ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ถ้าอ่านแล้ว...ไม่เข้าใจ
    ถึงเวลา.... ก็รู้เอง
    ขอให้เชื่อ ...สัจจะมีผลตอบแทน

    พญาครุฑราชเจ้า....จะบินกลับมา
    ความจริง...คือ สัจจะ
    ความชั่ว....คือ นิสัยตน
    ภาวนา...สัจจะที่กำลังทำ
    เมืองกรุงศรีอยุธยา....คือ เมืองกรุงเทพ
    ศีลบ่เข้า...ศีลยังทำไม่ได้
    พระธรรมบ่เหลียว....ไม่สนใจโลกุตตระธรรม
    เมี้ยน...โลกุตตระปรากฏ
    ความจริงธรรม...คือ สัจจะธรรม คือ สัจจะทำ
    หากรักษาไว้ ....โลกาจิงบ่แตก
    เห็นทางดับมอดเชื้อไฟได้บ่หลายความ....คือ เห็นวิธีตัดนิสัยที่ไม่มากความ
    หัวที...พระทีปังกร ต้นองค์พุทธ
    อินตา....ตาอิน
    ห ลิงโลกโลกา....องค์พุทโธ เจ้าห ลิง โลกา
    รู้เหตุฮ้อนดีแล้วจิงเผย...รู้เหตุเรื่องร้ายแรงจึงเปิดเผย
    เสาหินหน้าวัดใหญ่...เสาหลักโลกุตตระธรรมหินหน้าหลวงพ่อใหญ่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2009
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "ตัวไรอ่อน"

    [​IMG]

    ไม่ใช่ครับ เป็นสัตว์คนละชนิดกันครับ

    นายแพทย์ หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสครัปไทฟัสเกิดจากตัวไรอ่อน (Chigger) กัด ซึ่งในตัวไรอ่อนจะมีเชื้อริกเกตเซีย (Rickettsia orientalis) เชื้อนี้อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของไรหลายชนิด เมื่อไรแก่ จะวางไข่ไว้บนดินและฟักเป็นตัวอ่อน ขนาดเท่าปลายเข็มหมุด มีสีส้มอมแดง มองเห็นด้วยตาเปล่า ไรอ่อนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ตามทุ่งหญ้า หรือพื้นที่ทุ่งหญ้าชายป่า ป่าโปร่ง พุ่มไม้เตี้ยๆ หรือพื้นที่ป่าละเมาะ รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นป่าทึบแสงแดดส่องไม่ถึง

    ไรอ่อนจะกินน้ำเหลืองของสัตว์เลือดอุ่น เช่น นก หนู สัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งคนที่เดินผ่านด้วย จุดที่ไรอ่อนมักชอบกัดคือในบริเวณร่มผ้า ได้แก่ อวัยวะสืบพันธุ์ ขาหนีบ เอว ลำตัว รักแร้ และคอ ผู้ที่ถูกไรอ่อนกัดร้อยละ 30 จะพบแผลบุ๋มคล้ายโดนบุหรี่จี้ (Eschar) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ตรงกลางรอยแผล จะเป็นสะเก็ดสีดำ ส่วนรอบๆ แผลจะแดง หลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง อาจมีอาการทางปอดและสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์ หากรักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในการรักษา ประชาชนควรต้องแจ้งประวัติการไปเที่ยวป่าให้แพทย์ทราบด้วย

    การป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัด ผู้ที่จะไปเดินป่าหรือกางเต็นท์นอนในป่า ควรใส่รองเท้า สวมถุงเท้ายาวหุ้มปลายขากางเกงไว้ และเหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกง ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ ใช้ยาทากันแมลงกัดตามแขนขา แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในรายที่ผิวหนังมีรอยถลอกหรือมีแผล และไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ เพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารและสิ่งของใส่ปาก ทำให้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย เป็นอันตรายได้ การทาครั้งหนึ่งจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง หลังออกจากป่าให้อาบน้ำให้สะอาด พร้อมนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาดทันที เพราะตัวไรอาจติดมากับเสื้อผ้าได้ ส่วนการตั้งค่ายพักในป่า ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือหญ้าขึ้นรก

    ที่มา http://www.rd1677.com/branch.php?id=48654
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 48654.jpg
      48654.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.7 KB
      เปิดดู:
      1,535
  3. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    ตัวคุ่น หน้าตา เหมือนยุง ครับ แต่เล็กกว่า

    บางรายมีอาการแพ้ ก็อาจจะถึงตายครับ สำหรับตัวคุ่น
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "ยุทธปัจจัย"
    จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

    [​IMG]

    ยุทธปัจจัย หมายถึง สิ่งของทั้งปวงที่มิใช่ยุทธภัณฑ์ แต่เป็นสิ่งเกื้อกูลต่อการรบ เช่น อาหาร ยา เคมีภัณฑ์ รวมถึงสัตว์พาหนะด้วย

    ประเทศไทย เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของโลก สามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 27 ล้านตัน จัดเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่มีการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นข้าวสารร้อยละ 97 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อยละ 7 แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเลย (2550)

    ไทยจับปลาได้เป็นอันดับ 9 ของโลก อาหารไทยเป็นอาหารยอดนิยม ติด 1 ใน 5 ของโลก ร่วมกับ อาหารฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน ทั่วโลกมีร้านอาหารไทย 6,000 แห่ง อยู่ในสหรัฐ 3,000 แห่ง มีลูกค้าเข้ามารับประทานเฉลี่ยนวันละ 3 ล้านคน (2545)

    ที่มา http://www.trangzone.com/webboard_show.php?ID=22395

    สงคราม และ อาหาร

    [​IMG]

    อาหาร เป็นสิ่งที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จำเป็นต่อการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้ง คน พืช และสัตว์ แต่ในแง่การกิน คนดูจะมิติของการกินมากกว่าสัตว์ ซึ่งไม่น่าจะใช้อาหารเพื่อ ประโยชน์อื่นนอกจากแก้หิวตามสัญชาตญาน ข้อนี้ต้องแยกจากการล่าเหยื่อของสัตว์ ซึ่งบางครั้งอาจจะล่าเพื่อความสนุกมากกว่าต้องการกินจริง ๆ ดังแมวบางตัวซึ่งกินอาหารกระป๋อง อาหารเม็ดก็ยังไล่จับหนูเล่น หรือจับมาเพื่ออวดแก่เจ้าของ โดยไม่ได้กินหนูเคราะห์ร้าย

    สิ่งที่ แตกต่างอีกอย่างหนึ่งในเรื่องการกินของคนกับสัตว์ คือ การรู้จักทำให้อาหารมีการเปลี่ยนแปลงไป จากลักษณะขณะยังสดหรือดิบอยู่ เช่น การทำให้สุกเพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการกินมากขึ้น รวมทั้งการนำสิ่งที่กินได้ต่างชนิดมารวมกัน ดัดแปลงเกิดเป็นอาหารชนิดใหม่ รสชาติต่าง ๆ กันไป ดังที่เรียกกันว่า ประกอบอาหาร หรือ ทำครัว ทำกับข้าว

    ความสำคัญของการกินนี้ยังคาดกันว่า เป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้คนมีพัฒนาการแยกแขนงมาจากลิง เนื่องจากการต้องหาอาหารในที่ไกลขึ้นทำให้ลิงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ของเรา ลงจากต้นไม้ ซึ่งนำไปสู่การเดินสองขา และเหยียดตัวตรงในที่สุด นอกจากความสำคัญของอาหารต่อการพัฒนาจากลิงจนเป็นคนแล้ว อาหารยังมีแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวข้องกับ การสงคราม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูจะทำให้คนเปลี่ยนยัอนถอย กลับไปอยู่ที่เดิมร่วมกับลิงญาติห่าง ๆ ของเราเข้าไปทุกที

    ในการสงคราม อาหารเป็นสิ่งสำคัญ คือ กองทหารต้องมีเสบียงพอเพียง ดังคำพูดของ จักรพรรด์นโปเลียน ของฝรั่งเศสที่ว่า “ กองทัพเดินด้วยท้อง” (An army marches on its stomach) ซึ่งความหมาย นอกจากต้องท้องอิ่มก่อนรบแล้ว น่าจะรวมถึง ความสามารถในการหาอาหารใส่ท้อง และการอิ่มให้ได้กับอาหารที่มีจำกัด

    บันทึกของมาร์โคโปโลเล่าว่า ทหารมองโกลยามออกทัพมีเพียงนมที่ทำให้แห้งอัดเป็นแท่ง ใช้บิละลายน้ำเวลาหิว ทำให้สามารถเดินทางนับสิบวันโดยไม่ต้องหยุดก่อไฟเลย ส่วนกองทัพสก็อตแลนด์ ซึ่งบุกเข้าในอังกฤษในปี ค.ศ. 1327 ก็สามารถเคลื่อนพล ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากไม่มีเกวียนเสบียง อาศัยเพียงแป้ง และ หินแบนขนาดใหญ่สำหรับ จี่แป้ง ของทั้งสองอย่าง พกเก็บโดยแขวนเหน็บไว้กับอานม้า ส่วนอาหารประเภทเนื้อ ได้จากปศุสัตว์ที่เจอระหว่างทาง การปรุงเนื้อก็ทำให้สุกเพียงบางส่วน โดยใช้หนังของสัตว์ที่ล้มนั่นเอง แทนหม้อ และกระทะ

    ความสามารถในการอิ่มยามต้องอดนี้ คาดกันว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กองทัพอเมริกันแพ้ เกมโดมิโนในสงครามเวียตนาม (ค.ศ. 1961-75) ทหารเวียตนามที่ถูกยิงตาย ว่ากันว่า เมื่อค้นศพจะพบเพียงข้าวประมาณฟายมือ กับกระสุนสำรองอีก 3 ตับ ขณะที่ทหารอเมริกัน นอกจากปืนประจำกายแล้ว ยังเป้ของจิปาถะ ได้แก่ ไม้ขีดไฟ ท็อฟฟี่ ที่เปิดกระป๋อง ป้ายชื่อ นาฬิกา ยากันยุง บุหรี่ ชุดเข็มด้าย ไฟแช็ค อาหารกระป๋อง และน้ำ ปริมาณแล้วแต่ใครกินน้อยกินจุ เบ็ดเสร็จรวม ประมาณ 7- 10 กิโลกรัม การรุกตีหนีถอยแบบสงครามกองโจร ทหารเวียตนามจึงทำได้รวดเร็วกว่าทหารอเมริกันที่ตามไล่กวด โขทีเดียว

    สงครามระหว่างฝรั่ง (อเมริกัน) กับทหารของประเทศที่ไทยเรานำเอาชื่อมาเป็นพันธ์ฝรั่งนี้ ยังมีเรื่องเล่า เกี่ยวกับอาหารที่ไม่น่าเป็นอาหารอีกอย่าง คือ เพื่อให้ทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบ ราว 2.59 ล้านคน สบายใจขึ้นในการฆ่าคนด้วยกัน ทางรัฐบาลอเมริกันจึงต้องโฆษณาชวนเชื่อเพื่อลดความเป็นมนุษย์ ของทหารเวียตนามลง โดยบอกว่า คนเวียตนามกินหมา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า คนอเมริกันรักหมาพอกับ เมีย คนที่บังอาจกินหมา ย่อมต้องผิดมนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์มนา ผลลัพธ์ คือ สรุปยอดหลังสงคราม อเมริกันทิ้งระเบิดลงเวียตนามรวม 7 ล้านตัน มากกว่าที่ใช้กันใน สงครามโลกครั้งที่สอง สามเท่าครึ่ง คนเวียตนามตายไป 1.5 ล้านคน ส่วนทหารอเมริกันตายไปราว หกหมื่น คน ทหารไทยที่ร่วมเป็นพันธมิตรกับอเมริกันตาย และบาดเจ็บรวม 351 ศพ/คน แต่ไม่มีรายงานยอดหมาในเวียตนามที่อาจเสียชีวิตจากระเบิดที่ขนมาโปรย

    ไม่เฉพาะสงครามในเวียตนาม สงครามส่วนใหญ่มักนำมาซึ่งการตายของทหารจำนวนมาก แต่บางสงครามกลับไม่ค่อยมีการตายดังเช่น “สงครามมันฝรั่ง” ในปีค.ศ.1778-79 ซึ่งเรื่องนี้ ต้องย้อนความไปตั้งแต่การนำมันฝรั่งเข้าไปในทวีปยุโรป โดยทหารสเปนซึ่งรุกเข้าไปในทวีปอเมริกาใต้เพื่อหาทองคำ ของมีค่า และขยายดินแดน ขากลับไปยังสเปนนอกจากทองและทาสแล้ว ทางสเปนยังนำเอามันฝรั่งกลับไปด้วย หลังจากนั้น มันฝรั่งกับสงครามก็ดูจะแยกกันไม่ออก เนื่องจากต่อพื้นที่ปลูกเท่ากัน มันฝรั่งเลี้ยงทหารได้มากกว่าข้าวสาลีถึง 5 เท่า นอกจากนี้ยังทนต่อสภาพอากาศเย็นได้ และไม่ต้องคอยดูแลมากนัก

    การปลูกมันฝรั่งเป็นเสบียงยังเหมาะกับรูปแบบการรบในสมัยก่อนราว ศตวรรษที่ 18 ซึ่งนิยมใช้วิธีตัดเสบียงของฝ่ายตรงข้าม โดยฟันทำลายพืชผล ฆ่าหมู เป็ด ไก่ และสัตว์ให้เนื้อทั้งหลาย มันฝรั่งซึ่งมีหัวอยู่ใต้ดินจึงมักรอดตาย รอดสายตา เหลือให้ทหาร หรือชาวบ้านที่หนียะย่ายไป ย้อนกลับมาขุดกินเป็นเสบียง

    สงครามมันฝรั่งที่เกริ่นไปนี้ เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1778-79 หลังจากผู้ปกครองแคว้นบาวาเรีย แม็กซิมิลเลียน โจเซฟ ( Maximillian Joseph) เสียชีวิตลง และไม่มีผู้สืบทอด อาณาจักรปรัสเซีย ซึ่งเดิมยังเป็นอาณาจักรอิสระ ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมันในเวลาต่อมา ( ค.ศ. 1945) ก็รบกับออสเตรีย เพื่อแย่งดินแดนกัน ต่างฝ่ายต่างส่งทหารเข้าไป ยึดบาวาเรีย แล้วทำการรบกัน

    โดยพยายามตัดเสบียง ทำลายข้าวปลาอาหารอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เมื่อเสบียงทั้งสองฝ่าย หมดไร่หมดเล้าแล้ว ต่างฝ่ายก็ต้องยังชีพ ด้วยการขุดมันฝรั่งขึ้นมากิน ซึ่งเมื่อหมดมันฝรั่ง ไม่มีอะไรจะกิน จึงหันมาตกลงแบ่งดินแดนกันที่เมืองเทสเชน ( Congress of Teschen) แล้วก็แยกย้ายกันกลับประเทศตัวเอง สงครามที่ไม่เป็นสงคราม (non-war) นี้จึงเรียกกัน ในภาษาเยอรมันว่า “ Kartoffelkrieg” หรือ แปลเป็นไทยว่า “สงครามมันฝรั่ง” นั่นเอง

    ความสำคัญของเสบียงอาหารต่อการรบนี้ มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาวิธีการถนอมอาหารขึ้น ทำให้ปัจจุบันเราสามารถกินอาหารที่ไม่มีในฤดูกาล หรือไม่มีในประเทศได้ แม้จะอยู่ในรูปอาหารกระป๋องก็ตาม

    การพัฒนาอาหารกระป๋องเกิดขึ้นในช่วงของสงครามระหว่างอังกฤษ กับฝรั่งเศส ซึ่งนำทัพโดยจักรพรรดินโปเลียน (Napoleonic war; ค.ศ.1793-1815) ในเวลานั้น ฝรั่งเศสถูกตัดเส้นทางลำเลียงน้ำตาล ทำให้เกิดปัญหาการถนอมอาหารเพื่อเป็นเสบียง เนื่องจากช่วงดังกล่าว น้ำตาล และเกลือยังเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้อาหารไม่เน่าเสีย รัฐบาลฝรั่งเศสจึงประกาศให้รางวัลเป็นเงิน 1,200 ฟรังค์ ซึ่งถือว่าสูงมากในสมัยนั้น แก่ผู้ที่สามารถคิดวิธีการถนอมอาหารแบบใหม่ได้ ผู้ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว คือ นิโคลาส์ อัพแพรท์ (Nicholas Appert) พ่อครัวที่สนใจศึกษาหาวิธีการถนอมอาหาร ทำการทดลองแบบต่าง ๆ มา ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศให้รางวัล

    อัพแพรท์เห็นว่า การใช้น้ำตาล หรือเกลือถนอมอาหารทำให้อาหารมีรสชาติผิดจากเดิม ส่วนการตากแห้ง ที่ไม่ต้องเติมอะไรเลยก็ทำให้อาหารที่ได้เคี้ยวยาก ย่อยยาก วิธีการถนอมเท่าที่มียังไม่เหมาะกับอาหาร เช่น ซุป หรืออาหารเหลวต่าง ๆ อัพแพรท์ประสบความสำเร็จในการทำให้อาหารหลากหลายประเภท เช่น ซุป นม สตูว์ และผัก ผลไม้ต่างๆ เก็บได้นาน

    โดยใช้วิธีบรรจุอาหารลงขวดโหลแก้ว ให้ความร้อน และปิดจุกให้สนิท อาหารขวดโหลที่ได้อัพแพรท์ขายในย่านใกล้เคียง และบางส่วนส่งเป็นตัวอย่างให้กองทัพเรือฝรั่งเศสทดลองกิน วิธีนี้ถนอมอาหารแบบนี้ ในสายตาของคนปัจจุบันคงเห็นเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ใช้ความร้อนฆ่าจุลินทรีย์ แล้วผนึกให้สนิท แต่หากคิดว่าในช่วงดังกล่าว คนยังไม่รู้จักจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียของอาหาร การลองผิดลองถูกของอัพแพรท์จนได้อาหารขวดโหล ก็ถือว่าน่ายกย่องทีเดียว

    อัพแพรท์ได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 1810 พร้อมเงื่อนไขให้ตีพิมพ์เปิดเผยวิธีทำอาหารขวดโหลออกมาจำนวน 200 ชุด แต่อาหารขวดโหลของอัพแพรท์มีจุดเสีย คือ แตกง่ายเวลาขนส่ง โดยเฉพาะขวดโหลขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฏว่าเพียง 3 เดือนหลังจากนั้น ทางประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นคู่สงครามกันอยู่ ก็สามารถใช้วิธีเดียวกัน ทำอาหารออกมาในรูปกระป๋องที่ทนทานกว่าได้ เนื่องจากในระยะดังกล่าวอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตโลหะแผ่นของอังกฤษ ก้าวหน้ากว่าฝรั่งเศสอย่างมาก จากนั้นมาอังกฤษจึงถูกตราหน้าจากฝรั่งเศสว่า จารกรรม และลอกเลียนวิธีของอัพแพรท์ไปใช้

    จนกระทั่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือ ค.ศ. 1994 วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกฉบับหนึ่ง (ของอังกฤษ) ได้ไขว่าอัพแพรท์อาจเป็นผู้จารนัยความลับนี้ให้แก่อังกฤษเสียเอง เนื่องจากอัพแพรท์ได้รางวัลในวันที่ 30 มกราคม ปี ค.ศ.1810 พร้อมกับเงื่อนไขให้ตีพิมพ์วิธีผลิตอาหารขวดโหล ซึ่งสำเร็จเป็นรูปเล่มในเดือนพฤษภาคมต่อมา ขณะเดียวกันทางฝั่งอังกฤษ การจดสิทธิบัตรการผลิตอาหารกระป๋องทำโดย ปีเตอร์ ดูรันด์ ( Peter Durand) ในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน ด้วยรายละเอียดที่เหมือนกันทุกอย่าง

    เว้นแต่มีการขยายให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งแง่วัสดุที่ใช้ทำตัวขวด หรือกระป๋อง ชนิดของฝา และวิธีการให้ความร้อน เมื่อพิจารณาระยะเวลาที่ใช้เพื่อขอจดสิทธิบัตร และการแปลจากศัพท์เทคนิคภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ (หากจารกรรมมา) ย่อมไม่สามารถทำได้ในเวลา 3 เดือนอย่างแน่นอน จึงเป็นไปได้ ที่รายละเอียดการผลิตถูกส่งให้ดูรันด์ก่อนการตีพิมพ์วิธีการผลิตอาหารขวดโหลออกเป็นเล่ม ดังที่ดูรันด์ระบุในการจดสิทธิบัตรว่า “วิธีนี่ได้รับการถ่ายทอดจากชาวต่างชาติ”

    อัพแพรท์มีชีวิตบั้นปลายที่ไม่ราบรื่นนัก ซึ่งเป็นไปได้ว่า ทางการฝรั่งเศสอาจได้กลิ่นเรื่องจารนัยซ้อนจารกรรมของเขา ทำให้ตก กระป๋อง (ขวดโหล) ในเวลาต่อมา อัพแพรท์เสียชีวิตเมื่ออายุ 91 ปี หลังจากถูกเมียทิ้ง ศพถูกฝังในสุสานสำหรับคนอนาถา อย่างไรก็ตามวิธีการของเขานับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และเป็นจุดเริ่มของการทำอาหารกระป๋อง ซึ่งมีหน้าตาอย่างที่เห็น และกินกันในปัจจุบัน

    ในสงคราม นอกจากความตายของทหารจากการรบโดยตรง หรือการตายของชาวบ้านที่อาจถูกลูก(กระสุน)หลง ภาวะสงคราม ยังทำให้ชาวบ้านคนธรรมดาจำนวนหนึ่งต้องมาตายจากการกิน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศรัสเซีย มีชาวบ้านหลายพันคน เสียชีวิตจากขนมปังที่กิน ในจำนวนดังกล่าว บางครั้งเป็นการตายยกหมู่บ้าน สาเหตุของเสียชีวิตเกิดจากสารพิษชื่อ T-2 จากเชื้อราซึ่งเจริญบนเมล็ดข้าวสาลี เนื่องจากการรบทำให้แรงงานในไร่ขาดแคลน ชาวไร่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลที่ปลูกไว้ได้ทั้งหมดให้ทันหน้าหนาว ต้องปล่อยให้ต้นข้าวสาลีจมหิมะ เมื่อหิมะละลาย ทำให้เมล็ดข้าวมีความชื้นสูง เชื้อราชื่อ Fusarium จึงเจริญและผลิตสารพิษบนเมล็ดข้าวสาลีที่ค้างในไร่ ชาวบ้านที่กลับมาเกี่ยวข้าวสาลีตกค้างไปโม่เป็นแป้ง และทำขนมปัง จึงกินสารพิษ T -2 ซึ่งทนต่อความร้อนสูงเข้าไปด้วย

    ความร้ายแรงของสารพิษชนิดนี้ ซึ่งต่อมาพบว่า นอกจากการกินโดยตรงแล้ว คนที่สัมผัส หรือหายใจเข้าไปก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทำให้ มีการแอบนำมาใช้เพื่อเป็นอาวุธชีวภาพในสงครามอีกหลายครั้ง ดังที่รู้จักกันในชื่อ “ฝนเหลือง” ในสงครามในลาว (ค.ศ. 1975-81) กัมพูชา (ค.ศ. 1979-81) และ อัฟกรานิสถาน (1979-81)

    นอกจากการกินจนตายเพราะสารพิษ ซึ่งอาจเกิดไม่บ่อยนัก แทบทุกสงครามมีผลต่อชาวบ้านทั่วไป คือ ทำให้ขาดแคลนอาหาร ไล่ตั้งแต่ระดับต้องกินน้อยลง จนถึงอดอยากไม่มีจะกิน และอดตาย ในประเทศอังกฤษ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกัน เรือดำน้ำของเยอรมันที่คอยซุ่มโจมตีเรือของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เรือสินค้าส่งอาหารไปยัง ประเทศอังกฤษได้ยากลำบาก อาหารหลายชนิด เช่น น้ำตาล เนย เบคอน ชา แยม ไข่ และอาหารพื้นฐานหลายชนิดขาดแคลนจนต้องขึ้นบัญชีเป็นยุทธปัจจัย และปันส่วนอาหารดังกล่าว เพื่อให้สามารถพึ่งตนองได้

    ทางการอังกฤษจึงรณรงค์อย่างหนักให้แม่บ้านทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรหันมาเป็น ชาวไร่ ชาวสวน ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ และรวมกลุ่มผลิตอาหารบางอย่างเองภายในกลุ่มครัวเรือน เช่น แยม ผัก และผลไม้กระป๋อง เป็นต้น ผลก็คือ ก่อนสงครามอังกฤษนำเข้าอาหารปีละ 30 ล้านตัน แต่ก่อนสงครามจะสิ้นสุดลง อังกฤษอยู่ได้โดยนำอาหารเข้าเพียงปีละไม่ถึง 10 ล้านตันเท่านั้น

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โลกเรายังไม่เผชิญกับสงครามใหญ่ขนาดนั้นอีกเลย แม้จะมีสงครามใหญ่บ้างเล็กบ้างเป็นระยะ รวมทั้งการก่อการร้าย ซึ่งจะเรียกว่าเป็นสงครามในรูปแบบหนึ่งก็ได้ แต่ในโลกที่ยังรบ ๆ เลิก ๆ ของเรานี้มีสงคราม 2 อย่างที่ไม่เคยพักรบเลย หนึ่งคือ “สงครามการค้า” เรียกว่า ขณะที่ 2 ฝ่ายถือปืนไล่ยิงกัน ก็มีอีกฝ่าย สร้างสงครามการค้าซ้อนในสงคราม เอามือไล่ล้วงกระเป๋าเหล่าทหารในสมรภูมิ

    ในสงครามอิรักที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่มีการตั้งร้านฟาสฟู้ดส์ ในค่ายทหารของอังกฤษ โดยไปตั้งในค่ายใกล้กรุงบาสรา ( Basra) ทั้งพิซซ่าฮัท และเบอร์เกอร์คิง ที่ไปตั้งร้านทั้งอบทั้งทอดกันอยู่ที่นั่น มีผู้ถือแฟรนไชส์เป็นชาวคูเวต ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ดำเนินกิจการในค่ายทหารจากกองทัพบกอังกฤษ ในการให้สัมภาษณ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของร้านทั้งสองบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “เราหวังว่าที่นี่คงจะทำมาค้าคล่อง”

    สงครามอย่างที่สองที่ไม่เคยหยุด ไม่เคยชนะ และอาหารเกี่ยวข้องโดยตรงคือ สงครามกับความหิวโหย ในโลกใบที่ผลิตข้าวชนิดต่างๆพอให้แต่ละคนกินได้วันละหนึ่งกิโลกรัม ไม่น่าเชื่อว่าเป็นใบเดียวกับโลกที่มีคนหิวตายเฉลี่ยวันละ หนึ่งแสนคน “แปลกเหลือเกิน”

    ที่มา http://biolawcom.de/article/23/War-food-world.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 45143672.jpg
      45143672.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.5 KB
      เปิดดู:
      1,936
    • ac00000089_b.jpg
      ac00000089_b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102 KB
      เปิดดู:
      1,701
    • central.jpg
      central.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.9 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2009
  5. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=450><TBODY><TR><TD bgColor=#abcdef height=25 colSpan=2 align=middle>แผ่นดินไหวที่ QUEEN CHARLOTTE ISLANDS REGION </TD></TR><TR><TD>ขนาด</TD><TD>: 6.6 ริกเตอร์ </TD></TR><TR><TD>จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว</TD><TD>: QUEEN CHARLOTTE ISLANDS REGION </TD></TR><TR><TD>วันที่</TD><TD>: 17 พฤศจิกายน 2552 15:30 น. </TD></TR><TR><TD>ละติจูด</TD><TD>: 51° 46' 12'' เหนือ </TD></TR><TR><TD>ลองจิจูด</TD><TD>: 131° 39' 36'' ตะวันตก </TD></TR><TR><TD>ความลึกจากระดับผิวดิน</TD><TD>: 5 กิโลเมตร </TD></TR><TR><TD>เพิ่มเติม</TD><TD>: </TD></TR><TR><TD bgColor=#abcdef height=1 colSpan=2 align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD class=subtitle colSpan=8>รายงานแผ่นดินไหวในรอบ 15 วัน </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#d9d9d9 borderColorLight=#d9d9d9 borderColorDark=#ffffff cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR class=RH><TD>วันที่</TD><TD>เวลา</TD><TD>จุดศูนย์กลาง</TD><TD>ละติจูด</TD><TD>ลองจิจูด</TD><TD>ขนาด</TD><TD>ลึกจากพื้นดิน</TD><TD>หมายเหตุ</TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>17 พ.ย. 52</TD><TD>15:30</TD><TD align=left>QUEEN CHARLOTTE ISLANDS REGION</TD><TD>51° 46' 12'' N</TD><TD>131° 39' 36'' W</TD><TD>6.6 </TD><TD>5 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RDS align=middle><TD>13 พ.ย. 52</TD><TD>10:05</TD><TD align=left>ชิลี</TD><TD>19° 33' 36'' S</TD><TD>70° 13' 48'' W</TD><TD>6.4 </TD><TD>32 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>11 พ.ย. 52</TD><TD>20:48</TD><TD align=left>MINDANAO, PHILIPPINES</TD><TD>9° 22' 12'' N</TD><TD>125° 43' 48'' E</TD><TD>5.6 </TD><TD>41 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RDS align=middle><TD>10 พ.ย. 52</TD><TD>09:48</TD><TD align=left>NICOBAR ISLANDS, INDIA REGION</TD><TD>7° 59' 24'' N</TD><TD>91° 52' 12'' E</TD><TD>6.2 </TD><TD>10 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>09 พ.ย. 52</TD><TD>19:29</TD><TD align=left>PHILIPPINE ISLANDS REGION</TD><TD>5° 49' 48'' N</TD><TD>127° 06' 36'' E</TD><TD>5.0 </TD><TD>30 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RDS align=middle><TD>09 พ.ย. 52</TD><TD>02:42</TD><TD align=left>SUMBAWA REGION,INDONESIA</TD><TD>8° 21' 00'' S</TD><TD>118° 47' 24'' E</TD><TD>6.7 </TD><TD>36 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>08 พ.ย. 52</TD><TD>17:27</TD><TD align=left>พม่า</TD><TD>18° 48' 36'' N</TD><TD>96° 26' 24'' E</TD><TD>4.7 </TD><TD>10 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RDS align=middle><TD>06 พ.ย. 52</TD><TD>11:23</TD><TD align=left>MINDANAO, PHILIPPINES</TD><TD>6° 24' 00'' N</TD><TD>126° 55' 12'' E</TD><TD>5.1 </TD><TD>47 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>05 พ.ย. 52</TD><TD>18:34</TD><TD align=left>TAIWAN</TD><TD>23° 50' 24'' N</TD><TD>120° 52' 48'' E</TD><TD>5.7 </TD><TD>40 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RDS align=middle><TD>05 พ.ย. 52</TD><TD>16:50</TD><TD align=left>RYUKYU ISLANDS, JAPAN</TD><TD>24° 57' 36'' N</TD><TD>126° 14' 24'' E</TD><TD>5.2 </TD><TD>5 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RADS align=middle><TD>05 พ.ย. 52</TD><TD>16:33</TD><TD align=left>TAIWAN</TD><TD>23° 48' 00'' N</TD><TD>120° 56' 24'' E</TD><TD>5.9 </TD><TD>60 </TD><TD align=left> </TD></TR><TR class=RF><TD> </TD><TD>เวลาไทย</TD><TD> </TD><TD> </TD><TD> </TD><TD>ริกเตอร์</TD><TD>กิโลเมตร</TD><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อินเดียเจรจาซื้อข้าวจากไทย-เวียดนาม

    [​IMG]

    นิวเดลี 17 พ.ย. - นายอนันต์ ชาร์มา รัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย เผยวันนี้ว่า อินเดียกำลังเจรจาซื้อข้าวจากไทยและเวียดนาม เพื่อชดเชยผลผลิตที่คาดว่าจะขาดแคลน หลังเผชิญภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี

    นายชาร์มา ให้สัมภาษณ์กับดาวโจนส์ นิวส์ไวร์ ว่า อินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก กำลังเจรจาซื้อข้าวจากไทยและเวียดนาม เพราะคาดว่าผลผลิตข้าวในปีนี้จะต่ำกว่าผลผลิตเมื่อ 2 ปีก่อน หลังเผชิญภัยแล้งครั้งรุนแรงที่สุดนับแต่ปี 2515 ทำให้บริษัทของรัฐบาล 3 แห่ง คือ MMTC STC และ PEC ต้องนำเข้าข้าวบริษัทละ 10,000 ตัน ขณะที่ผู้ค้าเอกชนเริ่มซื้อข้าวจากต่างประเทศแล้ว ทั้งนี้ ราคาข้าวในตลาดอินเดียทะยานขึ้นร้อยละ 25 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา จากความวิตกกังวลเรื่องปัญหาขาดแคลน. - สำนักข่าวไทย

    2009-11-17 16:35:26

    เอฟเอโอเผยไทยบรรลุเป้าหมายต่อสู้ปัญหาความหิวโหย

    [​IMG]

    โรม 18 พ.ย.-องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) เผยว่า ไทยและบางประเทศ ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับปัญหาความหิวโหย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรโลกกว่า 1,000 ล้านคน

    เอฟเอโอ ระบุในเอกสารที่เปิดเผยในการประชุมสุดยอดว่าด้วยปัญหาความหิวโหยโลกซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโรมของอิตาลี ว่า ปัจจุบันมี 16 ประเทศที่บรรลุเป้าหมายในการลดระดับความหิวโหยลงร้อยละ 50 ภายในปี 2558 อาทิ จีน บราซิล ไนจีเรีย อาร์เมเนีย จอร์เจีย เวียดนาม เปรู และไทย

    นายฌากส์ ดิอุฟ ผู้อำนวยการเอฟเอโอ แสดงความยินดีกับข่าวดังกล่าว และกล่าวอีกว่าความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากความไม่ย่อท้อของรัฐบาลประเทศกำลังพัฒนา และแรงสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นของประชาคมโลก

    เอฟเอโอ ระบุว่า ความสำเร็จในการต่อสู้ปัญหาความหิวโหยอาจมาจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ สภาพเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย การลงทุนอย่างมีเป้าหมาย และการวางแผนอนาคตที่ชาญฉลาด อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ระบุว่า ประเทศที่พยายามต่อสู้ปัญหาความหิวโหยยังคงเผชิญอุปสรรคหลายประการ และความพยายามดังกล่าวอาจทำให้ประเทศเหล่านี้เกิดความขัดแย้งกับองค์กรที่กำกับดูแลการค้าโลก. -สำนักข่าวไทย

    2009-11-18 07:28:13

    เรือเฟอร์รี่ชนเรือบรรทุกน้ำมันในพม่า คาดตายอย่างน้อย 50 คน

    [​IMG]
    ภาพประกอบจากทางอินเตอร์เน็ต

    ย่างกุ้ง 17 พ.ย. - เจ้าหน้าที่พม่าเผยวันนี้ว่า เกิดเหตุเรือโดยสารข้ามฟากชนกับเรือบรรทุกน้ำมัน บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี คาดว่าอาจมีผู้เสียชีวิตถึง 50 คน

    อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างที่เรือไม้บรรทุกผู้โดยสารเกือบ 180 คน ล่องไปตามแม่น้ำสายหนึ่งบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี แล้วชนเข้ากับเรือบรรทุกน้ำมัน ทำให้เรือล่ม ขณะนี้สามารถกู้ศพผู้เสียชีวิตขึ้นมาได้แล้ว 34 ศพ แต่ยังคงมีผู้สูญหายอีก 16 คน เชื่อว่าน่าจะจมน้ำเสียชีวิต ส่วนผู้โดยสารคนอื่นได้รับการช่วยชีวิตและเดินทางกลับบ้านแล้ว

    บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี เป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดจากพายุไซโคลนนาร์กีสพัดถล่มตอนใต้ของพม่า เมื่อเดือน พ.ค. 2551 คร่าชีวิตผู้คนไปราว 138,000 คน และทำให้อีกหลายพันคนไร้ที่อยู่. - สำนักข่าวไทย

    2009-11-17 17:01:25

    ตัวเลขทหารอเมริกันฆ่าตัวตายปีนี้จะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

    [​IMG]

    วอชิงตัน 18 พ.ย. - ตัวเลขทหารอเมริกันฆ่าตัวตายจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่า การถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจสู้รบซ้ำในอัฟกานิสถาน และอิรัก เป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารฆ่าตัวตายมากขึ้นหรือไม่

    พล.อ.ปีเตอร์ เชียเรลลี รองเสนาธิการทหารกองทัพบกสหรัฐ ระบุว่า นับแต่ต้นปี 2552 มีทหารที่ต้องสงสัยว่า ฆ่าตัวตายระหว่างประจำการ 140 นาย เท่ากับตัวเลขทหารฆ่าตัวตายเมื่อปีก่อน และคาดว่า ยอดทหารอเมริกันที่ก่ออัตวินิบาตกรรมในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน และสูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดจนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา พบว่า มีทหารปลดประจำการ 71 นาย ต้องสงสัยว่าฆ่าตัวตาย ซึ่งมากกว่าตัวเลขเมื่อปีก่อนเช่นกัน

    อย่างไรก็ดี พล.อ.เชียเรลลี ระบุว่า สาเหตุของการฆ่าตัวตายยังไม่ชัดเจน ว่า มาจากความตึงเครียดในการสู้รบ และการถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจซ้ำในอิรัก และอัฟกานิสถานหรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหดหู่ และปัญหาการสมรสเพิ่มมากขึ้น แต่เผยว่า กองทัพมีการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย และสอนให้ทหารเอาชนะภาวะหดหู่ ซึมเศร้า

    การเปิดเผยข้อมูลล่าสุดนี้มีขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ จะตัดสินใจเรื่องการเพิ่มกำลังทหารไปสมทบกับทหารอเมริกันที่ปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถานอยู่แล้วเกือบ 68,000 นาย. -สำนักข่าวไทย

    2009-11-18 09:02:53

    ยอดผู้เสียชีวิตจากหวัดใหญ่ 2009 พุ่งในแคนาดา

    [​IMG]

    ออตตาวา 18 พ.ย. - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของแคนาดาเผยว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 คร่าชีวิตคนในแคนาดาถึง 37 คนในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้พุ่งขึ้นเป็น 198 คน

    นายเดวิด บัตเลอร์-โจนส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแคนาดา ระบุว่า ขณะนี้มีประชากรร้อยละ 20 ของประเทศได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ในโครงการให้วัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แคนาดา โดยพบว่า ผู้ได้รับวัคซีน 36 คนจากทั้งหมด 6.6 ล้านคนมีอาการข้างเคียงรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นอาการแพ้ หรืออาการชักจากไข้ และมีผู้เสียชีวิต 1 คนหลังได้รับวัคซีน

    ทั้งนี้ นับแต่เดือน เม.ย. มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กว่า 1,600 คนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแคนาดา ในจำนวนนั้นอย่างน้อย 300 คนเข้ารักษาตัวด้วยอาการวิกฤติ -สำนักข่าวไทย

    2009-11-18 09:10:05

    ราคาทองคำเปิดตลาดพุ่งแตะสถิติใหม่ 1,140 ดอลลาร์สหรัฐ

    [​IMG]

    ฮ่องกง 17 พ.ย. - ทองคำซื้อขายในตลาดฮ่องกงวันนี้ เปิดตลาดพุ่งแตะสถิติสูงสุดครั้งใหม่ที่ 1,140 -1,141 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นจากราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 1,131-1,132 ดอลลาร์สหรัฐ

    นักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาทองคำทะยานสูงขึ้นจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ทำให้สินทรัพย์ที่ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ถือเงินสกุลอื่นที่แข็งค่ากว่า นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าที่คาดไว้ของญี่ปุ่น ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ. -สำนักข่าวไทย

    2009-11-17 11:42:32

    ที่มา http://news.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nut_20036

    nut_20036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +1,776
    [​IMG]
    วันที่ 18 พ.ย. 2552 ตรงกับเวลา 08.42 น.ของประเทศไทย
    -----------------------------------------------------------------------
    [​IMG]
    วันที่ 18 พ.ย. 2552 ตรงกับเวลา 09.17 น.ของประเทศไทย
    ------------------------------------------------------------------------
    [​IMG]
    วันที่ 18 พ.ย. 2552 ตรงกับเวลา 10.21 น.ของประเทศไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • B1.jpg
      B1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.5 KB
      เปิดดู:
      1,438
    • B2.jpg
      B2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119 KB
      เปิดดู:
      1,474
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2009
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ปะทะเดือด จนท.ปัตตานีปลิดชีพโจรใต้ 6 ศพ ทหารเจ็บ 2 ที่ปัตตานี</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤศจิกายน 2552 19:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ปัตตานี – จนท.3 ฝ่ายในปัตตานีสนธิกำลังเปิดฉากปะทะดุเดือด ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ขณะที่โจรใต้ถูกวิสามัญ 6 ศพ

    เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (17 พ.ย.) ขณะที่ พ.ต.อ.จีรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้นำกำลังตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน 20 นาย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น บ้านเลขที่ 192/3 ม.5 ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ หลังได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า มีแนวร่วมกลุ่มของนายปะดอ กบดานอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว

    ระหว่างที่กำลังได้ปิดล้อมและได้เรียกให้คนที่อยู่ในบ้านออกมาเพื่อตรวจสอบ แต่ไม่มีเสียงตอบ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเปิดประตูเพื่อบุกเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงออกมาหลายนัด ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกระโดดหลบ พร้อมยิงตอบโต้จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น จากนั้นจึงได้เรียกกำลังมาสนับสนุน

    ต่อมา พันโท หาญพล เพชรม่วง ผบ.ฉก.ปัตตานี 24 ได้นำกำลังทหารกว่า 50 นาย รถหุ้มเกราะ ติดอาวุธหนัก เข้าสนับสนุน พร้อมขอกำลังทางอากาศนำเฮลิปคอปเตอร์บินตรวจพื้นที่ เข้าปิดล้อมบริเวณรอบๆ บ้านหลังดังกล่าว เพื่อป้องกันกลุ่มคนร้ายหลบหนี ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้เกิดการยิงตอบโต้กันเป็นระยะ โดยเจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้นำศาสนา รวมไปถึง นายยูโซ๊ะ สาเมาะ ผู้ใหญ่บ้านและเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว มาพูดผ่านเครื่องขยายเสียงเพื่อให้ออกมามอบตัว แต่ก็ไม่เป็นผล

    จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องขอกำลังทหารชุดจู่โจมหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข เข้ามาเพื่อเตรียมที่จะจู่โจมหากสถานการณ์ตรึงเครียด จนกระทั่งเวลาผ่านไปร่วม 3 ชั่วโมง คนร้ายยังคงไม่มีทีท่าว่าจะมอบตัวและยังคงใช้อาวุธปืนยิงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจเข้าจู่โจมเพื่อไม่ให้เวลายืดเยื้อออกไป เพราะจะเกรงว่าไม่ปลอดภัย โดยชุดจู่โจมได้มีการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อการปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จและให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด

    จนกระทั่งเวลา 16.00 น.ชุดจู่โจมตัดสินใจที่จะบุกเข้าไป โดยแบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุดในการเข้าจู่โจม โดยชุดแรกได้มีการขว้างแก๊สน้ำตา จำนวน 10 ลูก เข้าไปเพื่อให้คนร้ายวิ่งออกมาจากบ้าน แต่ก็ไม่เป็นผลคนร้ายยังคงใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงใช้ระเบิดเสียงขว้างเข้าไปอีก 2 ลูก ก่อนบุกเข้าไปจู่โจมแบบประชันชิดและเกิดการยิงปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้เจ้าหน้าที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นายเจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวออกมาเพื่อส่งโรงพยาบาล ทราบชื่อ ส.อ.เฉลิมพล โพธิ์ศรี และ ส.อ.ศรชัย ไชยชมพู ทั้งสองถูกยิงเข้าแขน

    ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงได้บุกจู่โจมอีกครั้ง พร้อมกับใช้แก๊สน้ำตาอีกหลายลูกขว้างเข้าไป ทำให้คนร้ายต่างวิ่งหนีไปหลบตามบ้าน และมีการยิงปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง เป็นเวลาร่วมกว่า 4 ชั่วโมงเสียงปืนจึงสงบลง

    เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าเคลียร์พื้นที่พบอาวุธปืนอาก้า 1 กระบอก เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืน 9 มม. จำนวน 2 กระบอก และระเบิดขว้าง 1 ลูก พร้อมคนร้ายเสียชีวิตจำนวน 6 คน ทราบชื่อคือ 1.นายอาหามะดือราแม หะยีมะ (ปะดอ) อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/1 ม.4 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ หัวหน้า RKK ระดับสั่งการและก่อเหตุและมีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 12 คดี 2.นายอับดุลเลาะ โตะลาเละ 3.นายซาการียา ยาแม 4.นายฮัมดี มะแอ 5.นายมะสะปรี คาเร็ง และ 6.นายนารูดิง ดอมะ

    อย่างไรก็ตาม หลังการปะทะกันดุเดือดนั้น ทางผู้บัญชาการทั้ง 3 ฝ่ายในพื้นที่ จ.ปัตตานี ได้มีการกำชับให้กองกำลังในพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอ ให้มีความพร้อมและดูแลความปลอดภัยสถานที่ราชการ รวมไปถึงประชาชน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการตอบโต้ของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ ซึ่งต่อมา พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชษฐ์ ผบช.ศจต. พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พล.ต.จีระศักดิ์ ชมประสบ ผบ.ฉก.ปัตตานี แพทย์โรงพยาบาลโคกโพธิ์ และชุดวิทยาการ เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกำชับให้มีการเก็บหลักฐานอย่างละเอียด


    ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000139114
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เสือขาวเหลืองเข้ามาหากระยาหาร เข้ารุกรานเราตายเป็นเบือจะเชื่อไหม?

    [​IMG]

    มองแสนยานุภาพชายแดนไทย-มาเลย์ โดย สิริอัญญา วันที่ 25 กันยายน 2548 เวลา 18:23 น.

    ในพลันที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่หมู่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็ปรากฏข่าวจากทางด้านมาเลเซียว่า กองทัพมาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารจำนวนสามกองพันมาประชิดที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อป้องกันสกัดกั้น ไม่ให้คนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย

    สื่อมวลชนไทยก็รายงานข่าวไปตามนี้คือเป็นการเคลื่อนกำลังมาเพื่อป้องกันคนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย ความหมายมันอยู่เพียงเท่านั้นจริง ๆ หรือ? ความจริงไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะมีความละเอียดอ่อนอยู่มากและเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างประเทศ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง มิฉะนั้นเพื่อนร่วมชาติของเราก็จะมองข้ามหรือลืมมองเรื่องสำคัญที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมือง

    คงจะจำกันได้ว่าหลังเกิดกรณีกรือเซะและตากใบแล้ว มาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารขึ้นมาที่ชายแดนหลายระลอก ครั้งละสองกองพันบ้าง สามกองพันบ้าง และหลาย ๆ กองพันในแนวหลังที่พอเห็นได้ว่าพร้อมจะเป็นกำลังหนุนกำลังส่วนหน้าที่วางกำลังอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย

    ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีการถอนกำลังทหารเหล่านั้นออกไปจากชายแดนไทย และมาบัดนี้เคลื่อนกำลังเพิ่มเติมเข้ามาอีกสามกองพันพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย หากประมาณคร่าว ๆ ถึงแสนยานุภาพที่เคลื่อนขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นจะมีกำลังร่วมสองกองพลแล้ว

    ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางนาวีที่มาเลเซียเตรียมกองเรือดำน้ำเพ่นพ่านอยู่ในทะเลหลวง ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมาถึงแนวคลองกระแถวสงขลาและไม่ช้าไม่นานก็ถึงแนวคลองกระชั้นบน แม้กระทั่งถึงพังงาด้วยซ้ำไป ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางอากาศที่ ณ วันนี้ใครรู้ดีช่วยบอกทีเถิดว่าหากเปรียบเทียบแสนยานุภาพทางอากาศกันแล้วระหว่างไทยกับมาเลเซียจะเป็นประการใด?

    กองกำลังมากมายขนาดนี้ มันเป็นไปเพียงเพื่อสกัดกั้นคนไทยไม่ให้ข้ามแดนเท่านั้นหรือ? ตรงนี้แหละขอให้ช่วยกันคิดให้ดี แล้วแสนยานุภาพของเราในพื้นที่นั้นละมีเท่าใด? รับมือเขาไหวหรือ?

    และนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นพลังแอบแฝงแล้วหนุนช่วยให้ปฏิบัติการก่อความไม่สงบยืดเยื้อรุนแรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งบางหน่วยงานและบุคคลสำคัญบางคนของมาเลเซียถึงกับประกาศว่าจะต้องแยกดินแดนสามจังหวัดออกเป็นรัฐอิสระหรือเป็นเขตปกครองพิเศษ แล้วทำให้รัฐบาลไทยต้องกระอักกระอ่วนใจตลอดมา!

    ก่อนอื่นก็ต้องขอย้ำว่าเราคัดค้านสงคราม เราต้องการสันติ เราต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบสุข การกระทำใด ๆ ไม่ว่าของใครและของชาติใดที่เกื้อหนุนต่อการเกิดสงคราม ทำลายสันติ ขัดขวางสันติภาพ และสร้างความทุกข์ยากขึ้นแก่มนุษยชาตินั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชาติไทยและประชาชาติใด ๆ ในภูมิภาคนี้เลย

    วันก่อนได้แย้มพรายไว้บ้างแล้วว่าเมื่อราว 2 เดือนก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยื่นต่อสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกที่กรุงเตหะราน กล่าวหาประเทศไทยอย่างหน้าด้าน ๆ ว่ากีดกันข่มเหงรังแกมุสลิม นั่นก็เพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนร่วมชาติได้รู้ว่ามีอันตรายซ่อนตัวอยู่ ควรที่พี่น้องร่วมชาติทุกคนจะตื่นตัวขึ้นมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่คาดคิด

    ทั้งยังได้เตือนด้วยว่าควรที่นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ในประเทศไทยของเราก็มีอยู่ ต้องบอกอีกว่าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนั้นมีคนสองสัญชาติอยู่เป็นจำนวนร่วม 300,000 คน และเป็นไปในทางมากกว่า 300,000 คน ส่วนจะเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดนั้น ถึงวันนี้ย่อมเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องทำความกระจ่างและให้เกิดความชัดเจนเพื่อที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงจะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการปฏิบัติการ

    นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงคนสองสัญชาติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก แต่ก็นับว่าเป็นการเสนอประเด็นที่ถูกเป้าเข้าจุด และขออย่าให้เป็นการพูดเลื่อน ๆ ลอย ๆ เพราะนี่คือปมเงื่อนสำคัญที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    ตามกฎหมายสัญชาติประเทศไทยถือหลักสองหลักคือหลักดินแดนและหลักสายเลือด นั่นคือใครเกิดในดินแดนไทยและมีพ่อหรือแม่เป็นไทยก็จะได้สัญชาติไทย แต่ขณะเดียวกันหากละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติอื่นหรือไปถือสัญชาติอื่นโดยไม่สละสัญชาติไทยก็เป็นอันว่าสิ้นสัญชาติไทยด้วย

    ทว่านั่นเป็นหลักกฎหมาย แต่ในการปฏิบัติกลับไม่มีการปฏิบัติกันเลย จึงเป็นเหตุให้คนในพื้นที่นั้นนอกจากถือสัญชาติไทยแล้วยังไปถือสัญชาติมาเลเซีย โดยได้รับการเอื้อเฟื้อเป็นพิเศษให้ถือสัญชาติมาเลเซียด้วย หากจะว่ากันตามกฎหมายคนเหล่านี้เป็นอันสิ้นสัญชาติไทยแล้ว

    การที่สิ้นสัญชาติไทยเพราะถือสัญชาติใหม่แล้วฉวยโอกาสข้ามแดนไปมาเลเซียแล้วบอกว่าเป็นคนไทยอพยพหลบภัยจึงไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย และเป็นเรื่องที่หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐพึงชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนทั้งภายในประเทศและต่อประชาคมโลก

    มิฉะนั้นก็จะมีบางชาติฉวยเป็นโอกาสกระหน่ำซ้ำตีประเทศไทยเพื่อดึงสหประชาชาติให้เข้ามาจัดการปัญหาภายในของประเทศไทย คนที่สิ้นสัญชาติไทยไปแล้วแต่ยังแอบอิงว่าเป็นคนไทย หากยังมีสิทธิ์ลงประชามติกันในวันข้างหน้าก็พอจะคิดได้แล้วว่าอะไรจะเกิดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อยเพราะเรายังมีมิตรประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เข้าใจและยืนข้างประเทศไทย แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องป้องกันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม รวมทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาอย่างจริงจัง

    ที่มันน่าเจ็บใจก็คือมีการสวมรอยเอาคนชาติอื่นทำทีมาเป็นคนไทย ทำอะไร ๆ ลงไปในพื้นที่นั้นแล้วบอกว่าเป็นการกระทำของคนไทย ทำให้คนไทยฆ่ากันเอง

    กลับมาที่กองกำลังทางบกของมาเลเซียตามแนวชายแดนที่ประมาณการว่ามีจำนวนร่วมสองกองพลนั้นมันหายไปไหนเป็นส่วนใหญ่? เพราะถ้าหากไม่ถอยออกไปก่อน จำนวนที่เคยเคลื่อนขึ้นมานั้นก็พอเพียงอยู่แล้วถ้าหากจะมีบทบาทเพียงสกัดคนไทยข้ามแดน เว้นเสียแต่ว่ากำลังพลเหล่านั้นได้สลายตัวไปแล้วแปรสภาพเคลื่อนย้ายเข้ามาในแดนไทย ทำตัวเป็นคนสองสัญชาติ

    แปลงตัวเป็นคนสองสัญชาติทดแทนจำนวนคนที่ย้ายถิ่นฐาน ซึ่งปรากฏตามข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยว่ามีจำนวนถึงเดือนละประมาณ 15,000 คน คนสองสัญชาติแปลงกายที่เนื้อแท้เป็นทหารของฝ่ายตรงกันข้ามย่อมมีศักยภาพที่จะทำการสงครามทั้งนอกรูปแบบและทำสงครามแบบแผนได้โดยไม่ได้ด้อยไปกว่าทหารของไทยเลย

    หรือว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งที่ทหารเวียดนามสวมรอยเป็นทหารลาวแล้วเปิดศึกร่มเกล้ากับประเทศไทยในอดีต! ดังนั้นการที่กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทวีความรุนแรงมากขึ้น ขยายตัวมากขึ้น และยืดเยื้อมากขึ้น จึงแยกไม่ออกกับการเปลี่ยนโฉมแปลงร่างดังกล่าว มันเป็นปรากฏการณ์สวมรอยและฉวยโอกาสหลังจากสถานการณ์พลิกผันจากปัญหาผู้มีอิทธิพลอำนาจมืดมาเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดนแล้ว ก็อยากบอกเตือนรัฐบาลว่าการฟังรายงานที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องแล้วย่อมทำให้เกิดผลเช่นนี้

    ตัวอย่างล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีแถลงว่านาวิกโยธินสองนายถูกสังหารตั้งแต่ตอนรุ่งสาง แล้วหมอพรทิพย์เผยผลการชันสูตรว่าถูกสังหาร ณ เวลา 14.00-15.00 น. ก็คือความซ้ำซากของความผิดพลาดของรายงาน และถ้าความผิดพลาดนั้นขยายไปถึงบุคคลที่ถูกระบุว่า “รู้ตัวคนร้ายหมดแล้ว” ก็จะนำไปสู่การจับกุมหรือปฏิบัติการที่ผิดพลาดและขยายผลร้ายต่อไป

    และอยากจะบอกย้ำด้วยว่าอย่าไปเชื่อรายงานว่าไม่มีเขตปลดปล่อย ทั้งอยากจะถามด้วยว่าสิ่งที่เรียกว่าเขตปลดปล่อยนั้นรู้จักมันดีแล้วหรือว่ามันคืออะไร? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันพัฒนาและดำเนินการไปอย่างไร? และระดับไหนที่ถือว่าเป็นเขตปลดปล่อย?

    เพราะในวันนี้กว่า 760 หมู่บ้านในจำนวนทั้งหมดราว 1,500 หมู่บ้านมีแกนหลักปฏิบัติงานและเป็นเขตปฏิบัติการของฝ่ายตรงกันข้าม โดยที่เราให้ความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินแก่ประชาชนไม่ได้ และกลไกรัฐก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะต้องสะกิดใจและพิจารณาไตร่ตรองให้จงดี

    การที่มีแสนยานุภาพของต่างชาติแอบแฝงเข้ามาในรูปคนสองสัญชาติก็ดี และมาประจัญอยู่ที่ชายแดนร่วมสองกองพลเป็นอย่างน้อยก็ดี มันไม่สมกับข้ออ้างที่ว่าเพื่อสกัดคนไทยข้ามแดน และความจริงก็คือมาเลเซียไม่เคยจับคนข้ามแดนเลยแม้แต่คนเดียว แต่นั่นมันคือปรากฏการณ์ให้ความคุ้มครองกับฝ่ายที่ก่อความไม่สงบ ป้องปรามแสนยานุภาพของกองทัพไทยให้ขยับตัวไม่ได้ คิดเรื่องนี้กันบ้างหรือยัง?

    ในพื้นที่นั้นแสนยานุภาพทางบกของเราก็มีเพียงบางจุด และมีอัตรากำลังไม่ถึงสองกองพล โดยยังไม่ต้องพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ว่าของใครมีประสิทธิภาพกว่ากัน และยิ่งงานมวลชนด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดอีกเลย

    เมื่อรวมแสนยานุภาพทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ตลอดจนมวลชนของฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว มันด้อยกว่า พอ ๆ กัน หรือเหนือกว่าแสนยานุภาพของกองทัพไทยกันแน่? ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องให้ความสนใจโดยพลัน เพราะเราอาจเสียดินแดนได้โดยพลันเหมือนกัน!

    บทเรียนในอดีตที่เวียดนามเคยเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยืมกำลังทหารร่วมสามสิบกองพันเพื่อเป็นกองหน้าตัดภาคอีสานออกจากประเทศไทย โดยมีแสนยานุภาพของนายพลเทียนวันดุง 300,000 คนหนุนอยู่ข้างหลังนั้นควรจะได้หยิบยกขึ้นพิจารณาศึกษาว่ามันกำลังเกิดขึ้นซ้ำรอยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่?

    ดีที่ว่าครั้งกระโน้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีจิตใจรักชาติจึงปฏิเสธข้อเสนอ หาไม่แล้ววันนี้ภาคอีสานก็อาจจะไม่ใช่ของไทยอีกต่อไป แล้วกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่นั้นน่ะหรือจะมีความคิดจิตใจแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต แล้วเราจะทำกันอย่างไร?

    รัฐบาลจะมัวถือว่าเรื่องนี้ไม่สร้างสรรค์ไม่ได้แล้ว และจะมัวเห็นว่าเรื่องการเร่งตัวเลขต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจสำคัญกว่าปัญหาความมั่นคงไม่ได้แล้ว เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้นขึ้นลงได้ ขาดดุลแล้วก็ได้ดุลได้ แต่หากเสียดินแดนแล้วก็ยากที่จะได้คืน ดังนั้นจึงควรต้องยกเอาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาหลักเร่งด่วนที่สุดของชาติตั้งแต่บัดนี้ไป

    รัฐบาลทักษิณ 2 จะเป็นประการใดก็เห็นจะชี้ขาดกันด้วยปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี่แหละ!

    ที่มา http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=7383.msg177712

    ปรมวลภาพแสนยานุภาพของกองทัพประเทศมาเลเซีย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    น้ำมาจากไหน

    เมื่อเช้าฟังข่าวว่าฝนดาวตกครั้งนี้มากเป็นประวัติกาล
    เค้าว่าฝนดาวตกก็คือน้ำจากนอกโลก เมื่อตกผ่านชั้น
    บรรยากาศก็เลยเกิดประกายไฟ
    เหมือนที่คุณหนุมานเคยบอกไว้ ว่ามีน้ำมาเพิ่ม
    จากนอกโลกมาก ก็เลยพอจะเข้าใจว่า อ๋อ...
    มาอย่างนี้นี่เอง
    อีกไม่นานจะสิ้นปีแล้ว ระวังเรื่องน้ำกันหน่อยนะคะ
     
  11. nut_20036

    nut_20036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +1,776
    [​IMG]
    ตรงกับเวลา 12.09 ของประเทศไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.jpg
      untitled.jpg
      ขนาดไฟล์:
      114 KB
      เปิดดู:
      984
  12. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    การเตรียมการที่หลบภัย ฐานผาแบ่น จ.เลย : การนัดพบครั้งที่ 3

    สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าร่วม ตามไปอยู่ฐานผาแบ่น อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
    จะมีการนัดพบครั้งที่ 3 ในวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ย. 52 ที่หน้าสถานีรถไฟ
    ดอนเมือง ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. ถึง 11.00 น.
    คุณอา k_isara จะไปรออยู่ที่นั่นนะคะ (ให้สังเกตุ ชายสะพายย่าม)
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ฝนดาวตก ****

    ไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์โลก แต่จะทำให้โลกอบอุ่นขึ้น
    โลกจะสมบูรณ์ขึ้น น้ำในโลกจะมากขึ้น สิ่งที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิด สิ่งที่ไม่เคยเห้นก็จะได้เห็น
    มันจะอุดมสมบูรณ์ไปหมด เพราะน้ำจะแทรกอยู่ทุกอณู แม้แต่สังขารของเรา
    ต่อไป โลกจะพิจารณาคัดเลือกแต่ผู้ที่เชื่อสัจจะทำ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ดาวตก ****

    การแจกจ่าย ผู้ที่เขาจะมาเป็นอรหันต์ ไปทั่วโลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ฝนเหล็ก ****

    จะเป็นอันตรายต่อสัตว์โลก เป็นไฟล้างทั้งโลกแล้วเริ่มต้นใหม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภาพยนตร์ "2012" วันสิ้นโลก หรือ โลกาวินาศ เกี่ยวข้องกับพระศรีอารย์อย่างไร?

    [​IMG]

    คิดถึงเหตุผล ไม่ควรหวังในอิทธิปาฏิหาริย์

    ผู้เขียนใช้เวลากว่า 16 ปี ศึกษาเรื่องพระศรีอารย์ตามความเชื่อของศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆด้วยเหตุผล มีที่มาที่ไป ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์เกี่ยวข้อง โดยนำข้อมูลเช่น จากพุทธทำนาย คำภีรย์ของศาสนาต่างๆ การพยากรณ์เช่นของนอสตราดามุส (นอสตระดามัส) และจากตำราที่อาจารย์ในสถาบันการศึกษาต่างประเทศได้รวบรวมไว้ เป็นต้น แล้ววิเคราะห์การเข้ากันได้ ความต่อเนื่อง ความเป็นไปได้และสรุปเป็นผลเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ พระศรีอารย์จะเกี่ยวข้องกับมหันตภัยโลก ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ โปรดติดตาม

    ความจริง หรือ ความเชื่อใน 2012 มหันตภัยโลก

    ภาพยนตร์ “2012” หรือ วันสิ้นโลกในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 จะฉายพร้อมกันทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายน 2552 ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นถึงโลกามหาวินาศที่อาจจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยผู้สร้างภาพยนตร์คงไม่ได้คิดสร้างขึ้นมาเพื่อจงใจให้ผู้ชมได้ชมการถล่มทะลายของโลกให้สะใจ หรือให้คนบนโลกแตกตื่น แต่คงต้องการให้คนทั่วไปได้รู้ว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นได้

    ผู้สร้างได้ยึดเอาเรื่องการพยากรณ์ของชาวมายันที่เจริญรุ่งเรืองสุดๆบนทวีปอเมริกากลางเมื่อ 1500 ปีก่อนพุทธกาลมาเป็นหลักในการสร้างภาพยนตร์ โดยประเด็นอยู่ที่ชาวมายันได้ศึกษาดาราศาสตร์ผสมผสานกับเรื่องของเทพเจ้าแล้วสร้างปฏิทินที่มีวันจบขึ้นมา โดยมายันนับถอยหลังจากกี่พันปีในเวลานั้น กลับมาปีที่ 0 ซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก

    ดังนั้นปี พ.ศ. 2552 เวลานี้เป็นปีที่ 3 ปี 2553 จะเป็นปีที่ 2 ... และปี พ.ศ. 2555 หรือ ค.ศ. 2012 จะเป็นปีที่ 0 คือปีสิ้นสุดโลก ซึ่งต่างกับปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ทุกๆวันนี้ ที่สามารถใช้และดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งลี้ลับที่ชาวมายันหาวันสิ้นโลกได้นั้น คนในปัจจุบันยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าชาวมายันรู้วันสิ้นโลกได้อย่างไร

    เมื่อก่อนเราดูปฏิทินของชาวมายันดูเหมือนจะเป็นตำนานมากกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือเป็นที่รู้จักกันดีคือ “นาซ่า” ได้ประกาศว่าในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 จะเกิดการระเบิดบนดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่สุด ไม่เพียงเท่านี้ นักวิทยาศาสตร์ยังบ่งว่าโอกาสการสลับขั้วแม่เหล็กโลกคือเหนือเป็นใต้และใต้เป็นเหนืออาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย

    ถ้าการระเบิดบนดวงอาทิตย์ประกอบกับการกลับขั้วแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นจริง แผ่นดินย่อมไหวใหญ่ ไฟร้ายแรงจะเกิดขึ้นจากการระเบิดของท่อส่งแก็ส ประกอบกับไฟจากใต้พื้นโลก มนุษย์จะหาหาทางดับไม่ได้ ไฟฟ้าจะไม่มี พายุจะเกิดรุนแรงที่สุด คลื่นยักษ์ขนาดตึกร้อยชั้นจะโถมเข้าหาฝั่ง เรื่องเช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นเพราะการขาดการสมดุลของสนามแม่เหล็กระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดโลกามหาวินาศ ซึ่งความรุนแรงจะสงบได้เมื่อความสมดุลทั้งหลายกลับมาใหม่

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องแผ่นดินไหวใหญ่ ภูมิอากาศผิดปกติเช่นกัน ซึ่งบ่งอยู่ในมหาปรินิพพานนั้น จะเห็นว่าพระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบเรื่องเช่นนี้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรได้เช่นกัน ถ้าโลกาวินาศเกิดขึ้นจริง นั่นย่อมหมายถึงเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ คงเหลือน้อยเต็มที แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผลว่าโลกาวินาศจะเกิดทำไม แต่ก่อนอื่นจะพิจารณาว่า อะไรที่มาทำให้เรื่องของการพยากรณ์และงานทางวิทยาศาสตร์ประจวบเหมาะเป็นเวลาเดียวกันเช่นนี้

    เรื่องนี้คงหาคำตอบไม่ได้ แต่ถ้าจะศึกษาต่อไปว่ามีการพยากรณ์อื่นๆที่บ่งบอกเวลาที่โลกาวินาศจะเกิดขึ้นอีกบ้างไหม คำตอบคือ มี เช่นพุทธทำนายที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ เกี่ยวกับโลกาวินาศ “แผ่นดินถล่มทะลายเป็นทะเล” ในปี 2556 หรือ ค.ศ. 2013 ซึ่งปลายปี 2012 ของนาซ่าและมายัน กับปี 2013 ของพุทธทำนายต่างกันแค่ไหน ความแตกต่างไม่มี นับว่าเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกันมากเมื่อนับระยะเวลาที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระอานนท์มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีคำภีร์อื่นๆได้บ่งไว้ในทำนองเดียวกัน ดังนั้นเราไม่ควรประมาทในสิ่งที่ศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้บ่งไว้ว่าจะเกิดขึ้น

    หนทางหยุด โลกาวินาศ

    ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าคำทำนายทางศาสนาจะเห็นว่าศาสนาที่สำคัญๆของโลกได้ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการกระทำโดยทางธรรมชาติ แต่สวรรค์เป็นผู้กำหนด เพื่อการเปลี่ยนจากกลียุคที่มีคนทำบาปถึง 3 ใน 4 ไปเป็นกฤดายุคหรือยุคทองที่มีคนดีทั้ง 4 ส่วน ดังนั้นโลกาวินาศจะเป็นการล้างคนบาปคนชั่ว เป็นวันพิพากษาที่กฎหมายไม่มีความยุติธรรม หรือ ผู้กระทำผิดกฎหมายก็ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ วันพิพากษาจะเป็นวันที่ทางสวรรค์จะดำเนินการเองโดยผ่านมาทางพระศรีอารย์หรือมีชื่อเรียกตามศาสนาและภาษาต่างๆ ที่คนทุกชาติศาสนายอมรับ

    พระศรีอารย์มีจริงหรือไม่ ตามคำทำนายที่คล้องจองกัน ได้บ่งบอกว่าพระศรีอารย์มีพระองค์จริงในปัจจุบัน แต่ไม่ปรากฏพระองค์ การที่จะให้พระศรีอารย์ปรากฏก็มีวิธีเดียวคือผู้คนต้องหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่เชื่อแบบที่ได้กระทำกันมา ซึ่งนับว่าเป็นความยุติธรรมที่สุดแก่ทุกๆฝ่าย ในเรื่องพระศรีอารย์นั้นมีข้อมูลอยู่มากที่เป็นเหตุผล มีที่มาที่ไป ยกเป็นตัวอย่าง เช่น พระศรีอารย์เกิดที่ไหน เรื่องนี้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตรัสชื่อกรุงเทพมหานคร

    ไว้ตอนหนึ่งคือองค์เทพผู้ที่จะมาปราบยุคเข็ญหรือพระศรีอารย์นั้น ได้ให้พระวิษณุกรรม(พระวิศวกรรม) มาสร้างกรุงเทพฯเพื่อจะได้มาจุติ ในขณะที่นอสตราดามุส (นอสตระดามัส) ได้บ่งว่าพระศรีอารย์เป็นลูกคนจน เกิดที่เมืองที่เคยเป็นทะเลมาก่อน และเมืองนี้ไม่สามารถวัดระยะได้ ซึ่งนอสตราดามุสได้ชี้ถึงเมืองที่วัดไม่ได้คือเมืองเทวดา และเมืองเทวดาที่เคยเป็นทะเลมาก่อนคือกรุงเทพมหานคร

    นอกจากนี้ยังมีพุทธทำนายที่บ่งบอกสถานที่ที่พระศรีอารย์มาจุติคือประเทศในชมพูทวีปหรือทวีปของพระพุทธศาสนา ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในชมพูทวีป และเป็นประเทศเดียวที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ฉะนั้นพระศรีอารย์จึงเป็นคนไทย

    ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความรู้ของพระศรีอารย์นั้น นอสตราดามุสบ่งไว้ว่าพระศรีอารย์จะรูุ้้ว่านักวิทยาศาสตร์ทำอะไรผิดและจะแก้ไขอย่างไร แต่งานสำคัญที่พระศรีอารย์ต้องทำคือสร้างสันติสุขที่แท้จริงขึ้นบนโลก และทำให้คนเลวคนชั่วหมดไป

    มีศาสตราจารย์หลายท่านที่ศึกษาเรื่องพระศรีอารย์ มีคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เช่น พระศรีอารย์จะทำอย่างไรให้เกิดศาสนาเดียวทั้งๆที่พระศรีอารย์ไม่ได้เป็นศาสดาหรือผู้สอนศาสนา และ พระศรีอารย์จะแก้ด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร เป็นต้น แต่ที่แน่ๆคือคำทำนายของศาสนาต่างๆบ่งว่า ยุคพระศรีอารย์นั้นผู้คนจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง

    ผู้ที่คิดว่าจะพบพระศรีอารย์ปลอมนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีการพิสูจน์ความจริง พระศรีอารย์องค์จริงจะต้องปรากฏ และจะต้องทำตามคำทำนายและี่ตำนานได้บ่งไว้ และพระศรีอารย์จะพามนุษย์ผ่านเข้าไปสู่ยุคทอง โดยไม่เกิดโลกามหาวินาศขึ้น


    จากตัวอย่างเบื้องต้น การพิสูจน์ความจริงเรื่องพระศรีอารย์เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ไม่มีผลเสียใด เรื่องของพระศรีอารย์มีมาก และมีรายละเอียดโดยไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์เกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องที่มีที่มาที่ไปเป็นเหตุผลและสามารถพิสูจน์หลักฐานในทาง วิทยาศาสตร์ได้ ท่านผู้สนใจดูเวปภาษาไทยได้ที่ Metteya พระศรีอารย์ ความจริงที่หนีไม่พ้น หรือภาษาอังกฤษที่ Truth: Last Judgment of God and true Messiah at present. ซึ่งเวปนี้กำลังเป็นที่นิยมอยู่ทั่วโลก

    ก่อนจากกัน ขอฝากตัวอย่างภาพยนตร์ “2012” ไว้ดู ก่อนที่ของจริงจะฉายเดือนพฤศจิกายน ใน 2552 ปีนี้

    [​IMG]
    ไฟบรรลัยกัลป์ คือ ไฟล้างโลกเมื่อสิ้นกัป

    [​IMG]
    คลื่นยักษ์สูงกว่าตึก 100 ชั้น เรือบรรทุกเครื่องบินกลายเป็นของเด็กเล่น

    [​IMG]
    ที่พระพุทธเจ้าตรัส "แผ่นดินถล่มทลายเป็นทะเล"

    [​IMG]
    และ "ลูกไฟจะตกจากฟ้า" จะเป็นไปอย่างนี้หรือ

    [​IMG]
    จะหนีไปไหนก็ไม่พ้น ขอบคุณ

    ที่มา http://www.metteya.org/sriann/2012.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2009
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คำทำนายต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว!!!

    [​IMG]

    รายละเอียดของเหตุการณ์ก่อนพระจักรพรรดิหรือพระศรีอารย์หรือมีชื่อเรียกตามศาสนาและภาษาของประเทศนั้นจะปรากฏในปัจจุึบัน ดูเรื่องราวได้จาก The Last Day: Events(s) ใน www.selfwisdom.net หรือที่ MESSIAH: Promise of God and the Last Day are True.
    คำทำนายก่อนพุทธกาลจากศาสนาและลัทธิที่ยอมรับโดยคนทั่วโลกชี้ว่า ถ้าเหตุการณ์ดังที่กล่าวปรากฏขึ้น พระจักรพรรดิมีชื่อเรียกตามภาษาและศาสนานั้นๆ ย่อมปรากฏตนอีกในไม่ช้า ดังเช่น


    [​IMG]

    วัวขาวของอเมริกันอินเดียน เกิดปี พ.ศ. 2537 คำทำนายบ่งไว้ว่าสันติสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้น (ข้อสังเกต วัวป่าของชาวอเมริกันอินเดียน จะมีสีออกสีีน้ำตาล)

    [​IMG]

    วัวแดงของชาวยิว เกิดปี พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นการนำหน้ามาก่อนพระจักรพรรดิ (ข้อสังเกตโดยปกติวัวชาวยิวจะเป็นวัวขาวดำดังรูป)

    [​IMG]
    [​IMG]

    ESE & NASA แสดงดาวพระเคราะห์เข้าแถว พ.ศ. 2543 ตรงกับตำนานของฮินดู ใน Vishnu-Purana เกี่ยวกับถึงเวลาที่พระนารายณ์อวตารเป็นกัลกีหรือพระจักรพรรดิเพื่อล้างความชั่วร้ายและนำโลกเข้าสู่กฤดายุคหรือยุคทอง

    [​IMG]

    พระจันทร์แดง ปี พ.ศ. 2543 (ภาพจากนิวซีแลนด์) ฝรั่ง ญี่ปุ่นถ่ายภาพสด (เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมประเทศไทยถึงมีเมฆปกคลุมทั่วประเทศ มองไม่เห็น หรือน่าจะกล่าวว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” จะผิดไหม เมื่อคนไทยส่วนมากไม่รู้เรื่องพุทธทำนาย) พระจันทร์สีแดงนี้เกิดขึ้นเมื่อไร พระจักรพรรดิจะปรากฏพระองค์ในอีกไม่ช้า

    รายละเอียดของเหตุการณ์ก่อนพระจักรพรรดิหรือพระศรีอารย์หรือมีชื่อเรียกตามศาสนาและภาษาของประเทศนั้นจะปรากฏในปัจจุบัน ดูเรื่องราวได้จาก The Last Day: Events(s) ใน www.selfwisdom.net หรือที่ MESSIAH: Promise of God and the Last Day are True.

    ที่มา http://www.metteya.org/sriann/End-Time-Prophecies.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2009
  19. nut_20036

    nut_20036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +1,776
    [​IMG]
    วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ตรงกับเวลา 08.14 น. ของประเทศไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • B5.jpg
      B5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.6 KB
      เปิดดู:
      1,431
  20. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ชมดาวตกพร่างพรู : ฝนดาวตกสิงโต (Leonids) คืน 17 พฤศจิกายน - เช้ามืด 18 พฤศจิกายน 2552

    นางสาวประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย แจ้งข่าวว่ามีปรากฎการณ์ฝนดาวตกสิงโตที่มอง เห็นด้วยตาเปล่า ช่วง คืนวันที่ 17 พฤศจิกายนถึงเช้ามืดวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ช่วงเวลาประมาณ 04:00 ถึง 05:30 น. จะสังเกตเห็นฝนดาวตกสิงโตได้ประมาณ 200 ดวงต่อชั่วโมง
    วิธีการดู ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ถึง 04:00 น.ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กวาดสายตาจากขอบฟ้าจนถึงกลางฟ้า และเวลา 04:00 น. - 05:30 น. มองไปที่กลางฟ้า (เหนือศีรษะ) ฝนดาวตกจะมีลักษณะแสงสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง และมีลูกไฟ (Fireball)
    เงื่อนไขในการดู ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ หมอก และแสงไฟฟ้ารบกวน สามารถดูได้ทั่วประเทศ
    คืน 13 - เช้า 14 ธันวาคม : ชมฝนดาวตกคนคู่ 2552 (Geminids)

    นายอารี สวัสดี อุปนายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย กล่าวว่าถ้าหากพลาดการชมฝนดาวตกสิงโตก็สามารถดู ฝนดาวตกคนคู่ด้วยตาเปล่า ของคืนวันที่ 13 ธันวาคม - เช้ามืดวันที่ 14 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 20:00 ถึง 02:00 น. คาดว่าดาวตกค่าเฉลี่ยประมาณ 60 ดวงต่อชั่วโมงเวลาประมาณ 02:00 น.
    วิธีการดู ในช่วงหัวค่ำให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกกวาดสายตาจากขอบฟ้าไปยังกลางฟ้า
    ในช่วงเที่ยงคืนถึง 02:00 น. ให้มองไปที่กลางฟ้า ประชาชนสามารถดูด้วยตาเปล่าได้ทั่วประเทศ เงื่อนไขต้อง ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆ หมอก และแสงไฟฟ้ารบกวน
    สมาคมดาราศาสตร์ไทย จึงขอเชิญชวนประชาชน ผู้สนใจ เข้าร่วมชมมหกรรมฝนดาวตก
     

แชร์หน้านี้

Loading...