กรมหลวงชุมพรฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๛อาภากร๛, 2 กันยายน 2010.

  1. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.1179962/[/music]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2010
  2. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    สวัสดีครับท่าน

    เราก็หารู้ไม่ว่าเช่นไรแล้วต้องมาถามท่าน
    เราใคร่ขอความกระจ่างสักนิด
    เรามีสองสายญาณในตนเอง
    คือ
    สายโลกุตระและสายเทพ
    เมื่อเราเข้าห้องสวดมนต์ก็รู้สึกได้แล้วในหัวค่ำ เป็นทางด้านสายเทพ
    หากหัวรุ่ง ๐๕.๐๐ น. จักเป็นสายโลกุตระ
    อารมณ์สมาธิคนละอารมณ์กัน

    เราเคยได้อารมณ์ฌาณที่เย็นจิตนักเสียหลายราตรี
    ใช้ชีวิตกับสังคมกายหยาบเบากายนัก
    แต่ด้วยวาสนาที่ยังเพียรมิถึงได้หายไป

    วันนี้ไปพลังสายญาณเทพชั่งหนักหน่วงนัก
    มิเหมือนดั่งสายโลกุตระที่พานพบ
    เราได้เพียงสัมผัส
    ยังเข้ามิถึง
    ติดขัดสภาวะลมหายใจที่ไม่สามารถทิ้งไปได้
    กล่าวคือ

    "เมื่อเรานั่งสมาธิสักพัก
    จักพบอารมณ์หนึ่งที่มารออยู่หากเอาจิตไปจับ
    จักดึงดูดเราเข้าไป
    จิตจักเปลี่ยนสภาวะไป
    สักพักจักรู้สึกลมหายใจขัด
    ทั้งที่รู้ว่าหากผ่านตรงจุดนี้ไปได้จักเข้าอารมณ์ฌาณ
    เพราะหลายสิ่งไม่รับรู้แล้ว
    จิตทิ้งดิ่งมาก"

    ทุกครั้งในเวลานี้จัดเป็นเยี่ยงนี้เสมอ
    ท่านพอที่จักแนะนำเราผู้ยังเขาอยู่ให้เห็นแจ้งสักนิดเถิดท่าน
    เวลาเราเหลือไม่มากนัก
    เรายังเพียรมิถึงไหนเลย

    และเราจักมีแนวทางใดที่จักรวม ๒ สายญาณเป็น ๑ เดียวได้บ้าง
    เราหาได้ปรุงแต่งไม่
    แต่รู้ถึงได้เช่นนั้น
    เรามีสติรับรู้ได้ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ในวันจันทร์นี้เรามีวาระที่จักอุปสมบท ๗ วัน
    เพื่อความเพียรอย่างอุกฤษตามจิตที่ตั้งไว้
    จักนำคำชี้แนะจากท่านมาพัฒนา
    ผลิว่าจักตรงกับจริตเราได้บ้าง
    เราลองเรียนรู้มาหลายจริตแล้ว
    เราพอพบแล้วว่าจริตใดที่ตรงกับเรา
    แต่ยังมีปัญหาเล็กน้อยตามที่ถามมายังท่านเช่นนี้แล

    ที่ถามมานี้หาได้มีจิตคิดอกุศลลองภูมิสิ่งใดต่อท่านไม่
    เราเพิ่งเดินในทางสายนี้ได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น

    ขอความเจริญยิ่งในธรรมพึงมีสู่ท่านตลอดทุกเมื่อเถิด


    เวฬุวัน ว.มุจลินทร์
    ข้ารองบาทแห่งองค์เหนือหัวนเรศวรมหาราชเจ้า
     
  3. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    สายธรรมเป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นเอกไม่มีรอง อุปสมบท 7 วันนี้ จะพบองค์ครูท่านมาแน่
    กรรมฐานตามจริตที่ถนัด ถ้าแยกจะไปไม่ถึงทั้ง 2 ทาง สายเทพกับสายธรรมไม่แยกนะครับ
    สมถะเป็นอุบายทําใจให้สงบเหมือนกันทั้งหมด อะไรที่ละพยศจิตหรือข่มจิตข่มนิวรณ์ให้นิ่งได้ก็งัดมาใช้ ไม่ต้องไปเริ่มใหม่ สั่งสมมาต่อยอดเลย ความต่างต่างแค่วิปัสนาญาณที่จะต่อยอด
    เริ่มต้นด้วยความต่างแต่บรรจบได้ มันไม่ใช่ทางแยกครับ ขอให้เกิดวิปัสนาญาณพอ
    สรุปว่ามันไม่แยกเลยเราไปแยกกันเอง ไปแยกเพราะเห็นมันเป็นคนละศาสนา พอไปแยกก็เห็นว่านิพพานมีแค่ศาสนาเดียว หากปฏิบัติอีกแบบไม่เห็นมรรคผล นิพพานก็เป็นผลของวิปัสนาไม่ใช่ผลของสมถะ และวิปัสนาญาณแท้ๆ มันก็จะไม่ทําหน้าที่แยกแยะแบบสายไหนๆ มันจําแนกแค่ธรรม ครับ แต่ในสมณสารูปการปฏิบัติควรจะเป็นแบบพุทธ กันโลกติเตียน

    องค์ธรรมมาพร้อมองค์ครู เวลาปฏิบัติธรรมไม่ต้องสัคเคเทวดาก็มา และผมเชื่อว่าองค์ครูท่านจะหาทางให้เกิดวิปัสนาเองได้

    สมเด็กพระเจ้ากรุงธนบุรีพบนิมิตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระองค์ดําตรัสว่าให้ทิ้งดาบเปลื้อนเลือด ก่อนที่จะลงอบาย ให้เข้าหากาสาวพัสต์ เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน

    ตัวผมเองก็ไม่กล้าแนะนําเพราะก็ไม่ได้ไปไกลกว่ากันสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น
    ผมก็ไปทั้ง 2 สายเรื่อยๆเพราะรวมมานานแล้วครับไม่เคยแยก สายเทพเข้าใจว่าคงจะหมายถึงทางประมาณร่างทรงองค์เทพ ถ้าหลังลาสิกขา มาเดินสายวีรชนดีกว่าครับ อานิสงค์มากกว่า คงช่วยได้แค่นี้หล่ะครับ
     
  4. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ผมเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังละกันนะครับ
    ตัวผมเองก็ครอบครูรับพานเทพมาเมื่อ 15 ก่อน ผมรับมาตั้งแต่อายุได้ 17 เพราะอารมณ์ค่อนแรงจะแรงสําผัสได้ ตอนผมรับพานครอบครู หากถามผมว่าเชื่อมั้ย ผมก็ 50/50แต่ผมเอา50ที่หายไปมาแลกกับความสบายใจ ผมก็เริ่มเดินสายเทพแต่นั้นเป็นต้นมา เส้นทางทั้ง 2 ผมมาบรรจบนานแล้วครับ ตั้งแต่3-4 ปีแรก ที่เริ่มปฏิบัติธรรมจริงจัง

    ไหนๆก็เล่าเรื่องตัวเองก็ขอเอาเรื่องการปฏิบัติในผ้าเหลือให้อ่านครับ

    สําหรับท่านที่ไม่ทราบว่าคืออะไร หาดทรายรีเป็นชื่อชายหาด ใน จ.ชุมพร
    กรมหลวงชุมพรฯหรือเสด็จเตี่ย ท่านชื่อ อาภากรคําว่าอาภากรหมายถึง แสงสว่าง เราจับใจความว่า ดวงตะวัน พระองค์เจ้าอาภากรทรงสิ้นพระชนม์ที่นี่ หาดทรายรีงเป็นสถานที่สําคัญ ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นที่ตะวันลับขอบฟ้า เราจะพบบทความต่างที่เล่าชีวิตช่วงสุดท้ายของเสด็จเตี่ยขึ้นหัวข้อว่า ตะวันดับที่หาดทรายรี


    ความจริงตัวผมเองบวชพระแค่เพียง 2 พรรษา ช่วงออกพรรษาที่ 2 ยังไม่คิดจะลาสิกขาพรรษาที่ 2นี้ผมจําพรรษาที่อุตรดิตถ์ พอออกพรรษามาผมก็ลาครูบาอาจารย์ทางโน้นเพื่อที่จะกลับบ้าน ก็มาจําวัดที่ จ.นครปฐม ครอบครัวเป็นอุปฐากวัดนี้อยู่ จนมีอยู่คืนหนึ่งเกิดคิดอยากจะเดินทางไกลเพียงลําพังไป จ.ชุมพร พอเช้าก็ไปหารุ่นพี่ที่ตําหนักแบบสหธรรมิก ไม่ได้ไปดูหมอนะ ไปพูดคุยเรื่องการปฏิบัติแลกเปลี่ยนกันไปมา สักพักเลยลากลับ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปชุมพร ขากลับ ท่านบอกว่า จะสึกแล้วสินะ ผมแป้วเลยตอนนั้นไม่มีความคิดจะสึก และศรัทธาเต็มในผ้าเหลือง คิดในใจว่านี่ฉันตั้งใจจะเดินทางไปชุมพรไปหาที่ปฏิบัติ เผื่อที่แถวนั้นจะเคยหลั่งนําทักษิโณทกไว้เยอะ ผลการปฏิบัติจะได้เต็ม จะมาสึกได้อย่างงัยแต่คนนี้พูดไม่เคยพลาด ก็เก็บไว้ในใจไม่สาวความถามต่อ

    หลังจากกลับวัดก็ค้างวัดเดิม 1 คืนตั้งใจจะออกเดินทางตอนเช้า ลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียบร้อย บอกท่านว่าหากไม่มีใครถามก็ไม่ต้องบอกใคร ความจริงหลวงพ่อก็ห่วงมาก เพราะชีวิตไม่เคยลําบาก พอลาก็เดินเท้าเปล่าออกจากวัด ตอนนั้นตั้งใจจะเดินไปตาม๔นนเพชรเกษมเรื่อยๆ เงินที่ตัวทั้งหมดถวายวัดมีเงินติดย่ามเพียงไม่ถึง 30 บาท เดินไปสักพักเจอโยมพี่สาว เลยบอกความจริงว่าจะไปชุมพร ถึงแล้วจะโทรศัพท์มาบอกทางบ้านเอง
    พี่สาวเลยถวายปัจจัยใส่ย่าม แต่ตอนนั้นบอกไม่รับ ขอนําเปล่าเท่านั้น พี่สาวก็ถามว่าจะไปทางไหน ถ้าทางรถไฟจะร้อน หินข้างทางรถไฟแหลมคม เดินเท้าเปล่าไม่ได้ขอถวานรองเท้า ก็เลยรับไว้


    เดินไปเรื่อยๆก็มาคิดว่าทางรถไฟน่าจะไวกว่าประหยัดเวลามากเลยเดินทางรถไฟ ตอนนี้มาหวนนั่งคิดอยู่ว่า พี่สาวได้อานิสงค์มากถ้าไม่มีรองเท้าไม่มีทางจะไปไหนได้ไกลแน่ๆ
    ก็เดินเรื่อยๆดึกไหนค้างนั้นจนถึง จ.ราชบุรี คืนนั้นเหนื่อยมากตอนเช้าก่อนบิฌฑบาตรก็ตั้งใจรับประทานอาหารเสร็จก็จะเดินทางต่อทันที แต่สังขารก็ไม่ค่อยจะไหวแล้วเจอโยมชาวราชบุรีมาใส่บาตรบอกไม่คุ้นหน้ามาจากไหนจะไปไหน เลยบอกความทั้งหมดโยมถวายปัจจัยมาประมาณ 40 บาท เพื่อเป็นค่ารถไฟเลยรับไว้แล้วขึ้นรถไฟไปลง จ.ชุมพร
    หลังจากค้างตัวเมืองชุมพร 1 คืน พอเช้าก็ออกเดินทางไปหาดทรายรีทันที จากตัวเมืองชุมพรไปถึงหาดทรายรีจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 วันระยะทางประมาณ 20-30 กม. งานนี้ก็เท้าป่าวเดินถนน เลือดออกเยอะมาก ทุกย่างก้าวจากตัวเมืองถึงหาดทรายรี มีรอยประทับเท้าตัวเองติดเลือดบนถนน แทบทุกรอย และก็เดินทางถึง หาดทรายรีได้ดังสมปรารถนา
    ความเพียรครั้งนั้นแม้ว่าจะไม่ได้เดินจากนครปฐมไปถึงชุมพรด้วยเท้าตลอดทางแต่ก็เป็นกรเดินทางครั้งแรกและโดยลําพังที่ประทับใจที่สุด คืนนั้นได้จําวัดที่วัดเขตอุดมศักดิ์วนาราม

    เข้าพบเจ้าอาวาสพูดคุยถามสารทุกข์กันเรียบร้อยแล้วท่านก็อนุญาติให้อยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าอาวาสน่าจะองค์ปัจจุบันเป็นองค์เดียวกัน ท่านก็พนมมือกราบผมปะงกๆบอกขอบารมีช่วยอยู่ต่อเพื่อสร้างวัดผมก็ทําอะไรไม่ถูก พระ 2 พรรษามาเจอเจ้าอาวาสวัดใหญ่กล่าวแบบนี้ทํากริยาแบบนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้บอกและพูดถึงเรื่องเสด็จเตี่ยด้วยซําไป

    ก็จําวัดที่นั่นได้ 3-4 คืน ไม่รู้ปัจจัยมาจากไหนจาก มีไม่ถึง 20 กลายเป็นหลักพันหลักหมื่น
    ก่อนกลับลาเพราะเสร็จกิจเห็นควรจะกลับนครปฐมเลยลาท่านเจ้าอาวาสพร้อมเช้าพระที่วัดทั้งหมดของวัดกลับไปแจกญาติโยมและทําบุญวัดนั้นทั้งหมดเหลือติดตัวประมาณ 300 บาทได้เพื่อใช้เดินทางกลับ ตรงข้ามวัดเขตอุดมศักดิ์วนารามก็มีร่างทรงชื่อดังเพ่งเทียนอยู่ผมก็ไม่ได้ไปดูเพียงแค่ไปทักทายสนทนาธรรม 1ครั้งก่อนลากลับ หมอคนนั้นก็ได้พยากรณ์ให้เล็กน้อย

    พระที่เช่าบูชามาก็แจกจนหมดเงิน 300 บาทที่มีก็เกือบจะไม่ได้ใช้กลับบ้านเพราะแจกทานคนแถวสถานีรถไฟจนแทบหมด การเดินทางไปหาดทรายรีในครั้งนั้น ได้ทั้งวิริยะ ได้ทั้งทานและอาจจะได้มากกว่านั้น แต่กรรมฐานไม่ไปไหน เพราะต้องนอนระบมกับความเหนื่อยล่าในระหว่างเดินทาง

    ก่อนจะเดินทางกลับนครปฐมและลาสิกขาบท ที่ จ.อุตรดิตถ์ วันนั้นทั้งวัดมีแต่นําตาทั้งพระทั้งคนไม่มีใครอยากให้ผมสึก พระทั้งวัดรวมผมด้วยมี 5 รูป
    เจ้าอาวาส เป็นอัมพฤก อายุ 60+
    หลวงตา อายุ 70+
    หลวงตา อีกรูป เป็นอัมพฤก อายุ 60+
    หลวงพี่ 40+ เป็นอัมพฤต

    ภาระทางวัดทั้งหมดผมรับงานตั้งแต่พรรษาแรก
    ตี 3 หุงข้าวสวย พระทุกรูปบิณฑบาตรไม่ได้ และฉันข้าวเหนียวไม่ได้ ใส่บาตรข้าวเหนียว
    ตี 4 นําทําวัตร
    ตีกลองระฆังตามเวลา
    จัดอาหารพระเช้า - เพล
    ล้านจาน ทําความสะอาด
    ถ้าตรงกับวันพระต้องเทศน์และทําวัตรร่วมกับคนมาถือศิล 8 ที่วัดอีก 1 รอบวัดที่บวชกันดาร หน้าหนาวหนาวมาก

    การบวชแม้จะระยะเวลาสั้นๆแต่ผมเต็มทุกอย่าง
    ความเหน็ดเหนื่อยจากการต้องรับภาระมาก และรอยเลือดตลอดเส้นทางหาดทรายรี ผมไม่เคยรู้สึกถึงความทุกข์ และ เจ็บปวดกับมัน บวช 7 วันแม้จะน้อยแต่ทําจริงๆก็เต็มครับ

    ตอนผมบวชหลายๆวันต้องทําวัตรสวดมนต์ 3-4 รอบ เองที่กุฏิด้วย การเสียชีวิตในขณะกรรมฐานผมก็ประสบมาแล้ว ผมขาดอากาศหายใจ สมาธิผมแตก เสียสติผวา 2 เดือนกว่า
    ทุกวันนี้รอยไฟไหม้ที่กุฏิที่ผมปฏิบัติจนหมดลมมาแล้ว ก็ยังหลงเหลือให้เห็น
     
  5. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอบคุณท่านที่แนะนำสกิดปัญญาเกิดเรา
    คงเป็นปัญญาสุดท้ายในเพลานี้ที่จักสนทนากับผู้คน
    ก่อนที่จักเดินทางเมื่อสิ้นแสงตะวันวันนี้
    ยินดีเสียยิ่งนักพานพบสหายธรรมเยี่ยงท่าน
    เราก็เคยผ่านสมณธรรมมาบ้างเสีย ๖ เดือน
    ศึกษาธรรมถิ่นแดนใต้อนณานิคมอดีตคอมมิวนิตส์
    อยู่ป่าถ้ำสงัดสัปปายะเสียยิ่งนัก
    เรียนรู้ธรรมจากธรรมชาติ
    แตกธรรมเสียมากมาย
    สัมผัสความสุขธรรมยากยิ่งจักบรรยาย
    จิตคิดจักก้าวข้ามเวียนหาครูอาจารย์
    เข้าสู่หนทางธรรมสมณเพศตลอดกาล
    จึงกลับลาแม่ผู้มีพระคุณ
    เพื่อไปสู่ทะเลแห่งขุนเขาเหล่าพำนักอริยะสงฆ์
    ภูกระดึงเรืองชื่อแห่งธรรมชาติ
    แต่หามีผู้ปัญญารู้นักไม่
    เป็นทะเลแห่งอริยะธรรมจากอริยะสงฆ์
    และฤาษีชีไพรผู้บำเพ็ญเพียรคณานับ
    ด้วยจิตสลดสงสารในมารดา
    จำต่องสึกกลับสู่ทางโลกที่หมองหม่น
    จิตรำรึกถึงเวลาแห่งแสงธรรมตลอดจิต
    ทำงานเก็บเงินซื้ออัฐบาริขารต้องตามธรรมวินัยจากวัดเศวก ปี ๒๕๓๗ ครบทุกประการ
    จิตกำหนด ๒๕๓๙ เข้าสู่หนทางธรรม
    แต่ด้วยวาสนาที่น้อยนัก
    กับหลงไปในโลกียะเรียนรู้สิ่งที่มิควรเรียนรู้
    ถูกวัวเขาอ่อนขวิดเสียสิ้นหนทางธรรม
    จึงตั้งจิตเมื่อสิ่นหน้าที่แห่งครอบครัวส่งเขาถึงฝั่งฝัน
    จักก้าวเดินต่อไปด้วยใจเป็นเช่นเดิม
    รักษาจิตก้าวเดินทางโลกทางธรรมไปด้วยจำยอม
    บัดนี้
    พระองค์ท่านเห็นว่ามีเวลาหามากไม่แล้ว
    จึงได้บันดาลให้ชีวิตต้องหักเห
    เร่งความเพียรในคราบปุถุชน
    เพื่อสิ่งหนึ่งก่อนความร่มสลายจักมาเยือน
    โอกาสมาถึง
    แต่เรากับเลือกที่จักว่ายข้ามธาราด้วยกำลังแห่งตนเอง
    พระองค์ท่านก็เมตตาเสียยิ่งนัก
    มิทอดทิ้งในความทรนงยโส
    จึงขจัดสิ้นความสงสัยน้อมรับแต่ก็ยังขอว่ายข้ามธาราด้วยตนเอง
    เพียรด้วยตนเอง
    สร้างเรือสร้างพายด้วยตนเอง
    เราเคยกล่าวไว้ขอก้าวข้ามด้วยปัญญา
    พระองค์ท่านก็เมตตามิรู้สิ้น
    อารมณ์สมาธิเราจึงแยกเป็นสองโดยมิตั้งใจ
    รู้ เรียนรู้ แต่ไร้ปัญญานำมารวมกัน
    ญาณเทพสามารถตัดแล้วพบอารมณ์ได้เลย
    เพราะพระองค์ท่านหนุนนำ
    แต่เพลานี้ปัญญายังไม่ถึงนักในหัวค่ำ
    สายโลกุตระต้องเพียรมากสักหน่อยในหัวรุ่ง
    สายโลกุตระจักพบต้องเพียรก้าวข้ามทุกข์

    เราพบปัญหามากมายในดวงจิต
    หามีผู้ใดจักแจ้งแถลงเราเข้าใจดั่งปัญญาท่านได้ไม่
    เหตุแห่งเรานี้เขลาเสียยิ่งนัก

    แต่ท้ายที่สุดเราก็จักพบคำตอบด้วยตนเอง
    แล้วปัญญาจักเกิดแก้ไขธรรมให้ผู้อื่นได้ตามจิตผู้นั้น
    ตัวเรามักเป็นเยี่ยงนี้
    อาจด้วยเหตุแห่งพุทธภูมิอันเป็นไปได้
    เราไร้วาสนาที่จักหาบรมครูผู้เป็นกายมนุษย์
    พร่ำสอนได้ไม่
    ทุกสิ่งกระทำตามจิต
    ผิดบ้างถูกบ้าง
    ตามวาระที่ก่อเกิด
    หากเดินทางผิดสักพักก็จะเกิดสภาวะธรรม
    มองเห็นในสิ่งนั้น
    เกิดแรงผลักก้าวไปสู่สภาวะที่ถูกต้องอย่างก้าวกระโดด
    และวจักรู้หนทางการแก้ไขโดยไม่หวนหลับ
    ที่ผ่านมามักเป็นเยี่ยงนี้แลท่าน
    ที่กล่าวมาก็ใช่ว่าอวดอ้าง
    แต่ด้วยความเขลาเพื่อแลกเปลี่ยน
    ผลิว่า
    ท่านเห็นข้อแก้ไขพัฒนาในตัวเรา
    จึงวานแถลงต่อเราผู้ยังเขลาเถิด
    เพราะท่านจักเป็นผู้สุดท้ายที่เราจักแสวงถามแล้ว
    เราจักหยุดการแสวงจากภายนอก
    เราจักแสวงหาจากภายในตัวเราเองแล้ว
    แม้นผลิว่า
    ปัญญาอันมีค่าที่ท่านชี้นำสู่เรา
    หาได้นำทางเราในวันนี้ไม่
    แต่ก็จักเป็นไฟฉายที่เราเก็บไว้ข้างทาง
    เมื่อวันหนึ่งเราเดินผ่านไป
    เราจักนำหยิบมาใช้ได้อย่างถูกต้องส่องไปในวิถีที่ก้าวไปอย่างมีคุณค่า
    ถูกต้องถูกที่ถูกเพลา
    เราตอบมิได้เช่นกัน
    ทำไมจึงต้องมากล่าวกับท่าน
    แต่ทุกสิ่งมิได้มีอามิสหรือทดสอบผู้ใด

    เราใคร่จักถามสักนิดในวาจาท่าน
    ขอบคุณท่านที่แนะนำสกิดปัญญาเกิดเรา
    คงเป็นปัญญาสุดท้ายในเพลานี้ที่จักสนทนากับผู้คน
    ก่อนที่จักเดินทางเมื่อสิ้นแสงตะวันวันนี้
    ยินดีเสียยิ่งนักพานพบสหายธรรมเยี่ยงท่าน
    เราก็เคยผ่านสมณธรรมมาบ้างเสีย ๖ เดือน
    ศึกษาธรรมถิ่นแดนใต้อนณานิคมอดีตคอมมิวนิตส์
    อยู่ป่าถ้ำสงัดสัปปายะเสียยิ่งนัก
    เรียนรู้ธรรมจากธรรมชาติ
    แตกธรรมเสียมากมาย
    สัมผัสความสุขธรรมยากยิ่งจักบรรยาย
    จิตคิดจักก้าวข้ามเวียนหาครูอาจารย์
    เข้าสู่หนทางธรรมสมณเพศตลอดกาล
    จึงกลับลาแม่ผู้มีพระคุณ
    เพื่อไปสู่ทะเลแห่งขุนเขาเหล่าพำนักอริยะสงฆ์
    ภูกระดึงเรืองชื่อแห่งธรรมชาติ
    แต่หามีผู้ปัญญารู้นักไม่
    เป็นทะเลแห่งอริยะธรรมจากอริยะสงฆ์
    และฤาษีชีไพรผู้บำเพ็ญเพียรคณานับ
    ด้วยจิตสลดสงสารในมารดา
    จำต่องสึกกลับสู่ทางโลกที่หมองหม่น
    จิตรำรึกถึงเวลาแห่งแสงธรรมตลอดจิต
    ทำงานเก็บเงินซื้ออัฐบาริขารต้องตามธรรมวินัยจากวัดเศวก ปี ๒๕๓๗ ครบทุกประการ
    จิตกำหนด ๒๕๓๙ เข้าสู่หนทางธรรม
    แต่ด้วยวาสนาที่น้อยนัก
    กับหลงไปในโลกียะเรียนรู้สิ่งที่มิควรเรียนรู้
    ถูกวัวเขาอ่อนขวิดเสียสิ้นหนทางธรรม
    จึงตั้งจิตเมื่อสิ่นหน้าที่แห่งครอบครัวส่งเขาถึงฝั่งฝัน
    จักก้าวเดินต่อไปด้วยใจเป็นเช่นเดิม
    รักษาจิตก้าวเดินทางโลกทางธรรมไปด้วยจำยอม
    บัดนี้
    พระองค์ท่านเห็นว่ามีเวลาหามากไม่แล้ว
    จึงได้บันดาลให้ชีวิตต้องหักเห
    เร่งความเพียรในคราบปุถุชน
    เพื่อสิ่งหนึ่งก่อนความร่มสลายจักมาเยือน
    โอกาสมาถึง
    แต่เรากับเลือกที่จักว่ายข้ามธาราด้วยกำลังแห่งตนเอง
    พระองค์ท่านก็เมตตาเสียยิ่งนัก
    มิทอดทิ้งในความทรนงยโส
    จึงขจัดสิ้นความสงสัยน้อมรับแต่ก็ยังขอว่ายข้ามธาราด้วยตนเอง
    เพียรด้วยตนเอง
    สร้างเรือสร้างพายด้วยตนเอง
    เราเคยกล่าวไว้ขอก้าวข้ามด้วยปัญญา
    พระองค์ท่านก็เมตตามิรู้สิ้น
    อารมณ์สมาธิเราจึงแยกเป็นสองโดยมิตั้งใจ
    รู้ เรียนรู้ แต่ไร้ปัญญานำมารวมกัน
    ญาณเทพสามารถตัดแล้วพบอารมณ์ได้เลย
    เพราะพระองค์ท่านหนุนนำ
    แต่เพลานี้ปัญญายังไม่ถึงนักในหัวค่ำ
    สายโลกุตระต้องเพียรมากสักหน่อยในหัวรุ่ง
    สายโลกุตระจักพบต้องเพียรก้าวข้ามทุกข์

    เราพบปัญหามากมายในดวงจิต
    หามีผู้ใดจักแจ้งแถลงเราเข้าใจดั่งปัญญาท่านได้ไม่
    เหตุแห่งเรานี้เขลาเสียยิ่งนัก

    แต่ท้ายที่สุดเราก็จักพบคำตอบด้วยตนเอง
    แล้วปัญญาจักเกิดแก้ไขธรรมให้ผู้อื่นได้ตามจิตผู้นั้น
    ตัวเรามักเป็นเยี่ยงนี้
    อาจด้วยเหตุแห่งพุทธภูมิอันเป็นไปได้
    เราไร้วาสนาที่จักหาบรมครูผู้เป็นกายมนุษย์
    พร่ำสอนได้ไม่
    ทุกสิ่งกระทำตามจิต
    ผิดบ้างถูกบ้าง
    ตามวาระที่ก่อเกิด
    หากเดินทางผิดสักพักก็จะเกิดสภาวะธรรม
    มองเห็นในสิ่งนั้น
    เกิดแรงผลักก้าวไปสู่สภาวะที่ถูกต้องอย่างก้าวกระโดด
    และวจักรู้หนทางการแก้ไขโดยไม่หวนหลับ
    ที่ผ่านมามักเป็นเยี่ยงนี้แลท่าน
    ที่กล่าวมาก็ใช่ว่าอวดอ้าง
    แต่ด้วยความเขลาเพื่อแลกเปลี่ยน
    ผลิว่า
    ท่านเห็นข้อแก้ไขพัฒนาอัน

    เราใคร่ถามอีกสักนิดในวาจาชี้นำที่ท่านมีต่อเรา

    ถ้าหลังลาสิกขา มาเดินสายวีรชนดีกว่าครับ อานิสงค์มากกว่า คงช่วยได้แค่นี้หล่ะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    วาจาเยี่ยงนี้คือสิ่งใดฤา
    รึท่างหมายถึงองค์เหนือหัวนเรศวรมหาราชเจ้าผู้ที่เราเป็นข้ารองบาท
    แต่จากหนึ่งในมหาเทพแห่งเรา
    พระองค์ท่านได้อวตาลมาเป็นองค์เหนือหัวเจ้า
    วานท่านแถลงไขเพื่อเราจักได้เข้าใจเถิด


    ขอท่านพึงตั้งจิต

    เราขอเบิกกุศลทั้งมวลจากอดีตภพที่กระทำไว้แลแห่งบุญกุศลลในปัจจุบันที่มีทั้งมวล
    และแห่งบุญ 64 กัปป์ในการบำเพ็ญธรรมในครานี้พร้อมด้วยบุญกุศลจากความเพียรเมื่อสิ้นทิวาการอุปสมบทในครานี้ จงประสบผลน้อมนำสู่ท่าน อาภากร ผู้เจริญผู้นี้หมดสิ้นตามกำลังที่ท่านจักรับได้ด้วยเถิด

    สาธุ สาธุ สาธุ

    ด้วยดวงจิตนามสมมุตติเรา....เวฬุวัน ว.มุจลินทร์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC02576.JPG
      DSC02576.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      355
    • DSC02581.JPG
      DSC02581.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3 MB
      เปิดดู:
      427
  6. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    เรารู้แล้ว
    ว่าทำไมต้องมาสู่ท่าน
    เราต่างคนต่างให้
    เหตุแห่งเราลูกหลานไทย
    เรามักไหว้กรมหลวงชุมพรทุกครั้งที่ผ่านเทวพระองค์ท่าน
    ไม่ว่าสถานนั้นจักตั้งที่ใดก็ตามที่เราพานประสบ
    เรากระทำเยี่ยงนี้เสมอมา

    แม้นว่าซากต้นหูกวาง
    หาดทรายรีที่พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์
    เราก็ไปประจักษ์สักการะ
    มาเฉกเช่นท่าน
    จึงเป็นวาสนาเยี่ยงนั้นแลท่าน

    ต้องขอขอบพระทัยพระองค์ท่าน
    ที่นำเรามาสู่ท่านนำท่านมาสู่เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2010
  7. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    แม้เลือดเพียง 1 หยดที่หลั่งรดพื้นแผ่นดิน โดยหน้าที่ด้วยใจ ศักดิ์สิทธิ์กว่า พรจากเทวดา เทพ พรหม 1000 คํา เป็นนํามนต์ที่รักษาเอกราช ไม่ใช่นํามนต์หวย

    พระนเรศวร พระเจ้ากรุงธน พระปิยะมหาราช กรมหลวงชุมพร ล้วนเป็นวีรชน
    หรือแม้กระทั่ง พระยาพิชัย ย่าโม และอื่นๆเป็นวีรชนทั้งสิ้น เสด็จเตี่ยท่านวินิจฉัยมาแล้วหล่ะครับ ว่าแผ่นฟ้าเป็นของเทวดา และแผ่นดินเป็นของประชาชาชน และประชนชนหมายให้กษัตริย์มีอํานาจสิทธิ์ขาด ตราบใดที่เท้ายังเหยียบแผ่นดิน ควรจะต้องรู้ว่าควรจะนอบน้อมแก่ใคร เทวดาไม่เคยเสียนําตาสักหยด ลูกหลานเทวดาไม่เคยสูญเสียญาติและบุคคลอันเป็นที่รักเพื่อปกป้องลูกหลานเลย วีรชนเสียเหงื่อ เสียเลือด เสียนําตา เสียญาติพี่น้อง และคนรัก ต้องพลัดพรากเพื่อปกปักรักษาแผ่นดิน พระเณรสึกหาลาเพศมาจับดาบสูญเสียความสงบและมรรคผลนิพพานในอัตภาพนั้นๆ หลีกป่าเข้าสู่ลานประหาร ยอมตกนรกแทนพวกเราทั้งสิ้น

    ไม่มีมหาเทพองค์ใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว หากคนไทยด้วยกันยังคิดว่ามีเทพอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าผมว่าเลือดไทยคงจะยังไม่เข้าสู่สายเลือด ขาดเชื้อของวีรชน คุณมีเชื้ออยู่แน่นอน
    ภาพ 23 ตุลาคม นักศึกษาจุฬาลงกรณ์มาถวายบังคมหน้าพระรูปยิ่งใหญ่และศักดิ์มากทั้งๆที่ไม่ได้สวดมนต์กันเลยด้วยซํา แต่กลับสะกดอารมณ์บางอย่างจากหลายๆสายตามุ่งตรงสู่พระบรมรูปทรงม้า เลือดในกายสูบฉีดจริงๆ

    [​IMG]

    ผมมีความรู้สึกว่าคนที่เดินบารมีสายผสมที่ว่านี้หมายถึงปฏิบัติแบบพุทธแต่ยังอิงๆกับเทพต่างๆจนมายึดกับพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแบบไทยๆ ท่านจะพาไปสู่มรรคผลไม่เกินยุคพระศรีอาริย์ และจะเป็นกําลังหลักของพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน นอกจากภิกษุสามเณร

    [​IMG]

    ภาพนี้ถ่ายเมื่อคืนนี้เอง หิ้งผมเอง
    ตอนรับพานครูผมลูกพระพรหม จนถึงทุกวันนี้ผมไปตําหนักท่านก็มักบอกว่าผมเป็นลูกพระพรหมอยู่อย่างนั้น แถมมายําว่าพระพรหมโดยศักดิ์สูงกว่า ผมก็จะบอกว่าผมลูกเสด็จเตี่ย
    องค์เทพซ้ายมือหิ้งผมรับมาอายุเกิน 10 ปี แทบทุกองค์ ขวามือองค์กษตรย์ ร.5 และกรมหลวงเกิน 10 ปี นอกนั้นไม่ถึง 10 ปี หลังๆผมอิงมาทางฝั่งนี้ทั้งหมด

    โดยส่วนตัวผมนับถือกรมหลวงชุมพรให้เกียรติท่านสูงกว่าตรีมูรติครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2010
  8. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ความเชื่อเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
    [​IMG]

    [​IMG]

    ความเชื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    4 พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มากๆ
    พระนเรศวร
    พระเจ้ากรุงธน
    พระปิยะ
    กรมหลวงชุมพร
    โดยเฉพาะ 2 พระองค์หลังเจอมากับตัวเยอะมากจากกรรมฐานในขณะบวช
     
  9. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    เรือตอร์ปิโด ท.๓
    กรมหลวงชุมพรทรงเป็นข้าหลวงพิเศษสั่งซื้อ
    [​IMG]


    เรือหลวงเจนทะเล
    เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็ได้กราบบังคม ลาออกจากราชการ ไปตากอากาศ เพื่อพักผ่อน รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทั้งนี้ก็เพราะ เสด็จในกรมฯ ทรงมีสุขภาพ ไม่สมบูรณ์ และประชวร พระโรค ภายใน อยู่ด้วย ทางกระทรวง ทหารเรือ ได้สั่งให้กระบวนเรือที่ ๒ จัด ร.ล.เจนทะเล ถวายเป็นพาหนะ และกรมแพทย์ทหารเรือ ได้จัดนายแพทย์ประจำพระองค์ ๑ นาย พร้อมด้วยพยาบาลตามเสด็จไปด้วย เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จไปประทับ อยู่ที่ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่เสด็จในกรมฯ ทรงจองไว้จะทำสวน ขณะที่เสด็จในกรมฯ ประทับอยู่ที่จังหวัดชุมพรนี้ ก็เกิดเป็นพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง ๓ วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ ตำบลทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา
    ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ร.ล.เจนทะเล ได้เชิญพระศพ จากจังหวัดชุมพรมายังกรุงเทพฯ และมาพักถ่ายพระศพสู่ ร.ล. พระร่วง ที่บางนา ต่อจากนั้น ร.ล.พระร่วงได้นำพระศพ เข้ามายังกรุงเทพฯ นำพระศพประดิษฐาน ไว้ที่วังของพระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชทาน จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพ ไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
    [​IMG]

    เรือหลวงมกุฎราชกุมาร
    ทรงเสด็จด้วยเรือลํานี้ไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ประเทศอังกฤษ
    และทรงนํานักเรียนนายเรือร่วมฝึกบนเรือลํานี้ ที่สัตหีบ
    [​IMG]

    เรือหลวงพระร่วง
    กรมหลวงชุมพร ทรงเป็นข้าหลวงพิเศษสั่งซื้อ เรือลํานี้พระองค์ทรงบังคับมาด้วยพระองค์เองจากยุโรป โดยยอดกระโดงเป็นธงช้าง

    [​IMG]


    เรือพระที่นั่งมหาจักรี
    [​IMG]

    เรือยงยศอโยชฌิยา
    ใน พ.ศ.๒๔๔๙ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงนำนักเรียนนายเรือทั้งหมด ไปฝึกหัดทางทะเล ด้วยเรือยงยศอโยชฌิยา เรือลำนี้เป็นเรือกลไฟ ขนาดกลาง มีเสาใบพร้อม แต่ทรงให้ติดพรวนชั้นต่ำขึ้นอีกเป็นพิเศษ และได้ให้นักเรียนขึ้นเสา ลงเสา กางใบ ถือท้ายใช้เข็มทิศ ทิ้งดิ่งและการเรือทุกชนิด เวลาใดที่มีคลื่นจัด เรือลำนี้ก็จะโคลง จึงทำให้นักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่นไปตามๆ กัน แต่ทรงฝึกให้ บรรดานักเรียนทั้งหลาย หายเมาคลื่น โดยให้ขึ้นลงเสาจนชิน เพราะทรงถือว่า "ทหารเรือต้องเมาคลื่นไม่เป็น" การไปฝึกครั้งนี้ ได้ไปทางภาคตะวันออก ของอ่าวไทย จนถึงจังหวัดจันทบุรี ราวหนึ่งเดือนจึงกลับ ภายใต้การบังคับบัญชา ของพระองค์ท่าน และพลเรือโท พระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ปรากฎผลว่านักเรียน มีความคล่องแคล่ว และเข้มแข็งในการเดินเรือเป็นอย่างดียิ่ง
    [​IMG]

    เรืออัคเรศรัตนาสน์
    กรมหลวงชุมพร ทรงเสวยและประทับ และซ้อมฝึกกับนักเรียนทหารเรือบนนี้ สัตหีบ
    [​IMG]
     
  10. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    เรามีจิตที่จักรวมเทพรูป ๓ มาหาราชเช่นกัน
    บัดนี้ยังเหลืกอีก ๒
    เมื่อถึงเพลา
    เราคงมีวาสนาเช่นนั้นแลท่าน

    ยินดีที่ได้ยลโฉมห้องธรรมแห่งท่านนัก
    อันใดหนอจึงดลใจท่านได้เยี่ยงนี้แล

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    แลผองชนทั้งหลาย
    มีจิตแลเลือดเนื้อเฉกเยี่ยงท่านทุกตัวตน
    อโยธยาศรีรามเทพนคร
    กรุงศรีแห่งต้นสยาม
    คงมีต้องเสียกรุงถึง ๒ ครา
    ให้เราต้องเศร้าหมองในผองไทย
    เป็นเยี่ยงนี้ดอก

    ผลิแม้นอดีตคือบทเรียน
    ผองไทยยังมิหลาบจำ
    หากวันหนึ่งฟ้าพิโรธ
    มันจักหลั่งน้ำตา
    ดวงจิตมันจักสิ้นดิ้นจากร่างพลัน
    สาสมกับกรรมที่มันทำกับแผ่นดินเรา

    -------------------------------

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
    พระอาญามิพ้นเกล้า
    ข้าพระองค์นี้ไร้ความสามารถที่จักสนองต่อพระองค์ได้ทุกกระทงความ
    มิอาจกำจัดสิ้นมันผู้ทุรยศ

    ------------------------------------------
    เราขออภัยหากวลีนี้กระทบจิตผู้คน
    วลีนี้มีเหตุมีปัจจัยที่มา
     
  12. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ฉลองพระองค์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    ทรงใช้สวมเมื่อคราวทรงพระราชตามขบวนแห่พระศพ รัชการที่ 5
    [​IMG]

    สมุดเยี่ยมของโรงเรียนนายเรือ
    และพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    [​IMG]

    ล็อกเก็ตกระเบื้อง ภาพเจ้าจอมมารดาโหมด ทำเป็นเข็มกลัดฝังเพชร
    ไม่แน่ใจว่าเสด็จท่านสร้างถวายเจ้าจอมมารดาโหมด หรือว่า เสด็จท่านทรงใช้เอง

    แต่คาดว่าคงจะเป็นของส่วนพระองค์มากกว่า
    [​IMG]
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    นักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย เกี่ยวข้องกับกรมหลวงชุมพรเช่นไร

    บุญเพ็ง หีบเหล็ก จอมขมังเวทย์ เป็นนักโทษประหารโดยการตัดคอคนสุดท้ายของประเทศ ในสมัย ร.6 ซึ่งการประหารโทษครั้งนั้น เสด็จเตี่ยได้พาพระธิดาของพระธิดาไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ว่าคนเราแม้จะมีวิชาดีเก่งสักเพียงใด ถ้ากระทําชั่วก็หนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม แม้หนังจะเหนียวฟันแทงไม่เข้าแต่ก็ไม่รอดพ้นอาญษแผ่นดิน ของที่มีเสื่อมถอยหมด และยังปลูกฝังให้พระโอรส พระธิดาไม่ให้กลัวผีอีกด้วย

    การทอดพระเนตรในครั้งนั้นใกล้ขนาดศรีษะนักโทษสามารถตกกลิ้งลงมาใกล้เท้าได้เลย ถ้าผมจําไม่ผิด พระโอรสและพระธิดาไปหลายองค์ หนึ่งในนั้นคือ หม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร

    เรื่องนี้ข้าพเจ้าทราบมาเมือกว่า 10 ปีก่อนโดยการอ่านเรื่องนักโทษอาชญากรรม จากหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จําความไม่ได้แล้ว เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับคําสอนของเสด็จเตี่ยเลยขอลงไว้

    มาทําความรู้จักกับนักโทษคนนี้กันก่อนนะครับ

    บุญเพ็ง หีบเหล็ก จอมไสยเวทย์ฆาตกรรม นักโทษตัดหัวคนสุดท้าย
    ที่ ผ่านๆ มาลงแต่ฆาตกรนอก วันนี้ขอลงฆาตกรไทยหน่อยแล้วกันและเป็นนักโทษรายสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย นับจากปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมาที่ตายไปโดยไม่มีศีรษะอยู่บนบ่า
    "บุญเพ็ง" หากเรียกเฉยๆ คงอาจไม่มีใครทราบได้นะครับ ว่า เขาคือใคร..
    หลายคนอาจคิดว่า เขาเป็น หมอดูที่หน้าหยก กิริยานอบน้อม และมีความเฉลียวฉลาด
    แต่..!!!

    หากเรียกว่า "บุญเพ็ง หีบเหล็ก" หลายคนคงจะทราบดีนะครับ
    ฆาตกร ฆ่าหั่นศพหญิงสาวในย่านบางลำภู ช่วง พุทธศักราช 2461

    " บุญเพ็ง" พระนอกรีตที่ถูกจับสึกเพราะทำผิดวินัยสงฆ์ต่อมาตั้งตนเป็นอาจารย์ มีคาถาอาคมทำเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ผู้ที่เชื่อในเรื่องของคุณไสย และลงมือสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนแล้วคนเล่าเพียงเพื่อต้องการทรัพย์ สมบัติมาเป็นของตน โดยอำพรางคดีด้วยการหั่นศพใส่หีบเหล็ก และในที่สุดวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็แสดงอาถรรพ์ให้ทกคนได้เห็น จนในที่สุด "บุญเพ็ง" ก็ถูกจับและศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการกุดหัวเป็นคนสุดท้าย เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๒ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ ประชาธิปไตย

    ในขณะที่ต่างประเทศได้ให้ความสนใจถึงขนาดตั้งฉายาของ"บุญเพ็ง หีบเหล็ก"ว่า
    "THE MURDERESS IRON BOX "หรือฆาตกร ผู้อำพลางด้วยหีบเหล็ก

    ย้อนรอยชีวิตฆาตกร
    หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง จนชาวบ้านขนานนามว่า


    ซึ่งนับว่า "บุญเพ็ง" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ของกรุงรัตนโกสินทร์ บุญเพ็งเดิมเป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทนุถนอมมา

    แต่ หนุ่มบุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูติผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาตร์ประเภทมนต์ดำฝังรูปฝังรอย พร้อมวิชาหมอดู

    นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาวๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร

    ต่อมาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย

    บุญเพ็งมีคนรักชอบพอมากมายเนื่องจากเป็นคนรูปร่างดี พูดจาไพเราะอ่อนหวาน กับอีกด้าน ก็มีคนไม่ชอบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ศัตรูก็ไม่น้อย ที่สำนักของเขามีหีบเหล็กโบราณ อยู่ถึง ๗ ใบ ช่วงนั้นผู้หญิงได้ไปติดพัน ไปหาตอนกลางคืน และนั่งคุยจนดึกดื่น ก็ต่างตกเป็นทาสสวาทของเขาทั้งสิ้น นานวันเข้าผู้หญิงคนนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอย พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปทีละ ๑ ใบ พฤติกรรมของเขา ที่เล่นบทรักกับผู้หญิงอย่างซาดิสม์ ทารุณ จนขาดใจตาย แล้วเขาจะใช้มีดสับศพเป็นท่อนๆ ยัดใส่หีบเหล็ก นำไปทิ้งลงคลองย่านบางลำภูเพื่อทำลายหลักฐานซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่สุด เหี้ยมโหดในสมัยนั้น
    ก็มีผู้หญิงคนแล้วคนเล่าที่ต้อง มาสังเวยชีวิตให้กับบุญเพ็ง คนสุดท้ายเป็นคุณนาย ที่สามีทอดทิ้ง รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้ว กลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งจะบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา

    ดังนั้นเขาจึงต้อง ฆ่าหญิงคนนั้นเสีย แล้วนำศพหั่นเป็นท่อน ๆ ยัดลงหีบนำไปทิ้งลงคลองอีกเช่นเคย "และเป็นหีบใบสุดท้ายที่มี" ซึ่งหลังจากนั้นเริ่มระแคะระคาย บุญเพ็งจึงลี้ภัยที่รู้ว่าจะมาหาตัว หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา หลังจากนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็น กรรมเวรอะไร ทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงที่หมายปอง และคืนนั้นเองที่ ยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้อย่างละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด เรื่องราวทั้งหมดสืบเนื่องมาจากได้มีชาวบ้านไปทอดแห แล้วเจอหีบทั้ง ๗ ใบ ในนั้นมีซากศพเป็นท่อน ๆ อยู่ในหีบทุกใบ จึงต้องโทษ และถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา

    แต่..................
    มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ เนื่องจากระหว่างที่นายบาปเพ็ง เอ้ย.............บุญเพ็งจะถูกประหารเนี่ย
    ในช่วงประหารชีวิตนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "มึงมีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่

    คราวนี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง
    ฉับ!!!!

    คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม
    เพราะ................ว่าๆกันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง

    ซึ่งว่ากันว่า อาจจะเป็นไพ่ตาย คุณไสย์ครั้งสุดท้ายของเขาเผื่อจะป้องกันชีวิตของเขาได้ครับ

    แต่ผมว่าของดีของบุญเพ็งน่าจะเสื่อมไปนานแล้วละครับ เพราะผู้หญิงกับคุณไสย ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ของดีเช่นคาถา อาคมของเขาจึงเสื่อมด้วยประการฉะนี้

    ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อนนับพันปี

    นับว่าเขาคือ นักโทษคนสุดท้ายที่ได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการบั่นศีรษะ

    และบุญเพ็ง คือ ฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม
    สิ่งที่ทำให้บุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้กระทำความผิดนั้น มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ *กิเลส* ในจิตใจของเขานั่นเอง

    มนต์ดำ คือของนอกรีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความกลัว ความโลภ ความหลง
    และสิ่งที่เขาได้รับเป็นผลตอบแทนจากกรรมของเขา จะเป็นบทเรียนที่สำคัญให้แก่นักเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำนอกรีต


    ภาพนี้ขอแถมครับ
    นาย ยัง หาญทะเล จากวังเปรมประชากรของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ผู้สอนท่ารำหนุมานควานสมุทรให้ (สมัยรัชกาลที่ 6)
    [​IMG]
     
  14. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    สวัสดีท่านสหายธรรม

    ท่านพอที่จักรู้การปลดปล่อยหรือชี้ทางให้กับผู้มาขอหรือสัมเวสีไหม
    นอกจากการกรวดน้ำให้หรือการกล่าวธรรมกับเขา
    เพราะบางคราเราอ่อนล้าที่ช่วยเขาไปมากนัก
     
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    พิจรณาธรรมเรื่องบุญกุศล เรื่องกฏแห่งกรรมให้แจ่มใจ อาศัยเขาเป็นกรรมฐานในแบบเทวตานุสติ เขาจะได้รับธรรม เราจะได้วิปัสนาญาณ

    ฝนตกบ้านเราหลังคาฝาข้างแน่นหนาเขาก็มาอาศัยหลบฝน เราไม่เปิดประตูให้เขาเข้าบ้านเขาเข้าไม่ได้แต่อานิสงค์หลังคาที่ยื่นออกไปจากตัวเรือนบ้านยังคงให้เขาหลบฝนได้อยู่ ฝนหยุดตกเขาก็ไปครับ ในระหว่างเขาอยู่ชายคาเขาก็จะเฝ้าบ้านให้เรา มาดูแลรักษาเราและเมื่อบุญเขาพร้อมเขาก็จะไปตามคติกรรมของเขาเขาทราบกฏแห่งกรรมดี วิญญาณร้ายไกลธรรมไม่มายุ่งกับเราให้เสื่อมครับ ไม่มาขดมยของในบ้านเราหรอกครับ บุญใครบุญมัน กฏแห่งกรรมนี้มันชัดเจน เขาเอาอะไรไปไม่ได้หรอก
     
  16. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    เรื่องเป็นเยี่ยงนี้ท่าน

    เรานี้ได้กางกรดนั่งสมาธินอกบ้าน
    เวลา 24.00 น.
    เมื่อเข้าสูสภาวะของธรรมรมณ์
    ขอใช้คำว่ารู้สึกนะท่าน
    มีผู้มารายล้อมเคหะที่เราอยู่
    แถมสุนัขหอนอีกต่างหาก
    เราก็รำลึกเบิกบุญจากอดีตภพจนถึงปัจจุบันสูเขาเหล่านั้น
    ทก็มีกระแสตอบกลับมาถึงเขาที่รับได้แล้ว
    สักพักก็มาอีกระลอกใหม่
    ก็กระทำเยี่ยงเดิ
    สุขนักหอนบ้างไม่หอนบ้าง
    แต่เรารู้สึกของเขาเหล่านั้นได้ว่ามารอมาขอเรา
    ทุกครั้งที่อุทิศให้ไปก็มีกระแสตอบรับ
    และเราก็กรวดน้ำแบบเจาะจงบุคคล
    หากเอ่ยยามหรือนามสกุลผิดคือกล่าวผิดกระแสตอบรับจักไม่มี
    ก็ไปพิจารณาว่าทำไม
    จึงพบว่าเรากล่าวผิดก็กล่าวใหม่ที่ถูก จึงมีกระแสตอบกลับมา
    ยิ่งอุทิศสู่นรกยิ่งรุนแรง พอๆ กับทั่วสากลโลก
    บ่างคราเราต้องกล่าวธรรมให้เขาเหล่านั้นได้สดับ
    ก็มีกระแสตอบรับกลับมา หมายถึงเห็นพร้องเห็นชอบด้วย
    วันนี้กายเรามิได้อย่ในเพศบรรชิต จึงรู้สึกเหนื่อยล้ายามพลบค่ำ

    อาการนี้ไม่แตกต่างจากครั้งที่เราบวช 7 ราตรีเลย
    เราค้นพบธรรมรมณ์ในราตรีที่ 4
    ดังที่ท่านกล่าวกับเราไว้นั้นแล
    ว่าบรมครูเราจักมา
    มิมีสิ่งใดผิดจากวาจาท่าน
    เราก็กระทำการกรวดน้ำกับท่านผู้มาสู่เรามากมายกว่านี้หลายเท่านัก
    มาเป็นระลอกๆ
    เราก็ให้จนหมด
    สหายและมิตรเราก็อุทิศให้แบบเจาะจงเช่นกัน
    เวลาก็ประมาณ 24.00-02.30
    หลายท่านจักเกิดอาการนอนไม่หลับหรือมีกระแสพลังกับตัวเขา
    บางท่านจิตจักนึกถึงเรา
    วาจานี้เราโทรถามเมื่อสึกกลับมา
    แต่มีท่านหนึ่งป่วยไปเลย
    ซึ่งเป็นหนที่สองที่เขารับบางสิ่งจากไปก็จะป่วยทั้งสองครั้ง
    กายจิตเขาคงปรับไม่ทัน
    เพราะเรากรวดในธรรมรมณ์ย่อมไปอย่างเต็มกำลัง
    ท่านเราก็น้อมสู่ท่านเช่นกันเมื่อได้มีวาสนารำรึกถึง แต่มิบ่อยนัก ตามวาระที่เกิดขึ้น
    มีรู้ว่าท่านจักรับรู้สึกได้ไหม
    หากรับได้โปรดอย่าเป็นจิตอกุศล
    ช่วงนั้นเป็นจิตของเรา
    เรามักนั่งสมาธิ 24.00 น.

    เมื่อสองเดือนก่อนเราก็ออกมานั่งนอกบ้านวันพระเช่นวันก่อน
    แต่โดนลมเพลมพัดเข้าไป
    ดีที่บรมครูท่านมาช่วยขับออกให้
    คือขับออกมาเป็นอ๊วกลม
    เลยเข็ดไม่กล้าอีก
    พอสึกออกมา
    เมื่อวันก่อนจึงออกมากางกรดต่อและก็จักนั่งทุกวัน
    เราพอรู้วิธีการป้องกันแล้ว

    เมื่อเขามาขอเราก็ให้
    ทีนี้มามากก็เลยรู้สึกล้า
    หมายถึงกรวดแผ่ให้ในขณะที่อยู่ในธรรมรมณ์นะ
    หากไม่ให้ก็กระไรอยู่
    เมื่อเขามาอยู่รายล้อมก็ต้องให้
    ไม่ได้กลัวนะเพราะเราสิ้นความกลัวผีในราตรีที่ 4 ที่บวชแล้ว

    (คือเมื่อก่อนเราเป็นคนกลัวผี แค่ก่อนบวชเราไปนอนที่กุฎิเราก็พบแล้ว พอรุ่งเช้าบวชเสร็จ
    เราก็เอากรดมากลางอยู่หน้ากุฎิเลย อยู่กับมันเลย สามคืนแรกบางขณะก็นอนคลุ่มจีวรเลยล่ะ นึกแล้วสมเพศตนเอง พอได้ธรรมรมณ์ แล้วสิ้นเลยความกลัว เป็นมิตรเลย ตาสว่าง มองแยกแยะในที่มืดได้เลยเดินในป่าที่อยู่ไปห้องน้ำได้อย่างเบิกบาน ไม่เหมือนเมื่อก่อน 3 วันแรก น่าสมเพศตนเองนะท่าน 555+ วันนี้เราสิ้นแล้วความกลัว
    พอไม่กลัวนี่แหละมาเยอะเลย)
    เมื่อเขามาเราก็ต้องให้ แล้วก็แถมไปในนรกในสากลโลก ในสรรพสัตว์ ก็เลยอ่อนเพลีย
    ต้องรอการนั่งสมาธิรอบใหม่จึงดีขึ้น หลับเป็นตายเลยล่ะท่าน


    เราก็มิรู้ดอกว่าทำไมท่านเหล่านั้นจึงมามากมายนัก จนมีผู้อื่นสงสัยในตัวเราว่าเราเป็นสายสีดำไปก็มี แต่เราไม่ใส่ใจดอก เรามีที่ให้เขายืน ไม่ผลักเขาไปดอก แม้นจักเป็นผี เป็นมาร เราก็ให้ เมื่อเขามาหาเราด้วยความต้องการ

    ท่านอาภากรท่านผู้อยู่นำหน้าเราพอจักแนะนำหรือไขปัญญาให้เราบ้างได้ไหมว่าพอมีวิธีการใดบ้างที่จะไม่ให้อ่อนล้า
    เราผู้ใหม่ต่อการศึกษาจึงด้อยปัญญานัก
    วานท่านเมตตาด้วย

    weruwan-we@hotmail.com

    เวฬุวัน ว.มุจลินทร์
     
  17. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ไม่แผ่เมตตาในขณะกรรมฐานนะครับ ให้แผ่เมตตาตอนจบปฏิบัติเอาบริกรรมทีเดียว
    ในพระกรรมฐานให้บริกรรมอื่น ระลึกรู้เรารักสุขเกลียดทุกข์สัตว์อื่นก็เช่นกัน ระลึกแค่นี้ การบริกรรมสัพเพสัตตา ในกรรมฐานเป็นเมตตากรรมฐานก็ดีอยู่ แต่เมตตาในทางนี้ต้องหมายถึง พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความนิ่งเฉยยอมรับความเป็นจริงความเปลี่ยนแปลงของโลก สาระสัคัญของสมถะต้องหมายถึงนิ่งเป็นหนึ่งเดียว การแผ่เมตตาเป็นการส่องจิตส่งพลังงานออกสู่ภายนอก โดยเปล่าประโยชน์ ควรหันกลับมาพิจรณาธรรมอื่น เช่นพิจรณาอัตภาพ ให้เห็น พลังงานจะถูกใช้ไปกับปัญญาแบบเต็มกําลัง จะเข้ากระแสธรรม รู้เห็นแบบนี้มีผลมาก เมื่อออกกรรมฐานจะอิ่มเอม กําลังและผลของกรรมฐานจะเกิดจริงๆ เป็นมรรค ผล ที่จับต้องได้แผ่เมตตาให้แบบพรหมวิหาร 4 กําลังจะมากเป็นผลที่เหมือนผลไม้ที่ติดตัวให้ยังงัยก็ไม่หมด เพราะต้นมันงอกแล้ว เขาจะได้รับเต็มกําลัง การเมตตสัตว์เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญแต่ถ้าเราไม่ได้ชิมผลของการปฏิบัติเป็นการให้ลมแค่นั้น วิญญาณรับทราบว่าเรามีเจตนาดีในการให้ให้เขา แต่การให้มันไม่มีผลที่เสพได้ เพราะแม้แต่เรายังไม่ได้เสพกินเลย


    ในขณะท่านบวชสมเด็จท่านมาปรากฏให้ผมเห็น 1 ครั้ง เป็นของท่านนั่นหล่ะครับ ถึงนะครับ ช่วงนั้นผมส่องจิตขอให้ท่านได้มรรคผลตลอดเวลาครับ ระลึกถึงอยู่ และก็เป็นเรื่องที่แปลกอย่างหนึ่ง คนอื่นๆที่รู้จักเขาไปเบิกองคืสมเด็จตามกันมาก และก็มีคนมาไหว้พระองค์ที่บ้านผมอีกด้วยสิ กลายเป็นของสาธารณะไปซะแล้ว หนึ่งในนั้น มีคนหนึ่งถวายไก่ 1 คู่ ฉัตร 9 ชั้น 1 คู่ และ สมเด็จพระเอกาทศรถไว้คู่สมเด็จท่านด้วย หิ้งแทบแอ่น คิดว่าสายครูอาจารย์คงไม่ต้องกังวลหล่ะครับถึงพระองค์แล้ว ยินดีด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  18. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ไม่แผ่เมตตาในขณะกรรมฐานนะครับ ให้แผ่เมตตาตอนจบปฏิบัติเอาบริกรรมทีเดียว
    ในพระกรรมฐานให้บริกรรมอื่น ระลึกรู้เรารักสุขเกลียดทุกข์สัตว์อื่นก็เช่นกัน ระลึกแค่นี้ การบริกรรมสัพเพสัตตา ในกรรมฐานเป็นเมตตากรรมฐานก็ดีอยู่ แต่เมตตาในทางนี้ต้องหมายถึง พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความนิ่งเฉยยอมรับความเป็นจริงความเปลี่ยนแปลงของโลก สาระสัคัญของสมถะต้องหมายถึงนิ่งเป็นหนึ่งเดียว การแผ่เมตตาเป็นการส่องจิตส่งพลังงานออกสู่ภายนอก โดยเปล่าประโยชน์ ควรหันกลับมาพิจรณาธรรมอื่น เช่นพิจรณาอัตภาพ ให้เห็น พลังงานจะถูกใช้ไปกับปัญญาแบบเต็มกําลัง จะเข้ากระแสธรรม รู้เห็นแบบนี้มีผลมาก เมื่อออกกรรมฐานจะอิ่มเอม กําลังและผลของกรรมฐานจะเกิดจริงๆ เป็นมรรค ผล ที่จับต้องได้แผ่เมตตาให้แบบพรหมวิหาร 4 กําลังจะมากเป็นผลที่เหมือนผลไม้ที่ติดตัวให้ยังงัยก็ไม่หมด เพราะต้นมันงอกแล้ว เขาจะได้รับเต็มกําลัง การเมตตสัตว์เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญแต่ถ้าเราไม่ได้ชิมผลของการปฏิบัติเป็นการให้ลมแค่นั้น วิญญาณรับทราบว่าเรามีเจตนาดีในการให้ให้เขา แต่การให้มันไม่มีผลที่เสพได้ เพราะแม้แต่เรายังไม่ได้เสพกินเลย



    ในขณะท่านบวชสมเด็จท่านมาปรากฏให้ผมเห็น 1 ครั้ง เป็นของท่านนั่นหล่ะครับ ถึงนะครับ ช่วงนั้นผมส่องจิตขอให้ท่านได้มรรคผลตลอดเวลาครับ ระลึกถึงอยู่ และก็เป็นเรื่องที่แปลกอย่างหนึ่ง คนอื่นๆที่รู้จักเขาไปเบิกองคืสมเด็จตามกันมาก และก็มีคนมาไหว้พระองค์ที่บ้านผมอีกด้วยสิ กลายเป็นของสาธารณะไปซะแล้ว หนึ่งในนั้น มีคนหนึ่งถวายไก่ 1 คู่ ฉัตร 9 ชั้น 1 คู่ และ สมเด็จพระเอกาทศรถไว้คู่สมเด็จท่านด้วย หิ้งแทบแอ่น คิดว่าสายครูอาจารย์คงไม่ต้องกังวลหล่ะครับถึงพระองค์แล้ว ยินดีด้วย<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ไหนๆกระทู้ก็ถูกดันขึ้นมาขอลงก็อปเรื่องการสนทนาในโพสอื่นมาให้อ่านครับเห็นเกี่ยวกับเสด็จเตี่ยอยู่ โพสไว้เมื่อ 2 วันก่อน
    รัชกาลที่ 6 เป็นน้องต่างมารดากับกรมหลวงชุมพรครับ เป็นลูกของรัชกาลที่ 5เหมือนกัน อายุมากกว่ากันประมาณ 1 เดือน ทั้งคู่เรียนโรงเรียนนายเรือ
    ความจริงรัชกาลที่ 6 นี่เป็นรัชทายาทอันดับที่ 2 ผู้สืบทอดราชสมบัติจริงๆคือเจ้าฟ้า วรุณหิศแต่เจ้าพ่อพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ก่อนในขณะที่รัชกาลที่ 6 ทรงศึกษาโรงเรียนนายเรือที่อังกฤษ ถ้าไม่ทรงสิ้นพระชนม์ บิดาทางทหารเรือจะเป็นรัชกาลที่ 6 ด้วยเหตุว่ามีพระโอรสศึกษาวิชาการทหารเรือเพียง 2 พระองค์เท่านั้น และศักดิ์ของรัชกาลที่ 6 มีมากกว่ากรมหลวงชุมพร

    การนับศักดิ์นั้นนับตามฝ่ายพระมารดา รัชกาลที่ 6 เป็นลูกที่เกิดจากพระมเหสี
    กรมหลวงชุมพรเป็นลูกที่เกิดจากเจ้าจอมพอมีบุตรจึงเป็นเป็นเจ้าจอมมารดาในภายหลัง ถ้ากรมหลวงชุมพรท่านไม่ได้เรียนดรงเรียนนายเรือ ผู้บุกเบิกวิชาการทหารเรือจะเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ เจ้าฟ้ามหิดล พระราชบิดาของรัชกาลที่ 9 นั่นเอง
    บิดาทางทหารเรือจะมี 3 พระองค์นี้
    1.เจ้าฟ้าวชิราวุธ รัชกาลที่ 6
    2.กรมหลวงชุมพร
    3.กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระราชบิดา

    แต่ฟ้าส่งบางพระองค์มาเป็นกษัตริย์ ส่งบางพระองค์มาเป็นครูสมุทร ส่งบางพระองค์มาเป็นพระราชบิดากษัตริย์ถึง 2 พระองค์ ลิขิตฟ้าถูกกําหนดมาเช่นนี้

    ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้ง 2 พระองค์ พระฌานของรัชกาลที่ 6 แน่นมากๆที่พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม การเดินทางวิหารคตบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ก็ยังสามารถสําผัสพระฌานรัชกาลที่ 6 ได้อยู่แน่นหนาทีเดียว

    พระอัฐิของพระบาทสมเด็จ รัชกาลที่ 6 ส่วนหนึ่งประดิษฐานอยู่ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์

    พระอัฐิของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ส่วนหนึ่งประดิษฐานอยู่แหลมปู่เจ้า สัตหีบ ชลบุรี

    [​IMG]

    นั่งข้างรัชกาลที่ 5 ฝั่งซ้ายคือ รัชกาลที่ 6
    ยืนนับจากขวาที่ 6 กรมหลวงชุมพร
    ชุดนี้ไม่มีกรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเป็นชุด 2 หลังจากนี้10 ปี

    [​IMG]

    ที่ 4 จากขวารัชกาลที่ 6
    ที่ 2 จากขวากรมหลวงชุมพร
    ชุดนี้ไม่มีกรมหลวงสงขลานครินทร์ ท่านเป็นชุด 2 หลังจากนี้10 ปี
    เจ้าฟ้ามหิดลนี่เป็นชุดเดียวกับพระองค์เจ้ารังสิตภายหลังพระองค์เจ้ารังสิตหันมสนใจวิชาการแพทย์และได้ชักชวนเจ้าฟ้ามหิดลหันมาให้ความสนใจวิชาการแพทย์ ท่านเลยกลายเป็นพระบิดาแห่งวงการแพทย์ไปอีกพระองค์

    คิดถึงทั้ง 3 พระองค์ นําตาไหลครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  20. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    อันนี้โพสไว้น่าจะ 2 อาทิตย์ก่อน
    ตั้งแต่ก่อตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี มีพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น 9 พระองค์
    มีเจ้าฟ้าโดยประมาณ 50 พระองค์นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1
    มีเจ้าฟ้าที่ต่อมาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน 5 พระองค์

    แต่มีเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ใช่ทั้งเจ้าฟ้า และเจ้าแผ่นดิน
    แต่ทรงเป็นเจ้าสมุทร และองค์บิดาทางทะเล และที่แปลกกว่านั้นคือ ไม่เหมือนตําแหน่งเจ้าฟ้า และ เจ้าแผ่นดิน คือ ทรงเป็นเจ้าโดยประชาชน<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...