ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    บุชเตรียมส่งทหารไปเสี่ยงตายในอิรักอีก 4 หมื่น
    21:15 น. สื่อมวลชนของสหรัฐ รายงานว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ อาจส่งทหารอีก 4 หมื่นนาย ไปยังอิรัก ตอนที่เขาเปิดเผยเปิดเผยนโยบายอิรักที่มีการทบทวนใหม่ โดยรายงานของ CNN ได้ประเมินว่า อาจจะมีการส่งกำลังทหารจำนวนระหว่าง 9 พัน ถึง 4 หมื่นาย ไปยังอิรัก ซึ่งแหล่งข่าวในกองทัพระบุว่า เพิ่มจากเดิมที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอิรักในปัจจุบัน 130,000 นาย ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ อาจยิ่งสร้างความขัดแย้งในขณะที่สงครามอิรัก กำลังไม่เป็นที่พอใจของสาธารณชนชาวอเมริกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

    CNN ระบุว่า ประธานาธิบดีบุช อาจจะประกาศเรื่องการส่งกำลังทหารไปเพิ่มในอิรักอีก 2 หมื่น ถึง 4 หมื่นนาย ในราวต้นสัปดาห์หน้า และวัตถุประสงค์ในส่งทหารไปเพิ่มเป็นปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจครั้งนี้ ด้าน CBS News ได้รายงานอ้างแหล่งข่าวในกองทัพว่า ประธานาธิบดีบุชกำลังเตรียมส่งทหารราบและนาวิกโยธิน 9 พันนาย ไปยังอิรัก และอีก 11,000 นาย ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ที่คูเวต และในสหรัฐด้วย CBS ระบุว่า กองพลน้อย 2 กองพล ที่มีทหารอยู่กองพลละ 7,500 นาย อาจเป็นทหารชุดแรกที่ต้องเดินทางไปแบกแดด ขณะที่นาวิกโยธินอีก 1,500 นาย อาจถูกส่งไปยังจังหวัด อัล-อันบาร์ที่เป็นเขตอิทธิพลของชาวสุหนี่ ส่วนกองพบน้อยอีกหนึ่งกองพล ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ที่คูเวต และกองพลน้อยอีก 2 กองพล ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ที่สหรัฐ ด้านหนังสือพิมพ์เดอะ แม็คแคล็ทชี่ รายงานว่า ประธานาธิบดีบุชกำลังพิจารณาส่งทหารราว 4 กองพลน้อยหรือจำนวนระหว่าง 15,000 ถึง 2ด หมื่นนาย ไปยังอิรัก แต่รายงานของทุกสำนัก ระบุตรงกันว่า ยังไมีการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย โดยเฉพาะในเรื่องของจำนวน ด้านประธานาธิบดีบุชได้เขียนความเห็นของเขาลงใน วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันพุธว่า เขาจะแถลงยุทธศาสตร์ใหม่เกี่ยวกับอิรักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากก่อนหน้านี้ เขาระบุว่า กำลังพิจารณาทุกทางเลือกรวมทั้งการเพิ่มทหารในอิรักเป็นการชั่วคราวด้วย
     
  2. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    เกาหลีเหนือ หนับหนุน นโยบายใหม่
    21:13 น. ชาวเกาหลีเหนือออกมาสนับสนุนนโยบายใหม่ของประเทศ ที่มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ละทิ้งเรื่องการทหาร

    ชาวเกาหลีเหนือหลายหมื่นมารวมตัวกันที่จตุรัสคิม อิล ซุง ในกรุงเปียงยางวันนี้ เพื่อฉลองนโยบายใหม่ หลังจากทางการประกาศเมื่อวันปีใหม่เรื่องเป้าหมายใหม่ของประเทศสำหรับปี 2550 ซึ่งก็รวมถึงการเรียกร้องให้เสริมความแข็งแกร่งทางการทหาร และการฉลองศักยภาพทางด้านนิวเคลียร์
    ในบทบรรณาธิการร่วมของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 3 ฉบับของเกาหลีเหนือเมื่อวันจันทร์ เกาหลีเหนือประกาศเดินหน้านโยบาย ซอนกัน หรือ การทหารมาก่อน ที่ช่วยให้ประเทศพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจด้วย
    และในการชุมนุมใหญ่วันนี้ ก็เพื่อแสดงการสนับสนุนบทบรรณาธิการดังกล่าว งานนี้ หลายคนชูภาพของอดีตประธานาธิบดีคิม อิล ซุง และ คิม จอง อิล ผู้นำคนปัจจุบันบางคนก็ชูป้ายสรรเสริญรัฐบาล และเป้าหมายใหม่ของประเทศ
    งานนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ และของรัฐบาลเข้าร่วมหลายคนโดยนาย ปัง โชล กับ ประธานคณะกรรมาธิการประชาชนกรุงเปียงยางทำหน้าที่อ่านแนวทางการทำให้นโยบายดังกล่าวบรรลุผล บทบรรณาธิการเมื่อวันปีใหม่ บอกว่า ตอนนี้เกาหลีเหนืออยู่ในกลุ่มมหาอำนาจนิวเคลียร์แล้วหลังการทดลองอาวุธเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนี้แนวทางนโยบายใหม่จึงเปลี่ยนมาเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน แต่ก็เตือนให้กองทัพ เตรียมปกป้องผู้นำของประเทศอย่างสุดความสามารถด้วย
     
  3. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    พุทธะถามตอบเกี่ยวกับชาติและประชาธิปไตย

    พุทธะถาม “ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดีที่สุดใช่ไหม”
    พุทธะตอบ “ผิดถนัด ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เรากำลังร่างรัฐธรรมนูญ แต่เรายังหลงประชาธิปไตย เพราะเราไม่คิดนอกกรอบ ทุกวันนี้เราเห็นอยู่ ความล่มสลายของเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากระบบทุนนิยม ที่ขายพ่วงมากับระบอบประชาธิปไตย แต่เราไม่มองย้อนความเจริญของเราในอดีต อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของฝรั่งมังค่าว่า พระมหากษัตริย์ของเราปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะระบอบการปกครองของเรานั้นเป็นระบอบพุทธะ ที่เต็มเปี่ยมด้วยทศบารมี เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์มาสร้างความผาสุกให้กับคนในชาติและความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ และมีแนวคิดว่าตนเป็นพรหมมาจุติ พรหมลิขิตชีวิตคนได้ ทว่าในอดีตพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านทรงโปรดสั่งสอนให้ละฑิฐิและหันมาใช้ระบอบการปกครองแบบพุทธะ”

    พุทธะถาม “แล้วมีระบบอบได้ที่ดีกว่านี้อีก”
    พุทธะตอบ “มีแน่นอน หากเราไม่หยุดที่จะพัฒนาหรือค้นหา ความจริงระบอบการปกครองของไทยในหลายยุคเป็นระบอบการปกครองที่ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย หากเราจะเปรียบเทียบความเจริญรุ่งเรืองและความสงบร่มเย็นแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินมา เราย่ำแย่และล้มเหลวมากที่สุดกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะทรราชที่ชื่อว่า “คณะราช” ก่อกบถปล้นราชวงค์ ทำไมเราไม่หันกลับไปมองความดีงามที่เรามีมาแต่ครั้งอดีตละ ระบอบการปกครองแบบพุทธะที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงโปรดสั่งสอนและถ่ายทอดเป็นสิ่งล้ำค่าที่ประเทศใดไม่อาจเสมอเสมือนได้ นำมาพัฒนาปรับปรุงให้เข้ากับเราเอง และปรับตัวให้เข้ากับภายนอกได้ ทำไมเรายังหลงเดินตามก้นฝรั่งอยู่อีก”

    พุทธะถาม “หมายความว่าอย่างไร กรุณาอธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้กระจ่าง”
    พุทธะตอบ “ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เราถือว่าดีที่สุด แต่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็ด้วยความเจริญทางวัตถุ และแรงขับดันจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ยังผลผลิตให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ จนคนพอใจกับความสำเร็จทางอุตสาหกรรม แต่มิใช่ความสำเร็จทางการปกครองเลยแม้นแต่น้อย เพราะขาดมุมมองทางด้านผลกระทบทางสังคม ทำให้คนหยุดพัฒนาปรัชญาการปกครองแบบประชาธิปไตยของ “อดัม สมิทธ” คนคิดว่ามันสมบูรณ์แล้ว แท้จริงแล้วไม่ใช่ การนำเสนอต่อไปนี้จะแสดงจุดอ่อนทั้งหมดและสิ่งที่ “คาร์ล มาร์ก” เตือนให้ระวัง ถึงความเลวร้ายของระบบทุนนิยมที่พ่วงมากับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย “คาร์ล มาร์ก” ไม่ได้ต่อต้านแนวคิดเสรีนิยม และสังคมนิยม ทว่าเขาแต่ยังหาทางออกให้ไม่ได้ จึงเสนอให้ประชาชนได้แก่แรงงาน ลุกขึ้นประท้วง ก่อการนองเลือดเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการคิดที่ไม่จบ และเป็นทางออกที่ไม่ถูกต้อง เป็นเพียงจุดเริ่มคิดเท่านั้น”

    พุทธะถาม “แล้วอย่างไรต่อ ระบอบไหนที่ว่าดีกว่าประชาธิปไตย แล้วเรื่องที่กล่าวหาคณะราชละ”
    พุทธะตอบ “ประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนของไทย ระบุว่า คณะราชคือผู้ยึดคืนอำนาจประชาธิปไตยมาให้ประชาชน เพราะระบอบการปกครองของไทยเป็นแบบ “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งแท้แล้ว ร. เจ็ด ทรงกำลังวางรากฐาน อย่างรอบคอบเพื่อมอบประชาธิปไตยให้ประชาชน ทว่าทรราชเหล่านี้ รวมตัวกันปล้นพระราชอำนาจก่อน ด้วยความเกรงกลัวว่าหากท่านสละราชแล้วตนเองอาจมิได้รับเลือกครองอำนาจ จึงรวมตัวกันมาปล้นพระราชอำนาจ แล้วแสดงตนว่าเป็นวีรบุรุษ ทั้งหล่าวหาระบอบการปกครองเก่าแก่ของไทยว่าเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งผิดมหันต์ดังที่กล่าวมาข้างต้น การกระทำนี้เกิดจากการที่พวกเขาได้ไปร่ำเรียนเมืองนอก แล้วหลงใหลแนวคิดตะวันตก จนไม่มองดูความเป็นไทย ใจร้อน เรียกว่าไหลตามกระแสการต่อต้านพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ทั้งที่จริงแล้ว ร. เจ็ด ทรงปกครองด้วยความเมตตา แต่ปัญหาเศรษฐกิจขณะนั้น ยากเกินเยียวยา ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก โทษใครไม่ได้ พวกเขาก็อาศัยโอกาสนี้ ในการปล้นราชวงค์ แล้วยัดเยียดข้อหาให้ราชวงค์ไทยเพื่อชิงอำนาจ”

    พุทธะถาม “สรุปไม่ได้นะ ว่านายกที่ผ่านมาใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วไม่ดี”
    พุทธะตอบ “ได้สิ ลองย้อนกลับไปดูอดีต นายกของเราแต่ละคนแทบไม่ได้ปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตยเลย ยกเว้นนายกบางท่านที่เจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น ที่เห็นตึกรางบ้านช่องเยอะขึ้นมานี้ เป็นผลจากการทะลวงไหลเข้ามาลงทุนทำลายทรัพยากรของไทย โดยฝีมือนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งนั้น เมื่อได้กำไรสมใจอยากแล้วก้ถอนทุนหนีไป ไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา ในขณะที่องค์พระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ตรากตรำพระวรกายอย่างหนัก เหยียบย่ำไปทั่วแดนดิน ที่ห่างไกลและไร้ความเจริญ เพื่อหวังเป็นแนวทางให้นายกเดินตาม ทว่า เหล่านายกที่ผ่านมาจะมีสักกี่คนที่เห็นแนวทางนั้น มีใครสักกี่คนที่เดินออกไปดูชาวไร่ชาวนาแล้วนั่งลงคุยกับเขาโดยตรงเหมือนพระองค์ท่าน มีแต่ออกข่าวอยู่ในทำเนียบ คุยกันแต่เรื่องกล่าวโทษผู้นั้นผู้นี้ ไม่ได้คุยกันเรื่องความคืบหน้าของงาน บ้างก็เสนอโครงการให้ประชาชนสนใจ เลือกไปเป็นนายก แต่ไม่เคยลงดูชาวไร่ชาวนาจริงๆ การตัดสินใจก็ผิดพลาด ซ้ำยังโกงกินชาติบ้านเมืองก็มี เราได้พิสูจน์มายาวนานแล้วครับว่านายกทั้งหลายปกครองประเทศสู้ในหลวงไม่ได้ ใจคนไทยทุกคนตอนนี้เป็นดวงเดียวกันหมด แต่เราติดตรงที่ประชาธิปไตย มันดักห้ามไว้ ว่าห้ามถอยหลังกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช ในขณะที่ผมกำลังบอกว่าเราไม่ได้ถอยหลังไปแบบนั้น แต่เราก้าวใหม่ให้ถูกต้องจากระบอบการปกครองแบบพุทธะต่างหาก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ”

    พุทธะถาม “แปลว่าให้ต้องกลับไปเป็นอย่างเก่า เราไม่ถอยหลังเข้าคลองหรอกหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ เราย้อนกลับไปชำระประวัติศาสตร์ ใช้สติหยุดคิด เลิกยึดติดในคำพูดโฆษณากล่อมหัวใดๆ ที่เคยหลอกเรามา แล้วดูด้วยใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ แล้วย้อนกลับไปทบทวนความเป็ฯมาของประวัติศาสตร์ไทยใหม่ ตรองดีๆ นานๆ ลึกๆ อย่าหยาบคายแบบฝรั่งมังค่า ก็จะได้สติคิดได้ว่ามันถึงเวลาที่เราจะปลดตัวเองจากการเป็นทาสระบอบทุนนิยมที่ครอบงำเรามานานโดยที่เราไม่รู้ตัวแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่แต่เรา มาเลเซียเองก็กำลังปลดตัวเองจากการเป็นทาส ตั้งแต่สมัยมหาเธ หรือแม้แต่ไต้หวัน ผู้คนก็กำลังหาทางออกใหม่ๆ ดูได้จากการรวมคนได้เป็นล้านๆ เพื่อประท้วงของ ซือ หมิง เต๋อ หรือแม้นแต่ภูฏานก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็วคาดไม่ถึง เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสละราชบัลลังก์ให้แก่มกุฏราชกุมาร “จิกมี” เมื่อทรงเห็นว่าเป็นกาลเวลาอันควร และมกุฏราชกุมารมีพระสติปัญญาพร้อม ตั้งแต่ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย และประกาศว่าจะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปกครองประเทศโดยใช้ดัชนีชี้วัดความสุขของคนในชาติ เห็นชัดหรือยังว่า อิทธิพลทางความคิดด้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยเราปัจจุบัน ยิ่งใหญ่แค่ไหน ทีนี้ตาแจ้งสว่างหรือยัง”

    พุทธะถาม “แล้วการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะช่วยได้ไหม”
    พุทธะตอบ “ตราบใดที่ยังคิดในกรอบ ก็ยังเดินในกรอบที่ประเทศมหาอำนาจเขาวางกรอบไว้ให้เดิน แล้วเราจะเหนือเขาได้อย่างไร อันที่จริงเราไม่ได้อยากเหนือใคร แต่ถ้าเขากดขี่เราด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ ครอบงำให้เราไม่มีความผาสุก ทุกคนเป็นโรคเบื่อวันจันทร์ เครียดกับการทำงาน และเคยคิดไหมว่าจะทำเงินไปทำไมนักหนา แล้วหลอกตัวเองว่าทำไปเหอะน่า ให้ลูกหลานเราไง สะสมไว้เป็นมหาเศรษฐี แล้วก็ทำงานตะบี้ตะบันแข่งขันจะเป็นจะตายไร้ความสุข อย่างไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ลูกไม่ได้เห็นหน้าแม่ แม่ไม่เคยได้มีเวลาให้นมลูก แม้แต่เวลาจะใส่บาตรตอนเช้ายังไม่มี จะเข้าวัดก็ทำไม่ได้ เพราะต้องถ่อสังขารออกไปไกล ทำงานหกวัน แค่เรื่องในบ้านก็ชำระไม่ไหวแล้ว สิ่งเรานี้ละคือระบบทาสแนวใหม่ ที่เรียกว่า “ทาสจำยอม” โดยที่เราไม่รู้ตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมาบอกว่าเราไม่ใช่หมูในคอกที่จะมาจำกัดอิสรภาพในการใช้ชีวิตของเรา แล้วกลบเกลื่อนว่าเรามีอิสรภาพที่จะซื้ออะไรมาสนองกิเลสตัญหาเราก็ได้ เพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นหมูที่เรียกร้องและเลือกอาหารการกินได้อย่างเสรี แต่คนไทยเราเป็นนกที่รักอิสรภาพ ต้องการอิสระเวลาส่วนตัวในชีวิต จะมากักขังเราดั่งหมูมิได้ ภาวะ “ทาสจำยอม” นี้ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน และไม่มีในการปกครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไมเราไม่เรียกร้องให้พระองค์ปลดเราออกจากการเป็นทาสเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าทรงช่วยชาวไทยละ หากเราไม่พึ่งบารมีของพระมหากษัตริย์แล้ว อยากถามว่านายกหน้าไหนจะทำให้เรา ในเมื่อนายกทั้งหลายเป็นพวกเดียวกับนายทุน มิใช่พวกเดียวกับประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราต่างหากที่เป็นพวกเดียวกับประชาชนอย่างแท้จริง และจริงใจ”

    พุทธะถาม “อย่างนั้นแสดงว่า ไม่มีนายกคนไหนที่ดีเลยหรือ”
    พุทธะตอบ “มีแน่ ถ้านายกคนนั้นเดินตามรอยในหลวงอย่างแท้จริง แต่เราต้องยอมรับก่อนว่าการปกครองที่ดีที่สุดคือระบอบพุทธะ และนายกจะมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์เป็นไปไม่ได้ เราต้องทวงความยุติธรรมคืนให้กับพระมหากษัตริย์ของเรา พระราชวงค์ท่านทรงถูกปล้นโดยคณะราช และถูกใส่ร้ายว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชโดยไม่รู้จริง แล้วพวกเขาก็เอาประเทศไปปกครองโดยไม่เข้าใจอะไรเลย พวกเขาไม่เข้าใจประเทศตัวเอง ไม่เข้าใจระบอบพุทธะ ไม่เข้าใจแม้นกระทั่งระบอบประชาธิปไตยที่เขาอ้างมาอย่างแท้จริง แล้วทำชาติพินาศย่อยยับ โกงกินบ้านเมืองมาตลอดเวลา”
    <!--MsgFile=0-->

    พุทธะถาม “เช่นนั้น เราควรทำอย่างไร ประท้วงหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ ระบอบการปกครองแบบพุทธะไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบนองเลือด การประท้วงเป็นแนวคิด “มาร์ก ซิส” จากโบราณกาลมา ยกตัวอย่างเช่น การทูลอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราช โดยเหล่าพราหมณ์ เป็นต้น หรือแม้นแต่การทูลอัญเชิญพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆ ของไทยขึ้นครองราช โดยราชการผู้ใหญ่ผู้มีสายตายาวไกลและรักชาติอย่างแท้จริง นี่คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีวัฒนธรรม มิใช่การเปลี่ยนแปลงแบบป่าเถื่อน การถวายคืนพระราชอำนาจ จะไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด เพราะเราจะใช้วิธีนักปราชญ์ นำเสนอข้อมูลความเป็นจริงและเหตุผลให้ประชาชนทราบ แล้วให้ประชาชนออกความเห็นร่วมกัน ซึ่งผมทายได้ว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่ชาวไทยรอมานาน ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน เพราะเราเบื่อพวกชนชั้นนายทุนมากดขี่เราจนจะไม่ไหวแล้ว”

    พุทธะถาม “แล้วนายกจะมีไหม ต่างชาติจะยอมรับได้หรือ”
    พุทธะตอบ “ต้องมีสิ เพราะเราพัฒนาไปข้างหน้า ไม่ได้แปลว่าย่ำเหมือนเดิม เป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้การปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็ฯประมุขสูงสุด มีสิทธิ์ขาดที่จะทรงวินิจฉัยตัดสินใดๆ ให้ใครเข้ามารับตำแหน่งหรือออกจากตำแหน่งเมื่อใดก็ได้ โดยให้ประชาชนนำโดยข้าราชกาลผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติร่วมเสนอชื่อนายกเข้ามา นี่ละวัฒนธรรมการอัญเชิญผู้ปกครองของไทย ท่านถวายอำนาจให้เหล่าขุนนางเสนอชื่อมานานแล้ว จากนั้นขุนนางก็เสนอชื่อนายก ให้ท่านทรงตัดสินพระทัย เช่นนี้ จึงเรียกว่า ท่านทรงเป็นประมุขของประเทศที่แท้จริง ซึ่งคณะราชได้สร้างเครื่องปิดกั้นพระราชอำนาจนี้ไว้นาน แล้วยึดเอาอำนาจให้ชนชั้นนายทุนเสียเอง โดยการให้ประชาชนตาดำๆ ที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย จำต้องเลือกแบบ “มัดมือชก” คือ เลือกผู้นำที่ตนไม่ต้องการ แต่เสนอหน้ามาได้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจตระกูลเก่าหรือชื่อเสียงจอมปลอมจากการเป็นดารา เป็นต้น ประชาชนไม่มีทางเลือกก็ต้องเลือกกันไป สุดท้ายได้นายกคนเดียว มัดมือชกพระมหากษัตริย์ให้ทรงลงพระปรมาภิธัยอีก ลองคิดดูว่าไม่มีตัวเลือกให้ทรงวินิจฉัย แล้วจะเรียกว่าทรงมีอำนาจตัดสินพระทัยได้อย่างไร นี่ละ กลอุบายแห่งทรราชปล้นบัลลังก์ ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชนชั้นนายทุน หาใช่ฉบับที่พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดทรงเตรียมไว้ให้ไม่ ทั้งที่แท้แล้วระบอบการปกครองแบบพุทธะอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ มีความเป็นเสรีภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกษัตริย์ด้วยการอัญเชิญขึ้นครองราช ด้วยเหล่าขุนนางผู้ภักดีและมีสติปัญญาสูง หรือแม้แต่การที่ทรงให้ประชาชนเลือกนายกได้อิสระเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วทรงมีพระราชอำนาจในการตัดสินพระทัยเด็ดขาด แบบนี้จึงเรียกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างแท้จริง มิใช่ในนาม หรือแม้นแต่การปกครองตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ผู้ทรงให้อิสระภาพในทุกด้านอย่างสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย เช่น การยกเว้นภาษีการค้าขายได้อย่างเสรี ไม่มีการกีดกัดการค้าแบบฝรั่งมังค่า แล้วเชิดหน้าว่าตนนั้นเปิดเสรีแต่ลับหลังกลับใช้ความเอาเปรียบด้านสัญญาต่างๆ ต่อคู่ค้า แบบนี้หน้าซื่อใจคด ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ ซึ่งไม่เคยมีในน้ำพระราชหฤทัยแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย มีแต่พวกยักษ์มารฝรั่งมังค่า และนายทุนไทยทรราชแผ่นดินที่ก้มหัวให้นายทุนฝรั่งเท่านั้นที่ทำแบบนี้กับคนไทย แล้วใช้ประเทศเป็นทุนในการลงทำกำไรจนฉิบหายวอดวายไปมากมายอย่างที่เห็นอยู่ นอกจากนี้ระบอบการปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ ยังมีความเป็นสังคมนิยมสูงสุด กล่าวคือมีประสิทธิภาพมากกว่าสังคมนิยมคอมมิวนิส เพราะทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม อันเป็นไปเพื่อการจรรโลงสังคมโดยแท้ แตกต่างจากนายกจากประชาธิปไตยที่มักอ้างตนว่ารู้เรื่องประชาธิปไตยแต่กลับใช้ความรู้โกงกิน เพื่อตนเอง แล้วข่มเหงปล่อยทอดทิ้งสังคม ไม่ดูแลประชาชนในประเทศ”

    พุทธะถาม “ได้สติเลยครับ ตาสว่าง รู้อย่างนี้แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไรดีครับ”
    พุทธะตอบ “เราต้องแสดงออกทางความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ เจตจำนงค์ว่าเราต้องการใครกันแน่มาปกครองประเทศ อย่างใสซื่อจริงใจ โดยไม่คิดวนแต่อยู่ในกรอบ แล้วใช้วิธีแบบผู้มีวัฒนธรรมที่ดีงามเขาทำกัน คือ แสดงออกทางความคิดเห็นแบบปราชณ์ แล้วเสนอให้ขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติ ถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อให้ประชาชนและขุนนางร่วมกันเสนอชื่อนายกแล้วถวายแด่ท่านให้ทรงวินิจฉัยแต่งตั้งนายกใหม่ นี่ไม่ใช่การถอยหลัง แต่เป็นการก้าวหน้าที่ถูกต้องต่างหาก มิเช่นนั้น ประเทศเราจะอยู่ได้อย่างไรต่อไปละ ลองตรองดูเถิด เราไม่อยากออกไปเลือก สส. หน้าเก่ากันแล้ว สมัครมาอีกก็วนรอบโกงกินเหมือนเดิม เราไม่อยากได้คนมีอำนาจและเงิน แต่เราอยากได้คนดีมีความสามารถ ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีโอกาสได้เข้ามาปกครองเพราะพรรคการเมืองเก่าต่างๆ เผด็จการครอบครองไว้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจการเมือง มันอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงไหม ผมคิดว่าถึงจุดนี้แล้วคนไทยทุกคนเห็นตรงกันนะ”

    จบ บทสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีในอนาคต โดยธุลีกองฟอน.....
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เมื่อเรามีเป้าหมาย คือ นิพพาน **** "สัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ก็ต้องทำให้ได้ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ถามตอบระบบเศรษฐกิจพอเพียง​

    ธุลีกองฟอน "ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้คนยากจนดอกหรือท่าน"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่หรอก เราต้องพิจารณาจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีทั้งโลก (Total global resource) แบบตรงไปตรงมา แล้วเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เราทำได้ ซึ่งเราพบว่าเมื่อเราทำงานหนักด้วยแรงขับดับทางด้านทุนนิยม ทำให้เราได้ผลผลิตล้นเกินพอดี เสื้อผ้าเรามีมากมาย สองสามตู้ไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ทันเก่า และไม่ขาดวิ่น บ้านเราหลังใหญ่พอที่จะจัดงานบวชลูกชายได้ แต่เราใช้นอนจริงๆ ไม่เท่าไร รถยนต์เรามีหลายคัน วิ่งเปลืองน้ำมันหมดเงิน สิ้นรอบไปมาเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ดี แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแต่การสนองตอบต่อความเบื่อของเราได้ อาหารเรากินเต็มโต๊ะแต่ว่ามีเศษอาหารเหลือมากมายในแต่ละจาน จริงๆ แล้วผลิตผลมวลรวม (GDP) ของเราสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป นี่เกิดจากการผลิตแบบปกตินะ ชาวไร่ชาวนายังไม่ได้ทำงานเต็มที่ (Full-employment) ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาด้านความขาดแคลนหรือปริมาณในผลิตผลที่ทำได้ แต่เรามีปัญหาด้านประเภทผลิตภัณฑ์ (Product variety and quality) และการกระจายผลิตภัณฑ์ (Total distribution) มากกว่า จุดนี้เอง ทำให้ผลผลิตมวลรวมที่ได้ปริมาณมากเกินพอดีแล้ว (Over productivity) เป็นไปในด้านที่ขาดคุณภาพ (Low quality) บางอย่างสร้างขึ้นมาสนองกิเลสตัญหา และช่วยก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้ (Unbalance of product distribution) ยังกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสูงขึ้นอีก ทำให้รัฐบาลมีต้นทุนค่าดูแลสังคมเพิ่มขึ้น (High social capital)"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เราเจอทุกวันนี้ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหนครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "เราต้องมีสติ อย่าไปวิ่งตามเงา ความหมายก็คือ การที่เราวิ่งไล่กำไรซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ เราเป็นปลาเล็ก ไม่อาจต้านทานกระแสเศรษฐกิจโลก เราต้องไหลตามน้ำเขาอย่างเดียว นี่คือ ลักษณะปกติของทุนนิยม ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบ แต่เราเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกระแสมันไหลต่อไปไม่ได้แล้ว พอเราวิ่งต่อไปไม่ได้ เงาที่ไล่หลังเรามา (ดอกเบี้ยเงินกู้) ก็แสดงฤทธิ์ เจ้าหนี้เริ่มฟ้องล้มละลาย ผู้บริหารเริ่มสร้างภาพลักษณ์ออกโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือ มีแต่ภาพลักษณ์และอนาคต แต่ไม่มีผลงานทั้งในด้านทางการตลาดซึ่งวัดง่ายๆ ด้วยยอดขาย (Sale volume), ความภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) และในการอัตราการทำกำไร (Profit margin) หรือแม้นแต่ปริมาณการผลิตที่คุ้มทุน (Economic of scale uncontrollable) เราก็ควบคุมไม่ได้ เพราะผลิตยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน คู่แข่งขันก็ออกสินค้าตัวใหม่ ลูกค้าเห่อก็ไปซื้อตัวใหม่ กรณีนี้เห็นบ่อยในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิก ซึ่งกำลังจะล้มละลายอีกมาก มีทางเดียวคือหาตลาดใหม่เมื่อตลาดคลายตัวลง (Decline) นี่คือปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือ ตัวระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรที่มี (Resource quantity) หรือด้านแรงงาน (Labor force) ใดๆ เลย"

    ธุลีกองฟอน "ที่กล่าวว่าปัญหาน้ำมันแพง, ต้นทุนแรงงานสูง, ตลาดหดตัว ไม่ใช่ปัญหารึ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่ใช่ นั่นเป็นธรรมชาติของการล่มสลายของระบบทุนนิยมต่างหาก เป็นธรรมชาติในช่วงถดถอยของระบบ (Decline stage) เป็นปกติของมัน ทีนี้ทางแก้ของระบบทุนนิยมของเขาก็คือ การวิ่งหาตลาดใหม่ (New market explanation) เพื่อจะได้ต้นทุนที่ต่ำลง (Lower cost) และได้ฐานตลาดที่กว้างขึ้น (High target market) มันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง มันเป็นปัญหาของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมต่างหาก เหมือนเราไถนา แล้วเครื่องไถนามันเสีย จะไปโทษที่นาฟ้าดินไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริงคืออะไรครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง ข้อที่หนึ่งคือ เราไม่สามารถควบคุมทิศทางการผลิตสินค้าที่ควรผลิตเพื่อพัฒนาประเทศชาติได้ (Uncontrolled production) เพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบปล่อยปละเลยเลยให้เอกชนแข่งขันกันเอง (Non-direction in competition) แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไร้ทิศทางการนำไปสู่การพัฒนาชาติ (Non-direction in social development) เช่น การผลิตเหล้าสนองความต้องการคนจนที่เครียด ยิ่งจนยิ่งเครียด เลยยิ่งกินเหล้า เราเห็นในโฆษณาไหม นั่งขำแย่ นั่นแหละประเทศเราเอง มันย่ำแย่อยู่ให้เราเห็นแล้วนั่งขำ แต่ช่วยอะไรกันไม่ได้ แบบนี้ ลูกค้าเป็นคนตัดสิน ซึ่งเราไม่มีใครนำทางว่าควรนำเงินไปซื้ออะไร แต่เขามีความเครียดจากการแข่งขันในระบบทุนนิยม แน่นอนว่าเขาต้องเลือกระบายความเครียดกับสิ่งที่ให้ผลเร็ว (High speed response but high bad side effect) ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันให้ผลเสียที่รุนแรงตามมาต่อสุขภาพกายและใจ และต่อสังคมโดยรวม เขาจะไม่เลือกสิ่งที่ต้องใช้เวลานานๆ ในการสร้างความสุขที่แท้จริง เขาจะไม่เลือกไปนั่งสมาธิแก้เครียด เพราะระบบทุนนิยมไม่อนุญาติให้เขาได้มีเวลาในชีวิตแบบนั้น ระบบทุนนิยมอนุญาติให้เขาเป็นหมูในคอกที่เลือกกินอะไรก็ได้ อ้วนแล้วรอขึ้นเขียงตายไปเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลาในชีวิตของคนที่หดหายไปกับการทำงาน แต่ไม่ว่าทำงานได้เงินมาเท่าไร ทว่าซื้อกลับมาไม่ได้ ปัญหาข้อที่สองคือ ด้านการบริโภค ที่กระตุ้นลัทธิวัตถุนิยมขึ้น เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันของระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนไม่มีเวลาได้รับความรักจากพ่อแม่ เลยไปเล่นเกมออนไลน์ เล่นไปเล่นมา มีแต่เกมยิงฆ่าทำลาย ก็เกิดความก้าวร้าว พ่อแม่สอนไม่ได้ สถาบันครอบครัวก็ล่มสลาย ทีนี้สังคมไทยก็รอถึงยุคเด็กนรก "แล๊กน่าร๊อก" ขึ้นมาเป็นนายก แถมใช้ประชานิยมอีกที สงสัยเกมฆ่ากันนอกจออาจเกิดขึ้นสนุกกันคราวนี้ ปัญหานี้มีมานาน จนแม่บางคนต้องโดดตึกตายเพราะลูกไปเล่นเกมไม่เชื่อฟังพ่อแม่เป็นข่าวมาแล้ว พอโตขึ้นความที่เกเรเลยไม่สามารถสอบแข่งขันได้ตำแหน่งดีๆ เลยไม่มีงานทำ จึงไปปล้นไปก่ออาชญากรรม แล้วก็เข้าสู่วังวนยาเสพติด บ้างก็มีพรรคพวกสนับสนุนให้ลองก่อการร้ายดู เห็นว่าทำได้ ตำรวจจับไม่ได้ เลยคึกคะนองทำบ่อยๆ ท้าทายดี เพราะมันฝึกจิตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก อีกพวกหนึ่งแข่งขันสอบได้ตำแหน่งดีๆ เป็ฯชนชั้นกลางของสังคม พอโตขึ้นทำงานเครียดก็ต้องโกยเงินให้คุ้มค่าการทำงานที่เครียดนั้น แล้วขยับตัวเองขึ้นมาเป็ฯชนชั้นนายทุน ทีนี้วังวนการโกงกินก็เกิดขึ้นทุกระดับ ต่อยอดไปสู่วังวนอำนาจการเมืองต่อ ไม่มีใครหนีวังวนความเครียดไปได้ เครียดมากก็ไประบายความเครียดผ่านความใคร่และความรุนแรง จึงไม่แปลกที่ทุกสื่อของอเมริกันจะต้องมีเซ๊กและความรุนแรง เช่น ภาพผู้หญิงยั่วยวนและการระเบิดเตะต่อย อยู่ในงานสื่อนั้นเสมอ นี่คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนไปอันเป็นผลร้ายจากลัทธิวัตถุนิยม ลูกน้องของระบบทุนนิยมเขานั่นเอง"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันเลย"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "แน่นอน เพราะพวกเขาไม่คิดว่านี่คือปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบไปสู่ปัญหาสังคมและภาพรวมของประเทศชาติ เขาคิดแต่จะตามก้นฝรั่งมังค่า แก้ปัญหาวนเวียนตามเขาไปแบบนั้น ซึ่งตราบใดที่กระแสเศรษฐกิจไม่ดี เราไปควบคุมอะไรไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่ปลาใหญ่ ไม่ใช่เซตใหญ่ ไม่ใช่ต้นกระแส เราเดินกลยุทธตามกระแส จะแข่งขันกับเขาอย่างไรก็ไม่มีทางทันในทุกด้าน ดังนี้ การไปปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate), ค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล (Government expenditure) ฯลฯ มันยิ่งทำให้เกิดการเสียความสมดุลภายในของตัวเราเอง (Internal dis-balancing) การเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายนอก เช่นการปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะปัญหาใหญ่คือ เราไหลตามกระแสโลก ตราบใดที่กระแสโลกยังไม่ดี เราจะดีขึ้นมากกว่าได้อย่างไร ในเมื่อเราเดินเกมทุนนิยมตามก้นเขาอยู่ การส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อมก็ไม่มีทางเป็นไปได้ (Low business feasibility) อย่างที่เห็นอยู่ ว่าเราไม่มีสายป่านเงินทุนหนุนพอ (Short capital support) เราไม่มีความชำนาญในการควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานเพราะเราเป็นมือใหม่ (Low quality control skill) เราไม่มีฐานลูกค้าเก่าเพราะเราเพิ่งเข้าตลาด (Narrow target market) เราไม่มีความเข้มแข็งหลักที่แท้จริงของเราเลย (Core competitive) เรามีเพียงความแปลกใหม่ที่หลอกหลอนและเหลวแหลกสร้างฝันหล่อเลี้ยงให้เราเชื่อคำโฆษณาของรัฐบาลไปเท่านั้นเอง ในขณะที่เราต้องแข่งขันกับคู่แข่งขันคือใครเรายังไม่รู้เลย แล้วเราไม่รู้เขา เราจะเอาตัวรอดในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดกลางสมรภูมิการตลาดโลกได้อย่างไร นโยบายที่ฝันเฟื่องไม่ลงไปดูสภาพปัญหาจริงนี้ เปรียบเสมือนแม่ทัพที่สั่งพลทหารออกไปรบโดยคิดเอาเองในมุ้ง ไม่ออกไปตรวจจุดยุทธศาสตร์และข้าศึกเลยแม้แต่น้อย จึงผิดพลาดทั้งหมด"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูเหมือนมืดมนไม่มีทางออกเลยนะท่านแก้อะไรไม่ได้เลยหรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "มี เศรษฐกิจพอเพียงไงละ คือทางแก้ที่มีนานแล้ว แต่เสียดายไม่มีใครทำเสียที ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเรามัวหลงฝรั่งมังค่า ลืมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เราไม่เชื่อท่าน แต่เราดันไปเชื่อฝรั่งหยาบด้าน การเดินในทางที่ตนอ่อนแอและเสียเปรียบ ก็แพ้ทัพตั้งแต่แรก ดังนี้ ต่อให้เราวิ่งตามระบบทุนนิยมขนาดไหน เราก็ไม่มีทางทันเวียดนาม, จีน, อเมริกา เรายิ่งรีบวิ่งเพื่อจะไปเป็นเสือตัวที่ห้า ในที่สุดเราก็ขัดขาตัวเองล้ม เป็นต้มยำกุ้งไครซีสอย่างที่เห็นนั่นไง ถึงตอนนี้เราต้องรับกรรมร่วมกันแล้ว เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ใครจะหนีพ้นสงครามไปได้ ระบบเศรษฐกิจล่ม ระบบการเมืองการปกครองก็ต้องพังตาม มันเป็นธรรมชาติที่พึ่งพากันแบบนี้นี่แหละ เมื่อคนอดอยาก คนก็ขาดความเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามที่แย่งชิงอำนาจก็จะใช้โอกาสนี้ ใส่ความก่อม๊อบขึ้นมา เช่น การเลียนแบบการถล่มตึกเวิล์ดเทรด โดยการวางระเบิดในที่สำคัญ ใช้ระเบิดแบบโจรใต้ แต่วิธีการแบบโจรใต้เป็นวิธีเฉพาะ เลยทำเลียนแบบไม่ได้ แล้วแสร้งเขียนเครื่องหมายบ้าๆ บอๆ ให้คนคิดว่าเป็ฯผู้ก่อการร้ายไปเสียนี่ เพื่อให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศตกต่ำ คนขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ แล้วปั่นม๊อบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ที่นี้คนไทยก็ฆ่ากันเองเหมือนอดีต แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็กลับมายึดอำนาจแสดงตนเป็นวีรบุรุษไป ที่ทำไปเพราะกำลังถูกริบทรัพย์ฐานฉ้อโกง ที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะ ไม่ว่าใคร อย่าคิดมาก แต่ถ้าคิดน้อยแล้วคิดได้ก็ไม่ว่ากัน ความคิดใครความคิดมันผมห้ามไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "เศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อให้คนยังจนอยู่จะพอได้หรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "พอได้อยู่แล้ว อย่างที่ผมเรียนเบื้องต้นว่าแท้แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการในการหล่อเลี้ยงประเทศคืออะไรละ ไม่ใช่เหล้านะ ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดนะ แค่ปัจจัยสี่เราก็รอดได้ทั้งประเทศ ที่นี้ถ้าเรากระจายสินค้าและปัจจัยสี่ทั่วถึง มันก็ลดปัญหาอาชญากรรม ต้นทุนรัฐบาลก็ลดลง ไม่เห็นว่าจะต้องใช้เงินรัฐบาลมากขึ้น มีแต่ได้กับได้ ลดต้นทุนรัฐบาล ด้วยการลดช่องว่างสังคม ไม่ต้องไปใช้เงินรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้คนรวย จนไปเพิ่มช่องว่างทางสังคมให้เพิ่มขึ้นเลย แต่ที่เราจะล่มจมเพราะนายทุนจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เพราะยอดขายไม่ทำกำไร เพราะการผลิตและการแข่งขันที่ไปหดกำไรส่วนต่างลงต่างหากละ มันเป็นปัญหาของระบบทุนนิยม ระบบเงินกู้ และระบบบริโภคนิยม ที่ก่อตัวขึ้นในทันทีที่กระแสทุนนิยมหยุดไหล ทุกอย่างมันถูกจุดให้วิ่งไปหยุดไม่ได้ นี่ละ ระบบทุนนิยม มันหยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่มีสมดุลในตัวมันเอง มันขาดเสถียรภาพที่แท้จริงในตัวมัน มันเป็นแรงผลักเปิดให้พุ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติที่มีขึ้นมีลงทุกอย่างเป็นอนิจจัง แม้นแต่การผลิตที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้ต้นทุนเพิ่ม การแข่งขันที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้อัตราส่วนกำไรลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยวิ่งไปข้างหน้าตลอด มันย้อนถอยหลังไม่ได้อย่างแท้จริง เจ้าหนี้เขาจะฟ้องเอา"

    ธุลีกองฟอน "ฟังๆ ดูเศรษฐกิจพอเพียงไม่ไห้ให้คำตอบของคนอยากรวยอยู่ดี"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "คุณอาจคิดว่าระบบนี้ อยู่แบบจนๆ แล้วสมดุลในตัวเองไปวันๆ อย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณนิยามความรวยว่าอะไรละ ความรวยในหุ้นตัวเลขที่หวังให้ลูกได้รวยต่อ รวยในเงินที่ซื้อกินอ้วนจนต้องเอาเงินมากๆ ไปผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือรวยจนเอาเงินไปมัวผู้หญิงจนต้องจ้างคนคุ้มครองด้วยเงินจำนวนมากเพราะถูกตามฆ่า ชีวิตทำงานวันๆ เป็นเถ้าแก่จากเมืองจีน ทำงานหนักมาก กินให้อ้วนเป็นหมู สร้างบ้านให้ใหญ่แต่นอนตายแต่นิดเดียว สุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตจบลง อ้าวจบแล้วหรือ ไม่ได้ทำอเไรเลย นอกจากงานอย่างเดียว อิสรภาพไม่มีจริง จ้างตัวเองทำงาน จ้างทาสมาประจำคอกต่อ แล้วจ้างลูกให้เป็นเศรษฐีโง่ ที่ใช้เงินไปทำร้ายตัวเองแบบโง่ๆ อย่างที่ลูกเศรษฐีเขาตกเป็นข่าวกัน เป็นความรวยแบบนี้หรือที่คุณต้องการ หรือคุณต้องการรวยอิสระ มีเวลาที่จะค้นหาความหมายในชีวิต จาริกแสวงบุญ หรือออกไปท่องเที่ยวราวกับกามนิตหนุ่มผู้ค้นหาความหมายของชีวิตแล้วพบรักต่างแดนอันแน่นแฟ้น ซึ่งคุณอาจได้แต่งงานกัน และจดจำไปจนวันตายไม่รู้ลืม ไม่ใช่เอาเหอะวะ แก่แล้ว พร้อมแล้วทั้งคู่อย่าเลือกมากเลย ไม่มีเวลาดูใจหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีสามีกันพอดี หน้าตาพอดูได้ ทำงานใกล้ๆ กัน เอาเหอะวะ แบบนี้มันขาดรสชาติชีวิต คนนะครับ ขาดอิสระภาพแห่งความเป็นคน เพื่อไปเป็นหมูในกรง ถึงเวลาผสมพันธุ์ก็เอากันข้างๆ คอกนี่หรือไง นี่หรือระบบทุนนิยม ทำให้ความเป็นคนตกต่ำไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คุณได้มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่แรกเกิด แบบที่เศรษฐีไม่มีแม้นแต่เวลาจะให้ลูกกินนม แต่มีเงินเยอะนะ ไปจ้างเขาเลี้ยง ราคาแพงเหมือนหมาชั้นดีเลย แล้วเอามาเล่าในวงสังคมว่าชั้นส่งลูกไปเลี้ยงโรงหมาราคาแพงดี ในขณะที่ชาวนาที่ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เห็นหน้าตากันตลอด ช่วยกันทำงานตลอด เขาจึงรักกันมาก แม้นยากจนมากก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้วัตถุนิยม เพราะกระแสทุนนิยมมันบีบบังคับให้เขาทิ้งไร่ทิ้งนา อันมีแต่ความสุขสงบไป"

    ธุลีกองฟอน "แล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงคืออะไร"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "อย่างแรกเลย เราต้องพอเพียงเลี้ยงตัวรอดยืนบนลำแข้งตัวเองได้ไม่อดตาย มีปัจจัยสี่สมบูรณ์ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดสรรค์ให้ได้ไม่ต้องกลัว เรามีผลิตผลเยอะ ขอแค่มีความเมตตาและยุติธรรม ย่อมแบ่งปันแจกจ่ายทั่วถึงแน่ พอถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปเป็ฯกำไรชีวิต ซึ่งเราจะให้กำไรที่สูงค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ เวลาในชีวิต และการค้นหาสิ่งสูงค่าในชีวิตของแต่ละคน นั่นก็อาจหมายถึงความสุขนิรันดร์ คือ ธรรมอันนำทางไปสู่พระนิพพาน ซึ่งคนคิดว่าเป็ฯเรื่องน่าเบื่อของคนเบื่อโลก ซึ่งผิดถนัด ตัวอย่างเพื่อนของผมก็หลุดพ้นนิพพานแล้ว ทำงานในบริษัทเอกชน เจ้านายยังต้องนับถือเกรงใจ ผลงานก็ดีใช้ปัญญาทำงานได้ดีเวลาน้อย แถมมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างตลอดวัน มีอิสระในทุกที่ทุกเวลา ไม่เห็ฯว่าจะไม่ดีตรงไหน อย่างที่อธิบายว่าเงินมากมาย ของต่างๆ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะดูความต้องการทางร่างกายของเราสิ มันต้องการแค่ไหน เราไปสนองความต้องการทางใจด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นความผิดที่โง่เขลา การสนองความต้องการทางกายที่พอเพียงแล้ว ตามหลักความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์ คือ การสนองความต้องการทางสังคมและจิตใจ ซึ่งความต้องการทางสังคมนี้ มันเกิดเมื่อเราปรับตัวเข้าสังคมได้ดี อันเป็นลักษณะของพระอรหันต์ ส่วนความต้องการทางจิตใจ มันก็ต้องสนองด้วยจิตนิยม ใช่ไหม มันจะไปสนองจิตใจด้วยวัตถุนิยมได้อย่างไรละ ผิดชัดๆ ตรงๆ อย่างโง่งมที่สุด ของตรงไปตรงมา แต่ไปหลงทางผิด มันก็ตอบผิดอยู่วันยังค่ำ ดังนี้ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการวัตถุมากหรอก ลองถามใจตัวเองลึกๆ ดูก็ได้ เพียงแต่เราไม่เคยสัมผัสสินค้าที่สนองคุณค่าทางใจให้เราได้มาก่อนเลยนั่นเอง เราเลยไปลองยึดนั่นยึดนี่ ซึ่งมันไม่ใช่สักที เราถึงได้เบื่อไง เพราะว่าเราทดลองแล้วว่ามันไม่ใช่ อย่าโกหกใจตัวเองเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ใจมันเบื่อ มันก็ไม่ใช่ยาแก้เบื่อ ไม่ให้สุขแท้ทางใจ พูดอย่างนี้อย่าคิดว่าผมบังคับให้คุณบวช หรือไปนิพพานเท่านั้นนะ เพราะความสุขทางใจนี้มีมากมายในทุกศาสนา คุณเคยเห็ฯไหม ใครหลายคนที่ผ่านโลกมามากๆ สุดท้ายก็มาหยุดตรงนี้ ที่ศาสนาทั้งนั้น แต่คนที่ยังไม่หยุด ยังหลง ยังทดลอง ลองผิดๆ แล้วผิดอีก เพราะยังเสียดายความสุขไม่แท้ ที่ยังพอมีความสุขอยู่บ้าง และฉาบฉวยรวยเร็ว สัมผัสสุขได้ทันทีทันใด ทันใจมากกว่า เปิดฝาก็สุขได้ แถมลุ้นโชคชิงเงินล้านได้อีกต่างหาก มันเลยละเลยที่จะค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงภายใต้ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ จะปลดทาสจำยอม ให้มีอิสระในชีวิต สามารถจาริกแสวงบุญ ท่องเที่ยวไปตามใจต้องการได้ หากโครงการดีก็ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลปล่อยให้ลางานไป ใครจะทำแทน ปริมาณแรงงานไม่ลดลงหรือ รัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุน ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น จึงลดปริมาณแรงงานลงได้ คนที่ทำงานทั้งวันเครียดมากประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นอยู่ งานทุกวันนี้เราใช้สมองไม่ใช่หรือครับ ทำไมมันคิดนานจัง แสงดว่าสมองเราไม่ปลอดโปร่ง หรือเราเครียดเรามีอีโก้ อัตตาสูง เถียงกันไม่จบ แบบนี้ถ้าลดอีโก้หรืออัตตา โดยวิธีการทางพุทธศาสนาก็ใช้เวลาประชุมน้อยลง ได้ข้อสรุปแบบผู้มีปัญญามากขึ้นจริงไหมครับ นอกจากนี้การสนับสนุนให้คนไปจาริกแสวงบุญและเดินทางสู่ธรรม จะทำให้ผลิตคนดีให้ประเทศมาปกครองประเทศโดยธรรมต่อไป ระบบแบบนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องผลิตคนดี ให้คนดีมาช่วยคนอื่นเช่นนี้เรื่อยไป แต่เรามักคิดว่าคนดีเป็นคนโง่ ซึ่งผิดอย่างแรง คนเลวต่างหากที่โง่บัดซบ แต่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เช่น การประจบสอพลอบ้าง, การใส่ร้ายป้ายีบ้าง, การแย่งผลงานบ้าง, การพูดดูดีพรีเซ้นตืเก่งแต่ลงงานจริงไม่เป็นบ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนดีมักมองรอบด้านรอบคอบ จึงคิดช้ากว่า บ้างก็มองลึกซึ้งจนอธิบายยากบ้าง, บ้างก็เห็นปัญหาในอนาคตที่คนไม่มองจึงไม่กล้าเสนอออกมาบ้าง ดังนี้ เราจึงเสียบุคลากรที่ดี ทั้งที่เขาอยู่ในองค์กรของเรานี่เอง เพราะอะไรละ เพราะผู้บริหารไม่ใช่เจ้าของเงิน เขาย่อมบริหารเพื่อความพึงใจของเขา ไม่ได้เห็นประโยชน์ของคนดีที่ทำเพื่อองค์กร แต่เข้าข้างคนเลวที่เข้าได้กับตนได้ด้สนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการโกงกินหรือประจบสอพลอ ดูประเทศเราก็ได้ คุณเชื่อไหมว่าคนดีมีความสามารถยังมีอยู่ในประเทศไทย ผมคิดว่าคุณมีคำตอบในใจมากกว่าหนึ่งคนนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอหน้าลงสมัครให้คุณเลือกเลยสักคน เพราะเขาไม่ต้องการลงไปอยู่ท่านกลางสงครามขว้างขี้ ของนักการเมืองในอดีต (ปัจจุบันดีแล้วระดับหนึ่ง) ที่ถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้รับรายงาน รู้อย่างอย่างเดียว คือ ผมมีหลักฐานทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นตระกร้า และจะนำมาแสดงสาดใส่กันให้ฟังเร็วๆ นี้ จบข่าว สุดท้าย ความเบื่อของประชาชน ก็หันไปดูข่าวเม้าท์ดาราแทน ดาราดังมากๆ ก็หันมาเข้าวงการการเมือง มีแต่อะไรที่น่าเบื่อน้ำเน่าวนเวียนอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าคนไทยฉลาดกว่าคนอเมริกันด้วยซ้ำ ในการการมองคน และมุมมองการเมืองการปกครอง แต่เราอ่อนด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง สังเกตุได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของเรา แม้นเริ่มต้นที่หลังอเมริกาแต่เราไปได้เร็วกว่านะ ที่เห็นว่าอเมริการุ่งเรืองนั้น รุ่งเรืองเพราะการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ให้นานประเทศอยู่ภายใต้ระบบทาสจำยอม แค่นั้นเอง แต่ในด้านการปกครองเขาตกต่ำมาก ต่างกันอย่างไร ชัดเจนครับ เศรษฐกิจไม่ใช่การปกครอง เศรษฐกิจก็แค่รวยผลิตได้มาก ได้เงินมาก แต่การปกครองหมายรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การลดอาชญากรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อเมริกันสอบตกหมดทุกประตู เมื่อเศรษฐกิจเขาพัง ทุกอย่างก็ล่มสลายลง เพราะความเคยชินในการใช้เงินแก้ปัญหามันทำให้เขาไม่มีเครื่องมืออื่นในการแก้ไขปัญหาสังคมและการปกครองประเทศ"

    ธุลีกองฟอน "สรุปสุดท้ายสั้นๆ ครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจครับ"

    ..............
    จบการสัมภาษณ์โดยธุลีกองฟอน
     
  6. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ไปเชื่อข้าวเขากินจนเขาเริ่มด่าไล่
    ยืมเงินได้มาหน่อยต้องรีบมาโพสไว้
    ก่อนอดข้าวตาย ฝากบทความไว้ให้บริหารประเทสต่อนะ
     
  7. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติจะรุนแรงมากเพียงใด แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมและทำบุญก็อาจจะลดสถานะการณ์ได้
     
  8. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เมื่อชาติจะวิกฤติ พระนเรศวรจะรวบรวมไพล่พล
    ด้วยพระศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    รวมคำทำนายเรื่องภัยพิบัติ
    (สำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลาไปอ่านตามกระทู้ต่างๆ)

    [​IMG]


    ลุงคนเชียงใหม่

    อีก 97 ราตรีที่เหลือ...กับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น


    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->*********************************************
    ที่ผ่านมาลุงไม่เคยชัดเจน กับตัวเองที่จะบอกถึงนิมิตของลุงเอง เพราะบาปกรรมที่เกิดจากการไปเกี่ยวข้องกับกรรมของคนอื่นๆ จำนวนมากมายนั้นคงจะทำให้ลุงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือยกระดับจิตตนเองให้สูงกว่านี้ได้

    *********************************************
    แต่อย่างไรก็ตามลุงเชื่อว่าคนที่เข้ามาในเวบพลังจิตเป็นคนที่ทำบุญทำกรรมร่วมกันมา ลุงอาจจะมีระดับจิตต่ำกว่าหลายคน
    แต่ลุงเองมุ่งที่จะฝึกเน้นในเรื่องการมองอนาคตเป็นส่วนใหญ่
    ไม่ต้องเชื่อลุงนะ เพราะส่วนใหญ่ลุงจะเห็นในพื้นที่บ้านลุงที่เชียงใหม่
    เป็นส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะจิตของลุงเองผูกพันธ์อยู่ในพื้นที่นี้เป็นส่วนใหญ่
    และเป็นมาแล้วหลายภพหลายชาติมาแล้ว

    *****************************************
    แต่อย่างไรก็ตามเหลือเวลาอีกเพียง ไม่ถึงร้อยราตรี
    ลุงหวังว่าจะเป็นราตรี แบบที่คิดเป็น 7 วันนับเป็นหนึ่งราตรีนะ
    หรือไม่ก็ 1 วันเท่ากับ 50 ปี เท่าในชั้นจาตุมหาราชิกา
    เพราะสิ่งที่จะเกิดมันรุนแรงจนลุงเองก็ไม่คาดคิด
    คนใกล้ตัวลุงเองแทบจะหมดสิ้น
    จนลุงต้องเตรียมตัว ไม่ได้เพื่อตัวลุงเองนะ
    แต่ต้องทำหน้าที่ของ พ่อ ของสามีให้ดีที่สุด
    ในบทบาทของปุถุชน
    แต่ในทางจิตแล้ว ลุงเองพร้อมเสมอกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
    และเฉยๆ กับความตาย เพราะลุงไปมาจนชินแล้วครับ

    *****************************************
    อย่าประมาทกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
    อย่าตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    อย่าเผชิญกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอย่างไร้สติ
    มีข้อมูลมากมายที่ สามารถศึกษาและนำไปใช้ได้

    ***************************************
    มนุษย์เป็นภพภูมิเดียวที่เลือกกรรมใหม่ของตนเองได้ด้วยปัญญา
    มีโอกาสทำบุญ ฝึกจิต สั่งสมปัญญา สมาธิ บารมี
    พระพุทธองค์เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้โชคชะตา

    ***************************************
    พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้

    "บุคคลพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร"

    เพียงอย่ายอมแพ้กับโชคชะตาพรหมลิขิต
    เพราะแม้แต่ในชั้นพรหมเราก็สามารถเป็นผู้เลือกเป็นได้
    ด้วยปัญญา และแนวทางที่พระพุทธองค์สอนไว้
    การได้มีโอกาส ได้เลือกที่จะสร้างกรรมใหม่ของตนเอง
    ให้มีความพร้อมในภพภูมิใหม่นั้น
    เป็นสิ่งที่บุคคลพึงกระทำ
    ถ้าเราปล่อยให้กรรมปัจจุบันของเรา
    ให้เป็นไปตามที่อะไรกำหนดก็ตาม
    ในภพภูมิหน้า เราอาจเกิดในภพภูมิ
    ที่ไม่มีโอกาสได้เลือกกรรมของตนเองได้

    ****************************************
    อย่าเพิ่งท้อแท้ กับปัญหาอุปสรรคถ้าเรายังไม่ได้ทำ

    ****************************************
    สำหรับท่านที่คิดว่าไม่มีทางเลือก ลุงแนะนำให้ฝึกซ้อมตายนะ
    (ที่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านเจ้าคุณสอนให้ซ้อมตายเสมอ เตรียมตัวไว้
    เพื่อ วินาที วันที่เราตายจริง จะได้เตรียมจิตถูก
    จะได้ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ เพราะอาสันญกรรม )
    จิตสุดท้ายขณะโกรธ ตกนรก
    จิตสุดท้าย กลัว เป็นอสุรกาย
    จิตสุดท้าย ห่วง เป็นเดรัจฉาน
    จิตสุดท้าย หวง เป็นเปรต

    ขอส่งเมตตาจิตไปยังจิตทุกท่านให้ก้าวผ่านกรรมที่มาตัดรอน
    กรรมดีของท่าน จนให้จิต เกิดความอ่อนแอในธรรม

    *******************************************

    คุณศิวิไลซ์



    วันพิพากษากำลังจะมาถึง เร็วจนไม่มีใครตั้งตัวมาก่อน <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ระวังให้ดี มันจะเริ่มขึ้นทีละนิดตั้งแต่ กลางเดือน มกราคมนี้ เป็นต้นไป
    แล้วจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มีนาคมนี้ เป็นต้นไป

    มกราคม - ประเทศเริ่มเข้าสู่สภาวะผู้นำไร้ความสามารถ จะมีการออกมาต่อต้าน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย กลางเดือนเป็นต้นไปจะมีฝนผิดฤดูที่บอกถึงอาเพสจะเริ่มมา เพื่อเป็นสัญญาณเตือน

    กุมภาพันธ์ - ต้นเดือนคงดีใจว่าทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่ เพราะมันดูเหมือนอะไรๆ ก็จะนิ่งทรงตัวอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีอะไรเลวลง แต่มันเปรียบเสมือนเชื้อโรคร้ายที่กำลังบ่มฟักตัวเพื่อรอการเจริญเติบโต
    ประมาณก่อนกลางเดือนไม่กี่วัน การเมืองคือตัวทำลายประเทศ
    หมดคนดีแล้วประเทศเรา กำลังเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง มันคือละครที่เคยแสดงไปแล้ว กำลังจะนำกลับมาฉายอีกครั้งตั้งแต่ก่อนกลางเดือนนิดหน่อยถึงปลายเดือน ประเทศจะพบกับภาวะขาดแคลนน้ำอีกครั้ง

    มีนาคม - ฝนผิดฤดูเริ่มมาอีกครั้ง พร้อมนำพาความโหดร้ายที่มากกว่าเดิมมาด้วย บ้านเมืองเงียบสงบ นั่นไม่ได้หมายถึงความสงบสุข แต่มันคือความเงียบสงัด

    เมษายน - เสมือนแม่เหล็กคนละขั้ว ไม่มีน้ำแม้กระทั่งจะเล่นสงกรานต์ จากพายุฝนอันโหดร้ายได้กลายเป็นแสงแดดที่แผดเผา

    พฤษภาคม เป็นต้นไป ธรรมชาติเล่นกล หอบพายุฝนมาช่วยบรรเทา อีกครั้ง มาคืนแล้วคืนเล่าไม่หยุดหย่อน เดือนหนึ่งแล้งเดือนหนึ่งฝนสลับกันไป
    คือความวิปริศที่ธรรมชาตินำมาตอบแทนบุญคุณที่พวกเราตั้งใจดูแลธรรมชาติเป็นอย่างดีตลอดมา

    มิถุนายน - มันไม่ทันเสียแล้วที่จะแก้ไขอะไรในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเดือนต่อไปคือเดือนอะไรต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการตัดสินให้จบสิ้น ไม่มีการแก้ตัว ไม่มีการสำนึก ไม่มีการยื่นอุธรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ชีวิตที่เหลือรอด คือชีวิตที่แสนทุกข์ทรมาน ความท้อแท้ สิ้นหวังจะมาเยือน ต้องใช้เวลานับแรมปี ในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ

    รอดูเถิด

    ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ให้รอพิสูจน์เถิด
    ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
    ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้พิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกต่อไป ผู้ผิดดิ้นรนไปมันก็ไม่พ้นความผิด ก่อนจะทำดีไถ่โทษก็ต้องได้รับโทษก่อน รอดูเถอะฝูงชน เพราะมันอาจเร็วกว่านั้นโดยที่ใครก็ไม่คาดคิดไปเสียด้วยซ้ำ

    เอาเป็นว่าเข้ามาเตือนครับ
    ถ้ามากระแทกกันก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่านะครับ
    ก็บอกอยู่ว่าให้รอดูไม่ได้บอกให้เชื่อ ถ้าเกิดว่าไม่มีความสามารถในการ
    เข้าใจภาษามากพอ แนะนำให้อ่านอีกสิบรอบครับ
    ว่าผมบอกให้รอดู ไม่ได้บอกให้เชื่อ


    The Third Eyes

    ความมืดในเดือน มกราคม 2550 เดือนของฝันร้ายที่เป็นจริง


    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->การเกิดเรื่องน่าหวาดเสียวแก่คนบางคน
    เนื่องจาก ระเบิด ความดันต่ำ ที่มีแรงดันไม่มาก
    ทำให้มีการเสียชีวิตน้อย เพราะอยู่ใกล้จุดมาก
    เมื่อช่วงรอยต่อ ปีเก่า2549 กับ 2550ที่พวกเรารู้ๆ กันอยู่แล้ว

    ทั้งหมดนั้นเป็นการโหมโรง เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
    ปีนี้เราจะพบโศกนาฏกรรม ทั้งจาก ธรรมชาติ และ มนุษย์ที่ใฝ่ต่ำ

    ถ้าความฝันไม่พลาด
    ยกสอง จะมา ช่วง 20-27 มค 2550
    วันที่ 23 และ 25 อาจจะมีคนตายมากที่สุด
    จะอยู่ระหว่าง เลยหลักพัน ขึ้นไป

    พื้นที่ๆ จะเป็น คิลลิ่งฟิลล์ มีการตายมากที่สุดคือ
    แถบ บางปู พระสมุทรเจดีย์ และ ป้อมพระจุล
    แถบคลองเตย

    ส่วนที่ ปากคลองตลาดและ สพานพุทธนั้น
    จะรอดอย่างปาฏิหาริย์เพราะ ใกล้วัดพระแก้ว (มีพระแก้วมรกต)และ วัดอรุณ(ท้าวเวสสุวรรณ )

    และในวันที่ 27 มค. 2550
    พายุเมฆ ก็จะ ถูกพัดพาไป ฟ้าจะเปิด
    พวกเราก็จะได้พักหายใจ ชั่วขณะ
    เพื่อเตรียมรับ ยกที่สาม ที่จะมา ช่วงใกล้ ก่อน หรือ หลังสงกรานต์

    ผมฝันไป อย่าซีเรียส
    อย่าได้เป็นไปตามฝันเลย แม้แต่ข้อเดียว
    สาธุ...สาธุ...สาธุ

    วิธี ที่จะลด ความรุนแรง หรือ ไม่ให้เกิดขึ้น
    นั้น ทำได้โดยทุกคนที่มีพลังจิตสูง
    มีอำนาจกายทิพย์สูง มีบารมีสูง
    ร่วมกันมากๆ ตั้งสมาธิตั้งจิตอย่างเต็มศรัทธา
    แล้วเหตุร้ายก็จะเปลี่ยนได้



    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    น่าฟังน่าคิดจากลุงคนเชียงใหม่

    ลุงขอข้อมูลและสมาชิกที่ต้องการเตรียมตัวอย่างจริงจังนะ และคาดว่าจะเข้ามาอยู่ในชุมชนอย่างแท้จริง เพื่อมาร่วมคิดด้วยกัน

    เพราะรู้สึกนะว่าพูดคุยกันในเวบส่วนใหญ่ ...พูดไปอย่างนั้นแหละ
    แต่คนที่จริงจังคงมีไม่กี่คน

    ....................... เสียดายนะคนที่รับรู้
    แต่อ้างขีดจำกัดอะไรก็ตาม(คงเป็นกรรมด้วย)
    ที่จะไม่เตรียมตัว อย่างจริงจัง วันหนึ่งก็จะเสียดายโอกาส
    ที่ได้รับรู้ คนที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนก็จะไม่สับสน คิดมากว่าเป็นอะไร
    แต่คนที่รู้แล้ว ทราบว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร
    เพียงแต่ไม่ทำ อันนี้น่าเสียดาย
    คงเหมือนคนอยู่ข้างวัด ฟังพระสวดทุกวัน แต่ไม่เคยศึกษา
    และเรียนรู้อะไรเพื่อพัฒนาตนเองนะ
    ...................................................................................
    ลุงแบ่งคนเป็น 4 กลุ่มนะ

    1. ไม่รู้ ไม่เชื่อ และจะต้องเผชิญภัยวิบัติที่เกิดขึ้น ตามยถากรรมและก้มหน้าคร่ำครวญในส่งที่เกิดขึ้น

    2. กลุ่มที่รู้ แต่ไม่เชื่อ กลุ่มนี้จะเผชิญภัยพิบัติถ้าในพื้นที่เขาไม่รุนแรง และมีพื้นฐานทางจิตดีพอสมควรก็จะรอดมาได้ แต่หลังจากนั้นก็จะ ไม่รอดเพราะไม่รู้จะดำรงชีวิตอยู่ต่ออย่างไรดี

    3. กลุ่มที่รู้ เชื่อ แต่ประมาทไม่มีการเตรียมการอย่างจริงจัง เขาจะรู้สึกเจ็บปวดมากในวันที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้เตรียมความพร้อมเอง แต่อย่างไรก็ตามก็จะเป็นผู้รอด และเป้นกลุ่มที่เดินทางไกลอย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อแสวงหาจุดช่วยเหลือ

    4. กลุ่มที่รู้ เชื่อและไม่ประมาท มีความพร้อมและเตรียมทั้งตัวทั้งใจอย่างจริงจัง ก็จะเป็นกลุ่มที่ไม่จบตรงหัวม้วน จะจบเมื่อสิ้นอายุขัยจริงๆ

    **************************************************
    เลือกด้วยตัวเอง เพราะการที่มาเสียดายที่รู้แล้วไม่ได้ทำเมื่อเวลามาถึง
    มันน่าเสียดายกว่าที่ไม่รู้นะ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม .........<!-- / message -->

    **************************************************<!-- / message --><!-- edit note -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2007
  10. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
     
  11. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ดูเหมือนผมจะเป็นกลุ่มทีรู้แล้วไม่ได้ทำ และคงอย่างที่ลุงบอกด้วยกรรมส่วนหนึ่ง ที่จริงในใจลึกๆอยากจะย้ายที่อยู่ไปในที่ปลอดภัย และเตรียมการณ์ แต่ว่าด้วยกรรมที่ทำไว้ทิ้งพื้นที่นี้ไม่ได้ตอนนี้ครับ เป็นไปได้ก็คือต้องหางานใหม่ที่ใกล้สถานที่ปลอดภัย ก็กำลังหาทางอยู่ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมครับ
     
  12. olj

    olj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +2,443
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.135208/[/music]
    สยามประเทศ นี้ต้องคำสาบหรืออย่างไร?
    พอจะดี ก็มีเหตุให้ต้องสะดุด ทุกที..!!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2007
  13. Little Raccoon

    Little Raccoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +89
    ผมไปอ่านเจอจากกระทู้ใน Website ผู้จัดการ เกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาภัยพิบัติ เผื่อจะใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้ ลองอ่านดูนะครับ
    --------------------------------------------------------------------------
    [FONT=&quot]News From GOD.<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในปี 2006 – 2007 โดยการทรงนำมาจากพระเจ้า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพราะปี 2006 ได้ผ่านไปแล้ว 9 เดือน เหลืออีก 3 เดือน คือ ตุลาคม , พฤศจิกายน และธันวาคม จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ฉะนั้นเวลานี้ใกล้เข้ามามากแล้ว สำหรับเหตุการณ์ของปี 2006 นี้ ดังนั้นจึงอยากให้พ่อแม่พี่น้องลองอ่านดู นิมิตที่พระเจ้าที่ประทานมาให้แก่สมาชิกท่านหนึ่ง ท่านได้รับนิมิตรมากมายหลายเรื่อง เกี่ยวกับโลกใบนี้ ที่จะพินาศลงเร็วๆ นี้เรื่องนี้อยู่ใน นิมิตร ที่ได้รับในชุดเอกสาร ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2548 หน้าที่ 3 – 4 เขียนไว้ว่า “ตามที่มีพวกอาจารย์หลายๆ ท่านได้บอกว่า สิ่งที่ผู้รับใช้ของเราเขียนมานี้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำนายล่วงหน้า แล้วเหตุการณ์ค่อยเกิดขึ้น แต่เขาเขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เรื่องนี้ถึงท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นเราไม่ว่า เพราะเราได้ทำนายหลายเรื่อง ให้ผู้รับใช้ของเราเขียนมาให้ท่านทั้งหลายแล้ว แต่พวกท่านไม่ยอมอ่านเองท่านจึงไม่เห็นสิ่งท่เราได้ทำนายไว้ ท่านจึงมาต่อต้านข่าวสารที่เราให้มา เราบอกให้ผู้ที่ติดตามข่าวสารของเรา มาโดยตลอดให้รู้ว่านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เพราะในปี 2006 นี้ จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ท่านจะได้เห็นและท่านจะได้ยิน เพราะจะเกิดแผ่นดินไหวบางพื้นที่ ใหญ่มากในปี 2006 นี้ ให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในพื้นที่ที่ราบ และอยู่บริเวณใกล้ทะเล จงเฝ้าระวัง จะมีคนเป็นอันมาก จะหนีไม่พ้นจากเหตุการณ์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ และจะมีคนเป็นอันมากที่จะได้รับอันตรายจากเหตูการณ์เหล่านั้น ฉะนั้นผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณทะเล จงระวังให้ดี เพราะว่าในปี 2006 นี้ในโลกนี้จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างร้ายแรง จะทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ฝนจะตกไม่ตามฤดูกาล และจะทำให้โลกเอียงผิดปกติไปจากเดิม ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเข้ามาในโลกนี้อย่างร้อนมาก จะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ละลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น น้ำจะท่วมบางพื้นที่ที่อยู่ใกล้น้ำทะเล เป็นระยะหลายร้อยกิโลเมตร คนเป็นอันมากจะได้รับอันตราย ในเรื่องนี้เราไม่ได้พูดเล่น แต่เป็นความจริง ผู้ใดไม่เชื่อจงคอยดูต่อไป หลังจากปี 2006 ผ่านไปแล้ว ปี ค.ศ 2007 นั้นสิ่งที่ท่านไม่อยากเห็น ท่านก็จะเห็นและสิ่งที่ท่านไม่อยากประสบท่านก็จะประสบ จะทำให้มนุษย์ในโลกนี้เกิดความกลัวทั่วแผ่นดินโลก สิ่งที่มนุษย์ไม่เคยพบไม่เคยเห็น มนุษย์ก็จะได้เห็น และผู้ที่ไม่พร้อมจะได้ถูกสิ่งเหล่านั้นอย่างน่ากลัว ฉะนั้นท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับข่าวสารของเรามาโดยตลอด นั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเสมอทุกๆ วันเวลา เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในชุดนี้ผู้ที่ไม่ยอมรับคำสอนของเรา จงคอยดูไปเถิดสักวันหนึ่งท่านจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้าจริง หรือผู้เขียนนั้นเขียนเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ พระเจ้าได้มาให้นิมิต แก่ผู้รับใช้ท่านนี้ เกี่ยวกับเรื่อง ไข้หวัดนก โดยพระเจ้าได้ทรงเตือนมนุษย์ให้ทราบ เมื่อ วันที่ 16 กุมภา 2005 เพื่อเตือนถึงการ กลับมาอีกครั้งของไข้หวัดนก และทวีความรุนแรงไปทั่วโลก โดย เขียนไว้ว่า พระเจ้าตรัสว่า เราบอกความจริงแก่มนุษย์ชาวโลกทุกท่านให้รู้ว่าท่านทั้งหลายจงระวังให้ดีว่าเรื่องที่จะบอกแก่คริสตจักรเซเว่นธ์เดย์ แอ๊ตเวนติส ของเราให้รู้ให้ท่านทั้งหลายจงทำลายสัตว์เลี้ยงของท่านให้หมดสิ้นไปท่านอย่าเสียดาย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายให้รู้ว่าจะมีโรคระบาดเข้ามาในโลกนี้ คือโรคไข้หวัดนก ที่ท่านทั้งหลายเคยได้ยินมา โรคไข้หวัดนกตัวนี้มนุษย์ไม่สามารถทำลายให้มันหมดสิ้นไปได้ มันจะขยายโรคให้มากๆขึ้นไปทั่วโลก โรคตัวนี้จะเข้าสู่สัตว์เลี้ยงของท่านกอนแล้วมันก็ทำให้มนุษย์ได้รับเชื้อโรคต่อจากสัตว์เลี้ยง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งให้รู้ว่า โรคระบาดครั้งนี้ถ้าเข้ามาถึงหมู่บ้านใดจะมีการอันตรายต่อมนุษย์มากยิ่งกว่าทุกครั้งที่ท่านทั้งหลายเคยได้ยินมาก่อน จุดเริ่มต้นที่ท่านทั้งหลายจะป้องกันได้คือ ท่านทั้งหลายอย่าเสียดายสัตว์เลี้ยงของท่าน แล้วทำลายไปก่อนที่โรคระบาดจะเข้ามา ไม่มีใครรู้ว่าโรคระบาดนี้จะตกลงที่ไหนเพราะว่าโรคระบาดหรือโรคไข้หวัดนกนี้จะมาตามอากาศมา ฉะนั้นไม่รู้ว่าจะตกที่ไหน ท่านทั้งหลายอย่ารอให้เห็นก่อนแล้วค่อยแก้ไขหรือจัดการสัตว์เลี้ยงของท่าน ท่านต้องจัดการทำลายก่อนที่โรคระบาดจะเข้ามาในหมู่บ้าน ถ้าท่านเสียดายสัตว์เลี้ยงของท่านท่านจงคิดดูให้ดีๆว่าชีวิตของท่านและสัตว์เลี้ยงของท่านนั้นอะไรมีค่ากว่า ท่านจงรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของท่านแล้วท่านอย่าเสียใจสัตว์เลี้ยงของท่านเลย เดี๋ยวท่านรับโรคระบาดโดยไม่รู้ตัว เพราะท่านไม่รู้ว่าโรคระบาดนี้จะระบาดเข้ามาประเทศใดก่อนท่านไม่รู้ท่านจงระวังไว้ก่อน อย่าให้ท่านเห็นโรคระบาดเหล่านั้นเลย เพราะเราไม่ประสงค์ให้ท่านล่วงหลับก่อนเราเสด็จลงมาครั้งที่สองนี้ หลังจาก ที่ข่าวสารพระเจ้าออกมา ไม่กี่เดือน ประเทศไทยก็ประกาศว่า มีเชื้อไข้หวัดนกระบาดเข้ามาในประเทศไทย และลามไปทั่ว หลาย ประเทศ ทั้งใน เอเชีย และยุโรป แม้แต่ปัจจุบันนี้ ไข้หวัดนก ก็ยังแฝงไปทั่วโลกโดยไม่มีทีท่าว่าจะสงบศึกลงได้ คำเตือนจากพระเจ้าเรื่อง สึนามิ ปี 2004 เขียนเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2004 หน้าที่ 1 เนื้อความเขียนไว้ว่า พระเจ้าตรัสว่า เราบอกความจริงแก่คริสจักรของเรา และมนุษย์ชาวโลกทุกคนให้รู้ว่าที่เราได้บอกทุกๆเหตุการณ์ให้ผู้รับใช้ผู้ต่ำต้อยของเราให้เขียนเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นภายหน้านี้มาให้ผู้รับใช้ของเราทุกๆคนช่วยนำไปประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าใกล้เวลาที่เราจะเสด็จมาในโลกนี้มากแล้วแต่ว่ามีบางท่านที่ปฏิเสธไม่ยอมรับคำสอนที่เราได้ประทานนิมิตรให้แกผู้รับใช้คนต่ำต้อยของเรา ผู้รับใช้ของเราบางท่านยังบอกว่านิมิตรที่ผู้รับใช้คนต่ำต้อยของเราได้รับนี้เป็นนิมิตที่สวมรอยมาจากซาตานไม่ใช่มาจากพระเจ้าจริง แต่เราบอกความจริงแก่คริสจักรของเราคือคริสจักรเซเว่นเดย์แอ๊ดเวนติส รู้ และผู้รับใช้ของเราทุกคนรู้ว่า จะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ช่วงปลายปี ของปี 2004 นี้ จะเกิดเหตุการณ์ทะเลคลื่นอย่างรุนแรงพร้อมกับแผ่นดินไหว ในครั้งนี้ทำให้มนุษย์ชนทุกชาติที่อยู่ข้างเคียงทะเลนั้น ผู้ที่อยู่กลางทะเลนั้นจะมีการร้องไห้ จะสลบไสลเพราะความกลัว จะมีเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่นของทะเล ตามที่เราได้พยากรณ์ไว้ในพระธรรม ลูกา บทที่ 21:25-26 ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของเราจงระมัดระวัง หลังจากนั้น ไม่นาน ในเช้าวันอาทิตย์ ที่ 26 เดือนธันวาคม 2004 ก็เกิด แผ่นดินไหวอย่างแรงและเกิดคลื่นสึนามิ ทำให้ผู้คน ล้มตาย และสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก หลายประเทศ ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ มีเหตุการณ์หลายเรื่องที่พระเจ้าได้บอกผ่าน ผู้รับใช้คนต่ำต้อยท่านนี้ ให้เขียนขึ้นมาตักเตือนมนุษย์โลกทั้งหลาย ให้ระวังภัย ทั้งทางธรรมชาติ และภัยที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากมนุษย์ด้วยกัน จากเหตุการณ์ที่พระเจ้าได้บอกไว้ผ่านผู้รับใช้คนต่ำต้อยเรื่อง คลื่นยักษ์สึนามิ ปี 2004 และเรื่องไข้หวัดนก ปี 2005 ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2006 ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว ไม่ทราบว่าคุณมีเวลาเตรียมพร้อมที่จะรับและป้องกันเหตุการณ์นี้ ไว้แล้วหรือยัง <o:p></o:p>
    หากคุณมีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรืออยากรู้จักบุคคลท่านนี้ สามารถติดต่อได้ ท่านชื่อ ว่างฝือ แซ่จาง เป็นชาวเขาเผ่าม้ง อาศัยอยู่หมู่บ้านชาวเขา ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ หมายเลขโทรศัพท์ คือ 089 2714532 และคุณจะพบคำตอบ อีกหลายเรื่อง หลายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น กับคุณในไม่ช้านี้ ครับ ขอพระเจ้าอวยพระพร<o:p></o:p>
     
  14. Little Raccoon

    Little Raccoon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +89
    ต้องขอโทษด้วยครับ เพิ่งเข้ามาโพสเป็นครั้งแรก จัดหน้าไม่เป็น อาจจะอ่านยากไปหน่อย

    ที่น่าสนใจจากข้อความข้างบน (News from GOD) คือ ผู้ที่อ้างว่าได้รับสารจากพระเจ้ามีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อด้วย (ไม่ทราบว่าจะเป็นของจริงหรือไม่)
    เผื่อจะใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ ที่สนใจในนี้นะครับ
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ในวงการระหว่างประเทศ มีการปล่อยข่าวว่าอิสราเอลจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับอิหร่าน ติดตามข่าวได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.palungjit.org/board//showthread.php?t=66324

    และคอยช่วยกันติดตามสถานะการณ์โลกดีๆ นะครับ หากใครทราบความเคลื่อนไหวอย่างไรก็ขอให้มาโพสต์ให้เพื่อนๆ ทราบกันด้วย หากเกิดการสู้รบหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์กันจริง พวกเราจะได้เตรียมตัวกันทันครับ

    .
    .
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โอ้...ชะตาฟ้าลิขิต **** คนนำคือคนร้าย แอบทำลายเมืองโสภา มหันต์ภัยไสสู่ฟ้า ข้ามแพงมาลงกลางใจ เมืองอมรหลอมละลาย สมดั่งใจท่านประธาน ลวงคนทั่วแดนหล้า ให้หลงตามความคิดตน.......อาวุธนิวเคลียร์ จะหลงมาตกในไทย ๔ จุด กลางกรุงเทพ ๓ รังสิต ๑ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เวลาเกิด **** เมื่อพระองค์ท่านเสด็จกลับมาไทย สรรพภัยทั้งปวงกึ่งพุทธกาลจะเปิดฉาก - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192

    ผมว่าไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์หรอกครับ อาจจะเป็นเพียงจรวดติดหัวรบธรรมดา ๆ ที่หลงมาตกในไทยเพราะถ้าเป็นอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ แค่ลูกเดียวก็ไม่เหลืออะไรแล้วครับ
     
  19. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    ประเทศไทยไม่โดนนิวเคลีย หรือ จรวดอะไรหรอกครับ มหาสงครามจะเกิดขึ้น

    ที่ตะวันออกกลาง ตะวันออกกลางครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ดังนี้ บาห์เรน อียิปต์

    อิหร่าน ตุรกี อิรัก อิสราเอล จอร์แดน คูเวต เลบานอน โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอา

    ระเบีย ซีเรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และดินแดนปาเลสไตน์ (เวสต์แบงก์

    และฉนวนกาซา) ถ้าเกิด สงครามขึ้น ประเทศไทยก็อาจจะโดน อาวุธที่ไม่ใช่นิ

    วเคลีย หรือจรวด จะโดนก็แต่อาวุธที่คล้ายๆ ระเบิดนิวตรอน ที่อเมริกายิงจาก

    ดาวเทียมเพื่อยุติสงคราม อเมริกาไม่คิดที่จะใช้นิวเคลียเพราะผลกระทบมันมี

    มากทั้ง กัมมันตรังสี และต้องไปเคลียพื้นที่จากนิวเคลียอีก อาวุธของอเมริกามี

    อุปกรณ์ป้องกันอยู่ถ้าสงครามมาถึงเดี๋ยวผมจะโพสบอกอีกที
     
  20. กัลคี

    กัลคี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2007
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +568
    เริ่มมีเค้าลางของสงครามแล้วสินะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...