แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. ถิรวุษิ

    ถิรวุษิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,685
    ค่าพลัง:
    +7,521
    หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท: เปรียบเทียบเหรียญแจกแม่ครัวแท้และเก๊
    เหรียญนี้ดูยากมากครับ พระสภาพผ่านศึกมาเยอะ(ไม่อยากพูดคำว่า สภาพใช้มาเยอะ) แต่ถ้าให้ผมมอง ผมไม่ชอบ ยังงัยลองพิจารณาตามลิงค์นี้ดูครับ ส่วนเรื่องเด่นทางไหนนั้น มีคนเคยพูดพระของหลวงปู่ แคล้วคลาดนำหน้า เมตตาตามหลัง แต่สำหรับผม พระของหลวงปู่ดีทุกอย่างแล้วแต่เราจะขอ และก็ขอไม่เกินกรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  2. wee99

    wee99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +1,897
    ขอบพระคุณมากครับ สำหรับความเห็นและคำแนะนำของคุณหนุ่ม
     
  3. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    กลับจากการไปดูหน้างานใกล้ๆที่แควน้อยนี่เอง
    อากาศที่ไทรโยคดีมาก มีสายฝนโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ไม่มีแสงแดด
    กลับมาคุยกันต่อนะครับ ไม่รู้จะไปใหนดี มีแต่รถติด
     
  4. นำทาง

    นำทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,181
    ค่าพลัง:
    +7,867
    .........................
    สวัสดีตอนเย็นๆๆๆครับ จะรออ่านเรื่องเล่าสนุกๆๆรอบเย็น จะนั่งกด f5 เอาครับ แต่ตอนนี้จะขอดูบอล ไทยลีก ก่อนครับ เชียร์บ้านเกิดศรีสะเกษ เมืองทองยูไนเต็ด เปิดบ้านตอนรับการมาเยือนของ ศรีสะเกษ fc
     
  5. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ดูจากธรรมชาติแล้วน่าจะแท้ครับ จะปี 2506 หรือ 2499 เท่านั้นเองครับ ต้องถ่ายภาพชัดๆอีกนิดครับ
     
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872

    ขออนุโมทนาในสิ่งที่กำลังจะทำด้วยครับ
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ได้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเลยครับ การให้โดยเจตนาที่บริสุทธิ์ ในสิ่งที่ดีต่อผู้อื่นเพื่อให้เขาได้พบแต่สิ่งที่ดีงาม ผู้ให้ย่อมได้มากกว่ากุศลทั่วไป
     
  8. siamese

    siamese เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +791
    เมืองกาญจน์หน้าฝนสวยมากครับ ผมเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์เมืองกาญจน์หน้าฝนมากโดยเฉพาะแถบสังขละ ดินแดนแห่งหลวงพ่ออุตตมะ
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    [FONT=&quot]ศาลพระภูมิ[FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]ภพภูมิของเทพเทวดาที่อยู่ในโลกมนุษย์นี้[FONT=&quot] จะอาศัยสถิตอยู่ในสถานที่ต่างกันตามภูมิ ตามชั้น หรือขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละองค์ เทพเทวดาจึงมีหลายระดับด้วยกันดังนี้ ๑. จาตุมหาราชิกา เทวา ๒. ตาวะติงสา เทวา ๓. ยามา เทวา ๔. ตุสิตาเทวา ๕. นิมมานะระตี เทวา ๖. ประระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา เทพเทวดา ที่จะมาอาศัยอยู่ที่ศาลพระภูมิ ศาลพระพรหมนั้น จะมีเฉพาะเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเท่านั้น ส่วนเทวดาชั้นตาวะติงสา ขึ้นไปแล้วท่านจะมีวิมานที่อยู่ของท่านเอง จะไม่มาอยู่ใกล้มนุษย์โลก คือท่านจะอยู่สูงขึ้นไปนั้นเอง เรียกว่าอยู่บนสวรรค์ ซึ่งมีถึง ๖ ชั้น ตามที่กล่าวมา

    การตั้งศาลพระภูมิหรือพระพรหม ความสำคัญอยู่ที่คนที่จะมาทำพิธีอัญเชิญฯ ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดีจึงจะได้เทพเพวดามาอาศัยอยู่ด้วย ถ้าตั้งจิตตั้งใจไม่ดีแล้ว จะเป็นพวกสัมภเวสีเข้ามาอาศัยอยู่ สัมภเวสี ก็คือพวกผีที่ตายไปแล้วนั่นเอง เป็นผีที่เที่ยวเร่ร่อนไปเรื่อย รอเวลาที่จะไปเกิดใหม่ ฉะนั้น การที่จะทำพิธีอัญเชิญเทพเทวดาให้มาอยู่ที่ศาลฯ นั้น จะให้แน่นอนแล้ว ควรนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงฌาน ได้ฌาน มีตาทิพย์มาทำพิธีจะดีที่สุด เพราะท่านจะมีพลังจิตที่จะเรียกเชิญเหล่าเทวดาได้ จึงไม่มีการผิดพลาดให้พวกผีเปรตเข้ามาอยู่อาศัย และเมื่อตั้งเสร็จแล้ว ต้องหมั่นเอาใจใส่ดูแลให้สะอาดเรียบร้อย บูชาดอกไม้ธูปเทียนอยู่เสมอ

    อนึ่งตัวศาลฯ นั้นต้องตั้งอยู่ในที่ที่ไม่ถูกเงาบ้านเงาตึกบังทับ เพราะจะทำให้คนในบ้านร้อนใจ ทะเลาะกัน ส่วนผู้ที่มีศาลอยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่ามีสิ่งไรมาอาศัยอยู่ จะเป็นผีหรือเทวดาถ้าใครอยากรู้ก็ต้องนิมนต์พระผู้ทรงฌาน ที่มีตาทิพย์จึงจะรู้ได้ แต่ผู้ที่ยังไม่มีศาลฯ จะให้ดีที่สุดคือไม่ต้องไปตั้งให้ยุ่งยาก[/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    การขอบารมีพระภูมิเจ้าที่

    ทุกบ้านเรือนจะต้องมีเทพเทวดาหรือพระภูมิเจ้าที่รักษาอยู่ การเข้าอยู่อาศัยของคนเรานั้น จะให้เป็นสิริมงคลและความร่มเย็นเป็นสุขแล้วควรจะให้ความเคารพแก่พระภูมิเจ้าที่ หรือเจ้าของเดิมที่ล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาก็ตาม สิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลต่างก็ให้ความเคารพนับถือมาแล้วจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นเพื่อความอยู่เป็นสุขแก่ครอบครัวแล้ว ควรให้ความเคารพด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้กับพระภูมิเจ้าที่ทุกวัน ถ้าบ้านใดมีศาลพระภูมิ ก็ควรจะถวายน้ำ ผลไม้ หรืออาหารทุกวัน หรือทุกวันพระ ถ้าไม่มีศาลฯ ก็แผ่เมตตาอุทิศให้ จะทำให้บ้านเรือนร่มเย็นขึ้น แล้วยังขอบารมีท่านช่วยคุ้มครองช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย
     
  11. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ทำบุญแล้วทำไมไม่เห็นดีขึ้น[FONT=&quot]

    หลายท่านได้มีความสงสัยว่า ตนเองนั้นก็สร้างบุญกุศลตักบาตรให้ทาน ร่วมทอดกฐินผ้าป่าเช่นกัน แต่ทำไมยังไม่ร่ำรวย แถมยังมีปัญหาให้ยุ่งยากอีกเล่า การทำบุญสร้างกุศลเพิ่มบารมีนั้น ต้องทำอย่างต่อเนื่องห้ามขาดตอน เปรียบเสมือนการชาร์ตไฟเข้าตัวแบตเตอรี่ ต้องเติมกระแสไฟให้เต็มตามอัตราปริมาณแบตเตอรี่ เครื่องนั้นจึงมีพลังกระแสไฟ นำไปใช้งานได้สว่างไสวอย่างมีประสิทธิภาพ คนที่ทำบุญบ้าง หยุดบ้าง แล้วมาบ่นน้อยใจว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ต้องกลับไปถามตัวเองเสียใหม่ว่า ได้ทำความดีมาอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า ถือศีลได้มากน้อยแค่ไหน แล้วความไม่ดีหรือความชั่วนั้น ได้หยุดทำตั้งแต่เมื่อไร

    ถ้ายังไม่หยุดทำในสิ่งที่ไม่ดี ก็เท่ากับกระแสไฟในตัวแบตเตอรี่ได้หมดลงแล้ว และถ้าไม่ทำความดี สร้างบุญกุศลเพิ่มเติมชดใช้พลังที่หมดไป แน่นอนอุปสรรคต่างๆ ย่อมมาแทนที่ เพราะพลังบุญหรือแบตเตอรี่ได้เสื่อมสลายไปแล้ว จึงขอให้มีความเชื่อมั่นศรัทธาในเรื่องกุศลผลบุญสร้างความดีทุกวัน ก็เท่ากับเติมพลังบุญชดเชยส่วนที่สึกหรอไป ทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อเต็มแล้ว ลาภผลเงินทองก็จะหลั่งไหลมาเอง จะได้ไม่ต้องเหนื่อยยากอีกต่อไป

    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]-->[/FONT]
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    วิธีแก้อุปสรรคในการทำมาหากิน

    วิถีชีวิตของคนเรานั้นแตกต่างกันออกไปหลายรูปแบบ ทั้งฐานะการเงิน หน้าที่การงาน ความสามารถ บางท่านมีความสามารถดีแต่การดำเนินงานมีอุปสรรคอยู่ตลอด มีปัญหากับเจ้านายอยู่เสมอ บางคนจึงทำงานได้ไม่นานต้องลาออกย้ายที่ใหม่ บุคคลใดก็ตามถ้าประสบกับอุปสรรคในการทำงานจะเป็นในรูปแบบไหน ลักษณะใดก็ดี ให้แก้ไขดังนี้

    สิ่งแรกเมื่อไปถึงสถานที่ทำงานแล้ว ให้แผ่เมตตาด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระภูมิเจ้าที่ เทพเทวา ที่รักษาสถานที่นั้นกล่าวจบแล้ว ก็ขอบารมีท่านให้ช่วยคุ้มครองปกป้อง อย่าให้มีอุปสรรคในการดำเนินงาน ให้เป็นที่รักใคร่เมตตาของเจ้านาย เจ้าของ และผู้ร่วมงานทั้งหลาย เมื่อถึงห้องทำงานแล้วก็แผ่เมตตาให้แก่เจ้านาย เจ้าของและเพื่อนร่วมงาน ถ้ารู้ว่าถูกใครเกลียดชัง กลั่นแกล้งอยู่เสมอ ต้องรีบให้บุคคลนั้นมากๆ จะได้ลดความรุนแรงและอุปสรรคต่างๆ ทั้งหลายได้อย่างฉับพลัน

    ให้ปฏิบัติทุกวันอย่างต่อเนื่อง แล้วอุปสรรคต่างๆ จะไม่มีหรือลดน้อยลง
     
  13. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    [FONT=&quot]เมื่อครอบครัวมีปัญหา[/FONT]

    คนเรานั้นเกิดมาแล้วเมื่อถึงวัยอันสมควร ต่างก็ต้องมีความรักกันทุกคน แล้วการมีครอบครัวก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของธรรมชาติ แต่การอยู่กินครองรักใช้ชีวิตร่วมกันมใช่ง่าย ครอบครัวบางท่านมีปัญหาขัดแย้งทะเลาะวิวาท จนต้องหย่าร้างเลิกรากันไป บางคู่ที่ดีก็อยู่กันจนแก่เฒ่าก็มี แตกต่างกันออกไปตามบุญกรรมที่ได้สร้างร่วมกันมา บางคู่ทางพระเรียกว่า คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม คู่บุญบารมี คู่ล้างผลาญ คู่กาลี แต่ทุกครอบครัวต่างก็เคยสร้างบุญและสร้างกรรมร่วมกันมาก่อนทั้งสิ้น จะเป็นกรรมดีหรือไม่ น้อยหรือมากเท่านั้นเอง ชาตินี้จึงต้องเกิดมาเป็นคู่ครองสามีภรรยากันเพื่อมาชดใช้กัน ใครสร้างกรรมนั้นดีก็ได้คู่ที่ดีมาเกื้อกูลกัน เรียกว่าคู่บุญคู่บารมี และคู่ที่สร้างกรรมไม่ดีในชาติที่แล้ว ก็จะได้คู่เก่าคนเดิมที่ไม่ดีมาอยู่ร่วมกันเพื่อจะมาชดใช้กรรมกัน

    ท่านที่มีปัญหาครอบครัว จึงต้องรีบสร้างบุญกุศลชดใช้ให้กับคู่ครองยอมรับสภาพที่เป็นทุกข์อยู่นั้น หมดกรรมเมื่อไรเขาก็จะดีขึ้นเอง เช่นคู่ที่แตกแยกจนหย่าร้าง แสดงว่าคู่นั้นได้หมดกรรมต่อกันแล้วจึงได้เลิกกัน ส่วนคู่ที่ต้องทนทุกข์ทั้งกายและจิตใจถูกบีบคั้น แสดงถึงคู่นี้กำลังเสวยกรรมอยู่ให้รีบปฏิบัติตามหัวข้อเรื่อง “เมื่อตกทุกข์ได้ยาก" ปฏิบัติตามนั้นแล้วรีบแผ่ส่วนกุศลให้ทุกวันโดยกล่าวคำอุทิศว่า

    “บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างมาในอดีตชาติ จะเป็นกี่ชาติกี่ภพก็ตาม และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาในชาติปัจจุบันนี้ ขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ที่เคยเป็นคู่ครองกันมาในอดีตชาติ โดยเฉพาะคู่ครองในชาติปัจจุบันนี้ที่เคยล่วงเกินกันมา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำก็ดี ขอให้มารับบุญกุศลนี้ รับแล้ว ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน อย่าได้มาเบียดเบียนกันอีกเลย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

    ให้พูดทุกวันทุกครั้ง ที่สวดมนต์บูชาพระเสร็จแล้ว หรือเมื่อได้ทำบุญทำทาน ถวายสังฆทานแล้ว<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  14. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    [FONT=&quot]ปาฏิหารย์ของพระธาตุ (คัดลอกมา)[FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้อุทิศตนเข้ามารับใช้พระพุทธศาสนา[/FONT] ใช้ชีวิตดำเนินรอยตามพระศาสดาผู้นำพาชีวิตสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ นามของข้าพเจ้านี้คือ สามเณรประทีป สะรุโณ ข้าพเจ้าบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือน ตุลาคม 2546 ที่ วัดทุ่งลาน ต.ทุ่งลาน อ.เมือง จ.พัทลุง และได้มาอยู่ที่ วัดถ้ำสุมะโนวิปัสสนา ต.บ้านกิ่ง อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง มีเจ้าอาวาสชื่อ พระครูภาวนาสุมนต์ (พระอาจารย์เดช สุมโน) ซึ่งเป็นวัดที่ปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง และถูกต้องตามหลักปฏิบัติทุกขั้นตอน ที่วัดนี้มีทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนมาร่วมปฏิบัติกันมากมายไม่ขาดสาย ทั้งคนในเขตพื้นที่และต่างจังหวัด รวมถึงจากกรุงเทพฯ ก็มาร่วมกันปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทุก ๆ ปี และมิใช่เพียงชาวไทยเท่านั้น ยังมีชาวต่างประเทศมาร่วมปฏิบัติอีกด้วย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อังกฤษ เป็นต้น และทุกคนที่มาปฏิบัติธรรม ต่างก็แต่งชุดขาวกันทุกคน สำหรับสถานที่ปฏิบัติของที่นี่อากาศเย็นสบาย เพราะเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก และที่นี่มีเนื้อที่กว่า 600 ไร่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ข้าพเจ้าได้เป็นสามเณร และปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยรู้

    วันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ในจิตของข้าพเจ้าได้เกิดมีแสงอะไรบางอย่างแวบผ่านเข้ามาในสมาธิ นึกแปลกใจว่า “เอ๊ะ แสงอะไรนะที่เข้ามา” ด้วยความสงสัยจึงกำหนดจิตต่อไปเพื่อที่จะดูว่าแสงนั้นเป็นแสงอะไรแน่ ในที่สุดจึงได้รู้ว่าแสงนั้นคือ พระ 5 รูป กำลังเดินจงกรมรอบกองดินกองหนึ่ง ซึ่งคงอยู่ไม่ไกลจากถ้ำนี้เท่าไหร่ และข้าพเจ้าก็กำหนดจิตต่อไป จนรู้ว่ากองดินนั้นอยู่ที่ใดสักแห่งข้างถ้ำนี้ ในนิมิตบอกว่า พระทั้ง 5 รูปนั้น คือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

    เที่ยงของวันนั้น หลังจากที่ข้าพเจ้านั่งวิปัสสนากรรมฐานเสร็จ ก็มุ่งตรงไปยังกองดินที่เห็นในนิมิต พอเดินเข้าไปก็เกิดแสงระยิบระยับอยู่ทั่วบริเวณกองดินนั้น ก็นึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งว่า แสงนั้นเป็นแสงของอะไร พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นก้อนบางอย่าง มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ บ้าง แบน ๆ บ้าง เป็นซีกบ้าง มีทั้งสีขาวข้น สีขาวใสเหมือนแก้ว สีเหลือง สีดอกพิกุลแห้ง สีดำ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจจึงเก็บไปให้หลวงพ่อท่านดู พอข้าพเจ้าส่งให้ท่านดู ท่านก็ถามว่า “ไปเอาก้อนกลมๆแบนๆ เหล่านี้มาจากไหน”


    ข้าพเจ้าก็บอกว่า “กระผมเก็บได้ที่กองดินข้างถ้ำนี้เองครับ สิ่งนี้คืออะไรครับหลวงพ่อ” ท่านก็บอกว่า “นี่เป็น พระธาตุเนรมิต” หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าก็เก็บพระธาตุของพระปัญจวัคคีย์มาบูชา และหมั่นสวดมนต์ภาวนาทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าอยากจะเปิดผอบที่บรรจุพระธาตุมาดู ขณะที่เปิดออกดูนั้นก็ต้องรู้สึกตกใจและแปลกใจมากที่ อยู่ ๆ ก็มีพระธาตุเพิ่มขึ้นมามากมาย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า “นี่แหละคือ ผลแห่งการที่ข้าพเจ้าถือศีลภาวนา และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนทำให้พระธาตุของปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เสด็จมาโปรดข้าพเจ้าอย่างมากมาย”

    หลังจากนั้นมาข้าพเจ้าก็ สวดมนต์ภาวนา รักษาศีล และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นประจำ และเมื่อมีผู้คนมาขอพระธาตุก็จะให้ไป แต่จะถามก่อนว่า “คุณมีความศรัทธาหรือเปล่า ถ้ามี พระธาตุนี้ก็จะอยู่กับคุณ และถ้าคุณหมั่นสวดมนต์ภาวนาท่านก็จะเสด็จมาเรื่อย ๆ แต่ถ้าคุณเอาไปแต่จิตไม่ศรัทธา ท่านก็จะเสด็จไปจากคุณ เพราะฉะนั้น เมื่อเอาไปแล้ว ต้องหมั่นสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำ ท่านจะได้เสด็จมาโปรด พระธาตุท่านสามารถที่จะเสด็จไป หรือเสด็จมาเมื่อไหร่ก็ได้

    ปัจจุบันนี้พระธาตุที่ข้าพเจ้าบูชาอยู่นั้น ท่านก็ยังเสด็จมาเรื่อย ๆ บางครั้งพระธาตุที่มีขนาดใหญ่ จะเปลี่ยนเป็นขนาดเล็ก องค์ที่เล็กก็จะเปลี่ยนเป็นองค์ใหญ่ และบางครั้ง 2 องค์ อาจจะรวมเป็นองค์เดียวกัน ซึ่งปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์พระธาตุแปรเปลี่ยนนี้ก็เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าเอง มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าหยิบขนมขึ้นมาฉัน บังเอิญว่าเวลานั้นใกล้จะถึงตอนเที่ยงแล้ว เหลืออีกประมาณ 10 นาที ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือไปและฉันขนมไป เมื่ออ่านหนังสือเสร็จก็หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ปรากฏว่าเลยเที่ยงไปแล้วประมาณ 2-3 นาที ก็รู้สึกตกใจมาก เพราะเวลานั้นเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า เมื่อผู้ใดเข้ามาบวชถือศีลแล้ว เวลานี้ท่านถือเป็นเวลายามวิกาล เพราะฉะนั้นผู้ถือศีลข้อ 6 คือ วิกาลโภชนา เวรมณี สิกขาปทัง สมาธิยามิ เมื่อฉันเกินเวลานี้ไปแล้วจะผิดศีล และอยู่ๆ จิตของข้าพเจ้าก็นึกถึงพระธาตุขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงไปเปิดดูผอบที่บรรจุพระธาตุไว้ พอเปิดดูก็เกิดปาฏิหาริย์อย่างไม่น่าเชื่อ คือ พระธาตุที่องค์ใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นองค์เล็กเกือบทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก

    นับตั้งแต่บัดนั้นมาข้าพเจ้าก็ตั้งใจปฏิบัติ ถือศีลอย่างบริสุทธิ์ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ พระธาตุที่เคยเปลี่ยนเป็นองค์เล็กก็เปลี่ยนกลับเป็นองค์ใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงอยากจะขอเตือนผู้ที่มีพระธาตุอยู่ตอนนี้ว่า ไม่ควรที่จะประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดี มิฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ข้าพเจ้าเคยประสบมาแล้วก็ได้

    ข้าพเจ้าจะเล่าเหตุการณ์พระธาตุปาฏิหาริย์ ที่เพิ่งจะมาเกิดกับตัวของข้าพเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ คืนนั้นหลังจากสวดมนต์ทำวัตรและนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็จำวัด พูดง่าย ๆ คือนอนนั่นเอง พอตกดึกเห็นในนิมิตว่า มีพระธาตุมาโปรดอีกแล้ว ข้าพเจ้าก็รอจนถึงรุ่งเช้า พอถึงตอนเช้าก็ลืมเรื่องที่เห็นในนิมิตเมื่อตอนกลางคืน และในขณะที่เก็บที่นอนอยู่นั้น ก็เกิดหันไปเห็นก้อนกลม ๆ สีขาววางอยู่ที่ใต้เสื่อจึงเก็บขึ้นมาดู และสิ่งนั้นก็คือ พระธาตุ นั่นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากเลยยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า “สาธุ” ท่านทรงมาโปรดลูกอีกแล้ว

    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่ข้าพเจ้าเขียนมาเล่าเพื่อให้รู้ว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากพระธาตุนั้นมีจริง หากผู้ที่มีพระธาตุอยู่ ประพฤติปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็จะรู้ว่าปาฏิหาริย์นั้นมีจริง <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  15. st18

    st18 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,443
    คนบ้านเดียวกันเลยครับ อยู่แถวไหนครับผม
     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    [FONT=&quot]กรรมถึงลูก<o>

    </o>
    [/FONT] [FONT=&quot]ถ้าเราตรองสักนิด[FONT=&quot]ก็จะรู้ว่า ชีวิตของคนเรานั้น จะเป็นไปด้วยกฎแห่งกรรมทั้งนั้นแหละ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [/FONT] [FONT=&quot] “แก่แล้วไม่รู้จักเจียมเนื้อ เจียมตัว เจียมสังขาร เที่ยวได้เกะกะระรานลูกสาวชาวบ้านเขา ระวังเถอะ กรรมจะตามทันเอาเข้าสักวันหนึ่ง” เสียงยายแก่ ๆ คนหนึ่ง กำลังท้วงติงลูกชายเรื่องไปผิดลูกเมียชาวบ้าน ผู้ซึ่งเป็นห่วง เกรงว่าสักวันหนึ่ง กรรมจะตามสนองลูกชายของแก “ก็ผมเป็นคนอยู่ทางโลก จะไปสนใจทำไมไอ้เรื่องบุญเรื่องกรรม จะเอาทางธรรมกับทางโลกมาเปรียบกันไม่ได้หรอกยาย”<o></o>
    [/FONT] [FONT=&quot] “เอ็ง....อย่าพูดอย่างนั้นซิลูก เอ็งก็บวชแล้ว เอ็งน่าจะรู้เรื่องบุญเรื่องกรรมบ้างนะ”
    “ก็....ผมอยู่ทางโลกก็ต้องทำตัวอย่างที่โลก ๆ เขาทำกันซิ อะไรที่เป็นความสุข ผมจะเอามันมาโดยไม่ เกรงว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
    “เอ็ง....ทำไมเป็นคนโง่เขลาปัญญาฮึลูก เอ็งก็มีลูกมีเมียแล้วนะ ลูกเอ็งก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ยังจะทำตัวเป็นหนุ่มอย่างเมื่อก่อนได้อย่างไรล่ะลูก”


    ยายผู้เป็นแม่แกอดเป็นห่วงลูกชายของแกไม่ได้จริง ๆ แกกลัวกรรมที่แกเคยพบและเห็น จะเกิดกับลูกชายแกเข้า แกอดที่จะท้วงลูกชายแกไม่ได้
    ในที่สุด เขาก็ไปติดใจพึงใจสาวรุ่น อายุสิบเก้าปีเข้าที่ที่แห่งหนึ่ง ขณะไปเที่ยวในสวนสนุก เธอ.. .เป็นชาวบ้านธรรมดา หน้าตาสวยพริ้มเพราเป็นที่ต้องใจเขามาก เธอเป็นลูกชาวนาชนิดที่สวยในตำบลทีเดียว เธอสวยและสะอาดสะอ้านไปทั้งตัว
    เชิด ตั้งใจจะจีบเอาเป็นเมียให้ได้อีกสักคน เพราะเพิ่งจะเจอคนถูกใจวันนี้เอง เชิดพยายามทำเป็นทำความรู้จักด้วย และถามชื่อว่า หญิงคนนั้นชื่อแต๋ว ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น คิดถึงแต่ใบหน้าของแต๋วจนไม่มีเวลาทำงาน คอยแวะเวียนไปบ้านเธอบ่อยครั้งแทบทุกวัน แต๋วเองคงจะรู้สึกรำคาญเชิดเช่นกัน ไม่ยอมพูดด้วย เวลาเชิดมาหา แต๋วก็หาทางเข้าหลังบ้าน ซึ่งหลังบ้านของแต๋วเป็นสวนกล้วย ก็เพราะความรักทำให้เชิดอยากจะเอาชนะให้ได้ เขาคงลืมไปว่า ทุกวันนี้เขาก็มีลูกมีเมียแล้ว และจะต้องรับผิดชอบในครอบครัวของเขา เขาปล่อยปละละเลยกับครอบครัว ไม่เคยคิดเลยว่าเวลานี้ครอบครัวเขา ลูกเมียเขาจะเป็นทุกข์เช่นไรบ้าง เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่เขากำลังทำนั้น มันผิดต่อศีลธรรม ด้วยเหตุที่เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรมเรื่องเวรนี้เอง เขาก็ยังทำตัวเป็นเพลย์บอยอยู่ เชิดตั้งใจจะพิชิตแต๋วให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง “ฮึ อย่าเผลอก็แล้วกันแม่คุณ มันคงไม่ลำบากเท่าไหร่สำหรับคนอย่างเชิดหรอกน่ะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ได้ด้วยกล” เชิดคิดอยู่หลายวันว่าจะทำอย่างไรถึงจะตีสนิทแต๋ว


    วันหนึ่งเชิดเห็นแต๋วไปจ่ายตลาด ก็จัดการเตรียมไปยืมรถจักรยานยนต์ของพี่สาว ไปดักแต๋วที่ตลาด พอเชิดเห็นแต๋วหิ้วถุงใส่ของพะรุงพะรังเต็มสองมือกำลังเดินออกจากตลาดมา กำลังมองหารถประจำทางจะกลับบ้าน เชิดก็รีบทำตัวเป็นสนิทสนม<o></o>

    [/FONT] [FONT=&quot] “แต๋วทำไมไม่บอกเชิดว่าจะมาซื้อของที่นี่ ผมจะได้เอารถมารับ เผอิญเห็นแต๋ว เลยแวะมารับ จะได้กลับเสียด้วยกัน”
    แต๋วงงไปครู่ใหญ่ เธอเลยตัดสินใจขนของขึ้นจักรยานยนต์ของเชิด แต๋วคิดอยู่ว่า ดีทีเดียว สะดวกขึ้นอีกหน่อย
    “ขอบคุณมากนะคะ” แต๋วตกกระไดพลอยโจนยอมขึ้นรถไปกับเชิด เชิดได้โอกาสจึงได้ทีจีบแต๋วด้วยถ้อยคำที่หวานชวนเคลิบเคลิ้ม จนเธอไม่ได้คิดอะไรมาก ชนิดที่เธอเริ่มตายใจ ในครั้งต่อมา เชิดก็ทำตัวสนิทสนมให้มากขึ้นกว่าเก่า ทุกวันเขาจะดักพบแต๋วทุกวัน เป็นอยู่อย่างนี้ แสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษ จะพิชิดหัวใจสาวรุ่นซึ่งต่างวัยกับเขามาก
    ประมาณ ๔ - ๕ เดือน เมื่อเชิดแน่ใจแล้วว่าแต๋วตายใจไม่ระแวงเขาอีกแล้ว เชิดจึงหาโอกาสชวนแต๋วไปรับประทานอาหาร ฟังเพลง ในจังหวัด ซึ่งแต๋วก็ไม่ขัดข้อง ยอมไปกับเชิดโดยดี เชิดเริ่มกระหยิ่มใจ “ฮึ แผนของเรากำลังได้ผลคืบหน้า มันหนีความพยายามของเราไม่ได้หรอกน่า“ เชิดได้ใจ สั่งเบียร์มาดื่ม อาหารกับแกล้มล้วนแต่ของอร่อยทั้งนั้น สถานที่ก็เหมาะเจาะเสียจริง ๆ พับผ่า นั่งรับประทานอาหารไป ฟังเพลงไป วัยของเชิดและแต๋วต่างกันจริง ๆ เชิดแต่งตัวทันสมัยอยู่เสมอจึงไม่ค่อยแก่ ใครจะมองในทางเหยียดหยาม นอกจากจะอิจฉาเชิดว่า อาวุโสแล้วยังมีดรุณีรุ่นลูกแนบข้าง เชิดคะยั้นคะยอให้แต๋วดื่มเบียร์จนเมาแประ โดยที่แต๋วไม่ทราบว่าเชิดได้แอบใส่ยานอนหลับไว้ในเบียร์ที่แต๋วดื่ม พอเชิดเห็นว่าแต๋วเมา แล้วเริ่มส่ออาการเมาให้เขาเห็น เชิดเมาด้วยก็ชวนแต๋วกลับ เชิดประคองแต๋วออกจากร้านอาหารไปขึ้นรถ แล้วพาเข้าโรงแรม พิชิตสวาทเธอเสียให้สมใจ แต๋วสร่างเมามารู้สึกตัวขึ้น เสียใจร้องไห้ฟูมฟายเป็นการใหญ่ สาปแช่งและด่าเชิดต่าง ๆ นานา เชิดก็พูดคำหวานปลอบโยนกับแต๋ว อย่างที่เคยใช้กับผู้หญิงมานักต่อนักแล้ว สารภาพผิดยืนยันจะเลี้ยงดูเอง ตอนนี้แต๋วเอาแต่ด่าและสาปแช่งอย่างเดียว และไม่ขอรับการเลี้ยงดูจากเชิด เพราะแต๋วไม่ได้รักเชิด


    “ไอ้คนใจร้าย ฉันอยากจะฆ่าแกเหลือเกิน” แต๋วตีอกชกตัว จะเข้ามาทำร้ายเชิดให้ได้ เชิดก็ได้แต่ยกมือพนมไหว้ประหลก ๆ พร้อมกับเอ่ยสุนทรีว่า
    “ไม่รักพี่พี่ก็ไม่ว่า ขอให้แต๋วเป็นเมียพี่ พี่จะส่งเสียแต๋วเป็นเดือน ตกลงไหม “
    “ฉันไม่อยากได้เงินของแก คอยดูเวรกรรมมันจะตามสนองแก ไอ้คนใจร้าย”
    เชิดขับรถไปส่งแต๋วที่บ้าน แต่ไม่ให้เชิดไปถึงบ้าน แถมขู่ ถ้าไปบ้านจะเอาเรื่องเชิด หลายวันนับแต่นั้นมา เชิดไม่มีโอกาสพบหน้าของแต๋วอีกเลย ถามชาวบ้านแถวนั้นดู ทราบว่าแต๋วไปทำงานต่างจังหวัด โดยทิ้งพ่อแม่ของเธอไว้ตามลำพังอยู่ที่บ้านนานั้นเอง เชิดเองก็ไม่ทราบว่าแต๋วหนีไปอยู่จังหวัดอะไร เชิดผิดหวังมาก คิดถึงแต๋วทั้งหลับและตื่น เชิดรักแต๋วจริง ๆ ไม่คิดจะทำลายแล้วทอดทิ้ง แต่นี่แต๋วหนีเขาไป “เฮ้อ....ช่วยไม่ได้”

    เชิดเผลอตัวพูดคำนี้ออกมาขณะครุ่นคิดถึงแต๋ว แต๋วคนที่เชิดรัก แต่แต๋วไม่ได้รักเชิด เชิดขืนใจเธอ เธอคงเสียใจมากที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา ก่อนที่เธอจะจากบ้านไป ในใจของเธอคงจะสาปแช่งเชิดไว้ไม่น้อยทีเดียว เชิดก็เสียใจเช่นกัน ในเมื่อความรักไม่สมหวังดังปรารถนา เชิดได้แต่ตัวแต๋ว แต่ใจล่ะ เชิดไม่ได้ใจของแต๋วไปครอง ไม่นาน เชิดก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น มันจะมีประโยชน์อะไรสำหรับนักรักขืนใจอย่างเชิด เชิดเหงาและซึมไป ไม่มีกะใจจะไปเที่ยวเตร่ที่ไหน จึงได้มีโอกาสอยู่บ้านกับยายซึ่งเป็นแม่ และลูกเมียอีกครั้งหนึ่ง
    ต่อมา เชิดเริ่มสังเกตว่า อ้อมลูกสาวของตน ผ่ายผอมลงไปมาก ใบหน้าซีดเซียวผิดสาว ๆ ทั่วไป อ้อมลูกของเชิดมักจะหลบสายตาของเชิดผู้เป็นพ่อประจำ และไม่ค่อยพูดจาเหมือนแต่ก่อน บางครั้งจะมีอาการคล้ายจะเป็นลม และมีอาการอาเจียนบ่อย ๆ คล้ายกับคนจะมีลูกอย่างนั้น
    [FONT=&quot] เชิดเอะใจในความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวเป็นอย่างมาก[/FONT][/FONT] และไม่กล้าพูดอะไรรุนแรง เกรงว่าลูกสาวของตนจะเสียใจ เชิดได้แอบถามยายผู้เป็นแม่ ยายก็บอกว่า

    “โอ๊ย...เพื่อนของนังอ้อมเยอะแยะ มันคบเพื่อนเยอะ แม่ไม่รู้ว่ามันมีเพื่อนผู้ชายที่ไหนบ้าง”
    “อาการของมัน ส่ออาการของคนมีลูกนะแม่”
    “นั่นสิ แม่เองก็สงสัย”
    เชิดจึงได้เรียกอ้อมลูกสาวมาถาม อ้อมก้มหน้าร้องไห้กระซิกเป็นการใหญ่ สารภาพออกมาว่า “หนูผิดไปแล้ว”
    เชิดตัวเย็นชาวาบไปทั้งตัว โมโหลูกสาวเป็นที่สุด ความโมโหลูกอยากจะกระโดดเข้าไปตบตี ถ้าแม่ไม่ห้ามไว้เสียก่อน
    “ค่อย ๆ พูดกับมันดี ๆ “
    “มันทำงามหน้าจริง ๆ แกไปท้องกับใครมา ฮะ นังอ้อม บอกพ่อมาตามตรงนะ เดี๋ยวนี้”
    อ้อมกลัวเชิดจนเนื้อตัวสั่น สะอึกสะอื้นร่ำไห้สารภาพออกมาว่า ได้หลงเชื่อผู้ชายคนหนึ่งจนเสียทีเขาจนท้อง “เขาชื่อเพิ่มเป็นคนอยุธยาจ้ะพ่อ เขาหลอกหนูไปฟังเพลงตามค็อฟฟี่ซ็อฟ ครั้งหนึ่งเขาได้เอาน้ำส้มให้หนูกิน หนูตาลาย พอรู้สึกตัวก็ตอนเขาพาหนูไปอยู่ในโรงแรม....หนูอยากตายจ้ะพ่อ...หนูอยากตาย” อ้อมฟูมฟาย ทำท่าจะกระอักเลือดตายให้ได้ เชิดมองลูก แทนที่จะโมโหเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างแต่ก่อน ครั้งนี้กลับทำให้เชิดสงสารขึ้นมาจับใจทีเดียว

    “อย่าเพิ่งตายลูก” “พ่อจะ ไปเอาตัวมันมาเดี๋ยวนี้ เอามันมารับกรรมให้ได้ รับผิดชอบเรื่องนี้ มันอยู่ที่ไหน ฮึ....อ้อม”
    “หนูไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเขาอยู่อยุธยา”
    เชิดฉุกคิดขึ้นมา กรรมตามทันเสียแล้วก็ไม่รู้ เพราะความเป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ผลกรรมนี้เองที่ทำให้เขาดื้อดึงมาตลอด เกะกะระรานลูกเมียชาวบ้านอยู่เรื่อย ๆ นี่คงจะเป็นผลกรรมที่เราเป็นคนก่อ มันส่งผลกรรมมาถึงลูกของเราเชียวหรือนี่ เชิดสงสารลูก ลูกยังเด็ก มาถูกคนใจมารเหยียบขยี้เสียแล้ว

    เชิดเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก เขายอมรับและรู้สึกถึงบาปบุญคุณโทษขึ้นมาแล้ว ชรอยผลกรรมที่เชิดทำไว้กับแต๋วนั้น คงจะย้อนมาสนองเชิดแบบนี้นี่เอง ตั้งแต่นั้นมา เชิดไม่เที่ยวเกี่ยวข้องเรื่องผู้หญิงอีกเลย คิดเสมอว่า กรรมจะตามทันเอาอีก
    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  17. ถิรวุษิ

    ถิรวุษิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,685
    ค่าพลัง:
    +7,521
    รบกวนถามครับ เวลาที่เราจะอุทิศให้กับ ครูบารอาจารย์ที่เรานับถือ เราควรกล่าวอย่างไรถึงจะดีที่สุดครับ ต้องเอยชื่อท่านด้วยหรือเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    จำเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
    เหมือนการส่งจดหมาย ต้องจ่าหน้าซองให้ถูกต้องตามที่ต้องการส่งถึง
     
  19. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    การอุทิศส่วนกุศล

    [​IMG]

    คัดลอกจากหนังสือ การอุทิศส่วนกุศล

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้ สัมภเวสี ถ้ากลับไปแล้วจะ กรวดน้ำ ให้ได้ไหมค่ะ...?

    หลวงพ่อ : การอุทิศส่วนกุศล ในพระพุทธศาสนานี่ไม่มีน้ำ แต่ว่าที่ พระเจ้าพิมพิสาร ทำเป็นองค์แรก เพราะว่าศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอาน้ำราดลงไป และตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้ามเพราะเป็นพระเพณีนิยม

    เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ เพราะว่าท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง เวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้น้ำ ผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่ เพราะฉันเคยพบมาแล้ว แต่ไม่มีน้ำนะว่า "อิมินา" เพลินไปยังไม่ถึงครึ่งก็มีคน ๒ คน ถือโซ่มาคล้องคอปั๊บลากไปเลย

    ผู้ถาม : มีบางคนเขาบอกว่า "กรวดน้ำแบบแห้ง" ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ โบราณพูดอย่างนี้จะจริงหรือเปล่าค่ะ...?

    หลวงพ่อ : เขาพูดได้ยินหรือเปล่า คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า... คนโบราณพูดอย่างนี้ คนโบราณเขาพูดหรือเปล่า... ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ ฉันใช้น้ำวันเดียววันบวช ว่าไม่ถูกเลย ฉันไม่เคยใช้น้ำเลยก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรนะ! กินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าจะอด!

    ผู้ถาม : อ้อ..มินาล่ะ! หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อยๆ

    หลวงพ่อ : ใช่! มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด

    รวมความว่า เวลาจะอุทิศส่วนกุศล ให้ใช้ภาษาไทยสั้นๆ อย่างทำบุญสังฆทาน เราก็ตั้งใจว่า

    "การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ ...(บอกชื่อ)... ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า"

    และตอนที่พระสงฆ์ให้พรนี้ ก็ขอให้เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ตั้งจิตปราถนาเอาตามประสงค์ สมมติว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อ "พระนิพพาน" อันนี้ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าหากสมมติเราตายจากชาตินี้ไปแล้วยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงไร สมมติว่าเราตาย ถ้าเราไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือตั้งจิตอธิษฐานเขาเรียกว่า "อธิษฐานบารมี" เจริญพระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า

    "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้าไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า"

    ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง! เท่านี้ก็พอแล้ว...

    ผู้ถาม : ถ้าทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมค่ะ...?

    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ!

    ผู้ถาม : แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมค่ะ...?

    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศลนี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม.. ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม

    อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้วเจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะได้ไหม จึงไปถาม พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านมารับบาตรนะ

    ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม...?"

    ท่านอนุรุทธก็บอกว่าไม่ยุบ! แล้วท่านก็บอกว่า

    "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา
    แต่บุญของเราเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"

    เรื่องของการทำบุญนี้ เวลาทำผู้ที่เป็นเจ้าภาพได้ครบ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ถ้าผู้นั้นเขาได้มากสักเท่าใดก็ตามทีผลบุญของเราไม่ได้ลดลงเลย แต่ว่าการอุทิศส่วนกุศลมันเป็นผลกำไรของเราอีกทางหนึ่ง คือได้ เมตตาบารมี ทีนี้พวกเราก็ขยันให้กันบ่อยๆ เมตตาบารมี จะได้เต็มเร็วขึ้น.<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    [FONT=&quot]คนหนังเหนียว[FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT]
    [/FONT] [FONT=&quot]ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาแล้ว[FONT=&quot] ล้วนต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน ไขว่คว้าหยิบฉวยหาเอาความสุขให้กับชีวิตของตน เท่าที่จะหาได้ทั้งนั้น การหาความสุขของคนก็มีมากมายหลายอย่าง บางคนก็หาอย่างเสงี่ยมเจียมตน ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม บางคนก็โกงหรือปล้นเอาของผู้อื่นมาดื้อ ๆ หาได้คิดใส่ใจต่อผู้อื่นไม่ นั่นก็คือปัญหาอันหลากหลายของสังคมมนุษย์ผู้หย่าร้างศีลธรรม
    ไม่ว่าใครก็ตาม หากหันหลังให้ศาสนา ไม่เอาธรรมะมาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตแล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมจะหาความสุขให้กับชีวิตได้ยาก เพราะเส้นทางแห่งการทุจริตนั้น ไม่ใช่หนทางเดินไปหาความสุข อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ต่อให้ชาติหน้าหรือภพไหน ๆ ก็อย่าได้หวังเลย

    ความสุขใดที่ได้มาจากความทุกข์ของผู้อื่น หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ มันเป็นความสุขที่ลวงหลอกอำพรางความทุกข์เอาไว้ เพื่อให้คนชั่วหลงเท่านั้น ในที่สุด ความสุขที่ได้จากการทุจริตนั้น ก็จักเป็นอาวุธทิ่มแทงเผาผลาญชีวิตตนเองอย่างทรมาน อันเป็นความสุดยอดของทุกข์ทั้งมวล ที่รวมพลังกันประหัตประหารอย่างสาสม ผู้ที่ได้สัมผัสเท่านั้น จึงจะรู้รสของความทุกข์อันเกิดจากความชั่วนั้น และจินตนาการได้เลยว่า ถ้าเป็นเราก็คงทนไม่ได้แน่


    ต่อไปนี้ ผมจะได้นำเรื่องราวของจอมโจรผู้มีนามกระเดื่องว่า “ตาบัวหนังเหนียว” มาเล่าสู่ท่านฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และคติเดือนใจ และก็เพื่อเป็นการยืนยัน หลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสเอาไว้เมื่อก่อน ๒๕๐๐ ปีมาแล้วว่า
    ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ปัจจุบันพุทธธรรมข้อนี้ ยังเป็นสัจธรรมความจริงเหมือนเดิมทุกประการ

    ตาบัว เป็นชื่อของชาวบ้านเขาผาแดงเรียกกัน บ้านช่องห้องหอของแกอยู่ที่ไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด บางคนก็บอกว่าอยู่ห้วยบง บางคนก็บอกว่าอยู่เขาเสมา แต่ที่รู้แน่ ๆ แกเป็นโจรที่ค่อนข้างจะแปลกไปกว่าบรรดาโจรทั้งหลาย คือ แกชอบปล้นคนเดียว ไม่เคยคบหมู่ คบพวก ไม่ว่าจะทำการปล้นที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าคนจะมากจะน้อยก็ไม่เคยเกรง กลางวัน กลางคืน ไม่เคยหวั่น แกจะปล้นได้ตลอดเวลาไม่เลือก แกสะดวกเมื่อไหร่ก็เอาเมื่อนั้น ใครจะซุ่มยิง ซุ่มแทง แกก็เฉย ไม่สนใจใครทั้งนั้น อยากได้ควายไปฆ่ากินสักตัว แกก็จะเข้าไปในคอก แล้วก็จูงควายออกไปอย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนส่วนมากเห็นแล้วไม่มีใครกล้าต่อสู้กับแกหรอก อำนาจแกมากเหลือคณา หรือเพียงแค่เห็นรอยเท้า ผู้คนก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

    ถ้าได้ยินเสียงว่า “เสือบัวมาแล้ว ห้ามผู้ใดเอะอะหรือขัดขืน” ผู้คนจะเงียบกริบเหมือนกับถูกมนต์ขลัง และมันก็น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าแกจะปล้น จี้ ลักขโมยที่ไหนก็ตาม แกไม่เคยใช้อาวุธเลย และอาวุธประจำตัวก็ไม่มี อย่างดีก็มีดแหลมเล่มเดียว คือ ส่วนมากแกจะใช้อาวุธข้าง ๆ ตัว เสียส่วนมาก เช่น เอาไม้ทุบหัวบ้าง กดคอจมน้ำบ้าง เอาเชือกรัดคอบ้าง หรือไม่ก็เอาอาวุธของเจ้าของทรัพย์นั่นแหละ ฆ่าเจ้าของทรัพย์ซะเอง เสือบัวจะถืออยู่อย่างหนึ่ง คือ แกจะฆ่าเฉพาะผู้ที่ขัดขืนหรือต่อสู้เท่านั้น ถ้ายินยอมเสีย เสือบัวก็จะไม่ทำอะไร และแกก็ไม่จับไปเป็นตัวประกันด้วย มาลักวัวลักควายใครแล้ว แกจะเอาเชือกผูกแล้วจูง หรือขี่หลังออกไปเฉย ๆ

    มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ คอกวัว คอกควาย บ้านใครที่คิดว่าทำคอกอย่างแน่นหนา เวลากลางค่ำกลางคืน อย่างตีลิ่ม ลงไลย ใส่กุญแจอย่างดี เพื่อป้องกันการลักขโมย พอตื่นเช้ามา ปรากฎว่าประตูถูกเปิดออกเฉยเสียอย่างนั้น โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้ตัว และไม่ได้ยินเสียงตีลิ่ม เปิดประตูคอกเลยด้วย นั่นแหละ คือ ผลงานของเสือบัวโดยไม่ต้องสงสัย ที่ทุกคนเชื่อเช่นนั้นก็เพราะว่าแกมี “คาถาสะเดาะลิ่มหรือกุญแจประตูนั่นเอง”

    บางครั้งออกปล้นเงินปล้นทอง แกจะบอกเจ้าทรัพย์ไปเอาออกมาให้ แล้วตัวแกก็จะนั่งดื่มน้ำรออย่างใจเย็น ทั้งนี้ เป็นเพราะความกลัวในกิตติศัพท์อันร้ายกาจของเสือบัวนั่นเอง เสือบัวสั่งอะไร อยากได้อะไร เจ้าทรัพย์ก็จะเอาออกมาให้จนหมด พอได้แล้วก็จะใช้ผ้าขาวม้าห่อเอา ถ้ามีควายด้วย แกจะขี่ควายไปด้วยทุกครั้ง เสือบัวทำการปล้นอยู่อย่างนี้มาหลายปี ไม่มีใครฆ่าแกได้ และไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าถึง เพราะสมัยนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก ยากที่จะติดตามเจอ จึงไม่มีใครจับเสือบัวได้สักคน ทั้งที่แกถูกยิงถูกฟันจนไม่มีเสื้อจะใส่แล้ว เพราะใส่เสื้อปล้นทีไร ถูกยิงถูกฟันจนเสื้อขาดหมดทุกที มาระยะหลังแกออกปล้น จะไม่มีเสื้อใส่เลย จะมีก็แค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวคาดเอว ในที่สุดก็เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเสือบัว ไม่ว่าจะปล้นที่ไหน ถ้าคนที่ปล้นไม่ใส่เสื้อแล้ว ไม่มีใครหรอก นอกจากเสื้อบัวเท่านั้น แล้วก็ได้รับการขนานนามอีกว่า “เสือบัวเทวดา” เพราะไม่มีใครฆ่าหรือจับแกได้นั่นเอง ชาวบ้านเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอสีคิ้ว อำเภอชัยบาดาล อำเภอปากช่อง อำเภอมวกเหล็ก ต่างก็รู้จักชื่อแกดีทั้งนั้น โดยเฉพาะชาวบ้านแถบเขาผาแดง ปางโก บ้านฉาง เขาน้อย ต่างก็รู้จักหรือจำตัวแกได้เป็นอย่างดี เห็นเพียงด้านหลังก็จำหน้าได้ ว่างั้นเถอะ

    เสือบัวจะใช้เขาแถบนั้นเป็นที่ซ่อนตัว มีบางคนบอกว่าบ้านของแกอยู่ในหุบเขาเสมา ตั้งอยู่หลังเดียวโดด ๆ มีลูกมีเมียด้วย ทกคนเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า รังนอนของเสือบัวคงจะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนักหรอก เพราะเห็นแกบ่อยเหลือเกิน แต่เดิมทีนั้นแกเป็นคนมาจากทางสุรินทร์ หรือเป็นคนเขมรนั่นเอง เสือบัวได้ทำอาชีพในการปล้นเขาเลี้ยงดูลูกเมียมาประมาณ ๑๓-๑๔ ปี แกก็ถึงคราวอวสานของชีวิต ถึงวาระที่จะต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้อย่างมาก ประพฤติชั่วเสียจนไม่รู้ว่าดีนั้นเป็นอย่างไร ทำบาปเสียจนไม่รู้ว่าบุญนั้นเป็นอย่างไร ทำนองที่ว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครที่จะอยู่เหนือกฎข้อนี้ไปได้
    เมื่อมีคนเก่งก็ต้องมีคนมาปราบจนได้ เรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสกุณายังมีนกอินทรี เสือบัวแกเข้าตำรานี้ แกจะเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ นี่เป็นหลักสัจธรรมที่ยืนยันได้ จึงเกิดมีอัศวินสองพี่น้องขี่ม้าขาวมาปราบแกจนได้
    [/FONT]
    [FONT=&quot]

    [/FONT]
    [/FONT] วันนั้น เป็นเดือน ๖ ข้างขึ้นด้วย เพราะมีพระจันทร์ขึ้นอยู่ครึ่งซีก กลางคืนก็มองเห็นป่าไม้ภูเขาขวางทะมึนอยู่รอบข้าง ลมที่เคยเงียบเหงาก็พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง คล้ายกับจะมีอาเพทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ท้องฟ้าก็มืดมน เห็นหมู่เมฆลอยปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา คล้ายกับจะมีฝนตกลงมา เพื่อชำระล้างเสนียดจัญไรอะไรสักอย่าง ที่รอโอกาสนี้มานานแล้ว ฉะนั้น ตอนเช้า เสือบัวก็ออกตระเวณปล้นเป็นกิจวัตรของแกเช่นเดิม ขณะที่กำลังเดินครุ่นคิดอยู่ว่า จะไปลักวัวควายที่ไหนดี เหมือนกรรมบันดาล เพราะเสือบัว ต้องไปเจอกับอัศวินสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ซึ่งเป็นชาวบ้านปรางหูเสือ ได้นำเอาควายออกมาเลี้ยงที่ไร่ของตนตามปกติ หลังจากเอาควายไปล่ามกินหญ้าริมคลองลำพญากลางแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยกันถางป่าขุดตอไม้ คุยกันไปตามประสาน้องพี่ผู้รักกันในสายเลือด หาได้คิดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเอง ขณะคุยกันอยู่เพลิน ๆ นั้น ก็มีอีกาตัวหนึ่งบินไปจับที่ต้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากที่ล่ามควาย และที่ต้นไม้นั้นก็เป็นที่ไว้ของห่อข้าวด้วย ทิดหนอมก็บอกน้องชายให้ไปดูห่อข้าวว่า “เฮ้ย....ไอ้เนียม ลองเดินไปดูห่อข้าวที เอ็งเอาไว้ที่ไหน เดี๋ยวอีกาจะคาบไปกินเสียเท่านั้นแหละ” ทิดเนียมก็ชี้ไปที่ต้นตะคร้อที่อีกาจับอยู่พร้อมกับพูดว่า “ก็ที่ต้นตะคร้อนั้นไงเล่า หรืออีกาจะเอาไปกินแล้วละมัง เดี๋ยวไปดูสักเดี๋ยวก่อน”

    พอพูดจบก็เดินออกไปดู ก็เห็นห่อข้าวอยู่เป็นปกติดี จึงได้เดินออกไปดูควายเพื่อย้ายที่เข้าร่ม เพราะจวนจะเที่ยงแล้ว แต่มันช่างบังเอิญเหลือเกิน พอทิดเนียมเดินออกไปหน่อยเดียวเท่านั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ กำลังขี่ควายของตนออกไปอย่างหน้าตาเฉย ทิดเนียมแกเห็นแวบเดียวก็จำได้อย่างแม่นยำเลยเชียวล่ะ ผู้ชายหุ่นอย่างนี้ ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากเสือบัวเท่านั้น พอเห็นเช่นนั้น ทิดเนียมแกก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกพี่ชาย “พี่ทิด...พี่ทิด....เร็ว ๆ เข้า โน่น ไอ้เสือบัวมันขี่ควายเราไปแล้ว”

    พูดจบแกก็วิ่งไปเอาปืนแก๊ปอาวุธคู่มือ ส่วนพี่ชายก็คว้ามีดที่กำลังถืออยู่ ก็ชวนกันวิ่งออกตามไป พอตามไปทัน สองพี่น้องก็ยังไม่จู่โจมโดยทันที พี่ชายบอกว่า “ให้ตามไปเรื่อย ๆ ก่อน ใจเย็น ๆ อย่าวู่วาม เพราะเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว จะไปขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แล้ว ควายเราก็เหลือตัวเดียวเท่านั้น ถ้าหมดตัวนี้ก็หมดกันเท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรเราก็ต้องพยายามเอาควายคืนให้ได้ เป็นไงเป็นกันล่ะ เราจะต้องแย่งชิงเอาคืนให้ได้”

    เมื่อทั้งสองพี่น้องตามไปได้พักหนึ่ง ก็ไปถึงทางขึ้นเขา ซึ่งเป็นทางยุทธศาสตร์ของทหารช่างในสมัยนั้น ทางเส้นนี้ลาดชัน และมีหินสลับซับซ้อนวกวน มีหินก้อนใหญ่ ๆ ขวาง ทางก็คดไปคดมา กว่าจะถึงยอดเขาก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ทางเส้นนี้เกวียนพอจะขึ้นได้ เพราะชาวบ้านเขาจะใช้ทางเส้นนี้ เป็นทางบรรทุกเอาพวกน้ำมันยางขี้ไต้ ไปขายที่ตลาดสีคิ้วเป็นประจำ

    พอถึงทางขึ้นเขา เสือบัวก็ลงจากหลังควาย แล้วก็เดินจูงควายไปตามทางขึ้นเขา จูงไปเรื่อย ๆ ทางด้านสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ก็แอบตามไปห่าง ๆ เพียงรอจังหวะโอกาสเหมาะ ๆ และก็ตามไปจนถึงยอดเขา ซึ่งตรงนั้นเป็นลานหินบริเวณกว้าง และมีหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ อีกด้าาน หนึ่งก็เป็นหน้าผาเหวลึกยาวตลอดแนวเขา

    เสือบัวแกก็หยุดเอาควายผูกกินหญ้า แล้วตัวแกก็นั่งพักใต้ร่มไม้ พอดีสองพี่น้องตามมาทัน เห็นแล้ว ไม่ฟังเสียง ด้วยความโมโหจึงส่องปืนแก๊ปที่ติดตัวมายิงใส่ทันที ควายตื่น เชือกขาดวิ่งลงเขาไป แต่เสือบัวไม่เป็นไร กระโดดเข้าใส่สองพี่น้องทันที สองพี่น้องมีปืนและมีด เสือบัวมีแต่ไม้ แต่ทั้งยิงทั้งแทงก็หาได้ระคายผิวเสือบัวไม่ ขณะเดียวกัน เสือบัวก็ทำอะไรสองพี่น้องไม่ได้เช่นกัน ต่างคนต่างก็กอดปล้ำกัน มาตอนหลังไม่ได้อาวุธแล้ว ต่างคนใช้มือเปล่าเข้าใส่กัน

    ปล้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นาน โดยเฉพาะทิดหนอมกับทิดเนียมสองพี่น้อง ทำอย่างไรก็สู้เสือบัวไม่ได้ สองพี่น้องก็เหนื่อยถึงขนาดผลัดกันเข้าออก จนเสือบัวหมดแรง สองพี่น้องก็ช่วยกันจับมือ เอาเชือกควายที่ขาดติดอยู่กับต้นไม้มาผูกมือเสือบัวเอาไว้ แล้วน้องชายก็เอามีดไปตัดไม้รวกมาเสี้ยมให้แหลม จากนั้นก็ตอกเข้าไปในทวารของเสือบัว จนไม้รวกขนาดประมาณหนึ่งศอกจมมิด ทำเอาเสือบัวถึงกับร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ฟังดูเหมือนเสียงควายถูกตีหัวอย่างนั้น แล้วสองพี่น้องจึงช่วยกันจับเสือบัว ทิ้งลงเหวลึกตายอย่างน่าอนาถ

    พอเสือบัวตายแล้ว ชาวบ้านต่างก็อนุโมทนา เพราะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงอีกต่อไปแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ไปได้อย่างสบาย ชาวบ้านก็อยู่อย่างเป็นสุข กรรมดี ถ้ากระทำ ก็ย่อมได้รับการสรรเสริญ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ ทำนองเดียวกัน ถ้าใครทำแต่ ความชั่ว ไว้ เขาย่อมได้รับแต่เสียงสาปแช่ง ก่นด่า อยู่เบื้องหลัง แม้จะละสังขารนี้ไปแล้วก็ตาม ดังเรื่องราวของเสือบัวผู้โด่งดังผู้นี้เป็นอาทิ และเพราะตลอดชาติที่เขามาเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ประกอบแต่กรรมชั่วเป็นอาจิณ แม้เมื่อเขาตายไปแล้ว จึงยังต้องไปชดใช้กรรมอยู่อีกระยะหนึ่ง นั่นคือ ไม่มีกรรมดีพอที่จะส่งให้ไปผุดไปเกิดนั่นเอง จึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญส่วนกุศล จนชาวบ้านต่างกลัวผีเสือบัวจนหัวหด ถึงกับต้องสร้างศาลเพียงตาให้เป็นที่สิงสถิตที่หน้าผา ตามความเชื่อมาตั้งแต่เดิมนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า เขาเหวตาบัว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เหวตาบัว อยู่ห่างจากถนนสายด่านขุนทด ลำนารายณ์ ประมาณ ๑ กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้ อยู่ระหว่างเขตแดนติดต่อของ ๓ จังหวัด คือ นครราชสีมา ลพบุรี และสระบุรี
    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...