เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    หลังจากอ่านกระทู้อยู่กระทู้นึงก็ตกใจมาก เพราะในที่สุดผมก็เข้าใจว่าเมื่อปีที่แล้วผมสามารถควบคุมความฝันจนสามารถเข้าถึงครูอาจารย์ทางจิตที่จะมาสอนวิชาอาคมในฝันให้ข้าพเจ้าได้ และแนววิชาเป็นแนวที่ข้าพเจ้าอยากจะได้ ซึ่งข้าพเจ้าในตอนนั้นจับสัญญาณได้พักเดียวก็ตกใจกลัวตื่นซะก่อน แต่ช่วงเวลาที่ผมเข้าถึงครูอาจารย์ช่วงนั้นได้(เป็นพวกวิชาอาคมเขมร) ก็เป็นภาพที่ติดตาและความรู้สึกตื่นตะลึงเลยทีเดียว
     
  2. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    [​IMG]

    ขอบคุณครับเพื่อนๆ วันเกิดปีนี้อยู่ในช่วงเฉลิมฉลองให้พ่อหลวงเราพอดี
    นั่งดูถ่ายทอดสด งานที่พระที่นั่งฯ
    รู้สึกถึงความสงบ ความร่มเย็น ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย
    ความรักที่มีให้พ่อหลวงของเรา
    รู้สึกเป็นบุญจริงๆ ที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินประเทศไทยนี้

    จิตสำนึกรวมหมู่ ที่เป็นใจเดียวกันนี้ ช่วยทำให้ดินฟ้าอากาศ และจิตใจของทุกๆคนมีแต่ความสงบ ความร่มเย็น

    สิ่งนี้ซินะ ที่ช่วยกันพยุงให้ประเทศไทย ให้โลกนี้ อยู่ได้อย่างปกติสุข

    ได้ดูเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ ทำให้นึกถึงว่า จะมีประเทศใดในโลกนี้ ที่ทำได้เช่นนี้

    ขอจงทรงพระเจริญ
    King of King



    [​IMG]

    Happy Birthday ครับคุณกุ้ง
    ขอให้มีความสุข แช่มชื่นทุกวินาทีครับ


    มีโอกาสเมื่อไร จะไปเฮือนบ้านดำโต่ย
    เำพิ่งรู้จากคุณริสา เหมือนกัน :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2009
  3. thanathama

    thanathama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +129
    มาร่วม Happy Birth Day กับทั้ง 2 ท่านด้วยครับ

    HBDs

    ขอให้แข็งแรง และ สมปรารถนา ในทุกเรื่อง ทุกด้านครับ
     
  4. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ไม่รู้จะเหมือนคุณมะเดรดรึเปล่าน๊า
    รู้แต่ว่า พอเราเริ่มตามรู้เห็น การเคลื่อนที่ของโลกความฝัน มาสู่โลกทางกายภาพ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตะหนกตกใจ คือ ดูมันไปเรื่อยๆ เหมือนผู้ดูเหตุการณ์

    เมื่อกลับมาสู่โลกกายภาพ จะไม่ใช่ตื่นขึ้นมาเต็มที่

    แต่เป็นช่วงกายหลับจิตตื่น

    หากเราประคอง สติสัมปชัญญะนี้ไว้ แล้วกำหนดทิศทางว่า ต้องการฝันเรื่องอะไร และเรียนรู้เรื่องอะไร

    การจดจ่อจะเปลี่ยนไปสู่ ความฝันแบบรู้ตัว (lucid dreaming)

    เป็นความฝันที่ชัดเจน มีสติครบถ้วน

    สามารถเรียนรู้ และควบคุมความฝันได้อย่างดี

    ภาวะนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน อยู่ที่เราจะประคองสติของเราได้ดีแค่ไหน

    ส่วนใหญ่จะหลุดออกมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตกใจกลัว ต่อภาพที่เห็น ภาพที่ไม่คุ้นเคย
     
  5. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณครับ คุณ thanathama
    ขอพรอันประเสริฐใดๆที่อวยพรมา กลับไปหาคุณ thanathama เช่นกันครับ :)

    ไปเจอบทความนึง เรื่อง lucid dreaming อีกแล้ว

    ของคุณ

    บัญชา ธนบุญสมบัติ


    สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)


    ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร สารคดี เดือนมกราคม 2549




    [​IMG]

    คนเรานั้นใช้เวลาไปกับการนอนราวๆ 1 ใน 3 ของชีวิต และในการนอนแต่ละครั้งนั้น ว่ากันว่าเรามักจะฝันด้วยเสมอ ส่วนจะจำความฝันได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    จริงๆ แล้วตัวเนื้อหาของความฝันก็มักจะมีแง่มุมแปลกประหลาดปะปนอยู่ด้วยเสมอ เช่น ฝันว่าบินได้ ฝันว่าไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ฝันว่าได้แก้วแหวนเงินทอง ไปจนถึงฝันว่าโดนงูฟัด…อุ๊ย!...งูรัด ซึ่งความฝันทั้งหมดนี้ ต่างก็มีผู้รู้ดีเขียนตำราทำนายทายทักกันไปต่างๆ นานาแล้ว
    ในบรรดาความฝันทั้งมวลนั้น มีความฝันแบบหนึ่งที่น่าประทับใจเหลือเกิน ประทับใจไม่แพ้ฝันร้าย หรือฝันแล้วเป็นจริงเลยทีเดียว ความฝันที่ว่านี้เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว นั่นคือ ในระหว่างที่คุณกำลังฝันอยู่นั้น ฉับพลันคุณก็รู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ! อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้นี่หว่า เราต้องฝันอยู่แน่ๆ
    ความฝันแบบนี้แหละที่ฝรั่งเรียกว่า lucid dreaming แปลตรงตัวแบบราชบัณฑิตยสถานว่า ความฝันชัดเจน (คำว่า lucid แปลว่า แจ่มชัด) อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องนี้ยอมรับว่า คำๆ นี้ไม่ค่อยตรงเท่าใดนัก เพราะสาระสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ฝันต้องรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ จึงน่าจะเรียกว่า concious dreaming ซะมากกว่า ในบทความนี้ ผมจึงขอใช้คำว่า ความฝันรู้ตัว ก็แล้วกัน
    ลองมาดูตัวอย่างประสบการณ์ความฝันรู้ตัวของชายคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อย่อว่า ดี ดับเบิลยู (D.W.) และอาศัยอยู่ที่เอลค์ริเวอร์ มลรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ดังนี้ :
    <O:p</O:p
    ผมกำลังยืนอยู่ในที่โล่ง ในขณะที่ภรรยาของผมชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังลับขอบฟ้า ผมมองตามไปในทิศทางที่เธอชี้ และคิดว่า “แปลกจริง ไม่เคยเห็นท้องฟ้ามีสีสันอย่างนี้มาก่อนเลย” จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า “นี่เรากำลังฝันอยู่แน่ๆ!” ผมไม่เคยเห็นสีสันที่สวยสดงดงามและชัดเจนเช่นนั้นมาก่อน แถมยังรู้สึกเป็นอิสระอย่างน่าตื่นเต้นยิ่ง จนทำให้ผมเริ่มออกวิ่งไปในทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่ามตา พร้อมๆ กับโบกมือและตะโกนสุดเสียงว่า “ผมกำลังฝัน! ผมกำลังฝัน!” ทันใดนั้น ผมก็เริ่มสูญเสียความฝันนั้นไป…<O:p></O:p>


    ข้อความบางส่วนจากหนังสือ Exploring the World of Lucid Dreaming หน้า 2<O:p></O:p>


    ในความฝันรู้ตัวนั้น เราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ดังตัวอย่างในข้อความข้างต้นที่บอกว่า “ ไม่เคยเห็นสีสันที่สวยสดงดงามและชัดเจนเช่นนั้นมาก่อน” นี่คือเหตุผลที่ทำให้จิตแพทย์ชาวดัชต์ ชื่อ เฟรเดริก ฟาน อีเด็น (Frederik van Eeden) บัญญัติคำว่า lucid dreaming ในหนังสือชื่อ A Study of Dreams ของเขาที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1913
    บางท่านที่เคยฝันรู้ตัวคงจะรู้ด้วยว่า บางครั้งเราสามารถควบคุมเนื้อหาในความฝันได้ด้วย แต่ตัวผมเองนั้น จำได้แม่นว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากำลังฝันอยู่ (เพราะเห็นสิ่งผิดปกติที่เป็นไปไม่ได้ในความฝัน) แต่กลับทำอะไรไม่ได้ แม้พยายามลืมตาตื่นขึ้นมาก็ยังไม่สำเร็จ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปซะงั้น
    <O:p></O:p>
    การฝันรู้ตัวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนในจดหมายที่เขียนโดย เซนต์ออกัสตินแห่งฮิปโป (Saint Augustine of Hippo) ในราวปี ค.ศ. 415 หรือ พวกเงาะซีนอย (Senoi) ในมาเลเซียก็ใช้การฝันรู้ตัวในการดูแลรักษาสุขภาพจิตของตนเอง
    นอกจากนี้ พระธิเบตก็มีการฝึกที่น่าจะเรียกได้ว่าความฝันรู้ตัวมาตั้งนานแล้ว ฝรั่งเรียกการฝึกนี้ซะน่ารักว่า dream yoga แปลตรงตัวว่า โยคะความฝัน ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมในกรอบ ‘การฝึกความฝันรู้ตัวแบบธิเบต’ ใกล้ๆ นี้ได้
    <O:p><TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; MARGIN: auto auto auto -8.8pt; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 467.8pt; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; mso-border-alt: solid olive 1.5pt; mso-padding-alt: 0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-yfti-tbllook: 480; mso-border-insideh: 1.5pt solid olive; mso-border-insidev: 1.5pt solid olive" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=624 border=1><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: olive 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: olive 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: olive 1.5pt solid; WIDTH: 467.8pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: olive 1.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=624 colSpan=2>
    การฝึกความฝันรู้ตัวแบบธิเบต<O:p></O:p>





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: olive 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: #ebe9ed; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: olive 1.5pt solid; WIDTH: 99.25pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: olive 1.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-top-alt: solid olive 1.5pt" vAlign=top width=132>



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: olive 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: #ebe9ed; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ebe9ed; WIDTH: 13cm; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: olive 1.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-top-alt: solid olive 1.5pt; mso-border-left-alt: solid olive 1.5pt" vAlign=top width=491>ตามประวัติระบุว่า ศาสนาพุทธในธิเบตมีการฝึกโยคะความฝัน (dream yoga) ที่เรียกว่า Zhinè มานานกว่า 1,300 ปีแล้ว คำว่า Zhinè ในภาษาธิเบต หมายถึง การตั้งมั่นอยู่ในความสงบ (calm abiding)<O:p></O:p>
    โยคะความฝันต้องการให้ผู้ฝึกได้เรียนรู้บทเรียนทางจิตวิญญาณที่สำคัญ 5 ประการ ได้แก่<O:p></O:p>
    1) ความฝันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความปรารถนาและความใส่ใจของเรา<O:p></O:p>
    2) ความฝันเป็นสิ่งไม่จีรังและไม่เที่ยงแท้ เปรียบเสมือนภาพลวงตาหรือภาพหลอน<O:p></O:p>
    3) การรับรู้ในชีวิตประจำวันในขณะที่เราตื่นอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้เช่นเดียวกัน<O:p></O:p>
    4) ชีวิตทุกชีวิตที่ดำรงอยู่วันนี้และจากไปในวันพรุ่งนี้ก็เปรียบเสมือนดั่งความฝัน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น<O:p></O:p>
    5) การฝึกความฝันแบบรู้ตัวสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ทั้งมวล ความสมดุลอย่างสมบูรณ์ และความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง<O:p></O:p>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เคยมีนักปรัชญาบางคนให้เหตุผลว่าการฝันแบบรู้ตัวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ฝัน” กับ “รู้ตัว” นี่มันขัดกันเองอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ ขณะกำลังฝันก็คิดว่าฝันนั้นเป็นเรื่องจริง จะรู้ตัวว่าเป็นฝันได้ยังไง
    แต่หากคนที่เคยฝันรู้ตัวได้ยินคำพูดแบบนี้เข้า ก็คงจะหัวเราะดังๆ แล้วบอกว่าท่านนักปรัชญาคนนี้คงจะใช้แต่ตรรกะทางภาษา ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเป็นแน่แท้
    อย่างไรก็ดี ในทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นกันจะๆ แล้วว่า คนที่กำลังฝันอยู่นั้นรู้ตัวว่ากำลังฝันจริง โดยในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1970 นักปรจิตวิทยา (parapsychologist) คนหนึ่งชื่อ คีท เฮิร์น (Keith Hearne) ได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครชื่อ อลัน วอร์สลีย์ (Alan Worsley) โดยใช้เครื่องโพลิซอมโนกราฟ (polysomnograph) ตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของลูกนัยน์ตา กล่าวคือ ได้มีการซักซ้อมกับอลัน วอร์สลีย์ ผู้ที่จะไปผจญภัยในความฝันว่า หากรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ ก็ให้ขยับลูกนัยน์ตาตามรูปแบบที่ตกลงกันเอาไว้ก่อน
    ต่อมา สตีเฟน ลาเบิร์จ (Stephen Laberge) ก็ได้ทำการทดลองในลักษณะเดียวกันนี้ โดยเป็นงานส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทั้งนี้ ลาเบิร์จไม่ได้รับทราบเกี่ยวกับการทดลองก่อนหน้านั้น เนื่องจากคีท เฮิร์น ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาเอาไว้
    น่ารู้ด้วยว่า ดร. สตีเฟน ลาเบิร์จ คงจะหลงใหลในความฝันรู้ตัวนี้มาก เพราะนอกจากจะพัฒนาเทคนิคที่ช่วยให้สามารถฝันรู้ตัวแล้ว ยังได้ศึกษาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขนาดเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม และตั้ง The Lucidity Institute ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
    เนื้อหาของความฝันรู้ตัวส่วนใหญ่เกี่ยวกับอะไร?
    จากการศึกษาพบว่า คนที่ฝันรู้ตัวมักจะชอบฝันว่าบินได้อิสระดั่งใจนึก นี่คงเป็นความต้องการที่ฝังอยู่ลึกๆ ในใจของคนเรานั่นเอง ส่วนเนื้อหาความฝันที่พบบ่อยไม่แพ้กันก็คือเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ หรือ เซ็กซ์ นั่นเอง
    รู้อย่างนี้แล้ว ก็คงจะไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมฝรั่งถึงได้มีการจัดคอร์สเพื่อฝึกการฝันรู้ตัวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ออกหนังสือ ผลิตอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ มาเยอะแยะ เพราะผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความฝันรู้ตัวเรท R หรือ เรท X นี่ ไม่มีพิษมีภัย ยิ่งถ้าฝึกจนควบคุมความฝันได้แล้วละก็จะยิ่งหนุกใหญ่ จะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ (ว่าเข้าไปนั่น)
    เรื่องนี้เคยมีกรณีศึกษาหนุกๆ เล่าว่า พ่อหนุ่มคนหนึ่งฝันว่าโดนสิงโตไล่ล่า เมื่อจนตรอกก็รู้สึกตัวว่านี่มันฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงนี่หว่า จึงตะโกนท้าทายสิงโตตัวนั้นว่า “เข้ามาเลย!”
    ปรากฏว่าสิงโตกระโจนเข้ามาหมายจะขย้ำ แต่พอปลุกปล้ำกันไปได้แค่แป๊บเดียว เจ้าสิงโตนั่นก็พลันกลายเป็นสาวสุดเซ็กซี่แทน! (อย่างไรก็ดี แหล่งข้อมูลไม่ได้แจ้งผลของการต่อสู้ครั้งนี้เอาไว้)
    ดร. ลาเบิร์จ บอกว่า ความฝันรู้ตัวนี่ไม่ได้มีประโยชน์แค่เอาไว้หัดบิน หรือผจญภัยในแดนหฤหรรษ์เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกหลายอย่าง เช่น
    · หากคุณฝันร้ายซ้ำๆ กันบ่อยๆ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้คุณกลัวในความฝันน่าจะดีกว่า ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ก็ควรฝันแบบรู้ตัว เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
    · หากคุณต้องไปพูดเป็นการเป็นงานต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วยังไม่มั่นใจ ก็อาจซ้อมพูดในความฝันรู้ตัวก่อนได้
    · หากคุณมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิค หรือเรื่องทางศิลปะ ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจคิดหาคำตอบได้ในความฝันแบบนี้
    · หากคุณต้องการมีความรู้สึกเป็นอิสระ แบบหลุดโลก ความฝันรู้ตัวอาจจะเป็นทางออก เพราะมีหลายคนที่ฝันรู้ตัวบอกว่า ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นราวกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาตลอดไปเลยทีเดียว และความฝันรู้ตัวยังสอนด้วยว่า โลกที่เราเห็นอยู่นี้เกิดจากจิตของเราสร้างขึ้นมานั่นเอง
    <O:p></O:p>
    เทคนิคในการทำให้เกิดความฝันรู้ตัว<O:p></O:p>
    แม้ว่าความฝันรู้ตัวจะเกิดขึ้นได้เองเป็นบางครั้ง แต่หากต้องการจะฝันรู้ตัวโดยตั้งใจแล้วละก็ คุณจะต้องมุ่งมั่น โดยมีแรงบันดาลใจหนุนหลัง อีกทั้งยังต้องใช้ความพยายามพอสมควรทีเดียว
    หากไม่นับเทคนิคที่เป็นภูมิปัญญาโบราณแล้ว ตัวอย่างเทคนิคสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
    · การหวนระลึกถึงความฝัน (Dream Recall) :
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความฝันรู้ตัวบอกว่า เงื่อนไขสำคัญอย่างแรกสุดที่คุณจะต้องทำให้ได้ก็คือ สามารถจดจำความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี
    คุณอาจสงสัยทำไมต้องจำความฝันได้ด้วย?
    คำตอบก็คือ หากคุณจำความฝันได้อย่างแม่นยำ คุณก็จะคุ้นเคยกับความฝันของคุณเองจนสามารถจดจำรูปแบบและลักษณะเด่นๆ ได้ รูปแบบและลักษณะเด่นๆ ที่ว่านี้แหละที่จะช่วยให้คุณรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ในการฝันครั้งต่อๆ ไป ในทางกลับกัน หากคุณเป็นคนที่จำความฝันไม่แม่น ก็เป็นไปได้ว่า แม้คุณจะฝันรู้ตัว (ตอนกำลังนอน) แต่พอตื่นขึ้นมาก็ลืมหมด อย่างนี้ก็เท่ากับเสียของนั่นเอง
    เรื่องการฝึกจำความฝันนี้ อาจใช้การจดบันทึกลงใน สมุดบันทึกฝัน (ฝรั่งเรียกว่า dream journal) ซึ่งจะช่วยให้คุณจำได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ
    <O:p></O:p>
    · การทดสอบว่าสภาวะที่เป็นอยู่นั้นว่าจริงหรือเปล่า (Reality Testing) :
    เทคนิคนี้คล้ายๆ กับที่สอนกันว่า ถ้าไปเจออะไรที่แปลกๆ หรือไม่ชอบมาพากล แล้วให้ลองหยิกตัวเองดูสักที ถ้าเจ็บก็จะได้รู้ว่าจริงนะ ไม่ได้ฝัน แต่นักวิจัยบอกว่า เทคนิคนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักฝันมือใหม่ โดยคุณจะต้องปฏิบัติหลายๆ ครั้งในวันๆ หนึ่ง
    วิธีการง่ายๆ เช่น ลองอ่านหนังสือสักข้อความหนึ่ง จากนั้นให้หันไปมองที่อื่น แล้วกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งว่าข้อความในหนังสือยังเหมือนเดิมไหม หรือ ลองเพ่งจิตให้ข้อความในหนังสือเปลี่ยนแปลงไป
    ฟังดูแปลกๆ พิลึก แต่เชื่อไหมว่า จากการวิจัยพบว่า หากคุณกำลังฝันรู้ตัวอยู่ ข้อความบนหน้าหนังสือนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึง 75% ในการอ่านซ้ำครั้งแรก และอาจถึง 95% ในการอ่านซ้ำครั้งที่สอง
    <O:p></O:p>
    · สัญลักษณ์ที่บ่งว่ากำลังฝัน (Dreamsigns) :
    สิ่งที่ปรากฏในความฝันที่ทำให้ผู้ฝันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ เช่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังเหาะเหินเดินอากาศอยู่อย่างเพลิดเพลิน เห็นสัตว์ที่มีรูปร่างหรือสีสันแปลกๆ พบเจอกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือ รัฐบาลประกาศว่า หวยใต้ดินได้หมดไปจากเมืองไทยแล้ว อะไรทำนองนี้
    คุณต้องศึกษาความฝันของตัวเองจนกระทั่งคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ที่บ่งว่าคุณกำลังฝัน สัญลักษณ์นี้แตกต่างกันไป ของใครของมัน โดยหากเจ้าสัญลักษณ์นี้โผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไร คุณก็จะมั่นใจว่ากำลังฝันอยู่แน่ๆ
    <O:p></O:p>
    · การเหนี่ยวนำความฝันรู้ตัวโดยใช้เครื่องมือช่วยจำ (Mnemonic Induction of Lucid Dreams - MILD) :
    เทคนิคนี้เรียกย่อๆ ว่า ไมลด์ (MILD) และมีขั้นตอนหลัก 4 ขั้น ดังนี้
    1) ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะตื่นขึ้นในระหว่างที่กำลังนอนอยู่ และหากกำลังฝัน ก็จะจดจำความฝันนั้นไว้
    2) ก่อนล้มตัวลงนอนใหม่ ให้ตั้งใจว่าจะต้องรู้ตัวให้ได้ว่ากำลังฝันในระหว่างหลับครั้งต่อไป โดยอาจบอกตัวเองว่า “คราวหน้าหากฝัน ฉันจะรู้ตัวว่ากำลังฝัน” ลาเบิร์จบอกว่าให้ท่องประโยคนี้ซ้ำๆ เหมือนท่องบ่นมนตรา โดยมีสมาธิแน่วแน่<O:p></O:p>
    3) ขณะที่กำลังท่องมนตร์อยู่นั้น ก็ให้จินตนาการพร้อมๆ กันไปด้วยว่า ได้กลับเข้าไปในฝันที่เพิ่งฝันก่อนตื่นขึ้นมา (หรืออาจจะเป็นฝันอื่นที่จดจำได้) และแสร้งทำเป็นรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ โดยมองหาสัญลักษณ์ที่บ่งว่าคุณกำลังฝันไปด้วยพร้อมๆ กัน
    4) ทำขั้นตอนที่ 2 และ 3 ซ้ำจนคุณผล็อยหลับไป หรือจนกระทั่งความตั้งใจแน่วแน่เข้าที่ คือคิดแต่ว่าจะต้องรู้ตัวขณะกำลังฝันให้จงได้
    เทคนิค MILD นี้คิดค้นโดยตัว สตีเฟน ลาเบิร์จ เอง และเป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขา
    <O:p></O:p>
    · การงีบหลับ (Napping) :
    จากการศึกษาพบว่า การตื่นขึ้นมาระหว่างที่กำลังหลับเพลินๆ อยู่นั้นสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการฝันรู้ตัวได้ หากใช้เทคนิคนี้ คุณต้องตื่นก่อนเวลาตื่นปกติราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วอยู่ต่อสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปนอนต่อ ผลจากการศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า วิธีนี้จะเพิ่มโอกาสในการฝันรู้ตัวได้ราว 15-20 เท่า เมื่อเทียบกับการไม่ใช้เทคนิคใดๆ เลย โดยในระหว่างที่ตื่นอยู่นี้ ดร. ลาเบิร์จ แนะนำว่า คุณควรอ่านบทความเกี่ยวกับการฝันรู้ตัว (ต้องเป็นหนังสือของเขาหรือเปล่าหว่า?) จากนั้นก็ทำการทดสอบความเป็นจริง และต่อด้วยเทคนิค MILD ในขณะที่ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
    <O:p></O:p>
    ผมโม้มาจนคิดว่าได้ที่แล้ว หวังว่าคงจะมีใครเกิดแรงบันดาลใจอยากจะลองฝันรู้ตัวในคืนนี้มั่ง คุณผู้อ่านท่านไหนที่มีประสบการณ์ตรง หรือมีเทคนิคอะไรที่ใช้ได้ผล ก็ช่วยเขียนมาเล่าให้ฟังหน่อย
    ส่วนผมเดี๋ยวขอไปงีบหลับฝันหวานสักแป๊บหนึ่ง….เริ่มจากฝันถึงสิงโตไล่ล่าก่อนก็แล้วกันครับ ;-)


    มี link ให้อ่านต่อ เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยครับที่

    http://www.plotinus.com

    เพื่อนๆที่เก่งภาษาอังกฤษ เข้าไปอ่านตามลิ้งค์นี้ได้เลยครับ
    หรือจะแปลมาให้เพื่อนๆอ่านก็ได้ครับ
    หากไม่ได้ก๊อปปี้มาเพื่อการค้า เจ้าของเวีปไซต์เค้าอนุญาติให้นำมาได้ แต่ให้บอกที่มาแค่นั้นเองครับ </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2009
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    งุงิ งุงิ...

    อย่างน้อย ก็มีคนเข้าใจ ความหมายที่ข้าพเจ้าพยายามสื่อ

    ของคุณ ริสา เดรดเป็นบ่อย ตลอดเลย บางท่านอาจติดว่าเป็นอาการหลับๆ ตื่นๆ
    แต่ถ้าหลับๆตื่นๆ มันจะสะเปะ สะปะมาก ฝันนัวเนียไปหมด จำอะไรไม่ได้เลย
    นั่นเพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะพอ จะอยู่ในอาการ เอ๋อเหรอ มากกว่า
    เคยนอนหลับไปหน้าทีวี ฝันไป ฟังเสียง ทีวีไป ก็มีนะ..อิอิ

    น้อง กุญแจซอล ถ้าได้อะไรดีๆในฝัน ก็มาถ่ายทอดนะ
    ของบางอย่างถึงแม้เป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่มันก็มีประโยชน์ ในแง่การฝึกฝนนะจ๊ะ

    คุณเซลล์ คงไม่ต้อง เอิ้น อะไรมาก ท่านน่าจะเข้าใจ
    ข้าพเจ้ายังมีสติสัมปชัญญะในฝัน ไม่ได้ระดับที่กำหนดมันได้ชัดเจน
    เพียงแต่ รู้ตัว แล้วแก้ปัญหาได้เป็นบางกรณี เมื่อคับขันจริงๆ
    เช่น สั่งให้ตัวเองตื่น แต่แหม!! เวลาฝันหวานเนี่ย บังคับ ย๊ากยาก อะนะ...เฉียดาย ทู้กที อุอุ
    lucid dream หน่ะ ยังบ่ มีปัญญา ควบคุมได้ถึงจร้า

    อาการที่เกิดขึ้น เดรดไม่เคยเป็นมาก่อน
    ลักษณะมันเหมือน การไม่มีร่างกาย มีแต่ดวงจิต นึกถึง astral project เลย แหล่ะ
    ขณะที่เคลื่อนมา โลกทางกายภาพ ตอนนั้น มันเหมือน ยังอยู่ในอาการฝัน
    ไม่มีเส้นแบ่ง อารมณ์ความรู้สึก ไม่กระโดด ไม่มีรอยต่อ เนียนจริงๆขอบอก

    ทำให้รู้สึกว่า จริงๆ จิตวิญญาณเป็นแบบนั้น
    แต่ที่มัน กระตุก ตกใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มาขัดขวาง น่าจะเป็นเพราะเรายังแยกอยู่
    มันไม่รวมไปกับสรรพสิ่ง...เอ่อ..อ้า เอาอีกแระ เขียนไม่ถูกอีกแระ

    หวังว่า ทุกคนคงเข้าใจ ...แหะ แหะ
     
  7. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    น้อง กุญแจซอล ถ้าได้อะไรดีๆในฝัน ก็มาถ่ายทอดนะ
    ของบางอย่างถึงแม้เป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่มันก็มีประโยชน์ ในแง่การฝึกฝนนะจ๊ะ


    toพี่เดรดนะครับ
    ถ้าได้อะไรดีๆผมต้องเอามาบอกอยู่แล้ว แต่วิธีบางอย่างน่ะครับมันดูเป็นวิธีธรรมดาแต่มีพลังมากมาย ก็ขึ้นอยู่กับตัวคนอ่านด้วยแหละครับว่าจะสนใจที่ผมโพสหรือเปล่า
     
  8. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    to พี่เซลล์นะครับ
    เทคนิคที่ได้ผลของผมคือการจินตนาการว่าตัวเองจะตื่นขึ้นจากความฝันครับ ซึ่งวันทั้งวันก่อนถึงกลางคืนเวลานึกถึงสมาธิเนี่ยต้องจินตนาการไปในทางที่ว่าก่อนหลับเราจะฝึกสมาธิก่อนหลับได้ดีอย่างมาก และนอกจากจะจินตนาการว่าจะตื่นขึ้นจากความฝันแล้วก็ใช้วิธีกระตุ้นตาที่สามด้วยโดยการจับความรู้สึกไปที่ตาที่สาม หรือจะกดตรงบริเวณตาที่สามก็ได้ วิธีก็คือกดบริเวณหน้าผากส่วนไหนที่ปวดเสียวส่วนนั้นแหละคือตาที่สาม กดมันไปเยอะๆจนปวดเสียวหลายๆรอบจนกว่าจะหลับ(ที่คนรักกันอย่างจริงใจจูบกันที่หน้าผากเพราะว่าลึกๆแล้วเรารู้ว่าถ้าเราจูบคนรักเราตรงนั้นจะไปโดนตาที่สามและคนรักเราจะมีพลังขึ้นมา) และก็ให้จินตนาการไปด้วยว่าให้ตื่นมาอีกรอบนึง และจินตนาการไปด้วยว่าให้จิตตื่นก่อนกาย
    และเวเลานอนให้เอากระจกเงาบานที่ใสๆไปไว้ด้านตรงข้ามกับหัวนอน พอจิตตื่นก่อนกายให้ดวงจิตของเรามองไปที่กระจกเงา (ผมใช้วิธีนี้ในการเข้าถึงดวงจิตชั้นสูงให้มาสอนวิชา)
    พอตื่นมารอบแรกให้ก่อนหลับรอบที่สองนั้นให้เรานั่งสมาธิต่ออีกรอบนึง การนั่งสมาธิสองรอบก่อนหลับทั้งสองรอบและแบ่งตื่นทั้งสองรอบจะทำให้เราจดจำความฝันได้ละเอียดและตื่นขึ้นในความฝันตามที่จินตนาการได้ง่าย
    การเอากระจกไปวางไว้ด้านตรงข้ามกับที่นอนแล้วพอจิตตื่นก่อนกายให้หันไปทางกระจกเงา จะเป็นการเข้าถึงครูอาจารย์ทางจิต

    พวกเรานี่โชคดีกันจังนะครับ เหมือนได้เป็นนักเรียนเรื่องความฝันรุ่นแรกของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน อิๆ อีกหน่อยผมจะเป็นคนค้นพบวิชาเก่าแก่ที่มีพลังอำนาจมากที่สูญหายไปแล้ว และค้นพบวิชาที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต แหะๆๆ
     
  9. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เมื่อคืนตอนช่วงเช้า ก็บังคับให้ตัวเองตื่นเหมือนกันครับคุณมะเดรด แต่ไม่ได้ตื่นในฝัน เป็นการตื่นทางกายภาพ
    สัญลักษณ์ในฝัน เป็นภาพกำลังใช้มือ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละข้างๆ และก็ขยับแขนขา
    ต้องฝืนใจพอสมควร เพราะกำลังฝันได้ที่อยู่เลย อิอิ..


    ขอบคุณครับ น้องกุญแจซอล

    เทคนิคเอากระจกไว้ปลายเตียง นึกไม่ถึงเลยนะครับ
    (ตามตำราฮวงจุ๊ย เค้าห้ามเอากระจกสะท้อนเข้าหาเตียงเลย เพราะกลัวว่า นอนๆไปตื่นขึ้นมา จะตกใจตื่นซะก่อน)
    แต่นักเรียนห้องความฝัน ไม่กลัวกระจก อยู่แล้วใช่มั๊ย อิอิ..

    แล้วช่วงที่กายหลับจิตตื่น แล้วมามองกระจก
    น้องเห็นอะไรครับ
    ช่วยแชร์เป็นวิทยาทานหน่อยครับ

    ที่เคยใช้และได้ผล ในการตื่นในความฝัน
    จะคล้ายๆกับที่น้องกุญแจซอล บอกมา

    ตั้งจิตไว้ที่จักระที่ 6 หรือตำแหน่งตาที่สาม แล้ววางเรื่องที่ต้องการทราบลงไป
    และเข้าสู่ความฝันไปพร้อมๆกับคำถามตอนแรก

    กลางดึกจะตื่นขึ้นมาก่อนครั้งนึง ในช่วงกายหลับจิตตื่น และรู้ว่า ยังไม่ได้ไปในสถานที่ ที่ต้องการไป

    จากนั้น จดจ่อสติสัมปชัญญะ ให้กลับเข้าไปอีกรอบ

    เมื่อกลับเข้าไปอีกครั้ง ตอนนี้จะตื่นขึ้นมาในความฝัน

    จะมีคนคอยเราอยู่ เพื่อจะไปด้วยกัน

    และการจะออกนอกระบบโลก ไปอีกมิตินึง จะมีเงามืด ปกคลุมเอาไว้ จะมองอะไรไม่เห็นเลย เป็นเหมือนหลุมดำ

    การจะเคลื่อนผ่านไป ต้องหมุนเป็นวงกลม และเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนหลุดออกมา

    ก็มาโผล่อีกมิตินึง

    มีเนบิวรา ลักษณะก้นหอย อยู่ 4 ที่ ล้อมรอบอยู่

    แล้วก็เคลื่อนตัวผ่าน เนบิวรานี้เข้ามา

    เห็นลักษณะคล้ายโลกเรา ใสๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ล่องลอยอยู่ตรงหน้า

    โลกที่เห็น เมื่อมองจากสายตาจิตวิญญาณ จะไม่เหมือนกับที่เรามองเห็นกัน

    เราจะมองเห็นความเป็นไป เรื่องราวต่างๆ พร้อมๆกันทั้งหมด

    ถ้าเราเลือกที่จะไปที่ไหน เป็นพิเศษ

    จะมีสมุดบันทึกเล่มใหญ่ ให้ลงบันทึกว่า จะไปที่ไหน

    และเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวโดดๆ จะมีผู้ที่อยู่กับเราด้วย 3 รูปธรรม

    ทั้งหมดเหมือนคนๆเดียวกัน ใครคิดอะไร จะรู้ถึงกันหมด แต่แยกออกมาเป็น 4 รูปธรรม รวมทั้งจิตสำนึกที่บอกว่าเป็นตัวเราด้วย

    เมื่อแสดงความจำนงค์เสร็จแล้ว เห็นดาวดวงนึง เป็นภาพโฮโลแกรม 4 มิติ เป็นโครงร่างโปร่งแสง ของสัตว์ดึกดำบรรพ์มากมาย เลยสนใจที่จะเข้ามาหาประสบการณ์

    แค่คิด ก็โดนดูดเข้ามาที่ลูกแก้วใสๆนี้ทันที และก็ยืนมองสัตว์ดึกดำบรรพ์เหล่านี้ด้วยความสนใจ

    เหมือนตัวเราเอง กระโดดลงมาที่โลก 3 มิตินี้ และเพลิดเพลินดูโน่นดูนี่ แล้วหาทางกลับไม่ได้ อิอิ..

    เห็นคำแนะนำเรื่องการตื่นในฝันของน้องกุญแจซอล ก็เลยเล่าซะเลย เบรคไม่อยู่แล้ว อิอิ..

    จากความฝันนี้ ทำให้รู้ว่า เราแต่ละคน มีรูปธรรมที่อยู่กับเราด้วย เสมือนคนๆเดียวกันจริงๆ เราคิด เรารู้สึกอะไร ถึงกันหมดทันที และพร้อมๆกัน

    ตัวตนต่างมิติของเรา ก็อยู่ในทุกๆโลกธาตุเช่นกัน เชื่อมโยงถึงกันหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน

    ในความเป็นจริงแล้ว เราจึงไม่ใช่ตัวตนโดดๆ ที่คิดว่าเราเป็น อยู่แค่นี้

    โลกที่เราเห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้ เป็นการเห็นที่ค่อนข้างจำกัดอยู่มาก
    และเราเล่นเกมชีวิตนี้อย่างสนุกสนาน สมจริงสมจัง จนลืมไปว่า เราคืออะไร เรามาทำอะไร มาหาประสบการณ์อะไร

    เลยย้อนคิดไปว่า ความรู้สึกอะไรน๊า ที่ทำให้ลงมาหาประสบการณ์ในโลก 3 มิตินี้ จนหาทางกลับไม่เจอ

    ในตอนที่ตัดสินใจลงมาดูนั้น

    ไม่ได้คิดอะไรเล๊ย มีความรู้สึกอย่างเดียวก็คือ ความรักที่ล้นปรี่ รักที่จะเรียนรู้ รักที่จะมีประสบการณ์ แค่นั้นเอง ไม่มีความรู้สึกถึงความกลัวแม้แต่นิด ว่าจะกลับไม่ได้
    ไม่มีความรู้สึกกังวลแม้แต่นิด ว่ากลับไม่ได้ แล้วจะเป็นยังไง

    บ่นมาซะยาวเลย

    ตอนนี้ก็พยายาม ไปหาครูบาอาจารย์ทางจิตอยู่ แต่ก็คลาดกันทุกที
    คงต้องตื่นขึ้นในฝันบ่อยๆ จึงจะไปได้ ไม่หลงทาง

    น้องกุญแจซอลเจอก่อน ก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ
     
  10. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    โอ...ข้าน้อยขอคารวะ ผู้เยี่ยมยุทธ ทั้งสอง
    ท่านฝึกวิชาแห่งจิตวิญญาณ ได้ขนาดนี้เทียวฤา โอ...แม่เจ้า

    อ่านแล้ว อึ้งกิมกี่
    วิชา กระจกเงาสะท้อนจิตวิญญาณ ของ น้องกุญแจซอล สุดยอด
    เดี๋ยวพี่เดรดจะลอง (อือ...ขอทำใจหน่อย มองกระจกในความมืดเนี่ย)

    การกำหนดจิต ก่อนหลับไว้ที่ตาที่สามยังไม่เคยลอง
    เคยแต่กำหนดที่จักระ 4 แล้วส่ง คำถามไปทาง จักระ7
    แต่ว่า มันก็ต้องผ่านตาที่สาม(จักระ หก)ก่อนนิ

    วิชาเนบิวล่าทะลวงจิตวิญญาณ ของท่านเซลล์ ก็ อื้อหือ
    อันเดียวข้าเจ้าก็หมุนจนจะแย่แล้ว ท่านมาสี่มุมเมืองเลยฤา

    มีอะไรมาให้อ่าน เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านโพสต์ ไปจิ๊กเค้ามาอีกที่
    ลองมาดูกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2009
  11. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ผมเอากระจกไปไว้ปลายเตียงผลสรุปคือเห็นครูอาจารย์ฉายออกมาจากกระจกเป็นเงาๆแล้วบอกว่าผมทำดีแล้วให้พยายามต่อไป จากนั้นก็มีการรำมวยกระบี่กระบอง ผมไปค้นดูกระทู้นึงเค้าบอกว่าเป็นการเริ่มต้นของการที่ครูอาจารย์จะมาสอนวิชา(สงสัยจะเป็นหมวดความรู้เดียวกันกับที่คนในกระทู้นั้นฝึก คนในกระทู้นั้นบอกว่าเป็นพวกตำราเขมร) คืนนั้นแหละเป็นคืนที่ชัดเจนมาก พอคืนที่สองก็เห็นแป้บนึงแต่จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง พอคืนที่สามก็เห็นอีกเห็นว่าพระรูปนึงที่ทอดเงาจากกระจกเดินออกมาจากกระจก แต่ไม่รู้ว่าทำเกี่ยวกับอะไร
    เรื่องมันผ่านมาปีนึงแล้วแหละครับ พอดีว่ามีคนที่เจอเหตุการณ์คล้ายๆกับผมเอามาโพสให้ดูกันเลยจำได้
    แต่ผมก็ดูแค่ช่วงแรกๆแหละเพราะกลัวแล้วตื่นซะก่อน เดี๋ยวช่วงนี้ลองใหม่ แหะๆ นอกจากนั้นช่วงนี้ก็คิดว่าเจอเทคนิคบางอย่างแล้ว เช่นให้เกิดเสียงภายในยามตื่นเกี่ยวกับการบอกวิธีฝึกอย่างที่เราอยากได้อย่างชัดเจน เป็นต้น

    ช่วงนี้มีอีกเรื่องนึงที่ดีใจคือสอนเพื่อนในmเกี่ยวกับเทคนิคที่ได้จากที่ตัวเองฝึกนี่แหละ แล้วก็ใด้เงินเป็นหมื่น


    <DIR>หวัดดีครับพี่

    </DIR>
    Make Life Better : ผมพร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ แต่ไม่ชอบถูกสอน says:
    ที่พี่ให้เคล็ดรัไปสุดยอดมากๆ

    เอามาคุยให้ฟังนิดนึงหวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ อิๆ แต่ยังไงๆก็พยายามเข้านะครับทุกคน ผมเข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกวันแหละ ถึงจะไม่ว่างไงก็ต้องหาโอกาสเข้ามาอ่าน
     
  12. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    <TABLE class=tborder id=post2700811 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">05-12-2009, 09:53 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#24 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2700811", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,569
    พลังการให้คะแนน: 2309 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2700811 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start --><STYLE> v:* {behavior:url(#default#VML);} o:* {behavior:url(#default#VML);} w:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </STYLE><?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:SMARTTAGTYPE class=inlineimg title=Surprised alt="" namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com:eek:</O:SMARTTAGTYPE><O:SMARTTAGTYPE class=inlineimg title=Surprised alt="" namespaceuri="urn:schemas-microsoft-com:eek:</O:SMARTTAGTYPE><OBJECT id=ieooui classid=clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D></OBJECT><STYLE> st1:*{behavior:url(#ieooui) } </STYLE>Tools for The Shift
    เครื่องมือเพื่อการเปลี่ยนระดับ

    สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ การที่พวกเราแต่ละคน กำลังเพิ่มระดับความถี่ของการสั่นสะเทือน
    ของพวกเราขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ในแต่ละวัน มันจึงมีกระแสแห่งโอกาส ที่จะเพิ่ม หรือ ลดระดับความถี่ของการสั่นสะเทือนของเราเอง เข้ามาหาตลอด
    ทางที่เราเลือกจะไปกระทบต่อทุกสรรพสิ่ง คุณยังพอจะจำได้ไหมว่า คุณเป็นส่วนหนึ่ง
    ของระบบการถ่ายทอดข้อมูลระหว่างตัวคุณกับกาแล็กซี่อย่างไร

    เพราะว่าความท้าทาย ของการล่องไปบนเส้นทางของการเปลี่ยนระดับนี้ มันสามารถผลักให้เราจนตรอกได้เลยทีเดียว

    เพราะฉะนั้น บางครั้ง เราจึงต้องการความช่วยเหลือ แต่ปัญหาก็คือว่า เราลืมไปว่า เราสามารถขอความช่วยเหลือได้
    และบางครั้ง เราก็เครียดมากเกินไป จนทำให้ลืมขอความช่วยเหลือไป

    ด้วยเหตุนี้ ข่าวดีก็คือ มนุษย์ทุกคน ได้รับมอบ “เทพผู้พิทักษ์” (Guardian Angels)
    มาให้จำนวนคนละ 2 องค์ ตั้งแต่ก่อนที่จะมาถือกำเนิดแล้ว

    และจากงานวิจัยของนายรัซเซล บอลดิ้ง (Russell Boulding) เปิดเผยว่า
    ตอนนี้ พวกเราทุกคน สามารถร้องขอเทพผู้พิทักษ์เพิ่มขึ้น ได้อีก 4 องค์
    เพื่อช่วยให้เราพร้อมสำหรับการเปลี่ยนระดับในครั้งนี้
    ถ้าคุณตัดสินใจที่จะทำอย่างนั้น เพียงแค่คุณอยู่ในความสงบ แล้วตั้งสมาธิให้แน่วแน่
    แล้วร้องขอเทพผู้พิทักษ์เพิ่มอีก คุณไม่จำเป็นต้องร้องขอเทพผู้พิทักษ์เพิ่มถึง 4 องค์ในคราวเดียว
    และเมื่อคุณได้ร้องขอเสร็จเรียบร้อยแล้ว จงนั่งลง แล้วเขียนรายการที่คุณต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือ แล้วให้พวกเขาทำ

    แล้วยังมีอะไรอื่นอีกไหม๊ ที่คุณสามารถเตรียมการไว้ก่อนได้ สำหรับการเลื่อนระดับขึ้นในครั้งนี้ ?

    เท่าที่ฉันบอกได้ก็คือ ทั้งร่างกายของคุณ และจิตสำนึกของพวกเรา ตอนนี้กำลังมีการเปลี่ยนรูปแบบ
    (Transform) เกิดขึ้นอยู่แล้ว

    ทั้งจิตสำนึกและสสาร ต่างก็เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อพวกเราใช้จิตของเราในการคิด
    มันจะไปทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของแรงกระตุ้นทางไฟฟ้า หรือกระแสประสาทในสมองขึ้น
    เมื่อพลังงานไฟฟ้ามีการเคลื่อนไหว มันก็จะไปทำให้พลังงานแอเทอริก
    (Aetheric energy – หรือบางทีเขาก้ใช้คำว่า etheric energy ซึ่งน่าจะเป็นอันเดียวกับ หรือคล้ายๆกับ
    สิ่งที่พระอาจารย์รัตน์ท่านเรียกว่า “มโนธาตุ” หรือ "ปราณ" กันแน่ก็ไม่รู้นะครับ
    เพราะผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะเห็นเขามีการทดลองบรรจุลงในน้ำดืม เพื่อช่วยให้มีสุขภาพกาย
    และจิตดีขึ้นคล้ายๆกัน ดังนั้น ตอนนี้ ผมขอใช้คำว่า “มโนธาตุ” ไปก่อนก็แล้วกันนะครับ – Chayutt)
    หรือมโนธาตุ เกิดการตกตะกอน แล้วก่อให้เกิดสสารในมิติทางกายภาพขึ้นมา

    และสิ่งเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับร่างกายของเราด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ เรามีทัศนคติต่อร่างกายเนื้อของเราอย่างไร
    มันก็จะไปสร้างสิ่งที่เรามองเห็น และเชื่อตามอย่างนั้นด้วย

    (เดี่ยวเราค่อยมาลงในรายละเอียดกันทีหลังนะครับ – Chayutt)


    เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องมีสติสัมปชัญญะ ในทุกๆสิ่งที่เราคิด และรู้สึก

    และหากว่าถูกครอบงำอย่างหนัก โดยพลังงานด้านลบที่อยู่รอบๆตัวเรามาโดยตลอดแล้ว
    เช่น จากทีวี จากภาพยนตร์ จากเหตุการณ์ต่างที่เกิดขึ้นระดับท้องถิ่น / ระดับชาติ / ระดับโลก
    ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องอบรมจิตใจ และพฤติกรรมของเราเองซะใหม่ โดยใช้เครื่องมือช่วยฝึกจิต
    หรือ “งานภายใน” (Inner work) และฝึกกาย หรือ “งานภายนอก” (Outer work) บางอย่างช่วย


    งานภายใน (Inner work):

    ขั้นแรก เพื่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนระดับในครั้งนี้
    เราต้องมาดูในส่วนของงานภายในกันก่อน

    ลินน์ กราบฮอร์น (Lynn Grabhorn) ได้สร้างเครื่องมือสำหรับงานภายในขึ้นมาอย่างหนึ่ง
    เพื่อใช้ฝึกฝนอบรมทัศนคติและมุมมองของตัวเราเองใหม่ ที่เธอเรียกว่า “การสวิตช์กลับข้าง” (Flip switching)
    ซึ่งมันทำให้เราตระหนักรู้ว่า เรากำลังถ่ายทอดพลังงานออกมา และ รับเอาพลังงานเข้าไปอย่างไร

    เธออธิบายถึงกระบวนการนี้ด้วยภาษาทางดนตรี ซึ่งเธอสมมุติให้มีตัวโน้ตเสียง “โด” อยู่ตรงกลางของบรรทัด
    เมื่อเราปลดปล่อยพลังงาน ที่เกิดจากจิตสำนึกฝ่ายสูงออกมา นั่นหมายถึง
    เราไม่เพียงแต่จะไปทำให้ ระดับคลื่นความถี่ของตัวเราเองเท่านั้น ที่ถูกยกสูงขึ้น
    แต่เราจะไปทำให้คลื่นความถี่ของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราถูกยกสูงขึ้นไปด้วย

    แต่เมื่อเราปลดปล่อยพลังงานที่เกิดจากจิตสำนึกฝ่ายต่ำออกมา นั่นหมายถึง
    เรากำลังทำให้ระดับคลื่นความถี่ของตัวเราเองลดต่ำลง

    เพราะฉะนั้น เทคนิค “การสวิตช์กลับข้าง” ของลินน์ กราบฮอร์นอันนี้ มันเป็นเครื่องมือที่ใช้กับ
    “งานภายใน” อย่างหนึ่ง ที่ใช้สำหรับการมองหา และค้นหาหนทางสู่การรู้สึกที่ดีขึ้น
    มันเป็นเครื่องมือสำหรับงานภายใน อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราตระหนักถึงพลังงานที่เรากำลังถ่ายทอดออกมา

    เทคนิค “การสวิตช์กลับข้าง” นี้ อาศัยหลักการทางดนตรีของโน้ตเสียง “โด” เสียงกลาง (Middle C)

    พลังงานที่เกิดจากจิตสำนึกฝ่ายสูง จะไปยกระดับคลื่นความถี่ของเราให้สูงกว่าเสียง “โด” กลางที่ว่านั้น
    ในขณะที่พลังงานที่เกิดจากจิตสำนึกฝ่ายต่ำ จะไปลดระดับคลื่นความถี่ของเราให้ต่ำลง

    และนี่คือวิธีการของเทคนิค “การสวิตช์กลับข้าง” (Flip switching)

    ให้เราทำความรู้สึก เหมือนกับความรู้สึก ตอนที่เรากำลังโอบอุ้มลูกสุนัข หรือลูกแมวตัวเล็กๆ น่ารักๆอยู่
    ด้วยความรัก ความเอ็นดูอย่างที่สุด
    หรือทำความรู้สึก ให้เหมือนกับความรู้สึก ตอนที่เรากำลังโอบอุ้มเด็กทารกที่น่ารักและน่าเอ็นดูอย่างที่สุดอยู่
    ด้วยความรัก ความเอ็นดูอย่างที่สุด จากนั้น ก็ให้นึกส่งความรู้สึกนี้ ไปสู่สิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเรา
    ไม่ว่าจะเป็น ดินสอบนโต๊ะทำงานของคุณ, ลูกบิดประตู, สัญญาณไฟแดงตรงทางแยก, รถยนต์ทีน้ำเงินคันนั้น,
    ต้นไม้ใบหญ้า, คนขับรถคันที่อยู่ข้างๆคุณ, แปรงสีฟันของคุณ. เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ, ฝูงนก,
    หรือแม้แต่ผ้าเช็ดตัวของคุณ

    เป้าหมายของการทำเช่นนี้ ก็คือ ทำทุกวันๆ จนมันพบเส้นทางเดินของมันเอง
    (หรือทำจนคล่อง หรือทำจนเป็นวสี – Chayutt) จนคุณสามารถส่งคลื่นความสั่นสะเทือน
    จากจิตสำนึกฝ่ายสูงออกไปได้ ไม่ว่าในขณะนั้น คุณจะกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ก็ตาม


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    งานภายนอก (Outer work):

    ความเมตตากรุณา (Kindness) คือเครื่องมือของ “งานภายนอก” ที่คุณสามารถนำมาใช้
    เพื่อเตรียมความพร้อมของตัวเองสู่ปี 2012 และการเปลี่ยนระดับที่กำลังจะมาถึง

    ฉันเรียกมันว่า “งานภายนอก” เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ “การแสดงออกอย่างมีสติ”
    เครื่องมือที่ว่านี้ คือการแสดงความเมตตากรุณา ต่อตัวคุณเอง, ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งแวดล้อม

    และต่อไปนี้คือสิ่งที่จะต้องทำ:

    สำหรับตัวคุณเอง :

    <!--[if !supportLists]-->- เข้านอนแต่หัวค่ำ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ไม่รับโทรศัพท์ในเวลากลางคืน<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ปิดทีวี แล้วหาหนังสือที่จรรโลงใจ หรือก่อให้เกิดแรงบันดาลใจมาอ่านแทน<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ทำสมาธิ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- นอนแช่ในอ่างน้ำ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ดูวีดีโอที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ / จรรโลงใจ จากกลุ่มคนที่ทำงานด้านจิตวิญญาณ<!--[endif]-->

    สำหรับผู้อื่น:

    - รับอาสาเลี้ยงลูกให้เพื่อนบ้านบ้าง เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาพักบ้าง
    - แอบเขียนจดหมายหรือข้อความแสดงความรักของคุณ แล้วซ่อนไว้ในห่อข้าวกลางวันของลูกๆคุณ
    หรือซ่อนไว้ในกระเป๋าสตางค์ของคู่สมรสของคุณ
    - ส่งจดหมายถึงครูบาอาจารย์ของคุณ บอกพวกท่านว่าสิ่งที่พวกท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนคุณมา
    ได้ทำให้ชีวิตของคุณแตกต่างไปมากแค่ไหน
    - บริจาคเงินให้กับผู้คน หรือ มูลนิธิ สักแห่ง ในนามของผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม
    - ริเริ่มกองทุนเพื่อการกุศลอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่มีคุณค่า
    - รวบรวมเสื้อผ้า และสิ่งของเครื่องใช้เก่าๆ ที่ใช้แล้วของคุณเองและของเพื่อนร่วมงานของคุณ
    ไปบริจาคให้สถานสงเคราะห์เด็กเร่ร่อน
    - ขอให้ลูกๆของคุณนำของเล่นของพวกเขา ไปมอบให้กับเด็กที่ด้อยโอกาสกว่า
    - เมื่อมีเพื่อนบ้านใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ ให้อบคุกกี้ แล้วนำไปมอบให้พวกเขาเพื่อเป็นการยินดีต้อนรับพวกเขา

    สำหรับสิ่งแวดล้อม:

    <!--[if !supportLists]-->- เวลาที่เดินผ่านละแวกบ้านของคุณ ให้เก็บขยะที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทาง หรือในรางระบายน้ำไปทิ้งด้วย<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- นำรถเข็นสำหรับช็อปปิ้งไปจอดไว้ด้านหลังลานจอดรถ ในที่ๆของมัน ให้เขาด้วย<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ไว้รอบๆที่อยู่อาศัยของคุณ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- นำขยะของคุณมาใช้ใหม่<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ฝึกหัดนิสัยการ “ใช้จนหมด, ใส่จนขาด, มัธยัสถ์” (use it up, wear it out, make it do)<!--[endif]-->


    และต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่ใช่ความเมตตากรุณา:

    <!--[if !supportLists]-->- ทำอะไรซักอย่างเพื่อผู้อื่น โดยหวังผลตอบแทน รวมถึงคำชมเชย และการยอมรับนับถือ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ทำอะไรสักอย่างเพื่อผู้อื่น ที่พวกเขาต้องมาบอกคุณเองว่าพวกเขาอ่อนแอ,
    ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือ ไร้ความสามารถ<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ช่วยเหลือผู้อื่น จากสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำของเขาเอง และเป็นการปิดกั้น
    ไม่ให้เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่เกี่ยวกับผลจากการกระทำของเขาเอง (เช่น การวิ่งเอาการบ้านที่ลูกลืมทิ้งไว้ที่บ้าน
    ไปให้ลูกถึงที่โรงเรียน หรือการขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน เวลาที่ลูกตื่นสายไปไม่ทันรถโรงเรียน เป็นต้น)<!--[endif]-->
    <!--[if !supportLists]-->- ให้คำแนะนำโดยปราศจากการร้องขอ<!--[endif]-->


    ความเมตตากรุณา ไม่ได้เป็นแค่หลักการแห่งความนุ่นนวล, หรือเป็นละอองไอแห่งความรู้สึกที่ดี
    และอบอุ่นเท่านั้น แต่สิ่งที่มันจะให้กับคุณคือผลลัพธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง
    เพราะมันจะไปสร้างคลื่นพลังงานอันทรงพลัง ที่จะไปเปลี่ยนรูปแบบในระดับลึกของ DNA
    ทั้งของผู้ให้และผู้รับได้จริงๆเลยทีเดียว มันทำงานได้เหมือนปาติหาริย์ และได้ผ่านการตรวจพิสูจน์แล้ว
    ทางวิทยาศาสตร์ ในเชิงชีววิทยา, สรีรศาสตร์, ภูมิคุ้มกันจิตประสาทวิทยา
    (Psychoneuroimmunology – ไม่รู้แปลถูกหรือเปล่านะครับ –Chayutt) และทางฟิสิกส์

    เมื่อใดที่เราเปิดใจของเรา และหยั่งลงสู่หัวใจของผู้อื่น ด้วยความเมตตากรุณา
    สมองของเรา จะหลั่งสารเอนโดร์ฟิน (endorphins) ออกมา ซึ่งสารเอนโดร์ฟินที่ว่านี้
    มันเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายๆมอร์ฟีน ที่มันจะทำให้เรารู้สึกมีความสุข

    การแสดงออกซึ่งความเมตตากรุณา จากผลการศึกษาของนักวิจัยชื่อ พอล เพอร์แซลล์ (Paul Persall)
    ระบุว่า มันจะไปทำให้สมองของเรา ปลดปล่อย “สสารพี” (Substance P)
    ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทอย่างหนึ่ง ที่สามารถปิดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดไว้ได้

    กระบวนการทางสรีรวิทยาทั้ง 2 อย่างนี้ มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อร่างกาย / จิตใจ / จิตวิญญาณของเรา
    และต่อประสบการณ์ชีวิตที่เราจะพบเจออีกด้วย

    ..........................................<!-- google_ad_section_end -->


    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


    </FIELDSET>
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://palungjit.org/threads/2012-ป...ขึ้น-ascension-ไปสู่มิติที่-5-a.217055/page-2


    รูปธรรมที่คุณเซลล์ กล่าวถึง ข้าเจ้าคิดว่าตัวเองเคยสัมผัสได้สอง รูปธรรม
    จะคือ เทพผู้พิทักษ์ ในบทความข้างต้นหรือไม่

    ถ้าใช่ เราก็สามารถร้องขอเพิ่ม อีก จนครบตามที่บทความกล่าวไว้
    อาจเป็นครูบาอาจารย์ ก็ได้นา ถ้าช่วงนี้ จักรวาลเปิด มิติต่างๆเปิด
    นับเป็นโอกาส แห่งการยกระดับจริงๆ
     
  13. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ถ้ารูปธรรม ที่คุณเซลล์ กล่าวถึง
    เท่าที่เดรดเคยสัมผัสได้ของข้าพเจ้า มีอยู่สอง
    จะเป็นเทพผู้พิทักษ์ จากบทความข้างบน หรือไม่
    ถ้าใช่ เราก็มีโอกาสร้องขอ อีก ให้ครบสี่ได้

    อาจเป็นครูบาอาจารย์ ที่เราอยากพบ เพื่อเรียนรู้อะไรจากท่าน
    เราก็น่าทำการทดลองนี้ดู ถ้ามิติต่างๆ และจักรวาลนี้เปิดทางให้
    อาจเป็นเวลา ของการยกระดับจิตสำนึก ก็เป็นได้
     
  14. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    อืม ก็คงจะเป็นประมาณนั้นแหละครับพี่เดรด เพราะเวลาที่ผมเจอสันติภายในใจก็จะเหมือนสมองส่วนลึกถูกกระตุ้นและสารบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของสมองก็เสมือนว่ามันเอ่อล้นออกมาอย่างท่วมท้นและในช่วงนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีความสุขไปหมดหรือจะนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยก็มีความสุข นี่แหละหนาความสุขมันถึงอยู่ที่ใจจริงๆ เลยคลายความสงสัยมาได้ในที่สุดว่าความสุขมันจะอยู่ที่ในใจได้ยังไง ที่แท้มันอย่างงี้เอง อิๆ
     
  15. thanathama

    thanathama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +129
    ได้อ่านเทคนิค และ ประสบการณ์ความฝันของหลายท่าน

    ทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้ฝึกฝันต่อไปครับ

    ผมเป็นคนหนึ่งที่พยายามจะจำฝันให้ได้ และ พยายามฝันอย่างมีสติรู้ตัวให้ได้

    แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลยครับ แต่ผมก็พยายามต่อไปครับ

    เพราะผลที่ได้มันคุ้มค่ามาก ๆ ครับ

    ขอบคุณครับ
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอแสดงความยินดีด้วยครับ
    อ่านประสบการณ์และเทคนิคแต่ละท่านแล้วน่าชื่นใจจริงๆ กำลังรุดหน้าไปลื่วๆเลยนะครับเนี่ย ขอให้ทุกๆคนได้พบกับเทพผู้พิทักษ์หรือ"พี่เลี้ยง" ทางจิตวิญญาณกันโดยเร็ววันครับ
    เรื่องกระจกติดปลายเท้าคุณกุณแจฯนี่นึกถึงเรื่องทวิภพเลย อาจจะเป็นกุณแจไขความลับหรือคำตอบจากมิติอื่นๆออกมาได้อีกมากมายก็ได้ ถึงวันนั้นค่อยเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสืออย่าลืมทำเวิร์คช็อพและจดบันทึกกันเอาไว้ด้วยนะครับ คุณเซลล์ก็ทะลุมิติไปแล้วเหมือนกัน ความกลัวคงไม่เหลือแล้ว มีแต่ความรักนำพาไปสู่ประสบการณ์ในโลกหลากมิติอันน่าตื่นเต้นซะขนาดนั้น เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ..
     
  17. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    ก่อนอื่นขอขอบคุณเพื่อนๆย้อนหลัง นะครับ สำหรับคำอวยพร
    เนื่องจากมีโอกาสเข้าเว็บน้อยมาก อ้อทำให้รู้ว่า คุณเซลล์
    ก็เกิดเดือนนี้เหมือนกัน เป็นเดือนที่มีความสุขมากๆ ของปีนะครับ

    ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เล่าประสบการณ์ให้ฟังนะครับมีประโยชน์มากมายเลย
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ธันวานี้มีเบริด์เดย์หลายคนเลย เดี๋ยววันที่ 19 ธันวานี้ก็วันเกิดพี่นักเขียนฯ
    ปลายเดือนก็วันเกิดคุณแม่... เบริด์เดย์กันทั้งเดือน

    มีข่าวว่าเย็นวันนี้มีคนพบเห็น แสงประหลาด (อีกแล้ว) แถวๆคลองถม
    เป็นแสงสว่างรีๆคลายดาว 40 กว่าจุดเคลื่อนที่ได้ เดี๋ยวคงมีข่าวตามออกมา
    สงสัยจะมาเบริดเดย์คนที่เกิดเดือนนี้ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2009
  19. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    มีข่าวออกมาแล้วครับคุณ mead ตามนี้เลย Thai E-News: โอละพ่อสื่อไทยตื่นลูกโป่งออกข่าวUFOโผล่กรุง
     
  20. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เพิ่งรู้เหมือนกันว่า คุณกุ้ง และคุณแม่ของคุณ mead เกิดเดือนนี้เหมือนกันครับ

    ก็ยังกลัวๆอยู่เหมือนกันครับคุณ mead ความกลัวยังมีอยู่ครบถ้วน อิอิ..


    วันก่อนนู๊น ตั้งใจใช้เทคนิคของน้องกุญแจซอล

    โดยตั้งใจฝันว่า ให้ไปยืนอยู่หน้ากระจกเงาในบ้าน แล้วจะส่องดูว่าเป็นยังไง ถ้ามองดูนอกเหนือเครื่องพราง

    คืนนั้น ไม่ได้ไปยืนหน้ากระจก

    แต่ไปพบ ในหลวง นั่งอยู่ที่ม้านั่งยาว เป็นภาพที่ซ้อนอยู่ในบ้าน

    เมื่อพบท่าน ก็คุกเข่ากราบท่าน

    รู้สึกตื้นตันที่ได้พบ คิดอยู่ในใจว่า โอกาสอย่างนี้หาได้ยากยิ่ง

    เลยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง จะให้ท่านเซ็นลายเซ็น และจะขอเก็บไว้ให้เป็นสิริมงคล

    ล้วงกระเป๋า มีแบงค์พันอยู่ 4 แบงค์ แบงค์ 50 และแบงค์ 20 อีก 1 ใบ

    ก็เลยเอาแบงค์พัน ให้ท่านเซ็น

    ท่านก็รับแบงค์ไป และพูดหยอก บอกว่า จะให้เซ็นตรงไหน ตรงที่ว่างที่เป็นลายน้ำ ตรงหน้าเราเหรอ

    ก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร

    ท่านรู้ใจว่า ต้องการนำลายเซ็นไปฝากที่บ้าน

    ด้วยความเกรงใจ ก็เลยให้ท่านเซ็นอีกแค่ 3 ใบ

    เสร็จแล้ว ก็แอบเงยหน้ามองพระพักตร์

    พบว่าใบหน้าละม้ายคล้ายพระองค์ท่าน แต่รู้จากภายในว่า ไม่ใช่บุคลิกของพระองค์
    ความรุ้สึกเหมือนญาติผู้ใหญ่ ที่มีความเมตตาสูง

    หลังจากที่ท่านเซ็นแบงค์ให้เพื่อนที่ไปด้วย 1 คน

    ท่านก็บอกว่า ให้เข้ามาใกล้ๆ

    ท่านก็เอามือวางไว้บนกระหม่อม ก็เลยรู้ว่าท่านกำลังให้พรอยู่

    ก็เลยหายใจเข้า-ออก ลึกๆ เพื่อจะรับพรนี้

    แต่รู้สึกว่ามันท่วมท้น จนหายใจไม่ทัน

    ความหมายที่ได้จากในฝัน นอกจากความปิติที่ยังอยู่ รู้สึกว่า หากเรามีเทพผู้พิทักษ์ ตามบทความที่คุณเดรดนำมาโพส แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใช่

    เพราะถ้าเป็นรูปธรรมที่ดูแล อาจจะมาในรูปแบบคนที่เรารู้จัก เพื่อที่จะสื่อสารกับเราก็เป็นได้
    หากเรามองเฉพาะ ที่เห็นด้วยตา ด้วยความทรงจำ
    เราก็อาจจะไม่รู้เลยก็เป็นได้

    และจิตวิญญาณสื่อสารกันด้วยอารมณ์ ความรู้สึก
    ความรู้สึกที่ติดมาจากในโลกความจริงหลากมิติในฝัน
    ก็ยังคงอยู่เป็นจริง พร้อมกันเป็นปัจจุบัน
    หากเราลองย้อนกลับไปที่ความรู้สึก ในตอนนั้น ก็จะเหมือนการเหนี่ยวนำความปิติสุขนั้นกลับมา และส่งต่อออกไปสู่สิ่งแวดล้อมได้ด้วย

    แล้วภาพก็ตัดมา ฉากที่บ้านตอนฝนตกพรำๆ ยามพลบค่ำ
    บอกที่บ้านว่า เดี๋ยวออกไปข้างนอก
    แล้วก็เดินไปข้างๆบ้าน เห็นค้างคาวตัวเท่าคน นอนจมกองเลือดอยู่ 5-6 ตัว
    ทุกตัวยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็บาดเจ็บ
    ยืนมอง คิดในใจว่า เหมือนหนูยักษ์ ตัวสีขาวๆดำๆ แต่มีปีก
    ดูไปแล้ว ก็คิดว่า จะทำยังไงดี จะไปตามใครมาช่วยดีหว่า
    เสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆ
    มีตัวนึง คลานมาจับขา และก็ลุกขึ้นมา
    ก็เลยบอกไปว่า เดี๋ยวไปตามคนมาช่วย
    แต่ตอนนั้น โคตะระกลัวเลย เหลือบไปมอง เห็นสัก BB ที่สะโพกด้านซ้าย แล้วเจ้าค้างคาว ก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสียวแปร๊บเลย เดาไม่ถูกว่า เจ้าค้างคาว ต้องการความช่วยเหลือจริง หรือกำลังจะกัด
    (เสียดายว่า ถ้าตอนนี้รู้ตัวว่าฝันอยู่ คงจะรู้อะไรมากกว่านี้)
    เลยสะดุ้งตื่นขึ้นมาซะก่อน

    ฝันตอนนี้ น่าจะมาจาก ที่บ้าน มีค้างคาวอยู่ตัวนึง ตัวเล็กๆ มาอาศัยอยู่ในรูปปั้นดินเผา
    จะบินเล่นเฉพาะกลางคืน
    วันนึงพี่ท่าน มาเกาะขอบบ่อปลา และตัวก็แช่น้ำอยู่ ไม่ขยับ
    ก็นึกว่า กลับบ้านเก่าแล้ว
    ไปขุดหลุมไว้แล้ว กำลังจะตักเอาไปวางในที่ที่เตรียมไว้
    ก็ร้อง กี๊ดๆ
    ก็เลยรู้ว่า ยังไม่ตาย แค่นอนตากอากาศอยู่ อิอิ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...