วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระท่านสอนว่า

    "ศีล" เป็นเครื่องกั้น ความชั่ว ไม่ให้ออกทาง กาย วาจา ไม่ให้ความชั่วไปเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งคน ทั้งสัตว์

    "กุศลกรรมบท สิบ" เป็นเครื่องกั้น ไม่ให้ปรากฏความชั่ว ทางใจ ทางวาจา ทางกาย ที่ละเอียดขึ้นไปอีก

    ส่วนพรหมวิหารสี่ นั้น เป็นเครื่องส่งเสริม ความดีในจิตใจเราปรากฏชัดเจนขึ้น

    ทำให้จิต ที่หยาบกระด้าง นอบน้อมอ่อนโยนขึ้น จนเข้าถึงไตรสรณะคมม์ได้ในที่สุด

    ทำให้จิตที่เห็นแก่ตัว มาเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น ทำให้เกิดจิตที่เสียสละ เมื่อจิตรู้จักเสียสละ รู้จักละ ก็ย่อมทำให้จิตปล่อยวาง กิเลส ตัณหาอุปทาน จนละสังโยชน์ได้ทีละน้อยจนสิ้น

    เมตตา เป็นเครื่องเลี้ยงศีลให้อิ่มให้เต็ม ให้บริบูรณ์ ด้วยจิตอันเป็นสุข จากกุศลจิต ผู้ทรงในเมตตาพรหมวิหารธรรม ย่อมไม่ปรารถนาในการเบียดเบียนผู้อื่นแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม ปรารถนาเพียงให้ผู้อื่นเป็นสุข อันเป็นกุศลเจตนา

    เมตตาเลี้ยง สมาธิ เลี้ยงใจเราให้อยู่ในเมตตาฌานด้วยจิตเป็นสุข จิตมันอิ่ม จิตมันเต็ม ชุ่มช่ำใจอยู่เป็นปกติ ทั้งเช้าเย็น ทุกอิริยาบท จน ฌานสมาธิตั้งมั่นใจเป็นกุศล ปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นธรรมชาติ เป็นฌาน จิตชิน ในสมาธิ ในสุขของสมาธิ ในอารมณ์อิ่มในเมตตา จน ดวงจิตดวงใจเราไม่มีที่ว่างให้อกุศลมาแทรก มาซ้อนในหัวใจของเรา

    มีเพียงบุญ มีความดี มีเจตนาดี คิดดี พูดดี ทำดี ต่อทุกๆคน ทุกหัวใจ ทุกเวลา ทุกลมหายใจ

    "ขอกระแสแห่งเมตตาจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ผู้ทรงเจริญเอาไว้ดีแล้วนั้น ได้หลั่งรินชะโลมรดดวงใจทุกดวงให้ชุ่มเย็นด้วยเมตตา หล่อเลี้ยงจิตใจอันงดงามและโพธิจิตทุกๆดวงให้เติบโตงดงามในธารธรรม ตราบธรรมอันพิสุทธิ์วิมุตินิพพานอันบรรลุสู่แดนอันเกษมด้วยเทอญ"


    ทำให้
     
  2. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2621252 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->pr_krut<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2621252", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Aug 2008
    ข้อความ: 18
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 73
    ได้รับอนุโมทนา 42 ครั้ง ใน 11 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2621252 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ขอแนวทางปฏิบัติธรรมสำหรับผู้เป็นโรคซึมเศร้า<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    ตามหัวเรื่องนะค่ะ "ขอแนวทางปฏิบัติธรรมสำหรับผู้เป็นโรคซึมเศร้า"
    ว่ากลุ่มผู้เป็นโรคดังกล่าว ควรจะใช้การปฏิบัติแบบไหนช่วยบรรเทาได้ดีที่สุด ขอบพระคุณทุกความเห็นค่ะ

    :z16

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อาจารย์คะปูขอความเมตตาอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ เพราะมีคนเป็นโรคนี้มาก จะได้ช่วยบรรเทาโรคให้เบาบางค่ะ
     
  3. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2638971 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->aMANwalking<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2638971", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2006
    ข้อความ: 1,157
    Groans: 0
    Groaned at 7 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,724
    ได้รับอนุโมทนา 7,463 ครั้ง ใน 803 โพส
    พลังการให้คะแนน: 222 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2638971 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ปกิณกะธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    ปกิณกะธรรม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)



    ๑. หนี้กรรมการฆ่าสัตว์


    ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภทเนื้อแท้จริง ๆ เขาเป็นคน อาศัยคนที่ทำความชั่วทำตัวให้ตกในบาปอกุศล เมื่อตกอบายภูมิคือนรกมาแล้ว ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้วก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ


    ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว เคยฆ่าปลามากี่ตัวต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่ จำไม่ได้ถือว่าต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา พวกทำได้กำไรที่สุดคือพวกเรือตังเก โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำ ๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ ไอ้สัตว์ทุกประเภทก็คือคน ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

    ๒. อายุขัยและวิธีต่ออายุ


    การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคนบางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก คำว่าอายุขัยนี่หมายความว่า ก่อนที่จะเกิดกฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปี ก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกอุปฆาตกรรมหรือว่าอกาลมรณะ อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย


    จะต่ออายุแบบนี้ก็ต่อมันทุกวันก็หมด เรื่องกัน วิธีต่อทุกวันก็หมายความว่าให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยคือพระ พุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์อย่างจริงจังและต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาตถ้ามี เวลาเดินผ่านไปมีใครเขาหาปลาหาเต่าที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อได้แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุขใน แม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต

    ๓. วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม


    ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจเท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์


    พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ พระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้วมีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์


    หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลังแล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา


    ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่าอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และอกาลมรณะการที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

    ๔. วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย


    การช่วยคนป่วยหนักจริง ๆ อย่าปล่อยให้หนักจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกตอนที่สติยังดีอยู่ให้นิมนต์พระไป สวดสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่สวดพระอภิธรรมแต่เป็นการสวดพระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตายอย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะเพราะต้องการมีชีวิตอยู่ก็เช่นกันถ้าคนป่วย เห็นพระสวดพระปริตร ก่อนสวดมีการสมาทานศีลจิตของคนป่วยในตอนนั้นก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติ สัมปชัญญะที่สมบูรณ์ทำให้เป็นคนที่มีศีล เวลาที่มีการสวดพระปริตรจิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพจิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้วจิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล เพราะกำลังป่วยไม่สามารถจะไปฆ่าใครหรือไปลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีการถวายทานด้วยไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้ ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง


    อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย บาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้นเหลือแต่บุญอย่างเดียว ที่จะประคับประคองคนนั้นให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

    ๕. อานิสงส์การถวายสังฆทาน


    การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิตและถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสนคนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไป เกิดที่นั่น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน


    คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่าแม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน


    ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสนอานิสงส์ก็ไม่มาก จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก


    ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิบางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติเป็นต้น อย่างนี้มีผลมาก

    ๖. วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ)


    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้


    แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขาเขาเป็นคนกันอยู่แล้ว ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมาทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย

    ๗. วัตถุมงคล


    การแจกพระบางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติแต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไรมีความต้องการอยู่ อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัวอารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้วจิตนึกถึงพระอยู่เสมอ อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน


    แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียว คือสงเคราะห์คนบารมีอ่อน คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุ คือพระพุทธรูปสงเคราะห์

    ๘. การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล


    คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ ท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ตัวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วยตัวนี้เป็นปัญญา


    ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีลหมายความว่าเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา นั่นคือเป็นพระอรหันต์ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้นก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียว กัน

    <SCRIPT src="http://gostats.com/js/counter.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript>_gos='c3.gostats.com';_goa=299161; _got=5;_goi=1;_goz=0;_gol='web site traffic stats';_GoStatsRun();</SCRIPT><SCRIPT language=javascript>_go_js="1.0";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1>_go_js="1.1";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>_go_js="1.2";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>_go_js="1.3";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.4>_go_js="1.4";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.5>_go_js="1.5";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.6>_go_js="1.6";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.7>_go_js="1.7";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.8>_go_js="1.8";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.9>_go_js="1.9";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>_go_js="1.0";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1>_go_js="1.1";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>_go_js="1.2";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>_go_js="1.3";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.4>_go_js="1.4";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.5>_go_js="1.5";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.6>_go_js="1.6";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.7>_go_js="1.7";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.8>_go_js="1.8";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.9>_go_js="1.9";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>------------------------------------------------------
    ขอขอบคุณ



    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ทานศีลเนกขัมมะปัญญาวิริยะขันติสัจจะอธิษฐานเมตตาอุเบกขา<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2639311 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2639311", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 22,751
    Groans: 4
    Groaned at 22 Times in 20 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 104,847
    ได้รับอนุโมทนา 168,367 ครั้ง ใน 22,030 โพส
    พลังการให้คะแนน: 7080 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2639311 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->คุณสมบัติของพระโสดาบัน<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปก็เป็นวาระที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะศึกษาในขั้นอริยผล แต่ความจริงเรื่องของพระโสดาบัน เราก็แนะนำกันมาแล้ว ทั้งระดับเข้มข้นและทั้งระดับอ่อนที่สุด

    คำว่าเข้มข้นก็ได้แก่เอกพีชี คำว่าเอกพีชีก็หมายความว่า ถ้าชาตินี้เป็นพระโสดาบัน ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวเป็นอรหันตผล

    ก็จงอย่าลืมว่าคนเป็นพระโสดาบันแล้ว บางทีก็ไม่ต้องรอเวลามากนัก ขณะที่นั่งทรงจิตอยู่ในขั้นโสดาบันนั้นเอง ท่านกล่าวว่า ถ้ามีอารมณ์ไม่ท้อถอย ก็ทำให้จิตให้เข้าถึงอรหัตผลในขณะเดียวกัน เรียกว่าในที่นั่งเดียวกัน

    คำว่า ที่นั่งเดียวกัน ก็หมายถึงว่าในขณะที่นั่งนั่นแหละ ยังไม่ลุกจากที่ ทำจิตให้เข้าถึงความเป็นอรหัตผลเลยทีเดียว แต่เรื่องเรื่องนี้ยังไม่ขอพูด เพราะเป็นกำลังใจของบุคคล คือ ไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเรื่องกำลังใจ แนะนำกันไม่ได้ เว้นไว้แต่คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง

    วันนี้ ก็ขอย้อนต้นอีกนิดหนึ่ง เพื่อทวนผลแห่งการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    อันดับแรก พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในหลายสถาน พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั้นเอง แต่ที่เรียกว่าพระโสดาบันก็คือว่า เป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน

    เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ จากพระโสดาบันไปเป็นพระสกิทาคามี ไปอนาคามี และอรหันต์ นี่พูดถึงเดินช้าๆ...ถ้าคนที่เดินเร็วๆ จากพระโสดาบันแล้วก็ถึงพระอรหันต์เลย เรื่องจะถอยหลังลงมากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกไม่มีสำหรับพระอริยเจ้า

    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ
    ๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีเคารพในพระธรรม มีเคารพในพระสงฆ์
    ๒. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๓. มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์


    สำหรับอารมณ์จิตท่านที่เข้าถึงเอกพีชี มีความเข้มแข็ง แนะนำเพียงเท่านี้ก็ได้ เป็นของไม่ยาก เว้นไว้แต่ว่าท่านที่มีอารมณ์จิตอ่อน หรือพวกปทปรมะ พวกปทปรมะนี่พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะว่าถ้าขืนสอนก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้ อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่า ความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำได้ กำหนดเวลาไว้ให้สั้นที่สุด เพราะว่ามันของปกติธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของยาก ไม่มีอะไรเป็นของหนัก

    ถ้าอยากทราบว่า เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูกำลังใจของเรา เพราะว่าพระโสดาบันไม่ใช่เป็นบุคคลผู้ถือมงคลตื่นข่าว

    เขาว่าดีไหนก็ไปนั้น เขาเฮไหนไปนั้น วิเศษที่ไหนก็ไปที่นั้น แต่ความจริงต้องการให้ท่านมีกำลังใจแน่วแน่ แม้แต่ท่านจะอยู่บ้านของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องมาที่วัด

    คำว่า ไป หมายความว่า ฮือตามข่าวลือกัน เขาลือว่าดีที่ไหนก็ไปที่นั้น ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ เขาลือต่อว่าที่โน่นดีกว่าไปที่โน่นอีก ก็เป็นอันว่าเป็นคนที่มีกำลังไม่แน่นอน อย่างนี้ยังถือว่าไม่ได้มีความเคารพในองค์พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง

    ถ้ามีความเคารพพระพุทธเจ้า ถ้ามีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เราต้องไปศึกษาที่ไหนกัน แล้วการที่จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มันยากนักรึ ศีล ๕ ที่เราพึงทำมันก็เป็นของที่เราจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีอารมณ์เราปฏิบัติอย่างนี้เพื่อพระนิพพาน

    นี่เนื้อแท้จริงๆ พระโสดาบันมีเท่านี้ ใม่ใช่ของยาก ถ้าท่านสดับบอกว่ายาก ทำยาก ก็รู้สึกสลดใจ เพราะท่านเกิดมาได้เพราะท่านมีศีล
    ท่านมีทรัพย์สินได้เพราะอาศัยบริจาคทาน
    ท่านมีสติปัญญามาได้เพราะอาศัยการเคารพในพระรัตนตรัย


    แต่มาชาตินี้กลับว่าสิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยาก ทำไม่ได้ ท่านต้องกลับไปอบายภูมิใหม่ เป็นอันว่าคุณธรรมของพระโสดาบันเพียงเท่านี้ เรียกว่าย้อนกัน


    ต่อไปก็จะพูดถึงเครื่องประดับใจของพระโสดาบัน เครื่องประดับใจของพระโสดาบัน นั้นก็คือ

    ๑. ไม่ลืมความตาย คิดถึงความตายเป็นปกติ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่มีความตายเป็นของเที่ยง อย่างไรเราตายแน่

    และความตายนี่ไม่ได้บอกว่าจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายกลางคืน ท่านกำหนดไว้เพียงแค่นี้ ไม่ใช่คิดว่าอีก ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี จะพึงตาย ถ้าคิดอย่างนั้นจัดว่าเป็นไกลจากความเจริญของจิต เป็นอันว่าอารมณ์ที่เข้าเขตอบายภูมิเสียแล้ว เพราะประมาทในชีวิต

    พระโสดาบันท่านคิดแต่เพียงว่าวันนี้น่ะอาจจะตาย แต่ว่าตายเวลาไหนยังไม่รู้ นี่เราคุยกันเวลานี้พูดไม่ทันจบ ตายเสียก็ตายไปก็ได้ ถ้าเวลาอ้าปากจะพูด ไม่ทันจะพูดตายเสียก็ได้ เขาคิดเฉพาะวันนั้นว่าวันนี้จะต้องตาย

    ในเมื่อเราจะต้องตายแล้ว เราจะยอมรึ ตายไปลำบากเราจะเอารึ เพราะเวลานี้เราได้แสงสว่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์จิตจับมั่น

    บุคคลใดเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุคคลนั้นจะไม่ลงอบายภูมิ นี่อันดับแรกยึดเข้าไว้ก่อนเป็นทุนประจำใจ

    ประการที่ ๒ ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ก็คือเคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕
    ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้ ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อรั้น ไม่เชื่อกัน

    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ

    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริงๆ ก็คือ การเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของพระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร


    ทีนี้เครื่องประดับของพระโสดาบันต้องมี ไม่ว่าอะไรทั้งหมดถ้าไม่มีเครื่องประดับมันก็ไม่สวย

    คนเราถ้ารูปร่างหน้าตาจะสวย ทรวดทรงจะดีอย่างไรก็ตาม ถ้าเดินแก้ผ้าโทงๆ มันก็แลดูไม่น่ารัก มันต้องมีเครื่องประดับ อย่างน้อยก็ต้องมีผ้าหุ้มกาย จะสีสดหรือสีไม่สดก็ตาม นี่ประการหนึ่ง ก็มีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาพอกเข้ามาด้วย เพิ่มเติมเข้ามาอย่างนี้ก็จะแลดูงามสง่า น่ารัก น่าชม น่านิยม น่าทัศนา

    ข้อนี้อุปมาฉันใด แม้อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกแต่เพียงว่า เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ รู้สึกว่าอารมณ์จิตมันแห้งแล้งเต็มที แต่ถ้าเป็นคนประเภทแก้ผ้าเดิน


    อันนี้เราก็มีอารมณ์ประดับอีกอันหนึ่ง ก็คือ มรณานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาทในชีวิต

    จงอย่าคิดว่าเราจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่า เรามีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ก็รู้สึกว่าประมาทมากเกินไป จงคิดว่าวันนี้แหละเราอาจจะตาย แต่ว่าเวลาไหนยังไม่แน่ จิตจะได้ยึดอารมณ์ความดีเข้าไว้ อันนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐานเครื่องประดับอันดับที่ ๒ ที่มีความสำคัญ


    พระโสดาบันท่านกล่าวว่า มีสมาธิพอสมควรเล็กน้อย และมีปัญญาไม่มากนัก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเครื่องประดับอันดับต่อไปก็คือ จาคานุสสติกรรมฐาน

    คำว่าจาคานุสสติกรรมฐานก็ดี มรณานุสสติกรรมฐานก็ดี สีลานุสสติกรรรมฐานคือระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ก็ดี พุทธานุสสตินึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็ดี ธัมมานุสสตินึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี จงอย่าลืมว่าเป็นอารมณ์คิดทั้งหมด ไม่ใช่อารมณ์ทรงตัว คือไม่ใช่ปักหลักหลับตากันอย่างเดียว

    ต้องใช้ทั้งเวลาหลับตา ทั้งเวลาลืมตา เวลาอยู่สงัด เวลาอยู่ในฝูงชน เวลายามว่าง เวลาการงานเข้ามาถึง ต้องใช้อารมณ์นี้ทั้งหมด เรียกว่า ไม่ยอมลืมพระพุทธเจ้า ไม่ยอมลืมพระธรรม ไม่ยอมลืมพระสงฆ์ ไม่ยอมลืมศีล ไม่ยอมลืมความตาย


    เครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งนั้นก็คือจาคานุสสติ เราจะเห็นตามประวัติว่า ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านพวกนั้นไม่มีความหวงแหน

    คำว่า ไม่หวง หมายความว่า มีกำลังใจดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรให้หมด แต่ว่าให้ในเขตที่ควรแก่การเคารพ ถ้าหากว่าเขตใดก็ตามเป็นเขตอุดมเขต หรือบุคคลใดก็ตามเป็นปูชนียบุคคล

    อุดมเขต หมายถึง เขตที่ทรงความสุขสูงสุด ได้แก่เขตของพระรัตนตรัยก็ดี ปูชนียบุคคล บุคคลที่ควรแก่การบูชาก็ดี หรือว่าเป็นบุคคลผู้ควรแก่การสงเคราะห์ เช่นคนที่ได้รับความยากลำบาก อันนี้พระโสดาบันไม่หวงทรัพย์สินของตน แต่ว่าจะไม่ใช่ทุ่มเทจนหมดตัว

    ท่านเป็นคนที่ปัญญา ไม่ใช่มีบาทให้บาท มี ๑๐ บาทให้ ๑๐ บาท มี ๑๐๐บาทให้ ๑๐๐ บาท อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าให้อย่างนั้นแล้วเดือดร้อนภายหลังด้วย อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระโสดาบัน เป็นอารมณ์ของคนโง่ เพราะว่าพระโสดาบันท่านไม่โง่ เพราะว่าพระโสดาไม่โง่ เป็นคนฉลาด

    ทีนี้จาคานุสสติกรรมฐาน มีการนึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงการให้ทาน มีกำลังใจเสมอว่า เราจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะพึงทำได้

    ถ้าเรามีทรัพย์ เราจะให้ทรัพย์ เราไม่มีทรัพย์เราสามารถให้กำลังได้ เราจะให้กำลังช่วยงาน ถ้ากำลังไม่มี ทรัพย์ไม่มี เราก็จะแนะนำให้ท่านผู้นั้นมีความสุข ตามที่เราสามารถจะพึงแนะนำได้ กำลังของพระโสดาบันจดจ่ออยู่ในเรื่องของจาคานุสติกรรมฐานอย่างนี้

    และอย่าคิดว่าจาคานุสสติกรรมฐานนี่จะต้องไปทำเวลาสงัด มานั่งนึกว่าเราจะให้คนนั้น เราจะให้คนนี้ เราจะให้คนโน้น อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเปลือกของจาคานุสสติกรรมฐาน

    เนื้อแท้จริงๆ ของจาคานุสสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้ ให้อารมณ์จิตมั่นทรงตัวว่า เราพร้อมในการที่จะสงเคราะห์บุคคลและสัตว์ให้มีความสุข ขณะใดได้มีการสงเคราะห์ ขณะนั้นมีการชื่นบานของจิตปรากฏ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบันแน่


    ถ้าเราจะพูดกันไปว่าการนั่งนึกมันจะมีผลหรือ ถ้าว่านั่งนึกมันมีผลเพราะว่าตั้งใจจะทำ ตัวอย่าง นางวิสาขา มหาอุบาสิกาเป็นพระโสดาบัน ท่านให้ทานไม่อั้น แต่ว่าทานของท่านต้องอยู่ในเขตดี คือในเขตของพระรัตนตรัย

    ถ้าพระสงฆ์มีความลำบากเพียงใด นางวิสาขาไม่ยอม เรียกว่าอดใจไม่ได้ต้องให้ ต้องสงเคราะห์ เช่น ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนออกพรรษามันเปียกจัด ผ้าจีวรเปียกหมด สมัยนั้นเขาให้กัน ๓ ตัว คือจีวร สบง สังฆาฏิ ไม่มีผ้าผลัด

    นางวิสาขาก็ขอพระพุทธเจ้าถวายผ้าวัสสิกสาฎก พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตอย่างนี้เป็นต้น เป็นอันว่าทนไม่ไหว เห็นคนดีมีทุกข์ท่านทนไม่ได้ แต่ต้องระวัง พระก็พระเถิด ถ้าเป็นพระชั่วท่านก็ไม่สงเคราะห์เหมือนกัน

    ตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า สำนักของนางวิสาขาก็ดี ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ไม่สงเคราะห์พระชั่ว

    ตัวอย่าง ในสมัยหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร พระเรวตะ อยู่ในป่า เป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ ได้อรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณ

    ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไปถึง พระเรวตะก็เนรมิตป่าให้เป็นเมือง เป็นเมืองแก้ว แพรวพราวด้วยเครื่องประดับ อาคารทั้งหมดเป็นแก้วทั้งหมด เป็นสถานที่มีความสุขสบาย

    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลายประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป เทวดาทั้งหลายก็แปลงกายเป็นคนมาบำเพ็ญกุศล เป็นเหตุให้พระแก่ ๒ องค์นินทาพระพุทธเจ้า เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระก็กลับหมด (จะขอลัดตัดเฉพาะตอนปลาย)

    ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็นั่งสนทนาพรรณนาความดีของพระเรวตะ ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ เข้าไปอยู่ในป่าก็สามารถมีเมืองแก้วเป็นที่อยู่

    แต่ภิกษุแก่ ๒ องค์กลับนินทาสมเด็จพระบรมครู คือนินทาพระพุทธเจ้าหาว่าท่านพระพุทธเจ้าเห็นแก่หน้าบุคคล เพราะว่า

    ๑. พระเรวตะเป็นน้องชายพระสารีบุตร จึงได้ไปเยี่ยม
    ๒. พระเรวตะอยู่ในเมืองแก้วแพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ มีความงามในตัวเมือง มีคนก็สวย มีอาหารก็ดี มีคนบำเพ็ญกุศลทำบุญทำทานมาก สงเคราะห์มาก จึงได้ไป

    ไม่ได้รู้ว่าที่นั้นความจริงเป็นป่าชัฏ พระเรวตะเนรมิตขึ้นด้วยอำนาจของฤทธิ์ บรรดาพระทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน

    เวลาที่ไปบ้านของนางวิสาขา พระพวกเพื่อนก็พรรณาความดีของพระเรวตะให้นางวิสาขาฟัง นางวิสาขาก็ทำบุญด้วย ทำกุศลสงเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง

    พระพวกหลังไปนั่งนินทาพระพุทธเจ้าให้นางวิสาขาฟัง ในที่สุดวันนั้นนางวิสาขาเขาไม่ใส่บาตรให้กิน อารมณ์ของพระโสดาบันไม่บูชาชั่ว บูชาดี

    บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาวัดวันนี้มากันทำไม จิตของท่านเคยคิดไหมว่าที่มาคราวนี้จะมารับจ้างวัด ทำงานทุกอย่างต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัลเท่านั้นเท่านี้ มีหรือเปล่า ทุกคนที่มาไม่เคยมีใครบอกว่า มาคราวนี้ต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัล เป็นอันว่าทุกท่านมาด้วยจาคานุสสติกรรมฐานด้วยกันทั้งหมด

    อันดับแรก กำหนดจิตว่าเราจะช่วยงานวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นค่ารถค่าเรือก็ไม่มี ค่าจ้างแรงงานก็ไม่มี และยังไม่เคยกำหนดรางวัลอะไรให้สักนิดหนึ่งว่าทำงานเสร็จจะให้รางวัลอะไร อย่างนี้ก็ไม่เคยปรารภ แล้วท่านมาทำไม นึกถึงกำลังจิตของเราว่า เรามาทำไมกัน ที่มาจริงๆ คือเครื่องประดับใจ

    จาคานุสสติกรรมฐานอันนี้เป็นตัวแท้ ไอ้ตัวนั่งนึกน่ะมันไม่แท้ ตัวทำนี่แหละเป็นตัวจริงๆ ไอ้ตัวนั่งนึก ฝึกให้จิตมันทรงอารมณ์ ให้อยากทำ และเต็มใจทำ ถึงเวลาจะทำก็ทำจริงๆ แต่ว่าเวลานี้ท่านทำจริงใจในด้านจาคานุสติกรรมฐาน จาคะ เขาแปลว่า สละ หรือว่า ละ

    ประการที่สอง ท่านต้องละทรัพย์สินในบ้านของท่าน บุคคลในบ้านของท่าน อันเป็นที่รัก ที่ห่วงใย ที่หวงแหน ตัวออกจากบ้านมา ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งมันมาไม่ได้ บ้านที่รัก ทรัพย์สินที่หาได้ยาก ข้างหลังมันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เสียแล้ว เมื่อก้าวออกจากบ้าน

    ก่อนจะออกจากบ้านน่ะ จ่ายก่อนไปวัด คราวนี้ควรจะมีอะไรไปบ้าง นี่ควรจะมีอะไรบ้าง นี่ละอีกแล้ว สละอีกแล้วทรัพย์สินเป็นที่รัก จ่ายโน่น จ่ายนี่ จ่ายนั้น ถึงแม้ว่าจะมาเพื่อตัวเรา แต่ว่ามาเพื่อกิจอื่น ไม่ใช่กิจของส่วนตัว ต้องถือนั้นเป็นจาคะ

    ประการที่สาม เมื่อจะมาเสียค่าพาหนะ นี่มันเสียเงินอีกแล้ว ละอีก เงินตัวนั้นเราไม่ได้เสียดายเลย เป็นตัวละเด็ดขาด เมื่อมาถึงวัด ทั้งเงินก็ดี ทั้งของก็ดี แรงกายก็ดี แรงปัญญาก็ได้ดี ทุกคนทำงานไม่ย่อท้อ หวังจะสนับสนุนพระพุทธศาสนา

    จิตไปจับอะไร จับพระพุทธเจ้า จับพระธรรม จับพระสงฆ์ จับศีล จับทาน เพราะเราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าเราจะตายเมื่อไรก็ได้ อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐานแท้ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติ

    เป็นอันว่าเครื่องประดับของพระโสดาบันในด้านมรณานุสสติกรรมฐานที่เราทำนี่ กลัวจะตายไปจน ต้องการตายแล้วเป็นคนรวย การให้ทาน ตายแล้วรวย ถ้าไม่รวยทรัพย์เรารวยวาสนาบารมี ดีไม่ดีก็รวยพระนิพพาน อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา อย่างกลางเราก็ไปพรหม อย่างสูงสุดก็ไปนิพพาน

    ถ้าละตัวเดียวแท้ๆ ปรากฏในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อตัดกิเลส คือ โลภะ ที่มีอยู่ในจิตใจ ไม่ให้มันสถิตอยู่ในใจ ตัวนี้หวังได้พระนิพพาน

    เป็นอันว่าอารมณ์ของท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนี้ ขณะที่เรามาทำรวมกัน ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดงาน เป็นตัวละในจาคะตัวสูงสุดในเขตพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นปรมัตถบารมี


    <CENTER>ที่มา : ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑๖ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ</CENTER>

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2639311")</SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1003625 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ลูกวัดท่าซุง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1003625", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2007
    สถานที่: ชมรมวิมุตติธรรม
    ข้อความ: 2,643
    Groans: 4
    Groaned at 11 Times in 9 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 315
    ได้รับอนุโมทนา 19,897 ครั้ง ใน 2,480 โพส
    พลังการให้คะแนน: 738 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1003625 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->


    [​IMG]
    หลวงปู่คำแสนใหญ่

    ข้อลอกข้อความจากพี่ตั้มนะครับมีประโยคมากเลย


    เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" [หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ผู้ถ่ายทอดกราบขออนุญาตต่อหลวงตาวัชรชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และจะขอตัดตอนนำเฉพาะบางตอนที่กล่าวถึงหลวงพ่อกับหลวงปู่คำแสนใหญ่ (พระครูสุคันธศีล) แห่งวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ โดยตรงมาถ่ายทอด ดังนี้


    "พระอุโบสถวัดท่าซุงในปัจจุบัน ใครมาเห็นก็ชมว่าสวย ใครมาเดินรอบพระอุโบสถในเขตกำแพงแก้ว ก็ต้องชื่นใจในกระแสความสงบแห่งบรรยากาศกระแสธรรม... รอบๆ กำแพงแก้วก็เป็นแนวต้นพิกุลอันเขียวสงบเย็นตา กลิ่นก็หอมกล่อมจิตใจให้สงบสุขบรรยายไม่ถูกถ้วน พวกเราต่างรู้จักมักคุ้นสถานที่นี้ดี เพราะนี่คือบ้านพ่อ... บ้านของเรา

    แต่ถ้าย้อนไปเมื่อปี 2518 อันเป็นปีที่เราเริ่มสร้างวัดกันใหม่หมาดๆ ท่านอ่านไป นึกภาพตามไปในอดีต ก็จะนึกออกว่าบริเวณรอบๆ พระอุโบสถยังเป็นดินลูกรังทั้งหมด แล้วก็เป็นหลุมเป็นบ่อด้วย กำแพงแก้วกับต้นพิกุลยังไม่มี ตัวอาคารพระอุโบสถยังก่ออิฐเห็นสีแดง ประตูหน้าต่างยังว่างโล่ง มองไปทางท้ายพระอุโบสถจะเห็นกุฏิ 10 หลัง มีหลังคาทรงเรือนไทยปลูกชิดกำแพง ด้านหน้ามีศาลานวราชบพิตร แต่ไม่มีหอนาฬิกา ตรงนี้แหละ... ที่ผู้เขียนได้สัมผัสความเย็นของกระแสจิตพระพุทธสาวก ... และยังเย็นฉ่ำใจจนถึงวันนี้

    ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว งานฉลองวัดหรือเรียกว่างานครบ 100 ปีเกิดหลวงปู่ปานเริ่มขึ้นแล้ว เริ่มตามแบบของพ่อคือ สงบเงียบ แต่แรงกล้าด้วยพลานุภาพของศรัทธาสามัคคี ผู้เขียนกับผู้ร่วมงานแผนกต้อนรับพระสุปฏิปันโนก็คอยจ้องดูว่า พระคุณหลวงปู่องค์ใดมาถึงก็รีบทำหน้าที่... หลวงปู่ใคร (ตามที่แบ่งกันไว้แล้ว) ใครก็รับตัวท่านเข้ากุฏิ เวลานั้นกำลังรอหลวงปู่คำแสนใหญ่ (ของผู้เขียน) กันอยู่

    ตอนนั้นผู้เขียนจัดอะไรเพลินอยู่จำไม่ได้ กำลังนั่งอยู่ข้างพระอุโบสถด้านเรือนพักธรรมสถิตย์... รู้สึกว่าใจตนเองมีความเยือกเย็นสว่างไสวขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเป็นสุขบอกไม่ได้เอาเสียเลย และรู้สึกว่ากระแสแห่งความสุขสว่างไสวนั้นมาจากอีกด้านหนึ่งของพระอุโบสถ มันจำเป็น... มันเต็มใจวิ่งอ้อมไปดูก็เห็นพระภิกษุชราภาพรูปหนึ่ง ร่างกายสูงใหญ่ แต่เดินหลังค้อมลงมาบ้างแล้ว


    ท่านผู้อ่านเอ๋ย... เพียงเห็นท่าเดิน... เห็นอิริยาบถคนแก่ของท่าน ใจผู้เขียนมันมีปิติล้นหลามออกมา ซ้ำเห็นยิ้มของท่าน ใจเราก็อาบชุ่มด้วยความสุข... เห็นโยมผู้หญิงศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง กำลังกราบแนบหน้ากับพื้นฝุ่นลูกรัง น้ำตาแกไหล ปากก็บ่นว่า

    " หลวงปู่เจ้าขา... หลวงปู่เจ้าขา.... "

    หลวงปู่องค์นั้นก็หันมายิ้ม ยิ้มสวยจริงๆ สวยออกมาจากใจเลย ท่านบอกว่า

    " เออ...เออ...เออ... เป็นสุขเน้อ"

    ท่านเอ๋ย... ผู้เขียนไม่ทราบว่าหลวงปู่คำแสนใหญ่องค์นั้นจะมีจิตตานุภาพเป็นอย่างไร แต่ผู้เขียนยอมคุกเข่าลงกราบ กราบด้วยความสุขใจ น้ำตาคงจะไหลออกมาด้วย ช่างเป็นบุญตัวของเราจริงหนอ ที่ได้ประคองพระคุณท่านเข้ากุฏิรับรอง... จำได้ว่าเป็นกุฏิที่ 4 ...เดี๋ยวก่อน! ถ้าจะมีบางท่านนึกถามขึ้นมาว่า

    ".... แล้วอยู่กับหลวงพ่อ ไม่ชื่นใจหรือ ?" หรืออะไรทำนองนี้ ขอได้โปรดอดใจอ่านต่อไปเถิด ท่านจะทราบคำตอบเอง ทราบจนรู้ซึ้งไปจนวันตายเหมือนผู้เขียน

    แล้วงานปรนนิบัติพระสุปฏิปันโนก็เริ่มขึ้น คือจัดการ "วาง" หลวงปู่คำแสนใหญ่ที่อาสนะพักผ่อนที่ชั้นล่าง มีอาสนะนั่ง ภาชนะน้ำใช้น้ำฉัน ก็น้อมประเคนถวาย ท่านจะเข้าห้องน้ำก็รีบเข้าไปเช็ดให้แห้ง เหยียบพื้นไม่ลื่น ท่านออกมาแล้วก็รีบทำความสะอาดให้ดีที่สุดไว้เสมอ ท่านจะพักผ่อนหลับนอนก็ประคองขึ้นชั้นบน ซึ่งก็จัดไว้พร้อมพอสมฐานะพระทองคำของพระศาสนา... รวมความว่าลูกศิษย์ 2 คนนี้ จะห่างหลวงปู่ไม่ได้เด็ดขาด มีรางวัลหัวตะพดเลี่ยมเงินในมือ "พ่อ" พร้อมประทานให้อยู่เสมอ

    ท่านทั้งหลาย งานปฏิบัติพระตามปกติมันก็ไม่หนักหนาอะไรหรอก... ยิ่งเป็นพระทองคำทั้งองค์อย่างหลวงปู่คำแสนใหญ่ด้วยแล้ว ยิ่งเบาใจ อิ่มใจ สบายใจ เหมือนเราจะลอยได้อย่างนั้นแหละ ตัวท่านเองก็ไม่ต้องการอะไรจุกจิก มีแต่เราเองนะซิที่คอยจุกจิกท่าน คือขยัน อยากจับอยากนวดบ้าง อยากให้ท่านเข้าห้องน้ำอีกซักครั้ง จะได้เช็ดถูพื้นเพิ่มบุญให้ตัวเองอีกสักหนบ้าง แล้วที่คันหัวใจอดไม่ไหวเลย ก็คืออยากถามธรรมะให้ท่านพูด....คิดว่าจะได้ชื่นใจสบายจิต ...เรื่องสำคัญจึงเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

    คืนนั้น.... ที่หลวงปู่เพิ่งมาถึงนั่นเอง ก็มีผู้ปฏิบัติพระด้วยกันท่านหนึ่ง นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ด้วยกันกับผู้เขียน ท่านผู้นั้นก็ชวนหลวงปู่สนทนาขึ้นมาว่า

    " เขาลือกันว่าหลวงปู่ยิ้มสวย จนเรียกว่า รอยยิ้มพระอรหันต์ ทำอย่างไรจึงจะยิ้มได้เหมือนหลวงปู่ครับ ?"

    เขาพูดลอยๆ ออกมา ท่าทางก็ไม่ค่อยจะนุ่มนวลนัก ใจผู้เขียนก็ขุ่นขึ้นมาตามแบบน้ำใจของเราเอง แต่ว่าน้ำใจหลวงปู่ท่านไม่เหมือนเรา ท่านยิ้มจนหางตาย่นมากๆ แต่ว่าริมฝีปากกับดวงตาท่านมีอะไรหนอ... มีประกาย มีความงาม มีความสุขฉายออกมาพร้อมกับคำตอบ

    " เอ๊อ... (พยักหน้าหลายๆ ที) ....ถ้าใจมันไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ มันก็ยิ้มสวยเองแหละเน๊อ...."
    <!-- google_ad_section_end -->
    <TABLE class=tborder id=post1003626 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1003626 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">
    [​IMG]



    ท่านผู้อ่านที่รัก ท่านอ่านคำบันทึกของผู้เขียนนี้ ก็คงจะได้เพียงภาพพจน์และอารมณ์เป็นสุขบ้างแบบอ่านหนังสือ แต่ผู้เขียนได้ยินเสียง.... ได้เห็นกระแสสายตา ความงามของมุมปากยิ้มขำๆ ปนใจดีมีสุข ซ้ำยังกระทบกระแสความเมตตาของท่านในขณะนั้น.... มันบอกไม่ถูกว่าเป็นสุขอย่างไร รู้แน่แก่ใจตัวว่า "ท่านเอาใจของท่านออกมาพูด" ผู้เขียนก็เลยลืมขุ่นใจท่านผู้นั้นไปเลย... พอท่านผู้นั้นลุกออกจากกุฏิไปแล้ว ผู้เขียนก็ได้ใจจะเอาบ้าง กระหย่งเท้ากราบลงแทบเท้าหลวงปู่คำแสนใหญ่ละล่ำละลักประจบประแจง


    " หลวงปู่ครับ ผมอยากบวช "

    " เอ้อ อยากบวชจริง ก็ได้บวชเน้อ... "

    แหม... มันไม่หายคันหัวใจ

    " บวชแล้ว ผมจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ? " (เอาเข้านั่น)

    " เอ้อ... เอ้อ... ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติให้มันดี ปฏิบัติให้มันตรงทาง พอถึงปลายทางก็เป็นพระอรหันต์เองแหละเน้อ..."

    โอย... ไม่เอาใจกันบ้างเลย มันจะหายโรคคันได้ยังไง

    " หลวงปู่ครับ ผมขอฝากตัวเป็นศิษย์ ขอประทานโอวาทไว้ปฏิบัติครับ "

    เท่านั้นแหละท่านผู้อ่านเอ๋ย หน้าที่ยิ้มสวยๆ เสียงที่อ่อนโยนเนิบนาบก็เปลี่ยนไป.... เปลี่ยนแบบฟ้าร้องไม่ทันอุดหู

    " ไอ้คนจังไรนี่ พูดเอาอัปปรีย์เข้าตัวนี่... " ชี้หน้า ตาลุกเลย !


    " อย่าไปพูดจังไรอย่างนี้กับพระองค์ไหนอีกเลยน๊า... เออ... ครูบาอาจารย์ของตัวเองนะ เป็นพระอรหันต์องค์เอกของโลก ในปลายศาสนา 5,000 ปี นี่ จะหาใครมาเหมือนท่านได้ นี่... ยังจะมีกะใจแส่หาอาจารย์อื่นอีกหรือ ไม่มีใครเขาจะสอนเราได้เหมือนอาจารย์เราสอนหรอก... จำไว้นา... อย่าพูดอย่างนี้อีก ตัวเองนี่... รีบไปกราบเท้าขอขมาท่านเสีย แล้วมงคลจึงจะเข้าถึงตัวได้ ไปรักษาศีล 5 ให้ดี เอาไว้รับความดีที่ท่านจะมอบให้เถิด จำไว้นาลูกเอ๊ย... "



    ประโยคสุดท้ายเปล่งออกมา ประกายตา รอยปาก ก็เปล่งความในใจออกมาอีก.... ผู้เขียนร้องไห้อยู่นาน ท่านลองเดาดู... ร้องทำไม ?

    นับแต่เวลานาทีนั้น... ใจผู้เขียนก็มีความปลื้มใจ ภูมิใจ และสลดใจ ปะปนกันทุกครั้งที่นึกถึงพ่อและตัวเอง และสำหรับหลวงปู่คำแสนใหญ่ (ผู้ไม่พูดเอาใจเสียเลย) ผู้เขียนขอเทิดไว้ในความทรงจำด้วยความเคารพและขอบพระคุณสุดจะประมาณได้


    รุ่งขึ้นก็สงบเสงี่ยมเจียมวาจาปรนนิบัติบูชาหลวงปู่ ตอนนี้หายคันแล้ว ..ชักไม่อยากกินข้าวกินน้ำ มันอิ่มไปหมด ใจมันอยากจะวิ่งไปกราบเท้าพ่อเสียเวลานั้น... แต่ก็นึกได้ทันว่า ที่มือพ่อมักจะถือตะพดหัวเลี่ยมเงินอยู่เสมอ แล้วก็ตีแรงด้วย แม่นยำด้วย ...ก็เลยหยุด

    พอถวายอาหารเช้าหลวงปู่เสร็จ ถ้าท่านประสงค์จะเจริญศรัทธาญาติโยมที่มาในงาน ก็จะประคองท่านออกไปนั่งอาสนะที่จัดไว้นอกกุฏิ ท่านจะพักก็พากลับ เป็นอย่างนี้จนถึงวันที่สอง... วันรองสุดท้ายของงาน


    พอถึงตีสาม ลูกศิษย์ของท่านที่มาด้วยกันก็มาปลุกผู้เขียนบอกว่า หลวงปู่ให้ขึ้นไปพบ (ท่านนอนชั้นบน เรานอนเฝ้าชั้นล่าง) ก็ขึ้นไปหาเข้าใจว่าท่านจะต้องการใช้สอย เห็นท่านนั่งขัดสมาธิสบายๆ อยู่ กวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้แล้วบอกว่า

    " หลวงปู่จะกลับก่อนตอนตีสี่นี่เน้อ... ทางวัดสวนดอกมีธุระให้คนมาแจ้งเมื่อตอนดึกนี่ บอกหลวงพ่อด้วยว่า อยู่ลาไม่ทันแล้ว "

    แล้วท่านก็ดึงหัวผู้เขียนไปที่หน้าตักท่าน เอาดินสอมาเขียนขยุกขยิกลงบนกระหม่อมแล้วให้พรให้สมปรารถนา ดาราเจ้าน้ำตาก็แสดงบทถนัดอีกครั้ง ท่านจะลงอะไรบนหัวเรา เราคิดอย่างเดียวว่า ท่านได้สลักโอวาทและรอยยิ้มพระอรหันต์ลงในกระดูกศรีษะ ทะลุผ่านเข้าไปติดตรึงในดวงใจเราไม่มีวันจะลบออกได้ แล้วท่านก็ลงมาคอยรถเขาถอยมารับที่หน้ากุฏิ


    ตอนนั้นตีสี่พอดี ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้เห็นพ่อเดินแกว่งไม้เท้าเข้ามาหา (พ่อพักอยู่ด้านริมน้ำคนละฝั่งถนน)


    "...(เรียกชื่อผู้เขียน) เอ๊ย ! ... เรียบร้อยดีไหมหว่าทางนี้ อ้าว... นั่น ! พระอะไรมานั่งอยู่นี่ ข้าวของนี่จะเอาของเขาไปไหน เอ้า... ช่วยกันค้น ! หลวงปู่ขโมยอะไรเราไปบ้างหว่า... "

    แล้วท่านก็แหวกย่ามหลวงปู่ เอาซองหนาปึ๊กยัดเข้าไป ทรุดกายลงกราบที่ตักหลวงปู่คำแสนใหญ่ 1 ครั้ง


    " ขอบคุณหลวงปู่ที่เมตตามางานผม ยังไม่ได้คุยกันเลยจะกลับเสียแล้ว นี่ผมนอนไม่หลับเดินเรื่อยเปื่อยมาพบพอดี ปีหน้าเมตตามาใหม่นะขอรับ "


    ท่านผู้อ่านเอ๋ย... ภาพนั้น... หลวงปู่ยิ้มแบบเดิม พึมพำรับปากพ่อว่าจะมาอีกในปีหน้า พ่อหัวเราะเสียงดังตามแบบของพ่อ ดวงตาผู้เขียนพิมพ์ภาพนั้นไว้ แต่ใจคิดเตลิดไม่หยุด


    พ่อกูเอ๋ย... พ่อผู้รู้จบ... พ่อผู้ปิดบังตัวเองไว้ ลูกผู้ตาบอดใจจัญไร จนต้องให้พระคุณหลวงปู่คำแสนใหญ่มาชำระล้างให้มองเห็นพ่อชัดเจนเด่นกระจ่าง จนบัดนี้ ลูกเดินอย่างมั่นใจไปบนทาง... บนเส้นทางพระโยคาวจร ตามรอยเท้าพ่อไป.... จนตราบรอยเท้าสุดท้าย.<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1003626")</SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    "เมตตา โดยปราศจากเงื่อนไข

    ให้อภัย ด้วยใจสงบ"

    เมื่อนั้น "ศานติ" ก็ก่อเกิดขึ้นในดวงใจ
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post753397 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Hma<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_753397", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 714
    Groans: 4
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,056
    ได้รับอนุโมทนา 7,977 ครั้ง ใน 707 โพส
    พลังการให้คะแนน: 634 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_753397 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->เสียงธรรมจากพระองค์ที่ 10<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]
    ธรรมใดขององค์สมเด็จพระศาสดาที่พ่อเราได้สอนไว้ เธอทั้งหลายได้ชื่อว่า ศากยบุตรพุทธะ เธอเป็นลูกของพ่อ มีความดีเป็นพื้นฐาน จงปฏิบัติตนให้ได้ดังพ่อของเธอ

    เอ้าทุกคนก็เชื่อว่า ฤาษีเขาสอนเด็กได้ดี การเกรงแย่งชิงดี เกิดจากโลภะจริต เกิดจากความหลงว่าสิ่งที่ตัวทำเป็นตัวกูของกู ดังนั้นเราอธิบายคร่าวๆว่า ทำให้พุทธศาสนาเจริญ ทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกัน อธิบายอย่างนี้แล้วเขาก็จะเชื่อว่า เขาจะไม่มีตัวหลงนั้นเกิดขึ้น เราต้องแก้ที่เหตุใช่ไหม ว่าสิ่งที่เราทำนี้เพื่อประโยชน์อะไร ประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ส่วนบุคคล ถ้าเป็นประโยชน์ส่วนรวม ทุกคนมีอุดมการณ์ เมื่อทุกคนมีอุดมการณ์ ก็จงทำให้สมกับอุดมการณ์ที่มี ดังหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ ในวัดไม่ใช่หรือ

    การปฏิบัติในพระพุทธศาสนา หรือธรรมที่องค์พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอน ฉันขอยกแนวสมเด็จองค์ปฐมซักนิด พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเรานี้มีจิตเป็นพุทธะ คือความสะอาด สว่าง แล้วก็มีกายพระอรหันต์อยู่ในใจเสมอ แต่เหตุที่เราไม่สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษที่พระอรหันต์ หรือไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆได้ ตรงนี้ เพราะมีตัวป้องกัน กำแพงหรือตัวกีดขวางที่เหนียวแน่น กำแพงนั้นประกอบด้วย สามชั้น แล้วก็มี 108-1009 กำแพง มีมากเหลือเกิน แล้วเราก็คิดว่าไม่มี ความคิดว่าไม่มี มันเป็นความประมาทเลือนเลอ เผลอตัว จงทำตัวให้ปราศจากกิเลสหรือขันธ์ห้า ธรรมสว่างที่ใจ จิตพระอริยเจ้าจึงเกิดขึ้น แค่นี้เธอก็จะสว่าง

    จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท กำจัดกิเลสทั้งมวลที่เกิดขึ้น ทำใจให้โปร่งว่าง และสบาย สิ่งที่ทำในปัจจุบันที่เป็นความผิดยกทิ้งไป คิดซะใหม่ ซะว่าเธอจะตั้งตนทำความดีใหม่

    ความผิดก็ส่วนความผิด ความถูกก็ส่วนความถูก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายทำความผิดมันจัดเป็นความดี เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยๆ ถ้าเธอรู้ก็กลับตัวกลับใจทำเสียงใหม่ ก็ถือว่าเรายังไม่สายเกินไป ไม่ใช่หรือ ถ้ากรรมใดที่ไม่ประกอบโดยเจตนา ไม่มีจิตที่เป็นอกุศล ถือว่ากรรมนั้นเป็นโมฆะ จงจำข้อตัดสินนี้เอาไว้

    พระพุทธเจ้าก่อนพระปรินิพพาน ตรัสกับพระอานนท์ว่า เธอจงบอกหัวใจเธอเอง พระธรรมวินัยเท่านั้น ที่จะเป็นศาสดาของเธอเองตลอดไป พระธรรมวินัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นใช้ได้ อย่างมาคิดติดอยู่กับวัตถุสิ่งของหรือบุคคล ใช้ประโยชน์มิได้ วัตถุสิ่งของที่มีย่อมแตกสลาย ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้แน่นอน อนิจจังไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ

    ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

    ศีลเป็นภาคพื้น สมาธิเป็นกำลังเดินทาง วิปัสสนาญาณเป็นคบเพลิงสำหรับส่องทาง

    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปฏิบัติตนให้อยู่ในเขตพระพุทธศาสนา มีศีลบริสุทธิ์ สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิด ปัญญาย่อมมี ปัญญามี ตัวราคะ โทสะ โมหะ ย่อมหาย เมื่อราคะ โทสะ โมหะหาย นั้นแหละคือพระนิพพาน ที่สุดของจิต จบกิจพระพุทธศาสนา

    ธรรมะท่านว่า จงปฏิบัติตนให้ละตัวเราตัวเขา คือกายและจิต จงมีจิตที่ปราศจากกิเลส อย่าคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตัวเราและตัวเขา สิ่งทั้งหลายนี้ย่อมมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แยกตัวในท่ามกลาง แตกสลายในที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราและตัวเขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา เมื่อมันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช้ของเขา เราไม่สามารถต่อไปได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ เธอจงมองดูใจเธอว่ามีอะไรอยู่ในใจ มีอะไรอยู่ แล้วเราก็ปราศจากสิ่งที่มีอยู่ในใจอยู่ ก็ถือว่าถึงที่สุดแห่งพระนิพพาน

    เออ! แม่ทัพนี้รบจนวันตาย ชาติสุดท้ายมันอยู่ตรงไหนล่ะ การรบในชาติสุดท้ายก็ต้องพิจารณาดู เธอจงทำจิตให้ปราศจากกิเลส พระนิพพานไม่ใช่คำพูดหรือคำเขียน จิตที่ปราศจากกิเลสนั้นแหละคือ พระนิพพาน ถ้าเธอจะรบเป็นชาติสุดท้าย ก็ไม่ยาก เธอต้องรู้จักตัวเธอเองเสียก่อน ว่าตัวเธอ เธอมีลักษณะเช่นไร เมื่อรู้จักตนเธอเองแล้ว จงทำจิตให้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน แค่นี้ก็ถึงที่สุดพระศาสนาแล้ว

    วิญญาณหรืออทิสมานกายที่ชาวมโนมยิทธิเรียกว่า กายทิพย์นั้น อทิสมานกายหรือกายทิพย์นี้มีกับสัตว์ทุกประเภท ทุกคน ทีนี้คละและสัตว์มีจิตวิญญาณเหมือนกันไหน เหมือนกันคุณโยมเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขาว เป็นดำ เป็นด่าง เป็นแดง ไอ้แต้ม ไอ้จุก อะไรก็แล้วแต่เถอะ มันมีจิตวิญญาณเหมือนกันทั้งหมด เมื่อมีจิตวิญญาณเหมือนกันก็แสดงว่า วิญญาณตัวนี้แหละ คือ ตัวร่างกายเรา ทีนี้เมื่อเราเจ็บ จิตวิญญาณมิได้เจ็บด้วย เมื่อเราป่วยจิตวิญญาณไม่ได้ป่วยด้วย (เธอห้ามถ่ายรูป) เมื่อจิตวิญญาณมิได้ป่วย ร่างกายเราป่วย แต่เหตุที่เรามีความรู้สึก มีอาการเหล่านั้นเพราะเคยชิน ความที่เราผูกพันธ์ต่อมันว่านี้เป็นของเรานะ ตัวกูก็เป็นของกู ผมของกู ฟันของกู เล็บของกู หนังของกู ความจริงมันไม่ใช่ของเขา แต่เราไปยืมเขามาใช้ ใช้แล้วก็หลงระเริงไม่ยอมคืนชาวบ้านเขา นึกว่า กูจะไม่คืนต่อไปล่ะ กูจะคงตลอดชาติ ตลอดสมัย พวกนี้โง่บันไร บัดซบที่สุดใช่ไม่ได้ ไม่มีปัญญาแล้วยังโง่ หลอกหรือโกงของชาวบ้านเขามาอีก เมื่อเรารู้สภาพความเป็นจริงว่า ตัวเราจริงๆ คือจิตวิญญาณเสียแล้ว พระองค์พระจอมไตรทรงดำรัสต่อไปว่า นี้ในคัมภีร์วัชรวัญญา ฝ่ายมหายาน มีการเขียนคัมภีร์ไว้ในขณะนี้ว่า จิตวิญญาณหรือจิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกประเภทเป็นจิตของพุทธะ พุทธะเป็นความเบิกบาน ความบริสุทธิ์เป็นความใสสะอาด เมื่อจิตของพุทธะมีอยู่ในร่างกายคนเราทุกคนแล้ว ทำไมเราจึงไม่เห็นจิตเดิมแท้ ไม่เห็นธรรมพุทธะหรือไม่เห็นกายที่เข้าใจเรียกว่า กายพระอริยะเจ้านั้นได้ เพราะเหตุที่มีตัวสีมาฉาบให้ไม่สามารถเห็นไอ้ตัวนี้แหละเป็นเครื่องเกาะกินใจอย่างร้ายกาจเป็นเครื่องทำรลายความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ สีมีกี่อย่าง กี่ประเภท สีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรถือว่าเป็นตัวคอมมิวนิสต์เกาะกินความดีก็คือ ตัวราคะ เมื่อสีราคะเกิดจิตวิญญาณที่ใสสะอาดย่อมเศร้าหมองขุ่นมัว ต่อไปสีตัวที่สอง คื อโทสะ เมื่อตัวโทสะเกิดขาดปัญญา เมื่อสีตัวที่สองมี สีตัวที่สามก็ย่อมมี เมื่อมีตัวที่สาม คือ ราคะ โทสะ ตัวที่สามโมหะ ทั้งสามตัวนี้เป็นสีใหญ่ๆ ที่มาแปลบเปลื้องจิตวิญญาณของเราหรือตัวเราจริงๆ ไม่สามารถใช้พลังหรืออำนาจจิตวิญญาณหรือใช้อำนาจกายของเราได้ เพราะนั้น พระองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกวิธีการปฏิบัติ ทำต้นให้เข้าถึงจิตแท้ของเธอ จิตเดิมของพระอริยะเจ้า หรือพูดง่ายๆที่พวกเราเรียกว่า กายของพระพุทธเจ้า หรือ กายของพระอรหัตนั้นเองถ้านั้นเมื่อเรามีกายพระอรหัต กายของพระอริยะเจ้า เราก็มาหาวิธีปฏิบัติให้เข้าถึงกายของพระอรหัติองด์นั้น วิธีปฏิบัติให้ถึงกายพระอริยเจ้าในจิตของเราก็คือ พระองค์ทรงสอนว่า เริ่มแรกต้องทำกายให้เป็นปกติ วาจาให้เป็นปกติ ที่นี้กายวาจาจะปกติได้ พระองค์ทรงบอกว่า ต้องมีสิกขาบท สิกขาบท คือข้อห้าม ข้อยกเว้น ข้อห้ามนี้เรียกว่า ศีล ศีลแปลว่าปกติ บุคคลใดมีศีล บุคคลนั้นปกติ เมื่อมีกายปกติแล้ว ความสมอาจ ความสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของใจย่อมแพร่พลานุภาพให้เห็น เกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ คือพลังสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วปัญญาย่อมเกิด เมื่อปัญญาเกิดจึงนำเอาปัญญาเหล่านี้ ที่ได้มาจากอำนาจของสมาธิ ศีลนี้ ไปตัดตัวสีทั้งสามตัว คือ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อเราสามารถชำระล้างจิตใจ คนที่เป็นพระโสดาบัน ก็สามารถเอาพลังอำนาจของจิตวิญญาณแปลสภาพเป็นพลังปัญญานั้นมาล้างตัวราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางน้อยลงหน่อย ถือว่าเป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นพระสกิทาคา อนาคา ก็ล้างให้สะอาดมากขึ้นไปอีกนิดนะลดหลั่นตามชั้นของพระอริยะเจ้า คนที่เป็นพระอรหัตนี้หนักแน่นหน่อย ล้างมากหน่อย จึงใสสะอาด เพราะฉะนั้นอำนาจพลังสมาธิเกิดได้เพราะศีล อำนาจศีลเกิดได้เพพราะใจ เราตั้งปกติ กายปกติ อำนาจปัญญาเกิด ปกติอำนาจปัญญาเกิดได้เพราะอาศัยสมาธิเป็นเกณฑ์ เมื่อพวกเราทราบอย่างนี้ จิตเดิมแท้ของเราเป็นพุทธะ เราก็น้อมนำตนให้ถึงจิตเดิมแท้ เมื่อพวกเราทราบอย่างนี้ จิตเดิมแท้ของเราเป็นพุทธะ เราก็น้อมนำตนให้ถึงจิตเดิมแท้ ทำความรู้สึกว่าธรรมะอยู่กับตัวเรา เราคือธรรมะ ธรรมะเป็นข้อที่พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไม่ใช่อยู่ที่ไหน มิใช้อยู่ที่พระไตรปิฏก มิใช่อยู่ที่ตำราหรือตัวอาตมา หรืออาศัยครูบาอาจารย์ แต่พวกเรามีธรรมะทุกคน แต่เหตุนี้เราไม่รู้จักเอาธรรมะหรือเอาพระอริยะเจ้าในจิตของเรามาใช้ เพราะว่าเราไปโง่หลงงมงายว่า นี้ของกู ลูกของกู ผัวของกู เมียของกู สมบัติภัสฐาณทั้งหมดที่อยู่ในรอบกายเราเป็นของกู เมื่อเป็นของกูตัวนี้ ภาษาศัพย์ธรรมะเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า ความผูกพันธ์ทางใจ ความผูกพันธ์ทางร่างกาย เริ่มแรกนี้มีความผูกพันธ์ทางร่างกายเสียก่อน สร้างพันธะให้แก่ร่างกายขึ้นมา เมื่อพันธะของร่างกายเกิด ใจก็เกิด ใจก็ผูกพันธ์ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นเมื่อใจผูกพันธ์ ไอ้ใจที่เคยใสสะอาดเปรียบเหมือนลูกฌโป่งที่ลอยไปในอากาศกับไปโดนผูกตึงไว้ มันก็ไม่มีความบริสุทธ์ ไม่มีความสะอาด ไม่มีการเป็นอิสระ ใจอันนี้แหละที่ว่าใจที่โดนสีทั้งสามอย่าง เข้าทำร้ายหรือเข้ามอมเมาให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ เรียกว่าใจพระอริยะเจ้าโดนทำรายแต่โดยไม่ชื่อว่าโดนทำลาย เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราทราบถึงตัวเองว่า เราก็เป็นพระอริยะเจ้าคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าสามารถทำได้ ทุกคนก็สามารถทำให้ถึงซึ่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ คือเข้าถึงแดนพระนิพพาน เพราะใจสว่าง จบ. อาจไม่เข้าใจสำหรับบางคน มีอะไรจะถามอีกไหม

    ถามปฏิบัติแล้วจิตระเบิด? พวกเราใช้ธรรม เป็นธรรมเมากันไปหมด เอะอะ อะไรก็เป็นธรรมเมา เอาธรรมไปใช่ในทางที่ผิด กลายเป็นว่าต้องมีโทษมีประโยชน์อย่างนั้นๆ ความจริงแล้ววิธีการปฏิบัติพระกรรมฐานทั้ง 40 อย่างที่องค์สมเด็จพระศาสดาทรงสอนไว้นั้น ความมุ่งหมายของพระองค์ เพื่อหวังให้จิตเราสะอาด บริสุทธิ์เท่านั้น เพื่อให้จิตเราสงบ เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเราสงบก็ถึงแดนพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถบังคับ ควบคุม อารมณ์กาย อารมณ์ใจขึ้นได้ ถือว่ามันยังไม่ระเบิดหรอก การตั้งคำถามต้องถามให้ตรง ถามให้ถูก ถามอย่างผู้รู้ อย่าถามแบบคนโง่ ผู้รู้ทำไมต้องถามกันบาง เพราะฉะนั้นคนที่มีคำถามถือว่าไม่เป็นคนโง่ แต่ถ้าถามชนิดที่เรายังไม่เข้าใจคำถามของเราเลย อย่าเอาคำถามนั้นมาใช้เลยดีกว่า เพราะตัวเราเอง ยังไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเลย แล้วเราจะไปถามชาวบ้านเขาได้ยังไง

    ขอดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่อยู่ที่ฉัน ดวงตาเห็นธรรมอยู่ที่จิตของโยม เพราะฉะนั้นจงทำจิตให้เห็นธรรม โดยการตัดตัว ราคะ โทสะ โมหะ ทิ้ง ทำจิตให้ว่าง นั้นแหละคือพระนิพพาน

    ถ้าเราอยากได้พระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ หรืออักษร แต่เป็นการปฏิบัติ พระนิพพานต้องทำใจให้ว่างสะอาด ผ่องใส นี้คือพระนิพพาน ความว่างเกิดขึ้นกับใจเมื่อใด นั้นคือพระนิพพานของเธอ เพราะฉะนั้นอยากได้พระนิพพานอย่ามาเดินขอชาวบ้าน ต่างคนต่างทำเอา ถือว่าอยู่ที่ความปราถนาและความสามารถของตน

    เทศน์โปรดครั้งสุดท้ายก่อนไม่รับแขก


    เธอทั้งหลายที่พากันมาประชุมในที่นี้ อาราธนาให้เราแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า พวกเธอทั้งหลายมีใจเป็นบุญเป็นกุศล คิดว่าจะปฏิบัติในกิจของพระพุทธศาสนาให้บรรลุถึงที่สุด คือพระนิพพาน พวกเธอทั้งหลายมีใจที่เป็นบุญเป็นกุศล คิดว่าจะปฏิบัติในกิจของพระพุทธศาสนาให้บรรลุถึงที่สุด คือพระนิพพาน พวกเธอทั้งหลายจงทำใจให้ได้ซึ่งกระแสพระนิพพานเสียก่อน วิธีทำใจให้ได้กระแสพระนิพพานนั้น วันนี้ฉันจะพูดทั้งวันเรื่องจิตของเธอเอง ทำความรู้สึกของจิตหรือใจของเราว่าอะไรเป็นของเราบ้าง กายมั่นอยู่ที่ไหน ใจมันอยู่ที่ไหน สิ่งไหนกายและใจ อะไรเป็นของเรา เมื่อมีความรู้สึกว่าเป็นของเราแล้ว เราก็สามารถ คัดเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามออก จากตัวเรา คือ จิตหรืออทิสมานกาย คนที่ตายไปมีลักษณะเปรียบเหมือนใยบัวที่ทุกคนเห็น นี้เป็นร่างกายส่วนข้างในคือ อทิสมานกายหรือกายทิพย์ เพราะฉะนั้นร่างกายมีลักษณะที่เหยี่ยวย่น ไม่มีลักษณะอาการที่น่าดู แต่ว่าใจโปร่งใส และเบาใช่ไหม เมื่อข้างในโปร่งใส จิตอันนี้แหละ เป็นจิตพระอริยะเจ้า ทุกคนมีจิตอย่างนี้อยู่เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายวิธีทำใจให้เข้าถึงจิตแห่งพระอริยะเจ้า จงวาง ภาระธุระทั้งหมด ครั้งใดที่คิดจะทำกิจพระพุทธศาสนา อย่าให้มีภาระธุระ มีความกังวลใจ ความว้าวุ่น เศร้าหมอง ข้องใจ ปรากฏในจิต แค่นี้เธอก็สามารถบรรลุถึงจิตพระอริยะเจ้าได้โดยไม่ยาก เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ขีดสุดพระพุทธศาสนา จบคำเทศน์ครั้งสุดท้าย

    [​IMG]
    ให้พรหลังเทศน์ครั้งสุดท้าย

    ขอตั้งสัจจาอธิษฐาน ท่านผู้มาแล้วก็ดี ยังไม่มาแล้วก็ดี ผู้หวังพบเราก็ดี มิได้หวังพบเราก็ดี ขอเธอทั้งหลายเหล่านั้น ผู้มีใจเป็นบุญเป็นกุศล จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลตามมโนรสพึงปราถนา สิ่งใดที่ไม่ผิดในธรรมวินัยแล้วไซร้ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและถูกกฎหมายบ้านเมือง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จงพึงบังเกิดแก่ท่านที่มาแล้วก็ดี มิได้มาก็ดี ด้วยที่สุดสิ้นทุกข์ด้วยเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    (คัดจากเทปบางตอนจากเสียงธรรมจากพระองค์ที่10 ม้วน1-4 บันทึกในปี2528)
    ที่มา : http://www.praruttanatri.com



    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    " สีเลนะ สุคะติง ยันติ <SMALL>
    </SMALL><SMALL>
    </SMALL>สีเลนะ โภคะสัมปะทา<SMALL> </SMALL><SMALL>
    </SMALL><SMALL>
    </SMALL>สีเลนะ นิพพุติง ยันติ "<SMALL> </SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL><SMALL>
    </SMALL><SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>หลายท่านเห็นประโยคนี้แล้ว นึกถึงเวลาที่ไปทำบุญ</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>แล้วเราก็กล่าว "สาธุ" ตามหลัง</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>แต่หารู้ไม่ว่า แปลว่าอะไร คิดว่าพระท่านให้พร</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>ที่แท้จริงแล้วพระท่านมิได้ให้พร เพียงแต่พรที่ท่านให้นั้น ให้เราไปทำให้มันเกิดขึ้นเองต่างหาก</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>ใครอยากได้นั้น อยากได้โน้นได้นี้ ขอพระ แต่หารู้ไม่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ให้ไว้หมดแล้ว</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>เราเห็น เรารู้ เพียงแต่เราไม่ทำ เราบอดสนิ</SMALL><SMALL>ด</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>ศีลทำให้ไปสู่สุขติ</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>ศีลทำให้มีทรัพย์</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>ศีลทำให้ไปนิพพาน.....</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>แล้วจะไปหาอะไรทีใหนอีกเล่า</SMALL>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ทึ่งดช."ชินบัญชร" สวดตั้งแต่ 3ขวบ



    <table width="20%" align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#400040"><td>[​IMG]
    นักสวดจิ๋ว - ด.ช.ตรีภพ ชุมใหญ่ วัย 7 ขวบ สวดคาถาชินบัญชรจบบทตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ในภาพขณะท่องให้สรพงศ์ ชาตรี ผู้เลื่อมใสสม เด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ฟัง

    </td></tr></tbody></table>ทึ่งเด็กชายสวด มนต์ สวดคาถาชินบัญชรได้จบตั้งแต่ 3 ขวบ พ่อเผยเริ่มจากสวดตามจนท่องจำได้หมด เมื่อตอนเด็กเคยพาไปวัดที่"สรพงศ์ ชาตรี"อุปถัมภ์ที่สีคิ้ว มีโอกาสท่องชินบัญชรให้พระเอกชื่อดังฟัง และได้รับคำชมเป็นเด็กอัจฉริยะ จนวันนี้อายุ 7 ขวบก็สวดได้อีกหลายคาถา แถมชอบทำบุญ ความคิดโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน

    วันที่ 22 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับทราบว่า ที่บ้านเลขที่ 766/63 หมู่บ้านกฤษณา ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี มีเด็กชายวัย 7 ขวบ มีความเป็นอัจฉริยะเกินเด็ก สามารถสวดมนต์ได้หลายบทคาถา โดยเฉพาะพระคาถาพระชินบัญชร จึงไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงบ้านพบเด็กคนดังกล่าวคือด.ช.ตรีภพ ชุมใหญ่ หรือน้องอันดามัน อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนอุดรคริสเตียนวิทยา อ.เมือง อุดรธานี เป็นบุตรนายตรีธนะ ชุมใหญ่ ผู้จัดการโรงแรมนภาลัย ต.หมากแข้ง อ.เมือง อุดรธานี กับนางสิริญาณ์ ชุมใหญ่

    นายตรีธนะกล่าวว่า สมัยที่ตนยังเด็กได้รับการปลูกฝังให้รู้จักทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม และกราบไหว้บูชาพระ เมื่อแต่งงานและมีน้องอันดามัน ตนและภรรยาก็จะพาไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ ต่อมาเมื่อน้องอันดามันอายุได้ 3 ขวบ ก็เริ่มติดตามเข้ามาสวดมนต์ในห้องพระที่บ้าน และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นน้อง อันดามันสามารถสวดมนต์ได้ทั้งๆ ที่ยังอ่านหนังสือไม่ได้ โดยใช้วิธีจำจากที่ตนสวดมนต์ เมื่อเห็นลูกชายสวดมนต์ได้ จึงได้สอนให้สวดมนต์คาถาต่างๆ โดยเฉพาะพระคาถาชินบัญชร ซึ่งน้องอันดามันก็สามารถสวดได้อย่างถูกต้อง

    นายตรีธนะกล่าวต่อว่า วันหนึ่งขณะขับรถไปทำธุระที่กทม. ได้นำน้องอันดามันขณะนั้นอายุเพียง 3 ขวบไปด้วย ตอนขากลับก็ได้พากันแวะไปกราบไหว้รูปหลวงพ่อโต ที่วัดบ้านโนนกุ่ม อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา หรือที่เรียกกันว่า วัดสรพงศ์ และได้มีโอกาสพบกับสรพงศ์ ชาตรี ดาราชื่อดังที่เป็นผู้สนับสนุนวัด น้องอันดามันได้สวดพระคาถาชินบัญชรให้สรพงศ์ฟัง ทำให้สรพงศ์ทึ่งมาก รู้สึกแปลกใจว่าเด็กอายุแค่ 3 ขวบสามารถสวดคาถาชินบัญชรได้ จึงได้บอกกับตนว่าให้เลี้ยงเด็กคนนี้ให้ดีเพราะเป็นเด็กอัจฉริยะ และเมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาก็ได้ไปไหว้หลวงพ่อโตอีกครั้งก็ได้พบกับ สรพงศ์ และก็ได้สวดคาถาชินบัญชรและสวดมนต์บทต่างๆ ให้สรพงศ์ได้ฟังอีกครั้ง ทำเอาผู้คนที่มากราบไหว้หลวงพ่อโตอยู่บริเวณนั้นถึงกับอึ้งกันไปตามๆ กัน และพากันนิ่งเงียบเพื่อฟังเสียงสวดของน้องอันดามัน

    นายตรีธนะกล่าวอีกว่า เมื่อน้องอันดามันอายุ 6 ขวบ จ.ขอนแก่นได้จัดประกวดโครงการสืบสานวัฒนธรรมขึ้น จึงพาน้องอันดามันไปสมัครแต่อายุของน้องไม่ถึง จึงไม่ได้เข้าประกวดด้วย แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วได้ขอให้คณะกรรมการชมความสามารถ หลังจากที่คณะกรรมการได้ฟังน้องอันดามันสวดคาถาชินบัญชร และสวดมนต์ต่างๆ แล้ว ก็อนุญาตให้ร่วมแข่งขันด้วย เนื่อง จากเป็นเรื่องไม่ค่อยพบ ที่จะมีเด็กอายุ 6 ขวบสามารถสวดมนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว

    นายตรีธนะกล่าวด้วยว่า สำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของน้องอันดามัน จะชอบทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรมทุกวันพระ ด้านการเรียนเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีมาตลอด มีความคิดที่โตเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกันและกล้าแสดงออก บางครั้งก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายกล้าเข้าไปพูดคุยสนทนาภาษาอังกฤษกับนัก ท่องเที่ยวชาวต่างประเทศโดยไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
     
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1880628 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1880628", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,454
    Groans: 3
    Groaned at 18 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 477
    ได้รับอนุโมทนา 33,544 ครั้ง ใน 2,497 โพส
    พลังการให้คะแนน: 491 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1880628 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    พรหมวิหาร 4 ต้องเต็มทุกข้อ

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 1 ก.ค.2536<O:p</O:p
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาตรัสดังนี้
    <O:p</O:p
    1 .หมั่นเอาจิตจดจ่อ พิจารณาพรหมวิหาร 4 ให้เนื่องๆ ด้วย พยายามให้เกิดแก่อารมณ์ของตนเองสำคัญ เมตตาภายในให้เต็มเสียก่อน จึงค่อยเมตตาภายนอก
    <O:p</O:p
    2.ที่จิตของเจ้ามีความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เพราะพรหมวิหาร 4 อ่อน ไม่เมตตาจิตของตนเอง จึงยังอารมณ์ให้เบียดเบียนตนเองอยู่มิขาด เจ้าจงอย่าทิ้งกรรมฐานบทนี้ พยายามทำควบคู่ไว้กับมรณาและกายคตา และ อสุภะและอุปสมา โดยอาศัยอานาปานุสสติเป็นพื้นฐานยังจิตให้มีกำลัง
    <O:p</O:p
    3.การพิจารณาก็ต้องเห็นทุกข์ อันเกิดจากอารมณ์เบียดเบียนจิตของตนเอง อันมีสาเหตุมาจากพรหมวิหาร 4 ไม่ทรงตัว ขาดกรรมฐานบทนี้ตัวใดตัวหนึ่งใน 4 ตัว จิตของเจ้าก็ไม่พ้นจากอารมณ์ที่เบียดเบียนตนเอง และไม่พ้นจากอารมณ์ที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น แล้วไม่พ้นจากโลกธรรมที่เข้ามากระทบอารมณ์ของจิต
    <O:p</O:p
    4.การขาดพรหมวิหาร 4 หรือ ทรงพรหมวิหาร 4 ไม่ครบทุกตัว ธรรมแห่งการถูกเบียดเบียน ก็จักกระทบเข้ามาเป็นลูกโซ่ปานฉะนี้ ขอให้เจ้าใช้ปัญญาพิจารณาให้ดีๆ จักได้เป็นแนวปฏิบัติ ทำพรหมวิหาร 4 ให้เต็มได้
    <O:p</O:p
    5.แล้วอย่าละทิ้งอิทธิบาท 4 เสียล่ะ จรณะ 15 ก็ต้องทรงให้ครบ ใช้วิชชา 8 คือญาณทั้ง 8 หรือมโนมยิทธินั้นกำหนดรู้อดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นเครื่องประกอบการศึกษาธรรม หมวดพรหมวิหาร 4 ไปด้วย จักได้รู้ว่า ผลของการพรหมวิหาร 4 มีผลกรรมเช่นใด และจักได้รู้ผลกรรมเช่นใด และจักได้รู้ผลของการรักษาพรหมวิหาร 4 ถ้าครบอนาคตจักเป็นเช่นใดและรู้ผลของจิตปัจจุบันที่กำลังทำความเพียรอยู่ในขณะนี้มีอารมณ์เช่นใด
    <O:p</O:p
    6.ทำไปรู้ไป อย่าทำเหมือนคนดำน้ำ หรือคนเอาผ้าดำมาผูกตา ทำมันส่งไปไม่รู้ว่าจิตมีพรหมวิหาร 4 ประจำจิตหรือไม่และจงอย่าเข้าข้างอารมณ์กิเลสที่หลอกตัวเองว่าพรหมวิหาร 4 ของเราเต็มแล้ว
    <O:p</O:p
    7.จำไว้ตราบใดที่จิตยังถูกสังโยชน์ 10 ร้อยรัดอยู่ในอารมณ์ตราบนั้นห้ามพวกเจ้าคิดว่าพรหมวิหาร 4 เต็มเป็นอันขาด
    <O:p</O:p
    8.อารมณ์ที่เบียดเบียนจิตให้เกิดทุกข์ ไม่ว่าจักมีอามิสก็ดี หรือธรรมารมณ์เข้ามากระทบก็ตาม จงกำหนดรู้ และศึกษาวัดกำลังพรหมวิหาร 4 ตามนั้น ถ้าหากยังยินดี ยินร้าย ยึดสุข ยึดทุกข์ ทำอารมณ์จิตให้หวั่นไหวนานเท่าไร ก็ขาดพรหมวิหาร 4 นานเท่านั้น จุดนี้กำหนดรู้ไว้ให้ดีๆ
    <O:p</O:p
    9.และจงอย่าแก้ไขธรรมะนอกที่เข้ามากระทบเป็นอันขาด จงหมั่นแก้ไขที่ตนเอง ดูอารมณ์ของจิตตนเองให้ดีๆ แก้ไขที่ตรงนี้จึงจักมีผลสมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักธรรมที่ตถาคตสอนมา (เพื่อนผมท่านก็ยอมรับว่า ในอดีตตนชอบแก้ไขภายนอก, ชอบโทษผู้อื่น แทนที่จะโทษอารมณ์จิตตนเองว่าไม่เอาไหน เช่น ชอบยึดโลกธรรมที่มากระทบ ไม่ยอมรับกฎของกรรม ไม่ยอมรับกฎธรรมดาและไม่เข้าใจอริยสัจตามความจริง)
    <O:p</O:p
    10. ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสสอนว่า ดีแล้วที่เจ้าเริ่มรู้สึกตัว ตราบนี้ให้หมั่นปรับปรุงอารมณ์ตนเองเป็นสำคัญ อย่าโทษบุคคลสัตว์ วัตถุภายนอก ต้องโทษจิตตนเองเป็นสำคัญ ที่อยากมีร่างกายให้เกิดมารับกฎของกรรมเหล่านี้
    <O:p</O:p
    11.รู้กฎธรรมดาแต่ว่าอย่าให้จิตเศร้าหมอง ทรงพรหมวิหาร 4 เข้าให้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่ายิ่ง อุเบกขาตัวท้าย จักทำให้จิตยอมรับกฎของกรรมได้โดยสงบ เมื่อเข้าใจแล้วก็จงหมั่นไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย


    ที่มา
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมที่นำสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ 5<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[​IMG]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2462246 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bank8<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2462246", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2009
    ข้อความ: 400
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,936
    ได้รับอนุโมทนา 1,301 ครั้ง ใน 204 โพส
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2462246 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การกวาดวัด เป็นวิหารทาน เป็นธรรมทาน และอภัยทานด้วย โดยสมเด็จองค์ปฐม<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228
    อย่างที่เรียนให้ทราบนะคะ เข้ามา late มาก ๆๆๆๆเลย จะขออนุญาตก็อปปี้ ไปอ่านทีละ ๆหน่อยนะคะ แล้วจะค่อยตามไปเรื่อย ๆค่ะ อย่างนี้ไม่ทราบว่าต้องบูชาครูเลยหรือไม่คะ ขอบคุณคะ สาธุ อนุโมทนามิค่ะ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไหว้ครู คือพระพุทธเจ้าครับ เป็นเครื่องแสดงถึงความนอบน้อมในพระรัตนไตร

    ส่วนเงินบูชาครูนำไปทำบุญครับ เพื่อให้เกิด ทานบารมีต่อไป
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไหว้ครู คือพระพุทธเจ้าครับ เป็นเครื่องแสดงถึงความนอบน้อมในพระรัตนไตร

    ส่วนเงินบูชาครูนำไปทำบุญครับ เพื่อให้เกิด ทานบารมีต่อไป
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอความเมตตาอาจารย์สอนอธิบายวิธีการรักษาโรคโดยใช้พลังของเมตตาค่ะ เพื่อเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือรักษาผู้อื่นเบื้องต้นค่ะ
     
  16. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post777306 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joni_buddhist<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_777306", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 28
    ข้อความ: 8,003
    Groans: 5
    Groaned at 25 Times in 24 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 110
    ได้รับอนุโมทนา 73,906 ครั้ง ใน 9,019 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5444 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_777306 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระเล่าเรื่องหลวงปู่นาควัดระฆังสอนตำรวจไม่ให้จองเวร<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG] [​IMG]
    ตอนหนึ่ง นายตำรวจสมัย คุณเผ่า เวลานี้ยังรับราชการอยู่ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แล้วไม่ออกชื่อหรอก ประเดี๋ยวแกจะว่าเอา ออกชื่อไม่ได้ สมัยนั้นเป็นร้อยตำรวจโท พระของแกหาย พระพุทธรูปขนาด 5 นิ้ว ราคาก็ร้อยกว่าๆ แต่ว่าคนไปล้วงคองูเขียวตายเข้านี่มันโมโห ที่เรียกว่างูเขียวตายเพราะอะไร เพราะเวลานั้น แกไปรับราชการไปทำงาน ไปอยู่เวรที่โรงพัก ทีนี้พระอยู่ที่บ้าน คนขโมยที่บ้าน จะหาว่าแกเผอเรอไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะแกไม่ได้อยู่ ก็เหมือนกับงูเขียว แต่ว่าตายแล้ว เพราะบ้านมันจะคุ้มครองอะไรได้
    เมื่อพระแกหายก็มาถาม แกถามว่าพระของผมใครลักเอาไปขอรับ ก็เลยบอกว่าคุณจะมาถามอะไรฉัน ในเมื่อพระของคุณหาย แล้วอีกประการหนึ่งท่านที่มีความรู้ดีกว่าฉัน คือหลวงพ่อนาค ถ้าคุณอยากจะรู้คุณไปถามหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน แล้วคุณจำไว้นะ ถ้าหากว่าหลวงพ่อนาคยังมีชีวิตอยู่เพียงใด ถ้าหากว่าคุณมีความขัดข้องใดๆ ก็ตาม ถ้ามาถามฉัน ฉันจะไม่บอก เพราะว่าหลวงพ่อนาคดีกว่าฉันหลายล้านเท่า ไปหาหลวงพ่อนาคก็แล้วกัน เป็นอันว่าแกก็ไปหาหลวงพ่อนาค
    พอเอาดอกไม้ธูปเทียนไป ก็กราบ เจตนาของแกมีอยู่ว่า ถ้าแกรู้ตัวเมื่อไรแกจะยิงทิ้งทันที ในฐานะที่ย่องมาล้วงคองูเขียวตาย คือบ้านคำว่างูเขียวในที่นี้หมายถึงบ้านแล้วก็ตาย เพราะบ้านมันพูดไม่ได้มันเลื้อยไม่ได้ เหมือนกับงูเขียวตาย ไม่มีพิษ แต่ว่าเจ้าของพระเป็นงูเห่าแล้วก็มีพิษมาก อาตมาก็ทราบเจตนาของแก สีหน้าของแกบอกอาการของแกบอก คิดว่าอีตานี้ถ้ารู้ตัวเมื่อไรแกยิงทิ้งแน่ เพราะสมัยนั้นเป็นสมัยยิงทิ้ง
    แกกราบลงไป 3 วาระ พอเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อนาคหรือท่านเจ้าคุณเทพสิทธินายก องค์เดียวกันก็บอกว่า คุณ คุณจะไปฆ่าจะไปแกงเขาทำไม คุณคิดจะไปฆ่าเขานะประโยชน์มันดีที่ไหน พระพุทธรูปองค์เดียวราคา 100 กว่าบาท เวลานี้คุณเป็นร้อยตำรวจโทกินเงินเดือนเท่าไร แล้วต่อไป ถ้าคุณยังไม่ออกคุณอาจจะได้เลื่อนยศเป็นนายพันนายพลก็ได้ แล้วเงินเดือนมันเดือนละเท่าไร ถ้าคุณไปฆ่าเขาตายบังเอิญเขาต่อสู้ หมายความวาญาติของเขาฟ้องร้องขึ้นมา คดีถึงโรงศาลคุณก็จะติดคุกติดตะราง เมื่อเวลาคุณติดคุกติดตะรางน่ะ เงินเดือนจะได้หรือเปล่า เงินเดือนมันก็ไม่ได้ ศักดิ์ศรีของคุณก็เสียไป อนาคตก็ถูกบั่นทอน แล้วลูกเมียข้างหลังก็จะมีแต่ความลำบาก จะหากินเองมันจะสะดวกที่ไหน นี่คุณคิดไม่ถูกนี่ พระราคา 100 กว่าบาท แล้วคุณคิดจะฆ่าเขานอกจากนั้นคุณตายแล้ว คุณยังจะต้องตกนรกอีก เมื่อเราอยากได้พระใหม่ เราก็ไปซื้อมาใหม่ มันก็หมดเรื่องกันไป ท่านพูดมากกว่านี้นา แนะนำถึงเรื่องสวรรค์เรื่องนรกอยู่นาน ประมาณค่อนชั่วโมง
    เมื่อพูดจบ ท่านก็ถามว่าขอโทษเถอะคุณ คุณมาธุระอะไร ฉันน่ะเป็นคนแก่นะ พูดเลอะๆ เลือนๆ แบบนี้ บางทีใครเขามาก็พูดส่งเดชไปตามอารมณ์คนแก่นะคุณนะ อย่าถือสาหาความกันบคนแก่เลย พ่อเจ้าพระคุณ ร้อยตำรวจโทคนนั้น เวลานี้เป็นนายพันแล้ว ใครก็ช่างแกก็เลยกราบอีก 3 ครั้ง บอกหลวงพ่อขอรับ เรื่องที่ผมต้องการจะรู้น่ะ จบไปแล้วขอรับ ที่หลวงพ่อพูดน่ะ ตรงตามความเป็นจริง ท่านก็บอก เอ๊อะ ยังงั้นเรอะ ขอโทษเถอะ ไอ้ฉันคนแก่มันก็พูดส่ง บางทีนั่งอยู่คนเดียวมันก็พูดนาคุณนา ไม่ได้พูดแต่กับคุณหรอก เวลาเห็นใครเขาบางทีมันก็นึกอยากจะพูดส่งไปยังงั้นแหละ แต่หลายคนเขาก็พูดว่าไอ้ที่พูดน่ะมันตรงตามความเป็นจริง ไอ้ธุระที่เขามามันก็หมดไป ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องบังเอิญนะ นี่เป็นเรื่องของหลวงพ่อนาคตอนหนึ่งนะ ท่านผู้ฟัง ท่านจะคิดว่าหลวงพ่อนาคท่านรู้เรื่องยังงี้ได้ด้วยอะไร ด้วยญาณหรือเดาก็ตามใจเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ นี่มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น

    ที่มาhttp://www.pradee2.com/LS/Bucha/bc4.jpg

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post655185 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joni_buddhist<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_655185", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 28
    ข้อความ: 8,003
    Groans: 5
    Groaned at 25 Times in 24 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 110
    ได้รับอนุโมทนา 73,907 ครั้ง ใน 9,019 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5444 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_655185 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อท่านสอนเรื่องทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]
    ต่อแต่นี้ไปเป็นโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน การเจริญพระกรรมฐานที่บรรดาท่านพุทธบริษัท ปฏิบัติในอันดับแรกเราสมาทานศีลกันก่อน แล้วต่อไปก็สมาทานพระกรรมฐาน เพื่อปฏิบัติในด้านสมถ ภาวนา และวิปัสสนา ภาวนา นี่การเจริญพระกรรมฐานนี้ เราปฏิบัติเพื่อเอาดีทางใจ เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ"
    เป็นอันว่า คนเราจะดีหรือจะชั่ว ก็อยู่ที่ใจตัวเดียว ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว อารมณ์ใจ ดี กายและวาจาก็ดีไปด้วย กายก็ดี วาจาก็ดี จะทำดี จะพูดดี จะพูดชั่ว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ของใจ หรือใจเป็นผู้สั่ง ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงแนะนำ ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อหวัง ประโยชน์สุขแห่งตน คือพยายามฝึกใจให้เข้า ถึงความดี ทีนี้การเจริญพระกรรมฐาน ก็ชื่อ ว่าเราต้องการความดี ต้องการความสุขในทางใจ อารมณ์ใจมีความสุขเสียอย่างเดียว กายและ วาจามันก็สุขด้วย เพราะว่า ความสุขหรือความทุกข์มันอยู่ที่อารมณ์ของใจ นี่การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรก

    วันนี้จะขอพูดแบบเจริญพระกรรมฐาน แบบง่ายๆ เพื่อหวังผลตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ใน อันดับแรกขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอให้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เสียก่อน เพราะว่าคนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้ว มักไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

    การที่เราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีศีล ๕ เป็นที่พึ่ง ทั้งนี้ก็หมายความว่า เราเป็นผู้มีใจรักษาศีล ๕ และรักษา ศีล ๕ ไว้ เป็นปกติ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงศีล ๕ เป็นปกติ แล้วระมัดระวังไม่ให้ศีล ๕ บก พร่อง ความจริงในระดับ เบื้องต้น เราเกิดเป็น มนุษย์ก็จริงแหล่ แต่สติสัมปชัญญะมันก็ฟันเฝือไปบ้าง ตามอำนาจของอกุศลกรรมมันจะบันดาลให้ จิตใจของเราเห็นผิดเป็นชอบ ฉะนั้น ในตอนนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีจึงสอนให้บรรดาพุทธบริษัทเป็นผู้ทรงสติสัมปชัญญะ เป็นสำคัญ และจงทราบไว้ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วนี้ จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกได้ ก็ต้องอาศัยศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ เฉพาะเวลานี้สิ่งที่นิยมสมาทานกันก็คือศีล ๕ ก็ถือว่าใช้ได้

    ฉะนั้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอบรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงตั้งใจคิดว่า อย่างเลวที่สุดเราจะกลับมาเกิดเป็น มนุษย์ให้ได้ ทีนี้ วิธีที่เราจะเกิดเป็นมนุษย์ได้จริงๆ ก็ต้องเคารพ ในศีล ๕ คิดไว้เสมอว่า ศีล ๕ เป็นปกติ เป็นศีลที่เราจำจัก ต้องรักษา และตั้งใจไว้ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง คือ

    ๑. ฆ่าสัตว์
    ๒. ลักทรัพย์
    ๓. ประพฤติผิดในกาม
    ๔. กล่าววาจาที่ไม่จริง
    ๕. ดื่มสุราเมรัย ที่ทำจิตใจตกอยู่ใน ความประมาท

    อาการทั้ง ๕ อย่างนี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ตรัสว่าถ้าใครละเมิด ก็ไม่มีโอกาสจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ความจริงมาได้เหมือนกัน แต่ว่านานนัก เพราะต้องไปเสวยทุกข์ในนรกบ้าง เปรต อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง

    ฉะนั้นเราจะต้องการจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ตั้งใจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ว่าเราจะไม่ปล่อยให้ศีล ๕ ประการบกพร่องไปจากใจ เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง จะไม่แนะนำให้บุคคลอื่นละเมิดศีล และจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นละเมิดศีล แล้วในระยะต้นมันก็จะเผลอไปบ้าง นี่เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเอาจิตเข้าควบคุมไว้เป็นปกติ ภายในไม่ช้าอาการของจิต คือ สติสัมปชัญญะ ก็จะมีความชิน จะเห็นว่า เรื่องของศีล ๕ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่รักษาได้ง่าย ไม่ยากตอนนี้เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทสมาทานศีล ๕ และนึกถึงศีล ๕ อยู่เป็นปกติ อันนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานกองหนึ่ง การเจริญพระกรรมฐาน นี่ไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไป ถ้าเราใช้แต่เวลาที่นั่งสมาธิมีเวลาสงัด จิตใจของเราจึงจะกำหนดถึงศีล อย่างนี้ใช้ไม่ได้ แต่เนื้อแท้การเจริญกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้นึกถึงกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า ท่านเข้าถึงพระกรรมฐาน และพระกรรมฐานเข้าถึงท่าน นี่กรรมฐานสำหรับสีลานุสสติกรรมฐาน

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างต่ำท่านก็จะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ และถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่มีร่างกายผ่องใส มีอายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีทรัพย์สมบัติอยู่ อย่างสบายไม่มีใครรบกวนเหมือนกันต่อจากนั้นก็ขยับจิตของเราขึ้นไป ว่า เราเป็นมนุษย์ได้แล้ว บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ต่อจากนี้ไปเราก็จะเกิดเป็นเทวดา จะเอาคุณธรรมของเทวดามาใส่ใจ ทำใจของเราให้เป็นใจของเทวดา หรือเรียกว่าทำอทิสสมานกาย หรือกายภายในให้เป็นเทวดา

    การทำกายภายในหรือใจของเราให้เป็นใจเทวดานั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า ให้เราทรงคุณธรรม ๒ ประการ กล่าวคือ หิริ และโอตตัปปะ หิริ แปลว่า อายความชั่ว โอตตัปปะ เกรงผลแห่งความชั่ว ขึ้นชื่อว่า ความชั่วแล้ว เราจะไม่ทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นี่เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง

    ทีนี้มาพูดกันสำหรับนักเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราเจริญในสีลานุสสติกรรมฐาน หรือว่า พุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน จาคานุสสติ เทวตานุสสติก็ตาม หรือว่ากรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตามไม่เลือกในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง มีผลเสมอกัน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านมีศีลบริสุทธิ์ แล้วก็ตั้งใจเจริญสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เราจะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาบทไหนก็ได้ตามอัธยาศัย อันนี้ไม่ขัดข้อง เพราะมีผลเสมอกัน

    นี่การทรงจิตภาวนาของท่านนั้น ถ้าจิตของท่านว่างจากความชั่ว หมายความว่าอารมณ์ที่คิดจะไปลักไปขโมยเขา ไปฆ่าเขา จะทำร้ายเขา จะโกหกมดเท็จเขา จะละเมิดความรักของบุคคลอื่น อย่างใดอย่างหนึ่งไม่มีในจิต จิตมีอารมณ์สบาย รักษาเฉพาะลมหายใจเข้าออก และอารมณ์ภาวนา ทรงไว้ได้ชั่วขณะจิตหนึ่ง ๑ นาที ๒-๓ นาที จิตก็จะเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่นนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ภายนอกซึ่งไม่ใช่ อารมณ์ของกรรมฐาน

    ถ้าหากว่าพอมีสติสัมปชัญญะนึกได้ขึ้นมาว่า เราเผลอไปเสีย เอาอารมณ์ภายนอกเข้ามาใช้ ก็กลับเข้ามาทวนจับอารมณ์ใหม่ ทรงลมหายใจเข้าออกและใช้อารมณ์ภาวนาด้วย ความเคารพในพระพุทธเจ้า ทำอย่างนี้ก็ทรงไว้ ได้บ้างไม่ได้บ้าง สลับกันไป ท่านเรียกว่า ขณิกสมาธิ แปลว่า สมาธิเล็กน้อย

    ถ้าหากว่าท่านพุทธบริษัททรงความดีประเภทนี้ไว้ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านเกิดเป็นเทวดาขั้นหนึ่งขั้นใดที่ต่ำกว่าอากาศเทวดา คือ ภุมมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดีได้แบบสบาย อันนี้เรียกว่าเทวดาเด็กๆ ได้

    ต่อไปถ้าอารมณ์ใจของท่านพุทธบริษัทสูงขึ้น เวลาที่เจริญพระกรรมฐานอยู่ก็ดี ยามว่างไม่ได้เจริญพระกรรมฐานก็ดี มีอารมณ์ใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ผูกพันอยู่ในด้านของพระกรรมฐานเป็นปกติ คิดเสียว่าเราพอใจในการเจริญพระกรรมฐาน เราว่างเมื่อไร เราทำเมื่อนั้น นึกถึงอารมณ์ของพระกรรมฐานขึ้นมาก็มีความ อิ่มใจ มีความสุขใจ

    นี่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรัสว่า ท่านเข้าถึงอุปจารสมาธิ ถ้าอารมณ์ของท่านพุทธบริษัทเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า ท่านผู้นี้ตายจากความเป็นมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา นี่ สำหรับผู้ทรงอุปจารสมาธิ หรือว่าพอใจในการสวดมนต์เป็นปกติ นี่ก็ถือว่าไม่ยากไม่ลำบากอะไรนักถ้าหากว่าท่านพุทธบริษัทมีอารมณ์สูง ขึ้นไปกว่านั้น มีจิตใจสบายรักษาอารมณ์หายใจเข้าออก หรือคำว่าภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งตามอัธยาศัย หูได้ยินเสียงภายนอกอย่างสบาย

    ใครเขาพูดอะไร เขาว่าอะไรรู้เรื่องหมด แต่ ปรากฏว่าใจของเราไม่รำคาญในเสียงนั้น สามารถควบคุมคำภาวนา หรือการพิจารณา หรือ ลมหายใจเข้าออกได้แบบสบายไม่รำคาญในเสียงการควบคุมอารมณ์อยู่อย่างนี้จะช้าหรือ จะเร็วสัก ๒-๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ ไม่เลือก ทรงได้นานหรือไม่ได้นานก็ตามใจ อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับไว้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า ท่านทั้งหลายเข้าถึง ปฐมฌาน

    การเข้าถึงปฐมฌานก็ดี ฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถึงฌานที่ ๘ ก็ตาม เป็นคุณธรรมที่จะทำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทให้เกิดเป็นพรหม หากว่าท่านทรงความดีอย่างนี้ไว้ได้ เมื่อตายท่านก็เกิดเป็นพรหม ทีนี้ถ้าหากว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทยังไม่นิยม ว่า การเกิดเป็นพรหมยังไม่พ้นวัฏสงสาร ต้องการพระนิพพานเป็นที่ไป อันนี้ก็ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงคิดว่า โลกทั้งโลกมีตัวเราเป็นต้น และมีบุคคลอื่น สัตว์ อื่น วัตถุอื่น ทั้งหมดเป็นสภาวะไม่เที่ยง มันไม่มีอะไรทรงตัว มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง มีความทุกข์ในขณะที่ทรงอยู่ และมีการตายในที่สุดถ้าเรายังมีการยึดมั่นตัวเรา เป็นของเราก็ดี ญาติพี่น้องหรือบุคคลที่เนื่องถึงเราก็ดี หรือ วัตถุใดๆ ก็ตามที ถ้ายังถืออยู่แบบนี้ก็ได้ชื่อว่า เราต้องกลับมาเกิด ในโลกมีความทุกข์อยู่ต่อไป องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำว่า การเกิดเป็นทุกข์ แดนที่ไม่ทุกข์มีอยู่ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ ก็ดี พรหมก็ดี ยังไม่สิ้นความทุกข์ ยิ่งเกิดใน นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานด้วยแล้ว กลับทุกข์ใหญ่

    องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำว่า การถึงพระนิพพานสิ้นความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องของจิตนิดหนึ่งก็ไม่มี คนที่จะถึงพระนิพพานได้นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสอน ให้ปล่อยกายเสีย ถ้าเราปล่อยกายเสียได้อย่างเดียว วัตถุต่างๆ หรือบุคคลอื่นเราก็ปล่อยได้ เพราะสิ่งที่เรารักมากที่สุด ต้องการมากที่สุดก็ คือกาย

    วิธีปล่อยกายก็ค่อยๆ คิดว่าเราเกิดมาจะต้องตาย เวลาที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์หาความสุขไม่ได้ ถ้าเราเกิดมาใหม่ก็ดีไม่มีประโยชน์อะไร เพราะร่างกายก็ดีทรัพย์สมบัติก็ดี นี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นเรือนร่างที่จิตเข้ามาอาศัยชั่วคราว เมื่อร่างกายพังแล้ว จิตก็คือเราต้องไปสู่ความสุขหรือความทุกข์ หาชาติหาภพเป็นที่เกิด เมื่อเกิดขึ้นอีกก็ต้องประสบกับความทุกข์แบบนี้ กระทบกับความไม่เที่ยง พบกับความเป็นทุกข์ พบกับการสลายตัว

    ถ้าหากว่าเราปล่อยร่างกายเสียได้เมื่อไร คิดเสียว่าการเกิดเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการความเกิด เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ เกิดเป็นเทวดา หรือพรหมก็ไม่สิ้นความทุกข์ ทำจิตไว้เป็นปกติ คิดไว้ว่าการเกิดมีขันธ์ ๕ เป็นมนุษย์ก็ดี เป็น สัตว์หรือว่าเกิดมีอทิสสมานกายเป็นเทวดา หรือ พรหมก็ตามเราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการก็คือพระนิพพานอย่างเดียว ต้องพยายามทำจิตปล่อย คิดเห็นอะไร ก็ตามเห็นว่ามันพังเป็นปกติ รู้ตัวร่างกายของเราว่า สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะต้องพัง มีญาติ มีพี่น้อง มีสามี ภรรยา มีบุตร ธิดา มีทรัพย์สินต่าง ๆ เราก็คิด ร่างกายแต่ละบุคคล หรือ ทรัพย์สินทั้งหลาย เหล่านี้เป็นของโลก เราไม่ สามารถจะครองหรือจะอยู่ได้ตลอดกาลตลอด สมัยเมื่อถึงวาระที่สุดต่างคนก็ต่างตาย ต่างคนก็ต่างพัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เราไม่ต้องการ และเราจะไม่เห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นดินแดน ที่สวยงาม เราเห็นว่าเป็นดินแดนประกอบไปด้วยความทุกข์ เราต้องการดินแดนที่มีความสุขคือ พระนิพพาน และจากนั้นก็ตั้งใจยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ถ้าความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายเกิดขึ้นแก่เราหรือบุคคลอื่นก็ตาม ถือว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เราไม่ยุ่ง เราไม่หนักใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ก็คือ

    การได้ลาภ แล้วก็เสื่อมลาภ ได้ยศแล้ว ยศก็เสื่อมไป นินทา หรือว่าสรรเสริญ สุข หรือทุกข์ เหตุทั้ง ๘ ประการนี้เข้าใจ รู้ไว้เสมอว่า มันเป็นสมบัติของโลก เมื่อเกิดมาในโลกแล้ว มันต้องพบ เมื่อพบแล้วก็ทำใจเฉย ๆ มีลาภ เกิดขึ้น ก็จงนึกว่าลาภ มันจะต้องเสื่อม เมื่อมันเสื่อมเราก็ไม่เสียใจ เกิดหามาได้ ก็ไม่ดีใจเกินไป ได้รับยศก็ไม่ดีใจเกินไป ถือ ว่ายศมันสลายตัวไป เมื่อยศสลายตัวก็ไม่เสียใจ เพราะรู้ตัวอยู่แล้ว เมื่อพบใครเขานินทา ก็คิดว่านี่มันเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมาจะต้องถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณประเสริฐก็ยังมีคนนินทาว่าร้าย เราก็ไม่สนใจกับคำนินทา ใครเขาสรรเสริญว่าดี ประเสริฐยังไงเราก็พิจารณาตัวเรา ถ้าเราไม่ดี ตามคำพูดของเขาเราไม่รับฟัง ฟังเหมือนกัน แต่ไม่ยินดีด้วยกับคำสรรเสริญ

    ทีนี้ความสุขกับความทุกข์อันเนื่องด้วยโลกียวิสัยเกิดขึ้นกับใจ ก็ถือว่า นี่เป็นเรื่องหลอกลวงหาความจริงมิได้ ขึ้นชื่อว่าโลกธรรมทั้ง ๘ ประการเราจะต้องวางเสีย จะต้องทิ้งเสีย คือค่อยๆ ทิ้ง ค่อยๆ วางไป เมื่อกระทบกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราจะอดทนต่อสู้กับมันไปจนกว่าจะสิ้นลมปราณ เมื่อเราสิ้นลมปราณคือร่างกาย นี้สลายตัวเมื่อไร เราจะไปพระนิพพานเมื่อนั้น

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน แนะนำพระกรรมฐานขั้นต้นจนขั้นสุดท้ายอย่างง่ายๆ เวลาบรรดาท่านพุทธบริษัทจับหลักการ ปฏิบัติตามลำดับบารมี อันนี้ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทพอใจกรรมฐานตอนใดตอนหนึ่ง พอแก่อัธยาศัยของตน ก็ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายปฏิบัติตามความพอใจ ของท่านที่จะพึงประสงค์ต่อจากนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา ๚ะ

    ที่มา ˹ѧ
     
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>ธรรมะของในหลวง....

    </CENTER>
    1)พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดี


    "อันพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของเรานี้ ตามความอบรมที่ได้รับมาก็ดี ตามความศรัทธาเชื่อถือส่วนตัวข้าพเจ้าก็ดี เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง มีคำสั่งสอน ให้คนประพฤติตนเป็นคนดี ทั้งเพียบพร้อมด้วย บรรดาสัจจธรรมอันชอบด้วยเหตุผล น่าเลื่อมใสยิ่งนัก"


    2)พระพุทธศาสนามีลักษณะพิเศษ


    "ศาสนา-ชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ ทำให้มีความเจริญร่มเย็น คนจึงเชื่อถือ และประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งอุดหนุน ค้ำชูศาสนา เพื่อประโยชน์-เพื่อความสุข-ความสวัสดีของตน พระพุทธศาสนานั้น-มีลักษณะพิเศษประเสริฐ ในประการที่อาศัยเหตุผล อันเที่ยงแท้ตามเป็นจริงเป็นพื้นฐาน แสดงคำสั่งสอนที่บุคคล สามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองตาม และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุข-ความเจริญ-และความบริสุทธิ์ได้ ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนาที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ ง่ายที่จะส่งเสริม"


    3)พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งประโยชน์


    "พระพุทธศานา-คือ ศาสนาแห่งประโยชน์ ไม่ว่าผู้ใด ถ้าเข้ามาศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมได้รับประโยชน์ตามวิสัยแห่งการศึกษาปฏิบัติของเขา การธำรงความเจริญมั่นคงของพระศาสนา จึงน่าจะเน้นที่ การแนะนำทำให้เห็นประโยชน์ของการศึกษาปฏิบัติธรรม เป็นสำคัญ เมื่อมีผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม และได้รับประโยชน์ จากการปฏิบัติธรรมมากขึ้น พระศาสนาก็เจริญแพร่หลายไปพร้อมกัน ข้อสำคัญควรจะถือปฏิบัติให้เคร่งครัดหนักแน่นว่า ต้องแสดงธรรมให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อย่าให้วิปริตแปรผัน และควรพยายามเน้น การศึกษาปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐาน ให้ยิ่งกว่าอื่น เพราะคนทั่วไป ต้องการที่จะเรียนรู้ได้ง่าย -เข้าใจได้ชัด- ปฏิบัติได้สะดวก เมื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นแล้ว เขาก็จะพึงพอใจ และจะขวนขวายศึกษาปฏิบัติให้สูงขึ้นไปเอง และเมื่อชาวพุทธรู้ธรรมะ-ปฏิบัติธรรมะกันอย่างถูกต้อง ทั่วถึงมากขึ้น ดังนี้ การบ่อนเบียนพระศาสนา-ก็จะลดน้อยลง พระศาสนา-ก็จะเจริญมั่นคง ตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนา"


    4)พระพุทธศาสนามีธรรมะมากมายหลายชั้น


    "พระพุทธศาสนา-มีธรรมะอยู่มากมายหลายชั้น อันพอเหมาะพอดีกับอัธยาศัย จิตใจของบุคคลประเภทต่างๆ สำหรับเลือกเฟ้นมาแนะนำ-สั่งสอน-ขัดเกลาความประพฤติปฏิบัติของบุคคล ให้ดีขึ้น-เจริญขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวโดยหลักใหญ่แล้ว-คือ สอนให้เป็นคนดี-ให้ประพฤติประโยชน์-ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น ให้ลำบากเสียหาย-สอนให้รู้จักตนเอง-รู้จักฐานะของตน-พร้อมทั้งรู้จักหน้าที่ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ในฐานะนั้นๆ ซึ่งเมื่อปฏิบัติโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว ย่อมจะนำความสุข-นำความเจริญ-สวัสดีมาให้ได้ทั่วถึงกันหมด หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง -ก็คือ นำความสุข-ความร่มเย็น-และความวัฒนาถาวร ให้เกิดแก่สังคมมนุษย์ หน้าที่ของท่านทั้งหลาย อยู่ที่จะต้องพยายามศึกษา พิจารณาธรรมะแต่ละข้อ-แต่ละหมวดหมู่ ด้วยความละเอียดรอบคอบ-ด้วยความเที่ยงตรง-เป็นกลาง ให้เกิดความกระจ่างแจ้งลึกซึ้ง ถึงเหตุ-ถึงผล-ถึงวัตถุประสงค์ แล้วนำไปปฏิบัติเผยแพร่ ให้พอเหมาะพอดี โดยอุบายที่ฉลาดแยบคาย ธรรมะในพระพุทธศาสนา-จะสามารถคุ้มครองรักษาและอุ้มชู ประคับประคองสังคม ให้ผาสุก ร่มเย็นได้ สมดังที่ต้องการ"



    5)พระธรรมเป็นอกาลิโก-เป็นแม่แบบของการพัฒาแบบยั่งยืน


    "พระพุทธศาสนานั้น-ถ้าหมายถึง คำสั่งสอนที่เที่ยงตรงตามพระพุทธโอวาทแล้ว ย่อมมีความแน่นอนมั่นคงอยู่ในตัว ขอเพียงชาวพุทธ-ไม่บ่อนเบียนทำลายให้แปรผัน-ผิดเพี้ยน-และร่วมกันรักษาความบริสุทธิ์บริบูรณ์ไว้ให้ได้ พระพุทธศาสนา-ก็จะยืนยงอยู่ได้ตลอดกาล.....


    พระธรรมนั้น-เชื่อว่าเป็นอกาลิโก ถูกต้องเที่ยงแท้-และเหมาะที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติเสมอ ไม่ว่าในกาลไหนๆ จึงย่อมเป็นแม่บทของการพัฒนาแบบยั่งยืนได้แน่นอน ปราศจากข้อกังขา ข้อสำคัญนั้น-ชาวพุทธเอง จะต้องขวนขวายศึกษาพุทธธรรม ให้ทราบชัดโดยทั่วถึง และน้อมนำมาปฏิบัติกันอย่างจริงใจ ให้ประจักษ์ผล พระพุทธศาสนา -จึงจะอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนา สมตามที่ปรารถนานั้นได้"....


    6)ศาสนาทั้งปวงย่อมสั่งสอนความดี


    "การที่ประเทศไทยและชาวไทย ยินดีต้อนรับผู้เผยแผ่ศาสนาต่างๆ ด้วยไมตรี และด้วยความจริงใจฉันมิตรทุกสมัยมานั้น-เป็นเพราะชาวไทย ซึ่งเป็นพุทธมามกชน มีจิตสำนึกมั่นคงอยู่ในกุศลสุจริต และในความเมตตาการุญ เห็นว่า"ศาสนาทั้งปวง-ย่อมสั่งสอนความดี"-ให้บุคคลประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ถูก-ที่ชอบ-ที่เป็นประโยชน์-ให้ใฝ่หาความสงบสุข-ความผ่องใสให้แก่ชีวิต ทั้งเรายังมีเนติแบบธรรมเนียม ให้ต้อนรับนับถือชาวต่างชาติ-ต่างศาสนา ด้วยความเป็นมิตร แผ่ไมตรีแก่กันด้วยเมตตาจิต และด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ มิให้ดูแคลน เบียดเบียนผู้ถือสัญชาติ และศาสนาอื่น ด้วยจะเป็นเหตุนำความแตกร้าว และความรุนแรงเดือดร้อนมาให้ ดังนี้ คริสตศาสนา จึงเจริญงอกงามขึ้นได้ในประเทศนี้"


    "ความเป็นมิตร-ความมีเมตตา-ปรารถนาดีต่อกัน-ความเอื้ออารีเกื้อกูลกัน โดยจริงใจระหว่างศาสนิกชนทั้งมวลนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญ อันมีกำลังศักดิ์สิทธิ์ ที่จะยังสันติสุข กับทั้งอิสรภาพ เสรีภาพ และความเสมอภาค ให้บังเกิดขึ้น แก่มวลมนุษย์ ได้เป็นแน่แท้"

    หมายเหตุ ***เกื้อ-ก.ไก่+สระอู+ไม้เอก....(Admin)


    7)ศาสนาต่างๆ ต้องส่งเสริมสนับสนุนกัน


    "ศาสนาใดๆ-จะมีชื่อว่าอะไรก็ตาม ต้องส่งเสริมสนับสนุนกัน เพื่อความเป็นปึกแผ่นของสังคม ฉะนั้น ที่ศาสนาต่างๆในประเทศไทย ปรองดองกันดีพอสมควรมาเป็นเวลาช้านาน จึงทำให้บ้านเมืองของเรา อยู่เย็นเป็นสุขได้"


    8)ศาสนาชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ


    "ศาสนา-ชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ ทำให้มีความเจริญร่มเย็น คนจึงเชื่อถือประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งอุดหนุนค้ำชูศาสนา เพื่อประโยชน์-เพื่อความสุข-ความสวัสดีของตน พระพุทธศาสนานั้น-มีลักษณะพิเศษประเสริฐ ในประการที่อาศัยเหตุผลอันเที่ยงแท้ตามเป็นจริง เป็นพื้นฐาน-แสดงคำสั่งสอนที่บุคคลสามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองตาม-และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุขความเจริญ และความบริสุทธิ์ได้ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนาที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ ง่ายที่จะส่งเสริม


    การที่ท่านทั้งหลาย-จะทะนุบำรุงเผยแผ่ให้แพร่หลายมั่นคง ควรได้ยึดเหตุผลเป็นหลักการ นำข้อธรรมะที่เหมาะแก่เหตุการณ์-เหมาะแก่บริษัท และบุคคล มาชี้แจงให้ถูกต้องตรงตามเนื้อแท้ของธรรมะนั้นๆ พร้อมทั้งแสดงการกระทำที่มีเหตุผล และมีความบริสุทธิ์ใจ ให้เป็นตัวอย่างด้วยตนเอง การบำรุงพระพุทธศาสนา ตลอดจนงานสร้างเสริมศีลธรรม จริยธรรม ทั้งในผู้ใหญ่-ผู้เยาว์ของท่าน จะบรรลุผลที่น่าพึงพอใจได้ไม่ยากนัก"


    ***หน้าที่ของพุทธศาสนิกชน***



    “พระพุทธศาสนานั้น-ถ้าหมายถึง คำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆแล้ว ก็หาภัยอันตรายมิได้ ไม่มีผู้ใด หรือเหตุใดๆ จะเบียนบ่อนทำลายได้เลย เพราะคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เป็นธรรมะ – คือ หลักความจริง ที่คงความจริงอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่มีแปรผัน ดังนั้น การป้องกันภัยให้แก่พระพุทธศาสนาก็ดี การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ดี พูดให้ตรง จึงน่าจะหมายถึง การป้องกันภัย ให้แก่พระพุทธบริษัท และการทำนุบำรุงพุทธบริษัท ยิ่งกว่าอื่น”


    “ทุกคนที่ถือตัวว่า เป็นพุทธศาสนิกชน-จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนา ตามภูมิปัญญาความสามารถ และโอกาสของตนๆที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง กระจ่างชัดขึ้นในหลักธรรม เมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว เห็นประโยชน์แล้ว ก็น้อมนำมาปฏิบัติ ทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการงานของตน เพื่อให้เกิดความสุข-ความสงบร่มเย็น-และความเจริญงอกงามในชีวิต เพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ตามขีดความประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน ถ้าชาวพุทธรู้ธรรมะ-ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง ทั่วถึงกันมากขึ้น ปฏิบัติการบ่อนเบียนพระศาสนาให้เศร้าหมอง ก็จะลดน้อยลง เพราะทุกวันนี้ ที่เกิดความเสื่อม ความเสียหาย ก็มิใช่ผู้ใดใครอื่นทำให้ เป็นเรื่องที่ชาวพุทธ ผู้ไม่รู้-ไม่เข้าใจ-และไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำขึ้นเกือบทั้งนั้น”


    </TD></TR><TR><TD align=right>โดย อัศวินม้าไม้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    นำมาจาก
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE style="MARGIN: 0px" cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD>
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD width=6> </TD><TD vAlign=top width=auto>บทความ พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว....


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ภาพประกอบ
    [​IMG]

    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พัฒนากรทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2508


    "ขอบใจมากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานในหมู่บ้านชนบท และต้องประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ขอให้ช่วยกันพัฒนาคนให้มีความเฉลียวฉลาด สามารถช่วยตัวเองได้"
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ส่วนนี้อีกประเด็นหนึ่ง

    กับหัวหน้า

    บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง เขามักจะมาต่อว่ามากกว่าจะมายอมรับสิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่าไม่รู้จักจบจักสิ้น

    หากลองกลับกันให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อย…และให้อภัยเขาได้



    กับหัวหน้า…ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ปรับกัน

    แต่ต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน…เรียนรู้…และเติบโตไปด้วยกัน


    กับลูกน้อง

    เป็นเพราะรู้จักให้ ผลตอบแทนก็กลับมามาก

    กับลูกน้อง ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์เฉพาะเบื้องบนกับเบื้องล่างเท่านั้น

    ยังมีความสัมพันธ์ด้านหุ้นส่วนอยู่ด้วยรู้จักเข้าใจและให้อภัยซึ่งกันและกันหากรู้จักยอมรับมากกว่าที่จะจับผิดให้รอยยิ้มมากกว่าสายตาอันตำหนิติเตียนผลตอบแทนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับก็จะยิ่งมากตามไปด้วย



    กับเพื่อนร่วมงาน

    ไม่ใช่แค่ว่าทำงานร่วมกัน…อยู่ร่วมกันวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง…ทุกวัน…ไม่เพียงแต่พูดคุยกันเรื่องงาน…หากแต่จะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย…แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด…สู้ปล่อยตัวให้สบาย สบาย ไม่ได้…พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน…


    อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ…เข้าใจ…ให้อภัย…และใส่ใจซึ่งกันและกัน…

    ที่มาhttp://atcloud.com/stories/30924




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2009
  20. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD width=6> </TD><TD vAlign=top width=auto>บทความ เล่าลือหลังวัง - กษัตริย์ยอดกตัญญู


    โดย Nookie!!! [​IMG] [​IMG] [​IMG] เมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว [​IMG] ช่วงนี้งดลงกระทงนะคะ แต่จะแวะเข้ามา+ โดนพิษหน้าหนาวซะแล้วเรา...ฮัดเช้ย!!!
    จาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ...

    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top width=50>[​IMG] </TD><TD width=4> </TD><TD vAlign=top>แม่หมอปิดตำหนักชั่วคราวค่ะ อิอิ
    มาอ่านเรื่องพ่อหลวงของพวกเราดีกว่า
    ซ้ำขออภัยนะคะ </TD></TR></TBODY></TABLE>คะแนน: 3 ชอบ, 0 ไม่ชอบ

    Tag:

    ชนิด: บทความ - ประเภท: อื่นๆ
    0 บทวิจารณ์ | 35 คนอ่าน

    </TD><TD width=4> </TD><TD vAlign=top align=right width=150>[​IMG][​IMG]

    0
    0


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE style="MARGIN: 0px" cellSpacing=0 width="100%" border=0 padding="0"><TBODY><TR><TD>
    คำสั่ง

    Share
    [​IMG] hi5 | [​IMG] Exteen | [​IMG] เด็กดี | [​IMG] BlogGang



    ภาพประกอบ
    [​IMG]

    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    [​IMG]

    มหากษัตริย์ยอดกตัญญู
    โดย พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน

    ลูกๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า
    ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก ๓ หวังคือ


    ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
    ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
    เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
    หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

    ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง...บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู
    ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม ?
    คือคนในภาพนี้...ในหลวงของเรา
    ในหลวง...นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก
    ...เป็น THE KING OF KING แล้ว
    ในหลวงของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย

    ความหวังของแม่...ทั้งสามหวัง
    ในหลวงปฏิบัติตามได้ครบถ้วน...สมบูรณ์
    เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา
    ในหลวงทำกับแม่ยังไง ?
    ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น...

    [​IMG]

    [​IMG]

    หวังที่ ๑ ยามแก่เฒ่า...หวังเจ้า...เฝ้ารับใช้...

    ****************************************

    ใครเคยเห็นภาพที่สมเด็จย่า
    เสด็จไปในที่ต่างๆ แล้วมีในหลวง...ประคองเดินไป
    ตลอดทาง...เคยเห็นไหม...? ใครเคยเห็น...
    กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง

    ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย...มีคนเยอะแยะ...
    มีทหาร...มีองครักษ์...มีพยาบาล...
    ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว
    แต่ในหลวงบอกว่า...

    “ไม่ต้อง...คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง”

    *****************************************

    ตอนเล็กๆ แม่ประคองเรา...สอนเราเดิน
    หัดให้เราเดิน...เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว...
    เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน...
    ไม่ต้องอายใคร...

    เป็นภาพที่...ประทับใจมาก...
    เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่...
    ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ...
    สองข้างทาง ฝั่งนี้ ๕,๐๐๐ คน ฝั่งนู้น... ๘,๐๐๐ คน

    ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง...สรรเสริญ
    “กษัตริย์ยอดกตัญญู...”
    ในหลวง...เดินประคองแม่...คนเห็นแล้ว...เขาประทับใจ
    ถ่ายรูป...เอามาทำปฎิทิน...
    เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...

    ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน
    แต่งตัวโก้...ลูกชาย...แต่งตัวโก้...
    ลูกสาว...แต่งตัวสวย...
    แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่...
    กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย
    ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ...
    ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก...
    แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่...
    กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี...
    ประคองแม่...เป็นเรื่องของคนใช้...
    หลายคน...ให้ประคองแม่...ไม่กล้า ทำอาย...

    [​IMG]

    [​IMG]

    เวลาทำดี...ไม่กล้าทำ...อาย
    เวลาทำชั่ว...กล้า...ไม่อาย...
    ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...
    แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...
    เอาไว้สอนลูก เห็นภาพชัดเจนไหมครับ ?
    เท่านั้น...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...

    หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว
    ราชเลขา...ของสมเด็จย่า...มาแถลงในที่ประชุม...
    ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...ก่อนสมเด็จย่า
    จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ ๙๓
    ในหลวง...เสด็จจากวังสวนจิตร...
    ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน

    ไปทำไมครับ...? ไปกินข้าวกับแม่...
    ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่...ชุ่มชื่นหัวใจ...
    พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง..

    โอ้โห!ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา
    เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่...
    สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ?
    พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน?...๕ วัน...

    มีใครบ้างครับ...? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่
    แล้วไปกินข้าวกับแม่...สัปดาห์ละ ๕ วัน หายาก...

    ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...
    เป็นพันโครงการ...มีเวลาไปกินข้าวกับแม่...
    สัปดาห์ละ ๕ วัน พวกเราซี ๗ ซี ๘ ซี ๙
    ร้อยเอก...พลตรี...อธิบดี...ปลัดกระทรวง
    ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่...บอกว่า...งานยุ่ง

    แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย...
    บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ...
    ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว...
    แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง...?

    พ่อแม่...พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง...
    ฝนตก...น้ำเซาะ...อีกไม่นานโค่น...
    พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...

    ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...ไปกินข้าวกับแม่
    สัปดาห์ละ ๕ วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ...๙๓

    สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ ๕ วัน
    อีก ๒ วันไปไหนครับ...?
    ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า...

    ในหลวง...ถือศีล ๘ วันพระ...
    ถือศีล ๘ นี่ยังไง...?
    ต้องงดข้าวเย็น...เลยไม่ได้ไปหาแม่...
    วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ...
    อาจจะกินข้าวกับพระราชินี...กับคนใกล้ชิด
    แต่ ๕ วัน...ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?

    [​IMG]

    [​IMG]

    ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ๆ หน่อย
    ไปดูตอนกินข้าว...ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า...
    ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...
    แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง...เข้ามากอด...
    กอดเสร็จก็หอมแก้ม...

    ใครเคยเห็นภาพ สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงบ้าง...?
    ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ
    เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก...อย่างยอดเยี่ยม

    ตอนสมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวง...
    อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร...
    เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม
    แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ...

    เพราะท่านได้กลิ่นหอม...จากหัวใจในหลวง
    หอมกลิ่นกตัญญู


    ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้
    จะรักแม่มากขนาดนี้

    ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์
    เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์
    เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป...
    เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
    ในหลวงหน่ะ...เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
    ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว

    แต่ในหลวง...ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน...
    ก้มลงกราบ...คนธรรมดา...ที่เป็นแม่

    หัวใจลูก...ที่เคารพแม่...กตัญญูกับแม่อย่างนี้
    หาไม่ได้อีกแล้ว...คนบางคน...พอเป็นใหญ่เป็นโต
    ไม่กล้าไหว้แม่...เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...
    เป็นชาวนา...เป็นลูกจ้าง...ไม่เคารพแม่...ดูถูกแม่

    แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว...นี่แหละครับความหอม

    นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...
    ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม
    หอมกตัญญู...ของในหลวง

    หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย...
    ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...

    นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ

    [​IMG]

    [​IMG]

    แม่ทั้งหลาย...ลองคิดดูซิ...
    อะไรอร่อยๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...
    อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน...
    รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วนๆ ใส่ช้อนแม่...
    เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ
    แทนที่จะกินแค่ ๓ คำ ๔ คำ
    ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ
    พราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก
    มีความสุขที่ลูกดูแล...เอาใจใส่...

    กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่...
    ในหลวงดำรัสกับแม่ว่ายังไง...ทราบไหม...?

    ตอนในหลวงเล็กๆ... แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ...
    “อยากฟังแม่สอนอีก”
    เป็นยังไงบ้าง...? เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ
    ...อยากฟังแม่สอนอีก...

    พวกเรา เป็นยังไง...?
    เราคิดว่า...เรารู้มาก...เราเรียนสูง...
    เรามีปริญญา...แม่จบ ป.๔

    เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่
    เบื่อจะตายอยู่แล้ว...รำคาญ...พูดจาซ้ำซาก...
    เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที...เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่...

    พอสมเด็จย่าสอน... ในหลวงจะเอากระดาษมาจด...
    มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่จำได้แม่น...
    สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss
    ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า...อยากได้รถจักรยาน
    เพื่อนๆ เขามีจักรยานกัน

    แม่บอกว่า... “ลูกอยากได้จักรยาน...
    ลูกก็เก็บสตางค์...ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ” ...
    เก็บมาหยอดกระปุก...วันละเหรียญ...สองเหรียญ...
    พอได้มากพอ ก็เอาไปซื้อจักรยาน...

    นี่คือสิ่งที่แม่สอน... แม่สอนอะไร...ทราบไหมครับ...?

    ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน... พอลูกขอ...
    รับกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย...
    ลูกก็ฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย...เหลิง...และหลงตัวเอง
    พอโตขึ้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้...
    ยิงตำรวจ...ยังได้...เพราะหลงตัวเอง...
    พ่อตนใหญ่ เห็นไหม...?
    ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน...

    [​IMG]

    [​IMG]

    แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่...
    สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก...ลูกอยากได้...
    ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหย่อนกระปุก...

    แม่สอน ๒ เรื่อง
    คือ...ให้ประหยัด...ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง


    ใครสอนลูกให้ประหยัดได้...
    คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก


    พอถึงวันปีใหม่...สมเด็จย่าก็บอกว่า...
    “ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน...”
    “เอ้า...แคะกระปุก...ดูซิว่ามีเงินเท่าไหร่...?”
    เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้...ส่วนที่แถมนะ...
    มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...

    มีเมตตา...ให้เงินลูก...ให้...ไม่ได้ให้เปล่า...
    สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด สอนว่า...อยากได้อะไร...
    ต้องเริ่มจากตัวเรา...
    คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้...

    เขาบอกว่า...ในสวนจิตรเนี่ย...
    คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง...
    ประหยัดที่สุด...ทั้งน้ำ...ทั้งไฟ...
    เรื่องฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย...ไม่มี
    ...เป็นอันว่า...ภาพนี้ชัดเจน

    [​IMG]

    [​IMG]

    หวังที่ ๒ ยามป่วยไข้...หวังเจ้า...เฝ้ารักษา

    *************************************

    ดูว่าในหลวงทำกับแม่ยังไง...?
    สมเด็จย่า...ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช...
    ในหลวงไปเยี่ยมตอนไหนครับ...?

    ไปเยี่ยมตอน ตี ๑ ตี ๒ ตี ๔ เศษๆ...จึงเสด็จกลับ...
    ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง...

    แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม...ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว...

    ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า...เห็นในหลวงมาเยี่ยม
    มาประทับ ก็ต้องฟิต...ตามไปด้วย
    ต้องปรึกษาหารือกันตลอดว่า
    ...จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม...?
    จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น...
    ทำให้สมเด็จย่า...ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น...
    เห็นภาพไหม...?

    กลางคืน...ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...
    คืนละหลายชั่วโมง...ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน

    ลองหันมาดูตัวเองซิ...ตอนพ่อแม่ป่วย...
    โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง
    ถามว่า...ตอนนี้...อาการเป็นยังไง...?

    พ่อแม่...ยังไม่ทันได้ตอบเลย
    ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว...โผล่หน้าไปให้เห็น
    พอแค่เป็นมารยาท...แล้วก็กลับ...
    เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู...
    เราไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน...น่าอายไหม...?

    ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่...
    ตอนแม่ป่วย...ไปทุกวัน...ไปให้ความอบอุ่น...
    ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง...นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ

    คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย...สมเด็จย่า...ก็ป่วย...
    ไปอยู่ศิริราช...ด้วยกัน...อยู่คนละมุมตึก...
    ตอนเช้า...ในหลวงเปิดประตู...แอ๊ด..........ออกมา...
    พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า
    ...ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี

    ในหลวง...พอเห็นแม่...รีบออกจากห้อง...
    มาแย่งพยาบาลเข็นรถ
    มหาดเล็ก...กราบทูลว่า ไม่เป็นไร...ไม่ต้องเข็น
    มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
    ในหลวงมีรับสั่งว่า...
    แม่ของเรา...ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น
    เราเข็นเองได้...


    นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นกษัตริย์...
    ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
    ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่...
    ป้อนยาให้แม่ให้ความอบอุ่นแก่แม่...เลี้ยงหัวใจแม่...
    ยอดเยี่ยมจริงๆ...เห็นภาพนี้แล้ว...ซาบซึ้ง...

    [​IMG]

    [​IMG]

    หวังที่ ๓ เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา...

    **************************************

    หวังลูกช่วย...ปิดตา...เมื่อสิ้นใจ

    **************************************

    วันนั้น...ในหลวง...เฝ้าสมเด็จย่า
    อยู่จนถึงตี ๔ ตี ๕ เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน...
    จับมือแม่...กอดแม่...ปรนนิบัติแม่
    ...จนกระทั่ง “แม่หลับ...” จึงเสด็จกลับ...

    พอไปถึงวัง...เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า...
    สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์...
    ในหลวง...รีบเสด็จกลับไป...ศิริราช...
    เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง...
    ในหลวงทำยังไงครับ...?

    ในหลวงตรงเข้าไป...คุกเข่า...
    กราบลงที่หน้าอกแม่...พระพักตร์ในหลวง...
    ตรงกับหัวใจแม่...
    “ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย...”
    ซบหน้านิ่ง...อยู่นาน...
    แล้วค่อยๆ...เงยพระพักตร์ขึ้น...น้ำพระเนตรไหลนอง...

    ต่อไปนี้...จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว...
    เอามือ...กุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆ ...
    ที่ไกวเปลนี้แหละที่ปั้นลูก...จนได้เป็นกษัตริย์...
    เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...ชีวิตลูก...แม่ปั้น...

    มองเห็นหวี...ปักอยู่ที่ผมแม่...
    ในหลวงจับหวี...ค่อยๆ หวีผมให้แม่
    ...หวี...หวี...หวี...หวี...ให้แม่สวยที่สุด...
    แต่งตัวให้แม่... ให้แม่สวยที่สุด...
    ในวันสุดท้ายของแม่...


    เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด...
    เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...
    หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว...
    กษัตริย์...ยอดกตัญญู

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บทความ เล่าลือหลังวัง - กษัตริย์ยอดกตัญญู
     

แชร์หน้านี้

Loading...