ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระราชดำรัส-ความสุข

    “บุคคลที่นับได้ว่ามีสิ่งต่างๆมากกว่าผู้อื่น สมควรที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือแบ่งปันแก่ผู้ไม่มีอย่างพอเหมาะพอสม และตนเองไม่เดือดร้อน ส่วนผู้ที่ไม่มีก็ควรพยายาม ไม่ควรรอคอยแต่ความช่วยเหลือ หรือ คิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ หากช่วยเหลือกันดังนี้แล้ว บ้านเมืองก็จะสงบสุข”

    พระราชดำรัสเนื่องในพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นำองคมนตรีและภริยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช (27 กันยายน พ.ศ.2553)

    ทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่พระองค์ท่านได้ทรงประทานพระราชดำรัส เพื่อชี้แนวทางให้พสกนิกรในเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ท่านน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อช่วยให้สังคมมีความ

    “สงบสุข” ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากความเหลอื่ มล้ำทางสังคมระหว่าง “คนมี” และ“คนไม่มี”

    พระองค์ท่านทรงพระปรีชาญาณ และเลือกที่จะไม่ใช้คำว่า “คนรวย” หรือ “คนจน” ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกทางชนชั้นในสังคม พระองค์ท่านทรงเตือนสติให้ บุคคลที่มีสิ่งต่างๆมากกว่าคนอื่น รู้จักที่จะเอื้อเฟื้อและแบ่งปัน หรือ“ให้” แก่ผู้อื่น โดยเน้นความพอเหมาะพอสม ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะ ”ขาดหาย” ไปในสังคมไทยในยุคบริโภคนิยม จนทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำขยายกว้างขึ้นทุกทีจนกลายเป็นชนวนที่นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมของไทยในช่วงที่ผ่านมา

    ขณะเดียวกัน สำหรับคนไม่มี พระองค์ท่านทรงเตือนสติให้พยายามขวนขวายดิ้นรน แทนที่จะรอคอยแต่ความช่วยเหลือ หรือเอาแต่ ”ฟูมฟาย” คิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ

    คงไม่มีใครปฏิเสธว่า แนวพระราชดำริของพระองค์ท่านได้ดำเนินการเพื่อเป็น “ต้นแบบ” มาอย่างยาวนาน เห็นได้ชัดจาก
    โครงการตามแนวพระราชดำริ จำนวนมาก ที่พยายามจะส่งเสริมให้ชาวบ้านในท้องถิ่นทุรกันดาร สามารถที่จะพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น โดยการรวมกลุ่มและลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง มากกว่าที่จะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือตลอดเวลา......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2010
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระราชดำรัส-ความสุข


    .... สิ่งที่พระองค์ท่านทรงเน้นย้ำในเรื่องของการช่วยเหลือกันเพื่อทำบ้านเมืองให้สงบสุข ตามแนวพระราชดำรัสนั้น อาจกล่าวได้ว่า “ความสุข”ของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนที่มีมากกว่าได้ตระหนักว่า“ความสุขที่แท้จริง คือการให้เพื่อคืนกลับสังคม”ในขณะที่ผู้ไม่มี ก็สามารถมีความสุขได้จาก “ความอุตสาหะพากเพียรของตัวเอง และมีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง”
    พระราชดำรัสของพระองค์ท่านยังทำให้เราได้ตระหนักว่า ถ้าเราต้องการให้สังคมนี้ดี พวกเราทุกคนก็ต้องร่วมทำกันให้เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล หรือ ใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะทำหน้าที่ในส่วนของตนให้เต็มพร้อม เพื่อทำให้เกิดสังคมที่ดีตามที่เราปราถนาทุกวันนี้ มีการศึกษากันอย่างมากว่า ความสุขที่แท้จริงของคนเราอยู่ตรงไหน ซึ่งในอดีตทฤษฎี

    เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นอธิบายให้เราเข้าใจถึง หลักการลดลงของอรรถประโยชน์หน่วยสุดท้าย (Diminishingmarginal utility) ซึ่งทำให้เราพอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเราบริโภคอะไรที่มากจนเกินพอดี ประโยชน์ของสิ่งนั้นต่อเราก็จะลดลงเรื่อยๆ

    ตามปกติมนุษย์เราจะแสวงหาความมั่นคงเป็นระดับๆ เริ่มตั้งแต่ความมั่นคงด้านรายได้ ความมั่นคงในหน้าที่การงาน ความมั่นคงด้านครอบครัว ความมั่นคงด้านชุมชน และ สุดท้ายคือ ความมั่นคงด้านสุขภาพ หากใครสามารถสร้างความมั่นคงได้ครบทั้งหมดแล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกถึง “อิสรภาพ”ในการใช้ชีวิต แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมในระยะหลังๆ คนที่รวยล้นฟ้าถึงขั้น อภิมหาเศรษฐีจำนวนมากจึงไม่มีความสุข....


    พระราชดำรัส-ความสุข : คัดลอกบางตอนจาก Mutual Fund - Manager Online - �͹��� 57����Ҫ�����-�����آ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2010
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ... “ความสุข”ของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนที่มีมากกว่าได้ตระหนักว่า“ความสุขที่แท้จริง คือการให้เพื่อคืนกลับสังคม”...


    อนุโมทนา สาธุการ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ่านสรุปบทว่าด้วยเรื่องพระราชโอรสของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหนังสือเล่มที่เพิ่งซื้อมานะคะ


    รายละเอียดเรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระมหาธรรมราชา (พระเจ้าฝ่ายหน้า) พระอินทรราชาหรือสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระศรีศิลป์ พระทอง ทางสายธาตุเคยนำข้อมูลมาเสนอไว้บ้างแล้ว แต่ไม่ละเอียดเหมือนในหนังสือเล่มนี้

    ส่วนพระอัครมเหสีและพระราชชายาในพระองค์ สามารถหาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้เช่นกัน

    เรื่องที่ทางสายธาตุจะอ่านต่อคงจะเป็นสถานที่กระทำยุทธหัตถีนะคะ แต่วันนี้ราตรีสวัสดิ์ก่อนค่ะ
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

    ....ด้วยเหตุที่ประเทศเกาหลีเหนือนั้น...ได้ชื่อว่าเป็นประเทศซึ่งมักจะออกอาการ ซ่าส์ส์ส์ มาโดยตลอด จนทำให้ประเทศที่ชอบ เสือก อย่างสหรัฐอเมริกา เคยจัดอันดับเอาไว้ในฐานะหนึ่งใน รัฐอันธพาล ที่มีความอันตรายต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงของรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรเกาหลี หรือระดับโลกทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ อันเนื่องมาจากความเชื่อว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่ครอบครองขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้ พิสัยไกล สามารถยิงถล่มเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรืออาจไกลไปถึงชายขอบของอเมริกาเอาเลยก็ไม่แน่!!! การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ หรือเปลี่ยนตัวผู้นำในประเทศนี้ จึงเป็นที่จับตาของใครต่อใคร ในฐานะที่อาจนำมาซึ่งผลกระทบในแง่บวก แง่ลบ ต่อสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศได้ไม่ยาก...
    ---------------------------------------------------
    สำหรับ คิม จองอุน ผู้ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศหลายต่อหลายสำนัก ค่อนข้างมั่นอก-มั่นใจว่าจะผงาดขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจาก คิม จองอิล นั้น ถ้าหากดูตามประวัติความเป็นมา เท่าที่ใครต่อใครพยายามขุดค้นมา ปะติดปะต่อ พอให้เห็นถึงบุคลิกภาพโดยคร่าวๆ อาจเรียกได้ว่าน่าจะเป็นคนหนุ่มที่ออกไปทางหัวสมัยใหม่ หรือทันสมัยอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่า...นอกจากจะเคยถูกส่งให้ไปเรียนหนังสือในต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็กๆ ในโรงเรียนฝรั่ง อย่างโรงเรียน International School of Berne ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนสามารถพูดจาภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ได้อย่างแคล่วคล่อง แถมยังมีรสนิยมบางอย่างออกไปทางตะวันตกอีกต่างหาก เช่น การแสดงตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนักกีฬาบาสเก็ตบอลสหรัฐอย่าง ไมเคิล จอร์แดน หรือเป็นแฟนดาราหนังบู๊ ฮอลลีวู้ด อย่าง ฌอง คลอด แวน แดมม์ ควบคู่ไปด้วย...
    --------------------------------------------------
    แต่สิ่งเหล่านี้คงไม่อาจนำมาใช้เป็นองค์ประกอบ ในการวิเคราะห์แนวโน้มความเป็นไปของสถานการณ์การเมืองในคาบสมุทรเกาหลีได้ซักเท่าไหร่นัก เพราะขนาด คิม จองอิล ผู้พ่อ ซึ่งว่ากันว่ามีรสนิยมติดอกติดใจ หลงไหล คลั่งไคล้หนังบู๊ของฮอลลีวู้ดประเภท เจมส์บอนด์ 007 มาโดยตลอด แต่พอ
    ถึงบทจะต้องตอบโต้ เล่นงาน ฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มักจะหันไปเล่นบทเป็น ดาวร้าย ในหนังเจมส์บอนด์ แทนที่จะรับบทเป็น พระเอก ซะดื้อๆ ส่งผลให้ประเทศเกาหลีเหนือทุกวันนี้ ยังคงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความละเอียดอ่อน เปราะบาง ต่อการกำหนดแนวโน้มของสงครามและสันติภาพ จนทำให้มหาอำนาจระดับยักษ์ๆ อย่างอเมริกา และจีน ต้องหันมาร่วมเดินหมากตานี้ในแบบผลัดกันรุก ผลัดกันถอย หรือนำเอาประเด็นเหล่านี้มาใช้เป็นตัวกดดัน ต่อรอง ในการเจรจาหาทางคลี่คลายข้อพิพาท และความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...


    ผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง | ไทยโพสต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2010
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง


    ...อย่างไรก็ตาม...นอกจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ กำลังจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาในประเทศเกาหลีเหนือแล้ว ในประเทศจีนเองแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ หรือการเปลี่ยนตัวผู้นำทางการเมือง ก็กำลังเริ่มแสดงตัวให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ หรือช่วงวาระที่จะมีการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนแบบเต็มคณะ ว่ากันว่า...ในการประชุมคราวนี้ น่าจะมีการกำหนดตัวผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่จะมาสืบทอดอำนาจต่อจากประธานาธิบดี หู จิ่นเทา นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป ออกมาให้เห็นกันแบบชัดๆ จะจะ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปคาดเดาอะไรต่อไปให้เมื่อย ซึ่งบุคคลที่คาดว่าจะขึ้นมารับตำแหน่งนี้ในแบบแบเบอร์มานานแล้ว น่าจะหนีไม่พ้นไปจากนาย สีจิ้นผิง ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และรองประธานคณะกรรมการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ในทุกวันนี้...
    ----------------------------------------------------------
    โดยประวัติความเป็นมาของนาย สีจิ้นผิง นั้น ว่ากันว่าเติบโตมาจากความเป็นลูกท่านหลานเธอ หรือเป็นทายาทของอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน รุ่นที่เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่า-เคียงไหล่มากับท่านประธาน เหมา ตั้งแต่ครั้งที่จีนยังไม่กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เอาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ เป็นลูกชายคนที่ 3 ของ สีจงซวิ่น นักปฏิวัติชั้นแนวหน้าของจีนที่มีอำนาจ อิทธิพล ครอบคลุมไปตลอดทั่วมณฑลชานซี อันทำให้ สีจิ้นผิง ถึงกับเคยได้รับฉายามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ว่า ท่านอ๋องแห่งแดนมังกร หรือทำให้ตลอดเส้นทางทางการเมืองของว่าที่ผู้นำรายนี้ เต็มไปด้วยความสดใส ซ่าบซ่า ประดุจโรยเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ต่างไปจาก นายกฯมาร์ค ของเรายังไงยังงั้น ได้รับการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมี ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชิงหวา ก่อนที่จะไปศึกษาต่อด้านทฤษฎีการเมือง และแนวคิดลัทธิมาร์กซ จนจบปริญญาเอกด้านนิติศาสตร์ในท้ายที่สุด...
    ---------------------------------------------------------
    และด้วยผลงานการบริหาร จัดการ ดูแลเขตการปกครองในมณฑลสำคัญต่างๆ มาโดยตลอด ไม่ว่ามลฑลหูเป่ย์ ฟูเจี้ยน เจ้อเจียง จนถึงมลฑลเซี่ยงไฮ้ ชนิดนอกจากจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมณฑลแต่ละมณฑลเติบโตแบบอุจจาระแตกอุจจาระแตนมาโดยตลอด ยังได้ชื่อว่าเป็นนักปราบคอรัปชั่นตัวยง สามารถขจัด กวาดล้าง ความสกปรกเลอะเทอะ ที่เคยเกิดขึ้นในเขตเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้ให้ขาวสะอาดขึ้นมาทันตาเห็น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งส่งผลให้การเติบโตทางการเมืองของ สีจิ้นผิง เป็นไปแบบระเบิดเถิดเทิง รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ สามารถเบียดคู่แข่งอย่าง หลีเค่อเฉียง คนสนิทของประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ชนิดตกคู ตกคลองไปในวินาทีสุดท้ายจนได้...
    ----------------------------------------------------------
    ความเป็นคนหนุ่ม หัวสมัยใหม่ และเป็นลูกท่านหลานเธอของว่าที่ผู้นำรายใหม่ของจีน อย่าง สีจิ้นผิงและความเป็นคนหนุ่ม หัวสมัยใหม่ ผู้มีฐานะเป็นเสมือนมกุฎราชกุมารของเกาหลีเหนือ อย่าง คิม จองอุน จึงน่าจะมีส่วนทำให้บรรยากาศสถานการณ์การเมืองในคาบสมุทรเกาหลี ลดความร้อนแรงลงไปได้บ้าง ถ้ามองกันในแง่ทัศนคติ หรือในแง่บุคลิกภาพส่วนตัว แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากมองกันในแง่ของ ความเป็นชาติซึ่งยากที่จะนำเอาอารมณ์ ความรู้สึกของปัจเจกบุคคล มาใช้เป็นตัวกำหนด การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจทั้งในจีนและในเกาหลีเหนือ ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้เป็น คำตอบ ใดๆ ได้เลย สำหรับ สงครามและสันติภาพในอนาคตข้างหน้า...



    ผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง | ไทยโพสต์


    ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ จะเรียกว่ายุคของคนหนุ่มคนสาวก็ว่าได้ หลายๆประเทศผู้ นำจะเป็นรุ่นอายุประมาณ 40ปี(+) เกาหลีเหนือและจีนก็กำลังอยู่ในเทร็นด์นี้ ผมมองว่าประวัติศาสตร์กำลังหมุนย้อนกลับไปหรือเป็นการหมุนที่กลับมาซ้ำรอยเดิม ประวัติศาสตร์ชาติไทยเราเมื่อ 400 ปีเศษ ก็สมัยสมเด็จพระนเรศวรนั่นแหละครับ พระองค์ท่านก็เป็นคนหนุ่ม ทรงกู้ชาติบ้านเมือง ทรงจัดการบริหารประเทศและนำชาติผ่านยุคเข็ญไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในทางด้านการต่างประเทศและทางด้านเศรษฐกิจ ดังที่ทราบดีกันอยู่แล้ว

    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก เจ. โดนัลด์ วอลเตอร์ส...ความเป็นผู้นำ คือ การมีโอกาสได้รับใช้ผู้อื่น ไม่ใช่เสียงแตรที่ป่าวประกาศความสำคัญของตนเอง...


    ขอขอบคุณท่านขุนน้อย ไทยโพสต์ 1 ต.ค. 2553
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2010
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วัดโพธิ์

    "...โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์..."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พี่จงรักภักดีมีอะไรจะคุยเกี่ยวกับวัดโพธิ์ไหมคะ

    น้องอ๊อฟนำรูปพระใสมาวางไว้คงมีอะไรมาบอกเล่ากันแน่เลย ใช่ไหมคะ

    เรื่องหนังสือที่ยังลังเลอยู่เพราะว่ากลัวจะติดลิขสิทธิ์งานเขียน

    แต่ที่ได้รับทราบอีกทางหนึ่งว่าในประวัติศาสตร์นั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีพระราชโอรสในสายพระโลหิตของพระองค์เอง และพระโอรสนั้นมีพระอิสริยยสและพระอิสริยศักดิ์สูงส่งสมพระชาติกำเนิด ทางสายธาตุรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้รับทราบว่าพระองค์ท่านทรงมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของชีวิต โดยที่ทรงเป็นทั้งนักรบที่เก่งกาจและในด้านครอบครัวทรงเป็นหัวหน้าครอบครัวของพระองค์เองโดยทรงมีทั้งพระมเหสี,พระราชโอรสและพระราชธิดา

    หนังสือเล่มนี้ได้ตอกย้ำและยืนยันให้ชัดเจนว่าในประวัติศาสตร์นั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราขทรงมีพระราชโอรสอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2010
  9. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    รายละเอียดในการร่วมสมทุบทุนในงานนี้สามารถดูได้จาก link นี้ครับ

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=110624
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2010
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ภาพวัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นี้ได้รับจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของญาติธรรมท่านหนึ่ง เห็นว่าสวยงามดีเลยขอนำมาฝากกัน ถือว่ามาร่วมแจมทริปทัวร์วัดด้วยก็แล้วกันนะครับ

    ...วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็น “มหาวิทยาลัย” เท่านั้น แต่ยังทำให้วัดโพธิ์ในตอนนั้นดูงดงามจนกวีเอกอย่าง “สุนทรภู่” ถึงกับเอ่ยชมออกมาเป็นบทกลอนว่า “...เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์...”

    ...องค์การยูเนสโก (UNESCO) จนกระทั่งมีมติรับรองให้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เป็นเอกสาร “มรดกความทรงจำแห่งโลก” (Memory of the World) ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๒ ในส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลังจากที่คณะกรรมการแห่งชาติฯ ได้มีการเสนอต่อคณะกรรมการองค์การยูเนสโก ไปเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งได้มีการรับรองแล้วในที่ประชุมใหญ่องค์การยูเนสโก ประเทศออสเตรเลีย

    ...คำว่า “มรดกความทรงจำแห่งโลก” (Memory of the World) คือ มรดกเอกสารที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (Documentary Heritage) ที่เกี่ยวกับมรดกวัฒนธรรมแห่งโลก แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของความคิด การค้นพบ และผลงานของสังคมมนุษย์ เป็นมรดกตกทอดจากสังคมในอดีตให้แก่สังคมปัจจุบัน ที่จะสืบสานส่งต่อให้แก่สังคมในอนาคต

    ...มรดกความทรงจำแห่งโลก” (Memory of the World) นี้จะแตกต่างจาก “มรดกโลก” (World Heritage) ที่เรารู้จักกันดี ตรงที่ “มรดกโลก” นั้นเป็นมรดกที่ประกอบไปด้วยแหล่ง (sites) หรือสถานที่ ทั้งที่เป็น ‘แหล่งธรรมชาติ’ หรือ ‘แหล่งทางวัฒนธรรม’ ที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้น เช่น อนุสรณ์สถาน เมือง ฯลฯ แต่ต้องเป็นแหล่งที่มีคุณค่าเป็นเอก เป็นสากล สมควรที่ทั่วโลกจะช่วยกันปกป้องรักษาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้จักชื่นชมสืบไป...

    :ส่วนบทกลอนที่ท่านสุนทรภู่กล่าวถึงวัดโพธิ์นั้น อยู่ในนิราศพระแท่นดงรัง
    ....<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="65%" cols=2><TBODY><TR><TD>[SIZE=-1]ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์[/SIZE]</TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร[/SIZE]</TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร[/SIZE]</TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน[/SIZE]</TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์[/SIZE]</TD></TR><TR><TD>[SIZE=-1]แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน[/SIZE]</TD><TD>[SIZE=-1]สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ระลึกถึงกลอนดอกจำปีหน้าพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

    โชคดีที่ได้เก็บไว้ในกระทู้นี้ เพราะกลอนบทนี้จะหาในอินเตอร์เนตไม่เจออีกแล้ว

    เคยสงสัยไหมคะว่า ผู้แต่งกลอนน่าจะเป็นนักภาษาศาสตร์คนหนึ่ง แต่ทำไมจึงแต่งกลอนด้วยคำง่ายๆเช่นนี้ หรือต้องการให้ผู้รับสารเข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด กระนั้นหรือ .....

    ในความง่ายของภาษา แต่ความหมายที่ฉายออกมาจากกลอน มีทั้งความงดงามแห่งความรัก ความหวานในอดีตที่เคยอยู่ร่วมกันมา ความน้อยใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้รอคคอย และความรักที่จะติดตามคนทั้งคู่ไปทุกภพทุกชาติ

    กลอนนี้ใครแต่งก็ไม่ทราบนะคะ เหตุใดจึงได้มาอยู่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราช กันหล่ะหนอ


    กลอนที่เกี่ยวกับดอกจำปี
    หน้าอนุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    อ. แม่สรวย จ.เชียงราย

    [​IMG]


    จำเอ๋ย จำปี.................. จำพี่ได้ไหม
    จำพรากจากไกล............ ผ่านไปเดือนปี
    จำจดจดจำ.................. เคยพร่ำพาที
    จำปามาหนี.................. จำปีมาหน่าย
    จำเจ็บเจ็บจำ................ ชอกช้ำใจกาย
    จำปีเคยหมาย............... หายหน้าหม่นหมอง
    หากเกิดชาติหน้า............ ข้าขอจับจอง
    ขอเป็นเจ้าของ.............. จำปีสีนวล..

     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    กลอนพี่ดอกไม้ทำให้ทางสายธาตุอยากอ่านกลอนในอธิราชาเล่มสองต่อ เช่าเล่มสองนี้มาอ่านต่อเพราะอยากอ่านบทกลอนในหนังสือ ขอลอกคุณทมยันตีผู้ประพันธ์หนังสือ อธิราชา เพราะน้องทางสายธาตุขาดความสามารถเรื่องกลอนแต่อยากได้กลอนจึงต้องลอกหนังสือ ด้วยประการฉะนี้แล

    ตอนหนึ่งในหนังสือ อธิราชา

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=oseF8lQdybM"]YouTube - ???? ????????????-?????? ??????????[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "เจ้าให้รบพุ่งอย่างไรก็ไม่คิดแก่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น คนน้อยจึงเหมือนกับคนมาก"

    คือทางไทยรบหมดทุกคน รบ...เพราะรักเกรงกลัวนาย รบ...เพราะรักแผ่นดิน

    ดินที่เหยียบ คือบ้านกู ถอยไม่ได้
    ถอยสักก้าว มันจะได้ มารุกบ้าน
    ทุกหย่อมหญ้า ทุกเม็ดดิน ทุกหยดธาร
    ของพวกกู กูสาบาน ไม่ให้ใคร!
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    การกระทำยุทธหัตถีครั้งกระโน้น เด็กนักเรียนสมัยก่อนท่องจำกันได้ทุกคน

    สองโจมสองจู่จ้วง บำรู
    สองขัติย์สองขอชู เชิดค้ำ
    กระลิงกระลอกดู ไว้ว่อง นักนา
    ควาญขับคชแข่งค้ำ เข่นเขี้ยวในสนาม

    จากตีไก่ในวารวันที่ผันผ่าน คำเย้ยหยัน "ไก่เชลย" วันนี้เข้าสู่สนามรณการยุทธหัตถี ตัวต่อตัว อยู่หรือตายกันไปข้างหนึ่ง ตอนตีไก่พระชนม์ราว ๑๕ ตอนนี้พระชนม์ ๓๗

    หนี้แค้น คืนคำ รอมา ๒๒ ปี!


    จาก อธิราชา โดย ทมยันตี
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ...พอเจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัดรุนพลายพัทธกอ หันเบนไป...

    การหันเบนของพลายพัทธกอ น่าจะไปทางซ้ายของพระมหาอุปราชา เพราะสมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด ซบสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้าง!

    พลอยพล้ำเพลี่ยงถ้าท่าน ในรณ
    บัดราชฟาดแสงพล พ่ายฟ้อน
    พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ
    ถนัดพระอังสาข้อน ขาดด้าวโดยขวา

    อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
    เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น
    เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
    วายชีวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์

    โครงนี้จัดว่างดงามยิ่ง โดยเฉพาะคำ ...เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น... บรรยายภาพชัดว่า พอถูกฟันขาดสะพายแล่ง ก็ทรงคว่ำลง อาการกระตุก ระริกของกล้ามเนื้อเห็นชัด


    สมเด็จพระนเรศวรเจ้าคงทรง...สังเวช
    เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน และศัตรู

    สมเด็จยาย...พระศรีสุริโยทัย ทรงได้รับการชดใช้แล้ว เลือดริน 'มะขามหย่อง' น้ำตาไทยนองหน้าจำบัดนี้ ณ ตรงนั้น น้ำยังท่วมมิเว้นวาย

    วันนี้ 'หนองสาหร่าย' เลือดอริกระเซ็นกระจาย
    เลือดล้างด้วยเลือดคลาย อุระข้องกำสรดลง

    ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร ฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเหมือนกัน คือช้างที่เข้ากระบวนรบ ในตำแหน่งพี่เลี้ยง ก็จะชนกับช้างพี่เลี้ยง แสดงถึงบทบาทสมเด็จพระเอกาทศรถว่าท่านชำนาญการศึกไม่แพ้พระเชษฐา



    สองพระองค์พี่-น้อง ใช้ศัพท์ทหาร คือสู้ตาย!



    จาก อธิราชา โดย ทมยันตี
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เรื่องพระราชโอรสที่หายไปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่สามารถนำมาจากหนังสือ เจาะตำนานพระนเรศวร ที่คนไทยยังไม่เคยรู้ และประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยบันทึกได้เพราะติดลิขสิทธิ์

    แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีการศึกษาค้นคว้ากันมานานแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่มีพ.ศ. ๒๕๑๕ โดยคุณสมภพ จันทรประภา และหาข้อมูลได้ในอินเตอร์เนต อีกทั้งในกระทู้นี้ก็เคยนำมาเสนอค่ะ

    เอกสารของคุณสมภพ จันทรประภา ทางสายธาตุก็มีเก็บไว้แล้วแต่ยังไม่ขยันพิมพ์เพราะเยอะจริงๆ

    เอกสารต่วยตูน ปีที่ ๓๓ ฉบับที่ ๓๙๐ กล่าวถึงพระโอรสลับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอาจจะหมายถึงพระเจ้าปราสาททอง ทางสายธาตุก็หามาอ่านแล้ว

    ดังนั้นอ่านที่มีเสนอไว้แล้วอาทิ หาอ่านในลิงค์นี้ค่ะ

    King Naresuan Movie: Community
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE id=post2261748 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>15-07-2009, 12:32 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right> #170 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ทางสายธาตุ<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2261748", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2009
    ข้อความ: 1,738
    Groans: 0
    Groaned at 28 Times in 16 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,028
    ได้รับอนุโมทนา 7,491 ครั้ง ใน 1,710 โพส
    พลังการให้คะแนน: 477 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2261748 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคในแผ่นดิน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]

    มีด้วยกัน 3 ครั้งที่มีการบันทึกไว้ (หากมีมากกว่านี้จะนำกลับมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะคะ)

    ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2133 เสด็จโดยกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคไปยังพะเนียด เพื่อการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2136 (เป็นปีที่คาดว่าจะมีกระบวนเสด็จและจะไม่เกิน พ.ศ. 2139) กล่าวว่าเสด็จพระราชดำเนินด้วยกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล อาจเป็นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินก็ได้

    ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2137 หลังจากเสร็จศึกเขมร ทำปฐมกรรมพญาละแวกแล้ว ท่านได้ใช้กระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคอีกครั้งเพื่ออันเชิญพระพุทธรูป ก่อนไปตีเมืองเมาะตะมะ

    รายละเอียดดังนี้ค่ะ
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เขียนไว้ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปีที่แล้วเรื่องกระบวนเรือเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค ในคราวเสด็จเมื่อปีพ.ศ. ๒๑๓๖ กระบวนเรือเสด็จนั้น เรือนำกระบวนเป็นเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรือหลวงลำที่สองที่ตามเสด็จคือเรือพระที่นั่งองค์พระราชกุมารในพระองค์ (คาดว่าจะเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระมหาธรรมราชาเมื่อยังทรงพระเยาว์) เรือหลวงลำสุดท้ายที่ตามเสด็จคือเรือพระที่นั่งขององค์พระอัครมเหสีพระนางเจ้าสุวัฒน์มณีรัตนาหรือพระนางมณีจันทร์
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE id=post2261934 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] 15-07-2009, 01:32 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right> #172 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ทางสายธาตุ<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2261934", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2009
    ข้อความ: 1,738
    Groans: 0
    Groaned at 28 Times in 16 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,028
    ได้รับอนุโมทนา 7,491 ครั้ง ใน 1,710 โพส
    พลังการให้คะแนน: 477 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2261934 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลโดยกระบวนเรือพยุหยาตรา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ในปีพ.ศ. 2136 (มิได้ระบุไว้ชัดเจนแต่จะต้องก่อนหรือไม่เกินปี พ.ศ. 2139 เพราะว่าบาทหลวงสเปน ผู้บันทึกนี้เดินทางเข้ามาในระหว่างปี 2125-2139) และบาทหลวงคนเดียวกันนี้ได้บันทึกเรื่องราวที่ราชทูตเขมรเข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการในปี 2139 ซึ่งหลังจากเขมรเป็นเมืองขึ้นของไทยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2137 และบาทหลวงเสปนได้บันทึกพระบุคคลิกของพระมหากษัตริย์ผู้เสด็จในกระบวนเรือนี้ไว้ดังนี้

    “พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นพระมหากษัตราธิราชเจ้าผู้ทรงพระมหาการุณยภาพ ทรงเป็นที่หวาดหวั่นครั่นคร้ามมาก แต่ก็ทรงเป็นพระปิยราชด้วยในเวลาเดียวกัน”

    ในกระบวนเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ทรงเสด็จพร้อมด้วยพระอัครมเหสี และพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์ คาดว่าพระราชพิธีนี้จะเป็นพระราชพิธีต่อเนื่อง หลังจากเสด็จร่วมในพระราชพิธีอาศวยุชแล้ว คงจะทรงมีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลซึ่งอาจจะเป็นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน

    History of the Philippines and Other Kingdom เป็นจดหมายเหตุสเปนที่บาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา (Marcelo de Ribadeneira, O.F.M.) เขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของบาทหลวงนิกายฟรานซิสกัน ที่เคยพำนักอยู่ในพระนครศรีอยุทธยาระยะหนึ่ง ซึ่งพรรณนาถึงกรุงพระนครศรีอยุทธยาในห้วง พ.ศ. ๒๑๒๕ ปลายรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๑๒ – ๓๓) และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๓๙ ในต้นรัชสมัยสมเด็จพระนเรศ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๔๘)

    “...ครั้งหนึ่งบาทหลวงนิกายฟรานซิสกันได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินประทับในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งประดับประดาแล้วล้วนไปด้วยพระปฎิมากร เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนพระอารามแห่งหนึ่ง มีเรือสี่ลำแล่นล่วงหน้าไปก่อนเรือพระที่นั่ง เพื่อเป็นการค้ำประกันความปลอดภัยของพระเจ้าแผ่นดิน เรือเหล่านี้บรรทุกผู้คนเป่าแตรเงินเล็ก ๆ เพื่อป่าวประกาศการเสด็จพระราชดำเนินถึง บรรดาเรือล้วนมีรูปทรงวิจิตรพิสดารและแกะสลักอย่างน่าพิศวงด้วยรูปปฏิมาประดับประดาอย่างหรูหรา ก่อเกิดความรู้สึกประทับใจถึงโขลงช้างที่ลอยเหนือน่านน้ำ ด้วยเรือเหล่านี้ลอยเลื่อนไปเบื้องหน้าและท้ายเรือโลดทะยาน"

    “เรือสี่ลำเหล่านี้หยุดที่พระอารามแห่งหนึ่งบนชายฝั่ง เพราะพวกเขาคาดหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเจริญพระพุทธมนต์และทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ตามติดมาอย่างใกล้ชิดเรือสี่ลำนั้นเป็นเรืออื่น ๆ อีกหลายลำที่ใหญ่กว่านั้น แต่ละลำบรรทุกผู้คนมากมายที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบประเภทต่าง ๆ เรือแต่ละลำมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก ๑ คน

    แล้วจากนั้นเป็นพระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่สุดในพระเจ้าแผ่นดินที่เสด็จปรากฎพระองค์ในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก

    ตามติดมาเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีและสาวสรรกำนัลใน สมเด็จพระอัครมเหสีประทับแต่เพียงลำพังพระองค์ และบรรดานางกำนัลนั่งในเรือลำอื่นที่ตกแต่งอย่างน่าอัศจรรย์ และกั้นด้วยม่านอย่างรอบคอบจนเป็นไปได้ที่จะสามารถมองผ่านม่านจากภายในออกมาสู่โลกภายนอกได้ โดยที่คนภายนอกไม่เห็นคนภายใน"

    “สุดท้ายที่มาถึงในกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารคคือ องค์พระมหากษัตริย์ ประทับในเรือพระที่นั่งขนาดกว้างใหญ่ที่ดูแต่ไกลเหมือนนกกระยางตัวมหึมาที่แผ่ปีกอันกว้างใหญ่ออกมา เป็นเรือพระที่นั่งปิดทองทั้งองค์และโดยที่ฝีพายมีเป็นจำนวนมาก อิริยาบถในการพายของพวกเขาจึงดูเหมือนนกตัวใหญ่เหินลมเหนือท้ายเรือพระที่นั่ง พระเจ้าแผ่นดินประทับเหนือพระราชบัลลังก์เคียงข้างพระองค์เป็นสาวน้อยผู้เลอโฉมข้างละ ๒ คน คอยถวายอยู่งานโบกพัด เพื่อให้พระองค์ทรงสดชื่นจากความร้อนระอุของดวงอาทิตย์ ทันทีเรือพระที่นั่งหยุดลง ฝูงชนก็ผลักดันกันไปข้างหนึ่งและหมอบราบลงและยกมือขึ้นประนมในลักษณาการศิโรราบจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป แล้วเรือพระที่นั่งของพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ก็ติดตามมาพรั่งพร้อมด้วยเหล่าขุนนางชั้นสูง"

    "เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินถึงพระอาราม พระองค์ได้รีบเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะแต่พระปฎิมากรทั้งหลาย และหลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จลงสรงสนานกลางสระน้ำใสในปริมณฑลของพระอารามบรรดาเจ้าพนักงานภูษามาลาและชาวที่ได้อัญเชิญน้ำสรงปริมาณหนึ่งไว้เพื่อสักการบูชา และพวกเขาได้อยู่งานถวายพระมูรธาภิเษก จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระราชวัง”

    พระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์คงจะยังไม่เข้าพิธีโสกันต์เป็นแน่ จึงเรียกว่าทรงพระเยาว์ แต่สามารถประทับเพียงลำพังพระองค์ได้แล้ว น่าจะทรงเจริญวัยพอที่จะประทับโดยไม่ต้องอยู่กับพระราชบิดาหรือพระราชมารดา พระราชกุมารนี้ คิดว่าพระองค์นี้จะเจริญมากกว่า 5 พรรษา แต่ไม่น่าจะเกิน 12 พรรษา (น่าจะประสูติในราวๆ ช่วงปี พ.ศ. 2124 ถึงปี พ.ศ. 2131) ซึ่งช่วงปีที่พระราชกุมารองค์น้อยประสูตินี้ เป็นปีที่พระราชบิดาของพระองค์คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงดำรงพระยศเป็นพระเจ้าฝ่ายหน้า หรือองค์พระยุพราช ครองเมืองพิษณุโลกอยู่นั่นเอง

    เพิ่มเติม

    คำให้การขุนหลวงหาวัด (พระราชพงศาวดารแปลจากภาษารามัญ) ความจริงเป็นเอกสารฉบับเดียวกับคำให้การชาวกรุงเก่า (พงศาวดารไทยตามฉบับพม่า) ตามต้นฉบับในหอเมืองร่างกุ้งของพม่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หลังจากกองทัพพม่าตีพระนครศรีอยุทธยาแตกใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้จดคำให้การของเชลยศึกที่เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยศรีอยุทธยา โดยอาศัยล่ามมอญที่รู้ภาษาไทยจดคำให้การเป็นภาษามอญ แล้วค่อยแปลเป็นภาษาพม่าในภายหลังซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติแล้วว่า คำให้การชาวกรุงเก่าเป็นเอกสารฉบับเดียวกับโยธยา ยาสะเวง (พงศาวดารอยุทธยา)ของพม่า ได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชพระราชบิดาใน จ.ศ. ๙๕๒ ปีขาลโทศก (พ.ศ. ๒๑๓๓) ความว่า

    “ส่วนพระนเรศวรนั้น ก็เข้าไปกรุงศรีอยุทธยา ก็เสด็จเข้าสู่พระราชฐาน อันอัครมหาเสนาบดีและมหาปุโรหิตทั้งปวง จึงทำการปราบดาภิเษกแล้วเชื้อเชิญขึ้นให้เสวยราชสมบัติ จึงถวายอาณาจักรเวนพิภพแล้วจึงถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ และเครื่องมหาพิไชยสงครามทั้ง ๕ ทั้งเครื่องราชูปโภคทั้งปวงอันครบครัน แล้วจึงถวายพระนามใส่ในพระสุพรรณบัฏสมญาแล้วฝ่ายในกรมจึงถวายพระมเหสีพระนามชื่อพระมณีรัตนา แล้วถวายพระสนมกำนัลทั้งสิ้น แล้วครอบครองราชย์สมบัติเมื่อจุลศักราช ๙๕๒ ปีขาลโทศก อันพระเอกาทศรถนั้นก็เปนที่มหาอุปราช”


    พระมณีรัตนา นามแห่งองค์อัครมเหสีในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงน่าจะคงทรงเคยดำรงตำแหน่งพระวรชายา หรือพระอัครชายาแห่งองค์นเรศวรครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระนางเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงให้ประสูติกาลพระราชโอรสอย่างน้อยหนึ่งพระองค์ โดยพระโอรสองค์นี้น่าจะมีพระประสูติในระหว่างพุทธศักราช 2124-2131

    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

    ทางสายธาตุ<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คุณเปลว สีเงิน เขียน คนไทยที่ "ไม่มีราคา" ให้ตัวเอง

    บ้านเมืองเรา "ไม่มีอะไรแปลก" แต่ทัศนคติ และความคิดคนไทยเรา "มีอะไรแปลก" ขึ้นทุกวัน ต้องพยายามทำความเข้าใจนะครับ ไม่งั้นจะเครียด ด้วยสับสน นี่ก็ได้ยินข่าวจากจอโทรทัศน์แว่วๆ ว่า "ดัชนีความสุขคนไทยลดลง" ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอก เพราะความสุข-ความทุกข์คนไทย มีสภาพคล้าย "แมลงปอถูกเด็ดตูด" บินขึ้น-บินตก ผงกๆ คาพื้นอยู่อย่างนั้น จนกว่าคนไทยจะค้นหาชาติและตัวเองพบนั่นแหละ
    และผมว่าก็ "ยาก" จะพบ เพราะนับวันคนไทยนอกจากไม่นับถือคนไทยด้วยกันแล้ว เผลอๆ ตัวเองก็ยังไม่นับถือ-ไม่เชื่อในความเป็นคนของตัวเองด้วยซ้ำ ผมอยู่ในวงจรข่าวจึงพอมีประสบการณ์ตรงนี้อยู่บ้าง
    ไม่ต้องมาก ในวงการข่าวสารนี่แหละ คนไทยพูด สื่อไทยเผยแพร่ คนไทยด้วยกันฟังแล้ว-อ่านแล้วก็งั้นๆ แหละ แต่ในเรื่องเดียวกันแท้ๆ พอมีฝรั่งเข้ามาแตะ หรือสื่อต่างชาตินำไปเผยแพร่
    ขลัง เป็นจริง-เป็นจัง น่าเชื่อถือขึ้นมาทันที!
    เคยพบด้วยตัวเอง ข่าวเดียวกัน ลงในหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ก็เงียบๆ ไม่เห็นมีใครตื่นเต้น หรือวิตก-วิจารณ์อะไร แต่วันต่อมา หนังสือพิมพ์ฝรั่งแปลจากภาษาไทยไปตีพิมพ์ เท่านั้นแหละ...ตื่นกันบ้านเมืองแทบแตก บรรดาไทยภักดีฝรั่งฮือฮากันยกใหญ่....

    แหล่งที่มา:
    http://www.thaipost.net/news/021010/28221



    นำมาฝากกันเพื่อเป็นอุทาหรณ์ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...