ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205


    ขออนุโมทนาค่ะ และขอสวัสดีปีใหม่ 2553 กับทุกๆท่านด้วยค่ะ
     
  2. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    <table class="tborder" width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 31 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 30 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </center"></td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> โมเย+

    ู้
    ขออนุโมทนา กับท่านผู้อ่านทุกท่าน

    ปีเสือ...ปีนี้

    จงอย่าได้มีเคราะห์

    อย่าได้มีโศก

    อย่าได้มีโรค

    อย่าได้มีภัย

    เจริญ จิต เจริญใจ เจริญสุข เจริญ ธรรม ทุกท่านค่ะ ^.^

    </td></tr></tbody></table>
     
  3. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านขอรับ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สวัสดีปีใหม่ค่ะ

    ปีนี้ไปไหว้พระนเรศวรที่วัดวรเชษฐ์ ซึ่งปีนี้วันบวงสรวงวันชนะศึกเป็นวันที่ 2 มกราคม 2553 แต่คณะของทางสายธาตุไปวัดวรเชษฐ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีนี้คนไปถวายสักการะสมด็จพระนเรศวรมหาราชที่วัดวรเชษฐ์เยอะกว่าปีก่อนเป็นเท่าตัวเลยค่ะ น่ายินดีจริงๆ

    จากนั้นไปพิษณุโลกค่ะ ก่อนออกจากวัดวรเชษฐ์ได้ขอพรจากหลวงพ่อสิงห์ทนขอให้การเดินทางปลอดภัย ไปถึงพิษณุโลกค่ำแล้ว ไปหาโรงแรมที่พักใกล้ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ รู้สึกว่าจะชื่อโรงแรมวังแก้ว เหลือห้องสุดท้ายพอดีเลย คนมาหลังจากคณะเราก็ไม่มีที่พักแล้วค่ะ โชคดีมากที่หาที่พักได้ไม่ยากค่ะ กลางคืนไปไหว้พระบราราชานุสาวรีย์ที่หน้าที่เทศบาลเมืองพิษณุโลก พระรูปนี้ทรงเครื่องกษัตริย์และขี่ม้า มีทหารถือฉัตรกั้นตาม พระรูปนี้ทรงยิ้ม สวยงามค่ะ

    รุ่งขึ้นไปไหว้สมเด็จพระนเรศวรที่วังจันทน์ ปีนี้งานแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะจัดขึ้นในวันที่ 8-18 มกราคม 2553 ค่ะ จากนั้นก็เข้าค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้สักราระพระบรมราชานุสาวรีย์ของทั้งสามพระองค์ เป็นศิริมงคล

    ออกจากค่ายสมเด็จฯ จะข้ามไปทางสะพานพระนเรศวรไปวัดพระศรีฯ เพื่อไหว้พระพุทธชินราช ยังเกือบตัดสินใจจอดรถฝั่งตรงข้ามวัดเพราะกลัวไม่มีที่จอดในวัด เพราะรถมาเยอะมากๆ แต่พอตัดสินใจว่าลองไปหาที่จอดในวัดดู ถ้าไม่มีที่จอดก็ค่อยออกมาหานอกวัด โชคดีอีกแล้ว มีที่จอดพอดีหนึ่งที่ มีคนมาเรียกให้ไปจอดแม่ค้าคนหนึ่งเขามาเคาะกระจกให้จอดได้ ตรงที่เขาชี้มีที่จอดได้ทีเดียว คันอื่นยังติดอยู่ในแถวยาวเลย


    ปีหนึ่งมีไม่กี่ครั้งที่เขาจะเปิดพระปรางค์ของวัดให้ขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ โชคดีอีก ไปพอดีเขาเปิดให้ขึ้นไปได้ ได้ไปปิดทองพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระองค์เล็กๆที่อยู่ด้านหลังเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ตอนปีนขึ้นพระปรางค์ก็ดีอยู่ค่ะแต่ตอนจะปีนลงรู้สึกว่าสูงและชันมากๆ ต้องลงที่ละขั้นแล้วห้ามมองลงมาด้านล่าง ขาจะสั่นพลับๆได้

    ขอพรจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหลายสถานที่เลยค่ะ ขากลับแวะที่นครสวรรค์พักอีกหนึ่งคืนที่นครสวรรค์ รุ่งเช้าไปวัดคีรีวงศ์ ได้ไหว้พระบรมสารีริกธาตุอีก ปีนี้พระท่านเพิ่มรอบสวดเสริมบารมีในปีใหม่ ปกติจะมีพิธีนี้เฉพาะตอนตรุษจีน แต่ที่ท่านเพิ่มรอบปีใหม่ให้สี่วันเพราะปีนี้ดวงเมืองยังไม่ใคร่จะดีนัก จึงเสริมชะตาให้ญาติโยมตั้งแต่ต้นปีเลย โชคดีเพราะไปวันสุดท้ายได้เสริมชะตาชีวิต

    สุดท้ายแวะวัดวรเชษฐ์อีกครั้ง นมัสการหลวงพ่อสิงห์ทน นราสโภ รายงานตัวตั้งใจว่าจะทำให้ได้คือภายในเดือนนี้แต่จะไม่เกินกุมภาพันธ์จะเอางานเขียนไปถวายหลวงพ่อค่ะ ขอพระบรมราชานุญาติจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหลายสถานที่ค่ะ ขอให้ราบลื่นในงานที่กำลังทำถวายพระองค์ท่านค่ะ

    ดูจากจำนวนคนที่เข้ามาอ่านเยอะนะคะคุณโมเย ขอให้ทุกท่านมีความสุขตลอดปีค่ะ
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วันนี้วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๓ ผ่านพ้นปีใหม่มาหลายวัน อาจจะเรียกได้ว่า

    เป็นปีเก่าแล้ว หรือพูดว่าปีเก่าอีกแล้ว แต่เป็นปีเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ส่วนปีเก่า

    (ของเก่า) จะไปเรียกร้องพิรี้พิไรรำพันให้กลับหวนทวนกลับคืนมาก็เป็นไป

    ไม่ได้ เราจึงต้องอยู่กับปัจจุบันที่เป็นปีเก่า(เวอร์ชั่นใหม่ ) ส่วนจะอยู่อย่าง

    ไรถึงจะดีกว่าเดิมหรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เลวไปกว่าเดิม ก็คงต้องอาศัยบทเรียน

    จากชีวิตจริงที่ผ่านมา ส่วนในสังคมชาติบ้านเมืองที่เราได้กำเนิดได้อาศัย

    อยู่กินก็เป็นหน้าที่ของพวกเราชาวไทยทุกคนต้องช่วยกันปกปักรักษาไว้ให้

    เข้มแข็งและเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ใช่ไหมครับ

    โอกาสนี้ขออนุญาตนำข้อเขียนของ อจ.ปราโมทย์ นาครทรรพ

    มาฝากกันครับ (ข้อความบางตอน)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กษัตริย์ปราชญ์กับศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ (Philosopher King and Statecraft)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2552 13:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>Plato (428 BC-348 BC) Socrates (469 BC -399 BC) และ Aristotle (384 BC – 322 BC) ชาวกรีกแห่งนครรัฐเอเธนส์ เป็นปฐมบรมศาสดาของปรัชญาเมธีการเมืองตะวันตกที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อความคิดและพัฒนาการเมือง (ประชาธิปไตย) ของตะวันตก

    สำนักคิดเพลโตเป็นสำนักเดียวที่โดดเดี่ยวยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ สำนักรัฐศาสตร์ในศตวรรษที่แล้วจนถึงปัจจุบัน มีอยู่สำนักเดียว ที่ใช้ชื่ออาจารย์เป็นชื่อของสำนักได้ อาจารย์รัฐศาสตร์คนอื่นๆ ไม่ว่าจะโด่งดังเพียงใดก็ไม่สามารถเอาชื่อไปตั้งสำนักได้ ยกเว้น Leo Strauss (September 20, 1899 – October 18, 1973) ที่เป็นสานุศิษย์เชี่ยวชาญปรัชญาเพลโต

    คณานุศิษย์ของ Strauss เป็นสำนักรัฐศาสตร์หนึ่งเดียวที่ใช้ชื่ออาจารย์ เรียกว่าสำนัก Straussian ประเทศไทยมีศิษย์เอกรุ่นสุดท้ายที่เรียนโดยตรงกับ Strauss คือศาสตราจารย์ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ ซึ่งเรียนเก่งชนะฝรั่ง ได้เกียรตินิยมสูงสุดชั้น summa cum laude

    ในยุคที่บุชผู้ลูกเป็นประธานาธิบดีสองสมัย ว่ากันว่า สเตราส์เซียนครองเมือง เพราะสานุศิษย์ของ Strauss หลายคนมีตำแหน่งสำคัญใกล้ชิดตัวประธานาธิบดี สื่อและสังคมขนานนามคนกลุ่มนี้ว่า Neo-Conservative หรือนีโอคอน อนุรักษนิยมใหม่ที่โดดเด่นก็คือ Paul Wolfowitz ประมุขธนาคารโลกที่ต้องลาออกจากเพราะถูกสื่อเปิดโปงเรื่องฉาวขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งให้กิ๊ก เขาเคยเป็นมือสองด้านความมั่นคงที่ว่ากันว่ามีบารมีกว่ามือหนึ่งของบุช

    Wolfowitz เรียนรุ่นน้องผมที่คอร์เนล นักเรียนส่วนใหญ่เป็นสายพิราบที่รักสันติภาพและความเป็นธรรมสากล แต่ Paul เป็นประมุขของสายเหยี่ยวที่ถูกประณามว่ากระหายสงคราม ชอบใช้แสนยานุภาพของสหรัฐฯ ข่มขู่ประเทศอื่น และไม่มีความเชื่อมั่นในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ยังผลให้ Leo Strauss ปรมาจารย์ผู้ถูกอุปโลกน์ให้เป็นบิดรแห่งนีโอ คอน ถูกก่นด่าว่าร้ายตามไปด้วย

    ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความตื้นเขินของผู้ที่เข้าใจเพลโตและสเตราส์ไม่เพียงพอ หาว่านิยมเผด็จการ เพราะเพลโตได้วิเคราะห์ความบกพร่องของประชาธิปไตยไว้มาก และเห็นว่าประชาธิปไตยสู้การปกครองแบบอภิชนาธิปไตย aristocra cy ที่ผู้ปกครอง (rulers) หรือประมุขเป็นปราชญ์ (Philosopher Kings)ไม่ได้

    ผมขอบอกกล่าวและตั้งคำถามกับท่านผู้อ่านพร้อมๆ กันว่า สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของตะวันตกหรือยุโรป ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดกษัตริย์ปราชญ์จริงๆ แม้แต่พระองค์เดียว แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าไทยเราเคยมีกษัตริย์ปราชญ์มาแล้วหลายยุคหลายพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหลวงองค์ปัจจุบันที่โลกสรรเสริญว่าเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์นั้น พระองค์ทรงเป็นปราชญ์ของปราชญ์อีกด้วย

    ผมจะขอเปรียบในหลวงของเรากับเพลโตให้ดู

    เพลโตเห็นว่าประเทศหรือประชาชนแห่งนครรัฐนั้นจะฉลาดหากถูกปกครองด้วยปัญญา ปัญญา (wisdom) เป็นคุณสมบัติจำเพาะของผู้ปกครอง (rulers) ในขณะที่ความกล้าหาญ (courage) เป็นคุณสมบัติของผู้คุ้มครอง (auxiliary guardians หรือทหาร)ร่วมกับผู้ปกครองด้วย ส่วนชนชั้นที่สามได้แก่ประชาชนคนงานและผู้ถูกปกครองจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือ moderation หรือมัชฌิมาปฏิปทาคือความพอดีสายกลาง

    ความยุติธรรม (justice) หรือความเป็นธรรมเป็นคุณสมบัติของทุกคนที่ต่างก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตน (doing one’s own work) ทางสายกลางหรือ moderation ได้แก่การเอาชนะตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ ตัณหาหรือความทยานอยาก ไม่อยากหรือไม่ทำเกินหน้าที่หรือความสามารถของตน จนกระทั่งไปล่วงล้ำหรือทำลายหน้าที่ของคนอื่น

    ถ้าทุกฝ่ายทำดังนั้น ก็จะเกิดความกลมเกลียว (harmony) และความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว (common purpose)

    เพลโตเน้นว่า ความยุติธรรมและความเป็นธรรมหรือ justice คือ ความที่ทุกคนมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด และความร่วมมือกันในหมู่พลเมืองอย่างแข็งขัน สันติสุขและความไพบูลย์ก็จะเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของบ้านเมือง

    ที่กล่าวมา คือ ความมุ่งหมายหรืออุดมคติของศาสตร์แห่งการปกครองประเทศ (statecraft) เมื่อถูกถามว่าสิ่งนี้จะเป็นไปได้จริงหรือ เพลโตตอบว่า

    “บ้านเมืองและมนุษยชาติจะไม่มีทางหนีพ้นความชั่วช้า เว้นเสียแต่ว่าปราชญ์จะได้เป็นกษัตริย์ หรือผู้ที่เป็นกษัตริย์จะต้องศึกษาปรัชญาหรือ philosophy อย่างแท้จริงและเพียงพอจนกลายเป็นปราชญ์ อำนาจทางการเมืองและปัญญาบารมีจึงจะผนวกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แต่เดี๋ยวนี้ทั้งสองอย่างไปคนละทาง ผู้ที่เลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางประสบความสำเร็จเลย”

    ผู้ที่ไม่สงสัยในความเป็นปราชญ์ของพระเจ้าอยู่หัว จะต้องตระหนักว่า ตั้งแต่ทรงมีปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ในหลวงไม่เคยมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างแท้จริงเลย เพราะพระราชอำนาจตามหลักและจารีตประชาธิปไตยแบบเดียวกับกษัตริย์อังกฤษ คือ พระราชอำนาจทั่วไป พระราชอำนาจพิเศษ พระราชอำนาจสำรอง ถูกชนชั้นปกครอง เผด็จการและรัฐบาลที่ยึดอำนาจมาด้วยกำลังและเงินเบียดบังเอาไปหมด ในหลวงทรงยอมอยู่ใต้กฎหมายทุกฉบับอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ออก และทรงคอยจนวินาทีสุดท้ายที่จะกอบกู้บ้านเมืองและประชาชนในยามวิกฤต เนื่องจากการละเว้นหรือละเมิดหน้าที่ของผู้อื่น.............


    แหล่งที่มา Daily News - Manager Online



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2010
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อ่านคอลัมน์คุณเปลว สีเงิน ในไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ที่ 4 มกราคม 2553

    อดใจไม่ไหวต้องนำข้อความบางตอนมาฝากกันครับ ท่านใดสนใจอยาก

    อ่านเนื้อหาเต็มๆก็เชิญได้

    ที่ http://www.thaipost.net/news/040110/15840





    โปรดรัดเข็มขัด"ยานสู่อนาคตไทย"จะออกแล้ว

    <!-- main-content-block --><!-- 4 มกราคม 2553 - 00:00 -->
    4 มกราคม 2553 - 00:00


    วันนี้-วันจันทร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๓ เป็นวันประเดิม "ชีวิตการงานใหม่" ในศักราชใหม่ ตั้งอก-ตั้งใจกันให้ดีนะครับ เพราะถ้าตั้งใจดี หมั่นประกอบภารกิจการงานในวันนี้ด้วยทัศนคติที่ดี ก็เป็นนิมิตหมายว่า "ชีวิตตลอดทั้งปี" ต้องดีแน่นอน เจอหน้าใครก็ใช้ปิยวาจาทักทายกัน ยิ้มเข้าหากัน กับคนที่เคยขุ่นข้องหมองใจถึงขั้นอาฆาตแค้นว่า "จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้" ก็จงลืมมันไป เจอหน้าปุ๊บก็ยิ้มทักทาย สวัสดีปีใหม่ครับ..สวัสดีปีใหม่ค่ะ..ให้กัน ทำอย่างนี้ได้ โลกในปีใหม่ ก็จะเป็นโลกสีสัน "สู่อนาคตใหม่" ที่ดีของท่าน

    และผมมั่นใจว่า ประเทศไทย-คนไทยในปี พ.ศ.๒๕๕๓ นี้ ต้องดีกว่าปีเก่าแน่นอน เพราะเท่าที่ดูจากข่าวคราว และตระเวนไปสัมผัสด้วยตัวเอง คนไทยทุกเพศ-ทุกวัย "ปีใหม่เข้าวัดขอพรพระ" มากหน้าหลายตากว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา กระทั่งต่างจังหวัดในแต่ละจังหวัด

    หลายคนไม่เพียงเข้าวัด-ไหว้พระเท่านั้น ยังพาจิต-พาตัวเข้าถึงธรรมด้วย คือไปถือศีลอุโบสถ ฝึกสติด้วยวิปัสสนากรรมฐานทั้งชาวไทยและชาวเทศ ไม่ว่าที่สำนักวัดมหาธาตุฯ ใกล้ๆ สนามหลวง หรือที่สำนักวัดอรุณราชวรารามฯ คณะ ๖ จนเรียกว่า "ล้น" สถานที่ปฏิบัติกันเลยทีเดียว!

    ก็สาธุกับทุกท่านครับ....!

    เมื่อคนไทยจิตใจมีทุกข์แล้วรู้จักเข้าหาธรรมเพื่อปลดเปลื้องตัวเองออกจากทุกข์อย่างนี้ ประเทศไทย-คนไทยจะวิบัติและตกต่ำได้อย่างไรกัน เพราะ ธัมโม ห เว รักขติ ธัมมจาริง...ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม..................

    ....................................................................

    ผมเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่า สังคมเข้าสู่รอบ "กรรมเช็กบิล" ฉะนั้น ปีใหม่นี้ "ไม่ต้องกลัว" ใครประกอบกรรมดี ต้องดี ส่วนใครหยาบช้าต่อบ้านเมือง ต้องวิบัติ นี่คือหน้าที่ของดาวเสาร์ในเรือนพุธยามเล็งกับดาวอนาคตคือมฤตยู และดาวพฤหัสคือดาวคุณธรรม ลดความสนใจการเมืองเพื่ออำนาจ การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ลงเสียบ้าง แล้วประพฤติปฏิบัติด้วยสัตย์ซื่อต่อบ้านเมืองกันให้มากๆ เข้าไว้

    ยานลำนี้-คือประเทศไทย ตั้งเข็มเดินหน้าสู่มิติสังคมชาติที่จะมีแต่คนคิดดี-ทำดีต่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์แล้ว คนคิดไม่ดี-ทำไม่ดี จะไม่มีที่นั่งในยานลำนี้ เมื่อทราบแล้ว "โปรดรัดเข็มขัด" เพราะยานลำนี้ ถ้าจะเคลื่อนที่ ไม่พิรี้พิไร...ไปเลย


    ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ครับ
     
  7. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  8. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    ธรรมจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    .....การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม



    การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง



    ผู้ที่ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรก สวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามมตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนโดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ




    สาธุ สาธุ สาธุ

    ข้อธรรมของหลวงปู่ เป็นของฝากปีใหม่ ขอรับ
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อวานอ่านหนังสือศิลปวัฒนธรรม เจอข้อมูลเกี่ยวกับงานเขียนของนาย จ๊าค ด้วย (Jaques De Coutre) จากเดิมที่เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่นายจ๊าคเขียน เขาเป็นพ่อค้าที่ติดตามเรือโปรตุเกสมาจากมะละกา และเข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ระหว่างปี พ.ศ. 2138 - 2139 หรือสามสี่ปีหลังจากที่พระองค์ทรงกระทำยุทธหัตถี และนายจ๊าคอยู่ในสยามทั้งสิ้น 8 เดือน

    สิ่งที่เคยทราบโดยนายจ๊าคเขียนไว้ มีดังนี้

    1 เมื่อเจ้าพระยาปราบหงสา (เจ้าพระยาไชยานุภาพ)ล้ม ทรงให้มีการจัดการศพดุจเดียวกับขุนนางระดับเจ้าพระยาและงานศพเจ้าพระยาปราบหงสานี้จัดอยู่ 7 วัน

    2 สมเด็จพระนเรศวรทรงภูษาน้อยชิ้น โดยนายจ๊าคเขียนไว้ว่าทรงภูษาเป็นผ้าผืนไม่ใหญ่ปิดบังส่วน นายจ๊าคใช้คำว่า The Secret Part ของพระองค์

    3 นายจ๊าคเขียนไว้ว่า พระองค์ทรงสร้างหลวงพ่อองค์ใหญ่ไว้กลางแจ้งที่วัดเจ้าพระนางเชิง (วัดพนัญเชิง)

    เมื่อวานได้ข้อเขียนของนายจ๊าคเพิ่ม เรื่องชายรักชาย ในสมัยนั้น และเรื่องการฝังลูกกระพรวนในบางอวัยวะของชายไทย เวลาเดินจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊ง อ่านแล้วก็ให้ได้เห็นภาพชายหญิงในสมัยนั้นค่ะ

    นายจ๊าคเขียนทั้งหมดแค่ 14 บทซึ่งจะยาวสักเท่าใดก็ไม่ทราบค่ะ อยากอ่านทั้งหมดอยู่เหมือนกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "ชายรักชาย" ในหนัง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค ๓" ของท่านมุ้ย

    เขียนในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
    เขียนโดย คุณพิทยา บุนนาค
    หน้าที่ 38-39

    ภาพยนต์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค ๓" ของ "ท่านมุ้ย" หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล มีการนำเสนอเรื่อง "ชายรักชาย" โดยท่านมุ้ยออกพระองค์ว่า ความรักนี้ไม่ใช่ความรักแบบเกย์ๆ ฟังดูแล้วผู้เขียนเชื่อว่า ท่านมุ้ยต้องการจะนำเอาความสัมพันธ์อันสูงส่งแบบชายกับชายของนักรบกรีกโบราณที่มีต่อกันนั้นมานำเสนอให้กับนักรบของสมเด็จพระนเรศวรในภาพยนต์ แม้ว่าท่านมุ้ยจะทรงสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาจากจินตนาการที่ต้องการยกศักดิ์ศรีของนักรบของสมเด็จพระนเรศวรให้เทียบเคียงกับนักรบกรีกโบราณ แต่ท่านคงหารู้ไม่ว่า จินตนาการของท่านนี้เคยเป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นในสังคมชายของกรุงศรีอยุธยาในระยะนั้น เพราะท่านมุ้ยคงไม่เคยอ่านจดหมายเหตุของ นาย ฌัคส์ เดอ คู้ทร (Jacques de Coutre) ที่เข้ามาเยือนกรุงศรีอยุธยากับคณะฑูตโปรตุเกสจากเมืองมะละกา เป็นเวลา ๘ เดือนเมื่อ ค.ศ. ๑๕๓๕ (พ.ศ. ๒๑๓๘)ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรพอดี

    จดหมายเหตุของ นายฌัคส์ เดอ คู้ทร (Aziatische Omzweryingen, Het Leven van Jacques de Coutre, en Brugs diamanthandelaar 1591-1627) มีผู้แปลจากภาษาฟรารดิชโบราณมาเป็นภาษาอังกฤษแต่ยังไม่ถูกตีพิมพ์ (หรือไม่กล้าเสียมากกว่า) เพราะมีหลายตอนที่คนไทยอาจรับไม่ได้ จดหมายเหตุนี้มี ๑๔ บท บรรยายถึงสังคมและสถานที่ในกรุงศรีอยุธยา จนถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา และกล่าวถึงเรื่องสมเด็จพระนเรศวรด้วย
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "ชายรักชาย" ในหนัง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค ๓" ของท่านมุ้ย

    เขียนในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
    เขียนโดย คุณพิทยา บุนนาค
    หน้าที่ 38-39

    อันที่จริง นายฌัคส์ เดอ คู้ทร ซึ่งเป็นผู้เขียนจดหมายเหตุนี้และคณะฑูตจากเมืองมะละกาที่มาด้วยกัน ได้ถูกพวกบาทหลวงซึ่งเป็นเชลยที่โดนกวาดต้อนจากเมืองเขมรต้มเสียสุก โดยสมเด็จพระนเรศวรได้ให้บาทหลวงเชลยผู้หนึ่งชื่อ ฮอร์เก เดอ โมตา (Jorge de Mota) เป็นราชฑูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกสที่เมืองมะละกา บาทหลวงผู้นี้จึงถือโอกาสลวงพวกโปรตุเกสซึ่งรวมนายฌัคส์ เดอ คู้ทร อยู่ด้วยว่า อัญมณีถูก ตวงขายกันเป็นทะนานๆ ด้วยความละโมบ พวกโปรตุเกสที่เมืองมะละกาจึงหวังที่จะซื้อหาพลอยมากกว่าอื่นใด กว่าพวกคณะทูตโปรตุเกสจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว แต่ก็ยังทำให้พวกเชลยบาทหลวงเหล่านี้มีความสำคัญขึ้นโดยนัยยะเพราะอย่างน้อยก็มีคณะทูตโปรตุเกสคุ้มกะลาหัวอยู่นั่นเอง
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "ชายรักชาย" ในหนัง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาค ๓" ของท่านมุ้ย

    เขียนในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
    เขียนโดย คุณพิทยา บุนนาค
    หน้าที่ 38-39

    ในบทที่ ๑๓ ที่กล่าวถึงเรื่องชายรักชาย พวกคนสยามเล่าให้ นายฌัคส์ เดอ คู้ทร ฟังว่า คนที่คิดแผนให้ผู้หญิงนุ่งซิ่นที่แหวกจากสะดือลงไปถึงตีนซิ่น (ที่เห็นกันอยู่ในอยุธยา) ก็คือ พระราชินีแห่งกรุงหงสาวดี ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เวลาเมื่อก้าวขาเดิน ซิ่นจะแหวกออกให้เห็นขาท่อนบนทั้งหมด โดยหวังว่าจะเป็นการยั่วยวนประชาชนชายในแผ่นดินที่มีแนวโน้มในพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศอันเป็นบาป ซึ่งมีจำนวนอย่างมากมายเหล่านั้นให้เปลี่ยนใจ (เชิงอรรถเขียนว่า homo-sexuality) พฤติกรรมของชายในกรุงศรีอยุธยาที่ นายฌัคส์ เดอ ครู้ทร สนใจเป็นพิเศษก็คือ การฝังลูกกระพรวน (ในต้นฉบับแปลภาษาอังกฤษเรียก "bell") ใต้ผิวหนังขององคชาต ลูกกระพรวนนี้ ในจดหมายเหตุดังกล่าวเรียกว่า "bun-cules" ซึ่ง ศาสตราจารย์ Stole ให้ความเห็นในเชิงอรรถว่า คงเพี้ยนมาจาก "bruncioles"

    [​IMG]

    รูปสาวมอญยืนบิดยั่วผู้ชายให้กระสันแถมผ่าซิ่นของหล่อนขึ้นไปถึงเอวอีกต่างหาก เมื่อยามเดินจะชะเวิบชะวาบเห็นอวัยวะ ภาพนี้เขียนบนบานประตูอุโบสถด้านในวัดบางน้ำผึ้งนอก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    การฝังลูกกระพรวน

    เขียนในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
    เขียนโดย คุณพิทยา บุนนาค
    หน้าที่ 38-39

    การฝังลูกกระพรวนเป็นที่นิยมกันแพร่หลายในระยะนั้น ความนิยมนี้แพร่ระบาดอยู่ในสังคมตั้งแต่ชั้นเจ้านายจนขุนนางระดับผู้ใหญ่และน้อย ทั้งที่อยุธยาและหงสาวดี ลูกกระพรวนเหล่านี้ทำด้วยทองคำบ้าง เงินบ้าง หรือทองแดงบ้าง แต่ละคนจะฝังเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะฝังได้ โดยเฉลี่ยจะฝังอยู่ใต้ผิวหนังขององคชาตราว ๒-๔ ลูก ซึ่งคงจะเหมือนการฝังมุกในปัจจุบัน แต่ละลูกมีขนาดเท่านเม็ดวอลนัต (walnut) เมื่อถูกแกว่งจะมีเสียงดังเหมือนกระดิ่ง โดยรานที่มีลูกกระพรวนจขายมีมากมายทั้งในกรุงพระนครศรีอยุธยาเอง และตามหมู่บ้าน บางร้านก็ขายแต่ลูกกระพรวนล้วนๆ นายฌัคส์ เดอ คู้ทร เล่าว่า เขากับพวกโปรตุเกสอีก ๕ คน ได้มีโอกาสไปเยี่ยมขุนนางท่านหนึ่งที่กำลังจะผ่าเอากระพรวนลูกหนึ่งออก เพราะท่านไปทำอีท่าไหนก็ไม่ทราบทำให้เกิดระบมขึ้น ในระหว่างที่นั่งรอกันอยู่หมอก็เข้ามาและเริ่มผ่าเอาลูกกระพรวนออกต่อหน้าต่อตาพวกเขาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เสร็จแล้วก็เย็บแผลเพื่อรอให้หาย เมื่อหายแล้วก็จะได้เอาลูกกระพรวนเจ้ากรรมนี้ใส่กลับเข้าไปอีก



    ครั้งนั้น คงมีเสียงกรุ๊งกริ๊งไปทั่งกรุงศรีอยุธยาไม่เงียบเหงา และในหนังท่านมุ้ยก็ควรจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งบนแผ่นฟิล์มให้สมจริง


    อ่านบทความนี้แบบอ่านความเป็นไปในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแล้วนะคะ ไม่มีเจตนานำเรื่องอันไม่สมควรมาโพสในกระทู้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่อย่างใด ทางสายธาตุพิมพ์ตามบทความในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  14. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คุณโมเย โชคดีแล้ว ธรรมจัดสรรให้อย่างลงตัวที่สุด ขออนุโมทนาค่ะ

    งานเขียนของนายฌัคศ์นั้นอาจจะตรงไปตรงมาสักหน่อยแต่มันเป็นเนื้อหาประวัติศาสตร์จึงต้องลงไปตามนี้นะคะ ออกจะฉีกแนวจากทางของกระทู้สักหน่อย เหมือนเนื้อหาเรื่องคุณนาย ออสุต พะโค ก็ค่อนข้างจะแหวกแนวประวัติศาสตร์เหมือนกัน

    เมื่อวานกลับบ้านเร็ว จึงไปแวะที่วัดปราสาท เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้าง เพื่อมาประทับดูแลการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา วัดนี้จึงมีอายุเกือบจะ 400 ปี

    วัดปราสาท อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

    วัดปราสาท อ.บางกรวย จ.นนทบุรี วัดปราสาทสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง เสด็จมาตั้งพลับพลาเพื่อขุดคลองลัดจากวัดท้ายเมืองถึงปากคลองบางกรวยหน้าวัดเขมาภิตาราม และเป็นสถานที่ระดมพล (ค่ายทหาร) เพื่อเตรียมทัพไปรบกับพม่าที่กรุงศรีอยุธยา อุโบสถ เป็นศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีสภาพสมบูรณ์แบบมหาอุด คือผนังด้านข้างทั้งสองด้านไม่มีหน้าต่างด้านหน้ามีประตูทรงปราสาทประดับลวดลายปูนปั้น ด้านหลังไม่มีประตูมีเพียงช่องแสงเล็กๆตรงผนังด้านหลังพระประธาน 1 ช่อง เพื่อให้แสงสว่างกระจายไปรอบองค์พระประธานเสมือนรัศมีอันเจิดจ้า ทำให้ดูมหัศจรรย์อย่างวิเศษสุด หลังคาด้านหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ฐานเป็นเส้นโค้งแบบเดียวกับหลังคา หน้าบันจำหลักสวยงาม ภายในอุโบสถมีถาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติ เขียนด้วยสีฝุ่นงดงาม

    วัดปราสาท ตั้งอยู่ที่ 18 ถนนสายบางกรวย-ไทรน้อย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 02-5951288,0818095677 เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมือ่ใด ได้รับการบูรณะหลายครั้ง ในบริเวณวัดมีโบราณสถานสำคัญ คืออุโบสถ รูปทรงมหาอุด ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและได้บูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2530-2531 พระประธานในพระอุโบสถ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 3.77 เมตร สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยอู่ทอง หรือยุธยาตอนต้นและภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวแบบโบราณวัดปราสาทจึงเป็นวัดที่ควรค่าการศึกษาอีกแห่งหนึ่ง

    [​IMG]

    เมื่อวานไปพบว่า กรมศิลปากรกำลังปรับปรุงสถานที่ใหม่ เพราะเดิมสร้างกำแพงแก้วไว้แบบดังรูป ซึ่งตอนนี้ขุดเจอแนวกำแพงแก้วโบราณ ซึ่งจะทำให้เจดีย์คู่สององค์หน้าโบสถ์อยู่ภายในกำแพงแก้ว ตามคติคนโบราณนั้นเจดีย์คู่นี้สร้างเพื่ออุทิศกุศลแก่บิดาและมารดาของผู้สร้าง เจดีย์คู่จึงต้องอยู่ภายในกำแพงแก้ว แบบเดิมตามรูปนี้จึงยังไม่ถูกต้อง เจดีย์คู่ที่ไปเห็นมา เป็นศิลปย่อมุมไม้สิบสององค์ย่อมๆ ไม่ใหญ่นัก กรมศิลปากรจะบูรณะใหม่พร้อมสร้างกำแพงแก้วใหม่ด้วย ใช้เวลาประมาณ 8 เดือนจึงจะบูรณะแล้วเสร็จค่ะ​


    แถบนนทบุรีจะมีวัดโบราณเยอะค่ะ วัดแก้วฟ้าที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงสร้างเพื่อถวายพระราชกุศลแดพระยอดฟ้าก็อยู่ไม่ไกลจากวัดปราสาทนัก วัดแก้วฟ้า เก่าแก่กว่าวัดปราสาทหลายสิบปีหรือเกือบร้อยปีได้ค่ะ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนากับคุณทางสายธาตุ และคุณโมเย ครับ

    และขอพาข้ามทวีปไปที่อังกฤษประเทศต้นแบบของระบอบประชาธิปไตย

    โดยขออนุญาตคัดลอกข้อความบางตอนของท่านอจ.ปราโมทย์ นาครทรรพ

    จาก www.manager.co.th เฉพาะในตอนที่เกี่ยวข้องกับท่านนายกรัฐมน

    ตรีของอังกฤษ 2 ท่าน คือ ท่านเซอร์ วินสตัน เชิชชิล และ ท่านโทนี่ แบลร์

    ที่แสดงออกถึงความจงรักภัักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขา ลองติดตาม

    ดูนะครับ


    Politics is more dangerous than war, for in war you are only killed once. การเมืองร้ายยิ่งกว่าสงคราม เพราะในสงครามคุณจะถูกฆ่าหนเดียวเท่านั้น”

    Winston Churchill

    ท่านผู้อ่านที่เคารพ โปรดศึกษาวาทะของวินซตัน เชิชชิล (1874-1965) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ 2 สมัย (1940-1945/1951-1955) ผมว่าจริง สงครามฆ่าเราได้หนเดียว แต่การเมืองฆ่าเราได้บ่อยๆ ฆ่าได้ตลอดชีวิต ฆ่าทั้งเป็น ตายแล้วยังตามไปฆ่า เกิดชาติหน้าก็ตามล้างตามผลาญอีก ข้ามภพข้ามชาติ ลูกหลานบ้านเมืองของเรามันก็ยังไม่เว้น .........


    ........เชิชชิลเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนเดียวที่จบจากโรงเรียนนายร้อยแซนเฮิร์ส ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในอินเดียและแอฟริกา ถูกจับเป็นเชลยศึกหนึ่งครั้ง

    เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เชิชชิลเป็นทั้งสมองทั้งกำลังใจและผู้นำคนสำคัญของอังกฤษและฝ่ายพันธมิตร ทำให้อังกฤษผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อย่างผู้ชนะ

    เชิชชิลสอบตกถึง 4 ครั้งจึงได้เป็น ส.ส.ในครั้งที่ 5 และเป็น ส.ส.คนหนึ่งที่เข้าๆ ออกๆ อยู่ในสภาสามัญยาวที่สุด (1900-1964)

    ครั้งแรก เชิชชิลเป็นนายกรัฐมนตรีรัชกาล George VI (1895- 1952/ ครองราชย์ 1936) มีความสัมพันธ์กันอย่างดีเยี่ยม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แม้กระทั่งร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีสู้ศึกและป้องกันประเทศ เป็นแบบราชประชาสมาสัยหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง

    เสร็จสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลับกลัววีรบุรุษสงครามจะเหลิง จึงส่งพรรคคอนเซอร์เวตีฟไปเป็นฝ่ายค้าน และมอบตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้านของพระเจ้าอยู่หัวให้เชิชชิล ตอนปลายรัชกาลพระเจ้าจอร์จ 6 (1952) ที่เหนื่อยล้าอาทร และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของพระราชินีอลิซาเบธ(1926-ปัจจุบัน/ครองราชย์ 6 ก.พ.52)

    เชิชชิลเป็นนักอภิปรายนักประวติศาสตร์และนักเขียนชั้นเลิศ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของโลกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

    เชิชชิลเคารพพระราชอำนาจของกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยคืออำนาจแนะนำ ตักเตือนและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่นๆ และนำมาใช้รักษาบ้านเมืองได้ผลในยามวิกฤต

    นอกจากจะมีพระบรมราชโองการ (จดหมายลับ) ผ่านราชเลขานุการส่วนพระองค์แล้ว ยังมีประเพณีที่นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้ารายงานข้อราชการและขอคำปรึกษาเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพราะการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์ทรงมีพระราชวินิจฉัยถึงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมของบุคคลที่จะทรงแต่งตั้งกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดก็ได้ แต่จะต้องรักษาจารีตและครรลองประชาธิปไตยไม่ลำเลียงหรือฝักใฝ่เข้าข้างพรรคใดๆ

    ครั้งหนึ่ง เชิชชิลขอโปรดเกล้าฯ Lord Beaverbrook เป็นรมต.กระทรวง Aircraft แต่พระเจ้าจอร์จไม่เห็นด้วย มีพระราชสาส์นให้นายกฯ พิจารณา “...I wonder if you would not reconsider…I fear that this appointment might be misconstrued” เชิชชิลเข้าเฝ้าอธิบายและยืนยัน King George VI ก็ทรงอนุมัติ

    การเข้าเฝ้าฯ รายงานข้อราชการนี้ ถ้าเป็นเรื่องการบริหารที่นายกฯ จะต้องรับผิดชอบต่อสภา นายกฯ อาจเห็นต่างและไม่กระทำตามราชวินิจฉัยก็ได้ ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดข่าวหรือกรณีขัดกันระหว่างกษัตริย์กับนายกฯ ของพระองค์ การเข้าเฝ้าฯ จึงเป็นเรื่องรู้กัน 2 คน ไม่มีการจดบันทึกหรือคนอื่นเข้าร่วม การเข้าเฝ้าฯ นี้เกิดประโยชน์มหาศาลต่อประเทศและระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะทั้งกษัตริย์และนายกฯ ต่างจะต้องทำการบ้านอย่างดี ประมาทเลินเล่อไม่ได้

    อีกตัวอย่างเป็นพระราชอำนาจพิเศษ นายกฯ หรือรัฐมนตรีจะออกนอกประเทศได้ต้องมีบรมราชานุญาต เชิชชิลขออนุญาตพระเจ้าจอร์จถึง 2 ครั้ง ที่จะออกไปดูการยกพลขึ้นบกของกองทัพพันธมิตรในวันดีเดย์ที่ 6 มิ.ย. 1944 ที่หาดนอร์มังดีประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าอยู่หัวเป็นห่วงเกรงนายกฯ เป็นอันตรายจึงทรงปฏิเสธ และเชิชชิลก็ยอมรับพระบรมราชโองการ จดหมายกราบบังคมทูลว่า “ I must defer to Your Majesty’s wishes and indeed commands”...............

    ...................................................................................
    ประชาธิปไตยของเราเป็นประชาธิปไตยเก๊หรืออาเพศ มิใช่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะเรามีทฤษฎีบิดเบือนและเบียดบังพระราชอำนาจว่า “กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมือง” แต่การเมืองเราอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ไฉนจึงจะลอดลงมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญได้

    อังกฤษมีระบบการเมือง 2 พรรค นานๆ พรรคที่ 3 จึงจะดอดมาร่วมได้สักครั้ง พรรคที่แข่งขันขับเคี่ยวกับพรรคคอนเซอร์เวตีฟของเชิชชิล คือพรรคสังคมนิยมที่มีชื่อว่า Labour Party หรือพรรคแรงงาน ซึ่งเดี๋ยวนี้กลับมาครองอำนาจ ตั้งแต่โทนี่ แบลร์ (เกิด 6 พ.ค. 1953 เป็นนายกฯ 2 พ.ค. 1997 ถึง 27 มิ.ย. 2007) นำพรรคเข้าถล่มทลาย แต่ถูกบังคับให้ส่งไม้ต่อให้กอร์ดอน บราวน์ (เกิด 20 ก.พ. 1951)พรรคเดียวกัน

    พรรคแรงงานมีสมาชิกและผู้นำพรรคจำนวนมากที่ไม่นิยมกษัตริย์ แต่การณ์กลับปรากฏว่าในแผนปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลมิได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์เลย ผู้คนต่างก็ถึงบางอ้อเมื่อได้ยินคำสัมภาษณ์วันที่ 23 พฤษภาคม 2545 ของโทนี่ แบลร์ และรายการสารคดีทีวี BBC1

    แบลร์ซึ่งถูกกล่าวขวัญอยู่เนืองๆ ว่าไม่เคารพพระราชินีกลับบรรยายว่าด้วยหลักของเหตุและผลแล้ว ระบบกษัตริย์ดีกว่าระบบอื่น

    แบลร์กล่าวถึงการเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานประจำสัปดาห์ว่า “ทุกคนจะต้องแปลกใจ ที่พระราชินีเข้าถึงเป้า ตรงไปตรงมา และทรงมีความเห็น “ติดดิน down to earth” มากๆ ราวกับทรงจับชีพจรประเทศไว้อยู่ คนทั่วไปอาจคาดไม่ถึง เพราะเคยเห็นพระราชินีแต่ในราชพิธีที่มีสีสันอลังการ แต่ใครที่เคยเฝ้าฯ อย่างไม่เป็นทางการจะเห็นความเรียบง่ายเป็นกันเองและเข้าพระทัยอารมณ์หรือความรู้สึกของคนในบ้านเมืองเป็นอย่างดี

    แบลร์รู้สึกแปลกๆ และเคอะเขินในยามที่ได้รับเชิญเป็นแขกไปค้างเวลาแปรพระราชฐานไปวัง Balmoral ประจำทุกปี ที่นั่นนายกฯ ถูกบังคับให้นั่งเฉยๆ รอให้พระราชินี พระราชวงศ์ ปรุงอาหารเสิร์ฟอาหาร และล้างจาน พอบ่อยๆ เข้าคุ้นเคยขึ้น ก็จะเป็นเวลาที่ง่ายและดีที่สุด

    แบลร์เล่าว่าพ่อตนนิยมกษัตริย์ และไม่ยอมพลาดทีวีพระราชดำรัสประจำปี ไม่เคยมีใครเลยในแวดวงของแบลร์ที่เป็นสาธารณรัฐนิยม ดังนั้น คนในรุ่นของแบลร์จึงได้ตัดสินใจว่า พระราชินีทรงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการรวมชาติ และนี่เป็นระบบที่ดีกว่าระบบอื่น อย่างมีเหตุมีผล มิใช่โดยอารมณ์หรือประเพณี แต่โดยเหตุผล นี่คือระบบที่ดีกว่า (because of how important a unifier for the country the Queen has been that actually this is a better system - rationally, not simply emotionally or as part of tradition - but rationally this is a better system.)................................


    แหล่งที่มา Daily News - Manager Online

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"เก่งมาจากไหน --------------"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 มกราคม 2553 14:23 น.


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    หากได้วาระเมื่อไหร่ จะบอกบุญมายังทุกท่าน ณ.ที่นี้ด้วยนะคะ
    และโอกาสนี้ต้องขอขอบพระคุณ ท่านผู้พันแห่งค่ายกองพันพัฒนาที่ 3


    ที่เปิดเพลง พระนเรศวรมหาราช ทุกๆเช้าและเย็น เพื่อเป็นการถวายสักการะ แด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ค่ะ



    สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับท่านผู้บังคับกองพันพัฒนา ที่ ๓ ด้วยครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วันนี้มีธรรมะมาฝากคุณฟอร์ทครับ

    พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 15
    อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ ยมกวรรค
    ปฏิปทาสูตรที่ ๓

    ....................................

    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในการเจริญมรณสตินี้ ข้าพระองค์มีความ
    คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า หรือหาย
    ใจเข้าแล้วหายใจออก พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำ
    คำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
    เจริญมรณสติอย่างนี้แล ฯ
    เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุเหล่า
    นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่
    ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำ
    สอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่ตลอดวันหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระ
    ทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า
    โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ครั้งวัน พึงมนสิการคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตมื้อหนึ่ง พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาบริโภคบิณฑบาตครึ่งหนึ่งพึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ และภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวได้ ๔-๕ คำแล้วกลืนกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ประมาทอยู่ เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะช้า ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
    เป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวคำหนึ่งแล้วกลืนกิน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี-
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ และภิกษุใด
    เจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า
    หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าไม่
    ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น แหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ประมาทอยู่ จัก เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษา
    อย่างนี้แล ฯ
     
  20. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
    เป็นอยู่ชั่วเวลาเคี้ยวข้าวคำหนึ่งแล้วกลืนกิน พึงมนสิการถึงคำสอนของพระผู้มี-
    พระภาค เราได้กระทำคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากหนอ และภิกษุใด
    เจริญมรณสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า
    หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าไม่
    ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น แหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ประมาทอยู่ จัก เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษา
    อย่างนี้แล ฯ

    <!-- google_ad_section_end -->

    สาธุ ขอนุโมทนา ครับ พี่จงรักักดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...