ยึดไตรลักษณ์เป็นทางเดินของจิต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 2 มีนาคม 2011.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ยึดไตรลักษณ์เป็นทางเดินของจิต


    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕


    พระพุทธเจ้าและพระสาวกผู้เป็นแบบฉบับของทั้งทางโลกและทางธรรม
    ทรงวาดภาพตัวอย่างไว้แก่ปวงชนผู้มุ่งประโยชน์ตามภูมินิสัยวาสนาของตน จะได้ดำเนินตามโดยถูกต้องทรงเห็นที่วิเวกสงัดเป็นที่อาศัยในเพศพรหมจรรย์เป็นที่ไปที่มาและสำเร็จพระอิริยาบถไม่ข้องแวะกับสิ่งใดๆซึ่งจะผ่านคลองจักษุเป็นต้นไม่ทรงสนพระทัยในสิ่งทั้งปวงสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกไม่อาจจะยังพระองค์ให้หวั่นไหวไปตาม แนวทางที่ทรงดำเนินอันเป็นส่วนเหตุให้รับผลประจักษ์พระทัยและแผ่กระจายออกมาเป็นศาสนธรรม ประกาศให้เวไนยผู้ใคร่ต่อแดนพ้นทุกข์ได้ทราบทั่วถึงกันเป็นแนวทางที่ทรงดำเนินโดยถูกต้องตามหลักเหตุอันดีผลจึงเป็นความอัศจรรย์ทั่วไตรภพเพราะปรีชาสามารถของอัจฉริยมนุษย์ธรรมจึงเป็นอัจฉริยธรรมทรงคุณภาพทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผลไว้โดยสมบูรณ์และเป็นปัจจุบันธรรมทันกับเหตุการณ์ของสภาวะทั่วๆไปสมกับคำว่ามัชฌิมาคือท่ามกลางอยู่เสมอไม่ปรากฏมีต้นมีปลาย


    เริ่มแรกแห่งการประทานพระโอวาทแก่พระเบญจวัคคีย์
    ก็ตรัสว่ามัชฌิมาใจความในพระธรรมเทศนามีสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปโปถึงสัมมาสมาธิธรรมทั้งนี้ประทานนามว่ามัชฌิมาปฏิปทาทั้งนั้นไม่ได้ตรัสเป็นอย่างอื่นเพราะฉะนั้นพระธรรมที่ประทานไว้จึงเป็นมัชฌิมาไม่เคยละบทบาทและเหตุผลไปสู่ความเป็นอื่นเช่นตรัสไว้ในอนัตตลักขณสูตรต่อท้ายพระธรรมจักรโปรดพระเบญจวัคคีย์ทรงแสดงไตรลักษณ์คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ความถูกต้องแม่นยำของพระธรรมที่ทรงแสดงปรากฏเป็นความจริงสะเทือนทั่วทั้งโลกธาตุซึ่งเป็นภูมิแห่งไตรลักษณ์สถิตอยู่อย่างสมบูรณ์

    เพราะทุกสิ่งบรรดาที่เป็นสัตว์สังขาร
    แม้จะมีลักษณะต่างๆและอยู่ในที่ต่างๆกันแต่ก็เป็นสภาพแห่งไตรลักษณ์ด้วยกันบรรดาสัตว์บุคคลตลอดทวยเทพที่มีรูปร่างแง่ความคิดภูมิที่อยู่และนิสัยวาสนาจะต่างกันตามกรรมนิยมก็ตามแต่จำต้องยอมรับกฎของไตรลักษณ์อันเป็นกฎของวัฏฏะอันเดียวกันและเป็นภูมิของไตรลักษณ์เสมอกัน


    คำว่า
    ทุกฺขํ คือความทุกข์กายไม่สบายใจใครจะหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับทุกข์อันเกิดขึ้นกับตนผู้เป็นต้นเหตุของทุกข์ไปไม่ได้ต้องยอมรับโดยทั่วกันและทุกระยะที่ทุกข์เกิดขึ้นมากน้อยคำว่า อนิจฺจํ กับ อนตฺตา ก็โปรดทราบว่าทำงานไปพร้อมกัน ไม่มีสภาพใดก่อนและหลังและทำงานในสถานที่บุคคลและสัตว์อันเดียวกันไม่ได้แยกกันทำงานไม่มีการหยุดทำงานและพักร้อนตากอากาศต่างก็ทำงานอยู่เช่นนั้นงานของไตรลักษณ์ผิดกับงานของเรามากจนกลายเป็นคนละมุมโลกทั้งเป็นสภาพอยู่เหนือร่างกายและจิตใจของสัตว์และยึดเอาร่างกายจิตใจของสัตว์เป็นที่ทำงาน


    ฉะนั้นเราอย่าสำคัญว่าตนเป็นพระเป็นเณร
    จนเกิดความประมาทนอนใจในเพศของตนโดยขาดความสนใจคิดหาทางออกจากกองทุกข์ความจริงเราก็คือโต๊ะเก้าอี้ที่ทำงานของไตรลักษณ์อันเป็นกงจักรของไตรภพอยู่โดยดีเมื่อตรัสว่านี่ไม่เที่ยงสภาพใดจะฝืนกลายเป็นของเที่ยงขึ้นมาเมื่อตรัสว่านี่เป็นทุกข์สภาพใดจะฝืนกลายเป็นสุขขึ้นมาเมื่อตรัสว่านี่เป็น อนตฺตา สภาพใดจะฝืนกลายเป็น อตฺตา ขึ้นมาเหมือนพระโอวาทที่ตรัสไว้แล้วอย่างตายตัวทั้งนี้จะไม่มีสิ่งใดฝืนหลัก สวากขาตธรรม ไปได้ตลอดกาลไหนๆเพราะฉะนั้นพระโอวาททั้งหมดจึงเลื่องลือว่าเป็นมัชฌิมาไม่มีการเบี่ยงบ่ายหรือพลาดไปจากศูนย์กลางแห่งความจริง


    ดังนั้น
    ขอให้ทุกท่านสนใจพิจารณาตามสภาวะคือไตรลักษณ์จะเป็นเครื่องยังมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นแก่ผู้สนใจยึดไตรลักษณ์เป็นทางเดินของจิตแต่ยังมีทางเป็นข้าศึกต่อบุคคลผู้ไปยึดถือไตรลักษณ์ว่าเป็นตนเพราะเมื่อถือไตรลักษณ์เป็นตนแล้วทุกสิ่งไม่ว่าข้างนอกข้างในก็จะกลายเป็นตนและกลายเป็นของตนขึ้นมาเพราะความสำคัญว่านี้เป็นตนนั่นเป็นของตนเป็นเหตุแม้สภาวะทั้งหลายจะเป็นไปตามความจริงของเขาก็ตามแต่ผู้มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าแล้วต้องมุ่งให้สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามใจหมาย โดยให้เป็นสุขบ้างให้ทุกสิ่งยั่งยืนถาวรบ้างเป็นต้นนั่นคือบ่อแห่งความทุกข์อันซับซ้อนเริ่มแสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผยแล้วเพราะการปักปันเขตแดนไว้ถูกล้มละลายไปตามหลักคติธรรมดาเกิดอารมณ์ไม่สมหวังขึ้นมาบนหัวใจจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนขุ่นมัวประหนึ่งเพลิงทั้งกอง


    ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาไตรลักษณ์ก็เพื่อจะตัดสาเหตุการหลั่งน้ำตาของสัตว์ผู้ไปยึดไตรลักษณ์มาเป็นตนเป็นของตนเสียได้
    กลายเป็นความรู้เท่าทันตามหลักความจริงและถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นสำคัญผิดอันเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงหัวใจให้หมดไป


    พระพุทธเจ้าก็ดี
    พระสาวกก็ดีถ้าไม่ได้พิจารณาสภาวะที่กล่าวนี้ให้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแล้ว จะปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าและสาวกที่บริสุทธิ์ขึ้นมาให้เรากราบไหว้ไม่ได้แม้พระธรรมที่บริสุทธิ์ก็โปรดทราบว่าเกิดขึ้นมาเพราะไตรลักษณ์ทั้งนั้นคำว่าไตรลักษณ์อันเป็นเส้นทางเดินเพื่อความหมดจดพ้นทุกข์นั้นได้เสื่อมสูญไปจากโลกกาลใดบ้างไม่เคยปรากฏและยังเป็นธรรมตั้งอยู่ศูนย์กลางของโลกและสภาวะทั่วๆไปอีกด้วยคำว่าไตรโลกคือโลกสามคำว่าไตรลักษณ์ก็ตั้งอยู่ศูนย์กลางแห่งโลกสามนี้การที่สัตว์โลกได้รับความทุกข์ลำบากหมุนเวียนเปลี่ยนตัวเองตลอดมาโดยไม่ทราบว่าตนเป็นกงจักรทั้งนี้เนื่องจากไม่ทราบชัดในหลักความจริงของไตรลักษณ์พอที่จะปล่อยวางได้ด้วยอำนาจของปัญญานั่นเองแต่ถ้าถือไตรลักษณ์เป็นหินลับทางเดินของสติปัญญาอยู่เป็นประจำไตรลักษณ์มิใช่จะเป็นข้าศึกเสมอไปยังจะกลายมาเป็นกัลยาณมิตรอันยอดเยี่ยมของสติปัญญาอีกด้วย

    เราทุกท่านผู้บวชมาในพระศาสนาและดำเนินตามพระโอวาท จงเห็นสติปัญญาซึ่งเป็นเครื่องดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์โดยสมบูรณ์
    ว่าเป็นธรรมสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกับอาหารซึ่งเป็นของจำเป็นแก่มนุษย์และสัตว์ทั่วโลกจะขาดไปไม่ได้แม้แต่เวลาเดียวโปรดคิดดูกันอย่างง่ายๆเครื่องสำเร็จรูปซึ่งเกิดจากการผลิตของคนผู้มีความฉลาดด้วยสติปัญญาส่งจากโรงงานออกเป็นสินค้ามีชนิดต่างๆจนไม่สามารถจะนับอ่านได้ขายไปตามสถานที่ต่างๆมีเต็มไปหมดตามตลาดร้านค้าทั่วประเทศนั้นๆโปรดทราบว่าเกิดจากสติปัญญาเป็นผู้นำของการผลิตทำทุกประเภทโลกไม่เคยเอาคนขาดสติปัญญาคือประเภทบ้าบอมาเป็นคนงานเป็นหัวหน้างานเป็นผู้จัดการทุกๆแผนกตลอดวงราชการทุกหน่วยและทุกกระทรวงทบวงกรมไม่เคยมีคนประเภทที่น่าสังเวชดังกล่าวเข้ามาแอบแฝงอยู่เลย

    เราผู้เป็นนักบวช
    และเป็นนักปฏิบัติด้วยถ้ายังไม่สนใจจะนำสติปัญญามาเป็นหัวหน้าดำเนินงานแล้วขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเกิดตายๆสักกี่กัปจะไม่มีวันผ่านพ้นกองทุกข์ไปได้เลยคำว่าสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปโปคืออะไรและใครตรัสไว้ถ้าไม่ใช่มหาสติมหาปัญญาตรัสไว้แล้วคนหูหนวกตาบอดคนวิกลจริตคนไหนจะสามารถมาตรัสไว้เราเดินไปตามถนนหนทางเจอผู้เสียสติไม่มีปัญญาแก้ไขตนเองให้พ้นจากภาวะเช่นนี้จะเกิดความสลดสังเวชบ้างไหม


    มองดูอวัยวะของเขายังสมบูรณ์
    ไม่มีส่วนบกพร่องแต่เขากลายเป็นคนที่น่าสงสารสังเวชทั้งนี้เพราะเขาขาดอะไรในตัวของเขาถ้ามีผู้มาถามเราจะตอบเขาว่ากระไรจึงจะถูกต้องตามความจริงซึ่งเขากำลังประสบอยู่เรื่องทั้งนี้จะพอเป็นคติเตือนใจให้เรามีสติระลึกรู้และมีปัญญาปลงธรรมสังเวชในตัวเขาและตัวเราได้บ้างไหมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโลกด้วยความเห็นโทษและเห็นคุณจริงๆแต่เราผู้ฟังพระธรรมของท่านจะพอมีสติปัญญาเป็นอุบายถอดถอนความชั่วมัวหมองออกจากใจได้บ้างไหมหรือจะยิ่งเสริมให้โง่และเกียจคร้านอ่อนแอยิ่งขึ้น


    ธรรมทั้งนี้ควรยกเป็นปัญหาถามตัวเอง
    เพราะต้นของปัญหาทั้งหมดมันอยู่กับเราผู้ตั้งหน้ามาศึกษาและปฏิบัติจึงไม่ควรถือเป็นปัญหาของใครและถามใครนอกจากตัวเองเพราะผู้มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ถ้าไม่พยายามบำรุงสติปัญญาให้มีกำลังแรงกล้าแล้วจะพ้นจากทุกข์ไปได้โดยทางไหนการพ้นจากทุกข์ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็เพราะความมืดมนประพฤติตามอำเภอใจของกิเลสนั่นเองคนขาดสติเขาไม่เรียกคนธรรมดาแต่เขาเรียกคนบ้ากันทั้งนั้นถ้าสติได้ด้อยลงไปบ้างคนนั้นก็เริ่มขาดบาทไปแล้วกลายเป็นคนสองสามสลึงไปนี่เขาเรียกว่าคนบอถ้าได้ขาดสติไปเสียจริงๆเขาก็เรียกว่าคนบ้าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย


    ไม่ถึงเช่นนั้น
    เพียงคนกำลังเมาสุราคุมสติไว้ไม่อยู่เขายังเรียกว่าคนบ้าสุราทั้งนี้คือโทษของความขาดสติทั้งนั้นคนมีสติดีเดินไปตามถนนหนทางพูดจาพาทีมรรยาทความเคลื่อนไหวเป็นที่น่าดูน่าชมจับหูจับตาจับจิตจับใจไม่เป็นที่รังเกียจแต่คนที่ขาดสติกลายเป็นคนที่แปลกจากโลกเขาอยู่ในบ้านใดเมืองใดก็แสดงว่าคนนั้นต้องแปลกจากเขาในที่นั้นๆอะไรเล่าที่ทำให้เป็นเช่นนั้นฉะนั้นสติกับปัญญาจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยคนไม่ฉลาดจะทำกิจการใดๆไม่ว่าการถางไร่ไถนาการซื้อการขายการทำมาหาเลี้ยงชีพทุกอย่างจะไม่ทันเขาเลยแม้จะทำงานตลอดวันผลรายได้ไม่คุ้มค่าเวลาที่เสียไปแต่คนมีสติและปัญญาด้วยแล้วจะทำกิจการใดๆย่อมเป็นไปเพื่อความเรียบร้อยสวยงามและสมบูรณ์


    โลกที่อยู่ได้ด้วยความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
    มีตึกรามบ้านช่องถนนหนทางที่อยู่อาศัยไปมาหาสู่สะดวกสบายทั้งนี้เพราะอำนาจของสติปัญญาเป็นผู้นำทั้งสิ้นอย่าเข้าใจว่าโลกอยู่กันด้วยความเป็นบ้าเป็นบอเพราะขาดสติปัญญาจึงควรจะกล่าวได้ว่าสติกับปัญญาเป็นโรงงานใหญ่ประกอบด้วยตัวจักรนานาชนิดผลิตคนให้เป็นคนผลิตพระให้เป็นพระผลิตโลกให้เป็นโลกและผลิตธรรมให้เป็นธรรมอย่างสมบูรณ์เต็มที่ฉะนั้นจงอย่ามองข้ามสติปัญญาพระสิทธัตถราชกุมารเป็นพระพุทธเจ้าและศาสดาเอกของสัตว์โลกได้เพราะสติปัญญาแม้ทรงสั่งสอนโลกก็สั่งสอนด้วยอำนาจพระสติพระปัญญาไม่เคยเอาความโง่มาสอนสัตว์


    เวลานี้เรากำลังโง่อยู่เต็มตัวด้วยกัน
    ตามขั้นแห่งธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง และกิเลสบาปกรรมที่ยังไม่สามารถชำระได้แต่คงไม่ใช่แบบโดนภูเขาทั้งลูกด้วยทั้งนัยน์ตายังดีๆสิ่งใดที่ยังแก้ไม่ได้รู้ไม่ทันสิ่งนั้นเราต้องยอมโง่ต่อเขาอยู่โดยดีแต่จะพ้นอำนาจของความเพียรไปไม่ได้การอบรมสติจะอบรมอย่างไรจึงจะเป็นสติที่แก่กล้าเป็นปัญญาที่รวดเร็วทันกับเหตุการณ์ที่หมุนรอบตัวนี่ได้เคยอธิบายให้ฟังมามากแล้วจึงไม่ควรสงสัยในอุบายวิธีนอกจากประโยคความเพียรเพื่อสติปัญญาให้เกิดขึ้นเท่านั้นเป็นปัญหาขึ้นอยู่กับผู้ฟังทุกท่านจะสนใจในตัวเองหากเป็นผู้สนใจจริงๆแล้วความเคลื่อนไหวทุกอาการและความสัมผัสจากทุกสิ่งทางทวารล้วนเป็นความกระเทือนพอจะให้สติปัญญามีความไหวตัวรับรู้และพิจารณาตามได้ทั้งนั้นเพราะการฝึกหัดตัวเองต้องฝึกหัดจากความกระเทือนและสิ่งสัมผัสซึ่งมีอยู่รอบตัว

    แม้บทบริกรรมภาวนามีลมหายใจหรือพุทโธ
    เป็นต้นก็ต้องมีความสัมผัสกับความรู้ไม่ใช่อยู่เฉยๆจะเป็นความรู้สึกลมและพุทโธขึ้นมาเองถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนมีลมหายใจย่อมพ้นจากทุกข์กันทั่วโลกดินแดนโดยไม่ต้องทำการขวนขวายดังนั้นจึงต้องอาศัยการจดจ่อของสติควบคุมอยู่ด้วยจึงจะเป็นความรับรู้และการบำเพ็ญที่สมบูรณ์ในองค์ภาวนาและได้รับผลตามลำดับความต่อเนื่องของสติแต่เมื่อถึงขั้นความเคยชินของสติและปัญญาแล้วใจกับสภาวธรรมและสติปัญญาก็กลมเกลียวกันไปเองตามหน้าที่ของตนโดยปราศจากการบังคับขู่เข็ญใดๆเช่นเดียวกับคนเดินทางตาหูจะมองและฟังสิ่งต่างๆสองฟากทางและใจจะคิดเรื่องอะไร ก็ไม่ทำให้การเดินทางหยุดชะงักเพราะสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอุปสรรค


    ลักษณะของสติปัญญาที่มีกำลังกล้าจากการอบรมติดต่อกัน
    ย่อมแสดงความฉลาดรอบคอบอยู่กับตัวไม่ยอมให้สิ่งเกี่ยวข้องผ่านไปเปล่าโดยไม่ได้รับรู้และพิจารณาให้เข้าใจก่อนไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางเป็นมหาสติมหาปัญญาขึ้นมาได้เพราะสติปัญญาที่ควรจะให้นามเช่นนั้นต้องทำงานโดยอัตโนมัติคือหมุนตัวไปกับเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องไม่ยอมล่าถอย จนกว่าได้รับความเข้าใจและรู้เท่าปล่อยวางแล้ว การคุ้ยเขี่ยขุดค้นอาสวะซึ่งหมักหมมอยู่ภายในอย่างลึกลับ จำต้องเป็นหน้าที่ของสติปัญญาประเภทนี้จะทำการรื้อถอนขึ้นมาโดยสิ้นเชิงจะเหนือไปไม่ได้และจะมีกิเลสอาสวะประเภทใดจะลี้ลับต่อปัญญาประเภทนี้ไปได้จะต้องถูกเปิดเผยขึ้นมาโดยไม่เหลือขอแต่ผู้บำเพ็ญอย่าทำความอิดหนาระอาใจต่อการอบรมเพื่อให้เกิดสติปัญญาประเภทที่กล่าวแล้วเท่านั้นความบริสุทธิ์ของใจอย่างไรก็จะต้องเกิดขึ้นจากแดนมหาสติมหาปัญญาซึ่งผู้บำเพ็ญทำให้สมบูรณ์แล้วจะไม่มีที่อื่นเป็นที่เกิดขึ้นของธรรมอัศจรรย์


    การแสดงมาทั้งนี้
    ใคร่ขอให้ทุกท่านทำความมั่นใจเพราะธรรมที่แสดงทุกบททุกบาทและทุกครั้งไม่ได้แสดงอย่างลอยๆเพราะไม่ได้ปฏิบัติมาลอยๆแต่สละเป็นสละตายเพื่อธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆถ้ารู้ก็ไม่ต้องการอยากรู้แบบลอยๆแล้วนำมาแสดงอย่างลอยๆแก่ท่านผู้ฟังซึ่งต่างก็ฟังด้วยความสนใจและสละเป็นสละตายจากถิ่นฐานบ้านเรือนมาศึกษาและปฏิบัติอยู่ด้วยดังนั้นจึงได้ทำความเต็มใจแสดงจนสุดขีดความสามารถของธรรมะป่าซึ่งเคยแสดงมาแล้วและขอย้ำจุดสำคัญซึ่งเป็นที่รับรองผลแน่นอนอีกครั้งคือ


    การพิจารณากายซึ่งเป็นปัจจุบันธรรมและมีอยู่กับตัวของเราทุกท่าน
    เพราะเหตุใดจึงไม่ได้อุบายแยบคายและปรากฏเป็นความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมากับใจผู้ครองร่างกายนี้บ้างการพิจารณาเห็นส่วนร่างกายจะเป็นส่วนใดหรือทั่วทั้งร่างก็ตามประจักษ์กับใจจริงๆต้องเกิดความสลดสังเวชขึ้นในขณะที่เห็นแน่นอนความเห็นโทษแห่งความหลงที่เคยยึดกายว่าเป็นของเราจริงๆก็ดีความเห็นโทษในทุกข์ที่มีประจำกายก็ดีความเห็นโทษแห่งความงมงายที่เคยจับโน่นวางนี่ เพราะการพิจารณากายไม่ได้หลักยึดเป็นที่พอใจก็ดีและความเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านของใจก็ดีจะปรากฏขึ้นพร้อมกับขณะที่จิตเห็นกายชัดอันดับต่อไปใจจะหยั่งลงสู่ความสงบอย่างสนิทและพักอยู่ได้นานกว่าธรรมดา


    โทษที่กล่าวมาทั้งนี้แม้จะยังมีอยู่ในใจก็เริ่มจะลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ
    จิตก็ยึดหลักของกายไว้ได้การภาวนาในคราวต่อไปก็ง่ายขึ้นความสงบใจก็ปรากฏได้เร็วเพราะมีหลักกายเป็นที่ยึดการแยกส่วนแบ่งส่วนของร่างกายให้เป็นต่างๆตามความแยบคายของปัญญานั้นจะเป็นหน้าที่ของจิตซึ่งเห็นกายชัดจะทำการพิจารณาในเวลานั้น คำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเคยติดใจเพราะการได้ยินได้ฟังมาจะปรากฏเป็นความจริงประจักษ์ใจขึ้นในเวลานั้นไตรลักษณ์ที่เคยจำได้กับไตรลักษณ์จริงๆที่ปรากฏขึ้นกับใจในขณะนั้นจะรู้สึกแปลกกันมากสมาธิและปัญญาที่เคยทำความเข้าใจไว้กับสมาธิปัญญาที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นแม้จะยังไม่ถึงขั้นละเอียดเต็มที่แต่ปรากฏแปลกต่างกันมากในความรู้สึกของผู้กำลังปรากฏการณ์อยู่ในเวลานั้น

    แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า
    ธรรมที่เราทรงไว้ด้วยการจดจำกับธรรมที่ปรากฏขึ้นในขณะภาวนาได้ทำความร้าวรานหรือแตกร้าวกัน ความจริงเป็นธรรมอันเดียวกันแต่ต่างกันในแง่แห่งความรู้สึกของคนๆเดียวซึ่งเกิดขึ้นในขณะมีประสบการณ์เท่านั้นเช่นเดียวกับเราฟังคำบอกเล่ากับการพบความจริงด้วยตนเองในเรื่องเดียวกันจะแปลกต่างกันในความรู้สึกซึ่งเคยวาดภาพเอาไว้แล้วได้พบความจริงด้วยตนเองปัญหาการวาดภาพกับตัวจริงก็ยุติลงในคนๆเดียวกันฉะนั้นท่านจึงให้นามความรู้เห็นประเภทนี้ว่า สนฺทิฏฺฐิโก บ้าง ปจฺจตฺตํ บ้างเพื่อผู้ปฏิบัติจะพิสูจน์เอาเอง


    เพราะการรู้เห็นธรรมที่เกิดจากสมาธิและปัญญา ย่อมเป็นสิ่งประจักษ์จำเพาะตน
    โดยจะวาดภาพให้ใครดูด้วยไม่ได้เพราะไม่ใช่ด้านวัตถุผู้ประสงค์ สนฺทิฏฺฐิโก และ ปจฺจตฺตํ เป็นสมบัติของตนย่อมมีอยู่ทางเดียวคือต้องทำด้วยตนเองตามหลักธรรมที่ประทานไว้ธรรมนี้ก็จะกลายเป็นของตนขึ้นมา


    ดังนั้นการพิจารณากายอันเป็นบาทของสมาธิและปัญญา จึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยจะมองข้ามไปไม่ได้
    การพิจารณากายละเอียดถี่ถ้วนเท่าไรความรู้ความฉลาดยิ่งแตกฉานมากไม่มีสิ้นสุดและสามารถถอดถอนอุปาทานในกายได้โดยไม่มีปัญหานักปฏิบัติที่เป็นนักกายวิภาคไม่ค่อยพลาดจากหลักความจริงและก้าวไปได้อย่างรวดเร็วการปฏิบัติจึงควรสนใจต่อกายวิภาคซึ่งจัดเข้าในสติปัฏฐานข้อแรกเพราะเป็นที่เพาะปลูกสติปัญญาทุกขั้นถ้าสติปัญญาได้ยึดกายเป็นทางเดินประจำแล้วแม้เวทนาจิตธรรมก็กลายเป็นทางเดินของสติปัญญาขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติเพราะธรรมทั้งนี้มีอยู่ในจุดเดียวกันและเกี่ยวโยงถึงกันสติปัญญาสามารถจะวิ่งประสานกันได้ทั้งทางกายเวทนาจิตธรรมในเวลาเดียวกัน


    ท่านนักปฏิบัติโปรดอย่าทำความสำคัญว่า
    สติปัฏฐานสี่เป็นของเก่าแต่อดีตกาลซึ่งควรจะคร่ำคร่าไปแล้วและว่าเป็นของใหม่ซึ่งกำลังจะมาถึงมือแล้วรอคอยให้เสียเวลาด้วยความเข้าใจผิดแต่สติปัฏฐานสี่คือกายของเราเวทนาของเราจิตของเราและธรรมของเรามีอยู่ซึ่งหน้าเห็นอยู่ด้วยตารู้อยู่ด้วยใจทุกขณะไม่เคยสูญไปจากตัวเราโปรดทำความเข้าใจกับสติปัฏฐานสี่ซึ่งเป็นของเราโดยถูกต้องด้วยปัญญาและโปรดนำอิทธิบาททั้งสี่คือฉันทะวิริยะจิตตะมาเป็นเครื่องสนับสนุนเพื่อวิมังสาคือองค์ปัญญาให้มีกำลังกล้าสามารถถอดถอนกิเลสอาสวะซึ่งเป็นเหมือนมหาโจรผู้เรืองอำนาจในดวงใจให้สิ้นไปไม่ให้มีซากเหลืออยู่


    การเกิดตายซ้ำๆ
    ซากๆจนไม่สามารถจะนับป่าช้าของเราคนเดียวได้ไม่น่าขยะแขยงบ้างหรือชาตินี้ก็แน่แล้วว่าเราจะต้องตายตายที่ไหนก็ต้องเป็นป่าช้าของเราที่นั่นชาตินี้กับชาติหน้าวันนี้กับวันหน้าไม่มีระยะห่างไกลกันเลยติดแนบอยู่กับคนๆเดียวนี้ความหมุนเกิดหมุนตายซึ่งเป็นก้อนขันธ์อันเดียวกันมันเป็นเรื่องของเราการดูความเกิดตายเราดูเรื่องของเราก็พอเป็นสักขีพยานได้อย่างเต็มใจแล้วการจำได้หรือไม่ได้มันเป็นเรื่องเกิดตายอยู่เช่นนั้นไม่มีอำนาจมาลบล้างการเกิดตายได้เลยถ้าเราไม่สามารถถอดถอนเรื่องเกิดตายณวงภายในคืออวิชชาออกจากใจให้พ้นไปเสียในชาตินี้เรื่องชาติหน้าจะเป็นเรื่องของเราอยู่นั่นเองและไม่มีวันจบสิ้นลงได้เพราะเราเป็นตัวอวิชชาผู้หมุนเกิดหมุนตายดังที่เห็นอยู่นี้


    เราลองคิดย้อนหลังดู
    วานนี้กับวันนี้และกับวันพรุ่งนี้ห่างไกลกันที่ไหนมืดกับแจ้งไม่ใช่เป็นของห่างไกลกันความสว่างกับความมืดอยู่ในฉากเดียวกันเช่นขณะนี้เรามีความสว่างเพราะดวงไฟพอดับไฟลงเท่านั้นความมืดก็ปรากฏทันทีในสถานที่อันเดียวกันความเป็นกับความตายก็อยู่ในบุคคลคนเดียวกันความทุกข์ความทรมานทุกอย่างซึ่งเป็นกิ่งก้านสาขาออกมาจากความเกิดก็อยู่ในคนๆเดียวกันเช่นเดียวกับกิ่งแขนงต่างๆซึ่งเกิดจากไม้ต้นเดียวฉะนั้น


    โปรดพิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน
    เพราะเพศนี้ไม่ใช่เพศที่นอนอยู่เฉยๆโดยไม่คิดนึกตรึกตรองเป็นเพศที่ควรจะเห็นคุณและเห็นโทษในสิ่งที่ควรไม่ควรซึ่งมีอยู่ภายในและภายนอกทั่วดินแดนความสุขซึ่งเป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่และความสุขอันเป็นไปเพื่อวิมุตติหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ควรจะทราบได้ด้วยปัญญาของนักพรตซึ่งเป็นเพศที่ไตร่ตรองเราอย่าเห็นความสุขที่แฝงอยู่ในอิริยาบถของกายอันเป็นก้อนทุกข์ ว่าจะให้ความสุขแก่เราตลอดกาลและเป็นความสุขที่ควรนอนใจไม่แสวงหาทางออกจะกลายเป็นฝูงแร้งฝูงกาที่เกาะกินซากอสุภซึ่งลอยอยู่ในมหาสมุทรทะเลด้วยความประมาทโดยไม่คำนึงว่าซากอสุภจะนับวันออกห่างจากฝั่งและแปรสภาพจมลงในทะเลหลวงมัวเพลินกินซากอสุภโดยไม่คิดหาทางออกสุดท้ายซากอสุภก็จมลงฝูงสัตว์ตัวประมาทเห็นท่าไม่ดีก็บินหาทางพ้นแต่สายไปเสียแล้วบินเข้าสู่ฝั่งไม่ไหวต้องจมน้ำตายในทะเลกลายเป็นอสุภอันดับสองฝังจมอยู่ในทะเล

    ซากอสุภในที่นี้
    คือกายและสิ่งอาศัยเล็กน้อยฝูงแร้งฝูงกาคือเราผู้ประมาทอาศัยความสุขเล็กๆน้อยๆคอยวันคอยคืนเพื่อความสุขความเจริญโดยผิดทางร่างกายและสิ่งอาศัยเล็กน้อยนับวันแปรปรวนไปโดยเจ้าตัวไม่รู้ผลสุดท้ายก็แตกทำลายกว่าจะรู้ตัวและหาทางออกเวลาสายไปเสียแล้วจึงเป็นทำนองฝูงแร้งกาตัวประมาทจมอยู่ในทะเลหลวงฉะนั้น


    คำว่า
    แดนวิมุตติจึงไม่ใช่แดนแห่งการเวียนเกิดเวียนตายอันคลุกเคล้ากับความทุกข์ทรมานซ้ำๆซากๆหมุนไปเวียนมาเหมือนแดนที่เราอยู่กันนี้ ถ้าเป็นผู้มุ่งต่อความเห็นโทษในสิ่งที่เคยผ่านมาและเพื่อก้าวไปสู่แดนที่ไม่เคยไปซึ่งไปแล้วไม่ต้องกลับมาเป็นซากอสุภจมทะเลอีกจงทำความสนใจต่อข้อปฏิบัติเครื่องดำเนินจะถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยโดยแน่นอนธรรมเครื่องดำเนินคือสติปัฏฐานเป็นต้นที่อธิบายผ่านมาแล้วแต่จะอธิบายอีกเล็กน้อยเพื่อความแน่ใจแก่ท่านผู้ฟัง


    คำว่า
    สติปัฏฐานแปลว่าที่ตั้งของสติมีสี่คือกายเวทนาจิตธรรมทุกส่วนของร่างกายรวมแล้วเรียกว่ากายความสุขความทุกข์และเฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นไปทางกายทางใจที่เรียกว่าเวทนาใจและกระแสของใจที่เกี่ยวกับอารมณ์เรียกว่าจิตสิ่งที่ถูกใจและกระแสของใจเกี่ยวข้องหรือสิ่งที่ถูกเพ่งทั้งส่วนหยาบส่วนกลางและส่วนละเอียดเรียกว่าธรรมทั้งสี่นี้มีสมบูรณ์อยู่กับตัวเราทุกท่านและเป็นบ่อเกิดของสติปัญญาศรัทธาความเพียรตลอดวิมุตติความหลุดพ้นจะเกิดจากสติปัฏฐานสี่ซึ่งได้อธิบายผ่านมาแล้วจึงไม่จำต้องอธิบายอีก


    ฉะนั้นขอให้นักปฏิบัติจงทำการขุดค้นลงในธรรมทั้งสี่นี้ด้วยความเพียร
    โดยไม่ต้องสนใจกับวันคืนเดือนปีอันเป็นของมีอยู่ประจำโลกว่าจะเป็นผู้รอให้บำเหน็จรางวัลและช่วยเปลื้องทุกข์ให้เราเรื่องมีอยู่ที่ทุกข์สมุทัยกับนิโรธมรรคเท่านั้นที่เป็นธรรมเกี่ยวข้องกับเราอยู่ซึ่งจะปฏิบัติกับธรรมเหล่านี้ให้สุดขีดของความจริงประจักษ์ใจ


    คำว่า
    ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคก็ดีสติปัฏฐานสี่ก็ดีและไตรลักษณ์ก็ดีโปรดทราบว่ามีอยู่กับคนๆเดียวมิได้มีอยู่ในที่ต่างกันผู้ปฏิบัติต่อธรรมทั้งสามนี้สายใดสายหนึ่งชื่อว่าปฏิบัติต่อตนเองเพราะจุดความจริงคือตัวเราเป็นฐานรับรองธรรมทั้งสามประเภทนี้ถ้าพิจารณากายเวทนาจิตธรรมให้ชัดเจนด้วยปัญญาแล้วทุกข์กับสมุทัยไม่จำต้องบังคับขู่เข็ญด้วยวิธีอื่นใดแต่จะหมดสิ้นไปเองตามหน้าที่ของเหตุซึ่งดำเนินโดยถูกต้องถ้าพิจารณาไตรลักษณ์คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ให้เห็นชัดว่ากายเวทนาจิตธรรมเป็นไตรลักษณ์แน่นอนไม่เป็นอย่างอื่นการดำเนินสายอริยสัจก็ดีสายสติปัฏฐานก็ดีและสายไตรลักษณ์ก็ดีมันเป็นเรื่องของคนๆเดียวกันและเป็นทางสายเอกที่สามารถยังผู้ดำเนินตามให้ถึงธรรมอันเอกได้เช่นเดียวกัน

    ผู้ปฏิบัติดำเนินให้ถูกต้องตามธรรมทั้งสามจะหนักเบาในสายใดตามจริตชอบ
    ย่อมเป็นเหมือนทำงานร่วมพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขณะของประโยคความเพียรเพราะพุทธกับธรรมเหล่านี้อยู่ในฉากอันเดียวกันผู้ปฏิบัติรู้แจ้งในธรรมเหล่านี้แล้วย่อมจะรู้แจ้งในองค์ของพุทธที่บริสุทธิ์อยู่โดยดีฉะนั้นขอให้นักปฏิบัติผู้กล้าตายเราจงหยั่งสติปัญญาลงในกายเวทนาจิตธรรมโดยความสม่ำเสมอทางความเพียรอย่าเห็นอะไรประเสริฐยิ่งกว่าธรรมบทว่า นิพฺพานํปรมํสุขํ ซึ่งจะแจ้งชัดขึ้นกับใจเพราะอำนาจของความเพียรเท่านั้น


    ในองค์ของสติปัฏฐานสี่บรรจุเรื่องของเราไว้อย่างสมบูรณ์
    คือทั้งกายนอกกายในและกายในกายทั้งเวทนานอกเวทนาในและเวทนาในเวทนาทั้งจิตนอกจิตใจและจิตในจิตทั้งธรรมนอกธรรมในและธรรมในธรรมซึ่งเป็นเป้าหมายของการพิจารณาโดยผู้ปฏิบัติจะไม่ได้ทำความสงสัยว่าตนมีสติปัฏฐานสี่ไม่ครบบริบูรณ์ทั้งภายนอกภายในแต่การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสติปัฏฐานสี่ภายนอกไม่สมบูรณ์และสติปัฏฐานป่ากับสติปัฏฐานบ้านเกิดทะเลาะกันแต่แสดงเพื่อโอปนยิโกผู้ปฏิบัติพระศาสนาที่สนใจจะได้ทราบว่าความดีความชั่วไม่ได้มีอยู่เฉพาะภายนอกอย่างเดียวแม้ภายในตัวเราก็ยังมีดังนั้นสติปัฏฐานสี่จึงไม่ควรคอยสมบูรณ์จากภายนอกโดยถ่ายเดียวแม้ภายในตัวของบุคคลคนเดียวก็ควรจะสมบูรณ์ด้วยสติปัฏฐานสี่ได้

    ส่วนผู้จะพิจารณากายนอก
    เช่นกายคนอื่นสัตว์อื่นเป็นต้นนั้นไม่มีปัญหาอะไรเพราะปริยัติท่านวางไว้แล้วอย่างตายตัวเช่นธุดงค์ข้อเยี่ยมป่าช้าก็ทรงมุ่งกายนอกอย่างเด่นชัดส่วนเวทนาจิตธรรมทั้งนี้แล้วแต่ผู้จะหาอุบายแยบคายเพื่อตนเองถ้ามีความแยบคายภายในใจอยู่ที่ไหนไปที่ใด ย่อมเต็มไปด้วยสติปัฏฐานสี่ทั้งนั้นถ้าไม่สนใจด้วยแล้วนั่งเฝ้านอนเฝ้าสติปัฏฐานสี่ก็ไม่มีโอกาสรู้เห็นว่าสติปัฏฐานสี่เป็นอย่างไรและอยู่ที่ไหนหาไม่เจอตลอดกัปกัลป์เช่นพวกเราที่ตกค้างอยู่ในโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็คือพวกค้นหาสติปัฏฐานสี่ไม่เจอนั่นเองไม่ต้องไปตำหนิใคร


    เรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่งก็คือ
    เรื่องของเราผู้ค้นหาของจริงในตัวไม่พบถ้าต้องการจะผ่านความตำหนินี้ไปคำว่า อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ ก็ควรถือเป็นเรื่องของเราอย่างสมบูรณ์วาระสุดท้ายซึ่งเป็นงานเพื่อตัวและส่วนรวมจึงถือเป็นเรื่องของเราจะต้องทำจนสุดความสามารถจะไม่เสียลวดลายของผู้เป็นศิษย์พระตถาคตผู้ปรากฏเพศทางความเพียรและประทานพระโอวาทไว้มีศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญาซึ่งเป็นรากฐานและร่องรอยที่ทรงผ่านไปแล้วเช่นเดียวกับการปลูกบ้านเรือนด้วยโครงเหล็กเทคอนกรีตอย่างหนาแน่นฉะนั้นคำว่าสติปัฏฐานสี่ก็ดีอริยสัจสี่ก็ดีและไตรลักษณ์ก็ดีอย่าให้ฝังอยู่เพียงความจำเราเป็นนักบวชขอให้ธรรมทั้งนี้ฝังรากลึกลงถึงปัญญาจริงๆจะเห็นทางพ้นทุกข์ปรากฏขึ้นกับใจเป็นลำดับ


    ในขณะปัญญากับธรรมทั้งสามนี้ได้เชื่อมถึงกัน
    การเชื่อมสนิทระหว่างปัญญากับธรรมเหล่านี้จะเป็นทางหลุดพ้นโดยไม่มีอะไรจะสามารถมาแยกออกได้ความหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าก็ดีของพระสาวกก็ดีที่เลื่องลือมาเป็นเวลานาน จะทราบได้โดยประจักษ์ว่าทรงหลุดพ้นเพราะธรรมเหล่านี้เท่านั้นซึ่งเป็นจุดรับรองความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงดังนั้นขอให้นักปฏิบัติจงทำความพยายาม จนสามารถยังธรรมที่กล่าวนี้ให้เชื่อมถึงกันกับปัญญาอย่างแนบสนิทความพ้นทุกข์ซึ่งรอคอยมานาน จะประจักษ์ขึ้นจากจุดนี้โดยไม่ต้องสงสัย

    ในอวสานแห่งการแสดงธรรมก็สมควรการยุติ
    ขอความสวัสดีจงมีชัยจงเกิดมีแก่ทุกท่านตามใจหวังเทอญ

    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2227&CatID=9]Luangta.Com -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมดา เวลามาภาวนาขึ้นสู่การ มุ่งเห็นไตรลักษณ์ มีความสนใจอย่างแรงกล้า
    ด้วยศรัทธา ด้วยความแยบคายในการ ใส่ใจใคร่ตรวญไตรลักษณ์

    ธรรมชาติของนักภาวนาคนนั้น ก็จะพร่ำพูด นั้นไม่ใช่ตน ตนไม่มี นั่นก็ทำไม่ได้
    เพราะไม่เที่ยง นั่นก็ยึดถือว่าทำได้ก็ไม่ได้เพราะเป็นทุกข์

    พอ พร่ำพูด ด้วยความใส่ใจ่ ด้วยการใคร่ครวญให้รู้รอบ ไม่พ้นจากวงความใคร่
    ครวญนี้(ปริภาวิตา) และทำให้ มากๆ(พหุลีกตา) คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่า คนๆ
    นี้กำลังไม่ทำอะไรเลย ไอ้นั้นก็ไม่ทำ ไอ้นี้ก็ไม่เอา แถม พูดประหนึ่งว่า ไร้อัตตา
    แล้ว

    คนที่ไม่เข้าใจนักภาวนาที่เขากำลังใส่ใจ ยกไตรลักษณ์ ก็จะไปด่าเขาว่า พวกขี้เกียจ
    ไม่ยอมทำ

    แท้จริงแล้ว เปล่าเลย เขาเหล่านั้น กำลังพากเพียรใคร่ครวญรู้รอบ(ปริภาวิตา) ด้วย
    ความประกอบเนืองๆ(พหุลีกตา) ในแบบของเขา

    แต่เพราะ คนที่อาสวะไม่สิ้น ยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไร ก็อาสัย ความพร่ำเพ้อนั้นปรักปรำ
    ว่า พวกเขาเป็นพวก ขี้เกียจ เป็นหมาเห่าใบตองแห้ง เป็นขี้ลอยน้ำ เป็นพวกไม่รู้เอา
    ปัญญามาแต่ไหน เป็นผู้ไม่ประกอบสมถะ เพราะเอาแต่พิจารณาใคร่ครวญนั้นก็ไม่เที่ยง
    นั่นก็ทำไม่ได้ นั่นก็ไม่มีผู้ทำ

    โอ้ละพ่อ ของความไม่มีศีล และ ไม่รู้ขั้นตอนในการภาวนาของคนบางคน

    ดังนั้น ก่อนจะตำหนิผู้ที่กำลัง ใส่ใจยกการภาวนาเห็นไตรลักษณ์ นั้น ผู้ที่กำลังทำ
    การตำหนินั้นต้องทำความเข้าใจ ส่วนหนึ่งของคำสอนที่กล่าวนี้ให้ดี

    อ้างอิงจากข้างบนนั่นแหละ

    ดังนั้น หากมีเพื่อนนักภาวนา กำลังสมาทานคำสอนอันมีค่าของหลวงตา ให้พิจารณาไตรลักษณ์
    แล้ว เขาผู้นั้น จะพร่ำเพ้อเหมือนกับคนแต่งงานใหม่ๆ ก็ต้องให้โอกาส และค่อยเสวนาธรรม
    กันไป ดีกว่า ไปตำหนิความพยายามสมาทาน การเห็นไตรลักษณ์ เพื่อออกจากวัฏสงสาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    น่าเสียดายที่ระหว่างพิจารณาไม่พิจารณากิเลสตน
    กลับส่งจิตออกนอก พิจารณาแต่คนอื่น จนตนเองสัญญาวิปลาส
    เมื่อสัญญาวิปลาสแล้วก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ หยิบจับอะไร ผิดพลาดไปหมด

    แล้วพร่ำเพ้อแต่ว่า เราเห็นแล้ว เราเห็นแล้ว
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ทุกอักษรท่าน จักทำเราอ่อนน้อม

    เพราะเห็นความไม่เที่ยงนั้น เป็นปัจจุบันสภาวะ

    ทำให้สับสนโลกได้ จิตจะวิ่งหาที่พึ่งสูงสุด
     
  5. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ผู้สนใจยึดไตรลักษณ์เป็นทางเดินของจิตแต่ยังมีทางเป็นข้าศึกต่อบุคคลผู้ไปยึดถือไตรลักษณ์ว่าเป็นตนเพราะเมื่อถือไตรลักษณ์เป็นตนแล้วทุกสิ่งไม่ว่าข้างนอกข้างในก็จะกลายเป็นตนและกลายเป็นของตนขึ้นมาเพราะความสำคัญว่านี้เป็นตนนั่นเป็นของตนเป็นเหตุแม้สภาวะทั้งหลายจะเป็นไปตามความจริงของเขาก็ตามแต่ผู้มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าแล้วต้องมุ่งให้สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามใจหมาย โดยให้เป็นสุขบ้างให้ทุกสิ่งยั่งยืนถาวรบ้างเป็นต้นนั่นคือบ่อแห่งความทุกข์อันซับซ้อนเริ่มแสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผยแล้วเพราะการปักปันเขตแดนไว้ถูกล้มละลายไปตามหลักคติธรรมดาเกิดอารมณ์ไม่สมหวังขึ้นมาบนหัวใจจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนขุ่นมัวประหนึ่งเพลิงทั้งกอง

    อนุโมทนา ครับ
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สัญญาวิปลาส กับเห็นว่า ปกติความจริง

    ปกติความจริง กับเห็นว่า สัญญาวิปลาส

    เหมือนหรือต่างกันหนอ ข้อนี้ไม่ต้องการคำตอบ

    เพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาไม่พูดกัน
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็อย่างคุณ เมื่อวาน ก็เสวนาธรรมกับโสดาบันผู้หนึ่งผู้เลิสในการลงพรหมทัณฑ์
    เรื่อง ตทังคนิพพาน

    คุณก็ยกว่า ปุถุชน เขาก็มีได้ แต่ไม่เห็น และเพราะไม่เคยอบรมการ
    เห็นเลยเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่การพ้นชั่วคราวนั้นมีอยู่

    อันนี้คืออะไร

    ก็คือ คุณเอง ก็กำลังพูดว่า อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว ปุถุชนเองก็มีนิพพาน
    อยู่แล้ว แต่ไม่ได้อบรมการเห็น

    คนอื่นเอามา ชี้ให้ดูอย่างที่คุณพูด คุณตำหนิเขาว่า พูดผิดสอนผิด

    แต่ตัวเองพูดว่า ปุถุชนสัมผัสนิพพานอยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว ตัวเอง
    กลับพูดได้

    สุดท้าย ก็ดิ้นรนแก้เก้อ เที่ยวตำหนิคนที่พูด "อยู่แล้ว อยู่แล้ว" ที่เป็น
    คนอื่นไม่ใช่ตนพูดว่า "เพ้อเจ้อ" กับการชี้ให้เห็น "อยู่แล้ว อยู่แล้ว"

    และเพื่อให้ดูสมจริง แทนที่จะเล็งเห็นว่า เขาแค่ชี้ให้เห็น เพื่ออบรมการ
    เห็น ผลิกไปเป็นปรักปรำเขาว่า เขา "เห็นแล้ว เห็นแล้ว" ก็สมใจตัว
    เองที่จะได้เบียดบังคนอื่นไม่ให้ พูด กล่าวธรรม อย่างที่ตนทำ

    ผูกขาดการสอน ไว้ที่ตน ตนถูกคนเดียว สำนักอื่นสอนผิด

    ก็มีแต่ สายของคุณเท่านั้น ที่เพียรกระทำอาการเหล่านี้

    หลวงตาท่านนิยาม อาการนี้ว่า "จบวิชาหมากัดกัน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ ไม่รู้จักใคร่ครวญ มิหนำซ้ำ ยังไม่เปิดใจสู่ธรรมอันละเอียดเอง

    เรื่อง ตทังคนิพพาน นั้นพระศาสดากล่าวเอาไว้แล้ว เรื่องนี้ ไม่ต้องหยิบมาพิจารณาหรอก

    สำหรับ เรื่องปุถุชน สัมผัสนิพพาน นั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เขาไม่รู้ตัวเอง และไม่เห็น เพราะอำนาจอวิชชามันแรงและมันผลักดันตลอด ข้อนี้พูดไปก็จะเหมือนกับว่า ลดคำว่า พระนิพพานลงมาต่ำ แต่คนมีปัญญาต้องรู้จักใคร่ครวญก่อน ไม่ใช่กลายเป็นว่า ไปผูกเรื่องเอาเอง

    ส่วนเรื่อง สำนักอื่นสอนผิด นี่ก็มาจากความรู้สึกของคุณเอง ธรรมใดยังไม่ถูกต้องมันก็ต้องพูด มันก็มีเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรต้องเอะใจนี่
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <MARQUEE direction=up scrollAmount=2>




    </MARQUEE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ตกลงลุขขันธ์เป็นภาคอวตารของ บรรพต รึเปล่า ผมชักงง
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้าวอาหลง อย่า งง ซี่

    ท่านลุงขันธ์นั้น ท่านมีปรกติสอน

    "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"

    "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"

    "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"

    "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"



    เป็นสำนักใหม่ที่พูด "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว" ได้ถูกต้องที่สุด คนอื่น
    พูด "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว" ผิดหมด แต่ของลุงขันธ์มี....รองรับอยู่แล้ว
    อยู่แล้ว อยู่แล้ว เป็นธรรมยุติเสียด้วย"อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"

    ต่างจากพี่บรรพตตั้งเยอะ ท่านนั้น พูดบ่อนิพพานนอนแช่อยู่แล้วก็เพื่อบอกว่า
    ตัวเองรู้ถูกต้องว่า อยูแล้วนั้นอยู่อย่างไร ......อ้าว...เอ ชักงง เหมือนกัน
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็เพราะว่า คุณยังไม่ทำให้มันแจ้ง คุณก็ยังไม่อาจจะเข้าใจอรรถโดยลึกได้

    เคยได้ยินไหมว่า ตถาคตจะอุบัติขึ้นหรือไม่ ธาตุนั้นมีอยู่
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ คงต้องไปแย้งกับพระศาสดา แล้วกันนะ เพราะคำที่ว่า มีอยู่แล้ว นั้นเป็นคำตรัสของพระศาสดา
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่า พาเขวประเด็นสิ

    ไม่ได้ กล่าวแย้งว่า ไม่มี ยอมรับอยู่แล้วว่ามี

    แต่ที่แย้งนี้คือ คุณผูกขาดการชี้ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่ามีอยู่แล้ว แต่ผู้เดียว

    หากเป็น คนอื่น มาพูดบ้างว่า พระพุทธองค์ตรัสว่ามีอยู่แล้ว บ้างคุณ
    ก็จะด่าคนที่มาพูดเหมือนคุณว่า "เพ้อเจ้อ" พวกยึดสัญญา

    ทั้งๆที่ เขาก็เพียงแต่พูดว่า "พระพุทธองค์กล่าวว่า........"

    ก็ถ้าจะดิ้นรนปรักปรำ เขวประเด็น เพื่อจะผูกขาดการพูด ก็ทำไปนะ

    เพราะว่า ผูกขาดได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ตายอยู่แล้ว

    ทำโรงวิชาอมตะไปถึงไหนแล้วหละ ทำไม่ทัน ตายอยู่แล้ว อยู่แล้ว บ่อตาย
    หนะรออยู่ข้างหน้าแล้ว
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คิดว่าคำตอบจากลุงขันธ์ คงใช้แทนกันได้



    "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว"
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาหละ นี่อ้างมาจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย เล่ม 8

    ข้อที่ว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่ ถามว่า มีอยู่ที่ไหน อยู่ที่ท้องฟ้า มหาสมุทรหรือ

    ธรรมชาตินั้นอยู่ที่ใจ ของทุกคน เป็นธรรมชาติของจิต

    แต่ทีนี้ ก็ด้วย อวิชชา นั้นแหละ ปิดบัง มันเลยไม่เห็น

    เรื่องนี้ ถึงบอกว่า เข้าใจยาก ไม่อยากจะอธิบาย แต่มีคนชอบจับผิด เอาความเข้าใจส่วนตัวมาจับผิด
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก่อนจะเอา คำสอนของพระพุทธองค์มาสนับสนุนธรรมของตน เพิ่ม

    อ่านก่อนหรือยังว่า เขาแย้งกันที่ประเด็นไหน

    สักแต่ว่า ดิ้นรนเอาธรรมะมาสนับสนุนตน เพื่อให้ตนเป็นคนข้าง
    พระพุทธองค์แต่สำนักเดียว ....มีประโยชน์จริงหรือ ทำให้อายุยืนจริงหรือ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ คุณลองไปดูตนเองและ สหายของคุณก่อนดีกว่ามั้ง ที่พยายามทำตัวเป็นคนโง่ เข้าใจอะไรยาก

    แล้วเที่ยว พยายามตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมา ในขณะที่เวลาตนเองผิดพลาด กลับมองข้ามผ่านไป

    ผมว่า คุณเอาเวลาไปแย้ง หลวงพ่อปราโมทย์ จะดีกว่า
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คนโง่ นั้นมีพฤติกรรมแปลก ใครอย่าไปตำหนิเลยว่า ตนยังไม่รู้ธรรมข้อนั้นข้อนี้ ตนนั้นโมโห
    ใครอย่าไปบอกเลยว่า เธอกล่าวผิดข้อนั้นข้อนี้ โมโห

    แต่ เวลาผู้อื่นกล่าวธรรม ตนเองโง่ขึ้นมาทันที อ่านไม่รู้เรื่องบ้าง ตรงนั้นตรงนี้ผิดบ้าง แล้วคิดว่า ตนนั้นฉลาด
    ที่ได้กล่าวแย้ง ธรรม ได้ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี

    ขนาดว่า ถ้าจับผิดได้ ในตัวสะกด ก็คงจะทำเหมือนกัน
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตอนนี้เขานิยมทำหนังสือ เปิดปูมกัน ผมหันมาดู เอ ก็มี
    เหมือนกัน จะลองยกให้พิจารณาดูเนาะ

    หนังสือจะชื่อ กว่าจะจากบริกรรมพุทโธ..จนมาถึง..."อยู่แล้ว"

    พลอตเรื่องจะเรียงลำดับจากราวๆ ปี 49 เอาที่ผมรู้ นอกนั้นต้องให้อาหลงเขา
    เสริมหน้า

    ปี 49 เน้นพร่ำพูดแต่เรื่อง พุทโธ เพราะตอนนั้น กำลังดัง กำลังกู้ชาติ

    ปี 50 แอบมาพูดเรื่อง อมตะ อิทธิบาท อิทธิฤทธิ์ สอนงู สอนนาก

    ปี 51 แอบมาพูดเจริญสติมากๆ เริ่มทิ้งการพูดถึง บริกรรมพุทโธ

    ปี 52 ทิ้งบริกรรมพุทโธเป็นส่วนใหญ่ พุดแต่การเจริญสติ เพราะเขาริ่มฮิต

    ปี 53 ทิ้งการเจริญสติ แอบชม้ายชายตาแล "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว" แนวใหม่

    ปี 54 ทิ้งการเจริญสติ เน้นมาพูดมาสอน "อยู่แล้ว อยู่แล้ว อยู่แล้ว" เองเสียเลย
    เพราะว่า มันก็เข้ากันดีกับ "อาการปอดแหก เพราะสังขารมันไม่เที่ยง เลยต้อง
    กลับไปยื่นนิ้วแม่(วัยสิบ)ไปคีบ ความลับสวรรค์(อมตะ)ไว้"

    สรุป ตอนนี้คือ "อมตะอยู่แล้ว อมตะอยู่แล้ว อมตะอยู่แล้ว" บริกรรมไป
    ความลับสวรรค์ ไปอยู่สววรค์ดีกว่า เพราะ นิพพานคืออะไร ไม่รู้แล้ว
    ขอไปอยู่สวรรค์ละกัน เพราะกำลังจะตายอยู่แล้ว

    ปัดโถ่.......................( เรื่องของใคร ก็ไม่รู้นะ เดาได้อยู่แล้วกันเอง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...