แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,492
    ค่าพลัง:
    +19,462
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. วีรวัช

    วีรวัช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +5,029
    ท่านพระ มหากัจจายนะ เป็นพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า

    แต่พระสังกัจจายน์ เป็นพระโพธิสัตย์ ของจีนครับ ตามคติทางจีน

    ดังนั้น ทั้งสองท่านจึงเป็นคนละองค์กันครับ แต่ก็เด่นทางมีลาภทั้งคู่

    พูดถึงเรื่องลาภ ชาวพุทธไทยก็จะนึกถึงท่านพระสีวลีมากกว่าครับ เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่องท่านไว้ในฐานะ เอตทัตคะด้านผู้บริบูรณ์ด้วยลาภ

    ส่วนเรื่องปิดตาเอาง่ายๆก็มี ปิดตามหาลาภ(มหาอุตต์=มาจากอุดมสมบูรณ์) กับ ปิดตามหาอุด (อุด=แบบนี้ อยู่ยงคงกระพัน)

    แยกกันง่ายๆก็มหาลาภจะปิดแค่ใบหน้า มหาอุด จะมีมือโยงไปปิดทวารทั้งเก้าครับ (ตา2 หู2 จมูก2รู ปาก1 อวัยวะเพศ1 ทวาร1)
     
  3. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    มาเรียนรู้อีกแล้วครับ
     
  4. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    กะจ่างแจ้ง



    ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อยเลยจริงๆ เป็นวิทยาทานโดยแท้ครับ อ่านแล้วรู้สึกขุนลุกขึ้นมาทันที รู้ได้ถึงความเป็นมาทุกอย่างเลยครับ ขอบคุณมากครับ อนุโมทนาสาธุ
     
  5. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ขอบคุณครับ

    ขอบคุณน้าต๋อย เซมเบ้มากครับ ได้ความรู้และได้มุกดีใหม่ๆและเก่าแบบไม่เคยรู้มาก่อนน้าต๋อยมาตลอดเลยครับ ติดตามอ่านตลอดครับ (ขอเป็นคน(ขับ)ช่วยน้าต๋อยน่ะครับ..หุหุ)
     
  6. THANACHAI

    THANACHAI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +922
    สวัสดีครับพี่หนุ่ม...และทุกท่าน:cool:
    บทความดีๆมาฝาก..

    คาร์ล เบนซ์ ผู้ให้กำเนิดรถยนตร์คั<WBR>นแรกของโลกสำหรับหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 โดย วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ

    เมื่อปีที่ผ่านมานั้นอุ<WBR>ตสาหกรรมการผลิตรถยนตร์ในบ้<WBR>านเราผลิตรถยนตร์มากกว่า 1 ล้านคัน และในอนาคตประเทศไทยจะกลายมาเป็<WBR>นศูนย์กลางของการผลิตรถยนตร์<WBR>ของโลก ผมจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับต้<WBR>นกำเนิดของผู้ผลิตรถคั<WBR>นแรกของโลกมาฝาก ลองคิดเล่น ๆ ว่าหากปัจจุบันโลกเรายังคงใช้ช้<WBR>างม้า วัวควาย เป็นพาหนะหรือใช้เป็นแรงงานอยู่ โลกเราจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเรายังไม่มีการผลิ<WBR>ตรถยนตร์ขึ้นใช้ เราคงต้องใช้เรือเป็นพาหนะหลั<WBR>กในการเดินทางทางน้ำ เหมือนกับในอดีตอย่างแน่นอน
    <SCRIPT><!--D(["mb"," \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eโลกเราควรขอบคุณ คาร์ล เบนซ์ผู้จุดฉนวนให้มีการผลิ\u003cWBR\u003eตรถยนตร์คันแรกของโลกและที่สำคั\u003cWBR\u003eญเขาเป็นผู้ที่ทำให้เรามีรถดี ๆ ขับได้อย่างทุกวันนี้\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eจนเราไม่สามารถหยุดการผลิ\u003cWBR\u003eตรถยนตร์ได้เสียแล้ว ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการผลิ\u003cWBR\u003eตรถยนตร์ปีละเกือบ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e90 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eล้านคัน รวมไปถึงรถเก่าที่มีอยู่กว่า \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e800 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eล้านคัน จากรถคันแรกที่ผลิตและกำเนิดขึ้\u003cWBR\u003eนมาเมื่อ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e120 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eปีที่แล้ว\u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eนับเป็นเรื่องน่าคิดว่าเวลามีสิ\u003cWBR\u003e่งประดิษฐ์อะไรแปลกใหม่ ทำไมจะต้องเป็นพวกฝรั่งเท่านั้\u003cWBR\u003eนที่สามารถผลิตสิ่งต่างๆ ออกมา แล้วคนไทยไม่สามารถคิดเช่นนั้\u003cWBR\u003eนได้ จนต้องอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ฝรั่งกับญี่ปุ่นนั้นมีอวัยวะส่\u003cWBR\u003eวนใดเกินมาจากคนไทย เพราะคนไทยจะต้องเป็นผู้ตามวิ\u003cWBR\u003eทยาการของสองประเทศนี้เสมอ เว้นแต่เรื่องงมงายในวัตถุ\u003cWBR\u003eมงคลหรือเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี\u003cWBR\u003eเท่านั้นที่คนไทยแซงหน้าเป็นผู้\u003cWBR\u003eนำประเทศอื่นอยู่หลายขุมผมเชื่\u003cWBR\u003eอว่าการศึกษาที่มีคุณภาพอย่\u003cWBR\u003eางสร้างสรรค์ และมีความต่อเนื่องโดยมีเป้\u003cWBR\u003eาหมายอย่างจริงจัง เป็นสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งหรือญี่",1]);//--></SCRIPT>
    โลกเราควรขอบคุณ คาร์ล เบนซ์ผู้จุดฉนวนให้มีการผลิ<WBR>ตรถยนตร์คันแรกของโลกและที่สำคั<WBR>ญเขาเป็นผู้ที่ทำให้เรามีรถดี ๆ ขับได้อย่างทุกวันนี้จนเราไม่สามารถหยุดการผลิ<WBR>ตรถยนตร์ได้เสียแล้ว ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการผลิ<WBR>ตรถยนตร์ปีละเกือบ 90 ล้านคัน รวมไปถึงรถเก่าที่มีอยู่กว่า 800 ล้านคัน จากรถคันแรกที่ผลิตและกำเนิดขึ้<WBR>นมาเมื่อ 120 ปีที่แล้ว

    นับเป็นเรื่องน่าคิดว่าเวลามีสิ<WBR>่งประดิษฐ์อะไรแปลกใหม่ ทำไมจะต้องเป็นพวกฝรั่งเท่านั้<WBR>นที่สามารถผลิตสิ่งต่างๆ ออกมา แล้วคนไทยไม่สามารถคิดเช่นนั้<WBR>นได้ จนต้องอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ฝรั่งกับญี่ปุ่นนั้นมีอวัยวะส่<WBR>วนใดเกินมาจากคนไทย เพราะคนไทยจะต้องเป็นผู้ตามวิ<WBR>ทยาการของสองประเทศนี้เสมอ เว้นแต่เรื่องงมงายในวัตถุ<WBR>มงคลหรือเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี<WBR>เท่านั้นที่คนไทยแซงหน้าเป็นผู้<WBR>นำประเทศอื่นอยู่หลายขุมผมเชื่<WBR>อว่าการศึกษาที่มีคุณภาพอย่<WBR>างสร้างสรรค์ และมีความต่อเนื่องโดยมีเป้<WBR>าหมายอย่างจริงจัง เป็นสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งหรือญี่<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cWBR\u003eปุ่นสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาได้ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/font\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\" face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eคนไทยนั้นมีฝีมือในการช๊อปปิ้\u003cWBR\u003eงเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนไทยไม่สามรถผลิตสิ่\u003cWBR\u003eงเหล่านี้ได้เองเลยจากภูมิปั\u003cWBR\u003eญญาไทย ต่างจากฝรั่งเพราะว่าสิ่งเหล่\u003cWBR\u003eานี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้\u003cWBR\u003eมเหลวของการศึกษาไทยและการบริ\u003cWBR\u003eหารงานของผู้นำไทย นับว่าอันตรายต่ออนาคตมาก เพราะทุกวันนี้โลกเราดินทางไปถึ\u003cWBR\u003eงดาวอังคารแล้ว แต่ประเทศไทยยังลงทุนกว่า \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e5\u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/font\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\"\u003eหมื่นล้านบาทเพื่อหาวัตถุ\u003cWBR\u003eมงคลมาห้อยคอ สิ่งนี้ถือเป็นปรอทที่สามารถวั\u003cWBR\u003eดและบ่งชี้อนาคตการพั\u003cWBR\u003eฒนาเทคโนโลยีของประเทศไทยว่\u003cWBR\u003eาจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้แค่\u003cWBR\u003eไหน\u003c/font\u003e \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eย้อนกลับไปที่เรื่องของคาร์ล เบนซ์การที่เขาสามารถคิดค้\u003cWBR\u003eนรถยนตร์ได้นั้น เป็นเพราะเขาเรียนจบทางด้าน\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eวิ\u003cWBR\u003eศวกรรมเครื่องกล\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e เมื่อกว่า \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e150 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eปีที่แล้ว เป็นพื้นฐานความรู้ที่นำเขาไปสู\u003cWBR\u003e่การสร้างเครื่องยนต์ดีเซล และนำไปสู่การผลิตรถยนตร์คั",1]);//--></SCRIPT> <WBR>ปุ่นสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาได้

    คนไทยนั้นมีฝีมือในการช๊อปปิ้<WBR>งเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนไทยไม่สามรถผลิตสิ่<WBR>งเหล่านี้ได้เองเลยจากภูมิปั<WBR>ญญาไทย ต่างจากฝรั่งเพราะว่าสิ่งเหล่<WBR>านี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้<WBR>มเหลวของการศึกษาไทยและการบริ<WBR>หารงานของผู้นำไทย นับว่าอันตรายต่ออนาคตมาก เพราะทุกวันนี้โลกเราดินทางไปถึ<WBR>งดาวอังคารแล้ว แต่ประเทศไทยยังลงทุนกว่า 5หมื่นล้านบาทเพื่อหาวัตถุ<WBR>มงคลมาห้อยคอ สิ่งนี้ถือเป็นปรอทที่สามารถวั<WBR>ดและบ่งชี้อนาคตการพั<WBR>ฒนาเทคโนโลยีของประเทศไทยว่<WBR>าจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้แค่<WBR>ไหน

    ย้อนกลับไปที่เรื่องของคาร์ล เบนซ์การที่เขาสามารถคิดค้<WBR>นรถยนตร์ได้นั้น เป็นเพราะเขาเรียนจบทางด้านวิ<WBR>ศวกรรมเครื่องกล เมื่อกว่า 150 ปีที่แล้ว เป็นพื้นฐานความรู้ที่นำเขาไปสู<WBR>่การสร้างเครื่องยนต์ดีเซล และนำไปสู่การผลิตรถยนตร์คั<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cWBR\u003eนแรกของโลกในที่สุด ซึ่งตอนนั้นมีเพียง \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e3 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eล้อ และเป็นรถที่วิ่งได้โดยเครื่\u003cWBR\u003eองยนต์ครั้งแรกของโลก จากความคิดที่ว่าจะทดแทนการใช้\u003cWBR\u003eม้าเพื่อลากรถโดยใช้เครื่องจั\u003cWBR\u003eกรได้อย่างไร จนทำให้มีการผลิตรถยนตร์คั\u003cWBR\u003eนแรกออกมา และหลังจากมีการผลิตออกมาแล้\u003cWBR\u003eวเขาก็ได้มีการไปจดสิทธิบั\u003cWBR\u003eตรจนกลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิ\u003cWBR\u003eตรถยนตร์รายใหญ่ของโลกเมื่อกว่า \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e100 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eปีที่แล้ว จนกลายมาเป็นบริษัทเบ๊นซ์ในปั\u003cWBR\u003eจจุบัน\u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\"\u003eในสังคมตะวันตกให้ความสำคัญกั\u003cWBR\u003eบการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าการศึ\u003cWBR\u003eกษาจะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็\u003cWBR\u003eจและจะนำพาชีวิตของคนทุกชีวิ\u003cWBR\u003eตให้ไปสู่ความจริงที่สามารถพิสู\u003cWBR\u003eจน์ได้ แต่คนในสมัยนี้ต้องแข่งขันกั\u003cWBR\u003eนในเรื่องของการศึกษารวมไปถึ\u003cWBR\u003eงแข่งกันคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรื\u003cWBR\u003eอนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตความป็นอยู่\u003cWBR\u003eสะดวกสบายและดีขึ้น สิ่งนี้เองที่ช่วยสร้างความเจริ\u003cWBR\u003eญก้าวหน้าให้กับสังคมตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้\u003cWBR\u003eางช่องว่างที่กำลังขยายตัว\u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e\u003cfont style\u003d\"background-color:#ff9966\"\u003eเรื่\u003cWBR\u003eอย ๆ ระหว่างสังคมตะวันตกกับสั\u003cWBR\u003eงคมไทยเพราะคนไทยยั\u003cWBR\u003eงคงงมงายและเชื่อถือเรื่\u003cWBR\u003eองโชคลางและดวง ถือเป็นประเด็นที่จะทำให้\u003cWBR\u003eประเทศไทยยังล้าหลังอยู่\u003c/font\u003e \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e",1]);//--></SCRIPT> <WBR>นแรกของโลกในที่สุด ซึ่งตอนนั้นมีเพียง 3 ล้อ และเป็นรถที่วิ่งได้โดยเครื่<WBR>องยนต์ครั้งแรกของโลก จากความคิดที่ว่าจะทดแทนการใช้<WBR>ม้าเพื่อลากรถโดยใช้เครื่องจั<WBR>กรได้อย่างไร จนทำให้มีการผลิตรถยนตร์คั<WBR>นแรกออกมา และหลังจากมีการผลิตออกมาแล้<WBR>วเขาก็ได้มีการไปจดสิทธิบั<WBR>ตรจนกลายมาเป็นบริษัทผู้ผลิ<WBR>ตรถยนตร์รายใหญ่ของโลกเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว จนกลายมาเป็นบริษัทเบ๊นซ์ในปั<WBR>จจุบัน

    ในสังคมตะวันตกให้ความสำคัญกั<WBR>บการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าการศึ<WBR>กษาจะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็<WBR>จและจะนำพาชีวิตของคนทุกชีวิ<WBR>ตให้ไปสู่ความจริงที่สามารถพิสู<WBR>จน์ได้ แต่คนในสมัยนี้ต้องแข่งขันกั<WBR>นในเรื่องของการศึกษารวมไปถึ<WBR>งแข่งกันคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรื<WBR>อนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตความป็นอยู่<WBR>สะดวกสบายและดีขึ้น สิ่งนี้เองที่ช่วยสร้างความเจริ<WBR>ญก้าวหน้าให้กับสังคมตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้<WBR>างช่องว่างที่กำลังขยายตัวเรื่<WBR>อย ๆ ระหว่างสังคมตะวันตกกับสั<WBR>งคมไทยเพราะคนไทยยั<WBR>งคงงมงายและเชื่อถือเรื่<WBR>องโชคลางและดวง ถือเป็นประเด็นที่จะทำให้<WBR>ประเทศไทยยังล้าหลังอยู่
    <SCRIPT><!--D(["mb","\u003cspan\u003e                \u003c/span\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eวันนี้ประเทศไทยมีสัดส่วนพื้นที\u003cWBR\u003e่ของโลกประมาณ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e0.3%\u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e และมีประชากรเป็น \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e1 % \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eของประชากรโลก แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่\u003cWBR\u003eสามารถผลิตอาหารที่ใหญ่เป็นอั\u003cWBR\u003eนดับ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e6 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eของโลก ถือว่าประเทศไทยเลี้ยงดูและสร้\u003cWBR\u003eางชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กั\u003cWBR\u003eบโลกด้วยเช่นกัน เพียงแต่มูลค่าสินค้\u003cWBR\u003eาเกษตรกรรมที่ประเทศไทยส่\u003cWBR\u003eงออกเป็นอันดับ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e6 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eของโลกนั้น คิดเป็นเพียง \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e9% \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eของ \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003eGDP \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eทั้งประเทศเท่านั้นเอง\u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\n\u003cp class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003c/p\u003e\n\u003cdiv class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eผมยกตัวอย่างดังกล่าวข้างต้\u003cWBR\u003eนเพราะผมอยากให้พวกเราคนไทยได้\u003cWBR\u003eเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นในอดีต และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุ\u003cWBR\u003eบัน ผมเองชอบเอาตัวอย่\u003cWBR\u003eางของอมตะนครมาพูดเสมอว่าพื้นที",1]);//--></SCRIPT>
    วันนี้ประเทศไทยมีสัดส่วนพื้นที<WBR>่ของโลกประมาณ 0.3% และมีประชากรเป็น 1 % ของประชากรโลก แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่<WBR>สามารถผลิตอาหารที่ใหญ่เป็นอั<WBR>นดับ 6 ของโลก ถือว่าประเทศไทยเลี้ยงดูและสร้<WBR>างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กั<WBR>บโลกด้วยเช่นกัน เพียงแต่มูลค่าสินค้<WBR>าเกษตรกรรมที่ประเทศไทยส่<WBR>งออกเป็นอันดับ 6 ของโลกนั้น คิดเป็นเพียง 9% ของ GDP ทั้งประเทศเท่านั้นเอง

    ผมยกตัวอย่างดังกล่าวข้างต้<WBR>นเพราะผมอยากให้พวกเราคนไทยได้<WBR>เข้าใจในสิ่งที่เราเป็นในอดีต และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุ<WBR>บัน ผมเองชอบเอาตัวอย่<WBR>างของอมตะนครมาพูดเสมอว่าพื้นที<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cWBR\u003e่เพียง \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e3 \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eหมื่นไร่เท่านั้น กลับสามารถผลิต \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003eGDP \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eออกมาได้ถึง \u003c/span\u003e\u003cspan style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e6% \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eของทั้งประเทศแล้ว เป็นเพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้\u003cWBR\u003eองและเหมาะสม โดยคิดว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ถู\u003cWBR\u003eกต้องเหมือนที่คาร์ล เบนซ์ได้ทำ\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt\"\u003e\u003cfont face\u003d\"Times New Roman\"\u003e \u003c/font\u003e\u003c/span\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003eแล้วสิ่งดีๆ มีประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับบ้\u003cWBR\u003eานเมืองของเราได้อย่างไม่ยากเย็\u003cWBR\u003eน\u003c/span\u003e\u003c/div\u003e\n\n\u003cdiv class\u003d\"MsoNormal\" style\u003d\"margin:0cm 0cm 0pt;text-indent:36pt;text-align:justify\"\u003e\u003cspan lang\u003d\"TH\" style\u003d\"font-size:16pt;font-family:\u0026#39;Angsana New\u0026#39;\"\u003e\u003c/span\u003e \u003c/div\u003e\n",0]);//--></SCRIPT> <WBR>่เพียง 3 หมื่นไร่เท่านั้น กลับสามารถผลิต GDP ออกมาได้ถึง 6% ของทั้งประเทศแล้ว เป็นเพราะเราทำในสิ่งที่ถูกต้<WBR>องและเหมาะสม โดยคิดว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ถู<WBR>กต้องเหมือนที่คาร์ล เบนซ์ได้ทำแล้วสิ่งดีๆ มีประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับบ้<WBR>านเมืองของเราได้อย่างไม่ยากเย็<WBR>น

    <SCRIPT><!--D(["ce"]);//--></SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2010
  7. THANACHAI

    THANACHAI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +922
    ข้อคิดดีๆ จากหลวงปู่เรือง อาภัสโร <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>หมายเหตุ บทความนี้เป็นช่วงที่ผู้เขี<WBR>ยนพบกับหลวงปู่เรืองเป็นครั้<WBR>งแรก
    เหตุการณ์จะเกิดขึ้นก่<WBR>อนบทความหลักของกระทู้นี้


    ------------------------------<WBR>-----------------------------

    จนวันหนึ่งชีวิตเกิดพลิกผั<WBR>นจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเศรษฐีเป็นยาจก หากจะใช้คำนี้ก็คงไม่ผิด ธุรกิจที่ทำล้มลงชนิดที่เรียกว่<WBR>า “หมดตัว” ไม่มีอะไรเหลือ
    แม้แต่บ้านที่ซุกหัวนอนก็ถูกยึด ครอบครัวลำบากเดือดร้อนชนิดที่<WBR>เรียกว่าไม่มีอะไรจะกิน ชีวิตมีแต่ความทุกข์

    ที่นี้จะหันหน้าไปพึ่<WBR>งใครนอกจากพระ ที่ไม่เคยดูหมอดู ก็ตามหาหมอดูที่ว่าดูแม่นแบบสุ<WBR>ดๆ ชนิดดูแบบตัวเลข ลายมือหรือพลังจิตไปมาหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าความมั่นใจในตั<WBR>วเองที่เคยมีหมดสิ้นไป

    คำถามที่เคยคิดในใจตลอดเวลาว่า “ระหว่างเก่งกับเฮงอะไรสำคัญกว่<WBR>ากัน” ในความเชื่อของผู้เขียนๆ มักมีความเชื่อมั่นตลอดมาว่า “เก่งย่อมดีกว่าเฮง”

    แต่เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในครั<WBR>้งนี้ผู้เขียนเชื่อแล้วว่า ถึงจะเก่งอย่างไรก็สู้เฮงไม่ได้ เพราะกิจการที่ทำอยู่ผู้เขี<WBR>ยนเริ่มต้นด้วยหลักวิชาการที่<WBR>เรียนมา ซึ่งก็เป็นไปตามระบบและแผนงานที<WBR>่วางไว้ทั้งหมด แต่แล้วทุกสิ่งที่สร้างมาตลอดชี<WBR>วิตดับสิ้นสลาย ด้วยเหตุผลที่แทบจะไม่มีใครคิ<WBR>ดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว “ทรัสต์ล้ม แบงค์เจ๊ง” ซึ่งเมื่อไปหาหมอดูร้อยทั้งร้<WBR>อยมักบอกให้ไปทำบุ<WBR>ญสะเดาะเคราะห์ต่ออายุหรือ สืบชะตาก็ว่ากันไป


    เมื่อไปทำบุญตามวัดต่างๆก็เริ่<WBR>มรู้จักเกจิอาจารย์รูปสำคั<WBR>ญหลายรูป ท่านก็ให้วัตถุมงคลมาบูชาบ้าง ช่วงนั้นยอมรับว่าจิตใจอ่<WBR>อนแอมาก
    ใครแนะนำให้ทำอะไร ถ้าบอกว่าสามารถจะทำให้ชีวิตพลิ<WBR>กฟื้นได้เป็นไม่ชักช้า สะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ สืบชะตา บังสกุลเป็น บังสกุลตาย ถวายผ้าป่า สังฆทาน บูชาราหู ทำพิธีเสริมชะตา ทรงเจ้าเข้าทรงทุกรูปแบบ ทำมาหมดไปมาหมด พอนานวันเข้า เอ๊ะ...ทำไมชีวิตมันยังไม่ดีขึ้<WBR>น
    เริ่มศึกษาค้นคว้าถึงเหตุถึงปั<WBR>จจัยว่าเพราะอะไร...ทำไม...อย่<WBR>างไร


    พบของจริง

    วันหนึ่งมีโอกาสขึ้นไปกราบนมั<WBR>สการ หลวงปู่เรือง อาภัสโร พระอภิญญาจารย์ชื่อดังแห่<WBR>งเขาสามยอด จังหวัดลพบุรี ซึ่งท่านใช้ชีวิตอยู่<WBR>บนเขาสามยอดรูปเดียวกว่าสี่สิ<WBR>บปี โดยไม่ยอมลงจากเขา ตอนนั้นหลวงปู่เรืองท่านยังไม่<WBR>ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างปัจจุบั<WBR>นนี้
    พอพบหน้าคำถามแรกที่หลวงปู่เรื<WBR>องท่านถาม... “มาทำไม”
    “มาขอบารมีหลวงปู่”
    “บารมีอะไร”
    “ก็บารมีที่หลวงปู่ปฏิบัติ<WBR>มาไงล่ะครับ”
    “บารมีมันขอกันได้ที่ไหน มันต้องสร้างเองซิ จะมาขอกันง่ายๆ ได้อย่างไร”
    “คือตอนนี้ผมลำบากมาก หนี้สินมากมายมหาศาล อยากจะขอให้หลวงปู่แผ่เมตตาช่<WBR>วยเหลือ”
    “โอ๊ยจะช่วยได้อย่างไร ทีตอนไปกู้เงินไม่เห็นจะมาบอก พอเป็นหนี้เสร็จค่อยมาบอก แล้วฉันจะช่วยได้อย่างไร ฉันหาเงินไม่เป็น ทำงานไม่เป็น เป็นแต่ภาวนา”

    “นั่นแหละครับหลวงปู่ ผมอยากให้หลวงปู่ภาวนาแผ่เมตตา เผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้น อ้อหลวงปู่ครับ พอดีผมได้ กาฝากมะรุม มา เพื่อนเขาบอกว่าหายากมากครับ อยากให้หลวงปู่เสกให้หน่อย”
    “โอ๊ยกาฝากมะรุมมันจะไปสู้<WBR>คนมารุมได้อย่างไร กาฝากมะรุมมันไม่<WBR>รวยหรอกนอกจากคนมารุมถึ<WBR>งจะรวยจริงไหม” พูดไปหลวงปู่เรืองท่านก็หั<WBR>วเราะไป


    ในใจผู้เขียนเริ่มจะเคืองๆท่<WBR>านหน่อยๆ ขออะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ทำ ในใจคิดว่าอุตส่าห์ปีนเขากว่าชั<WBR>่วโมง แบกของมาถวายก็หนัก ทำไมหลวงปู่ไม่เมตตาเลย แต่ดูเหมือน หลวงปู่เรืองท่านรู้วาระจิตผู้<WBR>เขียน
    ท่านพูดว่า “ใจเย็น...อย่าเพิ่งโกรธกัน พักให้หายเหนื่อยก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่”
    ผู้เขียนจึงออกมานั่งพักหน้าถ้ำ สักพักใหญ่พอหายเหนื่อยแล้วจึ<WBR>งคลานเข้าไปคุยกับท่านคราวนี้ยั<WBR>งไม่ทันขออะไร ท่านก็พูดขึ้นมาก่อน “เรื่องบางเรื่อง บางครั้งมันเป็นวิบากกรรม พระอรหันต์ยังช่วยไม่ได้ แล้วฉันจะช่วยอย่างไร เธอต้องเสวยผลกรรมก่อน แล้วกรรมจะค่อยๆบรรเทาเอง เธอเข้าใจผิดแล้วที่คิดว่<WBR>าไปหาพระหาเจ้าท่านจะช่วยเธอได้<WBR>ทุกรูป บางรูปท่านรู้แต่ท่านก็ไม่<WBR>สามารถช่วยเธอได้เพราะอะไร....
    เพราะว่าหากไม่มี บุพกรรม ต่อกันมาแต่อดีตชาติ หรือกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันมา ท่านก็จะไม่สามารถช่วยเหลื<WBR>ออะไรเธอได้ แต่หากท่านกับเธอเคยมีบุพกรรมต่<WBR>อกันมาท่านก็อาจจะสงเคราะห์<WBR>บรรเทาทุกข์หรือ กรรมของเธอได้ด้วยกระแสบารมี<WBR>ธรรมที่ท่านได้สร้างสมปฏิบัติมา โดยใช้วัตถุมงคลที่ท่านได้อธิ<WBR>ษฐานจิตมาเป็นสื่อกลาง แต่เหนืออื่นใดเธอต้องปฏิบัติตั<WBR>วเป็นคนดีเสียก่อน พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านถึ<WBR>งจะช่วยได้

    นั่นคือสิ่งที่หลวงปู่เรืองท่<WBR>านบอกกล่าว ซึ่งพอท่านพูดจบท่านก็ได้มอบ ผ้ายันต์ ซึ่งเป็นรอยมือรอยเท้าท่านให้ผู<WBR>้เขียน


    ซึ่งผู้เขียนเองหลังจากที่ได้รั<WBR>บผ้ายันต์ของหลวงปู่แล้ว ชีวิตก็เริ่มดีขึ้นทีละนิดที<WBR>ละหน่อยแม้จะยังแก้ปัญหาที่เกิ<WBR>ดขึ้นได้ไม่หมด แต่ก็เริ่มเห็นช่องทางในการแก้<WBR>ปัญหาชีวิต
    ซึ่งหากพิจารณาจากคำพู<WBR>ดของหลวงปู่เรืองที่ว่า สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ครูบาอาจารย์ หากไม่มีบุพกรรมหรือเอื้อต่อกั<WBR>นก็คงจะไม่ช่วยเหลือหรือบั<WBR>นดาลให้เกิดโชคลาภ ความสำเร็จได้ ข้อ นี้เห็นจะจริง ลองพิจารณาดูวัตถุมงคลรุ่นเดี<WBR>ยวกัน บางคนนำไปบูชาเกิดโชคลาภเนืองๆ บางคนนำไปบูชาก็ไม่เห็นจะดีขึ้น มิหนำซ้ำกลับแย่ลงอีกด้วยซ้<WBR>ำไปหรืออย่างภาพที่เห็นชัดเจน เช่นวัดหลวงพ่อโสธร บางคนไปบนบานศาลกล่าวไม่ช้าไม่<WBR>นานก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีมากรายที่ผิดหวังจึ<WBR>งขอให้ทุกท่านลองพิจารณาดู ...

    ภักดีภูริ


    ขอขอบคุณ คุณ tatty ที่คัดบทความของผมลงเว็บนี้ไว้<WBR>ด้วยครับ
    ลิงค์ต้นฉบับ

    -- ต้นฉบับจาก นิตยสารโลกลี้ลับ ฉบับที่ 209 ประจำเดือนเมษายน 2545 --
     
  8. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    ตามอ่านมานาน ไม่เคยแสดงความคิดเห็น วันนี้ขอนิดนึงนะครับ
    พระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเป็นคนละองค์กันครับ

    พระควัมปติเถระ


    พระควัมปติเถระ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระลำดับแรกๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการบรรพชาโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยได้รับการบวชจากพระบรมศาสดา ต่อจากพระยสเถระ ถ้าถือตามลำดับชื่อที่ปรากฏในพระบาลีท่านก็เป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๑๐ ของโลก

    พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระพุทธเจ้าพระองค์ ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ ดังนี้


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระสิขีพุทธเจ้า

    ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ ท่านเกิดเป็นพรานเนื้อเที่ยวอยู่ในป่า ได้พบท่านได้เห็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี แล้วบังเกิดมีใจเลื่อมใส จึงได้ทำการบูชาพระบรมศาสดาพระองค์นั้นด้วยดอกอัญชันเขียว ด้วยบุญกรรมนั้น เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้วก็ไปบังเกิดในเทวโลก


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า

    ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ ท่านได้กระทำบุญไว้มากอย่าง เช่นให้สร้างฉัตร และไพรที ไว้บนเจดีย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

    ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ท่านก็บังเกิดในเรือนมีตระกูลแห่งหนึ่ง ตระกูลนั้นได้มีฝูงโคเป็นอันมาก จึงต้องมีพวกนายโคบาลก็เฝ้ารักษาฝูงโคนั้น มาณพผู้เป็นนายผู้นี้ก็ต้องเที่ยวตรวจดูการทำงานที่พวกนายโคบายทั้งหลายทำอยู่ วันหนึ่งขณะที่ออกตรวจงานอยู่นั้น ท่านก็ได้เห็นพระเถระผู้ขีณาสพรูปหนึ่ง ซึ่งเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้าน แล้วทำภัตกิจอยู่นอกหมู่บ้าน ณ บริเวณแห่งหนึ่งทุกๆ วัน ท่านเกรงว่า พระคุณเจ้าคงจะลำบากเพราะความร้อนของแดด จึงให้สร้างมณฑปด้วยไม้ซึกถวายแก่ท่านพระขีณาสพรูปนั้น อรรถกถาบางเล่มกล่าวว่า ท่านปลูกต้นซึกไว้ใกล้มณฑป พระเถระจึงนั่งใต้ต้นซึกนั้นทุกๆ วันเพื่อจะอนุเคราะห์เขา

    ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว บังเกิดในวิมานชั้น จาตุมหาราชิกะ ใกล้ประตูวิมานก็บังเกิดป่าไม้ซึกใหญ่อันระบุถึงกรรมเก่าของเขา และมีดอกไม้ประเภทอื่นอื่นที่เต็มไปด้วยสีและกลิ่น เข้าไปช่วยเสริมความงามทุกฤดูกาล ด้วยเหตุนั้น วิมานนั้นจึงปรากฏนามว่า “เสรีสกวิมาน” เทวบุตรนั้นท่องเที่ยว ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตลอดพุทธันดรหนึ่ง


    ๐ กำเนิดเป็นควัมปติมาณพในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

    ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านเกิดเป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระนครพาราณสี มีชื่อว่า ควัมปติ เป็นหนึ่งในบรรดาสหายผู้เป็นคฤหัสถ์ทั้ง ๔ ของ ยสกุลบุตรผู้ เป็นบุตรของนางสุชาดา ผู้ถวายข้าวปายาส ผสมน้ำนมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในเช้าวันวิสาขปุรณมี เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยเลิกกระทำทุกรกิริยา และในคืนนั้นก็ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเมื่อวันหนึ่งยสกุลบุตรแลเห็นเหล่านางผู้เป็นบริวารนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนเรือน ประกอบไปด้วยกิริยาอันไม่น่าดู น่าเกลียดเหมือนซากศพในป่าช้า บังเกิดความเบื่อหน่ายเปล่งอุทานว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ที่นี่วุ่นวายหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย ที่นี่ขัดข้องหนอ จึงได้เดินเข้าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งได้ตรัสกับยสกุลบุตรนั้นว่า ยสะ ที่นี่แลไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ยสะ เธอจงมานั่งเถิด เราจักแสดงธรรม ให้เธอฟัง ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว ยสกุลบุตรก็บรรลุโสดาบัน

    ในวันรุ่งขึ้นเมื่อเศรษฐีบิดาของยสกุลบุตรออกมาตามบุตรที่หายไปจากบ้าน มาถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้พบพระพุทธองค์ ซึ่งทรงแสดงฤทธิ์มิให้เศรษฐีเห็นยสกุลบุตร แล้วได้แสดงธรรมโปรด จนกระทั่งเศรษฐีเกิดดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาปัตติผล บังเกิดความเลื่อมใสประกาศตนว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะทั้งสาม นับเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๓เป็นคนแรกในโลก.ส่วนยสกุลบุตรเมื่อจบพระธรรมเทศนาก็บรรลุพระอรหัต จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบันดาลให้ท่านเศรษฐีเห็นพระยสกุลบุตร และชี้แจงจนท่านเศรษฐีเห็นชอบให้ยสกุลบุตรได้บวช และได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น เมื่อเศรษฐีคฤหบดีกลับไปไม่นาน ยสกุลบุตรก็ทูลขอบรรพชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงทรงโปรดให้ยสกุลบุตรได้บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วได้ตรัสว่า ธรรมเรากล่าวไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด พระวาจานั้นแลได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น

    วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จพร้อมด้วยท่านพระยสไปยังเรือนของท่านเศรษฐีผู้คหบดี ครั้นถึงแล้วจึงทรงเทศนาโปรดนางสุชาดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส เมื่อจบพระธรรมเทศนาท่านทั้งสองก็บรรลุโสดาบัน ประกาศตนเป็นอุบาสิกาผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นับเป็นอุบาสิกาคู่แรกของโลกที่กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้อังคาสพระผู้มีพระภาคและท่านพระยส ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนๆ จนให้ห้ามภัต ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้มารดาบิดา และภรรยาเก่าของท่านพระยส เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป


    ๐ สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสออกบรรพชา

    สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระนครพาราณสี ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรที่กระทำลงไปนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส ท่านจึงพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทรามและความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็บรรลุโสดาบัน ณ ที่นั่งนั้นเอง จากนั้นท่านทั้ง ๔ จึงได้ทูลขอบบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค.พระผู้มีพระภาคจึงทรงโปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ท่านทั้ง ๔ โดยทรงตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด

    พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านทั้ง ๔ เหล่านั้น

    ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา เมื่อจบพระธรรมเทศนา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น บรรลุเป็นพระอรหันต์

    สมัยนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์


    ๐ สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสออกบรรพชา

    สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรที่กระทำลงไปนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส ท่านจึงพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๕๐ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทรามและความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็บรรลุโสดาบัน ณ ที่นั่งนั้นเอง จากนั้นท่านทั้ง ๕๐ จึงได้ทูลขอบบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจึงทรงโปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ท่านทั้ง ๕๐ โดยทรงตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด

    พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านทั้ง ๕๐ เหล่านั้น

    ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา เมื่อจบพระธรรมเทศนา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น บรรลุเป็นพระอรหันต์

    สมัยนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์


    ๐ บุรพกรรมของชน ๕๕ คนมียสกุลบุตรเป็นต้น

    วันหนึ่งพระศาสดา ทรงประชุมพระสาวกที่พระเวฬุวัน ทรงประทานตำแหน่งพระอัครสาวกแก่พระเถระทั้งสองแล้วทรง แสดงพระปาติโมกข์ เหล่าภิกษุบางพวกจึงกล่าวติเตียนว่า

    “พระศาสดา ประทานตำแหน่งแก่พระอัครสาวกทั้งสองโดยเห็นแก่หน้า พระองค์เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ควรประทานแก่พระปัญจวัคคีย์ผู้บวชเป็นพวกแรกสุด พ้นจากพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๕๕ รูป มีพระยสเถระเป็นประมุข พ้นจากภิกษุเหล่านั้น ก็ควรประทานแก่พระพวกภัทรวัคคีย์ พ้นจากภิกษุเหล่านั้น ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๓ พี่น้อง มีพระอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น แต่พระ ศาสดาทรงละเลยภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ก็ทรงเลือกหน้า ประทานแก่ผู้บวชภายหลังเขาเหล่านั้น”

    พระศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายถึงเรื่องที่พวกภิกษุเหล่านั้นพูดกันอยู่ ภิกษุทั้งหลายทูลเรื่องที่ตนพูดกัน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราหาเลือกหน้าให้ตำแหน่งแก่พวกภิกษุไม่ แต่เราให้ ตำแหน่งที่แต่ละคนๆ ตั้งจิตปรารถนาไว้แต่ปางก่อนแล้วๆ นั่นแล” และพระศาสดาทรงเล่าถึงบุรพกรรมของชนเหล่านั้น โดยเล่าถึงบุรพกรรมของยสกุลบุตรและสหายอีก ๕๔ คนไว้ดังนี้

    กลุ่มพระยสกุลบุตรทั้ง ๕๕ คนนั้น เคยตั้งจิตปรารถนาพระอรหัต ไว้ในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง และปฏิบัติทำกรรมที่เป็นบุญไว้เป็นอันมาก ครั้งหนึ่งในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น เขาเหล่านั้นเป็นสหายกัน ร่วมเป็นพวกกันทำบุญโดยเที่ยวจัดแจงศพคนไร้ที่พึ่ง วันหนึ่ง พวกเขาพบศพหญิงตายทั้งกลม จึงตกลงกันว่าจะเผาเสีย จึงนำศพนั้นไปป่าช้า เมื่อนำศพมาถึงป่าช้าแล้ว ยสกุลบุตรกับเพื่อนอีก ๔ คน จึงอยู่ที่ป่าช้านั้นเพื่อจัดการเผาศพ ส่วนเพื่อนที่เหลืออีก ๕๐ คนก็กลับไป

    ในขณะที่ทำการเผาศพหญิงตายทั้งกลมอยู่นั้น ยสกุลบุตรได้ใช้หลาวเขี่ยศพนั้นเพื่อพลิกศพกลับไปกลับมาให้โดนไฟทั่วๆ ขณะที่เอาไม้เขี่ยร่างศพอยู่นั้นก็ได้พิจารณาศพที่ถูกเผา ได้อสุภสัญญาแล้ว เขาจึงแสดงอสุภสัญญาแก่สหายอีก ๔ คนนั้นว่า “นี่เพื่อน ท่านจงดูศพนี้ มีหนังลอกแล้วในที่นั้นๆ ดุจรูปโคด่าง ไม่สะอาด เหม็น น่าเกลียด” สหายทั้ง ๔ คนนั้นก็ได้อสุภสัญญาในศพนั้น แล้วคนทั้ง ๕ นั้นเมื่อเผาศพเสร็จแล้วจึงได้นำอสุภสัญญาที่ปรากฏแก่ตนนั้น ไปบอกแก่สหายที่เหลือ ส่วนยสกุลบุตรนั้นเมื่อกลับถึงเรือนแล้วก็ได้บอกแก่มารดาบิดาและภรรยา คนทั้งหมดนั้นก็เจริญอสุภสัญญาแล้ว

    นี้เป็นบุพกรรมของคน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้นในสมัยปัจจุบัน ความที่เห็นว่าในเรือนของตน ที่เกลื่อนไปด้วยด้วยสตรีเป็นดุจป่าช้าจึงเกิดแก่ยสกุลบุตร และด้วยอุปนิสัยสมบัติแห่งอสุภสัญญาที่เคยได้มานั้น การบรรลุคุณวิเศษจึงเกิดขึ้นแก่พวกเขาทั้งหมด คนเหล่านี้ได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้ หาใช่พระบรมศาสดาเลือกหน้าแต่งตั้งให้ไม่


    ๐ พระเถระแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำ

    พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมตติสุขอยู่ในอัญชนวัน เมืองสาเกต ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน เสนาสนะไม่พออาศัย ภิกษุเป็นอันมากพากันนอนที่เนินทราย ริมน้ำสรภู ใกล้ๆ พระวิหาร ครั้งนั้น เมื่อห้วงน้ำหลากมาในเวลาเที่ยงคืน พวกสามเณรเป็นต้น ส่งเสียงร้องดังลั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นแล้ว สั่งท่านพระควัมปติไปว่า ดูก่อนควัมปติ เธอจงไปสะกด (ข่ม) ห้วงน้ำไว้ เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายอยู่อย่างสบาย พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วสะกดกระแสน้ำให้หยุดด้วยกำลังฤทธิ์ ห้วงน้ำนั้นได้หยุดตั้งอยู่ดุจยอดเขา แต่ไกลทีเดียว จำเดิมแต่นั้นมาอานุภาพของพระเถระ ได้ปรากฏแล้วในโลก

    ครั้นวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ นั่งท่ามกลางเทวบริษัทจำนวนมาก แล้วแสดงธรรมอยู่ เมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระ เพื่อประกาศคุณของท่าน ด้วยความอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาว่า

    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภุให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาไรๆ ไม่หวั่นไหวต่ออะไร ทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนี เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ดังนี้

    ในการแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำของพระเถระในครั้งนั้น เป็นเหตุให้มาณพผู้หนึ่งชื่อว่า มหานาค ซึ่งได้เห็น ได้เกิดศรัทธา จึงขอบวชในสำนักของพระเถระ ต่อมาท่านมหานาคเถระก็ได้บำเพ็ญเพียรจนได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง


    ๐ พระเถระกับปายาสิเทวบุตร

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปถึงเสตัพยนคร ได้เทศนาโปรดพระยาปายาสิผู้เข้าไปหาท่านในนครนั้น จากมิจฉาทิฏฐิ ให้ดำรงอยู่ใน สัมมาทิฏฐิ จำเดิมแต่นั้นมา พระยาปายาสิก็เป็นผู้ขวนขวายในบุญ แต่เมื่อถวายทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ท่านได้ถวายทานโดยไม่เคารพ เพราะมิได้เคยสร้างสมในทานนั้น ในเวลาต่อมาทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดใน เสรีสกวิมานในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

    ดังที่ได้เล่ามาแล้วในตอนต้นว่า อดีตชาติท่านพระควัมปติเถระท่านเคยบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่เสรีสกวิมานมาก่อน ด้วยความเคยชินกับการพำนักอยู่ในวิมานนี้มาก่อน มาในพุทธุปบาทกาลนี้ เมื่อท่านเป็นพระควัมปติ ตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ในเวลาหลังภัต จึงไปพักผ่อนยังวิมานนั้นเนืองๆ

    ต่อมา เมื่อพระยาปายาสิสิ้นชีวิตลงและไปบังเกิดเป็นเทพบุตร ณ ที่นั้น เมื่อท่านพระควัมปติเถระไปพักกลางวัน จึงได้พบกับปายาสิเทพบุตร ท่านจึงถามว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ ฯ

    ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า ไม่มีเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ ฯ

    เป็นความจริง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี แต่ว่าพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปได้ไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฐิอันลามก นั้นแล้ว ฯ

    ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของท่าน ไปเกิด ที่ไหน ฯ

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของข้าพเจ้านั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลงจึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ส่วนข้าพเจ้ามิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วย มือของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลงจึงได้เพียงอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า

    ท่านควัมปติผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปยังมนุษยโลก แล้วโปรดบอกชนทั้งหลายอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของ ตน จงให้ทานโดยความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลงจึงได้เพียงอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า ส่วนอุตตรมาณพ ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนให้ ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลง จึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ

    ท่านควัมปติมาสู่มนุษยโลกแล้วจึงได้บอกแก่ชนทั้งหลายเช่นนั้น ฯ



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    Home Main Page
    Dhamma and Life - Manager Online
     
  9. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    พระมหากัจจายนเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร


    พระมหากัจจายนเถระ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระลำดับแรกๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการบรรพชาโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ทางด้านการเทศนาขยายความแห่งธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้โดยย่อ ให้พิสดาร โดยพระอรรถกถาจารย์ได้พรรณาไว้ว่า ท่านสามารถทำพระดำรัสโดยย่อของพระตถาคตให้บริบูรณ์ ทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะได้ ชื่อของท่านในพระไตรปิฎกบางแห่งพิมพ์เป็น พระมหากัจจานเถระ


    ๐ ความปรารถนาในอดีต

    ประวัติในอดีตชาติของท่าน นอกจากในหลายๆ ชาติที่ท่านได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธองค์เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ดังเช่น

    ได้เกิดเป็น รัชชุคาหกะอำมาตย์ผู้รังวัด เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็น พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ใน กุรุธรรมชาดก

    ได้เกิดเป็น กาฬเทวิลดาบส เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบส ใน อินทริยชาดก

    ได้เกิดเป็น กาลเทวละดาบส เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบสโพธิสัตว์ ใน สรภังคชาดก

    ส่วนในชาติที่ท่านได้แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้รับตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าวมีดังนี้

    ได้ยินว่า ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระมหากัจจายนเถระนั้นบังเกิดในสกุลคฤหบดีผู้มหาศาล ครั้นเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่มาวันหนึ่งวันหนึ่งได้ไปยังพระวิหารที่พระพุทธปทุมุตตระประทับอยู่ และฟังธรรมอยู่แถวท้ายหมู่พุทธบริษัทในวิหารนั้น ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จำแนกอรรถแห่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสโดยย่อให้พิสดาร ท่านจึงปรารถนาที่จะได้เป็นอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเช่นนั้นบ้าง

    ดังนั้นท่านจึงนิมนต์พระพระปทุมุตตระพุทธเจ้า และทำการถวายมหาทานอยู่ ๗ วัน แล้วท่านจึงหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แสดงความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งการถวายทานสักการะนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใด เพียงแต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือน ภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง ในวันสุดท้าย ๗ วัน นับแต่วันนี้

    พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาลด้วยพุทธญาณ ทรงเห็นว่าความปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่ากุลบุตรผู้เจริญ ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จำแนกอรรถแห่งคำที่ตรัสโดยสังเขปให้พิสดาร ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าดังนี้ ครั้นเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับไป

    ฝ่ายกุลบุตรนั้นบำเพ็ญกุศลตลอดชีพแล้วเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายแสนกัป ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ได้เป็นวิทยาธร เที่ยวไปทางอากาศ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ซึ่งประทับนั่งในชัฏแห่งป่าแห่งหนึ่ง มีใจเลื่อมใสได้เอาดอกกรรณิการ์มาทำการบูชา ด้วยบุญอันนั้น ท่านจึงเกิดเฉพาะแต่ในสุคติภูมิอย่างเดียว

    ครั้นสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ท่านพระมหากัจจายนเถระก็มาถือปฏิสนธิในครอบครัวหนึ่ง ในกรุงพาราณสี เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านก็ไปยังสถานที่สร้างเจดีย์ทอง จึงเอาอิฐทองมีค่าแสนหนึ่งถวายเป็นพุทธบูชา ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สรีระของข้าพระองค์จงมีวรรณเพียงดังทองในที่ๆ เกิดแล้วเถิด

    ต่อแต่นั้น ก็กระทำกุศลกรรมจนตลอดชีวิต และได้เวียนว่ายในภูมิเทวดาและมนุษย์ ได้พุทธันดรหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยผล ๓ ประการแห่งพุทธบูชานั้น ดังที่กล่าวไว้ใน อปทาน ( ขุ.อ.๓๓/ข้อ ๑๒๑) ดังนี้

    ๑ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา

    ๒ เราท่องเที่ยวอยู่แต่ในสองภพ คือในเทวดาและมนุษย์ ไม่เกิดในภูมิอื่น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา

    ๓ เราเกิดในสองสกุล คือสกุลกษัตริย์และสกุลพราหมณ์ เราไม่เกิดใน สกุลที่ต่ำทราม นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา


    ๐ กำเนิดในพุทธกาล

    ครั้งกาลสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอุบัติ ท่านก็ได้มาบังเกิดเป็นบุตรของติปิติวัจฉพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในพระนครอุชเชนี ส่วนผู้เป็นมารดาชื่อจันทนปทุมา ในวันขนานนามท่าน มารดาบิดาปรึกษากันว่าบุตรของตนนั้นมีสรีระมีผิวดั่งทอง จึงขนานนามท่านว่า กาญจนมาณพ ดังนี้

    ครั้นเจริญขึ้นแล้วท่านก็ได้ศึกษาไตรเทพจนจบสิ้น ต่อมาเมื่อบิดาท่านวายชนม์แล้ว ท่านก็ได้รับตำแหน่งปุโรหิตสืบแทนท่านบิดา โดยนามโคตรว่ากัจจายนะ

    ครั้งหนึ่งพระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงประชุมเหล่าอำมาตย์แล้วมีพระราชดำรัสถามว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงบังเกิดขึ้นในโลกแล้ว จะมีผู้ใดสามารถทูลอาราธนาพระพุทธองค์มาได้ อำมาตย์ทูลว่า อาจารย์กาญจนพราหมณ์เท่านั้นที่จะเป็นผู้สามารถทูลอาราธนาพระพุทธองค์มาได้

    พระเจ้าจัณฑปัชโชติจึงให้ตรัสเรียกกัจจายนะอำมาตย์มาเข้าเฝ้าและตรัสสั่งให้ท่านกัจจายนะอำมาตย์ไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า และทูลอาราธนามายังวัง กัจจายนะอำมาตย์ทูลขอพรว่า ถ้าอนุญาตให้ท่านได้บวชท่านก็จะไป พระเจ้าจัณฑปัชโชติทรงให้พรตามที่กัจจายนะอำมาตย์ทูลขอ

    [​IMG]

    ๐ เข้าเฝ้าพระพุทธองค์

    กัจจายนอำมาตย์ จึงคัดเลือกผู้ที่จะไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมกับตนเพียง ๘ คน และออกเดินทาง ครั้นเมื่อไปถึง และได้ฟังพระบรมศาสดาทรงแสดงธรรม เมื่อจบเทศนาหมู่อำมาตย์นั้นก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา ทั้ง ๘ ท่าน พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยการเหยียดพระหัตถ์และทรงตรัสว่า เธอ จงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด ในทันใดนั้น ผมและหนวดของพระอรหันต์ทั้ง ๘ องค์ก็หายไป บาตร และจีวรก็บังเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถเหมือนพระเถระตั้งร้อยพรรษาฉะนั้น

    พระอรหันตเถระเหล่านั้นเมื่อกิจของตนถึงที่สุดแล้วก็ไม่นั่งนิ่งอยู่เฉย กล่าวอาราธนาพระพุทธองค์เพื่อเสด็จไปกรุงอุชเชนีเหมือนที่พระกาฬุทายีเถระเคยกระทำ พระศาสดาสดับคำอาราธนาของท่านแล้วทรงพระวินิจฉัยว่า พระกัจจายนะย่อมหวังการไปของเราในชาติภูมิของตน แต่ธรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอาศัยเหตุ อันหนึ่ง จึงไม่เสด็จไปสู่ที่ที่ไม่สมควรเสด็จ เพราะฉะนั้นจึงตรัสแก่พระมหากัจจายนเถระว่า ภิกษุท่านนั้นแหละจงไป เมื่อท่านไปแล้ว พระราชาจักทรงเลื่อมใส พระมหากัจจายนเถระจึงถวายบังคมพระตถาคต แล้วกลับไปกรุงอุชเชนีพร้อมกับภิกษุทั้ง ๗ รูปที่มาพร้อมกับตนนั้น ในระหว่างทางกลับกรุงอุชเชนี ภิกษุเหล่านั้นได้เที่ยวบิณฑบาตในนิคมชื่อว่า นาลินิคม


    ๐ โปรดธิดาเศรษฐีผู้มีผมงาม

    ในนิคมนั้น มีธิดาเศรษฐี ๒ คน คนหนึ่งเกิดในตระกูลเก่าแก่เข็ญใจ เมื่อมารดาบิดาสิ้นชีพไปแล้ว ก็อาศัยเป็นนางนมเลี้ยงชีพ แต่รูปร่างของเธอนั้นบึกบึน ผมยาวเกินคนอื่นๆ ในนิคมนั้น

    และยังมีธิดาของตระกูลอิศรเศรษฐีอีกคนหนึ่ง เป็นคนไม่มีผม เมื่อก่อนนั้นมาแม้นางธิดาผู้นี้จะขอซื้อผมจากนางผมดกในราคา ๑๐๐ กหาปณะ หรือ ๑,๐๐๐ กหาปณะแก่เธอ ก็ไม่สำเร็จ

    ในวันนั้น ธิดาเศรษฐีผู้มีผมดกนั้นเห็นพระมหากัจจายนเถระมีภิกษุ ๗ รูปเป็นบริวาร เดินมามีบาตรเปล่า คิดว่าภิกษุผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์รูปหนึ่ง มีผิวดังทองรูปนี้เดินไปบาตรเปล่าทรัพย์อย่างอื่นของเราก็ไม่มี แต่ว่าธิดาเศรษฐีผู้ไม่มีผมบ้านโน้นเคยส่งคนมาเพื่อต้องการซื้อผมจากเรา ตอนนี้เราอาจถวายไทยธรรมแก่พระเถระได้ด้วยทรัพย์ที่เกิดจากที่ได้ค่าผมนี้

    เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงส่งสาวใช้ ไปนิมนต์พระเถระทั้งหลายให้นั่งภายในเรือนของตน พอพระเถระนั่งแล้ว นางก็เข้าห้องตัดผมของตน แล้วกล่าวแก่สาวใช้ว่า เจ้าจงเอาผมเหล่านี้ให้แก่ธิดาเศรษฐีบ้านโน้น แล้วเอาของที่นางให้มา เราจะถวายบิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย สาวใช้ ถือผมนั้นไปยังสำนักของธิดาเศรษฐี

    ธรรมดาขึ้นชื่อว่าของที่จะขายนั้น จะมีราคาก็ต่อเมื่อผู้ซื้อต้องการขอซื้อ ธิดาเศรษฐีผู้ไม่มีผมคิดว่า เมื่อก่อนเราขอซื้อด้วยทรัพย์เป็นอันมาก แต่นางก็ไม่ยอมขาย แต่บัดนี้ เมื่อนางมาเสนอขายเอง ก็ไม่ได้ตามราคาเดิม จึงให้ไป ๘ กหาปณะเท่านั้น สาวใช้นำกหาปณะไปมอบให้แก่ธิดาเศรษฐีผู้มีผมมาก

    ธิดาเศรษฐีก็จัดบิณฑบาต ๘ ที่ ให้มีค่าที่ละหนึ่งกหาปณะ ถวายแด่พระเถระทั้งหลาย พระเถระเล็งดูด้วยฌานแล้ว เห็นอุปนิสัยของธิดาเศรษฐี จึงถามว่าธิดาเศรษฐีไปไหน สาวใช้ตอบว่า อยู่ในห้องเจ้าค่ะ พระเถระว่าจงไปเรียกนางมาซิ ธิดาเศรษฐีก็มาด้วยความเคารพในพระเถระ ไหว้พระเถระแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรง อันว่าทานอันบริสุทธิ์นั้นย่อมให้ผลในปัจจุบันชาติทีเดียว เพราะฉะนั้น พร้อมกับการไหว้พระเถระ ผมของนางจึงเกิดขึ้นดังเดิม


    ๐ โปรดพระเจ้าจันฑปัชโชต

    ฝ่ายพระเถระทั้งหลายจึงถือเอาบิณฑบาตนั้นเหาะขึ้นไปต่อหน้าธิดาเศรษฐี และเหาะลงยังพระราชอุทยานของพระเจ้าจันฑปัชโชต ชื่ออุทธยานกัญจนะ คนเฝ้าพระราชอุทยานเห็นพระเถระนั้น จึงไปเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระคุณเจ้ากัจจายะปุโรหิตของเราบวชแล้ว และกลับมายังอุทยานแล้วพระเจ้าข้า พระเจ้าจันฑปัชโชตจึงเสด็จไปยังอุทยาน ไหว้พระเถระผู้กระทำภัตกิจแล้วด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนล่ะ พระเถระทูลว่า พระองค์มิได้เสด็จมาเอง ทรงส่งอาตมะมา มหาบพิตร พระราชาตรัสถามว่าท่านผู้เจริญ วันนี้พระคุณเจ้าได้ภิกษา ณ ที่ไหน

    พระเถระทูลบอกเรื่องที่ธิดาเศรษฐีกระทำทุกอย่างให้พระราชาทรงทราบ ตามถ้อยคำควรแก่ที่ตรัสถาม พระราชาตรัสสั่งให้จัดแจงที่อยู่แก่พระเถระ แล้วนิมนต์พระเถระไปยังนิเวศน์ แล้วรับสั่งให้ไปนำธิดาเศรษฐีมาตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีแล้ว

    พระราชาทรงกระทำสักการะใหญ่แต่พระมหากัจจายนเถระ มหาชนเลื่อมใสในธรรมกถาของพระเถระ บวชในสำนักของพระเถระ ตั้งแต่นั้น ทั่วพระนครก็รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวพัตรเป็นอันเดียวกัน คลาคล่ำไปด้วยหมู่ภิกษุ ฝ่ายพระเทวีนั้นทรงเลื่อมใสในพระมหากัจจายนเถระอย่างยิ่ง ขอพระราชานุญาตสร้างวิหารถวายพระเถระในกัญจนราชอุทยาน พระเถระยังชาวอุชเชนีให้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาแล้ว จึงกลับไปเฝ้าพระศาสดาอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาภายหลังพระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงกระทำพระสูตร ๓ สูตร เหล่านี้คือ มธุบิณฑิกสูตร, กัจจายนเปยยาลสูตร, ปรายนสูตร ให้เป็นอรรถุปบัติเหตุ แล้วทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้จำแนกอรรถแห่งพระดำรัสที่ทรงตรัสโดยย่อให้พิสดารแล้ว


    ๐ พระมหากัจจายนเถระกราบทูลขอให้ทรง
    ปรับพุทธบัญญัติบางข้อสำหรับจังหวัดอวันตีทักขิณาบถ


    สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัจจายนะ พักอาศัยอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ แขวงเมืองกุรุรฆระ ในอวันตีทักขิณาปถชนบท มีชายผู้หนึ่งชื่อ โสณะอุบาสกได้ฟังธรรมในสำนักของท่านพระมหากัจจายนะ ก็บังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา มีจิตตั้งอยู่ในสรณะและศีล จึงได้สร้างวิหารในที่อันสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ ใกล้ปวัตตบรรพต แล้วนิมนต์พระเถระให้อยู่ในวิหารนั้น โสณะอุบาสกได้อุปัฏฐากท่านพระมหากัจจายนะด้วยปัจจัยทั้ง ๔ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โสณะอุบาสกเป็นอุปัฏฐากของท่านมหากัจจานะ

    ครั้งหนึ่งโสณะอุบาสกได้เดินทางไปยังเมืองอุชเชนีกับหมู่เกวียนเพื่อต้องการค้าขาย ครั้นค่ำลงในระหว่างทางหมู่เกวียนได้หยุดกองเกวียนไว้ในดงเพื่อพักผ่อน โสณะอุบาสกเพื่อหลีกการพักอย่างแออัดจึงหลีกไปนอนที่ท้ายหมู่เกวียน ครั้นใกล้รุ่ง หมู่เกวียนก็เคลื่อนออกเดินทางต่อไปโดยไม่มีใครปลุกโสณะอุบาสก

    ครั้นเมื่อตื่นขึ้น โสณะอุบาสกไม่เห็นใครเลยก็ออกเดินไปตามทางเกวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหนื่อยจึงได้เข้าพักยังต้นไทร ระหว่างทาง ณ ที่นั้นเขาได้พบเปรตตนหนึ่งยืนกินเนื้อของตนเองที่หล่นจากกระดูก โสณะอุบาสกจึงได้ถามถึงกรรมของเปรตที่ทำมาในอดีต

    เปรตนั้นก็เล่าว่า เมื่อชาติก่อนตนเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองภารุกัจฉนคร ได้หลอกลวงเอาของ ของคนอื่นมาเคี้ยวกิน เมื่อมีสมณะเข้าไปบิณฑบาต ตนก็ด่าว่า จงเคี้ยวกินเนื้อของพวกมึงซิ เพราะกรรมนั้นจึงต้องเสวยทุกข์เช่นนี้

    โสณะอุบาสกได้ฟังดังนั้นกลับได้ความสลดใจอย่างเหลือล้น และได้เดินทางต่อไป ก็ได้พบพวกเปรตเล็ก ๒ ตน มีโลหิตดำไหลออกจากปาก จึงถามถึงบุรพกรรมของเปรตนั้นเช่นเดียวกัน ฝ่ายเปรตเหล่านั้น ก็ได้เล่ากรรมของตนแก่โสณะอบาสกนั้น ความว่า

    ในอดีตชาติ ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก เปรตเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายสิ่งของ ในภารุกัจฉนคร เมื่อมารดาของตนนิมนต์พระขีณาสพทั้งหลายให้มาฉัน จึงไปยังเรือนแล้ว ด่าว่า ทำไม แม่จึงให้สิ่งของของพวกเรากับพวกสมณะ ขอให้โลหิตดำจงไหลออกจากปากของพวกสมณะผู้บริโภคโภชนะที่แม่ให้แล้วเถิด เพราะกรรมนั้น เด็กเหล่านั้น จึงไปเกิดในนรก หมดกรรมจากนรกแล้ว ก็มาเกิดเป็นเปรต ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้น

    โสณะอุบาสก ได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสลดใจอย่างเหลือล้น.ครั้นเมื่อเขากลับไปยังกรุงอุชเชนีจึงได้ขอบรรพชาต่อพระมหากัจจายนเถระ ท่านพระมหาเถระพิจารณาแล้วเห็นว่า ญาณของโสณะอุบาสกยังไม่แก่กล้าพอต่อเพศบรรพชิต จึงได้ยับยั้งไว้ถึงสองครั้ง

    ในวาระที่สาม พระเถระพิจารณาเห็นว่าโสณะอุบาสกมีญาณแก่กล้าเพียงพอแล้ว จึงยินยอมให้บรรพชา แต่ว่าในสมัยนั้นการบรรพชาโดยพระสาวกต้องกระทำด้วยองค์ทสวรรค คือต้องหาพระสงฆ์ให้ครบ ๑๐ รูป สมัยนั้น อวันตีชนบทอันตั้งอยู่แถบใต้ มีภิกษุน้อยรูป ท่านพระมหากัจจายนเถระกว่าจะจัดหาพระภิกษุสงฆ์ ให้ครบองค์ประชุมทสวรรคได้ก็ต่อล่วงไปถึง ๓ ปี จึงอุปสมบทให้ท่านพระโสณะได้

    ครั้นเมื่อบวชแล้วได้ระยะหนึ่ง พระโสณะเถระปรารถนาจะเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจึงได้ขออนุญาตต่อพระอุปัชฌาย์คือพระมหากัจจายนเถระ ท่านพระกัจจายนเถระก็อนุญาตพร้อมทั้งสั่งให้ไปกราบทูลขอพระบรมพุทธานุญาต ให้พระพุทธองค์ทรงแก้ไขพุทธบัญญัติ ๕ ข้อ ซึ่งไม่สะดวกแก่พระภิกษุผู้อยู่ในอวันตีชนบท คือ

    ๑. จังหวัดอวันตีทักขิณาบถ มีภิกษุน้อยรูป ขอได้โปรดทรงอนุญาตอนุญาตการอุปสมบทด้วยคณะสงฆ์เพียง ๕ รูปได้ ทั่วปัจจันตชนบท

    ๒. พื้นดินในอวันตีทักขิณาบถ มีดินสีดำมาก ดื่นดาดด้วยระแหง กีบโค ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้พระภิกษุสวมรองเท้าหลายชั้นได้ทั่วปัจจันตชนบท

    ๓. คนทั้งหลายในอวันตีทักขิณาบถ นิยมการอาบน้ำ ถือว่าน้ำทำให้บริสุทธิ์ ขอได้โปรดทรงอนุญาตการอาบน้ำได้เป็นนิตย์ทั่วปัจจันตชนบท

    ๔. ในอวันตีทักขิณาบถ ใช้เครื่องลาดที่ทำด้วย หนังแกะ หนังแพะหนังกวาง เป็นปกติธรรมดาเหมือนกับที่ในมัชฌิมชนบท ใช้เครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้าตีนกา หญ้าหางนกยูง หญ้าหนวดแมว หญ้าหางช้าง เป็นปกติธรรมดาเช่นกัน ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ภิกษุได้ใช้ หนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังกวาง ทั่วปัจจันตชนบท

    ๕. เมื่อมีผู้ฝากถวายจีวรให้กับหมู่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาด้วยคำว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายจีวรผืนนี้แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้ ภิกษุผู้รับฝากก็มาบอกแก่ภิกษุชื่อนั้นๆ ว่า มีคนที่มีชื่ออย่างนี้ ฝากจีวรให้มาถวายแก่ท่าน พวกภิกษุผู้ได้รับคำบอกเล่าเมื่อทราบดังนั้น ก็รังเกียจไม่ยินดีรับจีวรที่มีผู้ฝากมาถวาย โดยคิดว่าจีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ขอได้โปรดทรงอนุญาตให้ภิกษุนั้นรับจีวรที่มีผู้ฝากภิกษุอื่นมาถวายได้ โดยให้ถือว่าจีวรนั่นยังไม่ควรนับราตรี ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงมือภิกษุผู้ที่เขาเจาะจงถวาย

    พระบรมศาสดาทรงอนุญาตตามที่ พระมหากัจจายนเถระกราบทูลขอ

    ต่อมาพระโสณะเถระท่านนี้ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ


    ๐ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
    ผู้จำแนกอรรถแห่งพระดำรัสที่ทรงตรัสโดยย่อให้พิสดาร


    ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้ปรากฏอยู่หลายแห่ง เช่นเมื่อคราวพระพุทธองค์ทรงแสดง มธุปิณฑิกสูตร แก่พระภิกษุหมู่หนึ่ง แต่ได้ทรงแสดงไว้โดยย่อ เหล่าพระภิกษุนั้นเมื่อฟังความโดยย่อเช่นนั้นก็สงสัยว่าใครจะเป็นผู้สามารถเทศนาความโดยละเอียดให้แก่พวกตนได้ ก็นึกถึงพระมหากัจจายนเถระว่าเป็นผู้ที่พระศาสดาทรงยกย่องว่าจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยย่อให้พิสดารได้ จึงได้ไปอาราธนาพระมหากัจจายนเถระให้เทศน์ขยายความในเรื่องดังกล่าว

    พระมหาเถระก็ได้เทศนาบรรยายขยายความอย่างพิสดารให้แก่หมู่ภิกษุเหล่านั้น ครั้นเมื่อจบแล้ว หมู่ภิกษุจึงเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทูลเรื่องที่พวกตนอาราธนาพระมหากัจจายนเถระให้เทศน์ขยายความพุทธพจน์ที่ทรงแสดงโดยย่อแก่พวกตน พระพุทธองค์ทรงตรัสยกย่องพระมหากัจจายนเถระว่า

    พระมหากัจจายนะเถระเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก แม้หมู่พระสงฆ์เหล่านั้นจะถามเนื้อความนี้กับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จะพึงเทศนาเนื้อความนั้น เหมือนกับที่พระมหากัจจานะเทศน์แล้วเช่นนั้น

    และใน อุทเทสวิภังคสูตร, มหากัจจายนภัทเทกรัตตสูตร และอธรรมสูตร พระพุทธองค์ก็ทรงยกย่องพระมหากัจจายนเถระในลักษณะนั้นเช่นเดียวกัน

    นอกจากจะเทศนาขยายความย่อในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุทั้งหลายแล้ว แม้กับพุทธบริษัทเหล่าอื่นมี อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น พุทธบริษัทเหล่านั้นเมื่อประสงค์ที่จะฟังธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสโดยย่อ ให้ได้เนื้อความโดยละเอียดก็พากันมาอาราธนาให้พระมหากัจจายนเถระเทศนาเนื้อความโดยพิสดารให้ฟังเช่นกัน เช่นใน กาลีสูตร ท่านได้แสดงธรรมขยายความแห่งกุมารีปัญหาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโดยย่อไว้ ให้กับอุบาสิกาชื่อ กาลี ชาวเมืองกุรรฆระฟัง

    ใน หลิททิกานิสูตร สมัยท่านพักอยู่ ณ ภูเขาชันข้างหนึ่ง ใกล้กุรรฆรนครแคว้นอวันตีรัฐ คฤหบดีชื่อหลิทกานิ เข้าไปหาท่านพระมหากัจจายนะเถระ แล้วอาราธนาให้ท่านได้เทศนาขยายความแห่ง มาคันทิยปัญหา ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโดยย่อไว้ ให้ฟังโดยพิสดาร


    ๐ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    นอกจากการขยายพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้โดยย่อ ให้พิสดารแล้ว ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกจากที่ท่านก็ได้ปลูกฝังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ชาวนครอุชเชนีให้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ท่านยังได้เทศน์โปรด พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร แห่งเมืองมธุรา ซึ่งเป็นการเทศนาภายหลังที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ตามที่ปรากฎในมธุรสูตร จนได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ยึดเอาพระพุทธพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะจนตลอดชีวิต

    และเทศน์โปรด สุชาตกุมาร ผู้เป็นเป็นราชโอรสของพระเจ้าอัสสกะ ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นอัสสกรัฐ ให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการเทศนาภายหลังที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เช่นกัน และพยากรณ์ว่าสุชาติกุมารจะสิ้นชีวิตภายในห้าเดือนข้างหน้า และได้ให้พระบรมสารีริกธาตุแก่สุชาติกุมาร โดยให้สุชาตราชกุมาร บูชาพระบรมสารีริกธาตุนี้แล้วจะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง สุชาตกุมารได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุนั้น ด้วยของหอมและพวงมาลัย และขวนขวายในการทำบุญให้ทาน เมื่อสิ้นชิวิตแล้ว ได้ไปบังเกิดในสวนนันทวัน ที่ดาวดึงส์เทวโลก และมีราชรถทองเป็นสมบัติ ปรากฏเรื่องใน จูฬรถวิมานสูตร

    สมัยท่านอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกัททมทหะ ใกล้พระนครวรรณะ ท่านได้เทศน์โปรด พราหมณ์ที่ชื่อ อารามทัณฑะ จนได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    สมัยท่านอยู่ที่ป่าคุนทาวัน ใกล้เมืองมธุรา ท่านได้เทศน์โปรดพราหมณ์ที่ชื่อ กัณฑรายนะ จนได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะจนตลอดชีวิต

    สมัยท่านอยู่ ณ อรัญญกุฎี ใกล้มักกรกฏนคร ในอวันตีชนบท ท่านได้เทศน์โปรด พราหมณ์ที่ชื่อ โลหิจจ ผู้เป็นเจ้าสำนัก มีศิษย์มากมาย จนได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ยึดเอาพระพุทธพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะจนตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน


    ๐ เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์

    ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฎในชาดกต่างๆ เช่น

    เกิดเป็นรัชชุคาหกะอำมาตย์ผู้รังวัด พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ใน กุรุธรรมชาดก

    เกิดเป็นกาฬเทวิลดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสรภังคดาบส ใน อินทรยชาดก

    เกิดเป็นเทวลดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสรภังคดาบส ใน สรภังคชาดก

    [​IMG]

    ๐ เรื่องพระโสไรยเถระ

    เศรษฐีบุตรกลับเพศเป็นหญิงแล้วหลบหนี

    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ลูกชายของโสไรยเศรษฐี ในโสไรยนคร นั่งบนยานน้อยกับสหายผู้หนึ่งออกไปจากนคร เพื่อประโยชน์จะอาบน้ำพร้อมกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้น พระมหากัจจายนเถระ กำลังเดินไปสู่โสไรยนครเพื่อบิณฑบาต รัศมีแห่งสรีระของพระเถระมีสีเหมือนทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐี เห็นท่านแล้วจึงคิดว่า"สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ ควรเป็นภริยาของเรา หรือสีแห่งสรีระของภริยาของเรา พึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั้น" ในขณะสักว่าเขาคิดแล้วเท่านั้น เศรษฐีบุตรก็กลายเพศไปเป็นหญิง ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเกิดความอายจึงลงจากยานน้อยหนีไปทางที่ไปสู่เมืองตักกสิลา


    พวกเพื่อนและพ่อแม่ออกติดตามแต่ไม่พบ

    ฝ่ายพวกสหาย เที่ยวค้นหาข้างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ได้พบ.เมื่อตนอาบเสร็จแล้วจึงได้กลับไปสู่เรือน เมื่อถูกถามถึงบุตรเศรษฐี ก็ตอบว่า พวกเขาเข้าใจว่าบุตรเศรษฐีอาบน้ำเสร็จและกลับมาก่อนแล้ว.มารดาและบิดาของเขาเที่ยวตามหาในที่ต่างๆ ก็ไม่พบ จึงร้องไห้รำพัน ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลด้วยความสำคัญว่าลูกชายของพวกเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว


    นางเดินตามพวกเกวียนไปเมืองตักกสิลา

    ส่วนลูกชายเศรษฐีที่กลายเป็นเพศหญิง เห็นพวกเกวียนไปสู่เมืองตักกสิลาหมู่หนึ่ง จึงเดินตามไปข้างหลังๆ เมื่อพวกหมู่เกวียนเห็นนางเข้าจึงถามว่า "หล่อนเดินตามเกวียนพวกเรามาทำไม ? นางกล่าวว่า "พวกท่านจงขับเกวียนของท่านไปเถิด ดิฉันจักเดินไป" เมื่อเดินไปๆ เมื่อยเข้านางจึงได้ถอดแหวนสำหรับสวมนิ้วมือให้เพื่อแลกกับการนั่งไปในเกวียน


    ได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น

    พวกกองเกวียนต่างคิดว่า "ลูกชายเศรษฐีของพวกเราในกรุงตักกสิลายังไม่แต่งงาน เราจะบอกเรื่องหญิงนี้แก่ท่านเพื่อจะได้รางวัล" พวกเขาจึงไปแจ้งเรื่องนี้ ครั้นได้ฟังแล้วลูกชายเศรษฐีจึงให้เรียกนางมา เมื่อนางมาแล้ว บุตรเศรษฐีเห็นว่านางเหมาะกับวัยของตน มีรูปงามน่าพึงใจ ก็เกิดความรักขึ้น จึงได้รับนางไว้เป็นภริยา


    นางคลอดบุตร

    นางอยู่กับบุตรเศรษฐีจนมีบุตรด้วยกัน ๒ คนเมื่อรวมกับบุตรของนางเมื่อครั้งเป็นชายในโสไรยนครอีก ๒ คน ก็รวมเป็น ๔ คน


    นางได้พบกับเพื่อนเก่าแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง

    ต่อมาลูกชายเศรษฐีผู้เป็นสหายของนาง (เมื่อครั้งเป็นชาย) เดินทางจากโสไรยนครไปสู่กรุงตักกสิลา ขณะเข้าไปสู่พระนคร ได้ผ่านบ้านของนางซึ่งยืนมองดูผู้คนเดินไปมาบนถนนอยู่บนปราสาทชั้นบน เห็นสหายนั้นก็จำได้ จึงส่งสาวใช้ให้ไปเชิญมา แล้วรับรองและเลี้ยงดูอย่างใหญ่โต สหายนั้นสงสัยจึงถามว่า เราเคยรู้จักกันหรือนางจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาให้ฟัง

    สหายเก่าของนางจึงแนะให้นางไปขอขมาต่อพระเถระเสีย ขอให้ท่านยกโทษให้


    นางขอขมาพระมหากัจจายนเถระ

    นางจึงเดินทางไปหาพระเถระ เล่าเรื่องและขอให้ท่านยกโทษให้ พระเถระจึงยกโทษให้ ครั้นพอพระเถระ เอ่ยปากยกโทษให้เท่านั้น นางก็กลับเพศเป็นชายดังเดิม

    เมื่อกลับมาเป็นชายแล้ว เขาจึงมอบบุตรที่เกิดกับ เศรษฐีบุตรในกรุงตักกสิลาให้แก่บิดา และออกไปบวชในสำนักพระเถระ ได้นามว่า "โสไรยเถระ" และได้ออกจาริกไปถึงเมืองสาวัตถีกับพระเถระ

    ชาวเมืองสาวัตถีทราบเรื่องเข้าพากันแตกตื่นเข้าไปถามเรื่องราว กี่พวกต่อกี่พวกก็ถามแต่เรื่องนี้จนท่านรำคาญใจจึงหลีกไปนั่งแต่คนเดียว ยืนแต่คนเดียว ท่านเข้าถึงความเป็นคนเดียวอย่างนี้ เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมในอัตภาพ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว


    ๐ ศิษย์ที่ปรากฎชื่อในพระไตรปิฎก หรือในอรรถกถาของท่าน

    พระวัลลิยเถระ
    พระโสไรยเถระ
    พระโสณะเถระ



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    Home Main Page
    Dhamma and Life - Manager Online
     
  10. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    พระปิดตาที่นิยมสร้างกัน ส่วนใหญ่จะสร้างเป็นรุปแทนของท่านพระมหากัจจายนะครับ
     
  11. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +8,010
    สวัสดีครับคุณชายเสรี ไม่ได้คุยกันนานมาก ได้พบพระถูกโฉลกแล้วใช่ไหมครับ องค์avatarนั่นสวยมากครับ
     
  12. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    ครับผม สวัสดีครับคุณนพพร ก็คิดว่าพบพระที่ถูกโฉลกแล้วล่ะครับ ตามความหมายของพี่หนุ่มเมืองแกลงที่ได้อธิบายไว้ครับ ต้องขอบคุณพี่หนุ่มเมืองแกลงที่ได้ให้ข้อคิดไว้มากมายครับ จนผมต้องกลับเอามาคิดและตัดสินใจได้แล้วครับ พระใน Avatar ผมก็คือพระพิมพ์สมเด็จเนื้อชานหมาก หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาคครับ ของดีราคาเบาครับ แต่ที่ห้อยอยู่ตอนนี้เป็นพระสมเด็จปี 16 หลวงปู่สีครับ
     
  13. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    แล้วคุณ noppornl ล่ะครับเป็นยังไงบ้างครับ
     
  14. น้าต๋อย เซมเบ้

    น้าต๋อย เซมเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7,815
    ค่าพลัง:
    +58,752
    ไม่เป็นไรครับคุณมังกรน้อยร้อยเอ็ด ด้วยความยินดีเสมอ

    ท่าทางจะสบายแฮไปหลายเปาะ เพราะมีแควนๆ มาช่วยขับ

    พระปิดตา เป็นลักษณะที่ผมโปรดปรานอันดับหนึ่ง
    เมื่อใดที่เห็น ก่อให้เกิดความโรคจิตเฉพาะบุคคลขึ้นมาทันที
    พอๆ กับเห็นลูกกลมๆ ที่เรียกกันว่า "ลูกอม"
    อาจจะเป็นเพราะว่า เป็นพระทางเมตตา มหาอุดมโภคทรัพย์ด้วยกระมัง
    เลยทำให้ผมชอบพระพิมพ์นี้เป็นพิเศษ ก็เพราะว่า
    ใครตีกัน ผมไม่ออก เพราะผมแคล้วคลาด
    ใครจะมาตีผม ก็เปลี่ยนใจ เพราะเขาเมตตา
    ดีกว่าเอาหนังหน้าไปให้เขาฟัน ถึงไม่เข้า ไม่ออก ก็เสี่ยงอยู่ดี สู้ไม่เจอซะดีกว่า
    ไม่ใช่ว่า ไม่เข้า เพราะหลบอย่างเดียว ไม่ออก เพราะกระสุนฝังใน ไม่ออกจากตัวนะครับ....

    ด้วยความที่ปากดีของผม สมัยชอบดูพระใหม่ๆ
    วันนึงผมดูหนังสือพระเล่มนึง แล้วพูดขึ้นมาว่า พระปิดตาปลดหนี้ หลวงปู่โต๊ะ เป็นพระปิดตา
    ที่ผมใฝ่ฝันมากๆ ผมชอบรูปทรงและลักษณะ และศิลป์ที่งดงาม
    แต่คงจะไม่มีบุญได้แอ้ม เพราะราคาช่างไกลเกินเอื้อม
    วันต่อมา หัวหน้าที่ทำงาน กวักมือเรียกไปหา แล้วปลดจากคอมาให้
    แล้วบอกว่า เก็บไว้ดีๆ ของขวัญรับปริญญา เห็นเอ็งบอกอยากได้
    ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูกครับ....รู้สึกว่า ดีใจ พลางคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
    พระปิดตาองค์นี้ เป็นของตกทอดของท่าน ซึ่งพ่อของท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่
    พระปิดตา ปลดหนี้ เนื้อเกสร ตะกรุดเงินสองดอก มีเส้นเกศา สภาพ ไม่ผ่านศึกสงคราม..
    ก่อนหน้านี้ หัวหน้าเคยให้รุ่นพี่ผมไป เป็นจัมโบ้ เนื้อเกสร สามไตรมาส ปัจจุบันแกเอาไปขายแล้ว...(เจริญ!!)

    ทุกวันนี้ ผมได้มอบไว้ให้กับแม่ของผม และไม่เคยคิดจะขายแม้แต่เสี้ยวนึงของความคิด...
     
  15. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +8,010
    ขออภัยครับคุณชายเสรีไม่รู้ยังอยู่ไหม พอดีไปทานข้าวแล้วก็เพิ่งจะกลับมาดูที่คอม

    ผมสบายดีครับ ได้ความรู้จากพี่หนุ่มเยอะทีเดียว ผมก็ยังเสาะหาพระถูกโฉลกกับชีวิตอยู่ แต่คิดว่าหนึ่งองค์ที่น่าจะใช่แน่ๆก็คือ พระสมเด็จมงคลมหาลาภ วัดสารนาถครับ เมื่อวานผมเพิ่งเอาไปเลี่ยมเงินมา ปรากฏว่าด้วยความที่เนื้อพระแห้งและด้วยมีเนื้อเกินก็เลยทำให้พระร่อนออกมานิดหน่อย ผมนึกเสียดายมาก แต่คิดซะในแง่ดีว่า พระแท้แน่ๆ เพราะเนื้อทั้งนอกและในแห้งมาก และ ท่านคงอยากสอนให้รู้ถึง อนิจตาสัญญา ไม่อยากให้ยึดติดมากนัก
     
  16. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,492
    ค่าพลัง:
    +19,462
    มาพร้อมกับคำถามรอบดึกค่ะ รบกวนพี่ๆเพื่อนๆ ท่านใดทราบแนะนำด้วยนะคะ ลินอยากจะทราบว่า รูปพระที่อยู่ในภาพ ท่านใช่ครูบาเที่ยงธรรมไหมค่ะ
    แล้วถ้าใช่ไม่ทราบว่าสมเด็จองค์นี้เป็นของท่านใช่ไหมค่ะ อยากทราบว่าเป็นไม้อะไรหรือค่ะ ลินชอบเลยขอบูชามาแต่ไม่มีข้อมูลท่านเลยค่ะ ทราบแค่ว่าท่านเป็นสนิท กับหลวงปู่หมุน รบกวนผู้รู้ตอบให้ด้วยนะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2799.jpg
      IMG_2799.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.7 KB
      เปิดดู:
      87
    • IMG_2798.jpg
      IMG_2798.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.4 KB
      เปิดดู:
      92
    • IMG_2797.jpg
      IMG_2797.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.3 KB
      เปิดดู:
      75
    • IMG_2796.jpg
      IMG_2796.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.8 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2010
  17. nonnana

    nonnana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +216
    สวัสดีตอนค่ำๆครับ สมาชิกทุกท่าน

    เมื่อเช้านี้อนุโมทนาบุญกันเพียบเลย โปรโมชั่นรอบเช้า ดึกๆเรารอคุณอาร์ท คุณหนึ่ง คุณsiwarit และ MV รอบดึก มอบความบันเทิงพร้อมโจ๊กก่อนนอนครับ

    คุณครูนวลครับ เครื่องแบบขาวๆมาบ่อยๆจิตใจหวั่นไหว เห็นใจสมาชิกเราด้วยครับ
    หลายคนแพ้เครื่องแบบสีขาว รวมผมด้วยคนหนึ่ง 5555
     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ขออนุโมทนาในกุศล ที่ได้ทำลงไปด้วยครับ
    ขอบคุณแทนเพื่อนๆทุกคนด้วย และยินดีกับผู้รับทุกคนด้วยเช่นกัน
     
  19. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ขอบคุณในน้ำใจที่เอื้อเฟื้อต่อน้องๆ เพื่อนๆทุกคนตลอดมาด้วยครับ
    ขอให้บุญกุศลหนุนส่ง ให้พบแต่เรื่องดีๆ สุขทั้งกายและใจตลอดไป
    หลายครั้งที่คุณนวลพรรณได้นำของที่เป็นมงคลต่างๆ มาแบ่งปันต่อน้องๆและเพื่อนๆเสมอ ขอบคุณแทนทุกๆคนด้วยนะครับ
     
  20. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ขอบคุณน้องเชกูวารามากครับ ในน้ำใจที่มากมายล้นเหลือและมีให้ตลอดมา
    เป็นคนจริงและใจเป็นกุศลมากอีกคนหนึ่งครับ ในบ้านหลังนี้ เขาเป็นผู้ให้ทั้งต่อหน้าและลับหลังหลายๆครั้ง โดยไม่ประสงค์ออกนามให้ใครรู้ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...