แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    ก็ขออนุโมทนากับที่มาจากคุณ nontaburi และคุณ frankenstine ด้วยครับ..รวมไปถึงคุณ PITINATTH73 ที่ต่อยอดบุญนี้ให้ผมและเพื่อนๆได้ทราบอีกทอดครับ...(^_^)...
     
  2. จุฬาลงกรณ์

    จุฬาลงกรณ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณสำหรับธรรมะดีๆเช่นนี้ครับคุณหนุ่มเมืองแกลง...
     
  3. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    แจ้งเรื่องการ Update รายนามผู้ร่วมทำบุญพระชุด มงคลชีวิต​
    ทางคณะกรรมการเราได้ทำการ update ไปไว้ที่กระทู้
    {{{แนะนำพระดี-เมตตา-พารวย-ชีวิตก้าวหน้า "รุ่นมงคลชีวิต" รายได้เพื่อการกุศล}}}
    จะอยู่ที่หน้าแรก post ที่ 4 ครับ ทางเราจะ Update ที่นั่นที่เดียวครับผม

    จึงเรียนมาเพื่อทราบครับ
    ขอบพระคุณมากครับ
     
  4. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    แก้ไขให้แล้วครับท่านพี่ อุ้ย เรียบร้อยแล้วครับพี่เดชา :cool::cool::cool:
     
  5. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรมทุกๆท่าน
     
  6. ภูวดิท

    ภูวดิท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,050
    ค่าพลัง:
    +8,086
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ เช่นกันครับ
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    แม้ว่าในแต่ละวัน มนุษย์บางกลุ่มจะแข่งขันกันอวดวัตถุที่ได้มา
    เพื่อแสวงหาการยอมรับและชื่นชม ในสังคมของคนกลุ่มหนึ่ง
    แต่เชื่อไหมว่า สุดท้ายแล้ว ก็จะเอาอะไรไปไม่ได้เลยซักอย่าง
    และต้องจากไปมือเปล่า เหมือนตอนที่เราเกิดมา ไม่ผิดเพี้ยน

    ตลอดวงรอบชีวิตเรา เราอาจจะได้ครอบครองทรัพย์สินหลายอย่าง
    หลายๆครั้ง เราใช้วัตถุเหล่านั้นเป็นเครื่องอวดฐานะโดยหวังให้คนอื่นอิจฉา
    จนหลายคราดูน่าสมเพช และน่าสงสารในความหลงระเริง

    มนุษย์บางประเภท มีความสุขกับจำนวนวัตถุที่ได้มา
    แต่ผู้มีปัญญา มีความสุขกับจำนวนวัตถุที่ปล่อยวาง


    มนุษย์เราเข้าใจว่า ..............................
    เราคือเจ้าของ ในวัตถุและธรรมชาติ ตามอำนาจเงินที่สรรหามาได้
    แต่ใครบางคนบอกว่า... จริงๆแล้ว เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย

    วันหนึ่งข้างหน้า ถ้ามันไม่จากเราไป เราก็ต้องจากมันไป
    ไม่ว่าจะขึ้นไปสูงสุดแค่ไหน สุดท้ายไม่พ้นเดินลงหลุมทุกคน
     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ทุกครั้งที่คิดว่า พรุ่งนี้เราจะยังมีลมหายใจอยู่ไหม
    ทำให้คิดได้ว่า .. วันนี้ยังมีหลายอย่างยังไม่ได้ทำ

    และไม่แน่ใจอีกว่า ตลอดวงรอบของชีวิตจะมีโอกาสได้ทำหรือไม่
    วงรอบชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นนัก เหมือนสายลมที่พัดผ่านและก็จากไป

    สำนึกได้ดังนี้ ทำให้สังวรว่า....

    ไม่ควรไปเสียเวลา กับเรื่องที่ไม่มีค่า
    และไม่ควรเสียเวลา กับคนที่ไม่ควรเสีย
    พึงหลีกเลี่ยง การคบคนพาลเป็นสหาย
    การเลือกคบเพื่อน ที่เป็นปิยะมิตร
    จึงนับว่าเป็น มงคลแห่งชีวิต โดยแท้
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ก่อนที่จะเข้าใจชีวิต ต้องเรียนรู้การรอคอยก่อน ใครคนหนึ่งว่าอย่างนั้น
    เคยสังเกตไหมครับว่า... ถ้าเป็นงานของเราหรือเป็นเรื่องของเรา
    เราจะเร่งร้อนทั้งตนเองและคนรอบข้าง ราวกับไฟประลัยกัลย์แผดเผา
    แต่ถ้าเป็นงานของเขา เรื่องของเขา เรามักจะให้เขาคอย และคอย

    เรื่องของคนอื่น เราไม่เคยเห็นความงดงาม ไม่เคยเห็นคุณค่ามากนัก
    แต่เรื่องของเรา ใครไม่เห็นด้วย ใครขัดใจ เป็นด่ากราดใส่ร้ายเสียดสี
    คนประเภทนี้ มีมากในสังคมวัตถุนิยม ทั้งนี้มาจากตัวกูของกูทั้งนั้น

    วงรอบของชีวิต มีจังหวะของมัน จะไม่คงที่ตลอดเวลา
    บางครั้งเราต้องเรียนรู้ที่จะเร็ว แต่ในบางขณะเราต้องเรียนรู้ที่จะรอ
    และในบางเวลา เราต้องรู้รักษา คำว่าให้อภัย
     
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ตลอดวงรอบของชีวิต ที่หมุนไปไม่หยุดยั้งในแต่ละจังหวะชีวิต
    หลายครั้ง มันสวยงามจนเราอยากหยุดวงล้อไว้ที่นั่น ไม่อยากให้มันหมุนต่อ
    แต่บางเวลา เราอาจเหนื่อยล้า หมดแรงไปกับแสงแดดที่แผดกล้า ร้อนเร่า
    หลายคราที่เราสะดุดอุปสรรค์ ที่ขวางเราไว้ ราวกับวิ่งมาอย่างสวยงามแล้วสะดุดหินใหญ่ จนล้มคว่ำ ล้มหงาย แทบจะนอนตายสิ้นชีวิต ไปกลางแดดที่แผดเผา
    แต่สุดท้าย เราก็จะลุกขึ้นยืนได้เช่นทุกครั้งที่ล้ม
    แล้วจากนั้น เราก็จะเดินทางต่อไปให้ครบวงรอบชีวิต

    ตลอดเวลา ที่วงรอบของชีวิตดำเนินไป
    ควรเลือกคบมิตรสหาย ที่เป็นกัลยาณมิตร
    หลีกเลี่ยงการคบคนพาล ที่จะทำให้ชีวิตต่ำลงและจมไปในกิเลส
    ควรเลือกสถานที่อยู่ที่เหมาะที่ควร พึงหลีกเลี่ยงจากสถานที่อโคจร
    พยายามรักษาวงรอบของชีวิต ให้ดำเนินไปตามมงคลชีวิต
    จึงจะนับได้ว่า ใช้ชีวิตได้ถูกต้อง ตามครรลองของมัน
     
  11. โอ ท่าซุง

    โอ ท่าซุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,291
    ค่าพลัง:
    +8,435
    สวัสดียามเช้าครับพี่หนุ่มฯพี่เดชาและทุกท่าน ขอบคุณเรื่องราวดีๆมาเตื่อนสติกันเสมอๆครับ:cool:
     
  12. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณหนุ่ม และ ทุกท่าน สบายดีกันหรือเปล่าค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความ และ ข้อคิดดีๆ

    วันนี้คุณหนุ่มมาเร็ว หรือ ว่าดิฉันมาผิดเวลา

    พึ่งกลับมาจากการเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวตามประเพณีทางนี้ ฝ่าพายุฝน และ พายุหิมะ
    แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยค่ะ
     
  13. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    สัมผัสที่ ๖ ก็คือความสามารถในการรับรู้
    ที่นอกเหนือหรือพิเศษไปจากระบบการรับ

    สัมผัสปกติทั้ง ๕ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหมด (ถ้าไม่บ้าตามบางตำรา
    ซึ่งมี สัมผัสที่ ๗ สัมผัสที่ ๘ ๙ ๑๐) ภาษาอังกฤษ มีศัพท์อีกคำหนึ่งซึ่งใช้เรียกความ
    หมายคล้ายๆกันคือ ESP (extra sensory perception)

    ที่พบกันมาก พบกันบ่อย ก็คือ ลางสังหรน์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก่อนที่จะมีอะไรเกิด
    ขึ้นจริง แต่รายละเอียดและความแม่นยำของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนเป็นลักษณะ
    การผุดรู้ขึ้นเองในความคิด บางคนก็เห็นในฝัน บางคนที่พิเศษหน่อยก็สามารถเห็น
    ภาพและได้ยินเสียงทั้งที่ยังตื่นอยู่ก็มี ถือว่าเป็นหูทิพย์ ตาทิพย์ไป

    สัมผัสที่ ๖ ถือว่าเป็นการรับรู้ด้วยจิตหรือเปล่า? จริงๆแล้วการรับรู้ทั้งหมดต้องรับ
    รู้ด้วยจิตทั้งสิ้น แต่สัมผัสที่ ๖ เป็นการรับรู้ที่ไม่ได้รับผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้ง ๕ อัน
    ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง คงต้องถือว่าเป็นการรับสัมผัสด้วยจิตโดยตรง

    สัมผัสที่ ๖ น่าจะมีกันได้ทุกคน และน่าจะฝึกกันได้ด้วย จริงๆแล้วน่าจะขึ้นกับความ
    สามารถในการใส่ใจในรายละเอียด ความไวของจิตและระบบรับสัมผัส ถ้าเป็นคนที่
    ละเอียดสนใจในสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวมาก ช่างคิด ช่างจินตนาการ พวกนักศิลป์
    หรือกวี ก็มีแนวโน้มที่จะมีสัมผัสที่ ๖ มาก ผู้หญิงจะพบว่ามีสัมผัสที่ ๖ มากกว่าผู้ชาย

    มดมีสัญชาติญานการรู้ล่วงหน้าว่าฝนจะตก คนบางคนก่อนที่ฝนจะตกก็รู้ได้เช่นกัน
    ซึ่งอาจจะเนื่องจากจิตและระบบประสาทมีความไวเป็นพิเศษ ต่อลักษณะลมและความ
    ชื้นในอากาศ บางคนจะมีความรู้สึกไวเป็นพิเศษกับความรู้สึก อารมณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ
    คนที่สนิทมีความผูกผันทางจิตใจกันมากๆ เช่น แม่กับลูก พี่น้องฝาแฝด สามีภรรยา
    เวลาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีกับอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งจะทราบได้ในทันที กรณีของสามี
    ภรรยา ก็มีเรื่องที่แปลก คือเวลาที่ภรรยาตั้งท้อง บางทีภรรยาไม่แพ้ท้องแต่สามีเป็น
    คนแพ้ท้องแทน หรือบางทีก็แพ้ท้องกันทั้ง ๒ คน


     
  14. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    แดนลับแล หมายถึงเขตแดนที่คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ ไม่สามารถมองเห็นได้
    แม้จะใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็ไม่สามารถมองเห็นได้
    เมื่อมองเห็นไม่ได้ตามปกติทั่วไป จึงถูกเรียกว่า “แดนลับแล

    แดนลับแล อาจเรียกให้เข้าใจได้ง่ายว่า “แดนต่างมิติ” เป็นแดนที่อยู่คนละมิติกับโลกมนุษย์เรา...
    คำว่าคนละมิติ ก็คือ รูปธรรม หรือรูปกาย หรือวัตถุธาตุใดๆ รวมถึงจิตวิญญาณอันอาศัยรูปกายนั้นๆ
    หมุนวนอยู่ในย่านความถี่คนละย่านความถี่กัน ดังนั้น แม้จะซ้อนทับกัน ณ ตำแหน่งเดียวกัน เวลาเดียวกัน
    ก็ไม่ชนกัน ไม่รบกวนกัน ไม่ทำให้กันและกันเสียรูปร่างไป
    ทว่า คลื่นความถี่ที่อยู่ในย่านใกล้เคียงกัน (หรือช่วงรอยต่อของมิติ) อาจรบกวนกันได้... (อย่าเพิ่งงงครับ)

    สายตามนุษย์เรา มองเห็นวัตถุหรือแสง ได้ในย่านความถี่ขอบเขตหนึ่ง หู ฟังเสียงหรือคลื่นเสียงได้
    ในย่านความถี่ขอบเขตหนึ่ง.... สัตว์ ก็มีขอบเขตย่านความถี่ของมันเอง เช่นกัน...
    ที่เรามองไม่เห็น ใช่ว่ามันไม่มี ที่เราไม่ได้ยิน ก็ใช่ว่ามันไม่มี...
    มันมีอยู่ แต่เลยความสามารถของประสาทสัมผัสธรรมดา ที่มนุษย์จะรับรู้ได้

    ดังนั้น หากเราต้องการเห็น แดนรวมถึงวัตถุที่อยู่ในย่านความถี่อื่น เราต้องอาศัยเครื่องมือคือจิต
    นั่นคือ ต้องฝึกจิตจนเราเปลี่ยนย่านความถี่ของจิตเป็นย่านความถี่ใดๆ ได้
    ทำจิตให้เป็นตัวรับ หรือ Receiver ... หากเราต้องการรู้เห็นย่านความถี่ใด ก็จูนจิตให้ตรงกับย่านความถี่นั้นๆ

    แดนลับแล มีมาก เช่น นับแต่แดน(ภพภูมิ) ที่อยู่ย่านความถี่ต่ำ (ภูมิหยาบ)
    ก็ตั้งแต่ นรก, เปรต ผี อสุรกาย, ดิรัจฉาน มนุษย์, สัตว์กึ่งเทพ, เทวดา, พรหม, เป็นต้น

    แยกย่อยออกไปอีก แม้นรก ก็มีหลายย่านความถี่
    มนุษย์ ก็มีหลายย่านความถี่
    เทวดา ก็มีหลายย่านความถี่
    พรหม ก็มีหลายย่านความถี่

    ที่อยู่บนโลกใบเดียวกันนี้ ความจริง แดนมนุษย์ มิใช่มีแค่ที่เราเห็นอยู่
    ยังมีแดนมนุษย์ซ้อนทับกับเราอยู่ เป็นคนเหมือนกันกับเรา
    แต่เรามองไม่เห็น เพราะอยู่คนละย่านความถี่กัน ...
    ที่มักจะได้ยินเรียกกันว่า ผีบังบด บ้าง เมืองลับแล บ้าง นั่นแหละ


     
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วิธีแก้การผูกมัดจิตและแก้ของที่กระทำทุกอย่าง

    ให้ นำของที่เก็บไว้ทุกอย่างออกมาแล้วจุดธูป 5ดอก
    แล้วประนมมือสวดพระคาถาแก้ ว่า---

    สมุหะเนยยะ สะมุหะนะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง พัทธเสมายัง สะมุหะติตัพโพ เอวัง เอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทธคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดหาย นะเคลื่อน โมคลาย พุทธหาย ธาแก้สวาหะ สวาหาย
    เมื่อท่องพระคาถาแก้ครบ 3จบแล้ว ให้นำสิ่งของเหล่านั้นไปโยนทิ้งในแม่น้ำที่มีน้ำไหล ขณะโยนทิ้งให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
    เป็นอันเสร็จพิธีการแก้เพียงเท่านี้


     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ไปอ่านพบมา เห็นว่าเป็นเรื่องดีกับแนวการปฏิบัติ

    ขอขอบคุณ เจ้าของบทความด้วยครับ


    อย่างไรที่แปลว่า ไม่ยึดติด
    นี่คือคำที่กำกวมในนักภาวนา ที่ว่า ไม่ยึดติด หมายความว่าอย่างไรกัน
    ผมจะยกตัวอย่างทางโลกให้เข้าใจในเรื่องนี้

    สมมุติ ว่า ท่านต้องการจะติดรูปภาพที่ฝาผนังบ้าน ท่านต้องมีรูปภาพ มีฝาผนังบ้าน มีตะปู มีฆ้อน เมื่อท่านหาที่ได้แล้ว ท่านก็ใช้ฆ้อนตอกตะปูเข้ากับผนังบ้านทันที เมื่อตะปูถูกตอกติดดีแล้วกับฝาผนัง ท่านก็แขวนภาพได้ อาการที่ภาพถูกแขวนที่ฝาผนัง โดยไม่ตกลงมาที่พื้น นี้คือ การที่รูปภาพมีการ ยึดติด กับผนังบ้านเรียบร้อยแล้ว

    ใน ทางธรรมชาติของจิตใจ เมื่อมีแรงกระทบผ่านเข้ามาทางอายตนะ แล้วผ่านมาที่มโนทวารที่แรงพอ เปลือกอวิชชาจะสั่นไหว จะปล่อยพลังงานดำมืดที่เรียกกันว่า โมหะออกมา เมื่อโมหะถูกปล่อยออกมา และ คนก็ไม่มีกำลังของสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นในจิตใจพอ อำนาจของโมหะจะแรงกว่ากำลังจิต ทำให้จิตถูกครอบงำจากโมหะนั้นกลายเป็นจิตที่ดำมืดที่ไร้แรงต้านทาน จิตที่ดำมืดจะถูกอำนาจของ.ตัณหา ดึงให้ไปเกาะติดกับกิเลสที่เกิดขึ้น จากอวิชชาทันที นี่คือ การยึดติดในจิตใจ ซึ่งแปลง่าย ๆ ก็คือ จิตไปเกาะติดกับกิเลสด้วยอำนาจของตัณหา

    ผลของจิตที่ไปเกาะติดกับ กิเลสด้วยอำนาจของตัณหา คน ๆ นั้นจะสูญเสียความรู้สึกตัว
    สูญเสียการควบคุมอารมณ์ สูญเสียการควบคุมร่างกาย ทำให้เป็นคนขาดการยั้งคิดไปทันที
    ทำอะไรออกมาตามอำนาจของกิเลสที่เกาะติดกับจิตนั้น

    ส่วนการไม่ยึดติดนั้นจะมีอาการดังนี้
    เมื่อ เปลือกอวิชชาสั่นไหวและปล่อยพลังงานออกมา แต่จิตที่มีกำลังแห่งสัมมาสมาธิทีตั้งมั่น อำนาจของพลังงานที่อวิชชาปล่อยมา จะไม่สามารถเข้าครอบงำจิตได้ เพราะกำลังแห่งสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่ออวิชชาครอบงำจิตไม่ได้ ตัณหาก็ไม่สามารถจะลากพาเอาจิตไปไหนได้ จิตจะตั้งมั่นเด่นสง่าอยู่อย่างนั้น โดยที่กิเลสทำอะไรจิตไม่ได้เลย และกิเลสก็จะสลายตัวลงไปตามธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ของเขาเอง และจิตที่มีสมาธิตั้งมั่น ก็จะเห็นการสลายตัวไปของกิเลส อันทำให้เกิดภาวนามยปัญญาที่เห็นกิเลสเป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา

    ท่านจะเห็นว่า กิเลสนั้นจะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะที่แรงพอ นี่คือเหตุ
    ที่อย่างไรก็ต้องเกิด แต่ว่า ถ้าคน ๆนั้นมีสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น จิตก็จะสามารถเอาชนะอำนาจของกิเลสได้เอง
     
  17. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    อ่านๆ ดูแล้ว ตัวเองเป็นคนที่มีสัมผัสที่ ๖ หลายรูปแบบแตกต่างกัน ต่างเวลา ตามที่คุณหนุ่มว่ามา
    ถ้ามีเหตุการณ์ไม่ดีจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใกล้ตัว ไกลตัว หรือภัยธรรมชาติ
    จะมีอาการปวดหัว หรือ ไม่ก็ปวดท้อง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

    เมื่อไม่นานมานี้ วันนั้นอยู่บ้านคนเดียวตอนหัวค่ำประมาณทุ่มเศษๆ อยู่ๆก็ปวดหัวคลื่นไส้ต้องนอนอย่างเดียว สามีกลับมาบ้านตอน 3 ทุ่มก็เจอดิฉันนอนและก็บ่นว่าอย่ามาใกล้ รู้สึำกไม่ค่อยสบายมีอาการแปลกๆ
    รุ่งเช้าขึ้นมาถึงรู้ว่า มีการยิงกันตายที่โบสถ์ใกล้บ้านเวลาประมาณทุ่มครึ่ง
    ด้วยความที่ไม่สบายในเวลานั้นก็นอนอยู่ในบ้านเลยไม่รู้ความเป็นไปภายนอก ทั้งที่เพื่อนบ้านบอก รถตำรวจมาประมาณ 20 คัน

    ตอนที่สามีมาถึงบ้าน เค้าก็ไม่รู้อะไรเช่้นกันเพราะตำรวจไปกันหมดแล้ว

    ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องไปรับรู้สิ่งแบบนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2010
  18. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    สวัสดีครับ พี่หนุ่ม และทุกท่าน ขอให้มีความสุขกับวันหยุดนี้มาก ๆ นะครับ
     
  19. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เทคนิคสำรวจการเกร็งร่างกาย + เทคนิคการชำเลืองจิต - มุมมือใหม่


    ***********

    1..เทคนิค สำรวจการเกร็งร่างกาย ก่อนการลงมือฝึกฝน

    เทคนิคนี้ จากหลวงพ่อวิโมกข์ ( Vimokkha Dhamma:: วิโมกขธรรม )
    หลวงพ่อท่่านสอนว่า ก่อนการลงมือปฏิบัติ ให้สำรวจร่างกายก่อนว่าส่วนใดมีการเกร็งบ้าง
    การสำรวจนี้ก็เหมือนการมองเข้าไปค้นหาตรง ๆ ถ้าส่วนใดมีการเกร็งก็ผ่อนคลายลง
    เมื่อเกิดการเกร็งมักจะเกิดตรงบริเวณหัวไหล่ คอ กระดูกสันหลัง ท่านั่งที่ไม่เข้าที่ ยังไม่
    สบายพอ นี่ก็ทำให้เกร็ง เมืี่อพบการเกร็ง ก็ให้ปรับผ่อนให้หายเกร็งก่อน แล้วจึงลงมือฝึกต่อไป

    หมายเหตุ หลวงพ่อวิโมกข์ ท่านสอนเทคนิคนี้ก่อนการทำอาณาปานสติ

    ******************

    2..เทคนิค การชำเลืองจิต ก่อนการลงมือฝึกฝน

    เทคนิคนี้ จากหลวงพ่อโพธินันทะ ที่อาศรมศานติ ปทุมธานี คลอง 13
    หลวงพ่อสอนว่า ให้ชำเลืองดูจิตใจ เหมือนวัวแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้า
    เมื่อเราชำเลืองมองเข้าไปในจิต ก่อนการลงมือฝึกฝน
    ก็คือการมองเข้าไปตรง ๆ แบบจงใจมอง
    แต่การตั้งใจมองแบบนี้ จะมองไม่นาน
    มองเพื่อสำรวจจิตใจ ก่อนว่าอยู่ในสภาวะที่ยังดีอยู่ไหม ยังรู้สึกตัวดีอยู่ใหม
    พอเราชำเลืองมองเพียง 1 หรือ 2 วินาทีเท่านั้น เราก็จะรู้สภาพจิตใจของเราได้ทันที
    แล้วทีนี้ เราก็ไม่ต้องชำเลืองมองอีก เราก็ปฏิบัติต่อไปได้เลย

    เมื่อเราชำเลืองมองตรง ๆ เข้าไปในจิตเพียง 1 หรือ 2 วินาที เพียงสั้น ๆแบบนี้
    ผลของมัน จะทำให้เราที่เป็นมือใหม่สามารถรับรู้สภาวะจิตใจต่อไปได้เอง โดยที่ไม่ต้อง
    ตั้งใจมอง ทำให้เราก็สามารถฝึกต่อไปด้วยสภาวะแห่งความรู้สึกตัว สบาย ๆ ได้ตามปรกติต่อไป

    ถ้าท่านฝึกไปนาน ๆ แล้วสามารถรับรู้สภาพของจิตใจได้
    โดยไม่ต้องตั้งใจมองแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ชำเลืองมองแบบนี้ก่อนการลงมือฝึกก็ได้ครับ
     
  20. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

    เมื่อท่านเข้าใจหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว
    และได้ลงมือฝึกฝนการปฏิบัติในรูปแบบไปสักระยะหนึ่ง
    ขอให้ท่านสังเกตตนเองในขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติในรูปแบบอยู่นั้นว่า

    1.ลักษณะการรับรู้สภาวะต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ทางกาย ทางตา ทางหู
    2.ลักษณะอาการของสภาพของจิตใจ ในขณะที่ปฏิบัติอยู่

    เมื่อท่านได้สังเกตแล้ว ทีนี้ในชีวิตประจำวันของท่านเอง เช่น
    การอาบน้ำ แปรงฟัน รับประทานอาหาร ซักผ้า ถูบ้าน ทำอาหาร ใส่เสื้อผ้า
    เดินไปทำธุระ นั่งรถเมล์ไปธุระ และอื่น ๆ จิปาถะ
    ขอให้ท่านฝึกฝนพร้อมกันไปในขณะที่ทำกิจวัตรประจำวันของท่าน

    ใหม่ ๆ ท่านจะเผลอบ่อย เผลอมาก ซึ่งเป็นของธรรมดาสำหรับคนฝึกใหม่
    แต่ถ้าท่านไม่ฝึกในกิจวัตรประจำวันเลย สัมมาสมาธิของท่านจะก้าวหน้าได้ช้ามาก
    ดังนั้น การเผลอบ่อย เผลอมาก จึงดีกว่าการไม่ฝึกฝนเลย

    ทีนี้ ท่านลองเปรียบเทียบดูครับว่า ระหว่างฝึกฝนในรูปแบบและในกิจวัตรประจำวันนั้น
    มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร นอกจากอาการเผลอทีได้เขียนไว้
    จะไม่บอกท่าน แต่ท่านควรหาด้วยตนเอง เพราะถ้าท่านหามันพบถึงความต่างได้
    ท่านก็จะเป็นคนช่างสังเกตเอง การปฏิบัติธรรมนั้น
    ไม่ใช่สักแต่ว่า ฝึก ๆ ไปอย่างกะคนไม่รู้เรื่องราวอะไร
    แต่ท่านต้องเป็นคนช่างสังเกตอีกด้วย จึงจะไปได้ดี

    แต่ว่าอย่าไปตั้งเป้าสังเกตจนเกินไป
    เพราะจะกลายเป็นความเครียด
    ซึ่งเป็นผลเสียอีกเช่นกัน

    นี่คือความพอดีแห่งการปฏิบัติ
    สังเกต แต่ไม่เครียด
     

แชร์หน้านี้

Loading...