หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง กับ หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย modpong, 13 มีนาคม 2010.

  1. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]
    .....สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ผมเปิดกระทู้นี้มา เพื่อ แบ่งปันความรู้ เท่าที่ผมทราบ และ สัมผัสด้วยตัวเอง รวมถึงความรู้สึกผูกพันกับ ท่านอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ท้งสอง ที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องทั้งหลายต่อไปนี้ ผมจะ...ไม่....เขียนซ้ำรอยกับผู้อื่น(เว้นแต่ที่ ผมเขียน post เอง ในกระทู้ของสมาชิกท่านอื่น หรือ ในweb อื่น )
    .....ก่อนอื่นใดผมขอตั้งจิตสักการะต่อดวงวิญญาณหลวงพ่อทั้งสอง และขอกราบอนุญาตในการนำเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้อง นำมาเผยแพร่ เพื่อประกาศเกียรติคูณ คุณความดี ให้ท่านผู้สนใจ
    ทั้งหลายได้ทราบสืบไป หากมีความผิดพลาดประการใด ขอได้อโหสิกรรมให้กับผมด้วย..........
    .....................................................

    ก่อนอื่นผมขอแถลงให้ทราบว่า เรื่องราวต่างๆทั้งหลายเกือบทั้งหมด มาจาก พ่อของผม แม่ของผม และตัวผมเอง บางส่วน
    การอ้างอิง บางประการเกี่ยวกับ พ่อและ แม่ผม ไม่ได้ทำเพื่อยกยอกันเอง แต่เพื่อเป็นการยืนยันความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล......
    ......................................................

    พ่อผม (ปัจจุบัน ๙๔ ปี ) ไม่ได้เป็นคนเพชร แต่ช่วงหนึ่งของชีวิต ได้ไปรับราชการที่เพชรบุรี (ในยุคของหลวงพ่อทั้งสอง ) ตั้งแต่ประมาณปี ๒๔๙๓ พ่อผมไม่ได้เป็นคนสนใจ พระเครื่อง เครื่องรางของขลังใด แต่มีลูกอมปรอทร้อยเชือกคาดเอวไว้ เนื่องจากย่าให้มา ท่านมารับตำแหน่ง เป็นผู้บังคับกองพัน ร. ๑๑ พัน ๔ ที่มีที่ตั้งอยู่ที่ วังบ้านปืน(พระที่นั่งรามราชนิเวสม์) ซึ่งสมัยนั้นเป็นเขตทหาร ชื่อเสียงของพระเกจิอาจารย์ที่มีอาคมขลังที่สุดในยุคนั้น ที่เข้าหูพ่อมา ก็คือ หลวงพ่อศุข
    คือพูดง่ายๆว่า คนไม่ได้สนใจพระเลย ก็ยังรู้ัจัก ทั้งที่ในตัวเมือง
    มีอาจารย์ที่นักเลงพระในปัจจุับันรู้จักกันดี เช่น หลวงพ่อชิต วัดมหาธาตุ หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ อาจารย์แฉ่ง วัดคงคาราม และอีกมากหลาย ซึ่งหลวงพ่อทั้งหลาย ที่กล่าวมาต้องเป็นผู้สนใจเรื่องของขลังและลูกศิษย์ในแต่ละท่านเท่านั้น จึงจะรู้จัก ไม่นับรวมอาจารย์ต่างๆที่อยู่นอกเมือง ซึ่งผมไม่ได้เจตนาลบหลู่ในเกียรติคุณความดังและเข้มขลัง ของอาจารย์ตามชื่อที่ระบุมา แต่เป็นสิ่งที่คนไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้อย่างพ่อผมที่เล่ามา ว่ารู้จักแต่ชื่อเสียงของ หลวงพ่อศุข...................................................
    ....เรื่องนี้ ผมมาวิเคราะห์ดูถ้าจะจริงโดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้
    .......................................................................
    ๑. พันเอกพระยาทรงสุรเดช ( ดิ่น ท่าราบ ) หนึ่งใน สามผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี ๒๔๗๕ ซึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีอำนาจมาก เป็น ผู้นำระดับสูงของประเทศ เป็นคนเมืองเพชร ถ้าคนเพชรเห็นนามสกุลท่าน คงไม่แปลกใจ...เพราะ.....ท่าราบ...คือชื่อ...ตำบลหนึ่ง ที่อยู่ในอำเภอเมือง....และอยู่ในเมืองด้วย เขตที่ตั้งวังบ้านปืน ก็อยู่ในตำบลนี้ แต่ท่านเป็นผู้ที่เคารพนับถือและเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อศุข(...ต่อไปนี้ผมจะเรียก หลวงพ่อทองศุข...ว่าหลวงพ่อศุข ตามที่พ่อผมเรียก....) ท่านได้ชักชวน....พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ( พจน์ พหลโยธิน ) หัวหน้าของผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีใครที่มีอำนาจ และยิ่งใหญ่เท่าไปกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์และลงกระหม่อมด้วย และไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนหลวงพ่อหลายครั้ง
    เมื่อคนดังระดับนี้มาเมืองเพชร เรื่องปากต่อปากก็กระจายไปทั่ว
    เมืองเพชร แม่ค้าร้านตลาดในเมืองก็พลอยรู้จักไปด้วยว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้มาเมืองเพชรหลายครั้ง มาหาใคร.. เรื่องนี้คิดว่าหลายท่านก็คงได้รับทราบข้อมูลมาบ้างแล้ว ....แต่ผมนำมากล่าวในที่นี้เพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลประกอบในการวิเคราะห์.....
    .....................................
    ๒. ในช่วงตั้งแต่ประมาณปี ๒๔๘๐ ถึง ปี ๒๔๙๐ มีพิธีมหาพุทธาภิเษก ใน กรุงเทพ หลายครั้ง ซึ่งแน่นอนจะต้องมีการนิมนต์เกจิอาจารย์อาคมขลังยิ่งในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศร่วมปลุกเสกพระ ....และที่แน่ๆ จากเมืองเพชร ก็จะมีชื่อ อาจารย์ ๒ องค์ ที่จะไปร่วมเกือบจะทุกครั้ง ท่านแรกอวุโสกว่า
    และมีชื่อเสียงโด่ง ไปทั่วจังหวัดใกล้เคียง ของขลังท่านมี หลากหลาย ทั้ง ปลัดขิก พระขรรค์ และ ปิดตามหาอุตม์ ท่าน
    นี้ก็คือ พระครูอโศกธรรมสาร (หลวงพ่อโศก) วัดปากคลองบางครก อำเภอบ้านแหลม นั่นเอง......ส่วนอีกองค์ก็คือ.........หลวงพ่อศุขนั่นเอง ผมเองอ่านประวัติมาก็มีไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง แต่จำไม่ได้หมด ที่แน่ๆ ก็คือ ปลุกเสกพระกริ่ง และ แหวนมงคลเก้า ที่ วัดราชบพิธ และ ถูกนิมนต์ขึ้นเครื่องบิน
    ไปโปรยทรายเสก สมัยสงครามอินโดจีน.......
    ............แต่ก่อนถึงปี ๒๔๙๐ หลวงพ่อโศก ได้ มรณภาพลง
    ....หลวงพ่อศุขจึงเป็นผู้ถูกกล่าวถึงในอาคมขลังมากกว่าผู้อื่น.............
    ๓.การสาธารณสุขในส่วนนอกเขตเมืองสมัยนั้น แทบจะไม่่่มี ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลเมื่อป่วยไข้มากๆ ก็แทบหมดปัญญาที่จะมาหาหมอในตัวเมือง ก็ต้องพึ่งหมอยาพื้นบ้าน และ......พระหมอ....ซึ่งใกล้ที่ไหนก็ไปกัน....แต่ในบรรดาพระหมอที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ....หลวงพ่อศุข โดยเฉพาะพวก ผีเข้า
    ถูกของ บ้า วิกลจริต (พ่อผมเล่าว่า ครั้งแรกที่ไปวัดโตนดหลวง พอขึ้นไปบน ศาลาวัดเพื่อไปหาหลวงพ่อ ถึงกับตะลึง.....เพราะีมีคนไข้อยู่บนนั้นกระจายอยู่รอบๆ เ็ต็มไปหมด ส่วนใหญ่ต้องล่ามโซ่ไว้ และมีเสียงคำรามคลุ้มคลั่งระงมไปหมด
    ( ไม่ใช่ทารุณนะครับ หลวงพ่อเล่าให้พ่อผมฟังว่า พวกนี้คือพวกอาการหนักต้องรักษาต่อเนื่อง ทั้งกินยาหม้อ ยาเสก และ อาบน้ำมนต์ เลยต้องค้างกันอยู่ที่วัด และถ้าไม่ล่ามโซ่ไว้
    ก็จะอาละวาดวุ่นวายไปหมด ทั้งคืนทั้งวัน.........
    .........นี่แหละครับ โรค ดังกล่าวนี้ ต่อให้ไปหาหมอโรงพยาบาลในเมือง หมอก็หมดปัญญา ....ฉะนั้นขนาดคนอยู่ในเมืองใกล้โรงพยาบาลแบบเดินถึง ยังต้องพาคนป่วยไปหาหลวงพ่อเลย....ยังเหมารวมถึงจังหวัดรอบข้างด้วย....ท่านก็มีเมตตาเท่าเทียมกัน รับรักษาให้หมด......
    ..................................................................
    ทั้ง ๓ ข้อที่กล่าวมาท่านทั้งหลายคงหายสงสัยว่า ขนาดคนที่ไม่สนใจเครื่องรางของขลัง อย่างพ่อผมถึงได้รู้จักชื่อเสียงของ........หลวงพ่อศุข
    ..................ถึงตอนนี้ผมก็เมื่อยมือมากแล้ว........ที่ผ่านมาทั้งหมด.....บทเริ่มต้นเท่านั้น......แล้วบทหน้าก็จะถึง...ตอนที่พ่อและแม่ผมได้พบกับ...หลวงพ่อศุขครั้งแรก.....

    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  2. sareem

    sareem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +434
    บทความดีๆ ผมมาติดตามรับฟังนะครับ..
     
  3. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ................................................
    ..เมื่อได้พบ..อริยสงฆ์..แห่ง..เพชรบุรี..
    ................................................

    กลับมาแล้วครับ....ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณ คุณ SAREEM ที่ได้อนุโมทนามาให้ รู้สึกชื่นใจจริงๆ ที่ชื่นชมมา เป็นกำลังใจให้ผู้สูงวัยอย่างผม ( ๕๕ ปี แล้วครับ ) .............

    ผมขอเดินเรื่องต่อจากตอนที่แล้วเลยครับ หลังจากรับตำแหน่งแล้ว นอกเหนือจากงานนั่งโต๊ะ
    ซึ่งเป็นธรรมดา ของทหารหน่วยรบ คือ การฝึก และ ซ้อมรบ ตลอดจน ตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบ ก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา
    ที่วัดโตนดหลวง ทั้งที่ลูกน้องพ่อผมก็บอกว่าถ้าว่างเมื่อไหร่จะพาผู้พันไปกราบหลวงพ่อ แต่เนื่องงานเต็มมือ และเวลาราชการ คงไม่เหมาะ ช่วงเวลาแรกๆ ก็ยังไม่มีโอกาส
    ส่วนทาง...แม่..ก็เริ่มการทำงานในรูปแบบของสตรี คือ ในส่วนของงานกาชาดจังหวัดเพชรบุรี
    ร่วมประชุมวางแผน ทางด้านอนามัย และ สาธารณสุข ....ก็ได้รับการกล่าวขวัญถึง...หลวงพ่อศุข..จากบรรดาสตรี
    ที่ร่วมปฏิบัติงานด้วยกัน การทำงานของแม่ก็ต้องออกปฏิบัติในพื้นที่ชนบท และ ทุรกันดาร (สมัย ๖๐ ปีก่อน ออกนอกเมืองไม่ไกล ก็ชนบทแล้ว..) แม่ผมก็นึกในใจว่าต้องชวนพ่อไปกราบ..ท่านซักวัน จนถึงวันนึงอยู่ที่บ้านนั่งคุยกันถึงเรื่องนี้ พ่อก็เลยนัดแนะกับลูกน้องว่าเสาร์อาทิตย์นี้ให้พาไปกราบท่านหน่อย ข้อดีในการเดินทางก็คือ..รถประตำแหน่งพ่อ คือ..รถจี๊บ หนทางไปวัด สมัยนั้นต้องวิ่งผ่านท้องนา มีแต่ทางเกวียน ชาวบ้านเวลาเข้าเมือง ก็อาศัย
    รถไฟเป็นหลัก โดยขึ้นรถไฟที่สถานีใกล้สุดคือ....สถานีหนองศาลา เมื่อไปถึงตัววัด ก็ต้องมีเรื่องแปลกใจ คือ โบสถ์
    เล็ก (โบสถ์มหาอุด ซึ่งผมจะกล่าวถึง..ลักษณะิพิเศษในตอนต่อไป ) แต่ศาลาวัด...โอ้โห..เบ้อเริ่มเทิ่ม ซึ่งตามไสตล์วัดชนบท คือ..ยกพื้น..เมื่อขึ้นไปบนศาลา ก็สมเหตุผลตามที่ผมได้เล่าไปตอนที่แล้ว หลังจากกราบท่านแล้วทั้งพ่อและแม่เล่าให้ผมฟังเหมือนกันว่า ขณะที่ลูกน้องพ่อแนะนำให้ท่านทราบ...ระหว่างยังไม่ได้พูดอะไร ....เมื่อมองหน้าท่านมีความรู้สึกอบอุ่น...สงบ และสบายใจ คล้ายๆกัน เรียกว่า ประทับใจตั้งแต่แรกพบ หลังจาก ได้เริ่มพูดคุย ความจริง คือ..ถาม-ตอบ เพราะ....ท่านเป็นพระที่ถ้าไม่ถามท่าน ท่านก็จะนิ่ง ต้องถาม ท่านถึงจะตอบ
    และไม่ตอบยาว บางท่านอาจจะไม่ชอบ แต่พ่อเล่าว่านั่น...แสดงถึงสภาวะจิตของท่านที่....สงบ...ไม่ติดยึด และไม่
    หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าท่านละซึ่ง...กิเลส ซึ่งแสดงให้เห็นจาก สิ่งรอบข้างที่ท่านนั่งอยู่คือ.......ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ(ขนาดที่ ท่านมีคนมาทำบุญถวายปัจจัยมากมาย)...แม้ว่าข้อมูลที่พ่อได้รับฟังมาก่อนว่า ...อดีตท่านเป็นไอ้เสือมาก่อนแล้วมาบวช.........แต่แววตาท่านขณะนั้นอ่อนโยน ,อบอุ่น และ มีเมตตา.... ............
    ................หลังจากได้สนทนาซักพัก(ความจริงคือ....ช่วงการสนทนาไม่มาก ...แต่ช่วงนิ่ง...จะมาก) พ่อกับแม่ก็กราบลา่ท่านกลับบ้าน ระหว่างทางกลับ พ่อยังถามลูกน้องว่า ปกติท่าน เป็นแบบนี้รึเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า...แบบนี้ละครับ ปกติพูดกับคนอื่น...น้อยกว่านี้อีก
    ท่านทั้งหลายคงแปลกใจ ว่า อุตส่าห์มาหาหลวงพ่อทั้งที ไม่ยักขอของดีหลวงพ่อมาด้วย.....
    ....แต่ผมเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นแล้วว่า พ่อผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ความคิดที่มาหาหลวงพ่อ เพื่อแค่มากราบพระที่น่านับถือ....พ่อผมก็ดีใจอิ่มเอิบแล้ว........
    ..........หลังจากกลับถึงบ้าน ทั้งพ่อและแม่ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อหลวงพ่อกันเอง รู้สึกถึงความสุขของแต่ละคน
    ....รู้สึกถึงความเมตตาของท่านที่มีต่อชาวบ้านที่เื่ดือดร้อนป่วยไข้...การ ที่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านทั่วไป...การที่ไม่ยึดติดกับวัตถุ และ ลาภสักการะ ต่างๆ .....นี่แหละ...คือ..พระแท้...ที่น่านับถือ แค่ได้อยู่ไกล้ก็มีความสุขสบายใจแล้ว จึงปรึกษากันว่าหลังจากนี้มีเวลาว่างก็จะไปทำบุญกับท่านและไปหาท่านให้บ่อย ขึ้น .................. ....................................................
    ++++ข้้อความข้างล่างต่อไปนี้ผมไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดในตัวพ่อผมแต่จำเป็นต้อง เล่าเพราะเป็นส่วนเชื่อมโยงในความผูกพันของพ่อผม กับหลวงพ่อ...ซึ่งจะเชื่อมโยงต่อไปถึงความกรุณาอย่างยิ่งที่หลวงพ่อมอบให้ แก่พ่อผม......และต่อมาภายหลังจะแสดงให้เห็นถึง คุณวิเศษ , ความศักสิทธิ์ และตวามเข้มขลังในพุทธาคม ให้ประจักษ์ ....................................................................................................

    ......หลังจากนั้น พ่อกับแม่ ก็ได้มีโอกาศ ไปทำบุญกับหลวงพ่อที่วัด อีกหลายครั้ง และมีความคุ้นเคยมากขึ้น....ครั้งหนึ่งที่วัดขณะที่พ่อและแม่ผมได้ไปเยี่ยม และสนทนากับหลวงพ่ออยู่ พ่อก็เล่าให้ฟังในทำนองนี้คือ ท่าน
    เอง ก็มีหลานอยู่คนหนึ่งที่อยู่ที่เมืองเพชรนี่แหละ เป็นทหารยศนายสิบอยู่ใต้สังกัดพ่อผมเอง ซึ่งทำให้ท่านเองซึ่งควรจะหลุดจากทุกสิ่งได้ ต้องเกิด....นิวรณ์.....เพราะพฤติกรรม ผมก็จำชื่อแก ไม่ค่อยได้ แต่จำได้ลางๆว่าชื่อ.........อะไรทำนองนี้( ถ้าผิดพลาดไปกราบขออภัย และ อโหสิกรรม ต่อ หลวงพ่อ กับ หลานท่าน ด้วย )........สรุป...ผมเรึยกแกว่า...หลานท่านดีกว่า....หลวงพ่อท่านบอกว่า หลานท่านคนนี้ นิสัยมันแย่ ขี้เมา และ เกเร มาก และเป็น..นักเลงเต็มตัว มีเรื่อง กับ นายสิบด้วยกัน ตลอดจน คนนอกค่ายทหาร อยู่เนืองๆ จนถูกสารวัตรทหาร จับตัวส่งกรมกอง ถูกลงโทษ ตามกฏของทหารอยู่เนืองๆ มีพวกลูกศิษย์ที่เป็นทหารด้วยกันมาเล่า
    พฤติกรรม ท่านก็เรียกหลานมาอบรม ไม่นานก็กลับมาเหมือนเดิม เป็นอย่างนี้ประจำ ........
    ( ผมว่าอีกอย่างที่แกสามารถทำอย่างนี้ได้ตลอด ก็เพราะความที่เป็นหลานหลวงพ่อ ทั้ง สักยันต์ครูที่หน้าอก.....ลงกระหม่อม....ตะกรุดและสารพัด...มีด,ไม้,ปืน คงไม่ระคายอยู่แล้ว และจากข้อมูลที่พ่อทราบภายหลังก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...)
    ซึ่งทำให้หลวงพ่อเป็นห่วง ที่ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องต้องเดือดร้อน ผมว่าท่านไม่ได้กลัวเสียชื่อเสียงท่านหรอก คงอยากจะเห็นใครซักคนมากำราบ .........
    .......................................
    ผมว่าการที่หลวงพ่อขอให้พ่อผมกำราบหลานท่านอาจจะเนื่องมาจากสาเหตุดังต่อไป นี้.....

    ๑. หลวงพ่อท่านอาจจะสอบถามจาก ลูกศิษย์ ระดับนายทหาร ใต้บังคับบัญชา ของ พ่อผม ซึ่งแน่นอนว่า
    จะต้องตอบเหมือนกันว่า เป็นคนตรงแบบไม้บรรทัด , ดุ (ค่อนข้างมาก ) , ลูกน้องระดับนายทหารกลัวทุกคน
    ,ไม่กลัวใคร( จริงๆ...) , ยุติธรรม , ระเบียบวินัยเคร่งครัดมาก (พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า .....ทหารที่ไรัระเบียบวินัย
    นั่นแสดงว่า...สิ้นสุดการเป็นทหารแล้ว ) และซื่อตรง

    ๒. หลวงพ่ออาจจะตรวจได้ด้วย......ฌาน...ของท่านได้ว่า คนๆนี้สามารถจะกำราบหลานท่านได้

    และ ๓. การเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของกองพัน ที่หลาน ท่านสังกัด

    หลวงพ่อขอให้พ่อเป็นผู้อบรม บ่มนิสัย กำราบ หรือ ยังไงก็ได้ หลานท่าน ให้เป็น คนดี ซะที........
    พูดง่ายๆว่าขอฝากให้พ่อช่วยดูแล และ จัดการ..........

    ...เมื่อหลวงพ่ออุตส่าห์ขอขนาดนี้ พ่อผมก็รับปากและยืนยันว่าจะจัดการให้

    .....พอดีผมรู้จักระบบปกครองแบบทหารอย่างดี เพราะเป็นลูกทหาร........ที่พ่อผมไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน
    และไม่รู้จักหลานท่าน เพราะสายงานบังคับบัญชาจะมีขั้นตอน และเบ็ดเสร็จของตัวเอง กองพัน ๑ กองพัน ประกอบ
    ด้วย ๔ กองร้อย ( ๑ กองร้อย มี ๔ หมวด ) หลานท่าน อยู่กองร้อยไหน ผู้กองร้อยนั่นจะเป็นผู้รับผิดชอบ สามารถ
    ควบคุม ลงโทษ ได้เอง ฉะนั้นพ่อผมก็จึงไม่ทราบ
    ...........หลังจากนั้นพ่อผมก็เรียกหลานท่านมาอบรมและเรียกผู้บังคับบัญชา โดยตรงมาสอบถาม
    ซึ่งทราบจากพ่อว่าต้องให้มารายงานตัวเป็นระยะ และมีการอบรมหลายครั้ง ซึ่งในรายละเอียด พ่อไม่ได้เล่าวิธีการ
    ..........แต่ด้วยระยะเวลาไม่นานนัก หลานท่าน ก็ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดีขึ้น และคงที่
    ซึ่งหลวงพ่อก็ได้รับทราบในเวลาต่อมา พ่อแม่ผมก็ยังไปเยี่ยม และ สนทนา เมื่อมีเวลาว่างเหมือนเดิม.....................................

    ...โอ้โหวันนี้ เมื่อยมือมากเลยครับ และดึกมากแล้ว .......ผมจะกลับมาเล่าต่อในตอนต่อไป....ในตอนที่.....พ่อผมสักยันต์ครูกับ ท่าน...และ...การถ่ายรูปอย่างไม่เป็นทางการ( แบบสบายๆ )ของหลวงพ่อโดยพ่อผมในปี ๒๔๙๕......อย่าพลาดนะครับ....สวัสดีครับ
     
  4. sareem

    sareem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +434
    มาติดตามต่อครับ..ส่วนตัวผมชอบหลวงพ่อทองศุข กับหลวงพ่อจันทร์อยู่แล้วด้วยครับพอเห็นน้า(ผมขออนุญาติเรียกน้านะครับ)มาเล่าผมเลยชอบครับ..บังเอิญเมื่อปีที่แล้วผมได้ไปฝากตัวขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อองค์นึงที่เพชรเองครับพอดีหลวงพ่อองค์นี้ก็เป็นศิษย์ของหลวงพ่อทั้งสององค์ที่น้ากล่าวมาข้างต้นน่ะครับ
     
  5. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ขอบคุณอีกครั้งครับ....คุณ SAREEM ที่ติดตามเรื่องราว อย่างทันควัน..........
    ทราบว่า นับถือ หลวงพ่อทั้งสองมาก......ผมเลยขอคั่น เรื่องที่จะเล่าต่อ เพื่อที่จะส่งรูปนี้ให้ ซึ่งผมค้นเจอได้ ในWEB ซึ่งผมขอกราบอนุญาตเจ้าของเหรียญ และ ทาง WEB ใน ณ ที่นี้ เพื่อเป็นวิทยาทาน..และ ไม่เกี่ยวข้องกับ การค้าขาย ใดๆทั้งสิ้น เนื่องจาก ผมตรวจสอบ จาก WEB ทั้งหลาย ไม่มีใคร รู้ที่มาของเหรียญนี้จริง รวมถึง ไม่ทราบว่า พระ ๒ องค์ ที่ อยู่ หน้าเหรียญ ชื่อ อะไร เพียงแต่ทราบว่า เป็นของ วัดช้างแทงกระจาด...............................................
    .......พระองค์ซ้าย คือ เทพเจ้าแห่งแดนกระเหรี่ยงเพชรบุรี.....พระครูวชิรรังษี หรือ หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน........................

    .......พระองค์ขวา คือ อาจารย์ที่ยี่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ของพระองค์ซ้าย....และเป็นอาจารย์ที่ผลิต....ลูกศิษย์ ,หลานศิษย์ ที่เข้มขลังใน พุทธาคม เป็นที่ ประจักษ์ ทั่วไป ทั้ง เพชรบุรี และ ประจวบฯ มากที่สุด........พระครูพินิจสุตคุณ..หรือ หลวงพ่อศุข วัดโตนดหลวง.........................

    .......ผู้สร้างเหรียญ คือ ลูกศิษย์ ของ พระทั้ง ๒ องค์ ในเหรียญ ....พระครูโกวิทวัชรสาร หรือ หลวงพ่อเมี้ยน วัดหนองข้าวเหนียว จังหวัดประจวบฯ เจ้าของตะกรุดไผ่ตันกลางกอ ที่เป็นของหวงแหนของ คนประจวบฯ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดช้างแทงกระจาด ต่อจาก หลวงพ่อจันทร์..............( เหรียญนี้จึงเป็นเหรียญรุ่นแรกที่แท้จริง...ของหลวงพ่อเมี้ยน..ไม่ใช่เหรียญที่เป็นหน้าท่านที่มีระบุ ใน WEB ต่างๆ และถ้าสังเกตที่ชื่อของท่านในเหรียญ จะตกคำว่า....โก....ไป จึงอ่านเป็น .. พระครูวิทวัชรสาร...

    ผู้ปลุกเสก คือ หลวงพ่อเมี้ยนเอง และนำเหรียญ ทั้งหมด มาให้อาจารย์.........หลวงพ่อจันทร์ ปลุกเสกเพิ่ม พลังให้เต็มที่อีกครั้ง.......นี่คือเหรียญที่ท่าน สร้าง บูชาพระคุณอาจารย์ทั้งสองของท่าน....จากวัตถุประสงค์การสร้าง...ท่านคงคิดได้เองว่าจะมีความเข้มข้นเช่นใด
    .................เช่นเดียวกับ หลวงพ่อจันทร์ที่ปลุกเสกเหรียญที่มีรูปอาจารย์ท่านแรกของท่านและผู้เปรียบเสมือนพ่อของท่าน........จะมีความเข้มข้นขนาดไหน.......
    .....ผมได้รับเหรียญรุ่นนี้ จากมือ หลวงพ่อจันทร์เอง หลังจากการลงกระหม่อม เมื่อปี ๒๕๑๕ ที่วัดมฤคทายวัน ซึ่งจะกล่าวถึงอีกในรายละเอียด...ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากที่เล่ามา..อีกหลายตอน ต้องรอหน่อยครับ

    .........ที่ผมเอารูป และ ประวัติ มา ลงให้ เพื่อ คุณ SAREEM และ ผู้ที่เคารพนับถือ หลวงพ่อทั้งสอง ตลอดจนถึง หลวงพ่อเมี้ยน วัดหนองข้าวเหนียว ทราบข้อเท็จจริง ถ้ามีอยู่แล้ว อย่างเจ้าของภาพ หรือ ท่านทั้งหลายก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้ายังไม่มี
    ........ผมว่าหาเก็บไว้บูชาเถอะ ครับ...ราคายังไม่แพง (ความจริง...ถูก..) พุทธคุณคงไม่ต้องพูดถึง.....แต่อย่าถามที่ผม...เพราะยังไงผมก็........ไม่ให้........
    .....................................................................................
    ก็ขอลาไปก่อนช่วงนี้ ในตอนหน้า ผมจะกลับมาเข้าเรื่องเดิมเล่าตอนต่อไป ตามที่ระบุไว้...........สวัสดีครับ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2010
  6. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
    [​IMG]
     
  7. sareem

    sareem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +434
    อิอิอิ....น้าครับผมไม่ขอหรอกครับ..ไม่กล้าครับ..บังเอิญหลวงพ่อที่ผมบอกน้าไว้ว่าผมเอ่ยปากฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อเป็นองค์แรกของผมก็เป็นวัดช้างแทงกระจาดครับ..แต่เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้น่ะครับ..(หลวงพ่อแถมวัดช้างแทงกระจาด)..ผมรอเรื่องเล่าของน้าต่อนะครับ
     
  8. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
    มารออ่านครับ เล่าเร็วๆหน่อยครับ ผมจะยืนไม่ไหวอยู่แล้วครับ [​IMG]
     
  9. sareem

    sareem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +434
    น้าไปไหน..งานเยอะรึป่าวครับ
     
  10. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ............กลับมาแล้วครับ ขอบคุณทั้ง คุณ sareem และ คุณ tong5959 .......คือที่ผมต้องเขียนแล้วพักเป็น ระยะๆก็มาจากสาเหตุจาก วัยของผมที่นั่งนานๆไม่ค่อยได้....เมื่อยหลังครับ อีกอย่าง ที่เป็นสาเหตุที่ใช้เวลานาน เพราะผมพิมพ์ดีดแทบไม่เป็น....ขอสารภาพ....อักษรบางตัวที่ไม่ใช้บ่อย...ผมต้องใช้เวลาควานหานาน...แต่ก็พยายามให้ดีขึ้นครับ....ต้องขออภัยจากใจจริง............................................................
    ก่อนที่ผมจะเล่าต่อ.....ผมขอเพิ่มเติมใน ตอนที่เริ่มที่กล่าวถึง หลวงพ่อศุขที่ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกในช่วงปี ๒๔๘๐ - ๒๔๙๐ นั้น ขาดพิธีสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงนั้นไป ๑ พิธี ซึ่งผมว่าใช่แต่ไม่แน่ใจ กลัวให้ข้อมูลผิด จึงกลับไปค้น.....สรุป...ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ซึ่งขออภัยสำหรับผู้ที่ทราบอยู่แล้ว แต่คาดว่ายังมีอีกหลายท่านไม่ทราบ........พิธีพุทธาภิเษกรูปหล่อพระพุทธชินราชจำลองและเหรียญที่ วัดสุทัศน์ ในปี ๒๔๘๕ ที่เรียกว่า...ชินราชอินโดจีนนั่นแหละครับ....ซึ่งครั้งนี้เป็น ๑ เดียวจาก เมืองเพชร ร่วมกับคณาจารย์อีก ๘๐ กว่าท่าน โดยหลวงพ่อมีรายนามอยู่ในลำดับที่ ๔๑......ก็คงจะเรียกว่า...ระดับประเทศได้นะครับ..............
    ............................................................................
    กลับเข้าเรื่อง ต่อจากคราวที่แ้ล้ว ตอนที่พ่อผมยกครอบครัวมาที่เมืองเพชรในครั้งแรกนี้ ( มีครั้งที่ ๒ ครับ..และผมก็มาด้วย ) พ่อผมพาลูกสาวคนที่ ๒ มาด้วย ซึ่งอายุเพิ่งขวบกว่าๆเอง ตอนช่วงแรกๆที่ไปหา หลวงพ่อท่าน ทุกครั้งแม่ก็จะไปด้วยกัน มีบางครั้ง ที่พ่อแม่ผมพาพี่สาวไปด้วย
    พี่สาวผมนี่ซนมากเหมือนเด็กผู้ชาย (พ่อผมบอก...ผมเกิดไม่ทัน ) ในครั้งสุดท้ายที่พาไป ซึ่งผมคิดว่ายังงั้น....เพราะเกิดเรื่องขึ้น......................ระหว่างที่หลวงพ่อกำลัังพูด และทั้งพ่อแม่กำลังตั้งใจฟัง...พี่สาวที่ัยังเดินไม่แข็งและเดินไปเกาะพ่อที่เกาะแม่ที.....ก็วิ่งปราดเข้าไปหาหลวงพ่อ ขณะนั้นพ่อกับแม่ก็ดูแต่หน้าหลวงพ่อ ไม่ทันสังเกต...เพราะพี่สาวตัวนิดเดียว อยู่่นอกวงสายตา....ผมต้องอธิบายถึง ลักษณะตำแหน่งที่นั่งหลวงพ่อหน่อยครับ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ชานด้านบน ( ถ้าท่านไปวัดเก่าๆบ้านนอก ก็คงนึกออก ฆาราวาสนั่งด้านล่าง พระนั่งด้านบน ) แต่ระดับชานไม่สูงกว่าพื้นมากนัก หลวงพ่อท่านนั่งมาิชิดที่ขอบชาน ขาและเข่าเป็นจุดที่ใกล้ที่สุด.......อยางไม่คาดฝัน...พี่สาวผมตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วและเข้าไปกอดขาหลวงพ่อ....( ผมต้องอธิบายอีกครั้งว่า ระยะมันค่อนข้างใกล้ หลวงพ่อเองก็ไม่ทันสังเกตเช่นกัน พ่อบอกว่ามันเกิดขึ้นเร็วมาก....อีกอย่างหนึ่งทึ่ต้องนั่งค่อนข้างใกล้กันเพราะที่ผมบอกไปแล้วในตอนต้น ในศาลาีมีเสียงคนบ้าพูดและร้องเป็นระยะๆ รบกวนเสียงสนทนาตลอด..............ท่ามกลางความตกตะลึงของพ่อและแม่ เวลาทิ้งช่วงเป็น ๑ หรือ ๒ วินาที พ่อก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าพี่สาวกลับมา แต่แม่ที่นั่งอยู่เพราะทำอะไรไม่ได้( ไม่ใช่ทำอะไรไม่ถูก )ก็สังเกตเห็นหลวงพ่อก้มหน้ามองพี่สาวผม...แต่ท่านนิ่งมากและไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรจนถึงตอนที่พ่อลากพี่กลับมาที่ๆนั่งอยู่เดิม....ทั้งพ่อและแม่รีบกราบลงที่พื้นและขอโทษท่าน...ขอโทษในความสะเพร่าของตัวเองและขอโทษแทนลูกสาวด้วยที่จะทำให้หลวงพ่อมีมลทินในศีล.....แต่หลวงพ่อศุขด้วยความเป็นอริยสงฆ์และเป็นผู้ซึ่ง....ตัดแล้วในกิเลสทั้งปวง....ท่านกล่าวอย่างราบเรียบและอมยิ้มเล็กน้อย (ในทำนองนี้)ว่า
    มันเป็นเหตุบังเอิญ และตัวเด็กเองก็ไร้เดียงสา ในจิตใจเด็กบริสุทธ์ ไม่ทำให้ท่าน(หลวงพ่อ)มีมลทินใด แล้วก็ทั้งตัวเด็กและพ่อผมก็ไม่มีบาป อันใด ......เมื่อหลวงพ่อเอ่ยเช่นนี ทั้งพ่อและแม่ผมก็โล่งอกและซาบซี้งในความเมตตาและกรุณาของท่านอย่างที่สุด แล้วจึงกราบขอบคุณหลวงพ่ออีกครั้ง............ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้และสัมผัสได้ถึง..ความเป็นผู้หลุดพ้นจาก..กิเลส..สิ่งยั่วยุ...สิ่งเร้านานา....เข้าถึงความจริงในกฏและศีลของสงฆ์อย่างถ่องแท้...สมกับได้รับการยกย่องเป็นอรืยสงฆ์.............
    ...........................................................................
    ในช่วงในช่วงปี ๒๔๙๔ พ่อผมได้ลูกชายคนแรก ที่เกิดที่เมืองเพชร และเป็นคนเป็นเพชรแท้ คือ แม่ตั้งท้องที่เมืองเพชรด้วย พอพี่ชายผมอยุซักประมาณ ๑ ขวบ หรือ ขวบกว่าอะไรทำนองนี้ แม่ก็ปรึกษากับพ่อว่า
    หลวงพ่อท่านก็เป็นสุดยอดของการลงกระหม่อม คนใหญ่คนโตที่ไหนๆก็มาลงกับท่านทั้งนั้น เราเอาลูกไปลงบ้างดีกว่า พ่อก็ตกลง.........
    ..........เมื่อพ่อแม่ไปกราบท่านและแจ้งเจตนา.....หลวงพ่อก็ตอบรับอย่างดี........วิธีของหลวงพ่อไม่ได้ใช้ขมิ้นเสก หรือ อะไรต่างๆอย่างหลวงพ่อองค์อื่น( ความจริงผมไม่รู้หรอกเพราะไม่เคยไปลงกับสายอื่น....ที่บอกเช่นนี้เพราะตอนที่...หลวงพ่อจันทร์..ลงให้ผม ซึ่งพ่ออยู่ด้วย
    เล่าให้ฟังในช่วงเดินทางกลับจากวัด บอกว่า วิธีการ..รูปแบบ..เวลา..และวัสดุที่ใช้ เหมือนกัน...เป๊ะ..กับที่หลวงพ่อศุขลงให้พี่ชายผม ) หลวงพ่อท่านใช้.....ดินสอดำ..ธรรมดาๆนี่แหละ รูปแบบผมว่า น่าจะเป็น...ยันต์ครู...ที่ท่านทั้งหลายเห็นหลังเหรียญ หลวงพ่อศุขนี่แหละ..และใช้เวลานานหลายนาที ทีเดียว ......ซึ่งพี่ชายผมเกือบก็เจริญในหน้าที่ราชการอย่างดี และไม่เคยประสบอุบัติเหตุหนักจนร่างกายบาดเจ็บอะไรมาก่อนจนปัจจุบัน ( อายุ ๕๙ ) ...อ้อ..ลืมบอกไปว่าพี่ชายผม...ห้อยเหรียญหลวงพ่อศุขรุ่น ๒๕๐๐ ที่ด้านหลังมีชันนางโรงผสม...ชานหมาก..ของท่าน...แปะอยู่ด้านหลัง..ตลอดมา ( ซึ่งผมจะเล่าที่มาของ เหรียญชุดพิเศษ นี้ในตอนหลัง )...............................
    ................................................................................
    ...ในช่วงเวลานั้นมีการส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามเกาหลี....พ่อผมคนหนึ่งแหละที่อยากไป ไม่ใช่เพราะเงินเี้บี้ยเลี้ยงที่จะได้...แต่..พ่อผมเป็น..ทหารแท้....เรียกว่าอยู่จิตวิญญานเลย( แม้ในปัจจุบัน ) พ่อบอกความภูมิใจในการเป็นทหาร คือ ...การได้ออกรบ..และพ่อผมก็เป็นทหารราบ และอยู่หน่วยรบมาตลอด....พ่อก็เคยเกริ่นกับแม่.....................ทุกท่านได้เคยไปละแวกวัดโตนดหลวง(แทบทุกคน) หรือ แม้กระทั่ง ที่ท่ายาง และ ชะอำ ในยุคนั้น ถ้าเห็นผู้ชายที่ถอดเสื้อ เดินไปมา หรือทำกิจกรรมอะไรอยู๋ จะสังเกตเห็นที่เหนือราวนม ข้างขวา จะมี...ยันต์..ที่มีรูปแบบเหมือนกัน และขนาดใกล้เคียงกัน....คือความจริงมาจากที่เดียวกันหมด....ยันต์ครู...ของหลวงพ่อศุขวัดโตนดหลวง..
    ( มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ซึ่งผมถามพ่อว่า..พวกนี้เขามีคาดตะกรกตระกรุดอะไรใหม ....พ่อก็บอกว่าไม่เห็นมีอะไร...มีแต่ตัวโล้นๆ พ่อบอกว่า ชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ที่มาสักยันต์ เขามีความเชื่อมั่นในความศักสิทธิ์ใน..ยันต์..และตัวหลวงพ่อมาก มีอย่างเดียวก็พอ ไปได้ทุกที่ไม่ต้องกลัวอะไร และสมัยนั้นท่านก็ยังไม่ออกเหรียญอะไร ผมก็ว่าน่าจะจริงเพราะ
    วิถีชาวบ้าน เขาม่ชอบอะไรยุ่งยาก.. ลองคิดดูจะนอนกับเมียทีต้องมาคอยแกะเชือกถอดตะกรุด ดื่นเช้าขึ้นมา ต้องมาผูกตะกรุด ...เผลอๆออกจากบ้านไปท้องนา ลืมอีก ต้องวิ่งกลับบ้านไปเอา อย่าลืมว่าผมพูดถึงชาวบ้านทั่วไป.....ยกเว้นคนที่ไม่อยากเจ็บตัว..ไม่อยากสัก....ก็เลยต้องขอตะกรุดท่าน...........
    .................................................................................
    ....อย่าลืมว่าที่ผมเล่าให้ฟังในตอนที่ผ่านๆมาว่า พ่อผม(ขณะนั้น)ไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ แกเป็น..กล้าหาญ(ยิ่ง)และเชื่อมั่นตัวเองสูง และไม่เคยสักยันต์มาก่อน..(สมัยนั้นการสักยันต์ จะเป็นที่น่ารังเกียจ...และพ่อบอกว่า ตอนสมัครเข้า...โรงเรียนนายร้อยทหารบก( ชื่อ ในสมัยนั้น ของ โรงเรียนนายร้อย จปร.) จะถูกเปลื้องผ้าทั้งตัว ตรวจหา..รอยสัก..ถ้าพบก็หมดสิทธิ์...เพราะจะถูกมองว่าเป็น..นักเลง...) และทั้งพ่อกับแม่ผมก็ไม่เคย ขออะไรท่าน เว้นแต่เรื่องลงกระหม่อมพี่ชาย..................
    ...................แม่นี่เองแหละเป็นคนเริ่ม..คงเพราะความเป็นห่วงพ่อด้วยที่ทำอาชีพนี้ แม่ก็มาขอร้องพ่อให้พ่อไปสักกับหลวงพ่อ ทีแรกๆพ่อก็ไม่ไปเพราะพ่อไม่เห็นมีความจำเป็นอะไร จนแม่เอ่ยขึ้นบ่อยๆอย่างไม่ลดละ พ่อผมก็ใจอ่อนเห็นแก่เมียที่ไม่เลิกซะที...ผมว่าคงรำคาญด้วยแหละ......
    พ่อกับแม่ก็ไปหาหลวงพ่อเพื่อแจ้ง เจตนารมย์ ( ความจริงก่อนหน้าแม่....ลูกน้องพ่อก็บอกทำไมพ่อไม่ไปสักกับหลวงพ่อ..พ่อผมก็ไม่สน และยังเคยปรารภกับแม่้ด้วยซ้ำ...) หลวงพ่อก็นัดแนะวันที่จะสัก....
    ......เมื่อถึงวันสัก หลังจากพบหลวงพ่อท่านก็แจ้ง ว่าจะไปทำพิธีสักกันใน....โบสถ์ (อันนี้ผมจะเล่าเอง...เพราะไปดูมาเองเมื่อปี ๒๕๑๕) โบสถ์วัดโตนดหลวง ด้วยลักษณะเป็น โบสถ์ขนาดเล็ก และ แคบ ทรง...สอบ..(ส่วนช่วงฐาน กว้าง ส่วน บน....แคบ ) บัว ที่ฐานด้านนอก ตามความยาวโบสถ์ จะ แ่อ่นโค้ง แบบตกท้องช้าง หรือ เรียกตามภาษาศิลป์ว่า ทรง...สำเภา....ลักษณะตามที่เล่ามา แสดงให้เห็นถึง ยุคที่สร้างโบสถ์ได้ว่า อยู่ในยุค ...กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย...แต่ที่เป็น..พิเศษ...คือ ลักษณะที่เรียกว่า....โบสถ์มหาอุด...คือ ทั้งโบสถ์ มีหน้าต่างแค่ ..๒..บาน คือ ข้างละ ๑ บาน มีประตูหน้าเท่านั้น ไม่มีประตูหลัง จากการศึกษาของผมเองภายหลังและไปเห็นมาเองด้วย พบว่า ถ้า...โบสถ์มหาอุด..ที่ใหญ่ขึ้นมา จะไม่มีแม้กระั่ทั่งหน้าต่าง มีแต่ประตูขนาดใหญ่เท่านั้น ข้างในจะค่อนข้างมืด เพราะแสงเข้าทางประตูอย่างเดียว แต่ความหมายจริง ของชื่อ คือ พิธีการสร้าง การบรรจุ วัตถุศักสิทธฺ์ และการปลุกเสกโบสถ์ให้ศักสิทธิ์เป็นพิเศษ เนื่องด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างโบสถ์แบบนี้....เพื่อการประกอบพิีธีกรรมที่ศักสิทธิ์เป็นพิเศษ....เช่นการปลุกเสกเครื่องรางของขลังไว้รบทัพจับศึกยามสงครามเป็นต้น ....ซึ่งเชื่อได้เลยว่า การสักยันต์ และ การปลุกเสกของ..ในโบสถ์มหาอุดของวัดโตนดหลวง ย่อมเพิ่มความเข้มขลังขึ้น..แน่นอน).....................................................................
    ................................................พอพ่อเข้าไปในโบสถ์กราบพระประธาน หลวงพ่อรออยู่แล้ว ก็เริ่มขบวนการโดยพ่อถอดเสื้อออก...
    ...นั่งคุกเข่าพนมมือ...รายละเอียดย่อยๆผมคงไม่ได้กล่าวถึงเอาเฉพาะหลักๆครับ เริ่มที่หลวงพ่อนั่งบริกรรมคาถาเสก...หมึกสัก....พ่อบอกนานพอสมควรเหมือนกัน ก็ส่งหมึกให้พระลูกศิษย์ผู้ที่ทำหน้าที่ัสัก โดยมีพระลูกศิษย์อีกองค์เป็นผู้ช่วย .................ขอเบรคตรงนี้หน่อยครับพ่อเล่าว่า พระหนุ่มที่เป็นผู้สัก อายุประมาณ น่าจะไม่เิกิน ๓๐ ส่วนที่เป็นผู้ช่วยอีกองค์ หนุ่มกว่า น่าจะเป็นรุ่นน้อง คาดว่าเป็นแบบฝึกงานเตรียมพร้อมที่จะเป็นผู้สักสืบไป เหตุการณ์ผ่านมาประมาณ ๖๐ ปี เพราฉะนั้น พระหนุ่มทั้ง ๒ องค์ ปัจจุบัน น่าจะเป็นหลวงพ่อที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันองค์ใดองค์หนึ่ง หรือ อาจมรณภาพ ไปแล้ว ........................................................................
    ......................ก่อนลงมือสัก หลวงพ่อได้สำทับ กับ ลูกศิษย์ท่านว่า......อย่าสักโยมแรง....ผมเข้าใจว่า ท่านเข้าใจที่พ่อผมเป็นผู้ใหญ่และการที่พ่อเป็นนายทหารระดับผู้ใหญ่ของจังหวัด รอยสักเข้มๆอาจจะมองดูไม่ดี เวลาถอดเสื้อ ออกกำลังกายจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่น......เพราะเมื่อสักไม่แรง....รอยสักก็จะไม่เข้ม...มากเท่ากับปกติ....คงไม่ได้กลัวพ่อเจ็บเพราะท่านรู้ว่าพ่อผมเป็นคน...แบบไหน..
    ..........................ขณะสักซึ่งพ่อผมคุกเข่ายืดหน้าอก ก็ได้ยินพระหนุ่มที่ทำการสักบริกรรมคาถาไปโดยตลอด จนสักเสร็จ พ่อเล่าว่าความที่สักไม่แรงมาก พ่อเลยออกแนวจั๊กกะจี้มากกว่าเจ็บ.....ผมลืมบอกไปว่าใน โบสถ์ขณะทำพิธี มีแค่ พระ ๓ องค์ กับ พ่อ ผม เท่านั้น ....หลวงพ่อไม่ให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในโบสถ์........หลังจากสักเสร็จ หลวงพ่อ ก็เข้ามาบริกรรมว่าคาถา และเป่าที่รอยสักอีกครั้ง และมีพิธีอีกนิดหน่อย เป็นเสร็จพิธี แล้ว พ่อก็ออกไปสมทบกับแม่ แล้วก็ตามหลวงพ่อขึ้นไปสนทนาบนศาลาต่อ..............
    .............รอยสักยันต์ครูที่ ปรากฏบนตัวพ่อผมตั้งแต่จำความได้ ก็แปลกกว่า รอยสักของคนอื่น เพราะ...........สีมันไม่ดำปึ้ดอย่างคนอื่นสีมันเป็นน้ำเงินจางๆ ไม่น่า้เกลียด และไม่ขัดตา เหมือนกับที่หลวงพ่อสั่งให้สักเบาๆจริงๆ............................................
    ........ช่วงเวลาต่อมาเรื่อยๆเป็นสิบกว่าปี พ่อผมก็ได้ไปรบที่เวียดนาม..
    ในรุ่นที่รบกันหนักหน่วงที่สุด คือ กองพลเสือดำ ผลัดที่ ๑ พ่อก็เสี่ยงอันตรายหลายหน ( บางท่านสงสัยว่า เป็นนายทหารระดับสูงจะต้องไปเสี่ยงอะไร แต่ที่ผมอธิบายมาก่อนหน้านี้แล้ว พ่อผมชอบนั่ง ฮ.ฝ่าห่ากระสุนจาก ทั้ง อาก้า จรวด RPG เข้าไปที่ฐานที่ถูกล้อมเพื่อไป บัญชาการรบ หลายครั้งก็รอดมาอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่า เพราะ รอยสักรึเปล่า...เพราะพระห้อยคอ เข้าไปตั้ง ๘-๙ องค์ ล้วนแต่เจ๋งๆทั้งนั้น...แน่นอน ๑ ในนั้น ก็ เหรียญหลวงพ่อ ปี ๒๔๙๘ หลังชันนางโรงใต้ดิน (บางคนก็คงคิดว่า น้ามั่วรึเปล่า เขามีแต่หลัง...ครั่ง..............ฮะฮะ..พวกเอ็งนะเข้าใจผิดแล้ว...ต้องรออ่านตอนต่อๆไปแล้วจะรู้.......) แต่เหตุการณ์ก็นำมาถึงสิ่งพิสูจน์....อานุภาพแห่งรอยสักเมื่อ..........เหตุการณืผ่านไปอีก สิบกว่าปี พ่อผมมีหลานแล้วเป็นหลานสาว...มันเกิดที่...ศาลพระกาฬ ลพบุรี ขณะที่พ่อผมพาหลานสาว
    อายุ ๒-๓ ขวบ ให้อาหารลิงอยู่ดีๆ แม่ผมก็อยู่ด้วยแต่ยืนอยู่ห่างๆ อยู่ๆก็ไม่มีใครทราบเหมือนกันว่า....ทำไม...ไอ้ลิงตัวที่...ใหญ่ที่สุด(ตัวผู้)..ของศาลฯ วิ่งลงมาจากภูเขา(หรือซากปราสาท...)หลังศาลฯ ซึ่งอยู่ในรั้วศาล (คนที่เคยไปมา...คงนึกออก) มันตรงดิ่งเข้ามาหาหลานอย่างรวดเร็ว....พ่อรีบเอาแขนข้างหนึ่งคว้าเอวหลานมาไว้กับตัว แล้วยกแขนอีกข้างขึ้นกัน ...จังหวะที่.....ไอ้โก๋ (ชื่อของมัน ที่มาทราบจากแม่ค้าที่ขายของในศาล บอก ว่ามันเป็น ลิงเจ้าพ่อ หรืออีกนัย ว่า เจ้าพ่อลิง มีอำนาจสูงสุด ของลิงทั้งหมด นิสัย...เลว...เกเร...มีประวัติ กัดคนเหวอะหวะ เจ็บสาหัส เข้าโรงพยาบาล มาหลายคนแล้ว ) อ้าปากกว้างโชว์เขี้ยวขนาดใหญ่และยาวกว่า หมาเป็นสองเท่า ที่เหนือกว่าอื่นใดปลายเขี้ยวของลิงแหลมมาก.....(ขอบอกให้ทราบว่า ขนาดของไอ้โก๋นี่มันใหญ่กว่าหมาไทยหลังอานเยอะ) ...แล้วมันงับเข้าที่เหนือข้อมือพ่อประมาณ ๒ นิ้ว เต็มๆ....แม่บอกว่า พวกชาวบ้านที่มาศาลก็แตกตื่น...
    พวกแม่ค้าก็ถอยไปห่าง แล้วช่วยกันตะโกน ว่า....ช่วยด้วยๆไอ้โก๋มันกัดคน...ไม่กล้าเข้ามาใกล้หรือช่วยเพราะกลัวมันแว้งกัด ...ตอนก็เกิดรายการชักคะเย่อระหว่างลิงกับคน...ดึงกันไปดึงกันมา ( พ่อบอกว่ามันไม่ได้...กัดอย่างเดียว...แต่มันกระชากอย่างแรง คือกระชากถอยออกมาตรงๆ ไม่ได้ สะบัดข้างแบบหมา พอมันกระชากไป พ่อก็ดึงกลับ สู้กันอยู่อย่างนี้เป็นนาทีๆ ขณะมันกัดอยู่นี่...ทั้งแม่และชาวบ้านตะโกนยกมือยกไม้โบกไล่กันใหญ่....แต่มันไม่สน...เพราะความเก๋าของมัน พอเวลาผ่านไปซักพัก...ไอ้โก๋ก็อ้าปากคลายเขี้ยวโง้งของันที่งับพ่อผม....แล้วถอยไป ๒-๓ ก้าว แล้วจ้องหน้าพ่อผมแบบงงๆ นิ่งอยู่พัก มันก็หันหลังกลับกึ่งวิ่งกึ่งเดินแบบไม่รีบร้อนแต่รักษาฟอร์ม แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลับขึ้นเขาไปนั่งกอดอกทำไม่รู้ไม่ชี้ ( แม่บอกหลังจากวิ่งไปดูที่แขนพ่อแล้วหันไปมองมันด้วยความแค้น พอเห็นอาการที่มันแสดงออกแล้วน่า.....หมั่นไส้มาก แถมยังมี พวกตัวเมีย ๒ ตัว มาถอนเห็บถอนหมัดให้อีกต่างหาก...) พอไอ้โก๋หันหลังกลับวิ่งขึ้นเขา พ่อผมก็ยังเอาแขนอีกข้างกอดหลานอยู่อย่างนั้น.....แต่ทั้งแม่และชาวบ้านรีบวิ่งมาดูที่แขนพ่อเพราะคิดว่า....เละ...เหวอะ แน่นอนด้วยคมเขี้ยวไอ้โก๋.....ปรากฏว่า.....มีรอยช้ำแดงๆเป็นจุดเล็กๆ ๔ จุด ตามจำนวนเขี้ยวของไอ้โก๋ ( พ่อบอก เห้นเขี้ยวมันใกล้ๆแหลม...น่ากลัวมาก ) และรอยครูดเป็นทางแดงๆจากจุด (ผมยังเห็นได้หลังจากนั้น ๑ วัน ) ชาวบ้าน...งง..ต่างบอกกันว่าถ้าไอ้โก๋กัดนึ่...เละ แน่นอน พ่อผมก็ยิ้มๆแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลายคนมาขอดูว่า ห้อยพระอะไรแ่ต่พ่อผมไม่ให้ดู หลังจากที่กลับมาจาก ลพบุรี แม่ก็มาเล่าให้ผมฟัง ผมก็สัมภาษณ์พ่อแล้วก็ขอดูแขน หลังจากนั้น ก็ขอดูพระ ( ผมนี่ที่บ้านผม...เขาเรียกว่า ...เซียน...เพราะสนใจ และ เล่นพระมาตั้งแต่ เมืองไทยยังไม่มี หนังสือพระรายเดือน เดินเล่นสนามพระตั้งแต่มีอยู่แห่งเดียวที่ข้างวัดมหาธาตุ...) ที่พ่อผมห้อย...ปรากฏว่า วันนั้นพ่อห้อยไปแค่ ๓ องค์ เป็นพระประเภท เมตตาแคล้วคาดทั้งนั้น....ไม่มีองค์ไหนที่มีประสพการณ์ว่า....เหนียวเลย ที่แน่ๆวันนั้นพ่อไม่ได้ห้อย...เหรียญหลวงพ่อศุข ผมจึงสรุปให้พ่อฟังว่า ที่ลิงมันกัดแขนพ่อไม่เข้านี่มาจาก ...ุพทธคุณของ....ยันต์ครูหลวงพ่อศุข...ที่สักไว้.....แน่นอน ซึ่งพ่อก็เห็นด้วย ผมลืมบอกไปว่าลูกอมปรอทที่พ่อผมคาดเอวไว้ตอนที่อยู่เมืองเพชรนั้น พ่อเขาไม่ได้คาดแล้วก่อนหน้าที่ลิงจะกัด.............................................................................
    .................โอ้วันนี้ พิมพ์มายาวมาก กลัวจะโดนคุณ tong5959 ว่าเลย สมนาคุณให้........ต้องขอโทษ.....เรื่องถ่ายรูปหลวงพ่อศุขต้อง..ยกไปตอนหน้าละครับ......สวัสดี
     
  11. ภะควา

    ภะควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +435
    ผมมีรูปหล่อลอยองค์ของท่าน ขนาดค่อนข้างใหญ่ สูง 1.5 นิ้ว สีดำ ด้านหน้าเขียน หลวงพ่อทองสุข ใต้ฐานอุดครั่ง ไม่ทราบว่ารุ่นนี้ทันท่านหรือไม่ครับ สร้างปีไหนครับ
     
  12. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ผมขอบคุณอย่างยิ่งครับ....คุณภควา ที่ติดตาม...เรื่องเล่าของผม................
    ............
    ...................ถ้าไม่นับ...เหรียญของ....วัดเพรียง ๒๔๙๘
    .........เหรียญ ทั้ง ปี ๒๔๙๘ และ ๒๕๐๐(คนละ บล็อก กับปี ๒๔๙๘) ผู้ขออนุญาต และ จัดการ สร้างให้....คือ
    .....หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน ..........บล็อกแม่พิมพ์เหรียญ ปี ๒๔๙๘ ถึงได้อยู่
    กับ ท่าน และเอามาทำใหม่ เป็น เหร๊ยญของท่านแล้วแปะ....ชันนางโรงปั๊มพ์พระลีลาด้านหลัง ในปี ๒๕๐๐ ปลุกเสก ๑ รอบ แล้วให้ หลวงพ่อศุข ปลุกเสก ปิดท้าย อีกรอบ
    แล้วนำไปแจก
    ........และทั้ง ๓ ครั้ง ที่หลวงพ่อจันทร์ดำเนินการ ....ไม่มีการทำรูปหล่อครับ
    .....หลวงพ่อจันทร์ยืนยันกับผมเอง...ทำแต่...เหรียญอย่างเดียว
    .......และเหรียญ ปี ๒๕๐๐ คือ รุ่น สุดท้ายของท่าน
    ........... ฉะนั้น รูปหล่อที่ คุณภควา ถามผม ...............ไม่ทันท่านปลุกเสกครับ
    .................................
    ...................แต่ถ้าเป็นของแท้ .......ลูกศิษย์ ท่านเก่งๆ ทั้งนั้น ใช้ได้ไม่มีปัญหา
    ....ผมเข้าใจว่า....ปี ๒๕๐๓ ของวัดโตนดหลวง มีการสร้างรูปหล่อ ในยุค หลวงพ่อแผ่ว ของคุณ อาจเป็น ..รุ่นนี้ก็ได้ แต่ไม่ยืนยันนะครับ...................สวัสดี
     
  13. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
    ขอบคุณคร๊าบบบ [​IMG]
     
  14. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    อนุโมทนาครับ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆนะครับ หมดหลวงพ่อทองสุข ก็เปลี่ยนเป็นหลวงพ่ออื่นก็ได้ครับ เพราะอายุขนาดพี่นี่ ประสบการณ์ชีวิตเพียบแน่ๆ
     
  15. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ....ขอบคุณครับ คุณ TaTTy ที่สนใจประสพการณ์ของผม ...ครับ..ถ้ามีอันใดที่ผมคิดว่าน่าจะ พอเป็นประโยชน์ได้...ไม่ขัดข้องครับ..........
    .....ขอบคุณครับ...คุณอดุลย์ เมธีกุล ที่อุตส่าห์ post รูป หลวงพ่อศุข มาให้ จริงๆ ผมก็ลืมคิดไปว่า คนที่เข้ามาดูเขาอาจจะไม่ใช่ ผู้ที่รู้จักนับถือท่าน เขาก็เลยไม่ทราบว่า หน้าตาท่านเป็นยังไง ผมคิดเพียงว่า คนที่เข้ามาดูคงได้เคยเห็น
    ภาพท่านมาแล้วทั้งนั้น.....เพราะเป็นรูปที่แพร่หลายที่สุด........
    .....แต่บังเอิญสำหรับ คนที่ไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน จะไม่ทราบว่า ภาพต้นฉบับ.....เป็นภาพขาว-ดำ....ภาพนี้เป็นภาพที่ช่างใช้พู่กันป้ายสีไปบน..กระดาษอัดภาพอีกที เพื่อทำให้เป็นเหมือน...ภาพสี สมัยนั้น ไม่มีฟิลม์สีครับ มีแต่ฟิลม์ ขาว-ดำ ขออธิบายหน่อยให้คนรุ่นใหม่ได้คลายข้อข้องใจ....
    .......ภาพนี้เป็นภาพที่ท่านถูกบังคับถ่าย( หลวงพ่อจันทร์บอกกับผมเอง)....
    .............เป็นภาพหลังจากได้พัดยศ แต่งตั้งเป็น ....พระครูพินิจสุตคุณ.....
    แล้ว ลูกศิษย์ลูกหายินดีกับท่าน และ อยากได้รูปไว้เป็นอนุสรณ์.....ท่านก็จำใจยอม...เพื่อลูกศิษย์ หลวงพ่อจันทร์บอกผมไว้ทำนองนี้ ทำไม...หลวงพ่อจันทร์ทราบ...เพราะไม่มีใคร..รู้ใจ...รู้จัก..ท่าน...มากกว่า..หลวงพ่อจันทร์อีกแล้ว ทุกท่านที่มี..พระอาจารย์เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อศุข หรือ ท่านที่รู้จักหลวงพ่อที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อศุข....ไปถามท่านได้เลยว่าจริงหรือไม่... เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านพูด..ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งนั้นจริง.......
    หลวงพอจันทร์...ท่านบอกว่า คุณพ่อ( คำเรียกของท่าน ...เวลาเรียก หลวงพ่อศุข )ท่านละ แล้วซึ่ง...ลาภ...ยศ...สรรเสริญ ...นินทา...ท่านไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร...ท่านมีแต่เสียสละ.....เพราะที่ท่านไม่ชอบมากคือ พิธีรีตรอง.....และ การถูกถ่ายรูป......หลังจากหมดตอนของหลวงพ่อศุข ผมจะมาเล่าถึงความผูกพัน ของอาจารย์ และ ลูกศิษย์ ๒ รูป นี้ ต่อไป..............
    .............ตอนที่ผมเล่าไปครั้งนี้ถือ...เป็นตอนพิเศษ ...เพราะมีการ edit post
    รูป เข้ามาในข้อความผม.................

     
  16. sareem

    sareem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +434
    ครับผม...รอติดตามตอนต่อไปครับน้า
     
  17. ภะควา

    ภะควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +435
    คุณ Modpong ครับ แล้วรูปหล่อรุ่น 1 ที่หนังสือลง นี่ถึงยุคท่านไหมครับ โมทนาบุญที่นำเกร็ดเล็กๆน้อยมาเผยแพร่ ด้วยครับ
     
  18. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ........ขอบคุณท่านสมาชิกและผู้อ่านทั่วไปทั้งหลายที่สนใจ และติดตามมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้น.....ผมสังเกตจากเวลาเข้าboard ก็มีข้อมูลที่บอกว่ากำลังมี...บุคคลทั่วไปที่กำลังอ่านอยู่ในขณะเดียวกันอยู่บ่อยๆ....ดีใจครับ..และมีกำลังใจที่จะเขียนต่อไป........
    .........ผมมานั่งอ่านบทความผมเองอีกครั้ง...ช่วงตอนบอกว่า....ที่บ้านผมนี่เรียกผมว่า...เซียน....ผมว่าอาจมีคนเข้าใจผิดได้....ความหมายจริงๆคือ...ในครอบครัวของผม...นะครับ ไม่ใช่..แถวบ้านผม....ในครอบครัวผม....ผมเป็นคนที่..ชอบ..และ..สนใจพระ...และมีความรู้มากกว่า คนอื่นในครอบครัว...เท่านั้นเองครับ..อย่าเข้าใจผิด ผมสนใจมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๐
    และมี ..แว่นส่องพระอันแรกในปีเดียวกัน..โดยความจริงเป็น...แว่นที่เขาทำมาเพื่อ....ส่องแสตมป์....ความจริงช่วง ๕-๖ ปีหลังนี่ ผมก็ ..เฉยๆไปแล้ว...แต่ก็ยังไปยืนอ่านนิตยสารพระตามร้านขายหนังสือบ้าง(แต่ไม่ซื้อ)..
    หลังๆเวลาเข้ามาใน WEB พระหรือบทความที่เกี่ยวกับ...หลวงพ่อศุข..หลวงพ่อจันทร์แล้ว..หงุดหงิดครับ...เพราะข้อมูลหลายประการสับสนไม่ตรงกับความเป็นจริง....จำต้องออกจาก..ถ้ำ..มาแถลงไข..เพราะผมนับถือท่านทั้งสองมาก.....แต่นอกเหนือจากนี้บางอย่างก็ยังภูมิใจนะครับ.....เช่น
    ผมเคยนั่งมอง...หลวงปู่โต๊ะ...ปลุกเสกพระเครื่องในพิธีพุทธาภิเษกพระ..ในช่วงปี ๒๕๑๖ ในระยะประมาณ.....เมตร เวลานานประมาณ ๑ ชั่วโมงเต็มๆ..ประทับใจและยังจำติดตาจนทุกวันนี้............
    ..................................................................
    .....กลับเข้าเรื่องครับ...โม้เรื่องตัวเองเยอะไปหน่อย...ช่วงเวลาปี ๒๔๙๕ มีเหตุการณ์ ที่แสดงถึง....ความสูงส่งของ....ญาณ..และ..อภิญญา ของท่าน อันนี้..พ่อผม..ไม่เกี่ยว...แม่เป็นคนเล่าให้ฟัง และทุกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ ( สิบกว่าคน ) คิดและเชื่อเช่นเดียว กับ แม่ทุกคน.........
    .........วันหนึ่ง แม่ผม..คุยกับ บรรดาแม่บ้านนายทหาร...ที่เป็นลูกน้องพ่อผม หลายๆท่าน ( ซึ่งแม่ผมจะเป็น..ผู้นำ..ของกลุ่มนี้ ในการร่วมกิจกรรม บำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ) ว่า...เออพวกเราก็เคารพนับถือ หลวงพ่อศุขกันทุกคน หาเวลาตรงกันไปถวายอาหารเพลและทำบุญร่วมกันทั้งกลุ่มจะดีมั้ย....ทุกคนซึ่งรักกันสนิทสนมกันก็ดีใจและยินดีตกลง (คงทราบนะครับ..ธรรมเนียมไทยแท้..ทำบุญร่วมกัน..หมายถึงอะไร ) หลังจากนัดแนะตกลงวันกันแล้ว เนื่องจากต้องขนอาหารไปถวายพระ (ก็ทั้งวัดละครับ) ไหนจะมีของที่เอาไปทำบุญอีก และไหนจะการเดินทางไปวัดจากตัวเมืองเพชรที่ลำบาก ( ผมเคยเล่ามาแล้วในตอนต้น) แม่จึง ขอความร่วมมือจาก..พ่อ ขอยืม รถบรรทุกของทหาร ( เรียกกันว่า รถ ยี เอ็ม ซี )พร้อม พลขับ และ ผู้ช่วยพลขับ บรรทุกคน และ ของฯ ไป ทำบุญที่ วัดโตนดหลวง ซึ่งพ่อผมพิจารณาแล้ว เห็นว่า เป็นงานของกลุ่ม และเป็นงานบุญ ที่ทำกับ วัด และเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องใช้รถ เพราะจากสถานีรถไฟหนองศาลา ไปถึงวัดไกลพอสมควร เดินขนของกันไม่ไหวแน่ พ่อผมจึง..อนุมัติ.....(ที่ต้องเล่าเพราะ ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง และไม่ใช้อำนาจส่งเดช..เนื่องจากเป็นของราชการ...ถ้าแม่ผมขอไปใช้ส่วนตัว หรือ แม้แต่งานของกลุ่ม แต่ไม่ใช่งานบุญ หรือ สาธารณประโยชน์ ...ก็ไม่อนุมัติถึงแม้จะเป็น..เมีย..ตัวเองก็ตาม เพราะผมเคยเล่าไปแล้วว่า..พ่อผมเป็นยังไง ).....
    ........ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ....ยุคก่อน ปี ๒๕๐๐ นอกจาก จะไม่มีมือถือ....วัดเองก็ไม่มีโทรศัพท์แบบติดตั้ง การติดต่อไปทำบุญที่วัดวันนี้..วันนั้น นอกจากจะเดินทางไปที่วัดด้วยตัวเองแล้วบอกเจตนา..นัดวัน...กลับมาบ้าน แล้ว..รอ อีกวิธี นานกว่านั้นอีก คือ จดหมายโต้-ตอบ แถมไม่ชัวร์ด้วย เผลอๆ เลย อาทิตย์ หรือ ๒ อาทิตย์ (EMS ยังไม่เกิด..จ๊ะ) วิธีสุดท้าย..สูญพันธุ์ไปแล้ว...โทรเลข..ไงครับ ผมว่าคนที่อ่าน WEBBOARD ผม มีไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ ที่เคยส่งโทรเลขด้วยตัวเอง
    ...ข้อความส่วนหลายส่วนจะอ่านไม่รู้เรื่อง และ สับสน ยิ่งสมัยยุคนั้นยิ่งไปกันใหญ่( ลองไปถามคน อายุขนาดผม และแก่กว่าจะรู้ดี ต้องใช้วิธี..เดา..ประกอบเอา ) ....ที่ผมเอามาเล่า ถ้าคิดจะไป ภายในวัน สอง วัน ต้องวัดดวงเอา ไปหาเลย ถ้าอยู่ก็โชคดีไป....และที่แน่ๆ...ที่วัดก็ไม่รู้เรื่อง นั่นเป็นที่มาของเรื่องนี้....
    .............หลังจากเดินทางตามทางเกวียนผ่านท้องนามา....ระหว่างทางวันนั้น ก็ไม่้ทราบเป็น อะไร ไม่เห็นคนสวนมาเลย ( แม่ก็สอบถามพรรคพวก หลังเหตุการณ์ ทุกคนก็ยืนยัน ) คือตั้งแต่ วิ่งลงจากถนนเพชรเกษมมา.....ก่อนจะถึงวัด..หลายกิโล ก็เกิดเหตุ.....รถเกิดเสียเครื่องดับสตารท์ยังไง ก็ไม่ติด แถมรถอยู่กลางท้องนาเลย แดดก็แรง แม่ผมก็ร้อนใจกลัวไปไม่ทันถวายอาหารพระฉันเพล...ก็บอกน้องๆพรรคพวกว่าช่วยกันดูรอบๆ ถ้าเห็นชาวบ้านก็ให้ตะโกนเีรียกเขาให้มาหา หวังว่าจะให้ช่วยรีบวิ่งไปบอกหลวงพ่อ ว่าแม่กับพรรคพวกจะมาถวายอาหารหลวงพ่อกับพระที่วัดสำหรับฉันเพล ช่วยรอนิด ......รถเสียอยู่เดี๋ยวคงติด .......แต่ปรากฏว่า ตาสิบกว่าคู่ช่วยกันมอง.....รอบรถ ๓๖๐ องศา ....ไม่เจอใครเลย ทหารพลขับช่วยกันซ่อมยังไงๆ....ก็ไม่ติด ....และแล้ว...เวลาก็เลย เพล
    อากาศก็ร้อนมาก แดดเผาหลังคารถเป็นชั่วโมงรถ....ระอุไปทั้งคัน..ส่วนใหญ่ก็ลงมาจากรถมาอยู่ข้างล่าง เงารถมีอยู่บ้างก็ไปอ้ดกัน.....พอใกล้เที่ยง(หลายคนเริ่มบ่นหิว).....แม่ก็เห็น...เงาตะคุ่มๆเล็กๆ ๓ เงา มาจากทิศที่เป็นที่ตั้งวัด ออกจากแนวพุ่มไม้ฝ่าเปลวแดดมา รออยู่นานพอสมควรกว่าจะมาถึง ปรากฏว่าเป็นชาวบ้านหาบตะกร้าใส่อาหารมาเต็ม ทั้งสองปลายคานหาบ ทั้ง ๓ คน ชาวบ้านบอกว่า หลวงพ่อบอกให้เอาอาหารมาให้ เดี่ยวจะหิวกันแย่ แล้วยังบอกด้วยว่าให้กินข้าวกันก่อน..เดี่ยวรถก็ใช้ได้
    .....ปรากฏว่าทั้งหมดรวมกับ..แม่....งง...หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก....ต่างพูดกันว่า..หลวงพ่อรู้ได้ไง....ถามชาวบ้านๆก็ตอบว่าไม่ทราบ....
    ...........แม่กับพรรคพวกรวมกับพลขับสองคนก็เลยจัดการอาหารที่หลวงพ่อเอามาให้กันจนอิ่มแปล้...แล้วพลขับทั้งสองก็กลับไปซ่อมรถต่อ....แม่บอกว่า..เหลือเชื่อแป๊ปเดียว..ไม่กี่นาทีรถก็ติดใช้ได้ ...แม่กับพรรคพวกก็ต้อง ...งง..ต่อเป็นครั้งที่สอง...เพราะซ่อมเป็นชั่วโมงๆไมีมีทีท่าว่าจะติด....อยู่ดีๆกลับไปซ่อมแป๊บเดียวติด..แถมเหมือนอย่างที่หลวงพ่อบอกไว้เลย..........
    .............................................พอมาถึงวัดก็พาเข้าของที่เอามาขึ้นไปบนศาลาวัด ....ต้อง...งง...เป็นครั้งที่ ๓ เพราะชาวบ้านแถววัด อยู่บนศาลาวัดกันเยอะ......หลังจากกราบหลวงพ่อกันแล้ว หลวงพ่อก็ถาม ในทำนองว่า อิ่มกันแล้วนะ ลำบากกันหน่อย ...แม่ผมก็เลยถามหลวงพ่อท่านว่า หลวงพ่อทราบได้ยังไงว่าพวกแม่รถไปเสียอยู่ตรงนั้น.....
    ..............หลวงพ่อยิ้มนิดๆแล้วก็ไม่พูด.....แม่ก็รู้ตัวด้วยสัญชาติญาน.....จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา...แล้วท่านก็พูด...(ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า..แม่ผมก็สนิทและคุ้นเคยกับท่านเท่ากับพ่อ เพราะจะมาเยี่ยมหลวงพ่อด้วยกันทุกครั้ง) .......ปรากฏว่าอาหารที่จะเอามาถวายพระ ก็เลยได้ทำบุญเหมือนกัน เพราะเลยเที่ยงไปไม่นาน หลวงพ่อก็เรียกชาวบ้านที่อยู่ที่ยังไม่ได้ทานข้าว มากิน และ ส่วนหนึ่งก็ได้แบ่งให้คนไข้ท่าน กินด้วย ก่อนลากลับความสงสัยยังติดใจแม่ อยู่ แม่จึงถามชาวบ้านว่า มีใครเห็น..แล้วไปบอกหลวงพ่อรึเปล่า...(พรรคพวกแม่ ก็ถามชาวบ้านคนอื่นเหมือนกัน..คำตอบก็เหมือนกัน ) ว่า ....เปล่า...หลวงพ่อเรียกชาวบ้านมาเอาอาหารใส่กร้า แล้วให้เอาไปส่ง และก็ฝากเรื่องไปบอก(อย่างที่เล่ามาแล้ว)......งง..ครั้งที่ ๔ แม่ก็บอกชาวบ้านว่า พยายามจะหาคนไปบอกท่านเหมือนกันว่า รถเสีย..แต่ไม่รู้ไปไหนกันหมด เห็นมาอยู่ที่วัดกันนี่แหละ..
    ....ชาวบ้านบอกว่า ก่อนหน้า๑วัน หลวงพ่อบอกชาวบ้านให้ไปบอกคนอื่นด้วยว่า พรุ่งนี้จะมีพวกในเมืองเอาอาหารมาทำบุญที่วัด ทำนองว่าใครว่างก็มาช่วยกันหน่อย ( อันนี้เป็นธรรมดาของวิถี ของวัด กับ ชาวบ้าน ตามต่างจังหวัด ในยุคนั้น(ยุคนี้ก็พอมีเหมือนกัน..แต่ไม่เต็มที่)) .....แม่กับพรรคพวกก็เลย......งง...เป็นครั้งที่ ๕ หลังจากทำบุญถวายของแล้ว แม่กับพรรคพวก ก็ กราบลาท่าน ..กลับบ้าน....ระหว่างก็แน่นอนยิ่งเป็นแม่บ้านกันด้วย..ก็..ให้ความเห็นกันอีรุงตุงนัง...สรุปเหมือนกันว่า ด้วย ...ฌานที่สูงระดับท่าน...ก็คงไม่แปลกที่จะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เรื่องรถกลับมาใช้การได้ หลังกินข้าวแป๊บเดียว มันเป็นไปได้ยังไง ขนาดทหารพลขับก่อนกินข้าวบอกหมดปัญญาซ่อม..ช่วยกันยังไงก็ไม่ติด แล้วก็..เป็นไปดังคำที่หลวงพ่อบอก......
    ......ท่านทั้งหลายที่ได้รับฟังเรื่องนี้ก็ลองใช้วิจารณญาณกันเองว่า....
    เป็นอย่างไร..............
    ....สมควรที่ผมจะเอามาเล่าก่อนเรื่อง...ถ่ายรูปหลวงพ่อหรือไม่....(ความจริง...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...ผมลืมเรื่องนี้ไป...พึ่งนึกขึ้นได้...แต่ก็คิดว่าถ้าไม่เล่าเดี๋ยว ท่านจะได้รับทราบรื่องของหลวงพ่อไม่สมบูรณ์.......
    .....แต่ยังมีเรื่องของแม่อีกเรื่อง....ที่ยิ่งกว่านี้อีก....และท่านจะทราบว่า..หลวงพ่อศุขท่านมีพลังพุทธคุณที่ศักสิทธิ์และยิ่งใหญ่ อีกทั้งความเมตตาอันใหญ่หลวงต่อเด็กเล็กๆคนหนึ่งให้มีชีวิตปกติเยี่ยงคนอื่นได้......(แต่กว่าจะถึงก็อีกหลายตอนละครับ)..
    .................สวัสดีครับ..........
     
  19. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    พอดีวันนี้มีคนมาปล่อยในเว็บเพื่อนบ้าน ใช่รูปหล่อรุ่นนี้หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ก็ยินดีด้วยครับ ถึงท่านไม่ได้เสกก็มีอัฐท่านบรรจุอยู่
    http://www.siamamulet.net/phpboard/qb.php?Qid=269152
    ทานโทษครับอ่านละเอียดดูอีกทีของคุณ ภะควา สีดำ สูง 1.5 นิ้ว คงไม่ใช่รุ่นนี้แล้วล่ะครับ
    (ต้องขอโทษคุณ modpong ที่เข้ามาแทรกช่วงกำลังเล่าพอดี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2010
  20. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ขอบคุณ ...คุณภควาอีกครั้งที่ถามผมมา....
    .........ไม่ทราบว่า..ความหมาย ..ถึงยุค...ที่คุณถามถึง คือท่านปลุกเศกและทันอายุ ท่านหรือไม่ ตามที่ผมบอกไปแล้วครับ ท่านไม่เคยปลุกเสกรูปหล่อท่านเองครับ...............
    ....................................................
    ถ้าจะออกในงาน.... ฌาปนกิจหลวงพ่อ... ท่านอาจเป็นไปได้.....
    ............เหรียญ ครับ...เหรียญอย่างเดียว......ที่ท่านได้ปลุกเสก..หลวงพ่อจันทร์ยืนยัน....ผมก็ยืนยัน.......
    .............ฉะนั้นผมขอตอบว่า...
    ........ไม่ว่ารูปหล่อที่เป็นรูปหลวงพ่อศุขรุ่นไหน....ก็ไม่ถึงยุคท่านทั้งนั้นครับ...........................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...