... แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สายฝนฉ่ำเย็น, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ขอบคุณค่ะ ... แต่กรณีของพี่...ไม่มีใครเขาเห็นกับพี่ไงคะ ขนาดญาติสนิทยังไม่เชื่อเลย...แล้วใครจะเชื่อล่ะคะ....เรื่องมันเลยยาวเป็นหางว่าว หลังจากวันนั้น ครอบครัวพี่ก็แทบจะไม่มีญาติอยากคุยด้วยเลย...เพราะเข้าใจว่า พี่ประสาท น่ะค่ะ.....แต่มันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ พี่เล่าเพื่อเป็นกรณีศึกษาค่ะ... ^_^
     
  2. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ตอนนี้ ดิฉันเป็นเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ใครใคร่อ่าน อ่านนะคะ ดิฉันไม่ตอบอะไรอีกแล้วนะคะ ... เพราะนึกถึงตอนที่เราอ่านหนังสือ ... ได้นะคะ ... จะร่วมออกความคิดเห็นอย่างไร ตามสบายเลยค่ะ ... แต่นับแต่นี้ ดิฉันจะเล่าเพียงอย่างเดียว ไม่ขอตอบอะไรๆ นะคะ ... ขอบคุณที่ตามอ่านนะคะ ... เมื่อหมดหน้าที่ ดิฉันก็ไปแล้วค่ะ ... ถ้าทำให้รำคาญหัวใจ ... ก็ต้องอภัยด้วยนะคะ ... ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันด้วยนะคะ ... ดิฉันไม่อยากให้เกิดกรรมซึ่งกันและกันอีกค่ะ .... อนุโมทนา กับทุกท่านด้วยนะคะ สาธุค่ะ...
     
  3. หายใจ

    หายใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +13
    ^......^ อ่านสนุก ไม่คิดอะไรอย่างอื่นมากกว่าแชร์ความคิดครับ
     
  4. Pink_Angel

    Pink_Angel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอถามนอกเรื่องหน่อยนะคะ ที่วัดพิชัยญาติ และวัดหลวงพ่อจรัญ อนุญาติให้สาวประเภทสองบวชชีพราหมณ์ ได้หรือเปล่าคะ คือเป็นสาวประเภทสองค่ะ อยากไปฝึกปฏิบัติบ้างค่ะ แต่หลายวัดปฏิเสธมา ค่ะ
     
  5. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ที่วัดอัมพวันไม่ทราบนะคะ เพราะยังไม่เคยไปค่ะ ส่วนวัดพิชัยญาตไม่แน่ใจ ยังไงลองโทรถามไหมค่ะ...แต่เท่าที่ไป ก็ไม่เคยเห็นนะคะ..
     
  6. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    55555555555555555555555555555555555
     
  7. Worship with soul

    Worship with soul Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +60
    ความบังเอิญไม่มีในโลกนี้ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ก็คงต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งชัดนำมา เราเชื่อเช่นนั้นค่ะ

    ขอบคุณคุณสายฝนมากๆ ค่ะ ที่แชร์ประสบการณ์ของคุณสายฝนเองให้ผู้อื่นได้ข้อคิด

    ขอบคุณมากๆ ค่ะ
     
  8. Pink_Angel

    Pink_Angel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณค่ะ จะลองโทรถามดูทั้งสองวัดค่ะ
     
  9. momแข็งแรง

    momแข็งแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +214
    หาใจตัวเองให้เจอ ทำยังไงอ่ะช่วยชี้แนะหน่อยจิครับคุณพี่ ถ้าเขียนหนังสือรับรองว่าขายดีแน่ๆเลย

    เรื่องพรหมวิหาร 4 ตอนเกิดจนเป็นเด็กๆนี่ผมน่าจะมีเยอะ แต่ไปๆมาๆถึงตอนนี้เอ้าหายไปไหนกัน ต้องตามหากันใหม่อีกแระ ชีวิตคนเรานี่ไม่เที่ยงจริงๆเหมือนที่พระท่านเทศน์ไว้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  10. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130

    อ่านหน้า 2 - 4 แล้ว....ขอพักสายตาหน่อย


    ยินดีด้วยครับได้ใกล้ชิดกับผู้ทรงธรรม
     
  11. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    T T จะเขียนถึงตาทีไร ร้องไห้ทุกที พยายามจะเขียน เขียนต่อไม่ได้ ... แล้วไว้เขียนมาเล่าให้ฟังนะ...วันนี้ขอพักยกก่อน...
     
  12. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    เดี๋ยวจะช่วยทำข้อสอบนะ..
     
  13. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    เข้ามาอ่านแล้วประทับใจมากมายเลยคะ ขอให้กุศลที่พี่สายฝนแบ่งปันประสบการณ์ที่น่าสนใจนี้ บันดาลให้พี่คิดสิ่งใดก็สมความปราถนานะคะพี่ จะอ่านไปจนพี่ไม่มีอะไรจะเขียนแหละคะ อิอิ
     
  14. AMIIKO

    AMIIKO Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +48
    มารออ่านเหมือนกันค่ะ อ่านคืนเดียวหมดเลย อิอิ

    รอพี่สายฝน มีกำลังใจมาเขียนต่อ ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งคิดถึง คุญแม่ที่เสียไปแล้ว ตอนเด็กรู้สึกดูแลท่านไม่ดีเลย แต่ดันมารู้เรื่องบาปบุญ และกฎแห่งกรรม
    ก็ต่อเมื่อมารดาสิ้นไปแล้ว T^T แล้วก็ทำให้แม่เสียน้ำตากับเราด้วย คิดแล้วไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยค่ะ
    :':)'(
     
  15. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    OK ... แต่เค้าไม่ให้ลอกนะ เดี๋ยวครูจับได้ 555555+++ เค้าจะสอบตก อิอิ
     
  16. mamaxx

    mamaxx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    ซุ่มอ่านมาหลายวันแล้วครับ

    เลยมาโพสให้กำลังใจครับ

    กำลังหาความหมายของพรหมวิหาร 4 อยู่พอดี

    ก็เหมือนมีอะไรนำมาให้เจอกระทู้นี้

    ขอบคุณมากครับที่อธิบายความหมายให้:cool:

    ปล. bookmarks กระทู้ไว้เลยนะเนี่ย
     
  17. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    ก็ขออโหสิกรรมก่อนก็แล้วกัน หากคำตอบไม่ถูกใจคุณหรือคนอื่น ๆ

    แต่ฉันอยากตอบเพราะฉันคิดว่า คำตอบต้องสาธยายจากจุดไหน..





    คำถามที่แท้จริงที่คุณควรถาม
    ไม่ใช่ถามว่า "ทำไมต้องช่วย" หรือ "อุเบกขาเลยได้ไหม ก็ไม่ใช่เรื่องของกุ.."


    คำถามนั้นคือ
    >>>>>ทุกข์เกิดจากอะไร?<<<<<


    ทุกข์เกิดจากการ "ยึดติดถือมั่น" ใน "ตัวกู ของกู"
    นี่กายกู ใจกู แฟนกู ครอบครัวกู บ้านกู รถกู ฯลฯ
    พอใครมารบกวน สร้างความระคายเคืองให้ "ตัวกู ของกู" พอเราระคายตาม.. ทุกข์ก็เกิด...



    ถามต่อ... แล้วทำยังไง ถึงจะ "ไม่ต้องทุกข์อีกล่ะ??"

    คำตอบ "ก็ต้องละตัวกูของกูให้ได้น่ะสิ"

    อืมมม ละตัวกูของกู... เป็นยังไงแล้วก็...ต้องทำยังไงว้าาาา??

    คำถาม ฟังดูเซนมาก.. แต่จะตอบแบบบ้าน ๆ


    กุศโลบายวิธีขั้นต้นของการ "ละตัวกูของกู" คือ มี พรหมวิหาร 4 ต่อผู้อื่นให้มากขึ้น

    เมตตา คือ การปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
    กรุณา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
    มุทิตา คือ การยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี

    คุณเห็นขอทานไม่มีเงินกินข้าวคุณช่วยเค้า...
    คุณเห็นหมาแมวไม่มีที่อยู่ คุณให้มันอาศัย...
    คุณเห็นเพื่อนกลุ้มใจเรื่องแฟน คุณให้ที่พึ่งเพื่อนทางใจ..
    คุณเห็นคุณพ่อคุณแม่ปลงอนิจจังในสังขารตัวเองไม่ได้ คุณดูแล..
    ฯลฯ
    คุณเห็นผู้อื่นมีความสุขขึ้น ดีขึ้น สบายขึ้น คุณพอใจ..


    3 ข้อนี้ต้องอาศัย "การสละตัวกูของกู" เข้าไปช่วยเขา ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สิน เวลา ตัวตน จิตใจที่เคยเห็นแต่ตัวเอง ฯลฯ

    ยิ่งคนที่ชีวิตเคยผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกข์มาแทบทุกเรื่องของชีวิต หากได้เริ่มต้นมองผู้อื่นด้วยจิตใจที่เมตตา เสียสละแรงกายแรงใจเข้าช่วยเหลือ เป็นปลื้มยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อผู้อื่นมีความสุข ฯลฯ กุศลจิตมันเกิด มันเบิกบานใจอยากทำต่อไปไม่รู้เบื่อ..ฯลฯ


    เมื่อสั่งสม "การสละตัวกูของกู" ออกไปมาก ๆ เข้า
    วันนึงจิตจะเข้าใจในไตรลักษณ์ - อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้..)



    เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นว่า... ทุกสิ่งนั้น...ไม่มีสิ่งใดเลย ที่ เที่ยง... คงทน.. หรือแท้จริง...

    จิตจะสละทุกอย่าง กายนี้ไม่ใช่เรา.. จิตนี้ก็ไม่ใช่
    ทุกข์ที่เกิดขึ้น เกิดบนกาย เกิดที่ใจ... "เรา" ไม่ได้ไปทุกข์ตาม

    เพราะ "ทุกข์ไม่ใช่เรา.."



    แล้วที่ยิ่งเหนือขึ้นไป จิตเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่เรียกว่า "มีพรหมวิหาร 4 โดยไร้ความหลง" ^^
    (บันทัดข้างบนนี้ เอาไว้เมื่อคุณเริ่มมีพรหมวิหาร ๔ ได้ก่อน เข้า"ใจ" ได้ก่อน แล้วค่อยมาคุยกันต่อ เพราะที่เรากำลังบอกคุณ ต้องยอมรับว่าสิ่งที่บอกไป ยังเจือ "ความหลง" อยู่มาก แต่อยากให้คุณ "ตบจิตตบใจให้เกิดกุศลจิตขึ้นก่อน" แล้วค่อยมาชำระความหลงออกไปทีละตัว)



    สามข้อแรกของพรหมวิหารสี่ มาแล้วนะคะ
    ไม่แน่ใจว่า... คุณจะได้คำตอบรึยังว่า... "กูก็ลำบาก ทำไมต้องช่วยคนอื่น เวลากูลำบาก กูก็ผ่านคนเดียว ไม่เห็นมีใครช่วยกู เรื่องของพวกมิง..ทำไมกูต้องช่วย.."


    ถ้าคุณไม่หัด..ให้หัวใจของตัวเองเป็นผู้มีความเมตตา เข้าใจหัวอกผู้อื่น เริ่มหยิบยื่นความปรารถนาดีให้ผู้อื่นก่อน ตัวคุณก็จะไม่มีวันได้เข้าใจ "ความทุกข์" ทั้งของคุณและของคนอื่น..
    และก็จะไม่มีวันได้เริ่มต้น "ออกจากวงเวียนความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นได้เลย" ค่ะ

    ............................................................



    และตอบไว้ก่อนเผื่อคุณถามอีก

    "ก็เข้าใจนะ เมตตา กรุณา มุทิตา.. เข้าใจไง แต่ไม่เข้าไปช่วยได้ไหม อุเบกขาไปเลย กรรมใครก็กรรมมัน..?"


    ตอบเลยนะ

    อุเบกขาไม่ได้ดอก.. อุเบกขาคือ กุศลจิตที่เกิดจากความพยายามในการช่วยเหลือแล้ว เต็มที่แล้ว จนอีกฝ่ายเขาไม่เอากะเราด้วยแล้ว หรือมันจนแล้วจนรอดแล้ว นั่นถึงวางอุเบกขา..

    อุเบกขาที่ไม่ผ่าน เมตตา กรุณา มุทิตา ไม่เรียกว่า อุเบกขา


    เค้าเรียกว่า (ขอโทษทีนะ) ช่างแม่มมมม... ซึ่งเป็นอกุศลจิต


    ...อกุศลจิตไม่ก่อให้เกิดปัญญา ไม่เกิดปัญญาก็ไม่พ้นทุกข์...

    .............................................................



    คำถามต่อไป..

    "ก็มันกรรมของสัตว์ เราไปยุ่งกะเค้า มิเท่ากับไปบอกข้อสอบเค้ารึ.. ช่วยไปเรื่อย ๆ สังสารสัตว์เหล่านี้จะพ้นทุกข์เองได้เมื่อไรกัน?"



    คำตอบ... ท่านคิดว่าเพราะเหตุใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมาโปรดสัตว์ล่ะ??

    เพราะพระเมตตาที่สุดเหนือประมาณของท่านน่ะสิ (เห็นพรหมวิหารมั้ย?)

    ท่านโปรดสัตว์ สั่งสอนหมู่สัตว์ให้รู้อริยสัจ ๔ (รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ เดินบนทางดับทุกข์)


    หมู่สัตว์น้อยใหญ่แบ่งได้เป็นบัว ๔ เหล่า
    คำสอนคำชี้แนะ ของท่านก็ยังแบ่งออกตามเหล่าของบัว
    บางเหล่าชี้แนะหนเดียว เห็นธรรม
    บางเหล่าพร่ำสอนปากเปียกแฉะ ใช้เวลามากจึงเห็นธรรม
    บางเหล่าต้องเอาเสียมเอาพร้าถากถาง จึงเห็นธรรม
    ฯลฯ ดังนั้นคนเราจึงใช้เวลาในการเห็นธรรมไม่เท่ากัน




    พวกเราในชาตินี้ บุญวาสนาอาจจะน้อยเกินไปไม่ได้เกิดร่วมสมัยแห่งมหาบุรุษ แล้วบรรลุธรรมในชาตินั้น

    แต่เรายังเหลือพระธรรมของท่าน เหลืออริยสาวก เหลือสหธรรมิกไว้ช่วยกันชี้แนะแนวทางตามพระผู้มีพระภาคเจ้า... ว่าท่านเคยเดินอย่างไร ผ่านมาอย่างไร หลุดพ้นได้อย่างไร


    หาได้น้อยเท่าน้อย ที่จะมีมหาบุรุษมาเกิด.. (ท่านเป็นผู้หลุดพ้นทุกข์ได้เองนะอย่าลืม)

    พวกเราเหล่าสัตว์ มีปัญญาต่ำต้อยเรี่ยดิน จะพ้นทุกข์ได้ก็โดยการเดินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ปูไว้แล้ว..
    หาได้ยากนะ จะไปรอให้ "พ้นทุกข์" ได้ด้วยตนเองน่ะ

    มี "ผู้รู้" ให้ถาม
    มี "พระธรรม" ให้ศึกษา ก็ใช้โอกาสเสีย...


    มัวแต่สงสัย.. มัวแต่กังขา.. มัวแต่เกี่ยงงอน..
    ว่าต้องคนที่ "สอบผ่าน" เท่านั้นจึงมาสอนได้

    ไม่ได้เดินไปไหนกันพอดี.. เสียเวลาหายใจ


    แล้ว ถ้าหากว่าคุณอยากได้คนที่สอบผ่านแล้วมาสอนจริง ๆ ทำไมไม่ไปอ่านพระไตรปิฎกล่ะ
    (ก็คนที่สอบผ่านจริง รู้แน่จริง อย่างแน่นอนคือ พระพุทธองค์ไม่ใช่รึ??)


    นั่นเป็นเพราะว่า..
    คุณอ่านมาแล้ว.. แต่ไม่เข้าใจ เลยมาหาคำตอบเพิ่ม แต่ยังเกี่ยงงอนอยู่ และมีแต่ทิฐิมานะ
    เรือจึงได้วนอยู่แต่ในอ่าง...



    ทีนี้ย้อนกลับขึ้นอ่านเห็นคำถามของตัวเองมั้ย...

    งูกินหางอยู่นะท่าน จะเป็นแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  18. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    ฉันพูดว่ามันเป็นกุศโลบาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการละตัวตน (แบบบ้าน ๆ ไม่ใช่ตามปริยัติ เพราะฉันไม่เคยเรียน)
    ไม่ได้บอกว่า เส้นทางทั้งหมดเริ่มต้นที่จุดนี้ทุกคน..
    แล้วเรื่องที่อธิบาย ฉันจับจากสิ่งที่คุณสงสัย ว่าทำไมคุณสายฝนฯ จึงมีเมตตา ทำไมไม่ "ช่างเค้า" ไปให้หมด..
    คุณเองก็ดูออกจะ "ใจกว้าง" ที่ยังอุตส่าห์เปิดช่องให้คนอื่นมาช่วยตอบ.. ฉันจึงช่วยตอบ

    ขออภัยที่คำตอบมันเกะกะลูกตาจนท่านต้องกล่าวว่า ขออ่านเรื่องของคุณสายฝนฯ...
    พอดีวันนี้เธอไปธุระข้างนอก
    ฉันก็ขออนุญาตเธอแล้ว เพราะนี่เป็นกระทู้ของเธอ.. เธอก็อนุญาต เพราะจิตเจตนาของฉัน "ดีต่อส่วนรวม"..
    ฉันและศิษย์พี่สายฝนฯ เป็นคนบ้าน ๆ รู้ธรรมฯ จากธรรมชาติของการเกิดดับในกายใจนี้
    มิใช่ผู้หลุดพ้น.. ยัง "สอบผ่าน" ไม่หมด.. และไม่ได้รู้มากจากตู้พระไตรปิฎก

    เป็นเพียงสหธรรมิกเท่านั้น ในกระทู้นี้มิได้มีคำใดเอ่ยจากปากเธอว่า "จงมาเชื่อเธอเถิด เธอพ้นแล้ว.."

    หรือว่านี่สงสัยอาจเป็นฉันเอง ที่รู้น้อยเกินไปจน "สอนหนังสือสังฆราช" โดยไม่รู้ตัว

    งั้นอยากเรียนถามท่านกลับ จากย่อหน้าสุดท้ายของท่านที่ว่า...

    "พรหมวิหาร4 ไม่ใช่ธรรมสำหรับการละอัตตาตัวตน อุเบกขาในพรหมวิหารก็ไม่ใช่อุเบกขาในโพชงค์ เมื่อมันไม่ใช่อุเบกขาในโพชงค์ มันก็ไม่ใช่ธรรมสำหรับการตรัสรู้ มันก็ละตัวตนไม่ได้...<!-- google_ad_section_end -->"


    แล้วธรรมใดละตัวตนได้?? แล้วในเมื่อท่านทราบว่าธรรมใดละตัวตนได้ ทำไมจึงยังมีคำถามถึงการยึดติดในทุกข์จากท่านในกระทู้นี้อยู่ล่ะ?..


    ขอเรียนเชิญท่านอภิปรายแลกเปลี่ยนกับคนรู้น้อยเช่นฉัน เพื่อประโยชน์ต่อคนหมู่มาก.. มิใช่แค่เพื่อเติมเชื้อทิฐิมานะในตนด้วยเถอะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  19. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินคำถามคล้าย ๆ แบบนี้นะคะกับพระอาจารย์คึกฤทธิ์
    เขาถามว่าถ้าเราเห็นหมาถูกรถชน เราควรจะวางอุเบกขาหรือว่าเราจะเข้าไปช่วยมัน
    พระอาจารย์ท่านก็ตอบว่า คนเราทุกคนมีหน้าที่ ๆ พึงปฏิบัติต่อกัน เมื่อเราได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ผลของมันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องปล่อยไป

    ประมาณนี้นะคะ นานแล้วก็จำไม่ได้ทุกคำพูด ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
    เมิลก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกคะ
     
  20. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #19 .. แล้ววันนั้นก็มาถึง ..1

    ช่วงที่ยังไม่ถึงเวลาดูดวง ... คนที่สัมพันธ์กับฉัน ถูกนำมาให้ฉันได้พูดคุย...โดยที่ไม่ได้เหนื่อยยากลำบากกายเลย...คนในเวปพลังจิตนี้ก็หลายคน...ที่มีบุญสัมพันธ์กัน...เป็นช่วงที่ เหมือนกับบทเรียน บทต่อไป ที่ต้องทำความเข้าใจ และรับในสิ่งที่เป็นให้ได้ .....

    ก่อนหน้าที่ฉันจะลาออกจากงาน ... ตาของฉันไม่สบายมาก ... จากปกติ ที่ท่านเป็นคนแข็งแรง ทั้งที่อายุมากแล้ว ท่านสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้โดยไม่ใส่แว่น ท่านมักจะพูดคุยเรื่องสมุนไพร ที่รักษาโรคต่างๆ ... ความที่ท่านเป็นคนเมตตาสูง ... ท่านสมัครเป็นหมอชุมชน หมออาสาในชุมชน ... ท่านฉีดยาได้ ... ท่านจ่ายยาให้กับผู้ที่ไม่สบาย และมาหาท่านในยามค่ำคืน ...ท่านติดต่อกับเจ้าหน้าที่อนามัยตลอด ...จนเจ้าหน้าที่ส่งตาของฉันประกวดผู้สูงอายุสุขภาพดี...ได้รางวัลมาด้วยน๊า...ภูมิใจ ภูมิใจ...ช่วงนั้น ลูกๆ ของตา พาไปหาหมอหลายที่มาก เพราะไม่แน่ใจในการฟันธงของหมอ...สุดท้ายคือลงความเห็นเหมือนกัน...ตาเป็นมะเร็งที่กระดูก...ตอนนั้น ฉันยังไม่รู้ว่าต้องปล่อยวางยังไง...ความทุกข์มันสุมรุมกันเข้ามา..ไหนจะงาน ไหนจะบ้าน ไหนจะตา ซึ่งเป็นคนที่ฉันรักที่สุด...ฉันรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง...แต่ฉันยังทำใจรับความจริงไม่ได้...จากวันนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว...ฉันค่อยๆ เรียนรู้จากความทุกข์...ถูกปรับให้เข้าใจ และอยู่กับมันให้ได้ ด้วยความสบายใจ...พอฉันเริ่มไปปฏิบัติธรรม ก็เร่ิมจะนำข้อธรรมไปคุยกับตา ... ฉันคุยกับแค่ตาคนเดียว ... เพราะฉันไปคุยกับคนอื่น ... เขาเมินหน้าหนี ... ก็เขาไม่รู้เรื่อง มาพูดอะไร กฏไตรลักษณ์อะไร ไม่เข้าใจ ... ถ้าคุยแล้วได้เงินค่อยว่ากัน ... นั่นแหละคือเหตุผลที่ไม่อยากคุยกับใคร ... ทุกครั้งที่แวะไปเยี่ยม..ฉันมักจะเห็นตา เดินจงกลม นั่งสมาธิโดยใช้เก้าอี้ ... นั่งหลับบ้าง ... สวดมนต์บ้าง ... ฉันมีความสุข .... พวกเราพากันหายาที่ใครว่าดีมาให้กินอย่างสม่ำเสมอ...และพาไปหาหมอทุกเดือนตามกำหนด...จากทุกเดือน กลายเป็นทุกสามเดือน...หมอบอกว่า เซลมะเร็งลดลง...จาก 75% เหลือเพียง 3% พวกเรามีหวังมากขึ้น ว่าตาต้องหายจากสมุนไพรพวกนี้แน่ๆ...จากที่หมอบอกว่า ตาเป็นมะเร็งระยะที่ 3 จนกระทั่งผ่านมา 2 ปี อาการตาเริ่มกลับไปสู่สภาพที่แย่ลง เป็นภาพที่พวกเราไม่อยากเห็น คือ กินอะไรไม่ได้ ปวดทรมาณ ครั้งสุดท้ายที่ไปให้หมอตรวจ ... หมอบอกว่า มะเร็งรามไปทั่วร่างกายแล้ว .... ให้เริ่มทำใจกันได้บ้างแล้ว ... ฉันเร่ิมไปหาตาถี่ขึ้น ... ไปชวนกันคุยให้ท่านได้หัวเราะ .... ทำอาหารที่ท่านเคยชอบ ... (ทุกครั้งที่ฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับตา ฉันอดที่จะร้องไห้ไม่ได้...จึงต้องใช้เวลาชั่งใจสักหน่อย...เพื่อจะพิมพ์ให้อ่านกันได้)...ฉันเริ่มคุยเรื่องการปล่อยวางมากขึ้น ... จน 2 เดือนสุดท้าย...ฉันบอกกับแม่ว่า ให้ทำใจนะ...อีกไม่นานตาก็ไปแล้ว...ตาเป็นคนแรกที่ฉันอยากรู้ว่าจะไปไหน...ไปดีไหม...ฉันนั่งกรรมฐานแล้วขอรู้ว่า ตาจะไปไหน...ฉันเห็นวิมาณแก้ว 6 เสา ลอยอยู่บนพื้น ไม่มีเสาบ้านด้านล่าง มีแต่ตัวฐานและมีเสาหกเสาสูงไปจนถึงหลังคา ขาวใส ไม่มีฝาผนัง ลมเย็นสบาย มีแท่นสำหรับนั่งอยู่ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร...แต่รู้ว่า ตาต้องไปดีแน่ๆ ... ก่อนหน้านี้ ฉันเล่าว่าฉันเห็นอะไรมาบ้าง ฉันถามตาว่า เชื่อฉันไหม ตาตอบว่า ..ตาฟังเอ็งจะเล่าอะไรตาก็ฟัง แต่ตาไม่เห็น ตาจึงไม่รู้จะไม่รู้จตอบเอ็งยังไง...จนมาระยะหลัง...ตาถามฉันว่า ตาจะไปสบายไหม ... เหมือนท่านรู้แล้ว ... ฉันเห็นกรรมที่เคยเกิดขึ้น แต่ฉันพูดไม่ได้ ... ฉันบอกว่า ใช้กรรมให้หมดนะ แล้วจากนั้น ก็สบายแล้ว ... อดทนใช้กรรมให้เขานะ....อย่าห่วงเลยนะ ...ท่านห่วงลูกหลานหลายคน โดยเฉพาะคนที่ยังเอาตัวไม่รอด ... และฉันที่ยังไม่มีงานทำ ... ท่านมักจะท่องประโยคนี้ ให้ฉันฟัง “กัมมัสสะกา กัมมะทายา กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา ยังกัมมัง กะริสสันติ กัลยาณังวา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ” แล้วท่านก็น้ำตาซึม ...ฉันบอกว่า...อย่าห่วงคนอื่นเลย ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง...ถ้าจะไปแล้ว อย่าหันหลังอาวรณ์เลย...กรรมที่เขาต้องรับไม่มีใครช่วยได้ นอกจากตัวเขาเอง...และวันหนึ่งที่ฉันไปเยี่ยม...ในห้องของตา มีฉัน แม่ และสามี นั่งคุยกันอยู่ ตาก็นั่งคุยด้วย...จนเหนื่อยท่านก็ล้มตัวลงนอน...ฉันเห็นผู้ชายรูปร่างใหญ่ผิวสีดำคล้ำ นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง กอดอก แล้วเดินไปเดินมา บางทีก็หยุดฟังพวกฉันคุย แล้วก็เดินต่อ .... ฉันเห็นแค่คนเดียว...ฉันไม่กล้าถามแม่ตอนนั้น...เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าฉันเห็นเขา...และอีกอย่างฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร...จนกระทั่งกลับบ้าน ออกมาได้ครึ่งทางแล้ว...ฉันถามแม่ว่า...แม่เคยเห็นลักษณะแบบนี้ไหม...แม่บอกว่าไม่เคย...แต่ถ้าเป็นท้าวเวสสุวรรณ ก็ไม่น่ามีลักษณะแบบนี้ อีกอย่าง ถ้าเขามารอกัน น่าจะมากัน 4 คน ไม่น่ามาคนเดียว...ฉันก็เก็บความสงสัยไว้...จนกระทั่งตาเข้าโรงพยาลอีกครั้ง...น้าสาวเป็นคนเฝ้า...น้ากลับมาบ้านแล้วเล่าให้พวกเราฟัง...บอกว่า...จู่จู่...ตาก็ถามเขาว่า...ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขาไปไหนแล้ว...น้าถามว่าใคร หนูก็นั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่เห็นใครเลย...ตาบอกว่า...ก็คนที่มายืนข้างเตียง ตัวใหญ่ ผิวดำๆ น่ะ เขาไปไหนแล้ว...แม่ฉันพอได้ยิน...ก็เลยเล่าที่ฉันเห็นให้คนอื่นฟัง...ว่า...ถ้าอย่างนั้น ฉันก็เห็นจริงๆ น่ะสิ...(ตอนที่เล่าให้แม่ฟังแม่ยังไม่เชื่อฉันเท่าไหร่)...ระยะนี้ ตาซูบผอมลงมากๆ มากเสียจนเห็นกระดูกโปนๆ ตามข้อ โผล่ออกมาให้เราเห็น ... เพราะกินอะไรไม่ได้เลย .. พวกเราได้แต่หยอดรังนก และน้ำซุบ ให้...แค่กลืนลงคอก็ทรมาณแล้ว...จนกระทั่งวันที่ 13 เมษายน ปีที่ผ่านมา ... แม่ฉันบอกให้ครอบครัวของเรา นำพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมากรรมกับตา เพราะเวลาเหลือน้อยจนไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่แล้ว...
     

แชร์หน้านี้

Loading...