An Inconvenient Truth : ไม่ดูไม่ได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 17 กันยายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    An Inconvenient Truth : ไม่ดูไม่ได้

    โดย วันชัย ตัน



    [​IMG]

    มีหนังสารคดีเล็กๆ เรื่องหนึ่งกำลังฉายอยู่ที่โรงภาพยนตร์สกาลา เรื่อง An Inconvenient Truth

    หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่อยากให้ช่วยกันไปดู ด้วยเหตุผลว่าเป็นหนังดีมีคุณภาพ ไปดูเพื่อให้กำลังใจผู้สร้าง

    แต่เป็นหนังที่ทุกคนต้องไปดู ไม่ใช่เพราะใครอื่น แต่ดูเพื่อตัวคุณ และลูกหลานของคุณเอง

    An Inconvenient Truth เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อน ที่ให้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงจุดจบของโลกใบนี้ในอนาคต ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี

    อัล กอร์ ผู้เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนนเสียงลึกลับในรัฐฟลอริดา เป็นผู้นำแสดงในหนังสารคดีเรื่องนี้ ได้ย่อยข้อมูลภาวะโลกร้อนจากหนังสือ ตำราหลายพันเล่ม ให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนผ่านคำพูดและภาพถ่ายผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในเวลาเพียง 100 นาที

    อัล กอร์ เป็นนักสิ่งแวดล้อมคนเดียวที่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด คือ รองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลนายบิล คลินตัน และเขาเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ.1997 เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

    แต่เมื่อประธานาธิบดีจอร์จ บุช ตัวแทนกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขึ้นครองตำแหน่ง เขาได้ทำในสิ่งตรงข้ามกับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด ได้ถอนตัวออกจากพิธีสารนี้ อ้างว่าต้องใช้งบประมาณสูงเกินไป

    ก่อนจะมาเป็นหนังเรื่องนี้ อัล กอร์ ได้ใช้เวลาหลายปีหลังจากเลิกอาชีพนักการเมืองเดินสายบรรยายไปตามโรงเรียน โรงหนัง หรือโรงแรมทั่วสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศไม่ต่ำกว่าพันครั้ง เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนเห็นถึงปัญหาความน่าสะพรึงกลัวของโลกร้อน

    จนกระทั่งในปี ค.ศ.2005 เมื่อเขาไปบรรยายที่ลอสแองเจลิส เขาได้จุดประกายให้กับผู้สร้างหนังบางคนว่า หากเอาการบรรยายของเขาไปทำเป็นหนังแล้ว น่าจะได้ผลในวงกว้างมากกว่าการเดินสายพูดแบบนี้

    ตอนแรกอัล กอร์ ไม่เชื่อว่าการบรรยายประกอบสไลด์ของเขาจะสามารถสร้างเป็นหนังสารคดีที่ไม่น่าเบื่อได้

    แต่เมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อต้นปีนี้ บรรดาผู้บริหารสตูดิโอในฮอลลีวู้ดต่างแย่งกันขอซื้อลิขสิทธิ์หนังไปจัดจำหน่ายทั่วโลก

    หนังเรื่องนี้เปิดฉากด้วยภาพของโลกที่ถ่ายจากยานอพอลโล ว่าโลกสีน้ำเงินของเรางดงามเพียงใด

    อัล กอร์ บอกเราว่า ชั้นบรรยากาศเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกใบนี้

    แสงจากดวงอาทิตย์ที่สองทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก นำความอบอุ่นมาให้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนความร้อนออกไปนอกโลกในรูปของรังสีอินฟราเรด แต่บางส่วนถูกดักเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกใบนี้มีอุณหภูมิพอดีสำหรับสิ่งมีชีวิต ไม่ร้อนเกินไปแบบดาวศุกร์ หรือเย็นยะเยือกเกินไปแบบดาวอังคาร จนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้

    แต่นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ได้ปลดปล่อยก๊าซต่างๆ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ในการคมนาคม โรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนถึงการเผาป่า ฯลฯ จนทำให้ชั้นบรรยากาศหนาขึ้น รังสีอินฟราเรดไม่สามารถสะท้อนออกนอกโลกได้เหมือนเดิม เกิดภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ นับแต่นั้นมา

    หนังได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก เริ่มจากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย เปรียบเทียบกับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก จนนักวิทยาศาสตร์ฟันธงว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป

    ภาพต่อไปเป็นภาพธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย

    น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย หล่อเลี้ยงผู้คน 40% ของประชากรทั่วโลก แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี คนเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง

    ภาพกราฟิกทำให้เราเห็นถึงอุณหภูมิความร้อนที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน

    ภาวะโลกร้อนได้ทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

    แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงถึง 6 เมตร

    กอร์ได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา

    ตอนนั้นกรุงเทพฯของเราคงจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง และบังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก ประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย

    อีกด้านหนึ่งกอร์ก็ได้เตือนพวกเราว่า แนวคิดที่บอกว่าโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น กำลังได้รับการท้าทายจากบรรดานักวิจารณ์ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในเชิงวิชาการ ให้ผู้คนได้ถกเถียงกันต่อไป

    แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับฝีมือของบรรดากุนซือของบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎี ไม่ใช่ความจริง เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่บริษัทผู้ผลิตบุหรี่พยายามทำให้คนเชื่อว่า การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งในปอดนั้น เป็นแค่ทฤษฎีไม่ใช่ความจริง

    เมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป

    ถึงตอนนี้กอร์ได้ให้ดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง เป็นรูปกบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว

    กอร์บอกเราว่า เรื่องโลกร้อนก็เช่นกัน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้

    มนุษย์ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างจากกบตัวนั้น

    สุดท้ายกอร์ตอบคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดว่า ถึงตอนนี้เราจะสู้กับปัญหานี้ได้หรือ

    กอร์บอกว่า ที่ผ่านมามนุษยชาติได้ร่วมแรงร่วมใจแก้วิกฤตการณ์ได้หลายอย่าง อาทิ การลดสารซีเอฟซี ทำให้ลดรูรั่วของชั้นโอโซนได้สำเร็จ หากวันนี้เราร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ให้เหลือเท่ากับเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เราจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้พร้อมกัน

    ในภาษาจีน คำว่า วิกฤต มีความหมายลึกซึ้ง เพราะเขียนด้วยตัวหนังสือคำสองคำติดกัน คำแรกมีความหมายถึง อันตราย คำที่สองมีความหมายถึง โอกาส

    โลกร้อนเป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ประเด็นข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์หรือประเด็นทางการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของมโนสำนึกของมนุษย์ทุกคนด้วยว่า เราจะพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสที่จะลงมือทำและฝ่าข้ามมันไปได้หรือไม่

    หนังเรื่องนี้จบลงด้วยสุภาษิตของคนแอฟริกันว่า

    "While you pray, move your feet"

    ....................

    พอออกจากโรง เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่า โชคดีที่อัล กอร์ ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป

    ผมถามหาเหตุผล

    "ตอนเป็นนักการเมืองก็งั้นๆ เป็นจอมทึ่ม แข็งโป๊ก และไร้เสน่ห์ แต่พอเลิกอาชีพนักการเมืองมาเป็นนักอนุรักษ์เต็มตัว เขากลายเป็นหนุ่มหล่อ เท่ น่ารัก มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที"

    ผมนึกถึงนักการเมืองบ้านเราขึ้นมาทันที







    ที่มา: มติชน
    http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01way03170949&day=2006/09/17
     
  2. jasminine

    jasminine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5,386
    ค่าพลัง:
    +22,313
    <embed style="width:400px; height:326px;" id="VideoPlayback" type="application/x-shockwave-flash" src="http://video.google.com/googleplayer.swf?docId=2078944470709189270&hl=en"> </embed>
     
  3. jasminine

    jasminine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5,386
    ค่าพลัง:
    +22,313
    ดีๆ ค่ะ ช่วยกันโปรโมท
    เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งหลาย เราทุกคนต้องช่วยกัน

    <TABLE class=tborder id=post308377 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">[​IMG] 30-08-2006, 01:46 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>julajark<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_308377", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:33 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 10 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 2
    Thanked 25 Times in 9 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_308377><!-- icon and title -->An Inconvenient Truth สารคดีกึ่งหนัง เหตุการณ์จริงเกี่ยวกับโลก ที่ไม่ควรพลาดชม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    เหตุการณ์จริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของโลกที่กำลังเผชิญอยู่ อัล กอร์ ผู้ซึ่งเคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกด้านหนึ่งนั้น เขาเป็นคนที่สนใจอย่างจริงจังในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เขาได้ออกเดินทางท่องไปทั่วโลก เพื่อนำเสนอผลงานที่ว่าด้วยเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ผลงานของเขาได้ชี้บอกข้อมูลที่ว่าในเวลานี้ มนุษยชาติต้องเผชิญหน้ากับอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น หรืออาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่จะติดตามมา

    ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการติดตามการเดินทางทั่วโลกของ อัล กอร์ เพื่อทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของโลก การสำรวจว่า อัล กอร์ เริ่มหลงใหลในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ผสมรวมเข้ากับเรื่องราวที่ว่าโลกก้าวมาสู่สภาวะที่เป็นอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร และที่สำคัญพวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง อัล กอร์ บอกว่านี่คือการรณรงค์ ไม่ใช่เพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง แต่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนทั่วโลกเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศ และเพื่อชี้หนทางไปสู่ทางออกซึ่งยังมีอยู่ แต่ต้องตอบสนองและลงมือกระทำอย่างเร็วที่สุด
    เข้าฉายแล้ววันนี้ ทั่วประเทศครับ
    **<!-- End -->
    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=post318369 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal">[​IMG] 11-09-2006, 01:39 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #2 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>julajark<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_318369", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:33 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 10 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 2
    Thanked 25 Times in 9 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_318369><!-- icon and title -->ไม่ได้โฆษณาให้เขานะครับ อยากให้ไปดู แต่แปลกใจจังเหมือนไม่ค่อยมีคนสนใจ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบเมื่อ: ศ. ก.ย. 01, 2006 11:55 am เรื่อง: An Inconvenient Truth</TD><TD vAlign=top noWrap>[​IMG] </TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>10 สิ่งกู้วิกฤตโลก

    คุณอยากทำอะไรเพื่อช่วยหยุดภาวะโลกร้อนบ้างไหม?
    นี่คือ 10 วิธีง่ายๆที่คุณทำได้เพื่อช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
    ที่เกิดจากการผลิตและการทำลายได้มากน้อยแค่ไหน

    เปลี่ยนหลอดไฟ
    หันมาใช้หลอดฟลูออเรสเซ็นท์ประหยัดไฟแทนหลอดแบบธรรมดา จะช่วยลดคาร์บอนฯ150 ปอนด์ต่อปี

    ลดการใช้รถ
    เดิน,ขี่จักรยาน,ใช้รถร่วม หรือ ใช้บริการขนส่งมวลชนบ่อยขึ้น ช่วยลดคาร์บอนฯได้ 1 ปอนด์/ไมล์

    เพิ่มการรีไซเคิล
    ใช้ของซ้ำอย่างคุ้มค่า ช่วยลดคาร์บอนฯได้ถึง 2,400 ปอนด์ต่อปี

    หมั่นตรวจยางรถ
    ปริมาณลมล้อที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า 3 % และทุกแกลลอนที่ใช้น้อยลงก็ลดคาร์บอนฯได้ถึง 20 ปอนด์

    ลดการใช้น้ำร้อน
    อาบน้ำร้อนให้น้อยลงและใช้ฝักบัวแบบประหยัดน้ำแทน ช่วยลดคาร์บอนฯได้ 350 ปอนด์ต่อปี
    ในการซักเสื้อผ้าควรใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ช่วยลดคาร์บอนฯได้ 500 ปอนด์ต่อปี

    เลี่ยงการใช้สินค้าที่มีหีบห่อหลายชั้น
    จะช่วยลดปริมาณขยะลงได้ถึง 10% ซึ่งจะลดคาร์บอนฯจากการทำลายขยะได้ถึง 1,200 ปอนด์

    ปรับแอร์ให้พอเหมาะ
    เพียงปรับลดอุณหภูมิขึ้น 2 องศาในหน้าหนาวก็ช่วยลดคาร์บอนฯได้ถึง 2,000 ปอนด์ต่อปี

    ปลูกต้นไม้
    ต้นไม้แต่ละต้นจะช่วยดูดซับคาร์บอนได้ถึง 1 ตันตลอดอายุของมัน

    ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์
    รับทราบข้อมูลและปฏิบัติตามได้ที่
    http://www.climatecrisis.net
    บอกต่อและชักชวนเพื่อนๆให้มาร่วมชม An Inconvenient Truth
    ประเทศไทยเป็นที่แรกในโลกที่นำเรื่องนี้มาฉายต่อจากสหรัฐอเมริกา
    เข้าฉายในเครือเอเพ็กซ์ 31 สิงหาคม 49


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=48469
     
  4. jasminine

    jasminine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5,386
    ค่าพลัง:
    +22,313
    <TABLE class=tborder id=post321322 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal"> เมื่อวานนี้, 02:21 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="FONT-WEIGHT: normal" align=right> #8 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 width=175>julajark<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_321322", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:33 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 10 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    Thanks: 2
    Thanked 25 Times in 9 Posts <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0[​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_321322><!-- icon and title -->ข้อมูลเพิ่มเติม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->AN INCONVENIENT TRUTH "มหันตภัยคุกคามโลก"
    กำกับการแสดง
    นำแสดง
    Davis Guggenheim
    Al Gore
    "
    สวัสดีครับ ผมชื่อ อัล กอร์ผมเคยเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐอเมริกา"
    (
    เสียงฮาลั่นในหมู่ผู้ฟัง)
    "
    ผมไม่เห็นตลกสักหน่อยเรื่องนั้น"

    นี่คือการแนะนำตัวอย่างน่ารักน่าเอ็นดูของอัล กอร์ ในฐานะวิทยากรกิตติมศักดิ์ที่ออกเดินสายแสดงสิ่งที่เขาเรียกว่า สไลด์โชว์กระตุ้นให้คนอเมริกันเกิดความตระหนักในมหันตภัยเงียบที่คุกคามความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิอากาศโลกซึ่งอาจหมายถึงการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในโลกในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้
    ความพ่ายแพ้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดต่อจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นบาดแผลฉกรรจ์ในชีวิตของบุรุษผู้เป็นรองประธานาธิบดีสมัย บิล คลินตันคนนี้
    ไม่ทันไรหลังจากนั้นเราเห็นบุรุษผู้เคยสง่างามรูปร่างสมส่วนขุนตัวเองจนอ้วนเผละผิดตาอย่างน่าตกใจในขณะที่ไปใช้ชีวิตเป็นอาจารย์พิเศษสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
    อาจจะไม่มีใครได้ทราบกันมากนักว่าในช่วงหกเจ็ดปีที่ผ่านมานี้อัล กอร์หันไปทุ่มเทให้แก่งานที่มีวัตถุประสงค์สูงส่งในความพยายามช่วยโลกให้รอดปลอดภัยจากภัยคุกคามครั้งใหญ่เท่าที่โลกเคยเผชิญมาในช่วงหลายแสนปีที่ผ่านมา
    อาจจะนับแต่ยุคอุกกาบาตยักษ์วิ่งเข้าชนโลกโครมใหญ่จนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาลในสภาพบรรยากาศและภูมิอากาศโลกและระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตอันมีผลทำให้สัตว์โลกล้านปีพลอยสูญพันธุ์ไปหมดก็ว่าได้
    แต่ในปี 2006 นี้เมื่อหนังสารคดีที่ได้รับรางวัลมากมายเรื่องนี้ออกฉายสู่สายตาสาธารณชนเราได้เห็นความพยายามที่แสนประเสริฐของเขาในหนังสารคดีเยี่ยมยอดที่ต้องบอกว่าดูสนุก ไม่น่าเบื่อสักนิดเดียวและน่าชื่นชมจริงๆ
    หลายคนอาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นแคมเปญหาเสียงของพรรคเดโมแครตและเป็นการโปรโมตตัว อัล กอร์ให้กลับมาผงาดใหม่ในวงการเมือง

    แต่ไม่ว่าจะเดโมแครต รีพับลิกัน ลิเบอรัลหรือสังกัดพรรคใด ฝักใฝ่ฝ่ายไหน เอียงซ้ายเอียงขวาหรือตั้งตรงโด่ประการใดก็ควรได้ดูหนังเรื่องนี้ทั้งนั้น ดังที่ อัล กอร์ กล่าวไว้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นปัญหาทางการเมือง แต่เป็นประเด็นทางศีลธรรมเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติยิ่งกว่าวาระเฉพาะหน้าอื่นใดทั้งสิ้น

    เป็นความพยายามที่ด้วยเจตจำนงแสนประเสริฐและน่าสดุดี

    จะเป็นเรื่องน่าเสียดายและน่าเสียใจเหลือเกินหากคุณจะตัดสินใจไม่ไปดูหนังเรื่องนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองเหม็นหน้า อัล กอร์ เนื้อหาหนักเกินไป นึกไปเองว่าหนังสารคดีน่าเบื่อและต้องการจะหลีกหนีที่จะได้รับรู้ความจริงที่จะมีผลต่ออนาคตอันไม่ไกลนักอย่างน้อยก็ในชั่วอายุของลูกหลานเราเอง

    ย้ำอีกทีว่าการนำเสนอสารคดีเรื่องนี้ทำได้ดีและน่าสนใจยิ่งไม่ได้น่าเบื่อเลยจนนิดเดียว

    ซึ่งเป็นความน่าอัศจรรย์ใจมากเพราะเป็นการนำเสนอด้วยวิทยากรหลักเพียงคนเดียว มี อัล กอร์ นำแสดงอยู่คนเดียวและเป็นเหมือนเล็คเชอร์ที่มีเนื้อหาน่าตื่นตาตื่นใจไม่ยากเกินเข้าใจ

    หรือจะว่าไป นี่ก็คือ "เดี่ยวไมโครโฟน" ของ อัล กอร์ที่มีอารมณ์ขันแพรวพรายแทรกอยู่ประปรายพอมีรสชาติไม่ให้คนฟังคนดูรู้สึกหนักสมองจนเกินรับได้



    นี่ไม่ใช่หนังสำหรับคนที่ชอบดูช่องดิสคัฟเวอร์หรือเนชั่นแนลจีโอกราฟิก หรือแอนิมัลแพลเน็ต เท่านั้น การนำเสนอด้วยโสตทัศนูปกรณ์และซีจีไอล้ำยุค พร้อมด้วยการวางจังหวะของเรื่องภาพและเนื้อหาที่น่าติดตามทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างผิดไปจากหนังเพื่อความบันเทิงทั้งหลายทั้งปวงเลย

    แน่นอนว่ามหันตภัยนั้นคือภาวะโลกร้อนซึ่งเกิดจากภาวะเรือนกระจกในบรรยากาศโลกซึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์เราเองที่เอาแต่ตักตวงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สะสมมานานนับล้านๆปี

    หนังนำเสนอด้วยภาพ การเปรียบเทียบ สถิติ กราฟิก การ์ตูน ฯลฯสลับสับเปลี่ยนเข้ามาให้น่าตื่นตาตื่นใจขอฉายหนังตัวอย่างสักหน่อยที่เป็นภาพงามที่ติดตา

    นับแต่ภาพ Earthrise หรือดาวโลกโผล่ขึ้นตามที่เห็นจากอวกาศนอกโลกเมื่อมนุษย์เดินทางออกสู่อวกาศเป็นครั้งแรกและมองเห็นโลกใบที่ตนเองอยู่อาศัย

    ภาพเปรียบเทียบภูเขาคิลิมันจาโรที่เคยมีหิมะปกคลุมยอดจนมาถึงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูเขานี้เหลือเพียงหิมะจับอยู่เพียงสายบางๆไม่กี่สาย

    ภาพการตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำตายของหมีขาวกลางทะเลอาร์กติกที่ละลายเกือบหมดจนเหลือก้อนน้ำแข็งลอยฟ่องอยู่ไม่กี่ก้อนกลางสมุทร

    ภาพภัยธรรมชาติที่ทวีกำลังคุกคามโลกมากขึ้นทุกปีเช่น เฮอร์ริเคนแคทรีนาที่ถูกภาวะโลกร้อนทวีกำลังความแรงให้เข้าโหมกระหน่ำนิวออร์ลีนส์

    และอันตรายจากน้ำท่วมโลกในระดับมโหฬารเหมือนครั้งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลขณะนี้มีผู้คนนับแสนอพยพหนีอุทกภัยกัน แต่หากเกิดน้ำท่วมรุกรานแผ่นดินเข้าไปมากๆจะต้องมีอพยพทวีขึ้นนับล้านซึ่งจะเป็นภัยพิบัติยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

    ต้องขอบอกว่ากรุณาอย่านึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องของเด็กเลี้ยงแกะที่ร้องว่า "หมาป่ามา"ให้ตื่นเต้นตกใจกันเล่นๆ

    ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยหากเราจะช่วยกันคนละไม้คนละมือช่วยถนอมรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ลดการบริโภคเชื้อเพลิงจากน้ำมันและถ่านหินหาพลังงานทดแทน

    และมีความตระหนักในความรับผิดชอบของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

    ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ในฐานะมนุษย์โลกที่จะช่วยกันเผยแพร่เนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับมหันตภัยแห่งภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามอนาคตของมนุษยชาตินี้ให้เข้าสู่ความตระหนักของผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ถ้าไม่คิดอะไร แค่ดูเอาไว้ประดับความรู้ก็ยังดี จะได้มองเห็นภาพใหญ่ภาพกว้างแล้วนำไปตัดสินใจปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตดูเอา

    ว่าเราจะทำอะไรเป็นการช่วยโลกที่เป็นเสมือนแม่ผู้ให้กำเนิดเราได้บ้าง

    เป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะได้ชมหนังรางวัลระดับนี้ในโรงภาพยนตร์และขอโฆษณาให้อีกนิดเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้สนใจว่า

    หนังจะฉายเฉพาะที่เครือเอเพ็กซ์สยามสแควร์ ในช่วงต้นเดือนกันยายนเป็นต้นไป ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ต่างจังหวัดคงต้องรอ วีซีดี หรือถ้าใครใจร้อนก็ลองตามไปโหลดตามลิงค์นี้ก่อน ขนาดไฟล์ค่อนข้างใหญ่ ต้องเน็ตเร็วและแรงจริงๆเท่านั้น http://www.blah3.com/article.php?story=20060619193452152<O:p></O:p>
    **ขออภัยที่โพสครั้งแรกบอกว่าฉายทั่วประเทศ **<O:p></O:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=48469
     
  5. พี่ป๊อป

    พี่ป๊อป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +19
    ไปดูมาแล้ว
    ขอบคุณสำหรับเวปแนะนำ
    http://www.climatecrisis.net ภาพสวยเพลงเพราะดี
    ส่วนเวปข้างล่างนี้ บรรจุข้อมูลของมหาวิทยาลัย http://iis-db.stanford.edu/ เป็นหลักเป็นฐาน
    http://www.climatechange.net/

    ดูๆ แล้วเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกะที่ UFO มาเตือนเรื่องน้ำท่วมโลกที่ฮือฮาตั้งกะปี 2000 (2543)
     
  6. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    สร้างอาคารแข่งกันเขียว ธุรกิจก่อสร้างมะกันตื่นโลกร้อน

    [​IMG]

    หลายคนที่กำลังฮิตกำลังอินกับภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงมหันตภัยและความน่าสยดสยองของภาวะโลกร้อนในภาพยนตร์เรื่อง "An Inconvenient Truth" ซึ่งนำแสดงโดยนายอัลเบิร์ต อาร์โนลด์ กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยรัฐบาลคลินตัน อาจกำลังอยากมีส่วนร่วมกับการลดปัญหาความเปลี่ยนแปลงของอากาศที่ไม่เป็นปกติกันมากขึ้นและให้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

    นิตยสารบิสซิเนส วีก เล่มล่าสุด ได้นำเสนอบทความที่กล่าวถึงการเข้ามามีส่วนร่วมและความสนอกสนใจในเรื่องของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการรักษาดูแลสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตจากบรรดาบริษัทหน่วยธุรกิจหลายแห่งในสหรัฐ

    คริสโตเฟอร์ พอลเมอรี่ จากบิสซิเนสวีก กล่าวถึงหน่วยงานเอกชนแห่งหนึ่งที่เรียกว่า "สภาอาคารสีเขียวแห่งสหรัฐ" (U.S. Green Building Council-GBC) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและให้ใบรับรองคุณภาพอาคารสำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้พนักงานประหยัดพลังงานและดูแลสิ่งแวดล้อม โดยกล่าวว่าองค์กรแห่งนี้มีก่อตั้งมานานกว่า 13 ปี และมีสมาชิกกว่า 6,000 ราย ตั้งแต่บริษัทสถาปนิกขนาดเล็กไปจนถึงบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่เช่น วอล-มาร์ต

    นอกจากนี้องค์กรแห่งนี้ยังมีการบริหารงานโดยใช้ระบบของ LEED (Leadership in Energy & Environment Design) ซึ่งเป็นระบบการจัดอันดับด้านอาคารที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม และมีสมาชิกขององค์กร 650 ราย ที่เคยได้รับการตรวจสอบและรับรองแล้วว่ามีอาคารสำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากที่สุด

    กระแสรักสีเขียว ซึ่งถูกใช้มาเป็นสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานการใช้พลังงานและดูแลรักษา สิ่งแวดล้อมของ GBC นับว่าเป็นมาตรฐานการรับรองคุณภาพที่ทำให้บริษัทออกแบบก่อสร้างในสหรัฐใช้เป็นจุดขาย เมื่อต้องเสนองานให้กับลูกค้า

    ข้อมูลจากบิสซิเนส วีก ระบุว่า มีสถาปนิกจำนวนมากต่างแข่งขันกันแย่งลูกค้า โดยใช้รายการการจัดอันดับการก่อสร้างอาคารที่ได้รับจาก LEED เป็นจุดดึงดูดลูกค้า โดยข้อมูลจาก GBC ระบุว่า มีอาคารสำนักงานกว่า 5% ในประเทศมูลค่าการก่อสร้าง 10 พันล้านเหรียญ ต่างควานหาใบรับรองประเภทนี้

    ส่วนการให้คะแนนของ LEED นั้นมีทั้งหมด 69 แต้ม เช่น หากสำนักงานใดจัดให้มีที่ล็อกและเก็บจักรยานสำหรับพนักงาน พร้อมมีห้องอาบน้ำเพื่อให้พนักงานที่ปั่นจักรยานมาทำงานสามารถชำระล้างร่างกายได้ ก็จะมีคะแนนให้ 1 แต้ม หรือสำนักงานที่ติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าโดยสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าที่สะอาดออกมา ก็จะได้ 3 แต้ม เป็นต้น

    โดยจะมีรางวัลเพื่อรับรองคุณภาพและแสดงสถานะอาคารที่รักษาสิ่งแวดล้อมมากที่สุด 4 รางวัล คือ ใบรับรอง รางวัลระดับเหรียญเงิน ทอง และแพลทินัม ซึ่งเป็นสุดยอดอาคารที่ได้รับการออกแบบที่เขียวที่สุดหรือรักสิ่งแวดล้อมที่สุดนั่นเอง

    "ใครๆ ต่างก็ต้องการบอกว่า พวกเขาออกแบบอาคารที่มีความเขียวและขายอาคารสีเขียวได้มากที่สุด ทุกคน" ริเวอร์ เทย์เลอร์ สถาปนิกจากบริษัทเจนสเลอร์กล่าว

    เป็นเรื่องน่ายินดีและน่าสนับสนุนอย่างยิ่งที่องค์กรเอกชนทั้งเล็กและใหญ่ต่างสนใจ กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและรู้จักใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมือนเช่น นิตยสารนิวส์วีกเมื่อกลาง ส.ค. ก็ได้รับ เสนอเรื่องเด่นประจำฉบับที่กล่าวถึงธุรกิจขนาดใหญ่กับหนทางสู่การสร้างสีเขียว และขอให้กระแสเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเข้ามาจัดการให้เป็นจริงเป็นจังเพื่อโลกที่น่าอยู่ต่อไป



    ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ
    http://www.matichon.co.th/prachachart/prachachart_detail.php?s_tag=02for05140949&day=2006/09/14
     
  7. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ทำกันแต่ปากครับท่านผู้ชม ปลูกป่ากันเป็นว่าเล่น หลายล้านต้นแล้ว ตั้งแต่ปี 2532 ผมก็ไม่เห็นมันได้ผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาเลย ถางป่าทำไร่ รานต้นไม้ให้ยืนตาย เข้าจับจองที่ทำกิน จนป่าไม้พินาศสิ้น มีที่เดียวที่มันทำไม่ได้ก็คือ บนภูเขา

    เอากันจริง ๆ ก็ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ไม้ให้เยอะ ๆ พอฝนแรกลงก็จัดการนำใส่กระสอบ แช่น้ำร้อนเร่งให้ปากมันเปิด นำขึ้นเครื่องบิน โปรยให้ทั่วไปในป่า บนเขาหัวโล้น ขอให้มันรอดเป็นต้นงอกสัก 20 เปอร์เซ็นต์ 20 ล้านเมล็ด มันก็จะได้สักกี่ต้นกํช่างหัวม้น ทำให้ทั่ว ๆ ไป เปลืองแค่น้ำมันเครืองบิน ไม่ถึง 5 % ของงบปลูกป่าที่เคยทำกัน แต่ได้ผลมากมายในป่าที่เราเข้าไม่ถึง

    มันก็ยังดีกว่านอนรอให้มันงอกขึ้นมาเองหรอก.......วะ ลองทำดูมั่งซี่.
     

แชร์หน้านี้

Loading...