ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. littlepopeye

    littlepopeye เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    อยากให้คนไทยรักกัน ศัตรูไม่ใช่คนไทยด้วยกันหรอก
    ศัตรูมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง อย่าไปหลงกลมัน มันจ้องจะทำลายชาติไทยมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว วิชาประวัติศาสตร์คงเคยเรียน
     
  2. สาว.ปีใหม่

    สาว.ปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +165
    กระทู้เก่าที่เคยได้อ่านและ ดีมากจากเว็ปพลังจิต

    ยังจำภาพนี้กันได้ไหม...อดีตอันเจ็บปวดของคิม ฟุค



    [​IMG]

    บทความจาก forwarded mail :​

    คิมฟุค" คือใคร ก็ลองหลับตานึกย้อนไปตอนสงครามเวียดนามซีครับ มีภาพอยู่ภาพหนึ่งที่เผยแพร่-โด่งดังจนได้รับรางวัลระดับโลก หนังสือพิมพ์บ้านเราก็ยังเอามาลงหน้า ๑ อยู่บ่อยๆ ​

    ภาพที่เด็กหญิงคนหนึ่ง เนื้อตัวล่อนจ้อน ตื่นตระหนกตกใจ ยืนร้องไห้อยู่กลางถนนคนเดียว ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของชาวบ้านที่แตกฉานซ่านเซ็นหนีตาย ท่ามกลางควันโขมงจากไฟระเบิดนาปาล์มของสหรัฐ ​

    คิมฟุ ค วันนี้ คือเด็กหญิงเหยื่อสงครามผู้ "บ้านแตก-สาแหรกขาด" ครั้งนั้น สิ่งเดียวที่ "คืนชีวิต" แท้จริงให้กับเธอ ณ วันนี้ คำเดียวสั้นๆ คือ ​

    " อภัย " วันนี้ผมมีเรื่อง "คิมฟุค" จากอินเทอร์เน็ตลอกมาเล่าสู่กันฟัง "คิมฟุค" คือใคร.เอาไว้ท่านอ่านดูเองแล้วกัน

    "คิมฟุค" คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย

    แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง ๖๕% ​

    เธอ ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้ง กว่าจะหายเป็นปกติ

    เธอยังโชคดี เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

    นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา

    ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย​


    [​IMG]


    แต่แล้ววัน หนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๓๙ คิมฟุคก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม

    เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

    การได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย

    และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า

    สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง ​


    [​IMG]


    หลังจากที่เล่า ถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า

    มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ ​


    [​IMG]

    พูดมาถึงตรงนี้ก็มี คนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า

    "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจุบัน และอนาคต" ​

    เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ

    เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า

    "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ"

    คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า

    "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิมฟุคเล่าว่า

    เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

    แต่แล้วเธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

    'ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้'

    เธอพยายามสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า

    'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด'

    เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้

    เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน

    แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา

    คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า 'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'

    บทเรียนของคิมฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต

    แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้

    บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่น นั้น

    ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการให้อภัยครับ..เป็นไงครับ

    ผมว่าแนวคิดเพื่อการบริหารชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ของเธอ มีเสน่ห์ น่าสนใจมาก และคนนำมาเรียบเรียงเขาก็เก่ง

    เป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับ ทุกการณ์ ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกบุคคล ท่านว่าอย่างนั้นไหมครับ? ​


    [​IMG]


    ..................................................................................................
    ขอบคุณเจ้า ของกระทู้ คุณสันโดษ สำหรับบทความดีๆ
    จากแหล่งที่มา


    http://palungjit.org/threads/%E0%B8...84.159088/
     
  3. k.pantang

    k.pantang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +44
    ==================================

    ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องตรวจตราตัวเอง ..... ตรวจดูในใจตัวเองว่า....

    เรามีความ โลภ... โกรธ... หลง.... อยู่ในใจเยอะแค่ไหน .....

    บางครั้งความพลัดพราก .... ความเศร้าโศกเสียใจ .... อาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่ง ... สูญเสียสติปัญญา ในการแก้ไขปัญหา เลยถูกเหวี่ยงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ มีผิดบ้างถูกบ้าง... ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ......

    บางกลุ่มก็กลัวจะสูญเสียอำนาจ .... มีมานะ ดูถูกดูแคลนว่า คนกลุ่มนี้ด้อยกว่าเขา เราจะทำอะไรก็ไม่ผิด ... เลยอ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อยืนยันในความเห็นของตนว่าถูก .... รักษาพวกพ้องไว้ แม้นว่าพวกพ้องจะทำผิด ก็ไม่ตัดสินลงโทษ ปล่อยเวลาออกไปเนิ่นนาน.... ทำให้เกิดการตัดสินที่เลือกที่รักมักที่ชัง ... เกิดขึ้น ...

    เมื่อใดที่ความโลภ .... โกรธ... หลง... เข้าบังตา เมื่อนั้นความวิบัติ ก็มาเยือน ....

    เหตุ เกิดที่ไหน ก็ต้องแก้ที่เหตุ ......

    ผิดก็ต้องยอมรับผิด ....ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ... กฏหมายถึงจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ ......

    พ่อหลวงท่านบริสุทธิ์ อยู่แล้ว .... แต่คนที่ทำท่านแปะเปื้อน ... คือ พวกเรา ท่านๆ เราๆ ข้าราชบริพาร ประชานชนของท่านทำเสียเอง ......... แล้วเราจะดึงชื่อเสียงท่านลงมาแปะเปื้อน ด้วยเหรอ.....

    หยุดเสียที .... หันกลับมาชำระใจตนเอง ... ตนเองทำอะไรผิด หัดยอมรับตัวเองเสียบ้าง ... ว่าตนเองเลวอย่างไร .... ทำคนอื่นเดือดร้อนแค่ไหน .... คนๆหนึ่งสามารถทำความเดือนร้อนได้มากมายมหาศาล ....

    ความร้อนภายนอก ไม่สู้ความร้อนที่เผาไหม้ภายในใจตน .... ได้เลย .... มีแต่จะเพิ่มความร้อนให้กระจายมากขึ้น ไปไหนที่นั่นก็มีความร้อน .....

    ก่อนที่จะทำอะไร ตัดสินใจ อะไร ก็ควรจะหยุดคิดก่อน .... ตรองดูว่ามันไร้สาระไหม .... หยุดทำเกราะกำบัง ป้องกันกิเลสตัวเองเสียที ......

    พุทธองค์ทรงสอนให้ ละเว้นความชั่ว .... ทำความดี .... ชำระจิตให้ขาวรอบ ...

    พระองค์ไม่เคยสอนให้ทำเกราะกำบังกิเลส เจ้าของเลยนะครับ .....มีแต่ทำลายทำลายกิเลสออกจากจิตจากใจให้หมด ...... ถึงแม้นว่าเราจะอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้ วิบากแบบนี้ ก็อย่าทำกรรมใหม่ ก่อเวรใหม่ ต่างคนต่างหยุด ความวิบัติ ก็ไม่เกิดรุนแรงแบบนี้ ..... ถือว่า วิบากที่เราเจออยู่นี้ มาจากกรรมที่พวกเราๆท่านเคยทำมา ....

    อดีต มีไว้ให้ลืม ... แต่จำไว้ให้มั่น ..... ถึงแม้เคยใหญ่มาแค่ไหน สุดท้ายในชาตินี้ ก็ต้องโดนอย่างนี้ แล้วจะยึดถือไว้ทำไม ..... หมั่นเตือนตัวเองเสมอ .... สุดท้ายเราก็ตาย ... แล้วเราจะมาสร้างกรรมอะไรแบบนี้ให้ตามไปถึงภพหน้าอีก..... เดี๋ยวเราก็ต้องไปตามแก้ ตามใช้อีก ไม่เบื่อบ้างเหรอ ....?????

    เราเห็นแบบนี้ยิ่งเบื่อหน่ายในโลกใบนี้มากขึ้น วัฏฏะสงสาร ช่างน่ากลัวเหรอเกิน ....


    ==================================
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ไซโคลนไลล่า อ่อนกำลังหลังคร่าชีวิตคนอินเดีย 26 ศพ

    [​IMG]

    พายุไซโคลนไลล่า อ่อนกำลังหลังคร่าชีวิตคนอินเดีย 26 ศพ ในพื้นที่ รัฐอานธรประเทศและทมิฬนาฑู...

    พายุไซโคลน “ไลล่า” อ่อนกำลังลงหลังพัดถล่มชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย ในรัฐอานธรประเทศและทมิฬนาฑู บ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ส่วนผู้ถูกอพยพกว่า 70,000 คนยังอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวต่อไปอีกระยะหนึ่ง

    ส่วนที่คอสตาริกา เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.2 ริคเตอร์ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อคืน 20 พ.ค. ศูนย์กลางอยู่ห่างกรุงซานโฮเซนครหลวงราว 60 กม. ทำให้อาคารบ้านเรือนสั่นไหวอย่างน่ากลัว แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือความเสียหายรุนแรง

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    พบซากเครื่องบินตกในอาฟกานิสถาน คาด 43 ชีวิตดับ

    [​IMG]

    พบซากเครื่องบินแอนโตนอฟ 24 ที่ประสบอุบัติเหตุ ตกภูเขาชาการ์ ดาราห์ ในประเทศอัฟกานิสถาน แล้ว คาด 43 ชีวิต ดับ...

    นายโมฮัมมาดุลเลาะห์ บาตาช รักษาการณ์ รมว.กระทรวงคมนาคมและการบินพลเรือนอัฟกานิสถานแถลงเมื่อ 21 พ.ค.ว่า หน่วยกู้ภัยค้นพบซากเครื่องบิน“แอนโตนอฟ24” ของสายการบินปาเมียร์ แอร์เวย์ส ซึ่งประสบอุบัติเหตุตกพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 43 คนตั้งแต่ 17 พ.ค.แล้ว ที่เชิงภูเขาชาการ์ ดาราห์ ห่างกรุงคาบูลไปทางเหนือราว 20 กม. โดยพบศพกระจัดกระจายปะปนกับซากเครื่องบินท่ีแหลกเละ และยังไม่พบผู้รอดชีวิต เครื่องบินลำดังกล่าวมีสภาพเก่าแก่ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอัฟกัน มีชาวอังกฤษ 3 คนและอเมริกัน 1 คนรวมอยู่ด้วย

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    ฮือฮา! สัตว์ประหลาดโผล่ ทะเลสาบแคนาดา

    [​IMG]

    พยาบาล 2 คนพร้อมสุนัข พบสัตว์ประหลาดตัวต็มไปด้วยขน หัวล้าน หน้าตาน่ากลัว ขณะเดินเล่นริมทะเลสาบในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา จึงถ่ายภาพมาลงเน็ต ขณะนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเป็นตัวอะไร...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ว่า พยาบาล 2 คน จากหมู่บ้านคิทเชนอูห์เมย์กูซิบ เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา พบสัตว์ประหลาด ขณะพาสุนัขออกเดินเล่นริมทะเลสาบ โดยสัตว์ประหลาดตัวที่ว่านั้น ร่างกายเต็มไปด้วยขน แต่บริเวณหัวล้าน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู

    โดยสุนัขของพยาบาล ได้กลิ่นผิดปกติบางอย่าง จึงกระโจนลงไปในทะเลสาบ และลากร่างสัตว์ประหลาดขึ้นมาบนโขดหิน พยาบาล 2 คนจึงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน และนำไปโพสต์ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งใช้ชื่อว่า 'มอนทอก มอนสเตอร์' พบโดย 'สุนัขชื่อแซม' หลังจากนั้นพยาบาลทั้ง 2 จึงตัดสินใจกลับมายังทะเลสาบอีกครั้ง แต่ร่างของสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวหายไปเสียแล้ว

    มีหลายความคิดเห็นถูกแสดงหลังภาพปรากฏ ซึ่งบางกลุ่มเชื่อว่าเป็นทั้งตัวนาก , ตัวชูปาคาบรา (ตัวกินแกะ/ตัวดูดเลือดแกะ) ซึ่งไม่มีระบุอยู่ในสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทางวิทยาศาสตร์ แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาสัตว์ป่าจะระบุว่า ตัวชูปากาบราเป็นสัตว์ในตำนานก็ตาม ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่มีข้อสรุปว่า สัตว์ประหลาดที่ปรากฏในภาพคือตัวอะไร

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พุทธพยากรณ์ที่เป็นจริง!!!

    [​IMG]


    ภัยธรรมชาติ ในปัจจุบันที่มีมากขึ้นจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นสึนามิ พายุชนิดต่างๆ เช่น ไซโคลน ทอร์นาโด เป็นต้น และการที่โลกร้อนขึ้นจนทำให้วัฏจักรต่างๆ ของธรรมชาติ รวมทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงไป มีโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อความลำบากและความอยู่รอดของสรรพชีวิตทั้งปวงนั้น ในพุทธศาสนาเองก็เคยมีพยากรณ์ไว้ตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์เองมี เช่น

    ใน “สุริยสูตร” มีการกล่าวถึงความพินาศของโลก เนื้อหาโดยสรุปคือ เมื่อกาลล่วงไป ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏขึ้น ทำให้แม่น้ำลำคลองเริ่มแห้งลง พอดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ และ ๔ ปรากฏขึ้น แม่น้ำลำคลองใหญ่เล็กทั้งสิ้น ก็แห้งลงหมด เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ น้ำในมหาสมุทรก็เหือดแห้งลง พอดวงที่ ๖ ปรากฏขึ้น ทั้งแผ่นดินและภูเขาก็ร้อนจัดมีควันพุ่งขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏขึ้นแผ่นดินและภูเขาทั้งหมดก็จะถูกไฟเผาลุกโชนและเปลวไฟนั้นพุ่งขึ้นไปถึงชั้นพรหมโลก โลกก็จะพินาศสิ้น

    คำพยากรณ์ข้างต้นนี้ อธิบายโดยใช้ความรู้สมัยใหม่ได้หลายทาง เช่น ดวงอาทิตย์ของเรามีอายุที่แน่นอน (แม้จะอีกนับพันล้านปี) แต่เมื่อใกล้จุดจบของดวงอาทิตย์จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์จากธาตุฮีเลียม ทำให้เกิดความร้อนสูงมาก และดวงอาทิตย์จะขยายตัวขึ้นจากเดิมเป็น ๑๐๐ เท่า (เสมือนมีดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น) และจะเผาไหม้โลกรวมดาวเคราะห์อื่นๆ ให้สูญสิ้นไป หรือคำอธิบายอีกทางหนึ่ง ที่อาจเกิดขึ้นได้ในเวลาใกล้กว่านั้น คือ โลกเราอยู่ในยุคที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจมี โลภะ โทสะ โมหะสูง หากทำสงครามกันด้วยระเบิดนิวเคลียร์นับร้อยลูก โลกทั้งโลกก็จะถูกเผา เสมือนมีดวงอาทิตย์นับสิบดวงได้เช่นกัน

    "สภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติในระยะนี้ อาจจะยังไม่ถึงเวลาตามคำพยากรณ์ในสุริยสูตร ซึ่งโลกจะพินาศไปหมด แต่น่าจะมาจาก พุทธพยากรณ์พระสุบินนิมิต ของพระเจ้าปเสนทิโกศล รวม ๑๖ ข้อ" นี่คือความเห็นของ นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนและพิมพ์หนังสือ "ธรรมะใส่สูตร" ทั้งนี้ นายโอฬารได้สรุปคำพยากรณ์สั้นๆ ทั้ง ๑๖ ข้อให้ฟังว่า

    ๑. ในอนาคต ผู้คนจะห่างเหินศีลธรรม ผู้นำไม่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม ทำให้เกิดธรรมชาติแปรปรวน

    ๒. ในอนาคตคนจะมีจิตใจต่ำทราม มั่วสุมเสพกาม ตั้งแต่ยังเยาว์

    ๓. ในอนาคตลูกจะไม่เคารพบิดามารดา พ่อแม่ต้องเอาใจลูก เพื่อให้ยังชีพอยู่ได้

    ๔. ในอนาคตคนมีอายุน้อย ไม่มีความสามารถจะมาบริหารประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย

    ๕. ในอนาคต ผู้ตัดสินคดีความต่างๆ ขาดความยุติธรรม เรียกร้องเอาเงินจากทั้ง ๒ ฝ่าย

    ๖. ในอนาคตคนไม่มีศีลธรรมเป็นอันธพาล เกเร แต่จะมีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง

    ๗. เป็นการพยากรณ์ สตรีที่เป็นภรรยาที่ประพฤติไม่ดีหลายประการ

    ๘. ในอนาคตผู้ปกครองจะบีบบังคับชาวบ้าน ในการใช้แรงงานต่างๆ เพื่อความมั่งมีผาสุก ของผู้ปกครองเอง

    ๙. ในอนาคต เมื่อผู้ปกครองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ผู้คนจะยากจนข้นแค้น ทำให้ต้องหนีเข้าป่าไป เมืองใหญ่จะร้าง

    ๑๐. ในอนาคตขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามจะสลายไป ผู้คนหยาบกระด้าง ไม่จริงใจ จ้องทำลายกัน และมีโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้น

    ๑๑. ในอนาคตจะมีภิกษุที่เป็นอลัชชีมากขึ้น คือ เห็นแก่ปัจจัยค่าตอบแทนต่างๆ ไม่แสดงธรรมที่ถูกต้อง

    ๑๒. ในอนาคต คนดีมีความรู้จะไม่ได้รับการยกย่องเชิดชู แต่คนเลว คนชั่วจะเป็นใหญ่เป็นโต กดขี่คนดี

    ๑๓. ในอนาคตคำสอนที่ดีๆ ในศาสนาจะไม่เข้าถึงจิตใจประชาชน คนก็จะเป็นคนพาล ประพฤติชั่ว แต่ก็ได้รับการยกย่องในสังคม

    ๑๔. ในอนาคตมนุษย์จะมีกิเลสตัณหามากขึ้น มุ่งแต่สะสมครอบครองวัตถุต่างๆ ไม่คำนึงถึงศีลธรรม

    ๑๕. ในอนาคตคนชั่วคนพาลแต่ตระกูลใหญ่โตจะครองเมือง ข่มเหงผู้รู้ นักปราชญ์ต่างๆ

    ๑๖. ในอนาคตลูกศิษย์ที่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนจนจบกลับจะเนรคุณอาจารย์

    "คำพยากรณ์พระสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ หลายๆ ข้อจะเห็นว่าอยู่ในแนวเดียวกัน คือ คุณธรรม ความดีงาม ของผู้คนทั้งประชาชน และผู้ปกครองจะน้อยลง คนเลวจะมาปกครองบ้านเมือง และนำความลำบากมาให้ ซึ่งดูจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันมาก เพราะแม้ภัยจากโลกร้อน และภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ก็ไม่ใช่เพราะดวงอาทิตย์ร้อนขึ้น แต่เกิดจากความเลว ไม่มีคุณธรรมของคนในโลก ทั้งประชาชน และผู้นำประเทศเป็นหลัก เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกัน เร่งทำลายธรรมชาติ จนเกิดสภาวะเรือนกระจก และภัยธรรมชาติต่างๆ ตามที่เห็นกันอยู่ ภัยพิบัติปัจจุบัน ซึ่งน่าจะตรงกับการพยากรณ์

    ความฝันทั้ง ๑๖ ข้อนี้ แม้จะยังไม่ทำให้โลกพินาศลงตามสุริยสูตร แต่ก็อาจทำให้ผู้คนล้มตายไปจากโลกนี้นับร้อยๆ ล้าน หรือพันล้านคนได้ ในอนาคตอันใกล้นี้ หากคนในโลกนี้ประมาท ลืมตัว ไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ในศาสนาใดก็ตาม ที่ตนนับถืออยู่อย่างจริงจัง" นายโอฬาร กล่าว

    ที่มา http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1652&sid=9513f7189d7ab727707efc08c052b44b
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294



    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เครื่องบินอินเดียตก ตายยกลำรวม 169 ชีวิต

    [​IMG]

    สยอง! เครื่องบินโดยสาร "แอร์ อินเดีย" ร่อนจอดเลยทางวิ่งสนามบินเมืองมังกาลอร์ ทางภาคใต้ ทำให้เครื่องบินเกิดระเบิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง คาดผู้โดยสาร-ลูกเรือตายยกลำ รวม 169 ชีวิต...

    เครื่องบินโดยสาร "แอร์ อินเดีย" พร้อมผู้โดยสาร 163 คน ลูกเรือ 6 คน รวม 169 ชีวิต ประสบเหตุร่อนลงจอดเลยทางวิ่งบริเวณสนามบินเมืองมังกาลอร์ ทางภาคใต้ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้เครื่องบินระเบิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง คาดว่าผู้คนบนเครื่องบินเสียชีวิตทั้งหมด

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    แถลงการณ์อาเซียนชี้ไทยคือเสถียรภาพที่สำคัญของกลุ่ม

    [​IMG]

    อาเซียนออกแถลงการณ์ระบุ ไทยคือประเทศที่มีเสถียรภาพที่สำคัญต่อกลุ่มประเทศ ในการไปสู่เป้าหมายประชาคมฯในปี 2015 ต่างกังวลถึงความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 พ.ค. สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ออกแถลงการณ์ว่า สันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาในไทยเป็นสิ่งสำคัญต่ออาเซียนซึ่งกำลังมุ่งไปสู่เป้าหมายการเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2015

    ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าว แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากมีการกล่าวถึงกิจการภายในของชาติสมาชิก ซึ่งแตกต่างจากนโยบายของอาเซียนที่จะไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของกันและกัน อีกทั้งในแถลงการณ์ยังได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงในไทย และกล่าวว่าชาติสมาชิกอาเซียนสนับสนุนชาวไทยและรัฐบาลไทยในการหาทางแก้ไข ปัญหาอย่างสันติ เคารพต่อหลักการประชาธิปไตยและฟื้นฟูหลักนิติธรรม

    แถลงการณ์ของกลุ่มอาเซียนมีขึ้นหลังจากแต่ละชาติสมาชิก เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ ลาว และนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในไทย ทั้งหมดได้เรียกร้องการเจรจาเพื่อแก้วิกฤติในไทย โดยเห็นว่าเสถียรภาพในไทยจะนำไปสู่เสถียรภาพของทั้งภูมิภาค

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    โจรใต้ป่วนโค่นต้นไม้ขวางถนน กดบึ้ม จนท.เจ็บ 5 นาย

    [​IMG]

    [​IMG]

    โจรใต้ป่วน! โค่นต้นไม้ขวางถนน ล่อเจ้าหน้าที่ออกตรวจ สบโอกาสกดระเบิด สะเก็ดปลิวว่อนถูกศีรษะ จนท.ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย พบหลุมลึกราว 2 เมตร คาดเป็นกลุ่มอาร์เคเค. ที่ยะลา ...

    เมื่อเวลา 06.40 น. วันที่ 22 พ.ค.จ.ส.อ.อลงกรณ์ เอวิโรธร ผบ.นปส.ที่ 47 ตั้งฐานปฏิบัติการที่บ้านปุโรง ต.ปุโรง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ได้แจ้งเหตุคนร้ายตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ขวางถนนสายบ้านปุโรง-บ้านหน้าถ้ำ จึงพร้อมนำกำลังพร้อมนายดาโอ๊ะ ดือราแม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ เดินทางไปตรวจสอบ

    ขณะใกล้ถึงจุดเกิดเหตุ ได้เกิดดังคล้ายระเบิดขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนกระจายไปถูก จ.ส.อ.อลงกรณ์, อส.ทพ.สุชีพ สายลำ, อส.ทพ.มงคล จันทร์คง, อส.ทพ.สุมิตร น้อยโคตร และนายดาโอ๊ะ ดือราแม ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ

    ต่อมา ร.ต.ท.สุทธิชัย คำมี ร้อยเวร สภ.กรงปินัง รับแจ้งเหตุจึง พร้อมพ.ต.อ.จุมพล เปรมศิริ ผกก.นายคฑารัตน์ ดาหา ปลัดงานป้องกัน อ.กรงปินัง สนธิกำลังรุดไปที่เกิดเหตุนำคนเจ็บส่ง รพ.ศูนย์ยะลา ปรากฏว่า คนร้ายยังได้ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ขวางถนนสาย 410 ยะลา-เบตง ทำให้ยานพาหนะทีใช้เส้นทางดังกล่าวติดเป็นแพ จึงได้ประสานผู้นำชุมชนและชาวบ้านช่วยกันชักลากต้นไม้ให้พ้นทางจนสามารถ ลำเลียงคนเจ็บไปถึง รพ.ศูนย์ยะลาได้

    ที่เกิดเหตุพบหลุมระเบิดลึกกว้างขนาด 1.5 x 2 เมตร สะเก็ดระเบิดตัดจากเหล็กเส้น เศษชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ กระจัดกระจายไปทั่วเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มแนวร่วมอาร์เคเค.พยายามสร้างสถานการณ์อย่าง ต่อเนื่องโดยวางแผนตัดโค่นต้นไม้หลอกล่อให้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วจุดชนวนระเบิดกับคลื่นความถี่วิทยุให้ระเบิดจนมีผู้ได้รับบาด เจ็บ 5 รายดังกล่าว

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2010
  8. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    กล่าวได้ดีขออนุโมทนาด้วยจ้า
     
  9. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย
    จะเกิดภาคไหนก็ไทยด้วยกัน
    เชื้อสายประเพณีไม่มีกัดกั้น
    เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-RIGHT: 0cm; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top>
    ขอให้คนไทย (สายเลือดไทย) รักกัน รักกัน ไว้นะ


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]ชาวไทยพุทธ กำลังอพยพ โดยมีทหารคอยคุ้มกัน.......ภาคใต้อยู่ไม่ได้จริงๆ ใครไม่ใช้พวกมัน มันฆ่าหมด


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    มีหลายรูปมากแต่ไม่สามารถนำมาลงได้เพราะรุนแรงเกิดไปจนหลายๆคน อาจจะไม่เชื่อว่าเกิดขึ้นในประเทศไทย


    หากคุณ..เป็นคนไทย สายเลือดไทย ...อย่าหยุดที่จะ forword ต่อไปให้คนไทย

    ได้สำนึกถึงแผ่นดินไทย เราจะปล่อยให้ ไอ้พวกนี้ ย่ำยี่ เราได้อย่างไร

    อย่าหยุดที่จะส่ง ต่อไป

    อย่าหยุดที่จะส่ง ต่อไป

    อย่าหยุดที่จะส่ง ต่อไป













    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "ความโกรธเกลียดต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง"

    [​IMG]
    [SIZE=-1]โดยพระไพศาล วิสาโล [/SIZE]
    จ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

    เหตุการณ์ร้ายแรงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายนที่ถนนราชดำเนินกลาง เป็นความสูญเสียของทุกฝ่าย รวมทั้งรัฐบาล นปช. และชาวไทยทั้งมวล ทุกคนเป็นผู้แพ้ หากความพินาศในวันนั้นเรียกว่าชัยชนะ มันก็คือชัยชนะของความโกรธเกลียดนั่นเอง ​

    ในขณะที่ทุกคนพากันชี้นิ้วกล่าวโทษผู้อื่น ตัวการที่แท้จริงกลับถูกมองข้ามและยังคงลอยนวลอยู่ได้ นั่นคือความโกรธเกลียด ความโกรธเกลียดผลักไสให้เรากลายเป็นศัตรูที่มุ่งจองเวรกัน ใช่แต่เท่านั้น ยิ่งโกรธเกลียดมากเท่าใด ก็ยิ่งชี้นิ้วส่งเสียงประณามผู้อื่นดังมากเท่านั้น จนลืมไปว่าความโกรธเกลียดในใจเราได้ผลักดันให้เรามีส่วนในการทำร้ายกันไม่โดยตรงก็โดยอ้อม

    ความโกรธเกลียดไม่เพียงทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น หากยังเป็นโทษต่อตัวเราเองด้วย เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจ นิสัยใจคอและพฤติกรรมของเราก็จะเปลี่ยน จากคนที่มีน้ำใจ พูดจาไพเราะ สุภาพอ่อนโยน ก็กลายเป็นคนจิตใจแข็งกระด้าง พูดจาหยาบคาย และกราดเกรี้ยว สาวสวยเสียงหวาน ทันทีที่โกรธเกลียด ก็พลันมีสีหน้าดุร้าย ส่งเสียงกระโชกโฮกฮาก พร้อมจะด่าทอผู้อื่น ลงมือทำร้ายผู้คน หรือสะใจกับการที่เขาถูกทำร้าย เป็นเพราะความโกรธเกลียดนี้แหละที่ทำให้คนซึ่งเคยมีไมตรีต่อกัน กลายเป็นศัตรูที่ห้ำหั่นกัน ทุบตีหรือประหัตประหารกันได้อย่างเลือดเย็น ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านกัน กลายเป็นปรปักษ์ที่กลุ้มรุมทำร้ายหรือประชาทัณฑ์จนเขาตายคาเท้า กล่าวอีกนัยหนึ่งมันทำให้เรากลายเป็นยักษ์มารไปโดยไม่รู้ตัว

    จริงอยู่เขาอาจเป็นคนชั่วคนเลว โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ แต่การทำกับเขาเช่นนั้น กลับทำให้เราห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไม่น้อยไปกว่าเขา ในขณะที่เราเห็นเขาเป็นเดรัจฉาน การกระทำเช่นนั้นกลับลดตัวเราเองให้ต่ำเท่าเขา หรืออาจต่ำยิ่งกว่าเขาเสียอีก ความโกรธเกลียดทำให้เราไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มักผลักดันให้เราทำลายความเป็นมนุษย์ของตนไปพร้อม ๆ กัน

    บางครั้งเขาไม่ได้ทำร้ายใครเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะเขามีความเชื่อทางการเมืองหรืออุดมการณ์ต่างจากเรา หรือเพียงเพราะเขาใส่เสื้อคนละสีกับเรา นั่นก็มากพอที่เราจะเห็นเขาเป็นคนเลว เพราะสรุปล่วงหน้าแล้วว่า ความเชื่อ อุดมการณ์ หรือเสื้อสีนั้น มีแต่คนเลว ไม่รักชาติ นิยมเผด็จการ เท่านั้นที่สมาทานหรือสวมใส่กัน แม้เราไม่รู้จักเขา แต่เพียงเพราะเขาสังกัดกลุ่มก้อนหรือสถาบันที่เราไม่ชอบ นั่นก็มากพอแล้วที่เราจะตราหน้าว่าเขาเป็นคนเลว แม้โดยเหตุผลเราจะรู้ว่าเพียงแค่มีความเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนเลวได้ แต่ในระดับของอารมณ์ การที่เขาสมาทานอุดมการณ์ที่เราไม่ชอบ หรือสังกัดกลุ่มก้อนที่เราเกลียด มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้เราชิงชังเขา เพราะอยู่คนละพวกกับเรา และดังนั้นจึงเห็นเขาเป็นคนเลวได้ไม่ยาก ก็ในเมื่อเรายืนอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องเป็นธรรม เขาซึ่งอยู่คนละพวกกับเราก็ต้องเป็นฝ่ายอธรรมอย่างแน่นอน

    แต่มันไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อเขาเป็นฝ่ายอธรรม เราซึ่งเป็นฝ่ายธรรมย่อมมีความชอบธรรมที่จะจัดการเขาอย่างไรก็ได้ เหตุผลก็คือคนเลวอย่างนี้จะปล่อยให้อยู่รกโลกไปทำไม ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะด่าว่าเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายที่สุดเท่าที่จะสรรหามาได้ พร้อมจะใส่ร้ายป้ายสี โกหกหลอกลวง หรือทำร้ายเขา แต่ยิ่งเราทำเช่นนั้นกับคนที่เราติดป้ายว่า “เลว” มากเท่าไร เราก็กลับกลายเป็นคนเลวเสียเอง อาจเลวยิ่งกว่าเขาก็ได้ ใช่หรือไม่ว่า “เทพ”ที่พร้อมจะใช้วิธีการใดก็ได้เพื่อจัดการกับ “มาร” ในที่สุดแล้วลงเอยด้วยการกลายเป็น “มาร”เสียเอง จะว่าไปแล้ว เส้นแบ่งระหว่างเทพกับมารนั้น บางมาก เพียงแค่เผลอให้ความโกรธเกลียดครองใจ เทพก็กลายเป็นมารได้ง่าย ๆ มีผู้กล่าวอย่างน่าฟังว่า เมื่อใดก็ตามที่เราต่อสู้กับอสูรร้าย จงระวังว่าเราจะไม่กลับกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง

    ความโกรธเกลียดเมื่อเกิดขึ้นกับใคร มันจะผลักคนอื่นให้อยู่ห่างจากเรา โดยเฉพาะคนที่เราโกรธเกลียด แม้ว่าคนนั้นจะเป็นสามีหรือภรรยาของเรา เป็นพี่น้องของเรา หรือแม้แต่เป็นพ่อหรือลูกของเรา ยิ่งเป็นคนที่ห่างไกลกันอยู่ก่อนแล้ว มันยิ่งผลักเขาไปให้ไกลกว่าเดิม แต่น่าแปลกว่ายิ่งห่างไกลกันเพราะความโกรธเกลียด ทั้งสองฝ่ายกลับมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง มีนิสัยใจคอคล้ายกัน มีมุมมองคล้ายกัน มีพฤติกรรมคล้ายกัน ราวกับเป็นกระจกเงาของกันและกัน กล่าวคือต่างมองเห็นว่าฉันถูก แกเลว เหมือนกัน ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเหมือนกัน กราดเกรี้ยวเหมือนกัน รวมทั้งลอกเลียนแบบการกระทำเหมือนกัน เช่น ใส่ร้ายป้ายสี หรือใช้วิธีการเดียวกัน (บุชและบินลาเดน แม้จะอยู่ขั้วตรงข้ามกัน แต่กลับมอง คิด และทำคล้ายกัน เช่น กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นมารเหมือนกัน เชื่อว่าพระเจ้าอยู่ข้างตนเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างโจมตีซึ่งกันและกันว่าฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่แล้วก็ต่างทำอย่างเดียวกัน เป็นแต่ใช้อาวุธและยุทธวิธีต่างกันเท่านั้น)

    น่าแปลกตรงที่ยิ่งเราโกรธเกลียดใคร เราก็ยิ่งทำตัวเหมือนเขา เจริญรอยตามเขา หรือเอาเขาเป็นครู ทั้ง ๆ ที่เราเห็นว่าเขาเลว ชั่ว แต่สิ่งที่เราทำกับเขานั้น ทำให้เราไม่ต่างจากเขาเลย ยิ่งเราประณามเขาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก็ยิ่งกลายเป็นการประจานตัวเองให้คนอื่นได้รู้ว่าเรามีนิสัยอย่างไร ใช่หรือไม่ว่ายิ่งเราคิดจะเล่นงานคนอื่น สุดท้ายเรากลับเล่นงานตัวเอง ยิ่งเราพยายามทำร้ายคนอื่น เรากลับทำร้ายตัวเอง นั่นเป็นเพราะเราปล่อยให้ความโกรธเกลียดครองใจ จนไม่เพียงรุ่มร้อนดังถูกไฟเผาลนเท่านั้น หากยังทำลายภาพพจน์ ลดความเป็นมนุษย์ในตัว และสร้างวิบากกรรมอีกมากมาย ทำให้จมอยู่ในวงจรอุบาทว์แห่งการจองเวร ที่ผลักให้อยู่ในความทุกข์จนยากจะไถ่ถอนออกมาได้

    ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกับเรา มีความกลัวและความใฝ่ฝันเช่นเดียวกับเรา แต่เรามักจดจ่อหรือติดอยู่กับ “ยี่ห้อ”ที่ประทับบนตัวเขา (เช่นไพร่ อำมาตย์ พันธมิตร นปช. ตำรวจ ทหาร) หรือกลุ่มก้อนที่เขาสังกัด จนมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา เราจดจ่ออยู่กับสีเสื้อที่เขาสวมใส่ จนไม่สามารถมองเห็นความเป็นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังเสื้อเหล่านั้น การมองเช่นนี้ ทำให้เราเห็นเขาเป็นคนละพวกกับเรา ยิ่งเป็นพวกที่เราเกลียดด้วยแล้ว ก็ยิ่งมองเห็นเขาเป็นตัวเลวร้ายที่จะต้องกำจัด มีการประณามเขาด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเขา ยิ่งความเป็นมนุษย์ของเขาถูกลดทอนมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกสูงส่งในทางจริยธรรมกว่าเขา และดังนั้นจึงมีความชอบธรรมที่จะทำร้ายเขา

    “ยุคมิคสัญญี” อันหมายถึงยุคที่ผู้คนทำร้ายกันอย่างโหดเหี้ยมนั้นเกิดขึ้นเมื่อเรามองเห็นซึ่งกันและกันเป็นเนื้อ (มิค) แทนที่จะเห็นกันและกันเป็นมนุษย์ เราไม่ต้องรออีกหลายกัปกัลป์กว่ายุคมิคสัญญีจะบังเกิด เพราะทุกวันนี้เรากำลังอยู่ในยุคมิคสัญญีอยู่แล้ว เนื่องจากผู้คนไม่ได้มองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน จะพ้นจากยุคมิคสัญญีได้ต่อเมื่อเรามองให้พ้นยี่ห้อ อุดมการณ์ หรือมองทะลุสีเสื้อจนเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน

    สิ่งสำคัญในวันนี้มิใช่การขอคืนพื้นที่หรือชิงพื้นที่กลับคืน อย่างที่ทำมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากได้แก่การคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กันและกัน คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนเสื้อเหลือ คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนเสื้อแดง คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่ทหารตำรวจ เมื่อนั้นเราจึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ

    เราจะมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันได้ก็ต่อเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างมนุษย์ และเปิดใจรับฟังกัน แทนที่จะสวมหัวโขนเข้าหากัน หรือเลือกฟังแต่สิ่งที่ยืนยันอคติดั้งเดิมของตน หลักธรรมที่สำคัญประการหนึ่งในยามที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงก็คือ “สัจจานุรักษ์” นั่นคือ การไม่ยืนกรานยึดติดแต่สิ่งที่ตนรู้หรือคิดเห็นเท่านั้นว่าถูกต้องเป็นจริง ขณะเดียวกันก็ตระหนักหรือเตือนตนอยู่เสมอว่าความคิดเห็นของอีกฝ่ายอาจถูกต้องเป็นจริงก็ได้ ถ้ามีสัจจานุรักษ์ เราก็จะยินดีรับฟังคนอื่นมากขึ้น

    ในยามที่เกิดความขัดแย้ง ทุกฝ่ายมักจะยืนยันว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก คู่กรณีหรือฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ดังนั้นจึงไม่พร้อมที่จะฟังคู่กรณีเลย อย่าว่าแต่คู่กรณีระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงเลย แม้แต่ระหว่างคนที่รักกัน เช่น สามีกับภรรยา พ่อกับลูก เวลาขัดแย้งกันแล้ว มีใครฟังกันบ้าง ที่ไม่มีใครฟังกันก็เพราะเชื่อมั่นแล้วว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง เป็นเพราะไม่ฟังกันใช่ไหม ผลก็คือทะเลาะวิวาทกันหนักขึ้น

    แม้แต่คนที่รักกัน เรายังเปิดใจฟังอีกฝ่ายยากมาก ยิ่งกับคนที่เกลียดชังกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งเปิดใจฟังกันยากขึ้น แต่เพราะไม่เปิดใจฟังกัน จึงยิ่งมั่นใจว่า “ฉันถูก” “แกผิด” คำถามก็คือเราแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเป็นฝ่ายถูก(หรือดี)ร้อยเปอร์เซ็นต์ และอีกฝ่ายผิด(หรือเลว)ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่เราได้รับเกี่ยวกับตัวเขานั้นถูกต้องเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องนั้นเกิดจากความเห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ได้ล้วน ๆ ทำไมเราถึงแน่ใจอย่างนั้นในเมื่อเราไม่เคยเปิดใจรับฟังความคิดความเห็นของเขาเลย เพราะสรุปตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเลวเขาชั่วเขาผิด

    คำสอนของพระพุทธองค์ในกาลามสูตรนั้นสำคัญมากในยามนี้ เพราะจะช่วยเตือนให้เราไม่หลงเชื่อเพียงเพราะ “ฟังตามกันมา” หรือเพียงเพราะ “ตรรกะ การอนุมาน การคิดตรองตามแนวเหตุผล หรือเพราะเข้าได้กับความคิดของตน” หรือเพียงเพราะ “มองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้” หรือเพียงเพราะ “ผู้พูดเป็นครูของเรา”(คือน่าเชื่อถือ) เท่านั้น ถ้าเชื่อเพียงเพราะเหตุดังกล่าว ก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินหรือรู้มานั้น (รวมทั้งความคิดเห็นที่สรุปจากข้อมูลดังกล่าว)เป็นความจริงถูกต้องแน่นอน

    การให้อภัยหรือแผ่เมตตาให้อีกฝ่ายอาจเป็นเรื่องยาก (ทั้ง ๆ ที่มันเป็นผลดีต่อจิตใจของเราเอง) แต่อย่างน้อยเราควรรับรู้เขาตามที่เป็นจริง ในเมื่อเราทุกคนปรารถนาความเป็นธรรม เราจึงควรให้ความเป็นธรรมแก่เขา(และแก่ตนเอง)ด้วยการมองเห็นเขาอย่างที่เขาเป็น แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรหากเรามีอคติอันหนาแน่น ต่อเมื่อรู้เท่าทันอคติ เปิดใจรับฟังเขา และไม่ปลงใจเชื่ออะไรง่าย ๆ เราถึงจะเห็นผู้อื่นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อนั้นเราจะพบว่าแท้ที่จริงมนุษย์หาใช่ศัตรูของเราไม่ ความโกรธเกลียดต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง

    มติชนรายวัน วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12642
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258


    ฟังมาหลายสาย ก็กล่าวในทำนองนี่ พวกเราถูกหลอก
    อย่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อ.ปริญญา ได้บอกว่าไม่ควรร่วมชุมนุม
    ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าทำเพื่อใครก็แล้วแต่ พอมาเห็นกระทู้คุณหนุมาน
    “แผนทำลายความมั่นคงของศาสนา พระมหากษัตริย์ และประเทศชาติ”
    ยิ่งทำให้เกิดสติขึ้นมามาก
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เวียดนามนับพันๆ คนช่วยกันฝังวาฬอีกตัว หลังติดอวนเข้าฝั่ง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 พฤษภาคม 2553 14:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    [​IMG]
    วาฬเคราะห์ร้ายติดอวน สิ้นชีพกลางทะเล เรือหาปลานับ 10 ลำ ช่วยกันลากเข้าฝั่ง ชาวบ้านหลายพันคนช่วยกันทำพิธีทางศาสนาและฝัง เอาไว้ใกล้ชายหาด

    ชาวประมงเวียดนามช่วยกันลากวาฬ ขนาดยาว 10 เมตร ที่สิ้นชีวิตแล้วเข้าฝั่งจังหวัดบั๊กเลียว (Bac Lieu) และ ราษฎรในท้องถิ่นหลายพันคนจัดช่วยกันทำพิธีฝัง นับเป็นวาฬตัวที่ 2 ที่ติดอวนชาวประมงของจังหวัดนี้ ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา

    นายเหวียนจี๊หาย (Nguyen Tri Hai) เจ้าของเรือประมง กล่าวว่า ตนเองกำลังลากอวนอยู่ห่างจากฝั่งราว 40 ไมล์ เมื่อรู้สึกว่า มีปลาขนาดใหญ่ติดอยู่และต่อสู้ดิ้นรนอย่างแรง แต่ตอนที่ยกอวนขึ้นมาได้พบว่า เป็นวาฬอยู่ในสภาพที่หมดแรงและสิ้นชีวิตลงไม่นานหลังจากนั้น

    นายหาย ได้ขอความช่วยเหลือจากเรือประมง 10 ลำที่กำลังหาปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงช่วยกันลาก ทั้งนี้ เป็นรายงานในเว็บไซต์ของพรรคคอมมิวนิสต์

    วาฬที่สิ้นลมหายใจมีน้ำหนักราว 10 ตัน วัดส่วนท้องได้ 6 เมตร ต้องใช้ชาวประมงนับร้อยได้ช่วยกันลากขึ้นฝั่ง

    ขณะที่ราษฎรในท้องถิ่นอีกนับพันๆ ยืนดูเป็นกำลังใจ ผู้รู้กล่าวว่าเป็นวาฬสีเทา (Grey Whale) กินสัตว์น้ำขนาดเล็กพวกหอยกับกุ้งเป็นหลัก อุปนิสัยเป็นสัตว์อ่อนโยน ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

    ชาวประมงเวียดนาม เชื่อว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และนำโชคดีมาสู่ทุกคน จึงช่วยกันทำพิธีทางศาสนาและฝังเอาไว้ที่ชายฝั่งใกล้กับหาดทราย

    ในเดือน ก.พ.ชาวประมง จ.บั๊กเลียว ลากวาฬน้ำหนัก 16 ตัน ที่เสียชีวิตแล้วเข้าฝั่ง และทำพิธีฝังคล้ายกันนี้

    สัปดาห์ที่แล้วชาวประมงใน จ.กว๋างบี่ง (Quang Binh) ในภาคกลางตอนบน ช่วยกันนำโลมาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งออกสู่ทะเลลึก หลังจากถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งในสภาพที่สิ้นเรี่ยวแรง โดยมีโลมาอีกตัวหนึ่งเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre)

    ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า โลมาขนาดลำตัวยาวกว่า 4 เมตร มีอาการอ่อนแรงเหมือนป่วย อาจจะถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งโดยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จึงวนเวียนอยู่ใกล้หาดทราย นอกจากนั้น ยังมีเด็กๆ ลงไปเล่นกับโลมาอีกด้วย

    ที่มา http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9530000070250
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865

    ถิ่นกาขาวมีนัยยะเหมือนกับที่คุณกล่าวถึง......

    แต่มิติล้ำลึกกว่ามาก จริงๆ......
    เราเองเพิ่งมารู้ว่า "กาขาว" จริงๆ คือ อะไร.....เมื่อเร็วๆนี้

    แต่ชาวศิวิไลซ์ เป็นเรื่องจริงตามคำพยากรณ์ครับ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น (หลังภัยพิบัติ) ประเทศไทยจะยังคงรักษาความเป็นเมืองพุทธศาสนา แล้วจะรุ่งเรื่องขึ้นอีกครั้ง
     
  14. ee16053

    ee16053 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +35

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • I.png
      I.png
      ขนาดไฟล์:
      18.5 KB
      เปิดดู:
      78
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2010
  15. Nutthawut

    Nutthawut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +479
    พายุลูกเห็บที่ โอกลาโฮมา เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ พ.ค. ที่ผ่านมา ปีนี้ที่อเมริกาพายุเทอนาโดค่อนข้างมากกว่าทุกปี
    [VDO]<object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/OFv2W7Duqiw&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>[/VDO]
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ข่าวคืบหน้าเครื่องบินอินเดียตก เร่งฉีดโฟมสกัดไฟ ยืนยันไม่มีผู้รอดชีวิต

    [​IMG]

    คืบเหตุสายการบินอินเดียตก เป็นเหตุให้ผู้โดยสาร-ลูกเรือตายยกลำ 169 ชีวิต ทีวีถ่ายให้เห็นซากที่พังยับเยินท่ามกลางกลุ่มควันไฟ จนท.ระดมฉีดโฟมสกัดอย่างโกลาหล ...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. ระบุเครื่องบินโดยสารโบอิ้งรุ่น 737 - 800 ของสายการบิน "แอร์ อินเดีย เอ็กซ์เพรส" สายการบินต้นทุนต่ำ บริษัทลูกสายการบินแห่งชาติแอร์ อินเดีย พร้อมผู้โดยสาร 163 คน ลูกเรือ 6 คน รวม 169 ชีวิต ประสบเหตุร่อนลงจอดเลยทางวิ่ง (รันเวย์) บริเวณสนามบินเมืองมังกาลอร์ รัฐคาร์นาตากา ทางภาคใต้ เมื่อช่วงเช้า (ตามเวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้เครื่องบินระเบิดเกิดไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง คร่าชีวิตผู้คนบนเครื่องบินทั้งหมดนั้น

    โทรทัศน์ทางการอินเดีย เผยแพร่ภาพข่าวสถานที่เกิดเหตุ เห็นซากเครื่องบินพังยับเยิน ท่ามกลางกลุ่มควันไฟไหม้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องเข้าถึงซากเครื่องบินด้วยความระมัดระวัง ส่วนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งฉีดโฟมดับไฟไหม้อย่างโกลาหล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยระบุ อาจมีผู้รอดชีวิตบางส่วนราว 6 หรือ 7 คน แต่ภายหลังได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ระบุไม่พบผู้รอดชีวิตแม้แต่รายเดียว

    นายซีมานต์ ซิงห์ ตำรวจสนามบินเมืองมังกาลอร์ ระบุช่วงที่เครื่องบินประสบเหตุร่อนลงจอดเลยสนามบินนั้น สภาพอากาศทัศนวิสัยแย่ อาจทำให้เกิดความผิดพลาดของการร่อนลงจอด

    ทั้งนี้ อินเดียเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุมแล้ว โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 2 วันก่อน สภาพอากาศบริเวณสนามบินที่เกิดเหตุทัศนวิสัยต่ำมาก มองเห็นได้ในระยะไม่ไกลนัก อุบัติเหตุทางอากาศครั้งนี้อาจถือได้ว่าร้ายแรงที่สุดของอินเดีย นับตั้งแต่เกิดเหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาศเมื่อเดือน พ.ย.ปี 2539 หลังเครื่องบินของสายการบินซาอุดีอาระเบีย ชนกับเครื่องบินขนส่งสินค้าของคาซัคสถาน เหนือน่านฟ้าใกล้กรุงนิวเดลี คร่าชีวิตผู้คนไป 349 ราย

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    เหลือเชื่อพบผู้รอดชีวิต 8 ราย จากเหตุ'แอร์ อินเดีย'ตก

    [​IMG]

    พบผู้รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ถึง 8 ราย จากอุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบินแอร์ อินเดียตก ทั้งหมดถูกส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บในโรงพยาบาล แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าแต่ละรายได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด..

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ว่า พบผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ถึง 8 ราย จากอุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบิน "แอร์ อินเดีย" ตก ขณะพยายามร่อนลงจอดที่สนามบินในเมืองมังกาลอร์ ทางตอนใต้ของประเทศ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมทางอากาศครั้งนี้ มีอย่างน้อย 158 รายแล้ว โดยในจำนวนนี้ ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยเพิ่งจะค้นพบร่างของผู้เสียชีวิตได้เพียง 80 ร่างเท่านั้น

    ก่อนหน้านี้ สื่อหลายสำนักต่างรายงานว่าไม่น่าจะมีผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของสายการบินแอร์ อินเดีย ลื่นไถลออกนอกทางวิ่งในครั้งนี้ โดยต่างรายงานว่าผู้โดยสารที่มีอยู่ราว 160 คนและลูกเรืออีก 6 คนน่าจะเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว แต่ล่าสุดกลับมีการออกมายืนยันว่าพบผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์มากถึง 8 คน ทั้งหมดถูกส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บในโรงพยาบาลแล้ว แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าผู้รอดชีวิตแต่ละรายได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด

    ทั้งนี้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินลำดังกล่าว ซึ่งเดินทางมาจากนครดูไบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นอุบัติเหตุทางอากาศที่รุนแรงที่สุดของอินเดีย นับตั้งเมื่อเดือน พ.ย. 1996 ที่เกิดเหตุเครื่องบินขนส่งสินค้าของคาซัคสถาน ชนกลางอากาศกับสายการบินของซาอุดีอาระเบียใกล้กับกรุงนิวเดลีจนมีผู้เสียชีวิต 349 ราย

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    เหมืองตุรกีระเบิด พบ 28 ศพ ตายใต้อุโมงค์

    [​IMG]

    พบร่างคนงาน 28 ศพ นอนตายขาดอากาศหายใจ หลังก๊าซมีเทนรั่วจนเกิดเหตุระเบิดรุนแรงที่เหมืองถ่านหินทางตอนเหนือของตุรกี ขณะนี้เหลือผู้สูญหายอีก 2 คน แต่เจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาต่อไป...

    สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ว่า ทีมกู้ภัยพบศพผู้เสียชีวิต 28 ศพ ติดอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน หลังเหตุก๊าซรั่วส่งผลให้เกิดการระเบิดครั้งรุนแรงที่เหมืองถ่านหินทางตอนเหนือของประเทศตุรกี

    รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ทาเนอร์ ยิลดิซ เผยว่า ทีมกู้ภัยยังคงเดินหน้าค้นหาคนงานชาย 2 คน ที่สูญหายต่อไป ซึ่งเชื่อว่าอาจเสียชีวิตแล้ว โดยร่างอาจถูกฝัง อยู่ระหว่างตอม้อกับบริเวณที่เป็นหิน

    ทั้งนี้คนงาน ติดอยู่อุโมงค์ใต้ดิน ลึกลงไปราว 540 เมตร ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ( 17 พ.ค. ) หลังเกิดเหตุระเบิดก๊าซมีเทน รั่วออกมาจนทำให้ขาดอากาศหายใจ สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นเหตุระเบิดเหมืองถ่านหินครั้งรุนแรงครั้งหนึ่งตั้งแต่ตั้นปีที่ผ่านมา

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    คราบน้ำมันรั่วลอยถึงฝั่งรัฐหลุยเซียนา สั่งปิดชายหาดด่วน

    [​IMG]

    ทางการรัฐหลุยเซียนา สั่งปิดชายหาดความยาว 7 ไมล์ เหตุคราบน้ำมันลอยถึงชายฝั่ง "โอบามา" กดดันบริษัทสัมปทานอย่างหนักให้เร่งดำเนินการหยุดยั้งการรั่วไหล...

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ว่า ทางการรัฐหลุยเซียนา สั่งปิดชายหาดความยาว 7 ไมล์ หลังพบคราบน้ำมันลอยถึงชายฝั่ง จากเหตุแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบกลางอ่าวเม็กซิโกระเบิดไฟไหม้ส่งผลให้น้ำมันดิบจากใต้ทะเลลึกลอยขึ้นสู่ผิวน้ำมาตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

    ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ สั่งกดดันบริษัทน้ำมันบีพีของอังกฤษ เจ้าของสัมปทานแหล่งน้ำมันดิบดังกล่าวเร่งดำเนินการทุกวิถีทางหยุดยั้งการรั่วไหลของน้ำมันให้เร็วที่สุด

    ทั้งนี้ ปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลสู่ผิวทะเลยังมากอยู่ที่เฉลี่ยวันละ 5,000 บาร์เรล หรือราว 795,000 ลิตร

    ไทยรัฐออนไลน์ วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2553

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2010
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ก่อนที่พญาธรรมมิกราชจะปรากฏขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน (ตำนานละแวก)

    [​IMG]

    [​IMG]

    ต้นฉบับตำนานละแวกนี้เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูกความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้า เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุ ให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์

    ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ วา สูง ๔ วาคูเมือง ลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วาฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้านเหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ให้สร้างไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปีเจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื

    สำหรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓,๐๐๐ ปีนั้น (ตั้งแต่ พ.ศ.2001-3000 ) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว

    ก่อนที่จะมีพญาธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการ มาทำพิธีราชาภิเษก(มุรธาภิเษก) โดยมีเทวดานางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป

    เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน(โดยการเนรมิตของพระอินทร์) แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง

    ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐจำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดิน(ขุมทรัพย์ของพระศรีอาริย์) มาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

    ที่มา
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=23511

    เมืองใหม่ของพระเจ้าจักรพรรดิ์(พระศรีอาริย์) ในคัมภีร์ใบเบิ้ล

    [​IMG]

    [​IMG]

    เยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ลอยลงมาจากพระเจ้า

    21:1 ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว
    21:2 ข้าพเจ้า คือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี

    พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์และสิ่งสารพัดถูกสร้างขึ้นใหม่

    21:3 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า "ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา
    21:4 พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว"
    21:5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า "ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่" และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์จริงและสัตย์ซื่อ"
    21:6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย
    21:7 ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะได้รับสิ่งสารพัดเป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา
    21:8 แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าสะอิดสะเอียน ฆาตกร คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น จะได้รับส่วนของตนในบึงที่เผาไหม้ด้วยไฟและกำมะถัน นั่นคือความตายครั้งที่สอง"

    แบบของเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์

    21:9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบ อันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้น ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า "เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก"
    21:10 ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นเมืองใหญ่นั้น คือกรุงเยรูซาเล็มอันบริสุทธิ์ ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า
    21:11 เมืองนั้นประกอบด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ใสสว่างดุจพลอยมณีอันหาค่ามิได้ เช่นเดียวกับพลอยหยกอันสุกใสเหมือนแก้วผลึก
    21:12 เมืองนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีทูตสวรรค์สิบสององค์ และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อตระกูลของชนชาติอิสราเอลสิบสองตระกูล
    21:13 ทางด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตู ทางด้านตะวันตกมีสามประตู
    21:14 และกำแพงเมืองนั้นมีฐานสิบสองฐาน และที่ฐานนั้นจารึกชื่ออัครสาวกสิบสองคนของพระเมษโปดก
    21:15 ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้น ถือไม้วัดทองคำเพื่อจะวัดเมือง และวัดประตูและกำแพงของเมืองนั้น
    21:16 เมืองนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวเท่ากันและท่านเอาไม้วัดเมืองนั้น ได้สองพันสี่ร้อยกิโลเมตร กว้างยาวและสูงเท่ากัน
    21:17 ท่านวัดกำแพงเมืองนั้น ได้เจ็ดสิบสองเมตร ตามมาตรวัดของมนุษย์ ซึ่งคือมาตรวัดของทูตสวรรค์องค์นั้น
    21:18 กำแพงเมืองนั้นก่อด้วยพลอยหยก และเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ สุกใสดุจแก้ว
    21:19 ฐานของกำแพงเมืองนั้นประดับด้วยเพชรพลอยทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นพลอยหยก ที่สองไพทูรย์ ที่สามหินคว๊อตซ์โปร่งแสง ที่สี่มรกต
    21:20 ที่ห้าโกเมน ที่หกทับทิม ที่เจ็ดเพชรสีเขียว ที่แปดพลอยเขียว ที่เก้าบุษราคัม ที่สิบหยก ที่สิบเอ็ดพลอยสีแดง ที่สิบสองเป็นพลอยสีม่วง
    21:21 ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นเป็นไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว

    พระเจ้าสถิตอยู่กับมนุษย์ ประตูเมืองสวรรค์จะไม่ปิดเลย

    21:22 ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในเมืองนั้นเลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และพระเมษโปดกทรงเป็นพระวิหารในเมืองนั้น
    21:23 เมืองนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าสง่าราศีของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของเมืองนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็นความสว่างของเมืองนั้น
    21:24 บรรดาประชาชาติที่รอดแล้วจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของเมืองนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำสง่าราศีและเกียรติของตนเข้ามาในเมืองนั้น
    21:25 ประตูเมืองทุกประตูจะไม่ปิดเลยในเวลากลางวัน ด้วยว่าจะไม่มีเวลากลางคืนในเมืองนั้นเลย
    21:26 และคนทั้งหลายจะนำสง่าราศีและเกียรติของบรรดาประชาชาติเข้ามาในเมืองนั้น
    21:27 สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย เว้นแต่เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้

    แม่น้ำแห่งชีวิตและต้นไม้แห่งชีวิต

    22:1 ท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้าดูแม่น้ำบริสุทธิ์ที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนแก้วผลึก ไหลออกมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และของพระเมษโปดก
    22:2 ท่ามกลางถนนในเมืองนั้นและริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย
    22:3 จะไม่มีการสาปแช่งใดๆอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ในเมืองนั้น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์
    22:4 เขาเหล่านั้นจะเห็นพระพักตร์พระองค์ และพระนามของพระองค์จะประทับอยู่ที่หน้าผากเขา
    22:5 กลางคืนจะไม่มีที่นั่น เขาไม่ต้องการแสงเทียนหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าทรงประทานแสงสว่างแก่เขา และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
    22:6 และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า "ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์ซื่อและสัตย์จริง และองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งพวกศาสดาพยากรณ์อันบริสุทธิ์ ได้ทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์สำแดงแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ถึงเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า"
    22:7 "ดูเถิด เราจะมาโดยเร็ว ผู้ใดที่ถือรักษาคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ก็เป็นสุข"

    ที่มา http://www.holyzone.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 10.jpg
      10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.3 KB
      เปิดดู:
      2,572
    • nemiraja06-04.jpg
      nemiraja06-04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.2 KB
      เปิดดู:
      2,552
    • Revelation21.jpg
      Revelation21.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      2,505
    • 09.jpg
      09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      2,464
    • 06.jpg
      06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.7 KB
      เปิดดู:
      59
    • 05.jpg
      05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.1 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2010
  18. สาว.ปีใหม่

    สาว.ปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +165
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เกษม [​IMG]
    "ความโกรธเกลียดต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง"

    [​IMG]
    [SIZE=-1]โดยพระไพศาล วิสาโล [/SIZE]
    จ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

    เหตุการณ์ร้ายแรงเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายนที่ถนนราชดำเนินกลาง เป็นความสูญเสียของทุกฝ่าย รวมทั้งรัฐบาล นปช. และชาวไทยทั้งมวล ทุกคนเป็นผู้แพ้ หากความพินาศในวันนั้นเรียกว่าชัยชนะ มันก็คือชัยชนะของความโกรธเกลียดนั่นเอง ​

    ในขณะที่ทุกคนพากันชี้นิ้วกล่าวโทษผู้อื่น ตัวการที่แท้จริงกลับถูกมองข้ามและยังคงลอยนวลอยู่ได้ นั่นคือความโกรธเกลียด ความโกรธเกลียดผลักไสให้เรากลายเป็นศัตรูที่มุ่งจองเวรกัน ใช่แต่เท่านั้น ยิ่งโกรธเกลียดมากเท่าใด ก็ยิ่งชี้นิ้วส่งเสียงประณามผู้อื่นดังมากเท่านั้น จนลืมไปว่าความโกรธเกลียดในใจเราได้ผลักดันให้เรามีส่วนในการทำร้ายกันไม่ โดยตรงก็โดยอ้อม

    ความโกรธเกลียดไม่เพียงทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น หากยังเป็นโทษต่อตัวเราเองด้วย เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจ นิสัยใจคอและพฤติกรรมของเราก็จะเปลี่ยน จากคนที่มีน้ำใจ พูดจาไพเราะ สุภาพอ่อนโยน ก็กลายเป็นคนจิตใจแข็งกระด้าง พูดจาหยาบคาย และกราดเกรี้ยว สาวสวยเสียงหวาน ทันทีที่โกรธเกลียด ก็พลันมีสีหน้าดุร้าย ส่งเสียงกระโชกโฮกฮาก พร้อมจะด่าทอผู้อื่น ลงมือทำร้ายผู้คน หรือสะใจกับการที่เขาถูกทำร้าย เป็นเพราะความโกรธเกลียดนี้แหละที่ทำให้คนซึ่งเคยมีไมตรีต่อกัน กลายเป็นศัตรูที่ห้ำหั่นกัน ทุบตีหรือประหัตประหารกันได้อย่างเลือดเย็น ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านกัน กลายเป็นปรปักษ์ที่กลุ้มรุมทำร้ายหรือประชาทัณฑ์จนเขาตายคาเท้า กล่าวอีกนัยหนึ่งมันทำให้เรากลายเป็นยักษ์มารไปโดยไม่รู้ตัว

    จริงอยู่เขาอาจเป็นคนชั่วคนเลว โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ แต่การทำกับเขาเช่นนั้น กลับทำให้เราห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไม่น้อยไปกว่าเขา ในขณะที่เราเห็นเขาเป็นเดรัจฉาน การกระทำเช่นนั้นกลับลดตัวเราเองให้ต่ำเท่าเขา หรืออาจต่ำยิ่งกว่าเขาเสียอีก ความโกรธเกลียดทำให้เราไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มักผลักดันให้เราทำลายความเป็นมนุษย์ของตนไปพร้อม ๆ กัน

    บางครั้งเขาไม่ได้ทำร้ายใครเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะเขามีความเชื่อทางการเมืองหรืออุดมการณ์ต่างจากเรา หรือเพียงเพราะเขาใส่เสื้อคนละสีกับเรา นั่นก็มากพอที่เราจะเห็นเขาเป็นคนเลว เพราะสรุปล่วงหน้าแล้วว่า ความเชื่อ อุดมการณ์ หรือเสื้อสีนั้น มีแต่คนเลว ไม่รักชาติ นิยมเผด็จการ เท่านั้นที่สมาทานหรือสวมใส่กัน แม้เราไม่รู้จักเขา แต่เพียงเพราะเขาสังกัดกลุ่มก้อนหรือสถาบันที่เราไม่ชอบ นั่นก็มากพอแล้วที่เราจะตราหน้าว่าเขาเป็นคนเลว แม้โดยเหตุผลเราจะรู้ว่าเพียงแค่มีความเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนเลวได้ แต่ในระดับของอารมณ์ การที่เขาสมาทานอุดมการณ์ที่เราไม่ชอบ หรือสังกัดกลุ่มก้อนที่เราเกลียด มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้เราชิงชังเขา เพราะอยู่คนละพวกกับเรา และดังนั้นจึงเห็นเขาเป็นคนเลวได้ไม่ยาก ก็ในเมื่อเรายืนอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องเป็นธรรม เขาซึ่งอยู่คนละพวกกับเราก็ต้องเป็นฝ่ายอธรรมอย่างแน่นอน

    แต่มันไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อเขาเป็นฝ่ายอธรรม เราซึ่งเป็นฝ่ายธรรมย่อมมีความชอบธรรมที่จะจัดการเขาอย่างไรก็ได้ เหตุผลก็คือคนเลวอย่างนี้จะปล่อยให้อยู่รกโลกไปทำไม ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะด่าว่าเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายที่สุดเท่าที่จะสรรหามา ได้ พร้อมจะใส่ร้ายป้ายสี โกหกหลอกลวง หรือทำร้ายเขา แต่ยิ่งเราทำเช่นนั้นกับคนที่เราติดป้ายว่า “เลว” มากเท่าไร เราก็กลับกลายเป็นคนเลวเสียเอง อาจเลวยิ่งกว่าเขาก็ได้ ใช่หรือไม่ว่า “เทพ”ที่พร้อมจะใช้วิธีการใดก็ได้เพื่อจัดการกับ “มาร” ในที่สุดแล้วลงเอยด้วยการกลายเป็น “มาร”เสียเอง จะว่าไปแล้ว เส้นแบ่งระหว่างเทพกับมารนั้น บางมาก เพียงแค่เผลอให้ความโกรธเกลียดครองใจ เทพก็กลายเป็นมารได้ง่าย ๆ มีผู้กล่าวอย่างน่าฟังว่า เมื่อใดก็ตามที่เราต่อสู้กับอสูรร้าย จงระวังว่าเราจะไม่กลับกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง

    ความโกรธเกลียดเมื่อเกิดขึ้นกับใคร มันจะผลักคนอื่นให้อยู่ห่างจากเรา โดยเฉพาะคนที่เราโกรธเกลียด แม้ว่าคนนั้นจะเป็นสามีหรือภรรยาของเรา เป็นพี่น้องของเรา หรือแม้แต่เป็นพ่อหรือลูกของเรา ยิ่งเป็นคนที่ห่างไกลกันอยู่ก่อนแล้ว มันยิ่งผลักเขาไปให้ไกลกว่าเดิม แต่น่าแปลกว่ายิ่งห่างไกลกันเพราะความโกรธเกลียด ทั้งสองฝ่ายกลับมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง มีนิสัยใจคอคล้ายกัน มีมุมมองคล้ายกัน มีพฤติกรรมคล้ายกัน ราวกับเป็นกระจกเงาของกันและกัน กล่าวคือต่างมองเห็นว่าฉันถูก แกเลว เหมือนกัน ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเหมือนกัน กราดเกรี้ยวเหมือนกัน รวมทั้งลอกเลียนแบบการกระทำเหมือนกัน เช่น ใส่ร้ายป้ายสี หรือใช้วิธีการเดียวกัน (บุชและบินลาเดน แม้จะอยู่ขั้วตรงข้ามกัน แต่กลับมอง คิด และทำคล้ายกัน เช่น กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นมารเหมือนกัน เชื่อว่าพระเจ้าอยู่ข้างตนเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างโจมตีซึ่งกันและกันว่าฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่แล้วก็ต่างทำอย่างเดียวกัน เป็นแต่ใช้อาวุธและยุทธวิธีต่างกันเท่านั้น)

    น่าแปลกตรงที่ยิ่งเราโกรธเกลียดใคร เราก็ยิ่งทำตัวเหมือนเขา เจริญรอยตามเขา หรือเอาเขาเป็นครู ทั้ง ๆ ที่เราเห็นว่าเขาเลว ชั่ว แต่สิ่งที่เราทำกับเขานั้น ทำให้เราไม่ต่างจากเขาเลย ยิ่งเราประณามเขาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก็ยิ่งกลายเป็นการประจานตัวเองให้คนอื่นได้รู้ว่าเรามีนิสัยอย่างไร ใช่หรือไม่ว่ายิ่งเราคิดจะเล่นงานคนอื่น สุดท้ายเรากลับเล่นงานตัวเอง ยิ่งเราพยายามทำร้ายคนอื่น เรากลับทำร้ายตัวเอง นั่นเป็นเพราะเราปล่อยให้ความโกรธเกลียดครองใจ จนไม่เพียงรุ่มร้อนดังถูกไฟเผาลนเท่านั้น หากยังทำลายภาพพจน์ ลดความเป็นมนุษย์ในตัว และสร้างวิบากกรรมอีกมากมาย ทำให้จมอยู่ในวงจรอุบาทว์แห่งการจองเวร ที่ผลักให้อยู่ในความทุกข์จนยากจะไถ่ถอนออกมาได้

    ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกับเรา มีความกลัวและความใฝ่ฝันเช่นเดียวกับเรา แต่เรามักจดจ่อหรือติดอยู่กับ “ยี่ห้อ”ที่ประทับบนตัวเขา (เช่นไพร่ อำมาตย์ พันธมิตร นปช. ตำรวจ ทหาร) หรือกลุ่มก้อนที่เขาสังกัด จนมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา เราจดจ่ออยู่กับสีเสื้อที่เขาสวมใส่ จนไม่สามารถมองเห็นความเป็นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังเสื้อเหล่านั้น การมองเช่นนี้ ทำให้เราเห็นเขาเป็นคนละพวกกับเรา ยิ่งเป็นพวกที่เราเกลียดด้วยแล้ว ก็ยิ่งมองเห็นเขาเป็นตัวเลวร้ายที่จะต้องกำจัด มีการประณามเขาด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเขา ยิ่งความเป็นมนุษย์ของเขาถูกลดทอนมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกสูงส่งในทางจริยธรรมกว่าเขา และดังนั้นจึงมีความชอบธรรมที่จะทำร้ายเขา

    “ยุคมิคสัญญี” อันหมายถึงยุคที่ผู้คนทำร้ายกันอย่างโหดเหี้ยมนั้นเกิดขึ้นเมื่อเรามองเห็น ซึ่งกันและกันเป็นเนื้อ (มิค) แทนที่จะเห็นกันและกันเป็นมนุษย์ เราไม่ต้องรออีกหลายกัปกัลป์กว่ายุคมิคสัญญีจะบังเกิด เพราะทุกวันนี้เรากำลังอยู่ในยุคมิคสัญญีอยู่แล้ว เนื่องจากผู้คนไม่ได้มองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน จะพ้นจากยุคมิคสัญญีได้ต่อเมื่อเรามองให้พ้นยี่ห้อ อุดมการณ์ หรือมองทะลุสีเสื้อจนเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน

    สิ่งสำคัญในวันนี้มิใช่การขอคืนพื้นที่หรือชิงพื้นที่กลับคืน อย่างที่ทำมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากได้แก่การคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กันและกัน คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนเสื้อเหลือ คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนเสื้อแดง คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่ทหารตำรวจ เมื่อนั้นเราจึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ

    เราจะมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันได้ก็ต่อเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กันอย่าง มนุษย์ และเปิดใจรับฟังกัน แทนที่จะสวมหัวโขนเข้าหากัน หรือเลือกฟังแต่สิ่งที่ยืนยันอคติดั้งเดิมของตน หลักธรรมที่สำคัญประการหนึ่งในยามที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงก็คือ “สัจจานุรักษ์” นั่นคือ การไม่ยืนกรานยึดติดแต่สิ่งที่ตนรู้หรือคิดเห็นเท่านั้นว่าถูกต้องเป็นจริง ขณะเดียวกันก็ตระหนักหรือเตือนตนอยู่เสมอว่าความคิดเห็นของอีกฝ่ายอาจถูก ต้องเป็นจริงก็ได้ ถ้ามีสัจจานุรักษ์ เราก็จะยินดีรับฟังคนอื่นมากขึ้น

    ในยามที่เกิดความขัดแย้ง ทุกฝ่ายมักจะยืนยันว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก คู่กรณีหรือฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ดังนั้นจึงไม่พร้อมที่จะฟังคู่กรณีเลย อย่าว่าแต่คู่กรณีระหว่างรัฐบาลกับผู้ประท้วงเลย แม้แต่ระหว่างคนที่รักกัน เช่น สามีกับภรรยา พ่อกับลูก เวลาขัดแย้งกันแล้ว มีใครฟังกันบ้าง ที่ไม่มีใครฟังกันก็เพราะเชื่อมั่นแล้วว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้อง เป็นเพราะไม่ฟังกันใช่ไหม ผลก็คือทะเลาะวิวาทกันหนักขึ้น

    แม้แต่คนที่รักกัน เรายังเปิดใจฟังอีกฝ่ายยากมาก ยิ่งกับคนที่เกลียดชังกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งเปิดใจฟังกันยากขึ้น แต่เพราะไม่เปิดใจฟังกัน จึงยิ่งมั่นใจว่า “ฉันถูก” “แกผิด” คำถามก็คือเราแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเป็นฝ่ายถูก(หรือดี)ร้อยเปอร์เซ็นต์ และอีกฝ่ายผิด(หรือเลว)ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่เราได้รับเกี่ยวกับตัวเขานั้นถูกต้องเป็น จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาเรียกร้องนั้นเกิดจากความเห็นแก่ตัวหรือเอา แต่ได้ล้วน ๆ ทำไมเราถึงแน่ใจอย่างนั้นในเมื่อเราไม่เคยเปิดใจรับฟังความคิดความเห็นของ เขาเลย เพราะสรุปตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเลวเขาชั่วเขาผิด

    คำสอนของพระพุทธองค์ในกาลามสูตรนั้นสำคัญมากในยามนี้ เพราะจะช่วยเตือนให้เราไม่หลงเชื่อเพียงเพราะ “ฟังตามกันมา” หรือเพียงเพราะ “ตรรกะ การอนุมาน การคิดตรองตามแนวเหตุผล หรือเพราะเข้าได้กับความคิดของตน” หรือเพียงเพราะ “มองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้” หรือเพียงเพราะ “ผู้พูดเป็นครูของเรา”(คือน่าเชื่อถือ) เท่านั้น ถ้าเชื่อเพียงเพราะเหตุดังกล่าว ก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินหรือรู้มานั้น (รวมทั้งความคิดเห็นที่สรุปจากข้อมูลดังกล่าว)เป็นความจริงถูกต้องแน่นอน

    การให้อภัยหรือแผ่เมตตาให้อีกฝ่ายอาจเป็นเรื่องยาก (ทั้ง ๆ ที่มันเป็นผลดีต่อจิตใจของเราเอง) แต่อย่างน้อยเราควรรับรู้เขาตามที่เป็นจริง ในเมื่อเราทุกคนปรารถนาความเป็นธรรม เราจึงควรให้ความเป็นธรรมแก่เขา(และแก่ตนเอง)ด้วยการมองเห็นเขาอย่างที่เขา เป็น แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรหากเรามีอคติอันหนาแน่น ต่อเมื่อรู้เท่าทันอคติ เปิดใจรับฟังเขา และไม่ปลงใจเชื่ออะไรง่าย ๆ เราถึงจะเห็นผู้อื่นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อนั้นเราจะพบว่าแท้ที่จริงมนุษย์หาใช่ศัตรูของเราไม่ ความโกรธเกลียดต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง

    มติชนรายวัน วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12642
    </td> </tr> </tbody></table>

    กราบโมทนา กับพระคุณเจ้า ท่านพระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล
    และคุณเกษม สำหรับบทความดีๆที่กรุณานำมาลงให้อ่าน

    หากนำบทความนี้โพสต์ซ้ำ ตั้งขึ้นเป็นกระทู้ใหม่
    เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้เพื่อนสมาชิกในเว็ปพลังจิต
    ได้อ่านอย่างทั่วถึง
    จักเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
    <!-- / message --> <!-- edit note --> <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2010
  19. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [​IMG]

    วันนี้เวลา18.44น.ที่จังหวัดราชบุรี
    เกิดฝนตกเป็นวันแรกและท้องฟ้าเป็นคล้ายดังภาพด้านบนเลย
    โดยท้องฟ้าทางฝั่งตะวันตกตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นสีดำ
    ส่วนท้องฟ้าทางฝั่งตะวันออกตั้งแต่เหนือจรดใต้ เป็นฟ้าใส
     
  20. pmntr

    pmntr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +2,244
    มา ๆ ๆ มาทำบุญกันทุกวันจนถึงวันวิสาขบูชานี้กันดีกว่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...