วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สังขารนี้ไม่ใช่ของเรา -- เราไม่ใช่เจ้าของสังขารนี้

    พระพุทธศาสนานี้เป็นของเรา-- เราเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานี้

    เรารักสังขารพอประมาณ -- เรารักพระพุทธศาสนาสุดประมาณ

    อาจารย์ธวัช คณิตกุล
     
  2. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228

    ถ้าอยู่ต่างประเทศไม่มีเงินบาทไทย ใช้เงินสกุลนั้น ๆจำนวน 9 เหรียญของประเทศเค้าได้มั๊ยคะ
     
  3. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post657022 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joni_buddhist<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_657022", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 28
    ข้อความ: 8,006
    Groans: 5
    Groaned at 25 Times in 24 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 110
    ได้รับอนุโมทนา 73,934 ครั้ง ใน 9,019 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5445 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_657022 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อสอนธรรมมะเพื่อประโยชน์ในภายหน้า<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]
    ข้อปฎิบัติที่ฆราวาสจะพึงปฎิบัติเพื่อความสุขในปัจจุบัน เป็นข้อปฎิบัติที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้พอดี ๆ กับชาวบ้านที่หวังความสุข แต่ความจริงถ้าชาวบ้านเขาปฎิบัติได้ ถ้าชาววัด ปฎิบัติไม่ได้ก็เห็นจะเลวเกินไป เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้อันดับต่ำที่สุด วันนี้ก็จะขอพูดต่อจากเมื่อวาน คือไม่ใช่ต่อกัน เป็นอีกหมวดหนึ่ง เป็นหมวด 4 เหมือนกัน
    หมวดนี้ให้นามว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้า 4 อย่าง สำหรับ เมื่อวานนี้ได้พูดถึงประโยชน์ในปัจจุบัน สำหรับวันนี้พระพุทธเจ้าทรงให้ปฎิบัติประโยชน์สำหรับภายหน้า แต่ทำให้ดีในวันนี้นะ การปฎิบัติ ปฎิบัติขณะนี้แต่ว่าความดีนี่จะให้ผลในกาลข้างหน้าต่อไป คำว่า กาล ข้างหน้านี่ อาจจะเป็นข้างหน้าคือวันพรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า ปีหน้า แม้แต่ชาติหน้าก็ยังได้ แต่ความจริง ผมพิจารณาแล้วว่าถ้อยคำขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำไว้ ณ ที่นี้ ทำเดี๋ยวนี้ก็ดีเดี๋ยวนี้ แล้วก็ดีต่อไปถึงข้างหน้าด้วย ก็ขอพูดถึงตามหัวข้อของท่านเลยว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์คือ ประโยขน์ในภายหน้า 4 อย่าง นั้นก็คือ

    สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่นเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ ความจริงเรื่องศรัทธาความเชื่อนี่ เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราจะเชื่อเฉย ๆ โดยใครพูดอะไรแนะนำอะไรแล้วก็เชื่อเสีย อย่างนี้คนที่ถูกหลอก ถูกลวงนี่มีเยอะ ก็เพราะเป็นคนไม่จำ คือหนักมาในความเชื่อ เห็นใครเขาพูดดีนิดพูดดีหน่อย มีรางวัลนิดมีรางวัลหน่อย ก็เชื่อเขา เวลานี้ทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดี ข่าวทางวิทยุก็ดี จะเห็นว่าคนที่หลงใหลใฝ่ฝันเรื่องความเชื่อนี้ ต้องเสียหายมากมาย คือเชื่อเพราะว่าไร้ปัญญา น้อมใจเชื่อ ตัวอย่างเช่นจะไปทำงานที่ตะวันออกไกลหรือตะวันออกกลาง จะต้องเสียเงินกันเป็นพันเป็นหมื่นก่อนจะไป ไม่มีเงินไม่มีทอง ก็กู้ยืมเขาไป ในที่สุดก็ถูกเขาหลอกเขาลวง ถึงกับตัวเกือบจะตายเพราะไม่มีกิน ไม่มีค่าเครื่องบินจะกลับ อย่างนี้ก็มีมาก สำหรับในประเทศเราเองก็มี ไปหลอกสาวเหนือมาบ้าง สาวภาคอีสานบ้าง สาวภาคกลางบ้าง หลอกว่าจะมีงานทำ แล้วก็ส่งเขาไปสู่ซ่องโสเภณี ต้องขายตัว ความจริงการขายตัวประเภทนั้น ถ้าผลรายได้มันได้กับตัวเองทั้งหมด มันก็ยังมีประโยชน์ ยังเอาไป ทำประโยชน์ได้ แต่นี่กลับต้องเป็นทาสขายตัวเพื่อเขา ไม่ใช่เพื่อเราเอง นี่การถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือความเชื่อนี้ จะต้องมีปัญญามาประกอบด้วย ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา มีความเชื่อ เราต้องเชื่อทุกอย่าง อันนี้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ คือ ศรัทธา มี 2 อย่าง คือ อธิโมกศรัทธา น้อมใจเชื่ออย่างหนึ่ง กับ ศรัทธาที่สัมปยุตด้วยปัญญา นี่อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะเชื่อใช้ปัญญาพิจารณาก่อน สำหรับการน้อมใจเชื่อน่ะ พระพุทธเจ้าทรงตำหนิว่าเป็นความเชื่อขั้นเลว เป็นปัจจัยของความทุกข์ ก่อนที่จะเชื่ออะไรใข้ปัญญาพิจาณาเสียก่อน แล้วมันจะไม่พลาดไม่พลั้ง จะเป็นความสุข ทีนี้การที่จะเชื่ออะไรก็ดี แต่ในที่นี้ท่านบอกว่าจงเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำขั่วได้ชั่ว เป็นต้น ท่านใช้

    คำว่าเป็นต้น คำว่าทำดี เขาบอกทำดี ต้องพิจารณาด้วยว่า ไอ้ที่ทำดีน่ะ มันดีจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเขาบอกไปว่าไปตะวันออกกลางเงินเดือนดี อันนี้เราเชื่อ แต่การที่ก่อนจะไปเขาจะเอาเงินของเราไป ล่วงหน้านี่อย่าเพิ่งเชื่อ มันต้องมีเหตุมีผลมีหลักฐานพอจึงควรเชื่อ ขอพูดแต่โดยย่อว่า ถ้าเรามีศรัทธา เชื่อว่าถ้าทำดีมีความสุข ทำชั่วเป็นโทษให้เกิดความทุกข์ ถ้าผมจะพูดเสียตอนนี้ทีเดียว รู้สึกว่าจะไปทันทีหลัง

    อันดับแรก ก็จงคิดว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า จงถึงพร้อมด้วยความเชื่อ แต่ว่า จงเลือกเชื่อแต่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์นี่สิ มีผล สำหรับประโยชน์ในภายหน้า

    ข้อที่สอง ท่านบอกว่า สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คือรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย ไม่มีโทษ การถึงพร้อมด้วยศีลนี่ ผมเห็นด้วย เห็นด้วยคำว่าศีลนี่แปลว่าปกติ คนทุกคนมีศีล คนทุกคนนั้นมีเสน่ห์ ไม่มีใครหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นพระก็ตาม เณรก็ตาม ฆราวาสก็ตาม เด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้าต้องการจะเป็นคนมีเสน่ห์ล่ะก็ ไม่ต้องไปหาหมอเสน่ห์ แล้วก็ไม่ต้องใช้เงินมาก ไม่ต้องซื้อความรัก ความรักจะหลั่งไหลมาเอง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข สีเลนะ โภคสัมปทา ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดโภคสัมบัติมาก สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลนี่เป็นปัจจัยให้เราเข้าถึงความสงบ คือหมดจากความทุกข์ ทุกข์จากความเดือดร้อนที่จะเข้ามาถึงจากภายนอก ศีลท่านกล่าวไว้อย่างนี้

    ทีนี้เราก็มานั่งคิดว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ ท่านบอกว่าคนที่มีศีลนี่เป็นคนที่มีความสุข นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านให้มีคนสองคน ท่านบอกทุกคนควรจะมีเสมอกัน เราเป็นคนมีศรัทธา แต่ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องประกอบ พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้อย่าเพิ่งเชื่อ ลองเอาไปทำก่อน ถ้าไปทำแล้วไม่มี ผลจริง อย่าเชื่อ ถ้ามีผลดีจริง นำไปปฎิบัติ แล้วก็มานั่งฟังเรื่องศีลกัน ขอย่อ ๆ นะครับ

    ศีลสำหรับฆราวาสมีอะไร ปกติศีลก็ได้แก่ ศีล 5 ไม่ต้องศีล 8 ศีล 5 ก็

    ท่านบอกว่า อย่าข่มเหงกันนะ อย่าประทุษร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อย่าทำลายชีวิต ซึ่งกันและกัน จงเป็นคนมีเมตตา ความรักในกันและกัน มีความกรุณา ความสงสารซึ่งกันและกัน ลองนั่งคิดถึงศีลข้อที่หนึ่ง ว่าคนทุกคนต่างไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ต่างไม่ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ต่างไม่ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างรักเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างคนต่างสงสารซึ่งกันและกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกันให้มีความสุข อาการอย่างนี้จะเป็นปัจจัยของความทุกข์หรือเป็นความสุข นึกเอานะครับ

    ประการที่สอง ท่านบอกว่า อย่าลักอย่าขโมยกันนะ อย่ายื้อแย่งทรัพย์สินของเขา เพราะอะไร เราไม่ต้องการให้ใครเขาฆ่า คนอื่นเขาไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าเขา นี่ทรัพย์สินของเรา นี่ถ้าหากว่าเราไม่ลักไม่ขโมยกัน มันก็มีความสุข เพราะอะไร ถ้าเราไม่คิดประทุษร้ายซึ่งกันและกัน คนในโลกนี้มีเมตตาปรานีซึ่งกันและกัน ไอ้เรื่องเงินที่ต้องเสียค่าอาวุธ ไม่มี ที่ต้องมีอาวุธกันนี่ก็เพราะว่าคิดว่าคนนั้นเป็นศัตรูกับเรา คนนี้เป็นศัตรูกับเรา จึงต้องมีอาวุธ แล้วค่าอาวุธแต่ละคนน่ะ ซื้อเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ ถ้าเงินทั้งหลายเหล่านั้น คนสี่สิบล้านคนของประเทศไทยนี่ ถ้าต้องซื้อมีดพับกันคนละหนึ่งเล่ม เล่มละหนึ่งบาท ต้องเสียค่าอาวุธไปเสีย 40 ล้านบาท ทีนี้ถ้าหากว่าทุกคนไม่ลักไม่ขโมยซึ่งกันและกัน การกลัวขโมยนี่ต้องใช้กุญแจใส่บ้าน ต้องซื้อกำปั่นใหญ่ ๆ ต้องทำห้องดี ๆ เป็นที่ลี้ลับ มีความเสียหายมาก เวลานี้ก็ต้องฝากธนาคาร เป็นอันว่า ผลเงินที่เรามีอยู่ ถ้าเราไม่ฝากธนาคาร ให้เพื่อนกู้ เราก็มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยจากธนาคาร เพราะทางธนาคารเขาต้องมีผลรายได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รับฝาก เป็นอันว่าถ้าเราต่างคนต่างไม่ลักไม่ขโมยซึ่งกันและกัน ทุกคนก็นอนตาหลับ บ้านก็ไม่ต้องสร้างแข็งแรง เอาเฉพาะกุญแจดอกเดียว นี่เราจะไปไหน เกรงว่าเขาจะเข้าบ้านเราได้ ใช้กุญแจดอกเดียวใส่ประตูหน้าบ้าน ลองคิดดูทีสิว่าใส่กุญแจดอกหนึ่งราคากี่บาท สมมติว่ากุญแจดอกหนึ่งราคาหนึ่งบาท คน 40 ล้านคน สมมติว่ามีบ้านแค่ 10 ล้านหลัง นี่เราต้องเสียเงินเป็น 10 ล้านบาท เฉย ๆ เปล่าประโยชน์ แต่ความจริงเรื่องการป้องกันขโมยนี่ไม่ใช่ราคาบาทเดียวแล้ว บางบ้านต้องลงทุนเป็นแสน สมมติว่าทุกบ้านต้องเสียค้าคุ้มกันขโมยนี่ มีกุญแจ มีหีบ มีห้องหับที่มั่นคง จากบ้านละ 100 บาทนี่ ถ้าบ้าน 10 ล้านหลัง แล้วเอา 100 คูณเข้าไป มันก็เป็น 1,000 ล้านบาท นี่สมมติเราต่างคนต่างไม่ขโมยซึ่งกันและกัน แล้วมันจะจนหรือมันจะรวย มีความสุข ข้อนี้ท่านบอกว่ามีประโยชน์ในเบื้องหน้านี่ ผมว่าประโยชน์ในปัจจุบันด้วย ความจริงอาจจะมีใครตั้งขึ้นมากระมังว่าประโยชน์ในเบื้องหน้า ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีใครตั้งขึ้นมากระมังว่าประโยชน์ในเบื้องหน้า ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันมีประโยชน์ ข้างหน้ามันก็มีประโยชน์ หมายความว่า เราต้องมีศรัทธาตลอด เราต้องมีศีลตลอด

    ศีลข้อที่สาม ถ้าเราไม่ยื้อแย่งความรักซึ่งกันและกัน ไม่ข่มเหงน้ำใจกัน ความเป็นมิตรมันก็มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรามีคู่ครองแล้ว เราก็ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ในบ้านมันก็เป็นสวรรค์ ความเดือดร้อนมันก็ไม่มี มันก็มีความสุข นี่ก็เป็นความสุขในปัจจุบัน

    ศีลข้อที่สี่ การกล่าววาจาเท็จก็ดี กล่าววาจาหยาบก็ดี ยุให้เขาแตกกันก็ดี กล่าววาจาไร้ประโยชน์ก็ดี มันไม่มีประโยชน์ มันเป็นปัจจัยให้เขาเกลียด ถ้าเรากล่าวแต่วาจาที่จริงใจ ใช้วาจาอ่อนหวาน พูดแต่เฉพาะให้เกิดความสามัคคี ใช้วาจาที่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นความรัก เป็นเสน่ห์ เป็นอันว่าเรามีใจไม่โหดร้าย เป็นคนใจดี ไม่มือไว ไม่ลัก ไม่ขโมย มีวาจาไพเราะ มีวาจาที่เป็นประโยชน์ ได้ใช้วาจาแต่ความเป็นจริง นี่ก็เป็นมหาเสน่ห์ ผมก็คิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครเขาเกลียดนอกจากคนสติไม่ดี

    อันนี้ข้อที่ห้า ถ้าหากว่าเราไม่ดื่มสุราเมรัย ไอ้สุราพาไปในด้านของความชั่ว ดื่มสุราเสียอย่างเดียว ชั่วได้ทุกอย่าง แม้แต่พ่อกับแม่เราก็สามารถจะฆ่าได้ เพราะความเมาสุรา เงินที่เสียไปมันก็เสียไปไร้ประโยชน์ แล้วโทษก็คือทำลายสุขภาพ สามารถจะถึงถูกฆ่าตายก็ถมไป ก็นั่นเพราะสุรา และสุราเป็นเหตุให้ขาดสติสัมปชัญญะ เราสังเกตุดูเถอะ คนดื่มสุราก็คือคนบ้าเรานี่เอง ให้บ้าจริง ๆ แล้วทางกฎหมายไม่ลงโทษ ทางศีลทางวินัยไม่ลงโทษ แต่พอบ้าเพราะสุรา นี่ลงโทษ คนดื่มสุราจัดนี่เป็นคนที่ ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีใครเขาเคารพนับถือ และอายุสั้น บางคนอายุยาวก็สุขภาพไม่ดี ก็เป็นอันว่าถ้าเราถึงพร้อมด้วยศีลประเภทนี้ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ไหม ถ้าคนทุกคนในโลกนี้มีศีลทั้งหมด จะเห็นว่าโลกเป็นสุขหรือว่าโลกเป็นทุกข์


    ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ จะเห็นได้ทันทีว่า ทุกคนมีความเมตตาปรานีซึ่งกันและกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความรักซึ่งกันและกัน โลกมันก็เป็นสุข มันหาศัตรูไม่ได้ สีเลนะ โภคสัมปทา ถ้าทรงศีลได้อย่างนี้ ทรัพย์ทั้งหลายที่หามาได้ มันก็ใช้เฉพาะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ฟุ่มเฟือย ทรัพย์สมบัติไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เสียหายโดยไร้ประโยชน์ มันก็มีความเยือกเย็นในการใช้ทรัพย์สิน ทรัพย์มันก็มีตลอดกาล สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยเข้าถึงความสงบ มันก็มีความสุขสงบ ไม่มีทุกข์ นอกจากทุกข์จากขันธ์ 5 เห็นหรือยังว่า สีลสัมปทา นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ท่านบอกว่าประโยชน์เบื้องหน้านี่ ผมไม่ยักเห็นด้วย เพราะว่าประโยชน์ปัจจุบัน มีความสุขในปัจจุบัน

    ข้อที่สามท่านกล่าวว่า จาคสัมปทา ความจริงเรื่องศีลนี่ ผมพูดย่อ ๆ นะ ถ้าให้พูดเต็มที่แล้ว สามเดือนไม่จบหรอก เพราะผมรู้คุณของศีลดี สังเกตุดูก็แล้วกัน ถ้าคนไหนเขาเป็นคนมีเมตตาปรานี มีความรัก มีความอ่อนโยน อ่อนหวาน เป็นที่ไว้วางใจ ไม่ฉกชิงวิ่งราว ไม่ลักไม่ขโมย แล้วก็ ไม่ประทุษร้าย คือไม่ล่วงละเมิดลูกเขา เมียเขา ผัวเขา พูดแต่วาจาที่ไพเราะเสนาะโสต พูดแต่ความเป็นจริง สร้างความสามัคคี มีสติสัมปชัญญะดี นี่ไปที่ไหน ก็มีแต่คนรัก เพราะว่าถ้าทำได้ อยางนี้ไม่เปลืองสตางค์ ไปบ้านไหนเขาก็เต็มใจเลี้ยงข้าว ความจริงเคยเห็นเมื่อสมัยเป็นเด็ก ๆ เคยพบกันมาโดยที่เราเคยเห็นว่าเขาดี ประเภทนี้ร้านค้าน่ะ ไปกินฟรีได้เลย เขาไม่อยากเก็บสตางค์ ไม่เชื่อลองดูก็ได้ ทำให้มันครบถ้วนจริง ๆ ถ้าเขาจะเก็บเขาก็เก็บน้อย ดีไม่ดี เขาก็เก็บพอเป็นพิธี จนกระทั่งร้านค้านั้นเขาจะไม่เก็บสตางค์ กระทั่งคนกินอาย เกรงว่าเขาจะเสียหาย เขาจะขาดทุน นี่ถึงขั้นนี้นะศีล จะไปบ้านใครเขาก็ เต็มใจต้อนรับ หน้าชื่นตาบาน ไว้วางใจทุกอย่าง ให้ความสุขทุกประการ

    มาข้อที่สาม จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน เป็นการเฉลี่ยความสุขให้แก่ คนอื่น และข้อนี้ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ล่ะก็ เราไม่ได้เฉลี่ยความสุขให้คนอื่น โดยเฉพาะ เพราะตามความ รู้สึกของผมถือว่าเป็นการหาความสุขให้แก่ตัวเอง เพราะอะไร เพราะว่าการบริจาคทาน จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทานนี่ เราพูดกันแบบชาวบ้านนะ ถ้าพูดกันแบบพระละว่า ยาวะ นิพพานโต มมัง ตัวนี้ไม่ใช่ก้อย ศีลก็เหมือนกัน นี่เราพูดแบบชาวบ้าน ก็ลองคิดดูว่า ต่างคนต่างมีเมตตาปรานี ซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างรู้จักการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน บ้านใกล้เรือนเคียงเขาขาดเกลือ เราให้เกลือ เขาขาดน้ำ เราให้น้ำ เขาขาดเงิน เราให้เงิน เขาขาดแรงงาน เราให้แรงงาน เมื่อเราให้เขาได้ เขาก็ให้เราได้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปูชโก ลภเต ปูชัง ผู้บูชาย่อมได้การบูชาตอบ วันทโก ปฎิวันทนัง ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ

    อันนี้ผมเคยพูดเล่น ๆ กับบรรดาเพื่อน ๆ กันเสมอ และบางทีก็พูดเล่น ๆ กันกับพวกเด็ก ๆ ว่า หนู ถ้าอยากจะให้ผู้ใหญ่รับไหว้ มันเป็นของไม่ยาก เธอถามว่า ทำยังไง ถ้าหนูอยากจะให้ผู้ใหญ่ไหว้ก็ เวลาผู้ใหญ่เดินมา หนูก็ยกมือไหว้ท่านสิ เมื่อเรายกมือไหว้ ท่านไหว้เรา เราก็ถือว่าท่านต้องไหว้เรา เพราะเราไหว้ท่าน ทีนี้ จาคสัมปทา ก็เหมือนกัน ถ้ารู้จักเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สงเคราะห์ซึ่งกันและกันละก็ เมื่อเขาขาด เราให้ ไม่มีใครคนไหนใจร้ายเกินไป เมื่อเราขาดแคลนอะไร เขาก็ให้เหมือนกัน ถ้า ปฎิบัติได้อย่างนี้ เราก็มีความสุข พึ่งพาอาศัยกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

    นี่สำหรับข้อที่สี่ ท่านบอกว่า ปัญญาสัมปทา อันนี้สำคัญมาก จงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ปัญญานี่ไม่ใช่รู้จักบาปจักบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ พูดอย่างนี้ก็เกลาเกินไป หมายความว่าจะต้องรู้ต้องใช้ปัญญา ว่าไอ้งานที่เราจะทำอย่างนี้ ทำยังไงมันถึงจะดี แล้วการจะเข้าไปหาคนน่ะ มันถึงกาล ถึงเวลาแล้วหรือยัง เขาว่างไหม เป็นโอกาสที่เราควรจะเข้าหาได้ไหม แล้วการจะทำงานทำการก็เหมือนกัน ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด ต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน ว่ามันควรหรือ ไม่ควร ถ้าจะทำมาค้าขาย ก็ต้องพิจารณาว่าไอ้การทำอย่างนี้ มันจะขาดทุนจะได้กำไรเพียงใด จงอย่าเล็งผลเลิศเฉพาะกำไร ต้องหาทางการขาดทุนเสียก่อน ถ้าหาทางการขาดทุนพบล่ะก็ เราก็หากำไรพบ ถ้ามองหาการขาดทุนไม่พบ ไม่ช้าละกำไรไม่มี ทุนก็หมด

    ในการปฎิบัติการงานก็เหมือนกัน การเป็นลูกจ้าง ต้องใช้ปัญญาทั้งหมด ไม่ใช่ว่ารับแต่คำสั่งอย่างเดียว เมื่อรับคำสั่งมาแล้ว ต้องใช้ปัญญาพิจารณาคำสั่งที่ผู้บังคับบัญชาสั่งนี่ ควรจะทำอย่างไรถึงจะดี ถึงจะไม่พลาด แม้ในการอยู่ในบ้านร่วมกัน คนในบ้านก็เหมือนกัน การคบหาสมาคม การอยู่ รวมกัน ก็ต้องใช้ปัญญา เพราะคนในบ้านของเราทุกคนมีความรู้สึกไม่เท่ากัน เวลานี้บางที เรามีสุข เขามีทุกข์ ทุกข์ทางกายและทางใจ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า เวลานี้มันควรหรือไม่ควร ในการทำ การพูดอย่างนั้น ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาก่อนทำนี่ ไม่ว่าอะไรทั้หมด ไม่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ มันมีแต่ความสุข อันนี้ก็ขอพูดง่าย ๆ แค่นี้นะ


    หัวข้อ คิหิปฎิบัติ หมวดต่อไปท่านบอก มิตตปฎิรูป คือคนเทียมมิตร ไม่ใช่มิตรแท้ คือ มิตรเลว ลักษณะของคนเทียมมิตร คือมิตตปฎิรูป ก็คือ


    คนปอกลอก หลอกกิน เอาเปรียบเพื่อน เอาง่าย ๆ อันนี้ผมเคยทดลอง สมัยเป็นฆราวาสก็ลอง สมัยเป็นพระก็ลอง แม้แต่พระนี่ ฉันด้วยกันต้องออกสตางค์ซื้ออาหาร เวลากินแล้วก็ทำแกล้งกินช้า ๆ ไม่ค่อยควักสตางค์ สองคราวสามคราว แต่ผมสังเกต ผมจะออกเสียก่อน พอถึงสองครั้ง หมอนั่นไม่อยากควัก ผมเลิกคบทันที คนเอาเปรียบคนแบบนี้ คบไปก็ไม่มีประโยชน์

    คนดีแต่พูด ไม่ทำจริง พูดเก่ง ไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี แต่เอาเข้าจริงหาความสามารถอะไร ไม่ได้ อันนี้เขาเรียกว่า คนเทียมมิตร ไม่ใช่มิตรแท้

    ลักษณะที่สาม คนหัวประจบ ชอบประจบยกย่องสรรเสริญ ท่านดีอย่างนั้น ท่านดี อย่างนี้ เราก็ต้องสังเกตตัวเอง ถ้าเขามายกย่องเรา แล้วเรามันดีจริงตามคำพูดเขาหรือเปล่า ถ้าเราดี ไม่จริง ก็จงอย่าเชื่อ จำไว้เชียวว่า เจ้านี่มาเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตัว หวังจะใช้เราให้เป็นทาส หรือว่าหวังจะทำลายทรัพย์สิน เอาทรัพย์สินที่เราหามาได้ยาก ไปเป็นเพื่อเครื่องใช้สอยของเขาแทนเราใช้เอง คนอย่างนี้คบไม่ได้ และ

    คนชักชวนไปในทางฉิบหาย โน่น ชักชวนไปเป็นนักเลงหญิงหรืออะไร อบายมุข 4 ไปเป็นนักเลงหญิง ชักชวนไปในการดื่มสุราเมรัย ชักชวนไปในการเล่นการพนัน ชักชวนไปคบคนชั่ว สูบเฮโรอีน สูบยาฝิ่น ลักขโมย ไปทำลายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยร่วมกัน บอกว่าระบบการปกครองแบบนี้มันไม่ดี เอาใหม่เถอะ ไปเป็นขี้ข้ากันทั้งชาติดีกว่า ไอ้ประเภทที่จะมาเป็นอิสระแบบนี้น่ะ มันไม่เป็นการสมควร การทำมาหากินแบบนี้ไม่เป็นสุข แบบนี้มีขโมย พูดต่างคนต่างไปเป็นขึ้ข้าของคนกลุ่มหนึ่ง ไปเป็นลูกจ้างรับใช้เขา เขาจะให้กินเท่าไร ก็กินเท่านั้น ให้ใช้เท่าไรก็ใช้เท่านั้น งานเราจะทำได้หรือไม่ได้ เขาบอกว่าทำได้ เราก็ต้องทำให้ได้ เราเหนื่อยแล้ว เขาบอกว่ายัง ไม่เหนื่อย เราก็ต้องไม่เหนื่อย เราป่วย เขาบอกว่ายังทำงานไหว เราก็ต้องทำ ทั้ง ๆ ที่เราทำไม่ไหว เป็นอันว่า คนที่แนะนำไปในทางที่ชั่วแบบนี้ ทางฉิบหายแบบนี้ จงเข้าว่าคนประเภทนั้นไม่ใช่มิตร เป็นคนเทียมมิตร เป็นผู้ทำลายความดี ทำลายอิสรภาพ ทำลายความสุข

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรัสว่า คน 4 จำพวกนี้ ไม่ใช่มิตร เป็นคนเทียมมิตร ไม่ควรคบ
    เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับการฟังในวันนี้ ก็หมดเวลาเสียแล้ว ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี ๚ะ

    ที่มา ˹ѧ
     
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2107568 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2107568", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 23,079
    Groans: 4
    Groaned at 22 Times in 20 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 104,881
    ได้รับอนุโมทนา 170,042 ครั้ง ใน 22,317 โพส
    พลังการให้คะแนน: 7197 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2107568 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]

    วันนี้เราก็มาคุยกันเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ขอให้ชื่อเรื่องว่า“พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว” แต่ว่าไม่ใช่พระอรหันต์ขี้ริ้วนะ อรหันต์ไม่มีขี้ริ้ว แต่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะผ้าขี้ริ้วเป็นสำคัญ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เรื่องนี้ ในท้องเรื่องของท่านมีนามว่า พระนังคลกูฏเถระ (พระนังคะละกูฏเถระ) อาตมาอยากจะเรียกว่าพระไถ แต่ไถอันนี้ไม่ใช่ไถเงินไถทอง เป็น พระคันไถ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เนื้อความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่พระเชตวันมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารทรงปรารถกับ พระนังคลกูฏเถระ ธรรมเทศนานี้ว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นี่ที่อาตมาเตือนท่านไว้เสมอว่า คำนี้ จงจำไว้ใส่ใจ คนเราถ้าเตือนตนเองได้เมื่อไรดีเมื่อนั้น ถ้าลืมตัวเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น ยิ่งลืมมากเท่าไรเลวมากเท่านั้น บางทีบางคนที่ฟังมาก ๆ ก็เลยเมา เป็นเสือกระดาษ เสือเสียง และความรู้ที่ได้สดับฟังไปและที่อ่านไปก็ไปคุยโวโอ้อวดกะชาวบ้านว่าเป็นผู้วิเศษ นั่นแหละเป็นความเลว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จำเรื่องเถรใบลานเปล่าได้ไหม เถรใบลานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประณามว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก แต่ว่าจิตของท่านนั้นไม่ได้ตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงประณามว่า<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่า”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วรึ”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่านั่งอยู่ตรงนี้รึ”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วรึ”<o:p></o:p>
    ถ้าหากว่าเป็นสมัยนี้จะหาว่าเสียดสีเยาะเย้ยใช้ไหม ทำดีก็ว่า ทำชั่วก็ว่า เอ๊ะ ความจริงทำดีไม่มีใครเขาด่า แต่อาตมาเองอาตมาขี้เกียจว่าใคร นาน ๆ ก็จะงัดขึ้นมาตามเครื่องขยายเสียงสักที อันนี้อย่างนี้ก็เป็นการเตือนยับยั้งกันไว้ อ่านเรื่องราวของท่านนี่เผอิญไปเจอบาลีบทนี้เข้าพอดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บาลีว่า ดังได้สดับมา บุรุษผู้เข็ญใจคนหนึ่ง ทำการรับจ้างของบรรดาประชาชนเหล่าอื่นเลี้ยงชีพ ภิกษุรูปหนึ่งเห็นเขานุ่งผ้าท่อนเก่า ๆ มันขาดแล้วขาดอีก แบกไถ “นังคละ” เดินมา เช้าแบกออก บ่ายแบกเข้า แบกกันอยู่อย่างนั้นแหละ ก็เป็นลูกจ้างเขานี่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระจึงกล่าวว่า“นี่พ่อคุณ เธอจะบวชเสียไม่ได้หรือ ถ้าบวชเธอคิดว่าดีกว่านี้ หรือว่าไม่บวช รับจ้างเขาอยู่อย่างนี้เป็นของดี”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มนุษย์ผู้เข็ญใจคนนั้นฟังพระว่าก็ชื่นใจ จึงได้กล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ แล้วคนจนอย่างผมนี่ใครเขาจะให้ผมบวช ผมบวชได้หรือขอรับ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระองค์นั้นก็บอกว่า “ถ้าหากเธอจะบวช ฉันก็จะบวชให้”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มนุษย์ผู้เข็ญใจจึงกล่าวว่า “ดีแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็จะบวช ขอพระคุณท่านโปรดให้กระผมบวชเถิดขอรับ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า ลำดับนั้นพระเถระนำเข้าไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ให้อาบน้ำแล้วด้วยมือของตน พักไว้ที่โรง แล้วให้บวช<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เป็นอันว่าสมัยนั้นเป็นพระให้บวชด้วย ติสรณคมนูปสัมปทา คือสมาทานไตรสรณคมน์ทั้งสามประการใช้ได้ ให้เขาเก็บไถพร้อมกับผ้าท่อนเก่าที่เขานุ่ง ให้เก็บไว้ที่กิ่งไม้ใกล้เขตแดนแห่งโรงนั้น<o:p></o:p>
    ในเวลาอุปสมบท เธอได้นามว่า “นังคลกูฏเถระ” แหม..ชื่อเพราะนะ เอาคันไถเข้าไปใส่ไว้ด้วย เป็นพระไถ อาตมาให้นามว่า “พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระนังคลกูฏเถระนั้น อาศัยลาภสักการะที่เกิดขึ้นเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อาศัยเลี้ยงชีพอยู่ หมายความว่า ในที่นั้นลาภสักการะมันจะเข้ามาได้ก็อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อย่างกับที่ที่พระอยู่เหมือนกัน จะสร้างสักกี่หลังพร้อม ๆ กัน ขึ้นคราวละ 10 หลัง 10 หลังเศษเป็นเงินนับเป็นล้าน ๆ เราก็ทำกันได้ นี่ไม่ใช่ความดีของเรา เป็นความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พวกเรานำมาประพฤติปฏิบัติ อย่านึกว่าเป็นความดีของเราเลย ถ้านึกว่าเป็นความดีของเรา ท่านก็จะไปอยู่กับพระเทวทัต<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่เรามีที่กินที่อาศัย มีผ้าใช้มียารักษาโรค มีอาหารกิน มีเวลาประพฤติปฏิบัติ ได้สดับฟังความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็เพราะว่าเป็นบุญบารมีของพระพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่เรากำลังนั่งกินนั่งนอนอยู่ในเวลานี้ ถ้าใครทำตนเป็นคนน่าบัดสีอกตัญญูไม่รู้คุณองค์สมเด็จพระมหามุนีนั้นเลวเต็มที<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า เมื่อเขาได้อาหารอยู่มาก มีลาภสักการะเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยความดีของพระพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อไม่สามารถที่จะบรรเทาได้ ไอ้ความกระสันมันเกิดขึ้น ความกระสันความคึกมันเกิดขึ้น เพราะอาหารดี ลาภดีพอ ไม่สามารถจะทนความกระสันได้ ไม่สามารถจะบรรเทาได้ จึงตกลงใจว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บัดนี้ เราจะไม่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไปแน่ เพราะอะไร ก็เพราะว่าผ้า
    กาสาวพัสตร์ที่ได้มาจากศรัทธาของบุคคลอื่น เราจะไปละ จะสึกดีกว่า อย่าไปติดดีกว่า ได้มามันไม่แน่นัก อยู่ดีกินดี เขาก็คิดว่าจิตกำเริบทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ หลงระเริงตนว่าเป็นผู้วิเศษ องค์นี้ตอนต้นนะ อย่าไปด่าท่านนะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พวกเราก็จำไว้เชียวนะ ไอ้อยู่ดีกินดีอย่านึกว่าเป็นผู้วิเศษ“อัตตนา โจทยัตตานัง” จงเตือนตนด้วยตนเอง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อ่านเรื่องของท่านต่อไป<o:p></o:p>
    ท่านบอกว่าคิดอย่างนี้แล้วก็ไปโคนไม้ ไปดูผ้าผืนที่มันขาดรุ่งริ่ง ๆ เก่าแสนเก่า ดูผ้าสบงที่นุ่ง แหม...มันเท่กว่าตั้งเยอะ จึงได้ให้โอวาทแก่ตนเองว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    “เจ้าผู้ไม่มีหิริ (ผู้ไม่มีหิริคือ ความไม่ละอาย) เจ้าหมดความละอายเสียแล้วหรือ เจ้าอยากจะนุ่งผ้าขี้ริ้วผืนนี้หรือ สึกไปทำการรับจ้างเลี้ยงชีพอย่างนี้หรือ เจ้าลืมความชั่วที่ตัวสะสมมาแล้ว ทำไมเจ้าจึงทำอย่างนี้”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เมื่อท่านให้โอวาทแก่ตนเองอยู่อย่างนี้นั่นแหละ จึงถึงความเป็นธรรมดา ในบาลีบอกจิตขึ้นถึงธรรมชาติเบา ไม่ใช่ธรรมดานะ ธรรมชาติเบาก็หมายถึง ความกระสัน แล้วทานก็กลับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    โดยกาลล่วงไป 2-3 วัน ก็กระสันเข้ามาอีก “กระสัน” หมายถึง “อยากจะสึก” มันมีแรงนี่ กินดีอยู่ดี จึงสอนตนเองเหมือนอย่างนั้น<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ตอนเย็นก็ย่องไปที่โคนไม้ ดูผ้าขาดผืนนั้นสอนตนเองว่า “ไอ้เจ้าเองที่จะมานุ่งผ้าขาดเป็นขี้ข้าเขาต่อไปอย่างนั้นหรือ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สอนพอใจของท่านสบาย ท่านก็ตัดใจได้อีก ก็เลิกไม่สึกแล้ว กลับมาใหม่ ในเวลากระสันขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ไปที่นั่น ให้โอวาทแก่ตนเองทำนองนั้นเสมอ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แต่ความจริงก่อนที่ท่านจะให้โอวาทแก่ตนเอง ท่านจะดูภาพพิจารณา ดูผ้าเก่าผืนนั้นที่เราทรงชีพอยู่ อาศัยผ้าผืนนี้นุ่งอยู่ทั้งปีทั้งเดือนทั้งวัน จะผลัดอาบน้ำก็ไม่มี เวลานี้มาบวชในพระพุทธศาสนา มีศักดิ์ศรีดี ใครเขาไปก็ลา มาเขาก็ไหว้เคารพนบนอบ เมื่อสมัยที่ตนเป็นฆราวาส มีแต่คนเขาโขกเขาสับเพราะความจน นี่อาศัยความจนของตนเอง คนเขาดูถูกดูแคลน วันนี้ เป็นคนใหญ่คนโต เป็นพระแล้ว ไม่ว่าใครเขามาก็ไหว้กัน เคารพนับถือ เอ็งจะทะนงตนไปทำไม ถ้าจะสึกไปก็กลายเป็นขี้ข้าของชาวบ้านเขาต่อไป<o:p></o:p>
    เจ้าอย่าสึกเลยไอ้หนู ว่าแล้วท่านก็กลับมา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า ครั้งนั้นบรรดาภิกษุท้งหลาย เห็นท่านไปอยู่ที่นั้นเนือง ๆ จึงถามว่า<o:p></o:p>
    “ท่านนังคลกูฏเถระ เหตุใดท่านจึงไปที่นั่นบ่อย ๆ “<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านตอบว่า “ผมไปยังสำนักอาจารย์ขอรับ” ท่านกล่าวดังนี้แล้ว ต่อมาอีก
    2-3 วัน ท่านก็บรรลุอรหัตผล<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เห็นไหม...นี่เขาฟังอะไร แค่ไปดูผ้าเท่านั้น ก็ได้บรรลุอรหัตผล<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บรรดาภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่าน จึงกล่าวว่า “ท่านนังคละ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่านเป็นปะหนึ่งหารอยไม่ได้ ชรอยท่านจะยังไม่ได้ไปยังสำนักอาจารย์ของท่านกระมัง”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นี่พระล้อนะ ว่าทางที่เดินไปบ่อย ๆ เวลานี้ไม่มีรอยเดิน น่ากลัวจะลืมอาจารย์เสียแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ฝ่ายพระเถระจึงกล่าวว่า “ไม่ขอรับ เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้เครื่องเกี่ยวข้องไม่มีผมตัดเสียแล้วเพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ต้องไปหาอาจารย์”<o:p></o:p>
    เอาละซิ อีตอนนี้ถ้าเป็นเวลานี้เป็นยังไง ก็โจทพระองค์นี้ว่าอวดอุตตริมนุส
    ธรรมว่าเป็นพระอรหันต์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ฟังคำนั้นแล้วก็เข้าใจว่า ภิกษุรูปนี้พูดไม่จริง พยากรณ์ตนเป็นพระอรหันต์ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเรื่องความนั้นต่อองค์พระประทีปแก้ว โดนฟ้อง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย นังคละบุตรเราเตือนตนด้วยตนเองนั่นแหละ แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงพระธรรม ได้ทรงภาษิตนี้ว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง พิจารณาดูตนของตนด้วยตน ตนนั่นแหละเป็นคติของตน เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้าสงวนม้าตัวประเสริฐเช่นนั้น”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แหม...อ่านแล้วรู้สึกว่าหนักใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสอย่างนี้ แต่ว่าอ่านเรื่องของพระอรหันต์คันไถ ซึ่งมีอาจรย์เป็นผ้าขี้ริ้ว ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกเป็นอย่างไร นี่คำเตือนของท่านองค์นั้นเป็นยังไง ท่านไปเจอะผ้าขี้ริ้วนี่ พวกพระก็นึกดู ว่าเราก่อนที่จะเข้ามาบวชหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนา ศักดิ์ศรีอย่างนี้เคยมีแก่เราบ้างหรือเปล่า คนเสมอกันก็ดี คนแก่คนเฒ่าก็ดี เจอะหน้าเราเขาก็ยกมือไหว้ เมื่อสมัยเป็นฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างไหม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เวลานี้เรามีอย่างนี้เป็นปกติ สมัยเป็นฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หาไม่ได้ซินะ ที่เขาไหว้น่ะ เขาไหว้ด้วยอะไร เขาไหว้เราเพราะเราทรงผ้ากาสาวพัสตร์ อันนี้เป็นธงชัยของพระอรหันต์ แต่ว่าเราบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นฆราวาสไม่มีใครเขาไหว้ ก็จงเตือนใจไว้เสมอ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    “อัตตนา โจทยัตตานัง” ว่านี่เราเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์มีอะไรบ้างที่จะต้องปฏิบัติ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    1. อธีศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์ยิ่งกว่าฆราวาส<o:p></o:p>
    2. อธิจิตสิกขา มีฌานสมาบัติประจำใจ<o:p></o:p>
    3. อธิปัญญาสิกขา มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงของขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวต่อไปว่า“ตนเองน่นแหละเป็นที่พึ่งของตน”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จริง ข้อนี้ ไอ้เรื่องความดีความชั่ว นึกดีนึกชั่วนี่ ใครก็ช่วยไม่ได้นอกจากเราเอง ท่านกล่าวต่อไปว่า “ตนนั่นแหละเป็นคติของตน” คติ แปลว่าที่ไป จะไปไหนมันอยู่ที่ใจของตน คำว่า ตน ในที่นี้คือ ใจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้น จงสงวนตนไว้เหมือนพ่อค้าสงวนม้าตัวประเสริฐ คำว่าสงวนตน หมายความว่า สงวนใจให้อยู่ในขอบเขตของความดี คือ<o:p></o:p>
    1. มีศีลบริสุทธิ์<o:p></o:p>
    2. มีสมาธิตั้งมั่น<o:p></o:p>
    3. มีวิปัสสนาญาณตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ก็คือทำลายสังโยชน์ 10 ประการ ให้พินาศไปจากจิต <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อย่างนี้ชื่อว่า ท่านทั้งหลายเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร เป็นลูกพระพุทธเจ้าแน่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สำหรับการแนะนำกันก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (คัดลอกจากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 127 เดือนกันยายน 2534)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (จากหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4)<o:p></o:p>

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post755355 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->mahaasia<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_755355", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2006
    สถานที่: มีทั่วไปที่วัดและทะเลมหาสมุทร อีกนัยหนึ่ง ถ้าได้อภิญญาไปเจอกันได้ ในป่าดงดิบ
    ข้อความ: 1,180
    Groans: 1
    Groaned at 4 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 185
    ได้รับอนุโมทนา 8,348 ครั้ง ใน 1,054 โพส
    พลังการให้คะแนน: 633 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_755355 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->คำสั่งพิเศษ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    คำสั่งพิเศษ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>

    (เล่าเมื่อ 17 สิงหาคม 2517)
    มีข่าวพิเศษ จะบอกให้เอาไหม วันนี้เป็นวันพระ แต่จะเป็นวันพระ หรือไม่วันพระก็ตาม เฉพาะพวกที่ได้ วิชชาสาม ที่มีมโนมยิทธิขึ้นไป เขาก็ขึ้นไปไหว้พระทุกวันที่ๆ เป็นแดนไหว้พระ ก็คือ จุฬามุนีเจดีย์สถาน และถ้าใครเป็นพระอริยเจ้า ก็เลยไปนิพพาน ที่ของใครๆ ก็ไป ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเขาไปของเขาได้ เขามีที่อยู่ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้า ที่เป็น สุกขวิปัสสโก ก็ไปไม่ได้ เห็นผีเห็นเทวดาก็ไม่ได้ ประเภทนี้ แกก็นั่งเป็นตอตะโกอยู่ข้างล่าง พอขึ้นไปที่ จุฬามุนี ทีแรกก็ต้องแวะไปหาโยมก่อน นี่เป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่อยู่ผ่านไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าไปแสดงความเคารพก่อน ไงๆ ก็เป็นพ่อเป็นแม่
    เราจะดีได้ จะเลวได้ ก็อาศัยพ่อแม่เป็นแดนเกิด อันนี้ทิ้งไม่ได้
    ถ้าเลยพ่อแม่เมื่อไร ก็ลงอเวจี เมื่อนั้น ถือว่า เป็น อนันตริยกรรม บรรดาพ่อแม่ทั้งหลาย ที่ไม่ได้เป็นคน ท่านก็ไปประชุมกันที่นั่น ถือว่า ต้องคอยรับการ เคารพถือเป็นกิจประจำ จากนั้นท่านบอกว่า ให้รีบเข้าจุฬามุนี มีเรื่องสำคัญ
    พอเข้าไป แหมไม่นึกไม่ฝัน เป็นเรื่องใหญ่มาก คือปรากฏว่า มีพระอริยเจ้า ที่ได้มโนมยิทธิประชุมกันที่ นั่นถึง 732 องค์ นี่ไม่ได้หมายความว่า เป็นพระเป็นสามเณรทั้งหมดนะ ที่เป็นฆราวาสก็มีฆราวาสที่เป็น พระโสดาบันขึ้นไป ท่านก็นับเป็นพระด้วย นะย่องๆ เข้าไปน่ากลัวจะเป็นคนสุดท้าย เพราะพอเข้าไปท่าน ก็บอกว่า มากันครบแล้ว พวกที่ยังไม่ตายนะ คือ ท่านบอกว่า วันนี้พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป มาประชุมเป็นมหาสมาคม 732 ท่าน ก็มีพระองค์หนึ่ง ถามว่า ถ้ารวมทั้งสุกขวิปัสสโก ที่ไม่ขึ้นมามีเท่าไร ท่านบอกว่า พันเศษ ๆ พันสามร้อยเศษๆ แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศไทย คนที่จะเป็นพระอริยเจ้าต่อไปก็มีมาก แต่ว่า ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะ คำว่า "ไม่เข้าใจ" ท่านอธิบายว่า เวลาสอนน่ะสอนยากเกินไป ให้พระอริยเจ้าทั้งหมด แสดงความจริงให้ชัด อันนี้รู้สึกว่า จะเป็นคำสั่งนะ ไม่ใช่คำแนะนำ เป็นคำสั่งพิเศษ ให้แสดงตนให้ชัดคือ พูดให้ชัด ออกมาชาวโลก จะได้มีความเข้าใจว่า ความจริงของพระพุทธศาสนามีเพียงใด
    พระองค์หนึ่งเขาเก่ง เป็นพระอรหันต์ ท่านถามเพื่อนคนอื่น คือถามว่า ถ้าแสดงออกไปให้ชัดแล้วจะมีอันตรายไหม สมเด็จท่านก็ย้อนบอกว่า พระอริยเจ้ากลัวอันตรายด้วยรึ กลัวการกลั่นแกล้งด้วยรึ ท่านบอกว่า คำว่า อริยะนี่เขาไม่กลัวการกลั่นแกล้ง องค์นั้น ท่านก็ไม่กลัวแล้วละ ท่านถามว่า ถ้าองค์ใดองค์หนึ่ง พูดไปตามตรงแล้วผลจะเป็นยังไง ท่านตอบว่า คนที่เขาแสดงความจริงออกมามีกี่คนแล้วล่ะเวลานี้น่ะ
    อีกประการหนึ่ง การแนะนำ พุทธบริษัท ให้ใช้วิธีแนะนำที่ง่ายที่สุด เพราะว่า ไอ้การจะได้จริงๆ มันง่าย อย่าไปแนะนำให้ยาก ตนได้ผลมาด้วยวิธีไหน ให้พูดแบบนั้น
    องค์หนึ่งถามว่า เวลานี้โลกเต็มไปด้วยความเร่าร้อน คนที่เคารพความจริงหาได้ยาก ส่วนใหญ่ มักจะเป็น คนเอาเปรียบกัน คอยจะเบียดเบียนกัน ถ้าจะเทียบแล้ว บรรดากลุ่มที่เคารพความจริง นับถือธรรมะมันมี น้อยจริง ๆ จะทำยังไง ถึงจะแก้ไขได้ ท่านก็ตอบว่า หากเป็นกฏของกรรม ที่เป็นอกุศล ละเราแก้ไขไม่ได้ แต่ทว่า ธรรมะอุปมาเหมือนน้ำ คนเราเปรียบอุปมาเหมือนกองไฟ คนที่อยู่ในกลุ่มของกองไฟ ก็มีความเร่าร้อนมานาน น้ำนี้ถึงแม้ว่า จะมีปริมาณน้อย แต่ถ้าหากเขาทราบว่า น้ำนี่เย็นนะ ก็จะมีคนวิ่ง เข้ามาดื่มน้ำมาก ดีกว่าอยู่ในกลุ่มไฟ เพราะมันมีแต่ ความเร่าร้อน ดังนั้น บรรดาพระทั้งหลาย ก็ควรแสดงธรรม เบื้องต้นให้มากที่สุด นั่นคือ สังคหวัตถุ เพราะว่า เป็นธรรมที่แนะนำให้ประชาชน รู้จักสงเคราะห์ ซึ่งกันและกัน เป็นสัญญาณแห่งการผูกมิตร สร้างความรัก สร้างความสามัคคีในกลุ่ม
    ความรัก ความสามัคคีในกลุ่มเล็กๆ นี้ มันก่อให้เกิดความสุข ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นทีละน้อยๆ ว่า เอ ไอ้คนที่เขารักกันนี่มันดี คนนี้ขาดอย่างนี้ คนนั้นขาดอย่างนั้น เขาก็มาช่วยกัน ความสุขในกลุ่มเล็ก ๆ มันก็เกิดขึ้น ทีนี้คนในกลุ่มใหญ่ก็จะค่อย ๆ ถอนจากความรู้สึกเดิม ที่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน หันมาสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน โลกก็จะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
    แล้วท่านพูดออกมา อีกคำหนึ่งว่า พระพุทธศาสนา ที่ตั้งหลักมั่นจริงๆ ก็เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
    ต่างประเทศยังไม่ทรงตัว การฝังรากฝังโคนยังไม่แน่น ที่แน่นจริงๆ เป็นหลักเป็นฐาน คือในประเทศไทย แล้วสมเด็จพระพุทธทีปังกร ท่านก็บอกว่า ไอ้ที่เละจริงๆ มันก็ในประเทศไทยอีกน่ะแหละ
    บรรดาเพื่อนอีก 2 องค์เขาขึ้นไปด้วย เจ้านั่นเขาถามว่า ดีจริง ๆ มีอยู่ในประเทศไทย แล้วทำไมถึงได้มีเละจริง ๆ คือ เลวที่สุด ก็อยู่ในประเทศไทยด้วยล่ะ ท่านตอบว่า เมื่อดีที่สุดอยู่ในเมืองไทยแล้ว ถ้ามีเลวก็ต้องนับเป็นเลวที่สุดอย่างต่างประเทศน่ะ เขายังมั่นคงไม่พอ เมื่อเขาเลวก็จะถือเป็นเลวที่สุดไม่ได้
    ท่านบอกว่า ไม่ต้องไปกลัวคนเลว จริงอยู่เวลานี้ นักบวชทุศีลอยู่ในระยะมีกำลังและมักจะข่มขี่พระที่มีศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ แต่ไม่เป็นไร เพราะว่า คนที่มีความบริสุทธิ์มีบุญบารมีมาก ก็มีเหมือนกัน ถ้ามีการแสดงความจริงออกไปให้ชัดหลายๆ สายมึงก็รับรอง กูก็รับรอง ในที่สุดพวกมีจิตคิดทำลายศาสนาก็จะสิ้น กำลังไปเอง
    วันนี้ดีใจ ที่เป็นมหาสมาคมใหญ่ ความจริงเขาไม่เคยขึ้นไปพบกันแบบนี้หรอก พบน่ะพบบ้าง แต่ไม่ครบ สำหรับพวกได้ฌานโลกีย์ มีอีกกลุ่มหนึ่ง ท่านไม่นับ ท่านพูด แล้วชี้ให้ดู เวลาชี้ก็มองเห็นใจ คนกลุ่มใหญ่ อยู่ในเมืองไทย ต่างประเทศก็มีเหมือนกัน แต่มันน้อย เพราะต่างประเทศเขาติดอย่างอื่นกันมาก ท่านบอกว่า คนที่ยังหมิ่นๆ อยู่มีเยอะ ด้วยอำนาจของท่านนะ มองเห็นเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยง เห็นอยู่ใกล้ ๆ ท่านชี้ลงมา บอกว่า เห็นไหมกำลังใจคนที่เข้าถึงอยู่แล้วนี่มันเยอะ ตอนนี้กำลังขึ้น หนักแต่ว่า พวกเราชอบใช้ไอ้คำยากๆ แล้วไปเกรงใจพวกทุศีล ถ้าไม่ปล่อยความจริงออกมา แล้วเมื่อไหร่พระพุทธศาสนาจะก้าวหน้าถึงที่สุด ถ้าพุทธศาสนา ไม่ก้าวหน้าเต็มกำลัง โลกก็เร่าร้อนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าหากกำลังของพระพุทธศาสนาก้าวขึ้นเต็มที่ โลกมันจะเยือกเย็น เพราะว่า น้ำดับไฟได้ ท่านว่าอย่างนั้น
    ที่ท่านสั่งอย่างนี้ คือให้เปิดให้มากนั้นเป็นการรับรองไปในตัวว่า เวลานี้พระอริยเจ้ามีได้ ไม่ใช่ว่าหมดพระอริยเจ้า นี่มันเป็นพันที่สาม พระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนาไว้ 5,000 ปี
    พันที่ 1 เป็นยุคของพระอริยเจ้าขั้นที่มากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
    พันที่ 2 มากไปด้วย ฉฬภิญโญ คือ พระอภิญญา แต่ไม่ได้หมายความว่า มีไม่ได้ มีเหมือนกัน แต่ปริมาณด้อยลงไป
    มาระหว่างนี้ เป็น พันที่ 3 มีพระอริยเจ้า มากไปด้วย วิชชาสาม ส่วนอภิญญา 6 และ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีได้ แต่ว่าน้อยลงไป
    ถ้า พันที่ 4 ท่านบอกว่า มากไปด้วย สุกขวิปัสสโก ส่วนท่านที่เป็นปฏิสัมภิญาณ อภิญญา 6 และ วิชชา 3 ก็ยังมีอยู่แต่น้อย
    พันที่ 5 จะมากไปด้วย พระอนาคามี
    นี่เป็นเรื่องของพระศาสนา ที่พระอริยเจ้าจะหมดลงไปจุดใดจุดหนึ่ง มันไม่หมดหรอก จะหมดไม่ได้ ท่านบอกว่า ถ้ามรรค 8 ยังครบถ้วนเพียงใด เมื่อนั้นก็ยังมีพระอริยเจ้าอยู่เสมอ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ในชีวิตนี้ที่พึงของข้าพเจ้าไม่มีมีแต่พระรัตนตรัย ข้าพเจ้าจึงเคารพรัตนะนั้นด้วยชีวิต<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post603851 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joni_buddhist<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_603851", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 28
    ข้อความ: 8,006
    Groans: 5
    Groaned at 25 Times in 24 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 110
    ได้รับอนุโมทนา 73,935 ครั้ง ใน 9,019 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5445 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_603851 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->พ่อสอนลูก<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]

    <TABLE borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>พ่อสอนลูก</TD></TR><TR><TD align=left>พ่อสอนลูก
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคารพรักของเรา สอนเราไว้ว่า
    1) คนดี คือคนมีเมตตาปราณีต่อเพื่อน กับสงสารสงเคราะห์ซึ่งกันและกันด้วย สังคหวัตถุ
    - ให้กันด้วยวัตถุ
    - มีวาจาไพเราะอ่อนหวานเป็นที่รัก
    - ช่วยกิจการงานของเพื่อน
    - ไม่ถือตัว ไปไหนทำตนเสมอกัน
    หลัก 4 ประการนี้ ถ้ามีอยู่ในใจของลูก ลูกปฏิบัติได้พ่อจะมีความสุขมากใจมาก พ่อมีชีวิตอยู่พ่อก็มีความสุข พ่อตายไปแล้วพ่อก็มีความสุขใจ หรือตายอย่างนอนตาหลับ ทั้งนี้เพราะลูกของพ่อเป็นคนดี
    2) ต้องทราบไว้เสมอว่าคนที่เกิดมานี้ มีต้นกรรมไม่เสมอกัน คนในโลกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
    2.1 คนฉลาดมาก ที่ทำบุญไว้เต็มที่แล้ว มีบารมีครบถ้วน เพียงแนะนำแต่เพียงหัวข้อย่อ ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที
    2.2 บางพวกปัญญาบารมีหย่อนนิดหน่อย พออธิบายก็บรรลุมรรคผล
    2.3 บางพวกพอแนะนำให้เข้าใจในกุศลเบื้องต้นได้ แต่เอาบรรลุมรรคผลไม่ได้
    2.4 พวกสุดท้าย เป็นพวกเหลือขอ พูดไม่รู้เรื่อง อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ หมดทางแนะนำ
    คนในโลกแบ่งออกเป็น 4 พวกนี้ ลูกจงอย่าคิดว่าเขาจะเหมือนเราเสมอไป การแนะนำเป็นของดี แต่อย่าเอาใจไปผูกพัน ถือว่าบอกปล่อย เขาทำตามก็ดีไม่ทำตามก็ช่าง เอาตัวรอดเป็นการพอแล้ว ปล่อยเขา เขาจะคิด จะพูด จะทำอย่างไร อย่าสนใจเป็นอันขาด
    3) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น โลกธรรม ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก ให้วางมันเสีย กรรมของเราที่มีความโง่เกิดมาในโลกนี้ โลกเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ ความสุขความทุกข์ในโลกอย่าสนใจ สนใจอย่างเดียว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามีความสุข ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่กี่วันมันก็พัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่ามีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุข เราก็พยายามทำให้สุขเหมือนท่านบ้าง ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิต ว่า จิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ
    บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน ปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความชนะในมารนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้น ด้วยกำลังใจที่ทรงความดี
    4) ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมด จงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือ รักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณะประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข
    5) ขอลูกรักทั้งหมด จงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ ร่างกาย มันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา ฉะนั้นขอลูกรักทุกคน จงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเอง และของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ข้าเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า ถ้าภาษาไทยชัด ๆ ก็พูดว่า เมื่อมึงไม่ตามใจกู กูก็จะไม่คบมึงอีกต่อไป
    6) ลูกรักของพ่อ ถ้าลูกต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายบุคคลอื่นเป็นพวกเรา เป็นของเรา จงคิดว่าร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้ามาประชุมกัน เห็นร่างกายภายใน คือร่างกายของเรา ก็ทำความรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าเห็น คือ ไม่สนใจ ไม่ยึดถือว่ามันกับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดกาลตลอดสมัย ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธเสียด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ตัดความหลงคือ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    ลูกชายและลูกหญิงของพ่อถ้ามีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด ก็ปรากฏว่าทุกคนจะมีกำลังใจเป็นสุข ทุกคนจะหาความทุกข์ไม่ได้ เพราะมีใจสบาย อารมณ์ใจของลูกจะสบายได้ เมื่อลูกยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    7) ลูกรักทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไป นั่นคือ พระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูกว่าพระนิพพานสมบัติจะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เสียเมื่อไร จิตใจพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในโลภะ ความหลงก็ดี พัวพันอยู่ในความโกรธพยาบาทก็ดี เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่เวลาตายจริง ๆ เราตามกันไม่ไหว หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะจำได้ คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือ พยายามละทีละน้อย ปลดเปลื้องมันไป ไม่ช้ามันก็หมด
    8) คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ถ้าเราจะชดใช้บาป มันก็ชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป การภาวนาให้จิตทรงตัว การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย พยายามรวบรวมบารมี 10 ประการไว้ให้ครบถ้วน พยายามตัดสังโยชน์ 10 ประการ ให้หมด จรณะ 15 ปฏิบัติให้ครบถ้วน มีพรหมวิหาร 4 ให้ครบถ้วน ทรงศีลให้บริสุทธิ์ มีอิทธิบาท 4 ทรงตัว เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
    9) ยามปกติเอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าได้ ตั้งใจตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน
    เครื่องมือที่ลูกจะมีไว้นั่นคือ บารมี 10 ทำให้ครบถ้วน สังโยชน์ 10 ตัดให้ขาดให้หมด มี จรณะ 15 มีอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 มีศีล ปกติ มีทาน ปกติ ทั้งหมดนี้ต้องมีประจำใจ จับพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ถ้าจิตจับ พระนิพพาน ได้แล้ว ลูกแก้วของพ่อไม่ต้องวิตกกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราหมด
    10) พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะพึงศึกษาและปฏิบัติให้ละกันได้จริง ๆ นั่นก็คือ สังโยชน์ 10 ประการ ขอลูกรักทุกคน ลูกมีกำลังใจเป็นมหากุศลยากที่จะหาคนอื่นเสมอเหมือนได้ แต่คำชมของพ่อขอลูกอย่าเหลิง ถ้ามีความทะนงตนเมื่อไร ลูกก็เลวเมื่อนั้น จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่าเรายังไม่มีความดี เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิทอย่าให้มันเกิดขึ้นมา เมื่อกิเลส คือ ความชั่วตายหมด ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำได้
    11) ฉันมั่นใจ ลูกหลานของฉันทุกคนเวลาตายอย่างต่ำก็ต้องไปสวรรค์ชั้นกามาวจร อย่างกลางต้องไปพรหมโลก อย่างดีที่สุดมีอยู่แล้วก็คือพระนิพพาน แต่ใครจะหมุนกลับลงมามนุษย์โลก ฉันแน่ใจว่าลูกหลานของฉันไม่จน คนที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากกว่านี้ คนที่ไม่เคยร่ำรวยจะพบกับความร่ำรวยอย่างคาดไม่ถึง นี่สิ่งเหล่านี้ฉันมีความมุ่งหวังมานาน ตั้งแต่บวชปีแรกฉันทำอย่างนี้ และฉันก็ทำตลอดมา ทำในสมัยที่ฉันมีกำลังร่างกายดี แต่เวลานี้ฉันไม่มีแรงแล้ว หาเงินไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว สวดมนต์ก็ไม่ไหว ร่างกายมันไม่อำนวย เงินทองที่จะใช้จะกินเข้าไป นอกจากลูกหลานทุกคนสงเคราะห์ฉันอย่างคาดไม่ถึง ผลความดีอันนี้แหละ ในฐานะที่ฉันเป็นหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ และก็เป็นพระแก่เจ้ากี้เจ้าการ ถือพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ คือ มีพระพุทธเจ้าเป็นประทาน ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหม เทวดาทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูกเวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคนมีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว
    12) ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น ลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุขที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน
    13) ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือ ตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่พอใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำ และจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่า พ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1792409 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1792409", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (บลู)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,469
    Groans: 3
    Groaned at 18 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 477
    ได้รับอนุโมทนา 33,664 ครั้ง ใน 2,502 โพส
    พลังการให้คะแนน: 499 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1792409 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->นินทาและสรรเสริญ เหมือน สาดน้ำเข้าใส่กัน<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]

    นินทาและสรรเสริญ เหมือน สาดน้ำเข้าใส่กัน

    <O:p
    เพื่อนผมท่านฝันว่า ตนและผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนกำลังถือขันน้ำเพื่อรอจะสาดใส่ผู้อื่นให้เปียก แต่รออยู่พักหนึ่งก็ไม่รู้สึกสนุกตามเขา ก็เดินหลีกไปทางอื่นทั้งๆ ที่มีคนอื่นชวนให้เล่นสาดน้ำกันต่อ แต่ไม่สมใจ พระพุทธองค์ก็ทรงพระเมตตามาสอนให้ ดังนี้<O:p
    <O:p


    1.นิมิตนั้น หมายความว่า นินทาและสรรเสริญเหมือนสาดน้ำเข้าใส่กันไม่เป็นเรื่อง เจ้าจักตระหนักถึงธรรมนี้ได้ดีว่าหาสาระมิได้ ใครชมว่าดีแต่จิตเรายังไม่ดีตามคำชมนั้น ใครด่าว่าเลว ถ้าจิตเราไม่เลวตามเข้าด่า ก็มิจำต้องเดือดร้อนแต่ประการใด

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    2.การมีร่างกายอยู่ในโลก ย่อมหนีโลกธรรมไปไม่ได้ เขานินทา สรรเสริญ เราได้ก็ตรงมีร่างกายนี้ หากเอาจิตไปผูกพันคำติ คำชม ก็เท่ากับหลงยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในของเรา
    <O:p
    <O:p
    3.เวลานี้ซ้อมวางอารมณ์ให้ลงตัวธรรมดาเข้าไว้เสมอ โดยพิจารณาโทษของอารมณ์ราคะและปฏิฆะ (ซึ่งมีต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) โดยเอาความปรารถนาที่จักไปนิพพานได้นั้น จิตจักต้องหมดจากอาสวะกิเลส อารมณ์ราคะ และ ปฏิฆะอันมีต่อ รูป กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์นั้นเป็นตัวทำให้เกิด แต่พระนิพพานต้องการดับ ไม่มีเชื้อเกิด นิพพาน ปรมัง สูญญัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือ ว่างจากอารมณ์ทั้งกิเลสทั้งปวง จึงจักถึงพระนิพพานได้ เจ้าจงเอาจุดนี้เตือนจิตทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ราคะ และ ปฏิฆะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    4.เจ้าเป็นคนโทสะจริตเด่น ก็พยายามกำหนดภาพพระเอาไว้เสมอๆ และพรหมวิหาร 4 พยายามรักษาเข้าไว้ให้เป็นฌานอย่างทิ้งเป็นอันขาด ระมัดระวังคำพูดเข้าไว้ โดยเอาอาณาปานสติคุมจิตไม่ให้หลงลืมจุดอ่อนตรงข้อนี้ ต้องทำให้มาก ๆ มิฉะนั้นจักไม่มีผล<O:p</O:p
    <O:p


    5.อย่าลืม พูดมากเท่าไหร่ เสียผลของการปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น จำข้อบกพร่องตรงนี้เอาไว้ให้ดีๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    6.ของสงฆ์นั้นควรรักษา ช่วยกันดูแลนั้นถูกต้อง แต่พยายามอย่าใช้อารมณ์เข้าไปดูแล ให้เห็นเป็นธรรมดาของความหยาบและละเอียดของคนที่มาพัก พิจารณาแก้ไขไปตามวาระอันพึงจักทำได้ด้วยความใจเย็น รักษาผลประโชยน์ของสงฆ์ด้วย รักษาผลประโยชน์ของจิตด้วย โลกจักได้ไม่ช้ำธรรมก็ไม่เสีย ได้กับได้ กำไรทั้ง 2 อย่าง ของสงฆ์ก็ไม่เสียหาย อารมณ์ของจิตก็ไม่เสียหายจึงจักดี จำหลักนี้เอาไว้ให้ดี ๆ นิสสัมมะ กะระณัง เสยโย ใคร่ครวญด้วยพรหมวิหาร 4 คือ ทั้งทางของสงฆ์และทางจิตแล้วจึงจะทำ อย่างนี้ไม่มีอะไรพลาด<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    7.และอีกจุดหนึ่ง ถ้าเจ้าไม่เกิดอารมณ์ 2 เพราะราคะหรือปฏิฆะก็ตาม เป็นอารมณ์หนึ่งในนิวรณ์ 2 เพราะราคะหรือปฏิฆะก็ตาม เป็นอารมณ์หนึ่งในนิวรณ์ 5 ประการ เป็นกิเลสหยาบที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ถ้าหากประสบเหตุปัญหาใด ๆ ถ้าหากหมั่นรักษาอารมณ์จิตให้สงบเอาไว้ก็จงนำปัญหาแห่งเหตุนั้นๆ ขึ้นมากราบทูลถามตถาคตให้ทราบหนทางแก้ไขได้เสมอ จุดนี้พวกเจ้าได้ทำกันมาแล้ว เมื่องาน 100 วันท่านฤาษีที่ 12 ไร่ แต่มาวาระนี้ เจ้าเองกลับไม่นำไปใช้ ปล่อยอารมณ์ปฏิฆะจูงจมูกไป อย่างนี้มันเป็นการดีหรือไม่ดี (ก็ยอมรับว่า ไม่ดี )
    <O:p</O:p
    8.เมื่อรู้ว่าไม่ดี ก็จงหมั่นแก้ไขเสีย<O:p
    <O:p


    *จิตไม่ผ่องใส เพราะจิตยึดเวทนาของร่างกายมากเกินไป ไปใช้ปัญญาเป็นตัวปลด การจักทำได้หรือไม่ได้ ให้เอาเวทนาที่เกิดกายแหละเป็นตัววัด

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    *การเบื่อนั้นเบื่อได้ แต่ยังเบื่อผสมทุกข์อยู่ เพราะขาดปัญญาจักเบื่อแล้วต้องปล่อยวาง เห็นเป็นธรรมดา จึงจักไม่ทุกข์





    ที่มาของข้อมูล

    ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 6<O:p</O:p
    พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง
    <O:p</O:p
    <O:p
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความหลุดพ้น <O:p</O:p


    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->[SIGPIC][/SIGPIC]นัดวันร้อยผ้ากฐินที่ซอยสายลม ที่ตึกถวายสังฆทานชั้น 2ใน(ครั้งสุดท้าย)วันที่ 10,11ต.ค ตั้งแต่11.00 โทร.. 0820909-432ใกล้เสร็จแล้วนะครับ สาธุ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัลวันที่ 24-25 ตุลาคม พ.ศ.2552
    ณวันที่ 28 ก.ย.2552
    ยอดร่วมทำบุญกฐินจากบัญชี vanco 24,879.00
    ยอดร่วมทำบุญผ้ากฐินสีเงิน 12,685.93
    ยอดทำบุญค่าเหมารถกฐิน 88ที่นั่งไปฟรี 2 คัน56,600.00
    ยอดทำบุญซื้อพระไตรปิฎกเพื่อร่วมในกฐิน 1ชุด91เล่ม25,000
    ยังสามารถร่วมทำบุญกันกฐินกันได้เรื่อยๆๆๆจนถึงวันงานนะครับ โมทนาอย่างยิ่งครับ สาธุ
    ประกาศเลื่อนกฐินวัดป่าศิริสมบูรณ์ มาเป็น วันที่ 24-25ตุลาคม 2552 อีก2 เดือนผ้าห่มพระจะเสร็จแล้วนะครับผมทำบุญกันไว้เถิด บุญจะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน สาธุ http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif เชิญร่วมทำบุญแจกอาหารผู้มาทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่บ้านสายลม วันที่11ต.ค.52<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2009
  8. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    แวะมาเยี่ยมเยียน ท่านคณานันท์ ส่งข่าวนี้ค่ะ
    ถือว่า เป้นการส่งเทียบเรียนเชิญ แล้วกันนะคะ สาธุค่ะ

    คณะศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ คณะสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา จัดชุมนุมคณะศิษย์ฯ ร่วมแสดงมุฑิตาจิต และนัดชุมนุมธรรมสังสรรค์กัน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น.

    http://palungjit.org/posts/2672272
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ได้ครับ เพื่อนำเงินครูนั้น ไปทำบุญให้เกิดเป็นทานบารมีกับ ศิษย์ครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775

    ขอบคุณมากครับ
     
  11. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228
    ขอบคุณสำหรับคำตอบและขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมตตา ระดับสูงสุด ก็คือ การให้ "อภัย"กับทุกคน ทุกที่ ทุกสถานการณ์

    เมตตาในพระมหาชาติ นั้น พระโพธิสัตว์ทรง จุติเป็น พระสุวรรณสาม ถูกกษัตริย์ใช้ธนูยิง แต่ท่านก็ให้อภัยต่อผู้ทำร้ายท่านถึงชีวิต


    เป็น เมตตา ระดับปรมัตถ์

    และในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ท่านหนึ่ง ท่านถูก ทหารโรมัน ตรึงบนไม้กางเขน แต่ท่านก็ให้อภัยทุกๆคนแม้แต่คนที่ทรยศท่าน

    รวมทั้งอธิฐานจิตให้ชีวิตท่านได้ ไถ่ โทษความผิด ความทุกข์ยากของคนทั้งโลกด้วยเมตตาจิต


    หากเราต้องการเข้าถึงเมตตาอย่างแท้จริง สิ่งแรกเราต้องมองเห็นความดีงาม ความงดงามในทุกๆดวงจิตให้ได้ก่อน

    และน้อมนำความดี บุญกุศลเข้าสู่หัวใจจิตใจทุกดวง

    เมื่อธรรมเข้าสู่ใจแล้ว

    เมื่อนั้น จิตใจทุกดวงก็จะนุ่มนวล นอบน้อม สัปปายะ สมควรแก่การรับธรรมมะอันละเอียดอ่อน

    จนในที่สุด จิตก็จะพิจารณาเข้าใจในธรรม ชำระขัดเกลากิเลส จนวิมุติหลุดพ้นในที่สุด
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2683298 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ธัชกร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2683298", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2009
    ข้อความ: 138
    พลังการให้คะแนน: 44 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2683298 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ท่านหลวงปู่เณรคำกล่าวถึง เหตุที่การปฏิบัติเกิดผลช้าหรือไม่เกิดผลดี<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    [​IMG]

    หลายท่านเกิดความสงสัยในผลของการปฏิบัติว่า ทำไมจึงเกิดผลช้าหรือไม่เกิดผลดี หรือเกิดผลนิดเดียว ไม่เป็นที่น่าพอใจเลย บางท่านอ่านหนังสือธรรมะมามาก ศึกษามามาก และปฏิบัติธรรมมานานหลายปี หลายพรรษาแล้ว แต่ผลของการปฏิบัติยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ขณะเดียวกัน บางท่านเพิ่งจะเริ่มปฏิบัติธรรมเพียงไม่กี่เดือน ไม่กี่พรรษา แต่ผลของการปฏิบัติบังเกิดผลดีเป็นที่น่าพอใจ เด่นชัดมาก จนทำให้บางท่านไปโทษครูบาอาจารย์ ว่าท่านสอนไม่ดี ไม่ละเอียด บางท่านโทษครูบาอาจารย์ ว่าท่านไม่พาปฏิบัติ มีแต่หลักธรรมคำสอน ให้คำชี้แนะแนวทางการปฏิบัตินั้น บางท่านก็โทษว่ามีกรรมหนาแน่นมาก บุญบารมีไม่เพียงพอ หรืออะไรต่างๆนานา สุดแท้แต่จะโทษ ลองมาสำรวจดูว่าเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้ มีอยู่ในตัวท่านมากน้อยเพียงใด
    <O:p</O:pธรรมะของพระพุทธองค์ ที่พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ เมตตานำมาเผยแผ่อบรมสั่งสอน ชี้ทางการปฏิบัตินั้น เข้าถึงจิตใจของท่านมากน้อยเพียงใด เข้าใจอย่างเดียวไม่ได้นะ ก้นบึ้งของจิตใจน้อมรับหลักธรรมคำสอนนั้น ด้วยความเคารพเทิดทูนเต็มหัวอกหัวใจ สนิทในใจของท่านแล้วหรือยัง ?<O:p
    <O:p
    ความศรัทธาอ่อนกำลัง ยังลังเลสงสัยอยู่หรือไม่ หรือเคยศรัทธา แต่ความศรัทธานั้นเสื่อมถอยลดน้อยลงไปหรือเปล่า ศรัทธาในพระรัตนตรัยนั้น มีความแก่กล้ามั่นคงเพียงใด ?<O:p
    <O:p
    ท่านได้สำรวมระวังและรักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ดีพอหรือยัง ด่างพร้อยอยู่หรือไม่ ?<O:p
    <O:p
    บำเพ็ญภาวนาต่อเนื่องหรือไม่ หรือบำเพ็ญภาวนาทุกวัน แต่เพียงไม่กี่นาที หรือบำเพ็ญ<O:p
    ภาวนาหนักมาก แต่จิตไม่ได้อยู่กับกาย ไม่ได้พิจารณาหมุนอยู่ในกาย ใจลอยฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามสภาพอารมณ์ต่างๆ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงอยู่<O:p
    <O:p
    ถ้าท่านยังมีเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่การปฏิบัติจะเกิดผลช้าหรือไม่เกิดผลดีเท่าที่ควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติให้เกิดผลดีได้ สำเร็จมรรคผลได้<O:p
    หลักสำคัญ ๆ ที่พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ เน้นอยู่เสมอ ทุกครั้งที่แสดงพระธรรมเทศนา อบรมสั่งสอนชี้ทางให้แก่เหล่าสานุศิษย์ ให้ได้รับผลการปฏิบัติดีเป็นที่น่าพอใจ ประกอบด้วย<O:p
    <O:p
    ประการแรก คือ ความศรัทธาความศรัทธาเป็นพื้นฐานอันสำคัญของการปฏิบัติ ความศรัทธาที่มีในพระพุทธเจ้า ความศรัทธาที่มีต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และความศรัทธาที่มีแด่พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย กล่าวคือ ความศรัทธานั้นต้องเป็นศรัทธาที่ถูกต้องดีงาม ไม่ได้ศรัทธาเพียงแค่วัตถุ ธาตุขันธ์ แต่ศรัทธาในคุณงามความดีในจิตที่ฝึกมาดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน หรือพระสงฆ์เจ้าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เห็นคุณประโยชน์ของท่านเหล่านั้นหมดแล้ว และต้องทำศรัทธาของตนให้แก่กล้า ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวในหัวใจ รวมทั้งปฏิบัติตนด้วยความศรัทธาอันบริสุทธิ์ เมื่อมีความศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัยอย่างสูงสุดในจิตใจแล้ว ก็จะเป็นกำลังผลักดันให้เรามีตบะเดชะในใจ สามารถบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติตามกุศโลบายธรรมของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เณรคำ ที่ท่านได้เมตตาชี้ทางให้ ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดีต่อไป<O:p
    <O:p
    ประการที่สอง คือ ศีล เมื่อมีศรัทธาเป็นพื้นฐานแล้ว ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย ต้องเฝ้าระวังรักษาศีลให้ดี อำนาจศีลมีพลานุภาพต่อการปฏิบัติมาก ศีลที่เคยขาดตกบกพร่องไป ก็ให้ไปชำระสะสาง ประพฤติตนเสียใหม่ ให้มันสะอาดบริสุทธิ์ ให้มันสว่างขึ้นมาในหัวใจ ถ้าศีลไม่สะอาด จะรวมสติสมาธิปัญญาลงไปที่ใจไม่ได้ ต้องทำศีลให้แจ้ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ จนเต็มจิตเต็มใจของเรา เพราะศีลเป็นสิ่งที่ดีเลิศประเสริฐ เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐในเบื้องต้น ที่จะทำให้เราทุกคนนั้นปฏิบัติในขั้นอื่นๆที่สูงขึ้นไป ได้ผลดีและรวดเร็ว แต่ถ้าศีลของตนไม่บริสุทธิ์ ด่างพร้อยแล้ว การปฏิบัติมันก็ยืดเยื้อชักช้าเสียเวลา จะไปภาวนาให้ เกิดสติสมาธิปัญญาก็เกิดผลยาก ดังคำสอนของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เณรคำ ได้กล่าวเอาไว้ว่า<O:p
    <O:p
    เราจะปฏิบัติธรรม เราก็ต้องรู้จักศีลด้วยว่า ศีลที่เรารักษาอยู่นั้นมีอะไรบ้าง นักปฏิบัติรุ่นใหม่นี่ ต้องรู้จักคำว่าศีลให้มาก ให้หนักแน่น เพราะว่าศีลนี่เป็นสิ่งทำให้จิตใจมีกำลังสำคัญ ที่จะผลักดันให้จิตใจของเรานี่ เกิดผลการปฏิบัติได้รวดเร็วและแข็งแกร่ง ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวต่ออุปสรรค ที่มันจะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติ แต่ถ้าศีลของเราไม่ดี มันก็จะหวั่นไหว ก็จะสะทกสะท้าน สภาวะอะไรที่มากระทบมันก็จะหวั่นไหวไปหมดเลย ไม่มีกำลัง เพราะศีลไม่สะอาด ศีลไม่บริสุทธิ์ <O:p
    <O:p
    ประการที่สาม คือ ความตั้งมั่น ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏทุกข์ทั้งหลาย ในโลกใบนี้ด้วยความจริงใจ เด็ดเดี่ยว มั่นคง ไม่หลอกตัวเอง ต้องบำเพ็ญเพียรด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว คือ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยกับคนอื่น ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอื่น ให้นั่งทำใจของตนเองให้สงบระงับไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่าง ๆ บำเพ็ญเพียรด้วยใจอย่างภาคภูมิ เต็มไปด้วยความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดา ไม่ให้ด่างพร้อย ไม่ให้พลั้งเผลอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผลของการปฏิบัตินั้นจะมีมากเพียงใดก็ตาม การบำเพ็ญนั้น ต้องหลีกเว้นออกจากสิ่งที่เคยยึดถือยึดมั่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังเอ็นกระดูก เป็นตัวเริ่มต้นเลยในการถอน เมื่อเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นเนื้อหนังเอ็นกระดูกแล้ว อย่างอื่นมันไม่ยึดถือกันโดยอัตโนมัติ และต้องบำเพ็ญเพียรให้หนัก ให้ต่อเนื่อง อย่าทำแบบกระปิดกระปอย แม้ว่าบารมีเก่าจะมากแค่ไหนก็ตาม ดังคำสอนของพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคํา
    ถ้าปฏิบัติน้อย ผลมันก็เกิดน้อย ปฏิบัติมาก ๆ ผลมันก็เกิดมาก ยิ่งมีสภาวะความขี้เกียจอ่อนแอเข้ามากระทบแล้วนี่ ผลการปฏิบัติมันยิ่งล่าช้าไปกันใหญ่นะ ปฏิบัติไปก็ต้องฝืนมั่ง บางทีธรรมชาติมันพาให้เกิดความพอใจยินดีนะ เราก็ต้องฝืน ไม่ให้พอใจยินดีในสิ่งที่กำเริบขึ้นมานี่ ฉะนั้น ความเพียรมีมากแล้ว ผลการปฏิบัติมันก็มาก จิตมันก็ละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าปฏิบัติน้อย ความเพียรน้อย จิตมันก็ยังหยาบกระด้างอยู่ มันไม่ละเอียดไปเลย มันก็ล่าช้า แต่เวลาที่เราปฏิบัติแล้วมันฟุ้งซ่าน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่มันยังไม่ได้ผลอะไรมากนะ อย่าไปคิดมาก ปล่อยมันไปก่อน พอเราเพิ่มความเพียรขึ้นไปก่อนสักระยะหนึ่งนี่ เดี๋ยวตัวที่มันฟุ้งซ่าน มันเผอเรอ มันก็จะหยุดเอง จะเหลือแต่สภาพสติ ที่ต่อเนื่องในองค์บริกรรมนะ<O:p
    <O:p
    ประการที่สี่ คือ กุศโลบายธรรม เมื่อมีศรัทธาเป็นพื้นฐานแล้ว มีศีลที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยแล้ว มีความตั้งมั่นบำเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่องด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวแล้ว ต้องมีกุศโลบายในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เพื่อมัดจิตมัดใจไม่ให้ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ให้มีจิตใจที่เหนือกาย กุศโลบายธรรมที่องค์หลวงปู่ใช้ คือ การบริกรรมภาวนา ลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ ควบคู่กับการพิจารณาระลึกรู้เข้าไปในกระดูก ถ่ายเทความรู้สึกเข้าไปในกระดูกทั่วสรรพางค์กาย ตื่นรู้อยู่ในกายอยู่ตลอดทุกอิริยาบถทุกสภาวะในปัจจุบัน ทุกสถานที่ โดยไม่ให้พลั้งเผลอ ไม่ให้หลงลืม ไม่ให้ด่างพร้อยไปตามอารมณ์ กำหนดสติปัญญาตื่นรู้ ระลึกรู้ในกาย ให้ถึงพร้อมทั่วทั้งกาย รู้แจ้งเห็นจริงในกาย รู้อย่างแตกฉานเด่นชัดในกาย จนไม่มีข้อสงสัยประการใดว่า มีอะไรอยู่บ้างในร่างกาย เมื่อหายสงสัยหมดแล้ว ความเห็นความมีในกายจะค่อย ๆ หายไป จิตจะเด่นชัดขึ้นมา จากนั้นสติปัญญาจะออกจากสภาพร่างกายและเข้าสู่จิต ไปดำเนินสติปัญญา สภาพปัญญา สภาพสติในจิตล้วน ๆ ปัญญาล้วน ๆ ที่ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซงปรากฏ<O:p
    <O:p
    ประการที่ห้า คือ การส่งคืน พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ให้ส่งคืนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ส่งคืนปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมาทำให้กายและจิตมีความยึดมั่นถือมั่นให้หมด ไม่ว่าจะเป็นความยึดถือในทรัพย์สมบัติภายนอก ยึดถือในสกลกายอันสกปรกโสโครกอันนี้ทุกอย่าง ส่งคืนสู่ธรรมชาติเดิมไป ไม่ยึดถือเป็นเจ้าของ คือ ไม่ได้เอาอะไรแล้วในโลกแห่งการเกิด เห็นสักแต่ว่าสมมุติในโลกเท่านั้น ดังคำสอนของพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ได้กล่าวเอาไว้ว่า<O:p
    <O:p
    ถ้าจิตมันส่งคืนได้ มันก็ไม่ได้มาเวียนว่ายตายเกิดกับสิ่งนี้อีก ถ้าเราไม่อยากเกิด เราก็ต้องฝึกจิตของเราให้รู้จักการส่งคืน คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เคยเป็น เคยอยู่ คำว่าเคยเป็น เคยอยู่นี่ ไม่เฉพาะเคยในปัจจุบันนะ ต้องอดีตด้วย เราเคยเป็นอะไรมาก่อนนี้ ถึงมามีปัจจุบันนี้ ก็ส่งคืนหมด มันจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก อันนี้แหละถือว่าควรปฏิบัติ ฝึกฝนให้ได้ ทำให้ได้นะ<O:p
    <O:p
    ประการสุดท้าย คือ การทบทวน ทบทวนดูพฤติจิต พฤติกรรมของจิตใจของตน ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดลงไปเรื่อย ๆ ว่ากิเลสตัณหาอุปาทานที่ฝังแน่นอยู่ในจิตนั้น มันหมดไปมากน้อยเพียงแค่ไหน ทบทวนดูสิ่งที่ตนบรรลุนั้นให้ดี ให้เด่นชัด ให้ละเอียดลึกซึ้งลงไปเรื่อย ๆ จนมันถึงที่สุดแห่งความเป็น จนไม่เป็นแล้ว ไม่ถือว่าตนเป็นโน่นเป็นนี่ ไม่เป็นในสิ่งที่เป็น ไม่มีสิ่งที่เป็นในหัวใจ เพราะสิ่งที่เป็นก็คือสมมุติในโลกเท่านั้น<O:p
    <O:p
    หลักสำคัญทั้งหกประการที่กล่าวในข้างต้นนั้น คือ หลักใหญ่ในการปฏิบัติให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ คือ การบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ตีเสมอควบคู่กันไป ให้มันสมบูรณ์ทั้งสามอย่าง เพื่อเป็นทุนส่งเสริมให้สติปัญญาแก่กล้า สามารถที่จะทำลายล้างความยึดถือในจิตในกายได้<O:p
    <O:p
    หากพุทธศาสนิกชนท่านใด ถือปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ที่พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ เน้นอยู่เสมอนั้น เชื่อได้ว่าข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับผลของการปฏิบัติที่ยังสงสัยอยู่นั้นจะหมดไป และได้รับผลของการปฏิบัติที่เด่นชัด เกิดผลดีเป็นที่น่าพอใจเข้ามาแทนที่ ได้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากวัฏสงสาร ในที่สุด<O:p
    <O:p
    ผู้เรียบเรียงและคณะเจ้าภาพผู้จัดพิมพ์ทุกท่าน ตั้งแต่เริ่มสร้างธรรมทานเป็นต้นมา ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่ได้อ่านได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนจากหนังสือ ขันติธรรม และ เพชรน้ำหนึ่ง จนเกิดผลดี เป็นที่น่าพอใจ และสำเร็จจนเป็นมรรคเป็นผล ได้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในโลกวัฏฏทุกข์ทั้งหลาย จนบรรลุถึงซึ่งพระนิพพานเจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ<O:p
    <O:p
    คัดลอกจากหนังสือ เพชรน้ำหนึ่ง <O:p

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->สรรพสิ่งดุจดั่งภาพมายา<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post580927 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->klu<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_580927", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 142
    Groans: 1
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 25
    ได้รับอนุโมทนา 611 ครั้ง ใน 97 โพส
    พลังการให้คะแนน: 108 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_580927 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สมเด็จท่านปทุมมุตตระ...เสด็จเทศน์<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    "อันบุคคลผู้ประพฤติธรรมหรือมุ่งหวังในธรรมนั้นย่อมจะมุ่งหวังรู้ในธรรมให้เกิดแตกฉานและหวังผลปฏิบัติในทางสูงสุดของธรรมเป็นที่หมายจึงใคร่ขอน้อมเอาใจมีสาระมาสอนกายที่ยังมีราคีอยู่อีกมากโข ให้กระจ่างในการประพฤติปฏิบัติในธรรม รู้ธรรม การปฏิบัติให้รู้ในธรรมต้องเริ่มปฏิบัติที่วาระของใจเป็นเรื่องแรก แรกนั้นผู้หวังธรรมเป็นที่หมายต้องระลึก เข้าใจถึงภาระ ภาระก่อเกิดขึ้นเป็นหน้าที่เป็นกิจวัตรของแต่ละบุคคลเป็นที่ตั้ง ภาระเมื่อก่อเกิดกำเนิดขึ้นย่อมมีวันหมดสิ้นสุดลง แต่ถ้าบุคคลยังยึดยังถือว่าภาระนั้นเป็นของเรา หรือลืมไป ถือว่าภาระนั้นคือเรา เมื่อนั้นบุคคลนั้นจะไม่ยอมรับรู้วันสิ้นสุดของภาระนั้น ๆ ซึ่งเป็นของธรรมดา ของโลกวิสัย จะต้องแจ้งแสดงอยู่ในจิตในใจอยู่ตลอดนิจกาล ว่าของทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุดหยุดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวันใดเวลาใด หรือแม้กระทั่งนิจกาลว่า ของทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุดหยุดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวันใด เวลาใดหรือแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ตาม เราเอาเสียภาระทั้งหมดทั้งสิ้นไป โดยฉับพลันและถ้าบุคคลที่ประมาทก็ยังมิอาจเตือนจิตเตือนใจให้ระงับอาลัยเสียดายในภาระนั้นได้โดยขาดสติ ขอให้ระลึกถึงวันเวลาที่ผ่านไปตามวาระโอกาสของแต่ละคนที่ลงมาเพื่อบำเพ็ญเพียร และขอให้ได้ความเพียรนั้นเป็นรางวัลกลับไปสู่ภาวะเดิมแห่งตน

    เวลาแห่งการสิ้นสุดมีอยู่ทุกวินาที จงตั้งตนตั้งสติ ตั้งความเพียรแก่ตนให้เข้มข้นทุกวินาทีนับแต่นี้ไป

    ระหว่างที่แต่ละบุคคลได้มุ่งหวังธรรม แม้ว่าจะเป็นการเพียรด้วยใจมากกว่าเพียรด้วยกายก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังเกาะกินในใจในจิตอยู่มากมายนั้นคืออารมณ์ อารมณ์ในรสธรรมนั้นมีน้อยในรสโลกนั้นยังมากโขสิ่งนี้แหละที่ทำให้ตนปฏิเสธไม่ได้ว่า ฉันดี ของฉันดี ฉันและตัวฉันนำมาซึ่งราคะต่าง ๆ ราคะอันนี้จะเป็นตัวเชื่อมให้ความมีเมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา หายไป เมื่อหายไป จะได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมอยู่อีกหรือ สิ่งนี้แหละที่บุคคลทั้งหลายประพฤติเพื่อขายชื่อผู้มีอุดมพรเป็นยิ่งแล้ว จงหมั่นจงมุ่งสู่ผลที่จะพึงหมายปฏิบัติให้เป็นเลิศ"


    เชื่อ มิเชื่อ แล้วแต่ศรัทธา...

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ มันมีสภาพไม่สูญ ที่ใครว่าสูญเป็นเรื่องของเขา เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมีความเข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post665164 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->joni_buddhist<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_665164", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 28
    ข้อความ: 8,024
    Groans: 5
    Groaned at 25 Times in 24 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 110
    ได้รับอนุโมทนา 74,004 ครั้ง ใน 9,038 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5451 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_665164 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อสอนเรื่องการเทียบบารมี<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD class=cd16 width=700>[​IMG]

    การเทียบบารมี


    </TD><TD class=cd16 width=40 rowSpan=2></TD></TR><TR><TD class=cd16 width=700>การเทียบบารมี บารมีเขาจัดเป็น ๓ ชั้น บารมีต้น ท่านเรียก บารมีเฉยๆ บารมีตอนกลางท่านเรียก อุปบารมี บารมีสูงสุดท่านเรียก ปรมัตถบารมี


    ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทานกับศีล เขาจะทำสะดวกเฉพาะ การให้ทาน กับการรักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล ๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐานท่านบอกทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่วางพอ เวลาไม่มีนี่สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้

    ถ้ามีบารมีเป็น อุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลางอุปบารมี นี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมทีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์นี่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาฌาน อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำ จะเข้มแข็งเฉพาะสมถะภาวนา แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะ ท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหว กำลังใจไม่พอ จะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตาม เขาจะไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็น อุปบารมี นะ


    ถ้าเป็น ปรมัตถบารมี เราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริงๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลายๆ ชาติ ถ้าจิตหวังพระนิพพานจริงๆ พวกนี่ก็มีหวัง ที่เรียกว่าบารมีเป็น ปรมัตถบารมี
    ฉะนั้นคนที่จะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีก็ดี อุปบารมีก็ดีท่านพวกนี้จะต้องผ่านความเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นพรหมกันมามาก เพราะว่าบารมีขั้นตั้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้แต่เป็นพรหมไม่ได้ เพราะบารมีขั้นต้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่เป็นพรหมได้ เพราะบารมีขั้นต้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่เป็นพรหมไม่ได้ เพราะบารมีขั้นต้นนี่จะไม่มีฌานโลกีย์พรหมนี่จะทำบุญแบบไหนก็ตาม ถ้าไม่มีฌานโลกีย์จะไม่สามารถเป็นพรหมได้ สำหรับอุปบารมีนี่เขาพร้อมในการทรงฌาน แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ก็ไปเป็นพรหมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเวลาจะตายเข้าฌานตายก็ไปเป็นพรหมได้ เขาพร้อมแล้ว

    สำหรับท่านที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี บางทีจะเห็นว่าเรายังบกพร่องในความดีอยู่มาก ศีลก็บกพร่อง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่แน่นอนนัก ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่แน่นอน เพราะคนที่จะไปนิพพานจริงๆ มันอยู่แค่หัวเลี้ยวหัวต่อ อาศัยความเคยชิน อาศัยการฝึกไปบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง แต่ว่าอารมณ์ชินของอารมณ์ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ต้องการเกิด มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าการเกิดขึ้นมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเกิดอย่างนี้จะไม่มีกับเราอีกเราจะมีความเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย วันหนึ่งถ้าคิดอย่างนี้สัก ๒ นาที คิดทุกวัน อารมณ์นี้มันจะชิน คำว่าชินก็คือ ฌาน ฌานคือชิน

    ในเมื่ออารมณ์คิดจนชินเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่มากนัก เห็นทุกข์วันละ ๒-๓ นาที นอกจากนั้นก็เผลอเห็นสุข หรือเมื่อมีการงานเข้ามาคั่น เขาไม่ได้นึกถึงตัวทุกข์ ก็จะหาว่าเขาเลวไม่ได้ต่อเมื่อเวลาที่ใกล้จะตายขึ้นมาจริงๆ มันป่วยไข้ไม่สบายการป่วยไข้ไม่สบายมันบังคับจิตให้เห็นว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ว่า คนป่วยไม่มีส่วนไหนของร่างกายเป็นสุข แม้แต่ลมก็มีการขัดข้องอยู่เสมอ ก็เห็นว่าการเกิดมันไม่ดีแบบนี้ ร่างกายก็ป่วยอารมณ์ก็ขัดข้อง อาศัยที่จิตคิดจนชินว่า ร่างกายเกิดเป็นของไม่ดี เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อารมณ์นี้ก็จะเกิด ถ้าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาจริงๆ ก่อนหน้าจะตาย ถ้าเป็นฆราวาสอารมณ์นี้จะหนักแน่นในวันนั้นแล้วก็ตายวันนั้น มันอาจจะเกิดมาตอนก่อนๆ มันอาจจะอ่อนไปหน่อย

    ถ้าจิตคิดจริงๆ ว่าการเกิดเป็นของไม่ดี มันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อีกจิตหนึ่งวางเฉย เข้าขั้น สังขารรุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย สังขารุเปกขาญาณนี่ญาติโยมฟังแล้วเข้าใจด้วยนะ สังขารุเปกขาญาณหมายความว่าวาเฉยในร่างกาย ร่างกายคนอื่นไม่สำคัญ สำคัญร่างกายเรา เรามีความรู้สึกว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ดีจริงๆ เวลานี้เราปวดที่โน่นบ้างเสียดที่โน่นบ้าง จิตใจเพลียไปบ้าง สรุปแล้วร่างกายทั้งร่างกายไม่มีอะไรดี ถ้าความรู้สึกว่าร่างกายไม่ดีเกิดขึ้นในวันนั้น แล้วความจริงใจก็เกิดขึ้นว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก จิตเข้าถึงการวางเฉย ไม่ต้องการอีก มันจะตายก็เชิญตาย เราจะเชิญมันตายหรือไม่เชิญมันตายมันก็ตาย ใช่ไหม ในเมื่อมันจะตายแต่เราไม่หนักใจในความตาย เราถือว่าถ้ามันตายเมื่อไรเราไปนิพพานเมื่อนั้น แต่ว่าเวลานั้นจะนึกถึงหรือไม่นึกนิพพานก็ไม่สำคัญ ถ้านึกว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก อารมณ์พระอรหันต์มีแค่นี้นะ วันนั้นท่านจะเป็น พระอรหันต์ จิตใจจะวางเฉยในร่างกาย เห็นร่างกายของเราเราก็เฉย ไม่ต้องการมันอีก เห็นร่างกายคนอื่นเราก็เฉย อย่างนี้เขาเรียก สังขารุเปกขาญาณ ถ้าตายเมื่อไรก็ไปนิพพานทันที นี่ว่าถึงพวกปรมัตถบารมีนะ


    ถ้าใช้ศัพท์เป็นวิปัสสนาญาณถามว่าตัวไหนเป็นตัวสูงสุดก็ต้องตอบว่าสังขารุเปกขาญาณสุงสุด ในวิปัสสนาญาณ ๙ เขาไปจบที่ สังขารุเปกขาญาณ แล้วก็สังขารุเปกขาญาณนี่ทำยากหรือง่าย แต่ความจริงถ้าบอกว่ายากก็ยากสำหรับคนมีบารมีไม่ถึง ถ้าบารมีเข้มข้นจริงๆ ก็เป็นของทำไม่ยาก เพราะใช้ปัญญาเข้าใจตามความเป็นจริงเท่านั้น

    <HR width="50%" color=#800000>ที่มา http://www.banfun.com/buddha/barame_cmp.html</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ปรับปรุงล่าสุดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 00:06:04 น.​
    จากหนังสือ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2059888 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2059888", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 23,578
    Groans: 4
    Groaned at 23 Times in 21 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 104,903
    ได้รับอนุโมทนา 171,355 ครั้ง ใน 22,506 โพส
    พลังการให้คะแนน: 7313 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2059888 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->พยายามเห็นธรรมดาในธรรมดาให้มากๆ...<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <CENTER>พยายามเห็นธรรมดาในธรรมดาให้มากๆ </CENTER><CENTER>และ เรื่องดีภายนอกกับดีภายใน
    เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ มิ.ย. ๒๕๓๖
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาตรัสสอนให้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. จงทำจิตให้ยอบรับกฎของกรรมโดยความสงบ
    เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นกฎธรรมดา


    ๒. ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจงอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา
    จง นิสัมมะ กะระณัง เสยโย ใคร่ครวญด้วยปัญญา
    เอาปัญญาเข้าแก้ไข


    ๓. ให้หมั่นนึกถึงความตายให้มาก ๆ
    อย่าลืม ทุกลมหายใจเข้า-ออก เจ้าอาจตายได้
    ร่างกายมันตาย จิตอย่าเกาะงานให้มากนัก
    ทำไปเรื่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์


    ๔. ยึดหลักเอาจิตปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด
    งานอื่นไม่มีความสำคัญเท่ากับงานทางธรรม

    ให้ทำงานการซ่อมแซมไป สักแต่ว่าเป็นหน้าที่
    จิตระลึกนึกถึงปลายทางเพื่อพระนิพพานไว้เสมอ


    ๕. ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ก็ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาให้หมด
    อย่าคิดว่างานซ่อมแซมสำคัญมากกว่าการเอาจิตปฏิบัติธรรม


    ๖. ร่างกายทำหน้าที่ของกาย จิตทำหน้าที่ของจิต
    พยายามอย่าให้จิตบกพร่องก็แล้วกัน
    งานซ่อมแซมก็ทำไป เพราะเป็นหลักที่เจ้าจักอยู่วัดได้
    ใครจักเห็นความดีหรือไม่เห็นก็ไม่สำคัญ
    หรือเจ้าคิดจักทำความดีอวดใครเขา

    (ตอบว่าเปล่าคะ)

    ๗. ดีภายนอกก็ควรทำ ดีภายในก็ยิ่งต้องทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    จุดหมายปลายทางที่เจ้าต้องการจักจบกิจ
    ก็จงหมั่นคิดถึงจุดหมายปลายทางนั้นให้ขึ้นใจ

    (ทรงหมายถึง ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว)

    ๘. พิจารณาอารมณ์ของจิตตนเองไว้เสมอว่า
    เวลานี้ไปสู่ทิศทางใด ออกนอกลู่นอกทางพระนิพพานหรือเปล่า

    อย่าดูอารมณ์ของผู้อื่น ดูอารมณ์ของเจ้าไว้ให้ดี ๆ


    ๙. พยายามเห็นธรรมดาในธรรมดาให้มาก ๆ
    ทุกคนที่ยังตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่ได้ครบ
    ก็ต้องมีอารมณ์แสดงออกมาเป็นธรรมดา
    ปกติมันเป็นอย่างนั้น
    เจ้าจักยึดถืออารมณ์นั้นเพื่อประโยชน์อันใด


    ๑๐. หลงอารมณ์ เกาะยึดอารมณ์ทำให้จิตเศร้าหมอง
    นั่นแหละคือ จิตหลงเดินทางผิดมรรคผลนิพพานละ


    ๑๑. คิดให้ดี ๆ อย่าวู่วาม จักเสียผลทั้งทางโลกและทางธรรม
    (อย่าใจร้อน ให้ใจเย็น ๆ)

    ๑๒. ตั้งใจดีแล้ว ก็ต้องตั้งวาจาและกายให้ดี
    มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย


    ๑๓. ทัศนะส่วนตัวจักเป็นอย่างไร พยายามอย่าแสดงออกให้มากนัก
    จงหมั่นเก็บเอาไว้ในใจ อย่าให้รั่วไหลออกมาทางกายและวาจา
    จักเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกิจกรรมของวัดของสงฆ์
    แม้จักไม่เห็นด้วย ก็จงอย่าแสดงทัศนะส่วนตัวออกมา


    ๑๔. ขอให้แต่นี้ไป เจ้าจงหมั่นสงบปากสงบกายให้มาก ๆ
    จักไม่เป็นภัยอันตรายย้อนเข้าหาตัว


    ๑๕. เจ้าแย่อย่างนี้มานานแล้ว นับอสงไขยกัป กลับใจเสียใหม่
    ถ้าแก้นิสัยอย่างนี้ไม่ได้ เห็นจักเอาดีได้ยาก

    (ก็รับไปว่า จะพยายาม)

    ๑๖. หมั่นระลึกถึงการสำรวมอายตนะให้มาก ๆ
    และหมั่นใช้ปัญญา พิจารณาปัญหาที่เข้ามากระทบทั้งปวงด้วย

    รู้ธรรมที่เข้ามากระทบ
    ทุกสิ่งในโลกนี้มันมีแต่ธรรมดา
    จงทำจิตให้ยอบรับกฎของธรรมดานั้น


    ๑๗. แล้วอย่าทำจิตให้เศร้าหมอง
    หมั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
    ควบกับมรณานุสสติเอาไว้เสมอ ๆ


    ๑๘. เห็นทุกข์ เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตา ในธรรมที่เข้ามากระทบเสมอ ๆ
    และยอบรับตามนั้น


    [COLOR=#ff0ff]๑๙. จิตทรงฌานรักพระนิพพานเป็นอารมณ์เอาไว้ให้ชิน
    จิตก็จักมีความสุข คิดมานิดหนึ่ง ระลึกมาหน่อยหนึ่ง
    เพื่อพระนิพพานจุดเดียว แค่นั้นจิตก็จักเบาสบายใจขึ้น[/COLOR]

    ๒๐. เวลานี้ปฏิฆะเริ่มเด่นขึ้นมาอีกแล้ว เจ้าก็อย่าทิ้งภาพพระเป็นอันขาด
    ระงับราคะแล้ว ก็ต้องระงับโทสะไปในตัว
    อย่าโง่เกินไป จับโน่นทิ้งนี่ ผลก็เกิดได้ยาก
    และขอให้คิดดี ๆ ก่อนพูดด้วย


    พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม
    จากที่มา : หนังสือ “ธรรม ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๕
    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    </CENTER>

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. Aunop

    Aunop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +1,243
    อนุโมทนาค่ะ
    ในที่สุดก็พบทางออกของปัญหา
    พระท่านคงมาสงเคราะห์ หลังจากมืดบอดอยู่หลายวัน
    พบแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์แล้ว

    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้มากมายค่ะ
     
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post708963 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->rinnn<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_708963", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2005
    ข้อความ: 8,319
    Groans: 1
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 4,294,967,161
    ได้รับอนุโมทนา 26,175 ครั้ง ใน 5,452 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3105 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_708963 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1261180919&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%AF-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%87-92087.html&dt=1261180919875&correlator=1261180919875&frm=0&ga_vid=1322148329.1261015695&ga_sid=1261180824&ga_hid=850057908&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=768&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1004&bih=589&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2F&fu=0&ifi=1&dtd=31&xpc=OUejwWv1MD&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)
    พ่อสอนลูก
    ๑. ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและจงรักษาวาจาไว้ให้ดี อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี คือยุให้คนแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี คือไม่อยากได้ของๆ ใครที่เขาไม่เต็มใจให้ ไม่โกรธแค้นอาฆาต พยาบาทใคร ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ อารมณ์เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อยจนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

    ๒. ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน คือมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ท่านกับเราก็เสมอกันเสมอกันโดยไตรลักษณ์ คืออนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากินทางอาชีพทำการงานเลี้ยงชีพ สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป จงจำไว้ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป จงจำไว้ว่าเราจะต้องตายถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์ เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม แต่สุดท้ายไม่นานผลที่สุดก็ละความสุขนั้นมาหาความทุกข์ สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม

    พิจารณาตน
    ๑. ถ้าบุคคลใดไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน แล้วบุคคลใดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่น ทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสอน ถ้าบุคคลใดทำความดีดังนี้ตามลำดับมาครบถ้วนทรงตัว สามารถทำจิตให้ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด อย่างนี้เข้าถึงกระพี้ความดีที่พระองค์สอน ถ้าบุคคลใดทำจุตูปปาตญาณให้เกิดขึ้นเห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่าคนและสัตว์นี้ก่อนเกิดมาจากไหน คนตายแล้วไปอยู่ไหน อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีที่พระองค์สอน แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์ ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาน ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือนถ้าบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี

    ๒. ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ เขาจะประมาณว่าเลว มันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลาถ้าจิตของเราชั่วเขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดีเพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว

    ศีล
    ๑. ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิ เพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะเพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบ ๆ ท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปีที่ไม่สำเร็จผลใด ๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ

    ๒. ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตามถ้าเราละเมิดนั่นก็หมายความว่าเราเปิดช่องของอบายภูมิหรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน การเจริญกรรมฐานของบรรดาพุทธบริษัทก็ไม่มีผล เพราะฉะนั้นญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่คิดว่าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผลวันนี้และตลอดไปในชีวิต จงตั้งจิตคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต บางวันข้างหน้าอาจจะเผลอไปบ้างก็เป็นของธรรมดา ถ้าบังเอิญรู้ตัวว่าเผลอไปเราก็ยับยั้งมันเสีย และตั้งใจต่อไปเราจะไม่ทำผิดอีกและจงเข้าใจว่า ศีล ๕ ประการนี้ ถ้าจะขาดได้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจทำ อย่างปาณาติบาตสัตว์เล็ก ๆ เราเดิน ๆไปเราไม่เห็นบังเอิญเหยียบตาย อันนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็ก ๆ มียุงเป็นต้นมาเกาะกินเลือดเรา ถ้าไม่คิดจะฆ่ามันแต่มันเกาะนานเกินไป เราจะเอามือลูบให้มันหนีไป บังเอิญมันหนีไม่ทัน ถูกมันตาย อันนี้เราไม่บาป ศีลไม่ขาดเพราะเราไม่มีเจตนาจะฆ่า

    พรหมวิหาร ๔
    ๑. ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คิดว่าเราจะมีความรักในคนอื่นและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา เสมอด้วยตัวเรา เราจะมีความสงสารเกื้อกูลเขาให้เป็นสุขตามกำลังที่เราพึงจะทำได้ เราไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีตาม ถ้าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยด้วยอำนาจกฎของกรรมหรือกฎของธรรมดาเกิดขึ้น เราจะไม่มีความหวั่นไหวในจิต นี่อารมณ์อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ดี ก็จัดว่าเป็นศูนย์รวมกำลังใจที่มีความสำคัญที่สุดอันจะพึงก้าวเข้าไปสู่ความดี

    ๒. ถ้าจิตของเราทรงอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ แล้ว มีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไรเพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นต้น เราจึงมีศีลบริสุทธิ์ เราจึงรู้จักอายความชั่วเกรงกลัวความชั่ว จึงได้มีการประกอบความความดี คือจิตทรงพรหมวิหาร ๔ มีหิริและโอตตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเยือกเย็นมีแต่ความเป็นสุข เราก็เป็นสุขบุคคลอื่นก็เป็นสุข เพราะกายไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา นี่เป็นอันว่าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้ ความเป็นพระโสดาบันย่อมปรากฎ

    สมาธิ
    ๑. เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใยยกเลิกทิ้งไปประเดี๋ยวเดียวมันไม่ตายหรอก และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำของครูไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลที่จริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่องฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ อย่านึกถึงมันเลย นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร ๔ ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คำว่าปกติต้องเหมือนศีล ศีลนี้ต้องบริสุทธิ์ทุกวันและพรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว

    ๒. สำหรับอานาปานุสติกรรมฐาน ขอแนะนำให้ทุกท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่จำไว้ให้ดีด้วยนะ ถ้าท่านให้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ะก็อารมณ์จิตมันจะเลี้ยวเข้าไปหาความเลวไม่ได้ จะมีเวลาว่างเพื่อสร้างความเลวตรงไหน จะกินอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ทำการงานอยู่ จะพูดจาปราศรัยก็ดี ให้เอาใจของทุกท่านกำหนดจับอานาปานุสติกรรมฐานไว้เป็นปกติจำได้ไหม และก็ลองคิดดูทีเถอะว่า ถ้าเราเอาจิตไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จิตมันไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็จิตดวงนี้มันจะเอาอารมณ์เลวมาจากไหน อกุศลกรรมใด ๆ ที่ไหนจะเข้ามาแทรกจิตได้

    มหาสติปัฏฐาน
    ๑. มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ยากจริง ๆ ก็คือ อานาปานุสติกรรมฐานเท่านั้น ที่ต้องทำกันซ้ำหน่อยแล้วก็ทำถึงฌาน ที่เหลือทั้งหมดเป็นอารมณ์คิด ฉะนั้นก่อนจะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ โปรดทำสมาธิจิตจนถึงฌานให้เต็มที่ก่อน ได้ระดับไหนทำให้ถึงระดับนั้น ทำแล้วปล่อยให้จิตสบายจึงค่อยใช้อารมณ์คิดปัญญาจะเกิด นี่เป็นหลักการในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้ว จิตใจมันฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสีย กลับมาจับอานาปานุสสติใหม่ จนกระทั่งจิตสบายแล้วก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป นี่เป็นหลักการที่ปฏิบัติ นักปฏิบัติที่ได้ผลจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้ แม้แต่ในสมัยพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เขาปฏิบัติกันอย่างนี้ จึงได้ผลตามกำหนดที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้


    บารมี ๑๐
    บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่องคือ
    ๑. ทานบารมี มีกำลังใจพร้อมจะให้เสมอ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

    ๒. ศีลบารมี มีกำลังใจรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต

    ๓. เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะแปลว่าการถือบวช พยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้นตัดสังโยชน์เป็นเรื่องสุดท้าย

    ๔. ปัญญาบารมี พิจารณาว่าการเกิดเป็นต้นเหตุของทุกข์ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

    ๕. วิริยะบารมี มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

    ๖. ขันติบารมี อดทนต่ออุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

    ๗. สัจจะบารมี ทรงความจริงเป็นปกติ ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ

    ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นทุกข์ ตั้งใจไว้เฉพาะว่า

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2523298 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bank8<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2523298", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2009
    ข้อความ: 428
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,032
    ได้รับอนุโมทนา 1,523 ครั้ง ใน 229 โพส
    พลังการให้คะแนน: 84 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2523298 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การรู้อารมณ์คนอื่นพ้นทุกข์ไม่ได้ การรู้อารมณ์ตนเองพ้นทุกข์ได้<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1261182146&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff14%2F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-209758.html&dt=1261182146765&correlator=1261182146781&frm=0&ga_vid=1322148329.1261015695&ga_sid=1261180824&ga_hid=824881609&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=768&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=770&bih=395&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%91%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%8D-%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9C%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%98%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%94%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%99%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%84%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9B%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%88%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%84%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%92%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9E%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%89%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%99%E0%B9%80%E0%B8%98%E2%80%94%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%81%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%82%E0%B9%80%E0%B8%99%C2%8C-%E0%B9%82%E2%82%AC%C2%9D%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%83%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%98%C2%9A&dtd=110&xpc=hGbw9Kdytw&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]
    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2749007 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2749007", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (บลู)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,550
    Groans: 3
    Groaned at 18 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 477
    ได้รับอนุโมทนา 34,189 ครั้ง ใน 2,555 โพส
    พลังการให้คะแนน: 534 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2749007 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น โดยสมเด็จองค์ปฐม<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1261183162&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff14%2F%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1-219006.html%23post2749007&dt=1261183162031&correlator=1261183162046&frm=0&ga_vid=1322148329.1261015695&ga_sid=1261180824&ga_hid=559782278&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=768&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=770&bih=395&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Fmembers%2F%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%A3-204254&fu=0&ifi=1&dtd=47&xpc=efH65lJWyN&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อดีตที่พลาดไปแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดี ร่วมทำบุญอาหารถวายพระสงฆ์และโรงทานอาหารแจกผู้ถือศีลงานบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุง
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...