานไว้แล้ว เกิดมาชาตินี้ต้องจับจุดเอาจุดนี้ให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่อจิตอธิฐานตั้งใจไว้จริงให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่ออธิฐานตั้งใจไว้จริงๆปักหลักให้ตรงเป๋ง อย่างนี้มันจึงจะให้ทานได้<O:p</O:p
    ถ้ากำลังของเราไม่มี คือคิดแล้วมันมีความโลเล ไม่ตั้งจิตตรงไว้ในกาลก่อนว่าปรารถนาในการให้ทาน ผลของทานมันก็จะกลายเป็นอะไรล่ะ เป็น ศรัทธาเต่า ผลุบเข้าผลุบออก ดึงออกมาแล้วก็กลับยัดเข้าไปใหม่ นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ทานตัวเดี่ยวอธิฐานบารมีวิ่งเข้ามาอีก เหลือตัวเดียวคือ อุเบกขาบารมี<O:p</O:p
    อุเบกขาบารมี ตัวนี้จะเข้ามาสนับสนุนตรงไหน ก็ตรงที่ให้ไปแล้วซิบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าความขัดข้องใจอะไรมันเกิดขึ้น เช่นเรามีอยู่ ๕๐๐ เราให้ทานไป เสีย ๒๐ บาท มันเหลือ ๔๘๐ บาท ทีนี้มีกิจที่จะพึงต้องทำมันเกิดขึ้นโดยไม่ได้คิดไว้ เกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินสัก ๕๐๐ บาท แต่ว่าจิตของเรานี้เชื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ว่าทานเป็นผลของความสุข ความเดือดร้อนมันเกิดขึ้นแล้วซิ สตางค์ ๒๐ บาทนี่มันไม่พอดีนี่<O:p</O:p
    ถ้าเราให้ทานไปเสียเราก็มีจ่ายพอดี แต่นี่เราบังเอิญนี้มันมาทีหลัง คิดให้ทานไปเสียก่อน แต่เราเชื่อองค์สมเด็จพระชินวร คิดว่า ช่างมันเถอะ ความลำบากเพียงแค่ ๒๐ บาท ไม่เป็นไร ไหนๆๆเราก็ต้องใจไว้แล้ว ความทุกข์ร้อนนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป เพราะผลที่เราให้ไปมันมีประโยชน์มากกว่านั้น<O:p</O:p
    คือถ้าเรามีบุญบารมีของเรายังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสาร เราก็จะเกิดเป็นมนุษย์ ที่มีความสมบูรณ์ได้ ถ้าบารมีของเรามีขึ้นหน่อยแล้วไซร้ เราก็สามารถจะเกิดบนสวรรค์ได้ เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดเรื่องของทานวันนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้<O:p</O:p

    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1193074 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1193074", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,261
    Groans: 3
    Groaned at 14 Times in 12 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 474
    ได้รับอนุโมทนา 30,180 ครั้ง ใน 2,318 โพส
    พลังการให้คะแนน: 412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1193074 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อเล่าเรื่อง.......หัวใจพระศาสนา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1254566195&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-128268.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%91%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%8D-%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E2%82%AC%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9E%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%89%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%9D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%90%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9C%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%98%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%90%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9B%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%8F%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%91%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%A2%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%94%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9D%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%82%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%9D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%82%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%85%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9E%E0%B9&dtd=47&xpc=RLgg8uwwEr&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]

    หัวใจพระพุทธศาสนา โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    (วันสุดท้ายของการสอนพระกรรมฐานหลวงพ่อสอนเสร็จ รับของถวายเสร็จ ก็ขึ้นพัก แต่สักประเดี๋ยวเดียวหลวงพ่อก็ลงมาคุยใหม่ คนเลยยังไม่กลับหลวงพ่อท่านมักจะสบายใจมากเมื่อสอนเส ร็จวันสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวนี้สอนเรื่อง บารมี 10 ทั้ง 3 วันเลย แสดงว่ากำลังใจของคนดีขึ้นมาก

    มีนายทหารนอกเครื่องแบบยศพันเอกท่านหนึ่ง ได้ถือโอกาสนี้คุยกับหลวงพ่อหลายเรื่องด้วยกัน หลวงพ่อก็โปรดเมตตาตอบให้ ทำให้คิดว่าที่หลวงพ่อมาใหม่คงจะสงเคราะห์นายทหารคนน ี้เป็นแน่ รู้สึกท่านคุยดีเสียด้วยของอ่านดูนะ)

    "ได้ทราบว่าสมัยก่อน ๆ นั้น มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ แต่ว่าสมัยก่อนคนยังเป็นคนป่าคนดอยจะฟังธรรมะได้รู้เ รื่องหรือ….?

    โอ๊ย! เจริญเยอะ เอาอะไรมาเป็นป่า เขาเจริญกว่าเรา ใช่ไหมเล่า วิทยาศาสตร์เวลานี้ไม่ทันเขาหรอก อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันนี้ถึงพันปีหรือยั ง เขาคิดเป็นหมื่นปีเขาเจริญกว่านะ

    อย่างคนสมัย พระพุทธกัสสป มีอายุ 20000 ปี ถ้าเขาเริ่มคิด 10000 ปี คนรอง ๆ มาก็ตามกันเป็นแถวใช่ไหม ถอยหลังไปดูจะเห็นว่าเขาเจริญกว่านี้มาก ของเราอย่างเก่งแค่ 40 ปีก็ตายแล้ว สมัยนั้นเป็นหมื่นปีก็มีการติดต่อกันนาน

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุขัยยาวแสดงว่าเขามีบ ุญมาก การทำบาปเขาน้อย การละเมิดศีลเขาน้อยเต็มที สมัยนั้นมีแต่ความเยือกเย็น ความเร่าร้อนไม่มี ถ้าหากว่าคนเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติขึ้น ต้องขึ้นมีบารมีทุก ๆ แบบ บางส่วนไม่ใช่หมดทั่วโลก กลุ่มประเทศที่มีคนจะบรรลุมรรคผลได้พระพุทธเจ้าจึงตร ัสไม้งั้นท่านไม่ลงมา

    ก็แบบถ้าฝนไม่ตกเราก็ไม่รองน้ำฝน หรือถ้าฝนตกเราเอาตะกร้าไปรองมันก็ได้บ้าง สมันนั้นคนมีอายุมาก มีบุญมาก มีความเยือกเย็นมาก ในเมื่อจิตใจเขาเยือกเย็นมากกว่า เขาก็บรรลุมรรคผลมากกว่า

    อย่าง พระพุทธกัสสป ท่านประกาศพระศาสนาเองตั้ง 10000 ปี ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์เองอย่าห่วง ถ้าคนไม่บรรลุมรรคผลที่ไหนท่านก็ไม่ไป

    ตอนเช้ามืดท่านใช้อำนาจพระพุทธญาณ วันนี้จะมีใครบรรลุมรรคผลบ้าง เห็นหน้า เห็นชื่อ รู้สถานที่อยู่ รู้บุญเก่า แล้วท่านก็ไปแคะของเก่า คนก็บรรลุมรรคผลทันที รวมความว่าคนจะบรรลุมรรคผลมาก ท่านจึงอยู่นาน

    "แล้วแนวการสอนที่ท่านตรัส เข้าใจว่าเป็นแนวกันทุกองค์เลยใช่ไหมครับ ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้
    "สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง"
    แนะนำให้ทุกคนไม่ทำความชั่วทุกประเภท

    "กุสลัสสูปสัมปทา"
    แนะนำให้ทุกคนทำแต่ความดี

    "สจิตตะปริโยทะปะนัง"
    นำให้ทุกคนทำจิตใจให้แจ่มใสจากกิเลส

    "เอตัง พุทธานะสาสะนัง"
    ทรงยืนยังว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกั นหมด ที่ใครเขาบอกให้แต่ง หัวใจพระศาสนา อันนี้แหละ หัวใจพระศาสนา


    ถ้าบอกว่า อริยสัจ อันนั้นไม่ใช่ ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาใครบรรลุใหม่ ๆ ใครได้พระโสดาบันก็ส่งไปเลย ใครเป็นพระอริยเจ้าท่านส่งไปประกาศพระศาสนาทุกองค์ แต่ว่าการส่งไปท่านยังไม่แนะนำในการสอนคน แต่อย่าลืมว่าพระอริยเจ้าท่านสอนไม่ผิด พอถึงกลางเดือน 3 พระทั้งหมดมาประชุมกัน ท่านก็เลยประกาศ เอ้า! สอนให้เหมือน ๆ กันนะ เอาอย่างนี้นะ

    "สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง"
    เธอจงแนะนำให้คนละจากความชั่วทุกอย่าง

    "กุสลัสสูปสัมปทา"
    แนะนำให้ทุกคนทำแต่ความดี

    "สจิตตะปริโยทะปะนัง"
    แนะนำให้ทุกคนทำจิตใจให้แจ่มใสจากกิเลส

    ทรงยืนยัน"เอตัง พุทธานะสาสะนัง"
    พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    "กระผมเคยถามพระพุทธองค์ว่าทำไมทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพ ื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง ทำไมถึงยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ท่านตรัสว่า ที่ยังไม่ได้เพราะกาลเวลายังไม่ถึง มันเกี่ยวกับกาลเวลาด้วยหรือครับ ?"


    มรรคผลกับกาลเวลา
    เดี๋ยว! คำว่า กาลเวลา แปลว่า บุญเก่าที่ทำไว้แล้ว ยังเข้ามารวมตัวไม่พอ ยังไม่ครบ และก็บุญที่เข้ามาก็กำลังไม่แก่กล้าพอ และก็ประการที่ 3 ไอ้บาปที่เราทำไว้แต่ชาติปางก่อนมันขวางหน้า ไอ้ตัวนี้มาก่อน ถ้าจะถามว่าขวางเวลาไหนก็ต้องดูกาลเวลาของมัน ถ้ามันขยายตัวเมื่อไหร่ บุญเก่ากับบุญใหม่ชนกันเมื่อไร ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

    "หมายความว่าเราต้องรออายุขัยของแต่ละคนที่ไม่เท่ากั นหรือครับ ?"

    ไม่ใช่ รอกาลเวลาที่บุญจะเข้ามาถึง
    ดูตัวอย่าง อย่าง ราธพราหมณ์ อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าเองถึง 3 ปี พระพุทธเจ้าท่านเห็นหน้าอยู่เสมอ แต่วาระยังไม่เข้ามาถึง พอตอนเช้ามืด ท่านก็ตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ก็ทรงทราบว่า พราหมณ์นี้จะเป็นอรหันต์ภายในไม่ช้านี้ หลังจากท่านแสดงธรรมแล้ว ตอนเย็นท่านก็เดินอ้อมวิหารไปทำเหมือนว่าเดินเล่น

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าเดินเล่นเรื่อยไป พระก็ต้องตามไป ก็พอดี ราธพราหมณ์ กินข้าวเสร็จ ล้างถ้วยล้างชาม เอาของที่เหลือมาเท เอาน้ำล้างชามมาเท

    พระพุทธเจ้าเสด็จถึงพอดี ก็ทรงหยุดถามว่า"พราหมณ์ เธออยู่เพื่ออะไร"
    พราหมณ์บอกว่า "เวลานี้ผมเป็นวิทาสาโท เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าข้า"

    ท่านถามว่า "ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่"
    พราหมณ์ก็บอกว่า "อยากบวชครับ! แต่ไม่มีใครบวชให้พระพุทธเจ้าข้า"

    ท่านก็ถามพระว่า
    "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครรู้คุณของพราหมณ์คนนี้บ้าง พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง"
    ก็มี พระสารีบุตร นั่งกระหย่งยกมือไหว้ บอกว่า
    "ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณพราหมณ์พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าถามว่า
    "พราหมณ์คนนี้ มีคุณกับเธอเมื่อไหร่"
    พระสารีบุตร ก็กล่าวว่า "ในสมัยที่พราหมณ์ยังอยู่ที่บ้านพระพุทธเจ้าบิณฑบาตผ ่านไป เมื่อพราหมณ์เห็นก็ใส่บาตรให้ทัพพีหนึ่งถือว่าเป็นผู ้มีคุณ"

    พระพุทะเจ้าตรัสว่า "สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุรุษที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นคนดี เพราะฉะนั้น เธอจงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์"

    พอบวชแล้ว ราธพราหมณ์ ก็ไปจำพรรษา พระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร จำพรรษาอยู่กันคนละที่ เวลาออกพรรษาก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าถามว่า
    "ลูกศิษย์ของเธอดื้อด้านหรือว่าง่าย"
    พระสารีบุตร บอกว่า "ว่าง่ายเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า แนะนำว่าสิ่งไหนไม่ดีไม่ทำสิ่งนั้นมันอะไรดีทำแน่"
    เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระอรหันต์เร็ว ก่อนจะมาก็เป็นอรหันต์แล้วนะ ต้องอยู่ถึง 3 ปี นี่ยังไกลนะ

    อีกองค์หนึ่งชื่อ วักกลิ นี่ใกล้มาก เวลาที่พระพุทธเจ้ารูปทรงสวยเสียงก็เพราะและ ก็มีฉัพพรรณรังสี ท่านบวชแล้วท่านไม่สนใจในธรรม
    เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ท่านก็ไปสนใจความสวยอย่า งเดียว ดูอย่างนี้ถึง 3 ปี ถ้าจะถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เตือน ก็เพราะเวลามันยังไม่ถึง


    การสอนตามระดับกำลังใจ
    พอถึง 3 ปี ครบเต็มแน่ พระพุทธเจ้าเห็นว่า พระวักกลิ มีบารมีเต็มแน่ แต่ว่าการสอนธรรมดา พระวักกลิ ไม่บรรลุผลแน่ ต้องใช้วิธีรุนแรง

    จึงเรียก พระวักกลิ เข้ามาบอกว่า
    "วักกลิ เธอเป็นโมฆบุรุษเป็นคนผู้ไร้ประโยชน์อยู่กับตถาคต ตั้ง 3 ปี ไม่บรรลุมรรคผล อัปเปหิ จงไปจากที่นี่ พอพระพุทธเจ้าขับ พระวักกลิ ก็คิดว่า ถ้าจะกลับไปบ้านเพื่อนที่มาด้วยกัน ก็เป็นพระอรหันต์ไปหมด ตัวเองไม่ได้เป็นอรหันต์ ก็ชาวบ้านเขา จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้ ทำยังไง ตายดีกว่า ตายดีกว่า ก็ขึ้นยอดเขาตั้งใจ จะโดดเขาตาย

    ความตั้งใจจะโดดให้ตาย มันไม่ห่วงร่างกายแล้ว
    คราวนี้แหละ ความเป็นอรหันต์มันอยู่ตรงนั้น

    พอตัดสินใจว่าจะโดดเข้า พระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรัศมี 6 ประการพุ่งเข้าไปข้างหน้า ก็เหมือนพระองค์นั่งข้างหน้า พอเห็นพระพุทธเจ้ามา พระวักกลิ ก็ยั้งไม่โด พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "วักกลิ บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นเห็นเราตถาคต"
    เท่านี้เอง พระวักกลิ เป็นพระอรหันต์เลย

    อารมณ์สุดท้ายคือไม่ห่วงร่างกาย
    การสอน ถ้านิ่มนวลไม่มีผล เพราะว่าท่านเกาะร่างกายพระพุทธเจ้า เกาะร่างกายไม่ใช่เกาะธรรมะ ถ้าขืนเทศน์แกก็ไม่เป็นพระอรหันต์ จึงต้องหาวิธีการให้ตัดร่างกาย ถ้าอารมณ์ก็จะถึง "รวมความว่า คนที่มีของเก่าตามมา ก็ใช้กำลังจิตเพียงเล็กน้อย ทีนี้ตอนที่พิสูจน์อยากทราบว่า อย่างตอนที่เห็นองค์ท่านหรือเห็นแสงกลม ๆ ขาดใหญ่ ๆ ในขณะทำใจสบาย ๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า แสงที่เห็นเป็นแสงของใคร ผมถามท่าน ๆ ก็ทรงเฉยๆ..? " เราไม่รู้ว่าเป็นแสงของใคร ก็นึกว่าเป็นแสงของเราก็หมดเรื่อง แต่ก่อนที่จะภาวนานึกถึงใครล่ะ ?
    "นึกถึงพระพุทธเจ้า"

    อ้าว ! แล้วแสงใคร ถ้าเรานึกถึงใครก็เป็นแสงของบุคคลนั้น ถ้าแสงสว่างจ้ามากแสดงว่าจิตใจเราสะอาดมาก




    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[​IMG]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    แวะมาเยี่ยม อนุโมทนาทุก ๆ ท่านค่ะ
    ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ ถือวิสาสะ (ตัดเข้าโฆษณาคั่นรายการ)
    ด้วยเสียงปฏิบัติฯ ของท่าน ไปด้วยเลยนะคะ :cool:
    สาธุ ขออนุญาตค่ะ :)


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.715589/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. Manothong

    Manothong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +74
    Who can tell me about Prachao-Ongsan history clubphom, tell me please! Anumosatu
     
  12. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ขอบพระคุณที่ให้ความสนใจงานพระเจ้าองค์แสนค่ะ
    สามารถศึกษาข้อมูลได้จากกระทู้นี้ค่ะ
    http://palungjit.org/threads/พระเจ้าองค์แสน.155870/

    หรือข้อมูลจาก Bloggang ในนาม ศานติบุรี
    http://dogoodfordad.bloggang.com

    กำเนิดพระเจ้าองค์แสน
    <!-- Main -->

    <CENTER>[​IMG]

    “พระเจ้าองค์แสน” เกิดจากแนวคิดของคนกลุ่มเล็กๆ
    ที่รวมตัวกันตั้งแต่ปี 2549 ในเวปไซด์พลังจิต
    http://www.palungjit.org
    ในนามกลุ่ม “พลังจิตพิชิตภัยพิบัติ”
    โดยมีอาจารย์คณานันท์ ทวีโภค เป็นหัวหน้ากลุ่ม
    เพื่อติดตามข่าวสาร การเคลื่อนไหวต่างๆ
    ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะมีผลกระทบต่อโลก
    เจตนารมณ์ของกลุ่มคือ
    “เราจะทำคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม
    มีความอยู่รอดของชาติ
    การสืบต่อบวรพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี
    ค้ำชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้คู่แผ่นดินนี้ตลอดไป”



    ซึ่งการทำงานของกลุ่มฯ
    เป็นการเผยแผ่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตามแนวทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    โดยให้คำแนะนำ คำสอน การทำสมาธิ
    การปรับจิตใจให้เข้าสู่แนวทางแห่งความดี
    แนวทางสัมมาทิฐิ
    ผ่านทางเวปไซด์พลังจิต
    ในกระทู้ “วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ”
    และมีการจัดสอนสมาธิให้คนที่สนใจที่สวนลุมพินีในช่วงวันหยุด
    ต่อมาก็สอนสมาธิให้หน่วยงานต่างๆ มากขึ้น
    เพื่อปลุกสำนึกแห่งคุณงามความดี
    เพื่อสร้างมวลรวมแห่งกระแสคุณธรรม
    ให้แผ่กระจายออกไปได้มากยิ่งขึ้น

    งานของกลุ่มฯ แผ่กระจายออกไปกว้างขวางขึ้น
    ผู้คนที่มีจิตสำนึกเพื่อมวลรวมได้เข้ามาร่วมตัวกัน
    จากทุกภาคทั่วประเทศไทย
    และรวมไปถึงคนไทยในต่างแดนอีกไม่น้อย
    ซึ่งทุกคนยินดีที่จะสละเวลาส่วนตนที่มีเพียงน้อยนิด
    เข้ามาร่วมงานกับกลุ่มฯ
    ไม่คิดถึงความเหนื่อยยาก ความลำบากที่เกิดขึ้น
    หวังเพียงอย่างเดียวว่า ให้คนไทยทุกคน
    และทุกคนบนโลก รวมถึงทุกดวงจิตที่เวียนว่ายตายเกิด
    ได้เข้าสู่แนวทางแห่งสัมมาทิฐิ
    มีความรักความเมตตาแบ่งปันให้กันด้วยความจริงใจ
    มีธรรมมะเป็นเครื่องประดับใจ


    กระทู้วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
    มียอดผู้เข้าชม เข้ามาถามปัญหาการปฏิบัติ
    เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้
    ในการปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ
    จนกระทั้งเมื่อวันที่ 27 ตลาคม 2551
    มียอดผู้เข้าชมถึงหนึ่งแสนคน
    วันนั้น “ พระเจ้าองค์แสน”
    จึงเกิดขึ้น

    “พระเจ้าองค์แสน”
    เกิดจากคำอธิษฐานจากดวงจิตที่บริสุทธิ์
    ของผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม
    ที่มุ่งเห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักใหญ่
    เห็นความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง
    ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นประการสำคัญ
    แสนคำอธิษฐาน
    แสนความตั้งใจ
    แสนความห่วงใย
    ที่ทุกท่านได้จารึกลงบนแผ่นทองเหลือง
    จะถูกนำมาหล่อหลอมรวมกัน


    “พรแห่งแผ่นดิน”
    ที่เกิดจากพลังแห่งการอธิษฐานจิต
    พลังแห่งความรัก
    พลังแห่งความเมตตาของทุกท่าน
    จะถูกหลอมรวมกันเป็นองค์พระของพวกเราทุกคน

    “พระเจ้าองค์แสน”
    จะเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของปวงชนชาวไทยทุกคน
    ในการหลอมรวมความรัก
    ความเมตตา
    ความสมัครสมานสามัคคี
    ให้รวมเป็นหนึ่งเดียว
    พลังจิตอันพิสุทธิ์ของทุกท่าน
    พลังแห่งเมตตาจิต
    พลังแห่งคุณงามความดี
    พลังแห่งคำอธิษฐานอันยิ่งใหญ่
    พลังความดีทั้งหลายจะยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณเป็นอภิมหาอนันต์
    ด้วยเมตตาบารมีแห่งพุทธองค์ที่ทรงเกื้อหนุน
    พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์จะแผ่ขยายกว้างออกไป
    ดวงจิตของทุกผู้ทุกนามที่ได้มาสักการะ
    จะเข้าสู่แนวทางแห่งสัมมาทิฐิ
    ไม่ว่าใครที่ได้ยินเรื่องราว “พระเจ้าองค์แสน”
    ก็อยากเข้ามากราบสักการะสักครั้งเพื่อเป็นสิริมงคล

    “พระเจ้าองค์แสน”
    พระของพวกเรา
    “พรแห่งแผ่นดิน”
    ที่พวกเราได้หลอมรวมจิตใจให้รวมเป็นหนึ่ง
    พวกเราทั้งหลายขอน้อมถวายบุญกุศลทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้
    เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    และน้อมถวายแด่องค์พ่อหลวงของพวกเราทุกคน
    น้อมถวายแด่พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ศาลหลักเมือง
    น้อมถวายแด่เทพยดาอารักษ์
    และท่านทุกรูปทุกนามที่ค่อยปกปักษาแผ่นดินไทยนี้
    ไว้ให้มีแต่ความสุขสงบร่มเย็น
    ขอให้ทุกท่านทุกดวงจิต
    จงได้รับกุศลผลบุญเสมอเหมือนพวกเราทุกคน
    พึงจะได้รับทุกอย่างทุกประการ
    </CENTER>
    <!-- End main-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2009
  13. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    เมื่อวานนี้หนังสือ วิชชาฯ 200เล่มแล้วนะครับ

    ขอบพระคุณมากครับผม
     
  14. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    เมื่อวานนี้หนังสือ วิชชาฯ 200เล่มแล้วนะครับ

    ขอบพระคุณมากครับผม
     
  15. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ลงผิดกระทู้ขอภัยครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775


    "ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เข้าถึงสัมมาทิษฐิ ทรงในไตรสรณะคมม์มั่นคง เจริญรุ่งเรืองในธรรมแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ ตลอดไปตราบเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    http://palungjit.org/threads/วิธีออกจากทุกข์-โดยสมเด็จองค์ปฐม.206268/

    ขอให้ทุกท่านเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย สำเร็จโดยฉับพลันทันใด จนมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ในทริปที่ได้เดินทางตามสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระป่า สายหลวงปู่มั่น ในทริปหนองคายนั้น

    ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตามาสอนในสมาธิหลายท่าน ซึุ่งเป้นพระคุณอย่างที่สุด


    ท่านแรกคือ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ซึ่งในสมัยที่ท่านยังดำรงธาตุขันธุ์อยู่ ได้มีโอกาสไปกราบไปพบท่านหลายครั้ง ที่สำนักสถานธรรมภายในสวนจิตรลดา

    ท่านสอนว่า หากยามที่จิตเราทุกข์หรือเศร้าหมองให้นึกถึงภาพท่านยิ้มเอาไว้ เราจะได้ทรงจิต ที่แจ่มใสเบิกบานเอาไว้ได้เป้นปกติ

    ซึ่งเมื่อปฏิบัติตาม ก็พบว่า ใจบายแช่มชื่นจริงๆ


    ส่วนครูบาอาจารย์อีกท่านที่ท่านมาสอนคือ หลวงปู่เทศก์ ซึ่งท่านเมตตามาแก้ข้อสงสัยในจิต ของผมเองในข้อที่ว่า

    "ทำไมพระสายพระป่า ท่านภาวนาพุทธโธไปเรื่อยๆ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณได้อย่างไร "

    ท่านก็มาแก้ข้อสงสัยให้ว่า

    "เคยได้ยินหนังสือ "สิ้นโลกเหลือธรรมไหม" ซึ่งผมก็เคยอ่านมาบ้าง

    ท่านก็ถามต่อ "อารมณ์ที่โลก ทุกอย่างในโลกสลายตัวไปหมด คือ อารมณ์กรรมฐานกองใด"

    เท่านี้ผมจึงถึง บางอ้อ ว่า เมื่ออรูปสมาบัติปรากฏ ท่านพิจารณาตัดขันธุ์ห้าด้วยกำลังของอรูปสมาบัติ ท่านย่อมเข้าถึง ปฏิสัมภิทาญาณเป้นธรรมดา

    จากท่านท่านใ้ห้ย้อนจิตไปดูในหนังสือที่เคยศึกษามา ในสายหลวงปู่มั่น

    นับตั้งแต่ หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงปู่สาม และครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน ล้วนแต่ผ่าน ภาวะที่จิตปรากฏว่าโลกสลายตัว โลกธาตุ จักรวาลสลายไปหมด ด้วยกัน

    จึงได้เข้าใจลักษณะจิตตะภาวะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านในขณะบรรลุธรรม แม้เพียงสัมผัสเล็กน้อยตื้นเขินยิ่งนักเมื่อ ธรรมที่ท่านบรรลุยิ่งใหญ่บริสุทธิ์ยิ่ง ต้องน้อมจิตน้อมใจกราบโมทนาในธรรมที่ทุกๆท่านเมตตามาสอนในจิตตสมาธิและแบ่งปันเป็นธรรมทานให้กันสืบต่อไป



    ธรรมมะของพระพุทธองค์นั้น ท่านสรุปสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ผิดแผกแตกต่างไปใน จริต วิสัย พละ ในแต่ละบุุคคล

    หากแต่มรรคนั้นสรุปรวมในมรรคมีองค์แปด มีสัมมาทิษฐิ เป็นปฐม มีอริยะผลเป็นที่สุด

    ขอท่านทั้งหลายขอจงเสวยวิมุติธรรม ในพระนิพพานเป็นอารมณ์ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ในดวงใจเพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยเทอญ
     
  19. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    มีภาพรอยยิ้มของหลวงปู่เหรียญ พร้อมด้วยพระธาตุของหลวงปู่มาฝากค่ะ
    จากทริปออกพรรษา ตค. 2552

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 22.jpg
      22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      734.5 KB
      เปิดดู:
      891
  20. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740


    สาธุครับ ผมก็เข้าอรูป รู้สึกมันจำเป็น ไม่งั้นทุกข์กายอะครับ

    ไม่รู้ถูกผิดรึปาว
     

แชร์หน้านี้

Loading...