รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    แม่ทัพมารหน่วยลับ เราเห็นท่านแล้ว

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจ เรื่องที่ท่านเตือนมานั้น ผมตระหนักอยู่เสมอครับ พูดจริงๆ ที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้อะไรเลยนะ ยังหาความดีไม่ได้ ความดีที่จะประคองตัวให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับชาติภพอยู่

    ทุกวันนี้จึงต้องพยายามมองหาความไม่ดีหรือความเลวของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อพบแล้วก็ต้องเตือนตัวเอง แล้วหาทางปรับปรุงตัวเองต่อไป เหมือนที่หลวงพ่อฤษีท่านว่าไว้ล่ะครับว่าจริตของคนอื่นอย่าได้สนใจ ให้สนใจอยู่แต่เรื่องของเราอย่างเดียวพอ

    ผมเป็นคนกลัวตกนรกครับ รู้สึกว่าตัวเองยังมีบาปกรรมอยู่อีกพะเรอเกวียน แม้ทุกวันนี้ หากเผลอเรอเมื่อไหร่ จิตได้กลับไปไต่อยู่ที่ขอบนรกทุกทีไป

    ที่ผ่านมามีสื่อบางอย่างบอกว่าเราใช้กำลังของสมาบัติหนีนรกมาตลอด ตอนนี้ก็เช่นกันก็ต้องพยายามหนีต่อไป แต่การหนีอย่างนี้ก็ไม่แน่นอน อาจมีพลาดพลั้งกันได้ ผมจึงต้องการที่จะหนีให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียที

    ที่ว่ายังไม่ได้อะไรเลยก็คือว่ายังมีความดีไม่พอ (ความเลวนั่นล่ะ) อยู่หลายประการครับ ยังหาทางแก้ไม่ได้สักที
    1.การทรงสมาบัติ ทรงได้ก็ทรงไป แต่นิวรณ์ 5 ก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม (อันนี้คงเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุขน)
    2.ความเลวอย่างที่สอง เวลาครูท่านมาบอก ท่านต้องการให้ทำอารมณ์อย่างนี้ แล้วค่อยไปทำอารมณ์อย่างอื่น ก็ทำได้ไม่ดีอย่างที่ท่านบอกหรือไม่ได้ตั้งใจทำ (อันนี้ถือว่าเรายังเลวอยู่มาก)
    3.อันนี้เลวมากที่สุด คือหลงใหล เข้าใจผิด ยึดถือในสิ่งที่มารลวงไว้ว่าเป็นของดี กว่าจะรู้ตัวว่าผิดท่าก็ถลำไปไกลแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ

    ที่ผ่านมาใช้กำลังของตัวเองมากเกินไป จึงมีโอกาสพลาดพลั้งไปมาก ได้คำเตือนจากเจ้าของกระทู้นี่ล่ะครับ ที่บอกว่าการทำอะไรต้องอาศัย อาราธนาพระท่านให้ช่วยอยู่เสมอ แล้วจะได้ปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย หายห่วง

    คุยกับเจ้าของกระทู้พอหอมปากหอมคอ พอดีมีคำถามด้วยความสงสัยครับ คือเห็นในหัวข้อก่อนๆ มีท่านสมาชิกบางท่านถามว่าเวลาออกกำลังกาย ทำสมาธิไปด้วยได้ไหม เจ้าของกระทู้บอกว่าได้ ทำได้เลย อันนี้ตรงกับใจผม

    ประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าๆที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นมาก หายใจออกมาเป็นไอเลย ตอนวิ่งก็ไล่วาโยกสิณควบไปกับเตโชกสิณไปด้วย รู้สึกว่าตัวเบาขึ้นการวิ่งใช้แรงน้อยลงและร่างกายมีความอบอุ่นมากขึ้น ไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด เหมือนกันอีกอย่างคือเวลาอยู่ในป่าเขา ต้องเดินข้ามเขากันเป็นลูกๆ วาโยกสิณช่วยได้มาก (อันนี้อาจเป็นอุปทานก็ได้ครับ)

    ทีนี้มาถึงคำถาม ถ้าอยากจะให้เวลาออกวิ่งทุกครั้ง จะออกวิ่งปุ๊ป วาโยกสิณเข้ามาในใจปั๊ปเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งไล่ ต้องฝึกอย่างไรครับ ถึงจะมีความเคยชินแบบนี้ให้เกิดเป็นของประจำตัว (ตอนนี้ที่เล่นอยู่เป็นประจำคือการไล่ฌานเล่นแก้กลุ้มครับ ว่าไป 1234 4321 4123 2314 3421 ไปเรื่อยๆ ) ไม่ทราบว่าต้องฝึกเพิ่มเติมอย่างไรอีกบ้างครับ

    ตอนนี้แวะพักออกมาหาของเล่นแก้กลุ้มไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปเปิดศึกกับแม่ทัพมารทั้งสาม และแม่ทัพหน่วยลับ (ตอนนี้ไม่น่าจะลับแล้ว เพราะเห็นกันมานาน) อีกครั้ง ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์ล่วงหน้าครับ
     
  2. seriest

    seriest สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    สอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับกรรมฐานค่ะ ว่าตอนนี้ทำถูกไหมคะ ทำไมเป็นแบบนี้

    ขอเล่าเดิมก่อนนะคะ คือเคยไปกรรมฐาน 7 วันที่ยุวพุทธิกสมาคม ค่ะ ตอนนั้นเคยนั่งสมาธิเจอปีติอยู่ครั้งนึง (แล้วไม่เจออีกเลย) หลังกลับจากที่นั่นมาหลังๆก็ไม่ค่อยได้ทำ จนลืมๆไป

    ผ่านไป 1 ปี

    อ่านหนังสือธรรมะแล้วรู้สึกว่าอยากจะปฏิบัติอีก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปเข้าคอร์สกรรมฐานค่ะ เนื่องจากเรียนและไม่มีเวลาว่าง เลยปฏิบัติตามที่ต่างๆ เช่นนั่งรถเมล์นานๆ ก่อนนอน
    ปฏิบัตินี่คือผสมๆบ้างระหว่าง พุธโธ และ ยุบ พอง พยายามพิจารณากระดูกหน้าผากตามที่ได้อ่านมา ประกอบกับเราเคยเรียนอนาโตมีมาก็เลยรู้สึกว่าทางนี้เข้ากับเรา เพราะเคยเห็นมาก่อน

    ทำได้ประมาณ 3 วันค่ะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย น้อยใจง่าย กว่าเดิมเยอะมากค่ะ

    แบบ พ่อพูดอะไรหน่อยค่ะ...ยกตัวอย่างนะคะ

    เรานั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ พ่อพูดว่า "นึกว่าอ่านหนังสือเรียนอยู่ อ่านหนังสือเรียนบ้างนะ" เราก็แบบ รู้สึกโกรธจี๊ดขึ้นมา
    (แบบว่า)เราก็อ่านหนังสือเรียนอยู่ แต่กลับจากหอมาอยู่บ้านก็อ่านหนังสืออื่นบ้าง ไม่ต้องมาบอกได้ไหม อะไรประมาณนี้
    ปกติแล้วไม่เคยรู้สึกโกรธง่ายขนาดนี้มาก่อน คือว่าไม่ได้ว่าพ่อหรืออะไรนะคะ แต่ว่าดูอารมณ์ตัวเอง เอ๊ะ... ทำไมโกรธง่ายจังเลย

    มีอีกตัวอย่าง

    คือว่าพ่อจะไปส่งเราไม่ได้เพราะแบตเตอรี่รถยนต์มันหมด เราก็ ปรี๊ด... น้อยใจขึ้นมาทันตาสุดๆไปเลย... เราก็งงว่าเอ๊ะ ทำไมเราน้อยใจง่ายจังเลยนะ พิจารณาดูมัน


    คือจะเกิดลักษณะนี้บ่อยมากๆเลยค่ะ บางทีเราก็เหมือนเนือยๆ มองคนเยอะๆแล้วอยู่ๆก็เบื่อขึ้นมา
    ปกติเราไม่ใช่แบบนี้นะคะ หรือว่าเราเป็นแบบนี้แหละแต่ไม่เคยดูก็เลยไม่รู้ พอมาดูถึงรู้


    ก็อยากจะถามค่ะว่าเกิดอาการอย่างนี้ เราปฏิบัติผิดไปรึเปล่าค่ะ และขอคำแนะนำด้วยค่ะ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ aforyou ครับ

    สวัสดีคับ คือ ผมนั่งสมาธิมานานแล้วคับ แต่ช่วงหลังๆ นี้ จิตมักไม่ค่อยนิ่ง และปวดร้าวตามตัว ผมเลยลองเปลี่ยนคำภาวนาดูคับ ผมลองเลือกใช้คำว่า "โสตัตตะภิญญา" ในการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ปรากฎว่ามันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผมเคยฝึกมากมาคับ คือ ภาวนาได้สักพัก ผมก็รู้สึกถึงความนิ่งสงบในร่างกาย เหมือนว่าผมหลอมรวมไปกับความมืดในอากาศ แต่ผมก็สัมผัสถึงกายผมได้แต่เหมือนมันสูงมากคือ ผมสัมผัสได้มือที่ประสานกัน และศรีษะแต่มันราวกับห่างไกลกันมาก และเหมอืนตัวผมเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว ไม่มีแสงสว่างอะรัย มันมืดมนิท แต่ก็เงียบสงบ ต่างจากที่เคยสับสนในการภาวนาครั้งอื่นๆ ซึ่งแตกต่างจากที่ผมเคยฝึกมา ที่มันมีแสงสว่างๆ และไม่สัมผัสถึงกาารคงอยู่ของตนเอง (ลองปฏิบัติ 2-3 ครั้ง - ผลเหมือนกันคับ)

    ผมอยากรู้ว่าความแตกต่างนี้มันคืออะไรคับ และการภาวนานี้ที่ถูกต้อง คืออะไรคับ เมื่อก่อนผมจะใช้ สัมปจิตฉามิ กับ จะภะกะสะ คับ

    ขอบคุณมากคับ<!-- google_ad_section_end -->

    คำภาวนาถ้าเลือกได้ตรงกับจิตของเรา
    ก็จะทำให้ปฏิบัติได้เร็วครับ

    บางคนต้องพุทโธ บางคนต้องสัมมาอรหัง บางคนต้องนะมะพะธะ บางคนก็ต้องโสตัตตะภิญญา

    อย่างตอนนี้เราเจอคำภาวนาที่ตรงกับจิตของเราแล้ว จึงเกิดผลไวครับ

    ก่อนหน้านี้ก็เลือกคำภาวนาได้ใกล้ แต่ยังไม่ถูกกับจิตเราเท่าอันนี้

    ไม่ต้องเปลี่ยนแล้วนะครับ

    ให้จับโสตัตตะภิญญาเอาไว้ครับ


    ส่วนสภาวะที่เข้าถึงนั้น ถูกแล้วครับไม่มีปัญหาอะไร

    เป็นสภาวะของฌาณ จิตจะนิ่ง เงียบ คล้ายหูดับไม่ได้ยินเสียงรบกวนภายนอก

    จิตนิ่งดิ่งลึกลงสู่ก้นของจิตใจเราเอง

    แต่ก่อนที่เราภาวนาแล้วรู้สึกสว่างก็จริง แต่จิตจะไม่นิ่งรวมตัวเท่านี้

    เพราะแสงสว่างที่เห็นเกิดจากองค์ของฌาณขั้นต้น

    ส่วนตอนนี้ฌาณมีความละเอียดขึ้น จึงจะไม่เห็นแสงสว่าง จะมีแต่ความนิ่งลึกของจิต

    อุปมาเหมือนเราดำน้ำลงในทะเล

    ถ้าเราดำน้ำไม่ลึกก็ยังพอเห็นแสงอาทิตย์

    แต่พอดำลงไปจนถึงก้นมหาสมุทร ย่อมมองไม่เห็นแสงพระอาทิตย์ฉันใด

    ฌาณที่ลึก ฌาณที่เป็นฌาณ4ละเอียด ก็ย่อมไม่มีปีติ ไม่มีแสงสว่าง ฉันนั้น


    ส่วนจุดที่ติดก็คือ จิตของเราไปเกาะ อารมณ์เอาไว้นิดนึง

    คือเราปล่อยไม่หมด จิตมันเลยยังอั้นๆนิดนึง

    อั้นในความสบาย มันยังสบายได้มากกว่านี้อีก

    ให้เราปล่อยความรู้สึกให้หมดครับ

    คลาย ผ่อน วางความรู้สึก ไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย

    เหลือแต่ความนิ่ง หยุด เงียบ ตั้งมั่นของจิตโดยส่วนเดียว

    จิตจะดำดิ่งลงสู่สภาวะที่สงบ ละเอียด ประณีตกว่านี้

    เพราะตอนนี้มันยังคลายไม่หมดครับ ให้คลายไปเรื่อยๆ

    วางความรู้สึกให้หมด จนจิต รู้สึกเบา สบาย ผ่อนคลาย นิ่งมากที่สุด

    ให้เราฝึกในการเข้าสภาวะที่นิ่ง ดิ่งลึก จนตัวหายนี้

    จนคล่องแคล่ว นึกจะเข้าเมื่อไหร่

    เราผ่อนคลายความรู้สึกปุ้ป จิตจะต้องนิ่งดำดิ่งลึก ได้โดยฉับพลันทันใด

    ให้เราฝึกทำจนมีความคล่องแคล่วแบบนี้

    ย่อมเป็นฐานที่มั่นคงแก่การฝึกอภิญญาต่อไปครับ

    ทำดีแล้ว ให้ทำให้คล่องยิ่งๆขึ้นไปครับ

    และสมาธิเป็นเรื่องของอารมณ์สบาย

    ต้องผ่อนคลาย ต้องไม่เกร็ง ไม่ตั้งใจมากไป

    ให้ลดความตั้งใจลงนิดนึง จิตก็จะถึงอารมณ์ที่เป็นทางสายกลางแล้วครับ

    ขอให้มีความคล่องแคล่วในการเข้าออกซึ่งฌาณละเอียดนี้

    และสามารถฝึกจนเข้าถึงซึ่งสัมมาอภิญญา ได้โดยเร็วไว

    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ tin.s ครับ

    สวัสดีครับ รบกวนถามผู้รู้ ผมนั่งสมาธิโดยเพ่งรูปพระชินราชเมื่อส่งจิตกำหนดภาพแล้วตัวเริ่มโยกไปมา ซ้ายขวา เมื่อเกิดอาการอย่างนั้นเลยเลิก ไม่ทราบว่าอาการอยย่างนี้คืออะไรปรกติหรืไม่ มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรต่อ ขอบคุณครับ<!-- google_ad_section_end -->

    เป็นอาการของปีติธรรมดาครับ

    ไม่ต้องตกใจ และพยายามไม่ต้องสนใจมากครับ

    คิดซะว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับพอเราไม่สนใจมันเดี้ยวซักพักมันก็หายไปครับ

    ทีนี้มาว่าเรื่องของการทรงภาพพระพุทธชินราช หรือจะทรงภาพพระองค์ใดก็ตาม

    ให้ทำอารมณ์สามข้อดังต่อไปนี้ครับ

    ข้อแรก

    เราเห็นภาพพระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยความเอิบอิ่มอย่างถึงที่สุด

    สำคัญมากนะครับ

    ถ้าเราไม่เห็นภาพพระท่านยิ้ม พุทธานุสติกรรมฐาน จะไม่เต็มอารมณ์ครับ

    และคนในสมัยโบราณท่านทรงภาพพระยิ้มกันทุกท่านครับ

    จึงก้าวหน้าได้เร็ว

    เพราะเมื่อเราเห็นภาพพระองค์ยิ้ม

    เราก็จะรู้สึกว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ให้เรา

    แล้วเราก็จะรู้สึกมีความสุข แช่มชื่น เบิกบาน แย้มยิ้มตามพระองค์

    ลองเทียบอารมณ์ระหว่างเห็นภาพพระยิ้ม กับเห็นภาพพระท่านมีพระพักตร์นิ่งเฉย

    ถามใจเราเองว่าแบบไหนมีความสุข ความสบายใจมากกว่ากัน

    ก็ต้องเป็นแบบที่พระองค์ยิ้ม

    พอจิตเรายิ้ม จิตเรามีความสุข

    เราก็อยากจะทรงภาพพระเอาไว้เรื่อยๆ

    เพราะมีความสุขที่จะทำ

    นึกกี่ทีก็เห็นพระองค์ยิ้ม

    ในสังคมนี้ไม่มีใครยิ้มให้เราเลย

    อย่างน้อยเรายังพระองค์เมตตาต่อเรา อยู่เสมอ

    เราก็จะมีกำลังใจมากขึ้นในการทำความดี

    ต่อมาข้อสอง

    ให้เรารู้สึกว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า

    ทรงเป็นพระบิดาของเรา

    ข้อนี้สำคัญมากอีกเช่นกัน

    เพราะคือตัวที่ใช้ตัดเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเลย

    จริงๆแล้ว เวลาที่เขาปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ จะขอนับถือพระพุทธศาสนา

    เขาจะต้องว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถูกไหมครับ

    แต่จะต้องมีอารมณ์ควบด้วย

    ก็คือ เราขอถือเอา คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า

    เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นประดุจพระบิดาของเรา ไม่มีสรณะใดจะยิ่งกว่า ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    คนปัจจุบัน ว่าแต่คาถา แต่ไม่รู้อารมณ์กำกับ จึงไม่เหมือนคนในสมัยพุทธกาล

    ที่ท่านแค่ว่าเท่านี้ก็เป็นพระโสดาบันแล้ว

    ตอนนี้เราว่าพุทธมนต์ทุกครั้ง ก้ให้เรารู้สึกแบบนี้ตามไปด้วย

    เวลาเห็นภาพพระ เวลากราบพระ ก็รู้สึกว่าเราเป็นลูกของพระองค์

    จิตของเราจะมีความเคารพ นอบน้อม อ่อนโยน สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเทียบกันไม่ติด

    ทรงภาพพระทุกครั้ง รู้สึกว่า เรามีความปลอดภัยสูงสุด

    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระทรงรักและเมตตาเรา ประดุจเป็นบุตรของพระองค์

    และเราก็รัก เคารพ นอบน้อมต่อพระองค์ ประดุจพระบิดา

    มาถึงข้อสุดท้าย

    คือเห็นภาพพระเป็นเพชร มีประกายระยิบระยับ มีรัศมีเพชร

    มีฉัพพัณรังสีพวยพุ่งจากภาพของพระองค์

    รัศมีเพชรแผ่สว่างวาบกระจายไปทั้งจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ

    เราตั้งจิต เป็นเมตตาควบไตรสรณคมว่า

    รัศมีเพชรจากภาพพระพุทธเจ้า ทรงแผ่ไปยังทั้งจักรวาล

    ไปกระทบกับดวงจิตใด ขอให้ดวงจิตนั้น

    ได้เข้าถึงซึ่งพระพุทธศาสนา เข้าถึงซึ่งไตรสรณคม มีจิตอันเคารพนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ และมีสรณะที่พึ่งอย่างแท้จริง แบบที่เราเข้าถึงแล้วนี้ด้วยเทอญ

    ข้อที่สามมีเอาไว้เปิดญาณทัศนะ

    และทำให้จิตเรามีเมตตา ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งไตรสรณคม ได้มีความเคารพนอบน้อมในพระพุทธเจ้า

    ก็จะส่งผลให้เรามีไตรสรณคมเต็มเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

    เมื่อเราทำครบสามข้อนี้

    จิตจึงจะมีความอิ่มเต็ม ในพุทธานุสติกรรมฐาน

    จิตจะเอิบอิ่ม แช่มชื่น แย้มยิ้ม เบิกบาน ทุกครั้ง ที่เรานึกถึงภาพของพระพุทธเจ้า

    เมื่อจิตมีความตั้งมั่นในอารมณ์นี้มากเข้าๆ

    และตั้งใจว่า เกิดมามันมีแต่ทุกข์

    ตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานเท่านั้น

    เมื่อตายแล้ว เราย่อมได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ด้วยความเคารพที่มีต่อพระพุทธองค์นั่นเอง

    ตอนนี้เป็นเวลาของการเร่งรัดปฏิบัติ

    ท่านใดปรารถนาพระนิพพาน ขอให้ท่านทำเพียงเท่านี้

    ให้ถึงที่สุดแห่งอารมณ์ รักพระพุทธเจ้า รักพระนิพพาน รักดวงจิตอื่นๆ จนสุดหัวใจ

    ท่านก็จะสามารถถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    ท่านใดไม่ปรารถนาความแก่กล้าของอภิญญา ของญาณทัศนะ

    หวังเพียงเพื่อพ้นทุกข์ เพียงจุดเดียวเท่านั้น

    นี่คือการปฏิบัติ ที่ลัดตัดตรงที่สุด ไม่ต้องทำสิ่งใดมาก

    ขอเพียงรัก เคารพ นอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าให้สุดหัวใจ ท่านจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    เนื่องจากหลายๆท่านไม่มีเวลา ให้มานั่งไล่ฌาณ 1 2 3 4 วิปัสสนาญาณ ที่ละขั้น ทีละชั้นอย่างละเอียด

    มันจะช้าเกินไปไม่ทันการ

    ขอให้ท่านจับเท่านี้ด้วยใจจริง ย่อมพ้นทุกข์ได้ในชาติปัจจุบันอย่างแน่นอน
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันนี้ผมจะขอมาลงเรื่องที่ทุกๆท่านคงจะสนใจกัน

    คือ การรักษาโรคด้วยสมาธิ ด้วยบารมีพระ อย่างง่ายๆ

    ซึ่งเพียงอ่านจบก็จะทำกันได้ทุกๆคน

    ก่อนอื่น ผมต้องอธิบายสาเหตุที่แท้จริงของโรคภัยไข้เจ็บให้ทุกๆท่านฟังก่อน

    โรคทุกอย่าง เกิดจากจิตเป็นสำคัญ

    จิตที่หยาบกระด้างจะทำให้เซล โมเลกุลในร่างกายหยาบ

    จิตที่ละเอียดจะทำให้เซล โมเลกุลในร่างกายละเอียด

    ยิ่งจิตมีกิเลสมากเท่าไหร่ รักโลภ โกรธ หลง เครียด มากเท่าไหร่ ยิ่งหยาบเท่านั้น

    ยิ่งจิตสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธิ์จากกิเลสมากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งละเอียดเท่านั้น

    ให้เรานึกถึง หน้าจอคอมพิวเตอร์

    ผมจะขอยกตัวอย่างว่า

    สมมุติว่า ผู้ที่จิตหยาบ จะมีความละเอียดของเซล จะอยู่ที่ 800x600

    ส่วนผู้ที่จิตละเอียด จะมีความละเอียดของเซล อยู่ที่ 1280x1024

    [​IMG]

    แน่นอนว่า ผู้ที่มีจิตละเอียด ย่อมมีผิวพรรณที่สวยงาม ที่เรียบเนียน ที่ดูเยาว์วัยกว่า

    ส่วนผู้ที่มีจิตหยาบนั้น ผิวพรรณก็ย่อมหยาบกร้าน รูขุมขนก็ย่อมใหญ่ ผิวก็ดูเสื่อมสภาพมากกว่า

    ทั้งนี้ก็เพราะจิตยิ่งหยาบกระด้างมากเท่าไหร่ ขนาดของเซลจะยิ่งใหญ่เท่านั้น ความะเอียดของผิวก็จะน้อย

    ส่วนจิตยิ่งละเอียดเท่าไหร่ ขนาดของเซลก็จะยิ่งเล็กเท่านั้น ความละเอียดของผิวก็จะมาก

    ซึ่งมันไม่ได้มีผลกับแค่ผิวหนังภายนอกที่เรามองเห็น

    แต่มันมีผลกับเซลของอวัยวะทุกๆอย่างในร่างกายของเรา

    ดังนั้น ถ้าจิตของเรา มีความเครียด โกรธ ลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสมาก เซลทั้งหมดในร่างกายจะมีขนาดที่ใหญ่มากกว่า ผู้ที่จิตสะอาดปราศจากรักโลภโกรธหลง

    ซึ่งเซลที่ใหญ่เหล่านี้ พอมันมีขนาดมากเข้าๆ มันก็กลายเป็นโรคแปลกๆ

    เช่น มะเร็ง ไมเกรน เนื้องอก โรคอีกมากมาย สุดจะพรรณนาในปัจจุบัน แม้แต่กระดูกสันหลังคด หรือร่างกายโครงสร้างผิดปรกติก็เช่นกัน

    ส่วนหลักฐานที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ก็คือ

    สังเกตุเวลาที่เราได้รับบาดเจ็บ ผิวหนังจะมีอาการบวมโตขึ้นมา

    อาการบวมนี้ ก็คือ สิ่งที่บ่งบอกว่า เซล ในบริเวณที่ได้รับการบาดเจ็บ จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น

    ต่อมาเมื่อบาดแผลถูกรักษา อาการบวมหายไป ก็เซลนั้นๆมีขนาดหดเล็กลงเท่าเดิม

    ดังนั้นถ้า เราทำจิตของเราให้ละเอียด คือมีความสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสได้มากเท่าไหร่

    เราก็จะสามารถรักษา ปรับ ลดขนาดเซลในร่างกายของเราให้หดเล็กลง ให้ผิวมีความละเอียดได้มากเท่านั้น

    และถ้าเราตั้งจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าเพื่อรักษาโรค จิตของพระพุทธองค์มีความละเอียดถึงที่สุด

    เราก็ย่อมหายได้จากโรคทุกโรค

    น้ำมนต์นั้น เมื่อชะโลมประพรม ลงบนร่างกายแล้ว ย่อมทำให้โมเลกุลของเซลปรับสภาพเปลี่ยนเป็นเพชร เหมือนเรื่อง "Message from the water" และทำให้ขนาดของเซลที่บาดเจ็บ อักเสบ หยาบกระด้าง หดเล็กลง และกลับมาละเอียดอีกครั้ง


    จบภาคทฤษฎี หวังว่าทุกๆท่านคงจะพอเข้าใจกัน และเห็นภาพกัน

    ต่อมาก็มาถึงการรักษาสิ่งที่เราต้องทำนั้น

    ให้เข้าสมาธิ ให้จิตของเราสงบนิ่ง เกิดความสุข ความสบาย ความเบาที่สุด ยิ่งจิตเบามาก สบายมาก สุขมาก ยิ่งรักษาได้ผลมาก

    พอจิตนิ่ง หยุด ตั้งมั่น เป็นสมาธแล้ว

    ให้เรานึกถึงภาพพระพุทธเจ้า ตามหลักสามข้อในการทรงภาพพระซึ่งผลได้อธิบายไป

    จากนั้นให้ตั้งจิตว่า

    ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์
    ให้โรคภัยไข้เจ็บของข้าพเจ้านี้ สลายหายไป โดยฉับพลันทันใด
    เพื่อให้ข้าพเจ้ามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงสามารถจะปฏิบัติสมาธิ
    และทำงานเพื่อถวายพระศาสนาได้โดยคล่องตัว
    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    จากนั้นให้เรานึกภาพ พร้อมทำความรู้สึกว่า

    เซล โมเลกุล ทั้งหมดในร่างกายของเรา หรือจุดที่ป่วยเป็นโรค

    หดเล็กลง มีขนาดเล็กลง มีความเล็ก ละเอียดมากขึ้น

    ต้องเห็นภาพชัด ความรู้สึกชัดเจนว่าเซล ว่าโมเลกุลทั้งหมด ค่อยๆหดขนาดเล็กลงๆ เล็กลงเรื่อยๆ

    มีความเป็นเพชร ใสสว่าง เปล่งประกายระยิบระยับ ในเซลทั้งหมดของร่างกาย

    เห็นภาพเซลทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเนื้อเพชร จนร่างกายของเราเป็นเพชรทั้งตัว

    เซลทั้งหมดในร่างกายหดขนาด ย้อนอายุ กลับไปเหมือนกับเซลในวัยเด็ก ที่มีความละเอียด นุ่มนวล

    รอยเหี่ยวย่น อาการที่ผิวหนังหย่อนยานทั้งหมด

    เกิดจากการที่เซลมีขนาดใหญ่ มีความหยาบมาก

    เมื่อเซลหดขนาดลง เปลี่ยนเป็นเพชร และละเอียดขึ้น

    ผิวหนังทั้งหมด ย่อมกลับมาเต่งตึงใหม่อีกครังนึง

    ยิ่งเล็กมาก ยิ่งละเอียดมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งเต่งตึงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    แล้วเราก็นึกพร้อมทำความรู้สึก ว่าเซลหดเล็กลงแบบนี้ จนกว่าจะหายจากโคภัยไข้เจ็บที่เราเป็น

    แน่นอนว่ายิ่งจิตละเอียดมากเท่าไหร่ ยิ่งเราศรัทธาในบารมีพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่
    ก็ยิ่งสามารถทำให้เซลหดเล็กลงได้มากเท่านั้น

    และวิชชานี้ได้มาจากการประยุต์วิชาความรู้ของท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ
    อานิสงค์ใดที่จะเกิดขึ้นจากสรรพวิชชานี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายต่อท่านปรมาจารย์ ด้วยความเคารพนอบน้อมสูงสุดด้วยเทอญ


    ขอให้ทุกๆท่านมีสุขภาพแข็งแรง สามารถจะนำวิชชานี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเอง และบุคคลอื่นได้

    ทั้งนี้ผู้ที่จะใช้วิชชานี้ได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือ ผู้ที่ความเคารพนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุดเท่านั้น

    ดังนั้นยิ่งใช้มาก เราก็จะยิ่งมีความตั้งมั่น ในไตรสรณคมสูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งใช้ยิ่งเป็นสัมมาทิษฐิ ยิ่งใช้ยิ่งเข้าใกล้พระนิพพาน

    ขอให้ทำได้กันทุกๆท่านด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2010
  6. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    ตัวเองมักจะนอนฌาน...ให้หลับไปเลย...
    ตอนแรกก็รู้สึกมีปิติ...รู้สึกเย็นสบายโปร่งเบาสบาย...เปนระยะ...แต่อยู่ดีๆก็เหมือนมีแรงอะไรบางอย่างฉุดให้ลุกขึ้น..รู้สึกรัดๆแน่นๆเหมือนดึงลอยขึ้นมาอย่างนั้นแหละ...อธิบายไม่ถูก..ก็ปล่อยมันเลยตามเลย...คือพอมันหลุดปุ๊บมันก็เบาๆ...จากนอนก็กลายเปนนั่งสมาธิแทน....มันคืออะไรเหรอค่ะ...คือไม่ค่อยจะรู้อารมณ์ของสมาธินะค่ะ
     
  7. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    หวัดดีครับท่านจอมยุทธ์
     
  8. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    ได้ไปทำบุญถวายพระที่จ.กาฬสินธิ์มาครับ พร้อมทั้งถวายผ้าไตร ร่วมอนุโมทนาบุญกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ช่วงนี้นั้น ผมหายไปไม่ค่อยได้เข้ามาในกระทู้

    เนื่องจากมานั่งฝึกวิชาอย่างเข้มข้น

    โดยทรงสมาธิต่อเนื่องมาประมาณ 200+ชั่วโมง

    ร่างกายทำสิ่งต่างๆจริง แต่จิตประคองอยู่ในสมาธิตลอด

    ต่อไปนี้การแนะนำสมาธิของผมนั้น

    ผมจะยกระดับความเข้มข้นขึ้น

    บุคคลใดควรแก่การปฏิบัติแบบใด ท่านใดควรจะไปพระนิพพาน ท่านใดควรจะสร้างบารมีต่อ

    ผมจะจี้ จะเจาะลึกโดยละเอียด เป็นทีละบุคคลไป

    ขอให้ทุกๆท่านพึงได้รับอานิสงค์จากการตั้งใจทรงสมาธิของผมโดยทุกประการ และขอให้ทุกๆท่านเร่งความเพียร ตั้งใจปฏิบัติให้มากขึ้น

    เน้นทรงสมาธิให้ได้เป็นปรกติของชีวิตของเราจริงๆ

    เนื่องจากชีวิตของเรานั้นไม่เที่ยง

    อย่างน้อยที่สุด ให้คิดเอาไว้ทุกวันว่า

    ถ้าวันนี้ เราตายขึ้นมา เราจะไปไหน

    สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ต้องจอง ต้องปักจิตให้มั่นคง แล้วแต่ความปรารถนาของตัวท่านเอง

    หากท่านตั้งใจแบบนี้ การลงอบายภูมิจะไม่มีแก่ท่าน ท่านจะปิดประตูอบายภูมิของท่านได้

    และขอให้ท่านเข้าใจว่า เมื่อไปอยู่บนสวรรค์ และพรหมนั้น ท่านสามารถจะปฏิบัติธรรมต่อได้จากจุดนั้น

    และเข้าสู่พระนิพพานได้โดยไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้ง

    ดังนั้นอย่างเลวที่สุดเราต้องไปสวรรค์ได้ จะไม่ให้ต่ำกว่านี้

    ขอให้ตั้งกำลังใจในการปฏิบัติของทุกๆท่านเอาไว้แบบนี้ และมีพระนิพพานเป็นที่สุดได้ โดยเร็วไวด้วยเทอญ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ NICKAZ ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจ เรื่องที่ท่านเตือนมานั้น ผมตระหนักอยู่เสมอครับ พูดจริงๆ ที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้อะไรเลยนะ ยังหาความดีไม่ได้ ความดีที่จะประคองตัวให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับชาติภพอยู่

    ทุกวันนี้จึงต้องพยายามมองหาความไม่ดีหรือความเลวของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อพบแล้วก็ต้องเตือนตัวเอง แล้วหาทางปรับปรุงตัวเองต่อไป เหมือนที่หลวงพ่อฤษีท่านว่าไว้ล่ะครับว่าจริตของคนอื่นอย่าได้สนใจ ให้สนใจอยู่แต่เรื่องของเราอย่างเดียวพอ

    ผมเป็นคนกลัวตกนรกครับ รู้สึกว่าตัวเองยังมีบาปกรรมอยู่อีกพะเรอเกวียน แม้ทุกวันนี้ หากเผลอเรอเมื่อไหร่ จิตได้กลับไปไต่อยู่ที่ขอบนรกทุกทีไป

    ที่ผ่านมามีสื่อบางอย่างบอกว่าเราใช้กำลังของสมาบัติหนีนรกมาตลอด ตอนนี้ก็เช่นกันก็ต้องพยายามหนีต่อไป แต่การหนีอย่างนี้ก็ไม่แน่นอน อาจมีพลาดพลั้งกันได้ ผมจึงต้องการที่จะหนีให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียที

    ที่ว่ายังไม่ได้อะไรเลยก็คือว่ายังมีความดีไม่พอ (ความเลวนั่นล่ะ) อยู่หลายประการครับ ยังหาทางแก้ไม่ได้สักที
    1.การทรงสมาบัติ ทรงได้ก็ทรงไป แต่นิวรณ์ 5 ก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่เหมือนเดิม (อันนี้คงเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุขน)
    2.ความเลวอย่างที่สอง เวลาครูท่านมาบอก ท่านต้องการให้ทำอารมณ์อย่างนี้ แล้วค่อยไปทำอารมณ์อย่างอื่น ก็ทำได้ไม่ดีอย่างที่ท่านบอกหรือไม่ได้ตั้งใจทำ (อันนี้ถือว่าเรายังเลวอยู่มาก)
    3.อันนี้เลวมากที่สุด คือหลงใหล เข้าใจผิด ยึดถือในสิ่งที่มารลวงไว้ว่าเป็นของดี กว่าจะรู้ตัวว่าผิดท่าก็ถลำไปไกลแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ

    ที่ผ่านมาใช้กำลังของตัวเองมากเกินไป จึงมีโอกาสพลาดพลั้งไปมาก ได้คำเตือนจากเจ้าของกระทู้นี่ล่ะครับ ที่บอกว่าการทำอะไรต้องอาศัย อาราธนาพระท่านให้ช่วยอยู่เสมอ แล้วจะได้ปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย หายห่วง

    คุยกับเจ้าของกระทู้พอหอมปากหอมคอ พอดีมีคำถามด้วยความสงสัยครับ คือเห็นในหัวข้อก่อนๆ มีท่านสมาชิกบางท่านถามว่าเวลาออกกำลังกาย ทำสมาธิไปด้วยได้ไหม เจ้าของกระทู้บอกว่าได้ ทำได้เลย อันนี้ตรงกับใจผม

    ประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าๆที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นมาก หายใจออกมาเป็นไอเลย ตอนวิ่งก็ไล่วาโยกสิณควบไปกับเตโชกสิณไปด้วย รู้สึกว่าตัวเบาขึ้นการวิ่งใช้แรงน้อยลงและร่างกายมีความอบอุ่นมากขึ้น ไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด เหมือนกันอีกอย่างคือเวลาอยู่ในป่าเขา ต้องเดินข้ามเขากันเป็นลูกๆ วาโยกสิณช่วยได้มาก (อันนี้อาจเป็นอุปทานก็ได้ครับ)

    ทีนี้มาถึงคำถาม ถ้าอยากจะให้เวลาออกวิ่งทุกครั้ง จะออกวิ่งปุ๊ป วาโยกสิณเข้ามาในใจปั๊ปเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งไล่ ต้องฝึกอย่างไรครับ ถึงจะมีความเคยชินแบบนี้ให้เกิดเป็นของประจำตัว (ตอนนี้ที่เล่นอยู่เป็นประจำคือการไล่ฌานเล่นแก้กลุ้มครับ ว่าไป 1234 4321 4123 2314 3421 ไปเรื่อยๆ ) ไม่ทราบว่าต้องฝึกเพิ่มเติมอย่างไรอีกบ้างครับ

    ตอนนี้แวะพักออกมาหาของเล่นแก้กลุ้มไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปเปิดศึกกับแม่ทัพมารทั้งสาม และแม่ทัพหน่วยลับ (ตอนนี้ไม่น่าจะลับแล้ว เพราะเห็นกันมานาน) อีกครั้ง ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์ล่วงหน้าครับ

    ต่อไปนี้ผม จะขอจี้กันตรงๆเลยนะครับ

    คุณเป็น ผู้ปรารถนาความเป็นพุทธภูมิจริง แต่ยังอยู่ในกำลังใจที่สามารถจะเลือกได้ว่าจะลาหรือจะลุยต่อ

    โดยเหตุของการปรารถนาพุทธภูมินั้น
    <!-- google_ad_section_end -->
    เกิดจากเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้ง ในสรรพวิชชาในความรู้ทั้งจักรวาล

    คุณอยากจะมีความรู้ ที่มีความเต็มรอบแบบพระองค์บ้าง

    อยากจะทรงกรรมฐานได้หลายๆกอง อยากจะฝึกวิชชาหลายๆวิชชา

    เป็นผู้ใฝ่ในการเรียนรู้ ใฝ่ในการศึกษาหาวิชชา

    แต่ไม่ได้ตั้งกำลังใจโดยตรงว่าปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน

    ดังนั้นท่านจะตั้งใจที่จะฝึกวิชชาเยอะ แต่เรื่องที่จะมาสอน มาช่วยผู้คนนั้น

    จะทำแต่เพียงบางโอกาส พอพ้นระยะก็กลับไปฝึกวิชชาต่อ

    ณ ตอนนี้คุณสามารถที่จะเลือก ที่จะขอไปพระนิพพานในชาตินี้ ชาติหน้า แล้วแต่วาระความพอใจ ฝึกวิชชาจนรู้จนพอใจเมื่อไหร่ก็ลาไปเมื่อนั้น

    หรือคุณจะเลือกที่จะปรารถนาความเป็นพุทธภูมิอย่างเต็มที่

    คือ ในเมื่อเราฝึกวิชชา มาพอสมควรแล้ว จริงๆของเก่าเยอะแต่ยังเรียกมาไม่หมด

    เราก็น่าที่จะเอาความรู้ตรงนี้มาใช้ช่วยเหลือคน มาสอนให้ผู้อื่นเข้าถึงซึ่งพระนิพพานพร้อมๆกับเรา น่าจะเป็นเรื่องดี

    แต่ตอนนี้ยังแกร่งไม่พอที่จะสอน ต้องแกร่งกว่านี้อีก

    ถ้าต้องการแบบนี้ก็ให้เราตั้งใจเอาไว้ก่อน ว่าเราจะขอเอาวิชชามาถ่ายทอดมาแนะนำ มาช่วยผู้อื่น

    หากเราตั้งใจแบบนี้ วิชชาจะรวมตัวเร็วกว่าเดิม แต่จะมีงานช่วยผู้อื่นให้ต้องทำ

    ส่วนหากเราจะขอฝึกไปเรื่อยๆ จนเข้าพระนิพพานเฉยๆ ก็ย่อมได้ ก็จะไม่มีงานให้สอนแบบเป็นกิจลักษณะ จะแค่แนะนำสมาธิพอประมาณ แต่ว่าวิชชาจะไม่รวมตัว จะไม่แก่กล้าเท่า เรามาช่วยคนอื่น

    พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง

    หากเราอยากจะได้ อยากจะรู้วิชชาทั้งหมด ก็ต้องตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่นมากๆ
    ยิ่งช่วยมากยิ่งแก่กล้า เป็นกฏธรรมชาติ

    หากเราพอใจกับวิชชาที่มีอยู่ในระดับที่พอสมควร ซึ่งมันก็เยอะแหละ แต่มันไม่ถึงที่สุด
    เราก็สามารถจะฝึกไปเรื่อยๆ แบบนี้ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ทางเลือกเป็นของคุณเองครับ ผมมีหน้าที่เพียงชี้ทางเดินให้
    และจะแนะนำไปจนสุดเส้นทางที่คุณตัดสินใจเลือก ไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม

    ส่วนวิธีใช้วาโยกสิณนั้น ถ้าจะให้เข้าปั้ปเลย

    ให้เราจำอารมณ์แทน

    ซึ่งอารมณ์ก็คือ เรารูสึกว่าร่างกายเราเบามาก เบาดุจขนนก เบาดุจปุยนุ่น

    ถูกกระแสลมพัดนิดเดียวก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    ยิ่งจิตเบา จิตสบาย จิตเหมือนลอยได้มากเท่าไหร่ กายเองก็ยิ่งเบา ยิ่งวิ่งได้เร็ว ยิ่งเหนื่อยน้อยเท่านั้น

    ขอให้ลองไปเล่นดูครับ

    ช่วงนี้ตัวผมเองก็กำลังเก็บวิชชาอยู่เหมือนกัน

    คาดว่าใน2-3เดือนข้างหน้า ผมจะเริ่มเอาของเล่นบางอย่างของครูบาอาจารย์มาสอน ต้องขออนุญาติท่านก่อน

    แต่จะสอนให้เฉพาะคน ท่านใดวิสัยพอได้ ซึ่งต้องมีคนเช็คและยืนยันอย่างน้อยสามคนในทางกลุ่มของผม ผมจะสอนให้เป็นการส่วนตัวรายบุคคลไป

    อันนี้เฉพาะของเล่นนะครับ ส่วนสมาธิปรกติ เป็นสาธารณะครับ สอนทุกคนเสมอกัน

    ขอให้มีแต่ความก้าวหน้าในสรรพวิชชาทั้งหลาย ยิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2010
  11. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    อยากให้ท่านชัช จี้กระผมหน่อยอะครับว่าเป็นแบบใดยังไง เหมาะกะกรรมฐานแบบไหน แล้วของเก่าเป็นมายังไง ปรารถนาอะไรไว้อะครับ แล้วมีหน้าที่อะไรพิเศษไหมครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้าจากความเมตตาที่มีให้ผมนะครับ
     
  12. pinya

    pinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +842
    แอบแวะมาดูตามคนข้างบนมาคะ^
    ^

    ^
    ^
    ^
    ^
     
  13. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ถ้าฝึกแล้วไปนิพพานผมไม่ขอฝึกดีกว่า ผมยังไม่อยากไปนิพพาน (ผมฌโง่มั๊ยครับ)ท่านชัดทำประโยชน์ให้แก่หมู่คณะมามาก น่านับถือยิ่งแล้ว คนเยี่ยงท่านจะพบพานมิใช่ง่าย ท่านเป็นทั้งกัลยานมิตร เป็นทั้งครูที่ดี ขอให้สำเร็จดังความประสงค์เถิด
     
  14. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ขออนุโมทนากับอาจารย์ชัชด้วยครับ ที่เสียสละเวลาช่วยตอบคำถาม และแนะนำการปฏิบัติให้กับหลายๆคน รวมทั้งผมเองด้วย เห็นอาจารย์ชัชแจ้งว่าต่อไปนี้จะตอบคำถามและแนะนำการปฏิบัติให้แต่ละคนแบบเข้มข้น ผมเองรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีครับ เพราะอยากให้ผู้รู้ช่วยชี้แนะแนวทางแบบตรงๆไปเลย ไม่อ้อมค้อม ถึงแม้ว่าบางทีคนที่ถูกแนะนำอาจไม่ยอมรับก็ตาม แต่ตัวผมเองยินดีน้อมรับคำแนะนำทุกอย่างครับ

    ขอเล่าเรื่องการปฏิบัติของผมให้อาจารย์ เพื่อให้คำแนะนำครับ
    หลังจากไปอบรมเรื่องการงานมา5สัปดาห์ ถึงวันนี้การปฏิบัติของผมยังลุ่มๆดอนๆเหมือนเดิมครับ ต่อไม่ติด ไม่ต่อเนื่อง ฯลฯ จนวันพระเมื่อวาน (19มิย) ก็หันกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง ก็แบบเดิมครับ บริกรรมพุทโธเรื่อยๆ ไม่ก็สวดอิติปิโส จนกระทั้งคำบริกรรมหายไป ก็หันกลับมารู้ลมต่อ การปฏิบัติที่ผ่านมา ส่วนมากพอจิตหันมารู้ลมได้ไม่เท่าไหร่ จะหลับไปเลยครับ (ผมนอนภาวนา) แต่บางทีก็เข้าฌาน นานๆครั้งก็นอนไม่หลับ จิตมันตื่น ต้องพลิกตัวไปมาถึงค่อยหลับ
    สรุปแล้ว การปฏิบัติของผมในรอบ1ปีมานี้ ก็วนเวียนอยู่เท่านี้ครับ จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำวิปัสสนาเพื่อให้ตัวเองไปนิพพานเร็วๆ แต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจเอาซะเลย ก็ขอให้ท่านอาจารย์ชัชช่วยพิจารณาให้คำแนะนำการปฏิบัติกับตัวผมด้วยนะครับ เพราะจนกระทั่งถึงวันนี้รูสึกว่าตัวเองยังไม่ไปไหน เดินหน้า2ถอยหลัง3 อยู่เหมือนเดิม
     
  15. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ของเล่นทั้งหลายอันเนื่องมาจากกำลังของสมาบัติต้องเล่นกันภายใต้กฎแห่งกรรมเท่านั้น

    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจ


    ต่อไปนี้ผม จะขอจี้กันตรงๆเลยนะครับ

    คุณเป็น ผู้ปรารถนาความเป็นพุทธภูมิจริง แต่ยังอยู่ในกำลังใจที่สามารถจะเลือกได้ว่าจะลาหรือจะลุยต่อ

    โดยเหตุของการปรารถนาพุทธภูมินั้น
    <!-- google_ad_section_end -->
    เกิดจากเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้ง ในสรรพวิชชาในความรู้ทั้งจักรวาล

    คุณอยากจะมีความรู้ ที่มีความเต็มรอบแบบพระองค์บ้าง


    ใช่แล้วครับ ผมอยากมีความรู้เต็มรอบครับ เพราะเรื่องที่เรา "รู้ว่าไม่รู้" และ "ไม่รู้ว่าไม่รู้" ยังมีอีกมากมายจริงๆ การเก็บวิชชาต่างๆให้ได้ จะนำไปสู่หนทางที่ผมปรารถนาในที่สุดครับ


    อยากจะทรงกรรมฐานได้หลายๆกอง อยากจะฝึกวิชชาหลายๆวิชชา

    เป็นผู้ใฝ่ในการเรียนรู้ ใฝ่ในการศึกษาหาวิชชา

    แต่ไม่ได้ตั้งกำลังใจโดยตรงว่าปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน

    ดังนั้นท่านจะตั้งใจที่จะฝึกวิชชาเยอะ แต่เรื่องที่จะมาสอน มาช่วยผู้คนนั้น

    จะทำแต่เพียงบางโอกาส พอพ้นระยะก็กลับไปฝึกวิชชาต่อ


    ถ้าเรื่องนี้จะเป็นสัญญาแต่เก่าก่อน ในชาติ ภพ ใด ระหว่างการท่องเที่ยวในวัฏฏะ ที่เคยอธิษฐานไว้ ซึ่งจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเคยตั้งใจไว้จริงผมก็ยอมรับ เรื่องของการสอน การแนะนำ ผมยอมรับว่าสอนแนะนำผู้ใดไม่เป็นหรอกครับ เพราะถือว่า ณ จุดนี้เรายังไม่ได้อะไร ไม่มีความรู้อะไรจะไปแนะนำใคร ยังไม่มีความดีพอ ยังมีความเลวอยู่มาก บอกไป แนะนำไป ผมก็คงจะตกนรกไปเสียเองเท่านั้น เพราะบอกไม่ถูกเรื่อง ไม่ถูกราว


    แต่การเลือกหนทางแบบใดนั้น ผมเองได้เลือกไว้แล้ว และ ณ บัดนี้จะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจเพื่อให้ไปถึงแดนที่มุ่งหวังให้ได้ในที่สุดครับ



    ส่วนวิธีใช้วาโยกสิณนั้น ถ้าจะให้เข้าปั้ปเลย

    ให้เราจำอารมณ์แทน

    ซึ่งอารมณ์ก็คือ เรารูสึกว่าร่างกายเราเบามาก เบาดุจขนนก เบาดุจปุยนุ่น

    ถูกกระแสลมพัดนิดเดียวก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    ยิ่งจิตเบา จิตสบาย จิตเหมือนลอยได้มากเท่าไหร่ กายเองก็ยิ่งเบา ยิ่งวิ่งได้เร็ว ยิ่งเหนื่อยน้อยเท่านั้น

    ขอให้ลองไปเล่นดูครับ


    อันนี้เป็นวิธีการที่ผมใช้กับเตโชกสิณอยู่พอดี นึกปั๊บ อยู่ในใจปุ๊ป อาจเป็นเพราะว่าชื่นชอบ ฝังใจกับเตโชกสิณเป็นพิเศษ แต่กสิณอื่น รู้สึกเฉยๆ เลยไม่ทราบว่าใช้วิธีนี้ได้ด้วย งั้นขอรับเอาคำแนะนำไปลองปฏิบัติดูนะครับ ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำหรือเปล่า ขอขอบคุณในคำแนะนำครับ


    ช่วงนี้ตัวผมเองก็กำลังเก็บวิชชาอยู่เหมือนกัน

    คาดว่าใน2-3เดือนข้างหน้า ผมจะเริ่มเอาของเล่นบางอย่างของครูบาอาจารย์มาสอน ต้องขออนุญาติท่านก่อน


    อันนี้ขออนุโมทนาด้วยครับ ผมเองตอนนี้หมดเวลากับเรื่องของของเล่น เข้าสู่เรื่องของของจริงที่เป็นภารกิจหลัก ต้องกลับไปเปิดศึกกับแม่ทัพกิเลสมารต่อครับ ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำอีกครั้งครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2010
  16. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ไม่อยากไปนิพพานนั้นมิได้โง่หรอกครับ โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่อยากไปนิพพานเช่นกัน อยากเกิดเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ ยังช่วยคนได้อีกเยอะ ไปนิพพานกันให้หมดเสียก่อนแล้วผมค่อยตามไป
     
  17. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    มีคำถามมาถึงผมทางpmครับ ขอเอามาแปะไว้ในกระทู้นี้ต่อ เพราะน่าสนใจดีมาก

    ตอบปัญหาทาง pm ครับ เนื่องจากมีท่านสมาชิกบางส่วนสอบถามผมมาทาง pm ผมเข้าใจว่าท่านคงจะเห็นผมเข้ามาสอบถามกับทางคุณ Xorce ในกระทู้นี้อยู่เรื่อยๆ เพราะช่วงนี้หน้าที่การงานรัดตัว เวลาเข้ามาที่เว็บนี้ มักจะไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนกระทู้อื่น นอกจากเข้ามาที่กระทู้ของคุณ Xorce นี้ เพราะมีเรื่องที่จะสอบถามกับคุณ Xorce อยู่ ท่านคงเห็นว่าผมมาถามบ่อยๆ เลย ส่ง pm ไปถามผมบ้าง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมได้ตอบกลับท่านที่ถามผมมา ไปทาง pm ของท่านเรียบร้อยแล้ว แต่ยังเห็นว่าคำถามใน pm บางหัวข้อ น่าสนใจ และผมก็ไม่มีความรู้พอที่จะตอบท่านด้วย

    จึงจะขออนุญาตคุณ Xorce ไว้ในที่นี่ว่าขอนำเอาคำถามมาเล่าในกระทู้แห่งนี้ด้วยนะครับ เผื่อว่าท่านใดที่มีความรู้ หรือเจ้าของกระทู้จะให้ความรู้เพิ่มเติมกับท่านที่สอบถามผมมาได้ก็จะดีมากขึ้นครับ


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น ท่านใดที่ส่ง pm มาถามกับผม ถ้าท่านผ่านมา ก็ขอแนะนำให้ติดตามคำตอบของท่าน ที่ท่านสมาชิกท่านอื่นๆ หรือเจ้าของกระทู้ท่านอาจจะขยายความเพิ่มเติมจากที่ผมตอบท่านไปแล้ว (ทาง pm) ในกระทู้แห่งนี้ด้วยนะครับ

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รวมๆแล้ว คำถามที่ท่านสมาชิกส่งเข้ามา จะถามในเรื่องของการฝึกไล่ฌาน ว่าทำอย่างไร


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก่อนอื่นขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกครับ เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นฝึกหัด เหมือนๆกับสมาชิกหลายๆท่านนั่นเอง ผมก็เลยเล่าให้ท่านฟังว่าวิธีการของผมนั้นเป็นอย่างไร (เล่ากัน คุยกันให้ฟัง ไม่ใช่การแนะนำ เพราะผมไม่มีความสามารถพอที่จะแนะนำท่านผู้ใดได้ )


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทีนี้คำถามน่าสนใจใน pm คือ ท่านถามผมมาว่าการไล่ฌาน ท่านก็ทำได้เพียงไปตามลำดับขั้น ทำอย่างไร ถึงทำสมาธิปั๊บ ไปถึงฌาน 4 ปุ๊บ ฝึกอย่างไร


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ท่านถามผมมาแบบนี้ ก็ต้องบอกว่าผมก็ทำไม่ได้หรอกครับ (ผมแค่ขั้นฝึกหัด โปรดอย่ามองว่าผมเป็นนวสีเลยครับ ยังห่างไกลอีกมาก แต่ผมเชื่อว่าในทีนี้คงจะมีผู้ที่ทำได้อยู่หลายท่าน)


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สิ่งที่ผมทำก็ไปตามลำดับขั้นเหมือนที่ท่านทำนั่นล่ะครับ เพียงแต่การซ้อมบ่อยๆ จิตมันจะมีความคล่อง การไล่ฌานก็เลยดูเหมือนว่าไปได้ปุ๊บปั๊บ แต่จริงๆแล้ว ก็ต้องขึ้นไปตามลำดับขั้นเหมือนกัน เพียงแต่ไปด้วยความเร็วสูง จนไม่รู้สึกว่าผ่านฌานในแต่ละขั้นไป เช่นตั้งใจจะไปฌาน 4 มัน อยู่ๆ จะไปฌาน 4 เลย ผมก็ทำไม่ได้ ต้องผ่าน 1 2 3 ก่อนอยู่ดี แต่มันผ่านไปด้วยความเร็วสูงครับ


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เหมือนกับการขับรถ เข้าเกียร์อยู่ๆ จะไปเกียร์ 4 เลย ไม่ได้ ต้องผ่านเกียร์ 1 2 3 ไปก่อน เปรียบกับการขับรถ บางท่านอาจจะไม่คุ้นเคย เพราะไม่ได้ขับรถ งั้นเปลี่ยนใหม่เป็นยกตัวอย่างการขึ้นตึก 4 ชั้นแทน อยู่ๆ เราจะขึ้นไปชั้น 4 เลยไม่ได้ ต้องผ่าน ชั้นที่ 1 2 3 ไปก่อน ฉันใดก็ฉันนั้น การไล่ฌานของผมก็เหมือนกัน ต้องผ่าน 1 2 3 ไปก่อน ถึงไป 4 ได้ แต่ดูเหมือนมันนึกปั๊บถึงเลย เพราะการซ้อมให้คล่อง มันก็ไปของมันเองครับ


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ยกตัวอย่างที่ผมเคยถามคุณ Xorce เกี่ยวกับเรื่องของอสุภกรรมฐาน (หัวข้อคำถามอยู่ในกระทู้นี้ล่ะ แต่อยู่หน้าไหนจำไม่ได้ ไม่มีเวลาไปค้นเอามาแปะในนี้) ผมถามคุณXorce ว่า เมื่อผมพิจารณาซากศพ (สร้างภาพเอาในนิมิต) จนใจฟุ้งซ่าน เลยหันไปจับสมถอื่นๆ ระงับความฟุ้งซ่าน ก็อาศัยการเพ่งซากศพนั้นต่อ จากศพเน่า ขึ้นอืดเขียวๆ เหลืองๆ ผมเพ่งจนกลายเป็นศพเพชร บางครั้งถ้าจิตบทจะคล่องจริงๆ พริบตาเดียวจากศพเขียวๆเหลืองๆขึ้นอืดก็กลายเป็นศพเพชรไปแล้ว ดูการเปลี่ยนสีไม่ทัน แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนสีไปทันทีทันใด แต่มันมีขั้นของมันอยู่ คือจากศพของเดิมกลายเป็นสีขาว แล้วกลายเป็นสีใส จนกลายเป็นเพชรในที่สุด เพียงแต่ขั้นตอนการเปลี่ยนสีมันเร็วมากนั่นเอง จนถึงสุดของอารมณ์กสิณบวกกับอสุภกรรมฐานเมื่อกลายเป็นศพเพชรในที่สุด


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ของพวกนี้ก็เป็นแค่ฌานโลกีย์ครับ ไม่ใช่ว่าจะคล่องอยู่ตลอด มีได้มีเสื่อมตามปกติ ถึงต้องซ้อมกันอยู่ตลอด (ตามวิสัยของปุถุชนครับ)


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่เล่ามาจะเห็นว่าผมก็ยังต้องไล่ฌานไปตามลำดับขั้นเหมือนกัน นึกจะไปฌานไหน ยังไปไม่ได้ตามใจนึก ก็เลยยังตอบท่านที่ถามผมมาทาง pm ในหัวข้อนี้ไม่ได้ ก็เลยเอามาเล่าในกระทู้นี้ เผื่อว่าจะมีผู้ที่มีความรู้หรือท่านเจ้าของกระทู้จะขยายความในส่วนนี้เพิ่มเติมให้ทราบกันได้ครับ

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เล่ามานาน เห็นท่าจะยืดยาว สรุปเลยดีกว่า

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    “ทำอย่างไร จะเข้าฌาน 4 ได้ในทันที โดยไม่ต้องไปไล่ฌานตามลำดับ” ท่านใดพอทราบวิธีการ ขอความอนุเคราะห์ให้ความรู้เป็นวิทยาทานด้วยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2010
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมค่ะ โมทนากับน้องชัชด้วยจ้ะ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ KOKOKING ครับ

    อยากให้ท่านชัช จี้กระผมหน่อยอะครับว่าเป็นแบบใดยังไง เหมาะกะกรรมฐานแบบไหน แล้วของเก่าเป็นมายังไง ปรารถนาอะไรไว้อะครับ แล้วมีหน้าที่อะไรพิเศษไหมครับ

    ขอบพระคุณล่วงหน้าจากความเมตตาที่มีให้ผมนะครับ


    จิตสว่าง ร่าเริงแจ่มใส ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทำของเก่ามาดีพอสมควร

    เป็นแบบใด อภิญญา เหมาะกับกรรมฐานแบบใด อภิญญา ของเก่าเป็นแบบใด อภิญญา

    ความปรารถนาและหน้าที่ ต้องไปรู้เอง
    ถ้าการไม่รู้ ไม่ถึงขั้นทำให้ติดขัดในการปฏิบัติ ผมจะไม่บอก

    จับกรรมฐานมาหลายกอง แต่ไม่จับให้สุดทีละกอง สลับไปสลับมา
    ผสมกับยังไม่เจอครูบาอาจารย์ที่มาสอนแบบตรง เป้ะๆๆ เลยยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

    จิตสว่าง เพราะเป็นคนที่มีกำลังศรัทธามาก

    ส่วนปัญญานั้นยังไม่บริบูรณ์ ต้องเพิ่มอีก

    หากฝึกมโนมยิทธิ ทิพยจักษุญาณ ญาณรู้เห็น จะทำได้ดี

    หากฝึกอภิญญาก็จะทำได้ดี

    แต่หากฝึกแบบไม่รู้ไม่เห็น หลับตาภาวนาไป ถึงไหนถึงกัน แบบนี้ล้มไม่เป็นท่า

    จะเอาดีไม่ได้ อย่าไปฝึกแบบนั้น

    เพราะเราไม่ใช่สุกขวิปัสสโก

    ตาต้องเห็นจริง มือต้องทำได้ ถึงจะตรงกับจริต

    จริงๆ สามารถจะฝึกกำลังของสมถะ ตัวนิ่ง อารมณ์จิตที่หยุด เย็น เบา เป็นฌาณ4ได้ดี

    แต่ไม่ได้รับการแนะนำที่ถูกต้องตรงกับจริต จึงยังทำได้ไม่เต็มที่ จิตยังซัดส่ายอยู่เยอะ

    ทั้งที่สามารถจะนิ่ง แบบเป้ะๆได้

    กำลังสมถะเลยยังพร่องไป ทั้งๆที่ของเก่าทำมาเยอะ

    อุปมาเหมือนเพชรในตม ที่ยังไม่มีผู้ใดมาเจียรไนให้สวยงาม ให้เปล่งประกายระยิบระยับ

    สิ่งที่ต้องฝึก ในอันดับแรก

    จับกสิณให้อยู่ ไม่ต้องหาอะไรมาเพ่งนะ ใช้จิต จินตภาพ กำหนดเอาเลย

    เอากสิณแสงสว่าง และกสิณภาพพระ ให้สุดก่อน เพราะเป็นของถนัด ทำง่ายกว่ากองอื่น

    หรือควบไปเลย

    เห็นภาพพระเนื้อเพชร เห็นพระองค์ยิ้ม มีแสงสว่างฉัพพัณรังสี ไล่ให้เห็นครบทุกสี ต้องครบทุกสีพร้อมๆกัน และรัศมีเพชรละเอียด ระยิบระยับ เกร็ดแก้วละเอียดถึงที่สุด ถี่ยิบ

    แผ่ส่องสว่างวาบออกไปทั้งจักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ

    เห็นจักรวาลสว่างด้วยฉัพพัณรังสี ด้วยรัศมีเพชรทั้งหมด

    พร้อมตั้งใจว่า ขอให้พระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแผ่ไปยังทั่วทั้งจักรวาล ไปถึงทุกๆดวงจิตเสมอกันด้วยเทอญ

    ถ้าภาพพระส่องสว่างจากกลางอกเราด้วยจะยิ่งดี

    จิตเราสว่างอยู่แล้ว

    ยิ่งทำตรงนี้ จะยิ่งสว่างขึ้นไปอีก

    เวลานั่งสมาธิให้ ทรงภาพพระ ให้สว่างทั้งจักรวาลทุกครั้ง

    แล้วพอได้แล้ว กำลังของกรรมฐานกองอื่นๆ จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะไล่กสิณให้ครบสิบได้อย่างรวดเร็วหลังทำตรงนี้เสร็จ

    หลังจากได้ตรงนี้คล่องๆแล้ว ให้ย้อนกลับมาฝึก สมถะ ตัวนิ่ง หยุด ฌาณละเอียดอีกทีนึง จะทำได้ไม่ยาก

    ขอให้ตั้งใจฝึก จะได้ญาณ อภิญญาสมใจ และเอามาใช้ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้ ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ


    <!-- google_ad_section_end -->
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai0329 ครับ

    ถ้าฝึกแล้วไปนิพพานผมไม่ขอฝึกดีกว่า ผมยังไม่อยากไปนิพพาน (ผมฌโง่มั๊ยครับ)ท่านชัดทำประโยชน์ให้แก่หมู่คณะมามาก น่านับถือยิ่งแล้ว คนเยี่ยงท่านจะพบพานมิใช่ง่าย ท่านเป็นทั้งกัลยานมิตร เป็นทั้งครูที่ดี ขอให้สำเร็จดังความประสงค์เถิด<!-- google_ad_section_end -->

    ไม่อยากไปพระนิพพานไม่โง่นะครับ เป็นสิทธิ์ของเรา

    แต่เราจะต้องอยู่อย่างมีเป้าหมาย คุณค่า และเหตุผลที่สมควร

    เพื่อที่จะได้ไม่ออกนอกเส้นทางแห่งความดีงาม

    เรากำหนดเป้าหมายของเราเอาไว้ก่อน ซึ่งก็ได้กำหนดเอาไว้แล้ว เรารู้ตัวเราเองดี

    ต้องเอาให้มั่นคง ระลึกเป้าหมายของเราเอาไว้สม่ำเสมอ

    และพัฒนาตัวเองให้ไปถึงจุดที่เราตั้งเป้าเอาไว้ เพื่อความสุขของส่วนรวม

    คุณน่ะของเก่าเยอะ ถ้ามาเจียรไนให้ดี จะได้กำลังใจที่เข้มข้น

    กรรมฐาน40ทำได้ ถ้าตั้งใจจริง

    แต่เหมือนยังไม่มีโอกาส ได้พบคนที่จะชี้ทางให้ จึงดึงศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่

    วิชาทางจอมยุทธ ทางอภิญญามีอยู่

    มีอยู่จุดหนึ่งที่จะต้องปรับความคิด

    คือ ยิ่งเราปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากเท่าไหร่

    จะต้องยิ่งเกาะพระนิพพานเท่านั้น

    เราอาจจะไม่อยากไปตอนนี้ก็ได้เป็นสิทธิของเรา

    แต่จะต้องเข้าใจ เข้าถึง สัมผัสได้ ซึ่งสภาวะ อารมณ์แห่งพระนิพพานอย่างแท้จริง

    เพราะว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะช่วยส่งผู้อื่นไปพระนิพพานไม่ได้เลย

    ต้องตั้งกำลังใจว่า

    เรามีความเข้าใจ และความปรารถนาในพระนิพพานอย่างถึงที่สุด

    แต่ด้วยความเมตตาที่เรามีต่อผู้อื่นนี้ เราจะขอดำเนินตามปฏิปทาของเราต่อไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งเป้าหมายที่เราตั้งใจเอาไว้

    และวิชาทางวิทยายุทธ์ ขั้นสุดยอด จะต้องใช้ ความเข้าใจ อารมณ์ และสภาวะแห่งพระนิพพานเท่านั้น จึงจะเข้าถึงได้

    ผู้ที่ทำได้อย่างปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านเข้าใจพระนิพพานเป็นอย่างดี

    จึงได้ถึงยืดหดเส้นเอ็น วรยุทธ์ วิทยายุทธ์ คัมภีร์เก้าอิม

    เพราะจริงๆแล้ว จะต้องใช้อารมณ์ ความบริสุทธิ์จากพระนิพพาน โคจรทั่วร่าง

    เพื่อให้ร่างกายเกิดการปรับสภาพ ฟื้นฟูตัวเอง และลมปราณทะลุทะลวงอย่างถึงที่สุด

    เราไม่ต้องบรรลุธรรม เพื่อจะสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้

    ขอเพียงจิตอยู่ในช่วงโคตรภูญาณ คือมีความปรารถนาในพระนิพพานอย่างแรงกล้า และทำจิตให้สะอาดจากสังโยชน์อย่างน้อยสามประการ ได้ชั่วขณะ

    ย่อมสามารถเข้าใจ เห็น สัมผัส และน้อมนำพลังจากธาตุพระนิพพานมาใช้ได้

    วิทยายุทธ์ขั้นสูงสุด จึงจะเข้าถึงได้โดยผู้ที่ปราศจากกิเลสเท่านั้น เป็นกฏตายตัวของธรรมชาติ

    ดังนั้นพลิกจิตนิดเดียว เข้าใจพระนิพพาน สัมผัสพระนิพพานให้ได้ แต่ยังไม่ต้องไป

    ต้องทำให้ได้แบบนี้

    เพราะจุดที่ติดตรงนี้นิดเดียว วิชาอื่นๆเลยยังไม่ได้ทั้งหมด

    พอเราปรับกำลังใจมาปรารถนาพระนิพพานอย่างแรงกล้า แต่ยังไม่ต้องไปเท่านั้นเอง

    เดี้ยวอย่างอื่นมาหมด


    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ที่ยิ่งใกล้เท่าไหร่ จะยิ่งรักพระนิพพานมากเท่านั้น

    ดังนั้นขอให้ปรับกำลังใจขึ้นมานะครับ สะกิดนิดเดียวครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...