"วิชาโทรจิต"..และการฝึกฝนจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานต้นกำเนิด

การปรับแนวให้ตรงกับ "พลังงานจากต้นกำเนิด" อย่างเต็มที่นั้นหมายความว่า คุณรู้ในสิ่งเหล่านี้...

*คุณมีอิสระ
*คุณทรงพลัง
*คุณเป็นคนดี
*คุณคือความรัก
*คุณมีคุณค่า
*คุณมีจุดมุ่งหมาย
*ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปด้วยดี


ไม่ว่าสภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ของคุณจะเป็นอย่างไร คุณอาจอยู่ในคุก ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หรือผิดหวังกับความรัก กระนั้น คุณก็ยังอยู่ ณ.จุดที่เหมาะสมที่จะเริ่มต้นอยู่ดี

เรื่องนี้ไม่ต้องใช้เวลามากมายเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงจุดไหน ระหว่างคุณกับ"สายธารแห่งความผาสุข" เพราะสิ่งที่คุณต้องมีก็แค่ความเข้าใจอันเรียบง่ายใน "กฎแห่งจักรวาล" และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่สภาวะของการยอมเปิดรับมันเท่านั้น


ฉะนั้นสิ่งเดียวที่คุณจะต้องทำก็คือ ปลดปล่อยความคิดที่ต่อต้านของตนเองออกไปทีละชิ้น ทีละอัน อย่างอ่อนโยน เพื่อผ่อนคลายแรงต้านทาน
เหมือนความรู้สึกในยามที่เราเครียด โกรธ อึดอัดใจ และอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา ย่อมบงชี้ว่าเรากำลังเพิ่มความต้านทานเข้ามานั่นล่ะ

ความสุขอันพิสุทธิ์นั้น เรียงตัวรอคุณอยู่หน้าประตูบ้าน แค่ปลายนิ้วสัมผัส ทุกสิ่งที่คุณปรารถนา ไม่ว่าคุณจะเอ่ยออกมาหรือไม่..ต่างก็ถูกถ่ายทอดไปจากคุณด้วยการสั่นสะเทือน มันได้ยินและเข้าใจโดยต้นกำเนิด และได้รับการขานตอบ เพียงแต่คุณต้องใช้ความรู้สึกนำไปสู่การยอมรับให้ตัวเองรับมันเข้ามา โดยค่อยๆคลำไปทีละความรู้สึก

เพราะคุณคือ "ส่วนขยายที่มีรูปกาย" ของ "พลังงานต้นกำเนิด"

รูปธรรมของเราถูกสร้างขึ้นจากมุมมองที่ "ไร้รูป" โดยสิ่งที่คุณเรียกว่าต้นกำเนิด และในขณะที่ ต้นกำเนิด สร้างโลกของคุณและตัวคุณขึ้นมาผ่านทางพลังความคิดที่ถูกเอาใจใส่นั่นเอง และคุณก็สร้างโลกของตัวเอง จากตำแหน่งที่เป็นจริง ที่อิงเวลาและระยะทางของคุณต่อไป

การสร้างอย่างเจตนานั้นเป็นเรื่องของการการ จงใจเลือกประสบการณ์ที่คุณจะนำมาทำเป็น "ความจริง"นั่นเอง

คุณและสิ่งที่คุณเรียกว่าต้นกำเนิด ก็คือสิ่งเดียวกัน
คุณไม่มีทางแยกจากต้นกำเนิด ไปได้
ต้นกำเนิด ไม่มีวันแยกจากคุณไปได้
เวลาที่เรานึกถึงคุณ เราจะนึกถึงต้นกำเนิด
เวลาที่เรานึกถึงต้นกำเนิด เราจะนึกถึงคุณ
ต้นกำเนิด ไม่มีทางหยิบยื่นความคิดที่ก่อให้เกิดการแยกจาก ให้คุณเป็นอันขาด...

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ]​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>mead </TD></TR></TBODY></TABLE>

Wow..ที่นี่มี "มนุษย์ล่องหน" มาอ่านด้วย...เชิญคร๊าบ++ ^_^
<!-- currently active users -->

 

คุณอยู่ห่างจากการบรรลุความสำเร็จภายใน 68 วินาที เพียง 17 วินาที


การเพ่งความสนใจไปยังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงสอง-สามวินาที ก็เท่ากับคุณได้ กระตุ้นการสั่นสะเทือน ของเรื่องนั้นๆ..ในตัวคุณแล้ว

และ"กฎแห่งการดึงดูด" ก็จะเริ่มตอบสนองการกระตุ้นนั้นทันที ยิ่งคุณเพ่งความสนใจไปยังเรื่องนั้นๆนานเท่าไหร่ มันก็จะทำให้คุณสนใจสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เนื่องจากคุณกำลังดึงดูดความคิดนั้น ผ่านเข้ามาทางกฎแห่งการดึงดูดนั้นเอง

ภายใน 17 วินาที ของการเพ่งความสนใจไปยังบางสิ่งบางอย่าง การสั่นสะเทือนที่เข้ากันได้จะถูกกระตุ้น จนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นและการสั่นสะเทือนก็จะ ชัดเจนขึ้น "กฎแห่งการดึงดูด"ก็จะนำเอาความคิดที่เข้ากันได้มาให้คุณอีก มาถึงจุดนี้ การสั่นสะเทือนจะยังไม่มีพลังดึงดูดมากนัก แต่ถ้าคุณประคองการเพ่งความสนใจเอาไว้ให้นานขึ้น พลังของการสั่นสะเทือนก็จะเอื้อมออกไปได้ไกลขึ้น

และถ้าคุณสามารถประคองเพ่งความสนใจไปยังความคิดนั้นแบบล้วนๆ ไว้ได้เรื่อยๆ ก็แค่ 68 วินาที แล้วละก็ การสั่นสะเทือนนั้นจะมีพลังมากพอที่จะทำให้สิ่งนั้นเริ่มปรากฎออกมาจริงๆ

เมื่อคุณกลับไปสู่ความคิดที่บริสุทธิ์ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า โดยรักษามันเอาไว้ ให้ได้ อย่างน้อย 68 วินาที แล้ว เพียงในช่วงเวลาสั้นๆ (บางคนนานกว่านั้นได้เป็นชั่วโมง..บางคนก็เป็นวันๆ) ความคิดนั้นก็จะกลายเป็นความคิดที่มีบทบาทสำคัญ คุณก็จะได้พบกับสิ่งที่ปรากฎขึ้มา ซึ่งเข้ากันได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องนั้น นั่นแหละ

จำไว้ว่า:

*ความคิดที่คุณคิดนั้นเท่ากับจุดในการดึงดูด

*คุณจะได้ในสิ่งที่คิด ไม่ว่าคุณต้องการมันหรือไม่ก็ตาม

*ความคิดของคุณเท่ากับการสั่นสะเทือน และการสั่นสะเทือนนั้นก็จะได้รับการขานตอบ โดยกฎแห่งการดึงดูด

*ขณะที่การสั่นสะเทือน ของคุณแผ่ขยายและมีพลังมากขึ้นในที่สุดมันก็จะมีพลังมากพอที่จะทำให้สิ่งนั้นๆปรากฎเป็นจริง

*จะพูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่คุณคิด (คือความรู้สึกของคุณด้วย) และสิ่งที่ปรากฎขึ้นในประสบการณ์ของคุณ จะเข้าคู่กันได้ ทางแรงสั่นสะเทือนเสมอ

(บางทีเราการที่ชอบใครสักคน แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกชะตาขนาดนี้? ก็เพราะเหตุนี้ล่ะครับ..)

กฎแห่งการดึงดูดนั้นทรงพลัง ดังนั้นถ้าหากคุณเลือกความคิด หรือความรู้สึกในแง่ลบ จึงเท่ากับว่าคุณได้เลือกผลลัพธ์นั้น ทั้งที่คุณไม่ต้องการมันอีกด้วย...

 

เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา ก็นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่เงียบหายไปนาน ผมก็เลยทดลองโทรจิตดูครับ ตอนนั้นจิตว่างๆ นึกถึงใบหน้าเพื่อนคนนั้น ระหว่างที่ส่งจิตและรอคำตอบอยู่ จู่ๆก็เห็นภาพปราสาทแก้วขนาดใหญ่สีเงินระยิบระยับ..เหมือนกับว่าเราลืมตาดูอยู่จริงๆ...สิ่งที่เห็นไม่เหมือนการหลับตาจินตนาการเลย..เหมือนขนาดว่าสัมผัสได้ จับต้องได้จริงๆ เห็นเหมือนลืมตาอยู่ ก็มีตกใจบ้าง!

ผมก็พยายามเพ่งเข้าไปที่ประตู..แล้วภาพนั้นก็หายวับไป
ทีนี้เกิดอยากกลับไปดูภาพนั้นอีกครั้ง พยายามเพ่งใหม่แต่ก็ไม่เห็นแล้ว

ปกติก่อนนอนก็จะอฐิษฐานเปิดตาที่สามเอาไว้..ตามที่คุณ Bassate แนะนำ

 

ระดับต่างๆ มาตรวัด การชี้นำทางอารมณ์+++

อารมณ์แต่ละอย่างจะบ่งบอกว่าคุณรวบรวม "พลังงาน" คุณยอมเปิดรับรับ"พลังงาน"จากความคิดและความเชื่อที่มีอิทธิพล ถ้าคุณรู้สึกถึงอารมณ์ที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ในแง่บวกหรือแง่ลบ นั่นหมายความว่าคุณเพ่งความสนใจอย่างเต็มที่

ดังนั้นมันจึงดูเด่นชัดทีเดียวที่สถานการณ์ที่เหมาะเจาะจากการอยากได้อะไรบางอย่างมากๆๆๆ จนคุณเชื่อว่ามันเป็นไปได้จริงๆ การผสมผสานกันระหว่างความเชื่อและความปรารถนาจะเกิดขึ้นในตัวคุณ มันก็จะปรากฎขึ้นจริงในประสบการณ์ของคุณอย่างรวดเร็วและง่ายดาย....

มาตรวัดอารมณ์คุณจะมีหน้าตาคล้ายๆ แบบนี้ :

กลุ่มแรก

ความปิติสุข ความรัก ความมีอิสระ ความชื่นชมยินดี
ความอิ่มอกอิ่มใจ
ความกระตือรือล้น
การมองโลกในแง่ดี
การมีความหวัง
ความมีพลัง
ความรู้ ความเข้าใจ


กลุ่มที่สอง

ความเบื่อหน่าย
มองโลกในแง่ร้าย
คับข้องใจ หงุดหงิด
ความผิดหวัง
ความกังวล
ความท้อแท้
การตำหนิ การรู้สึกผิด
ความโกรธ
ความเคียดแค้น
ความเกลียดชัง
ความริษยา
ความไม่มั่นคง รู้สึกไร้ค่า
ความหวาดกลัว โศกเศร้า
หดหู่ สิ้นหวัง
หมดพลัง

คำคำเดียวกันอาจถูกใช้ในสิ่งที่เหมือนและไม่เหมือนกันอยู่บ่อยๆ การแบ่งประเภทของอารมณ์ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ จึงไม่เที่ยงตรงอย่างที่สุด
สำหรับคนที่รู้สึกถึงอารมณ์นั้นๆอย่างแท้จริง


การเลื่อนมาตรวัดทางอารมณ์

ถ้าคุณทุ่มตัวทำอะไรลงไปสักอย่าง คุณก็อาจรู้สึกดีขึ้น ถ้าคุณเอาเจ้าสิ่งรบกวนคุณอยู่ออกจากใจได้หมด มีความคิดมากมายที่คุณจะเพลิดเพลินกับมันจนหลุดจากความหดหู่


ในที่สุด ด้วยการฝึกฝน คุณก็จะเชี่ยวชาญมากๆ ในการทำความเข้าใจระบบชี้นำทางอารมณ์ และเมื่อคุณตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะไข่วคว้าความโล่งใจอย่างต่อเนื่อง จะนำมาซึ่งอารมณ์ที่ดีขึ้นของคุณมาให้ คุณก็จะพบว่าตังเองรู้สึกดีเกือบตลอกเวลา และจะพบว่าคุณกำลัง"เปิดรับ"ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสู่ประสบการณ์ของตัวเองได้มากขึ้น

ความรู้สึกที่ปลอดโปร่งขึ้น ที่ค้นพบในขณะที่กำลังเอื้อมคว้าความคิดที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น...คือ เกณฑ์วัดที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของสิ่งที่คุณกำลัง"ดึงดูด"เข้ามาสู่ประสบการณ์ของตัวเอง+

การเล่นเกมนี้ จะทำให้คุณส่งการ"สั่นสะเทือนที่แผ่ขยาย"ออกไปเรื่อยๆ
เราขอสัญญาว่าผลที่ปรากฎจะเริ่มเข้ามาหาคุณ มันเป็นการตอบสนองต่อการสั่นสะเทือนที่เปลี่ยนแปลงไปของคุณ++++

 

กระบวนการในการทำสมาธิ...ไว้ค่อยมาต่อครับ

 

สวัสดีครับคุณ mead ผมไม่ได้เข้ามานานมาก ตั้งกะปีที่แล้วกลางๆปีได้
วันนี้นึกอะไรก็ไม่รู้ความคิดมันแว็ปมาเรื่องพลังจิตจนได้ เลยกะลังตามล่าข้อมูลการใช้พลังจิต แล้วก็มาเจอกระทู้ของพี่meadนั้นแหล่ะ เลยหยุดดูเป็นชั่วโมงนั้งอ่านไปเรื่อยๆ ลองตั้งจิตหลับตา รู้สึกขนลุกที่ต้นคอ กะปวดหัวนิดหน่อยแบบตึงๆ รู้สึกว่าผมจะมีพลังจิตสูงแต่ไม่รู้วิธีดึงมันออกมาใช้ ก็เลยมาตามล่า ชอบเรื่องพลังจิตมากๆ ควบคู่กับการฝึกพระกรรมฐานครับ
ขอบคุณมากๆครับสำหรับข้อมูล รู้สึกมาอ่านแล้วแนวความคิดเปลี่ยนไปยังไงไม่รู้ครับ

 

สวัสดีครับคุณ golf208 คงไม่บังเอิญครับที่เข้ามาอ่าน ^^

ผมว่าเรื่องพลังงานของจิต มันเป็นเรื่องสากลน่ะครับ..การฝึกฝนจิตก็เพื่อยกระดับ "จิตปัจจุบัน"หรือจิตหยาบ ให้สูงขึ้น คือการสามารถเข้าถึงและรับรู้"จิตวิญญาณ"หรือสภาวะของ"จิตเดิมแท้" ของตนเองได้นั่นล่ะ..

สั่นสะเทือน จิตหยาบ ให้มีความถี่สูงสุด+จนดูเหมือนไม่สั่นสะเทือน+เท่าๆกับ จิตวิญญาณ ถ้าเข้าถึงได้เมื่อไหร่ ความรู้ความสามารถต่างๆจะหลั่งไหลพรั่งพรู เข้ามาเหมือนน้ำไหลทะลักจากกำแพงเขื่อนเลยครับ ขื้นอยู่กับการการปรับแนวคิด เข้าหาพลังงานต้นกำเนิดนี้ ให้สำเร็จ..

เมื่อวานได้คุยกับคุณ Basate ก็แนวๆนี้ครับ..ต้องเปิดกว้างทำใจให้เป็นกลาง
ไม่มีอคติใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเรียนรู้ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันครับ..การฝึกสมาธิ วิปัสนาญาณ ก็เป็นการฝึกฝนพัฒนาจิตเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะวิชาใดๆก็เป็นเทคนิคในการเชื่อมโยงกับจิตเดิมแท้เหมือนกัน...ความรู้จากจิตวิญญาณของเรา ทั้งสมดุล ทั้งสงบ..และเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย เป็นระบบ...ทุกคนจะมีจิตวิญญาณของตนเองเป็นผู้นำทาง มีพลังแห่งแสงสว่างที่บริสุทธิ์เหมือนๆกันทุกคนครับ..

ถ้าท่านใดมีอะไรแปลกๆทางจิตที่เกิดขึ้น ก็มาเล่าให้ฟังบ้างกันนะครับ

(verygood)(verygood)(verygood)​

 

เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องอิทธฤทธิ์ใดๆเลยครับ..สภาวะจิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะธรรม ถ้าคุณปรารถนาสิ่งใด มุ่งมั่นสิ่งใด สิ่งนั้นจะสร้างประสบการณ์ให้เราตามนั้น จะช้าหรือเร็วก็เกิดขึ้นแน่นอนถ้าเรามุ่งมั่นอย่างเต็มที่ (ไม่เลิกคิดหรือล้มเลิกกลางทางซะก่อน ทุกคนได้รับคำตอบเสมอ) ตาม "กฎแห่งการดึงดูด"ที่เกิดขึ้น..โลกของพลังงานที่เป็นแก่นแท้ คือเรื่องจริงของเราทุกๆคนครับ..

 

*** กำลังเขย่าคนทั้งโลก ****

ความคิด และ การกระทำของข้าพเจ้าในขณะนี้
คือ พยายามเขย่าคนทั้งโลก ... ให้ตื่นขึ้นมาจากอาการหลับใหล
ปลุกให้ตื่นขึ้นมา....เพื่อต้อนรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มายืนรออยู่ที่ประตูหน้าบ้าน นานแล้ว !!!

ตื่น...ตื่น....ตื่น.....ตื่น......ตื่น.......ตื่น......ตื่นได้แล้ว
หมดเวลานอนแล้ว

- " หนุมาน ผู้นำสารจาก โลกุตตระ(พระไตรปิฎก) "

 

ครับ สวัสดีครับเจอกันอีกครั้งนึง รู้สึกพักนี้จะเข้ามาที่เว็ปบอร์ดบ่อยขึ้นนะครับ มาหาความรู้เพิ่มเติม และศึกษาปฏิบัติตามไปด้วยครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้อีกครั้งครับ ได้แนวความคิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นเยอะเลย


ถึงแม้โลกนี้จะไม่น่าอยู่สักเท่าไหร่ไปนิพพานดีกว่ามากมาย แต่โลกนี้ก็สอนอะไรๆอีกหลายๆอย่าง ทั้งให้เราได้ไปเจอความรู้ต่างๆ รวมทั้งโชคดีที่ได้เกิดมาในพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรม ไปสู่พระนิพพาน
ขอบคุณคุณ mead และทุกๆท่านที่อยู่ในเว็ปบอร์ดที่ให้ความรู้มากมายแห่งนี้ รวมทั้งสืออินเตอร์เน็ต สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ที่ทำให้ผมได้รับความรู้มากมาย รวมทั้งได้เดินร่วมทางไปกับทุกๆคนที่ฝึกกรรมฐาน เดินตามรอยพระพุทธองค์เข้าสู่พระนิพพาน จะได้ไม่ต้องเกิดมาเพื่อให้ความทุกข์มาหลอกลวงเราอีกแล้วครับ
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ..ครับ

 

ใครเป็นคนคิดค้นนะ....

 

*** เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องทำอะไร ****

เกิดเป็นมนุษย์...มีหน้าที่ คือ
ต้องทำ...ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
ต้องทำ....ในสิ่งที่ยังทำไม่ได้

คือ การขจัดกิเลส นิสัย สันดานให้หมดสิ้นไป
หาก...ทำไม่ได้หมด
ก็ต้องไปเกิดอีก...เพื่อทำให้ได้...จนกว่าจะทำได้

แล้วทุกวันนี้...ลองถามตัวเองว่า
วันนี้...เราตั้งใจ ขจัดนิสัยไม่ดีอะไรบ้าง !!!

ถ้าวันนี้...ไม่ได้ตั้งใจ
ก็ขอให้เริ่มต้น ชีวิตใหม่ด้วย "สัจจะ"
สัญญา กับใจตัวเอง...ว่า...จะทำสิ่งที่ดี วันละอย่าง วันละข้อ
ข้อละ ๑ ชั่วโมง ...ก็ยังดี กว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้ตั้งใจเลย !!!

นี่แหละ...คนจริง ที่โลกต้องการ
พูดจริง...ทำจริง
ผู้ใดมี "สัจจะ"....ผู้นั้น เสมือนมีบัตรผ่านเข้า

 

ขอพลังจักวาลจงอยู่กับท่าน

 

WoW!!!!!กระทูนี้น่าอ่านมากๆค่ะพี่มี๊ด
ไว้จะไปฝึกดูนะคะ อ่านจนตาลายขอปริ้นไปอ่านเลยแระกันค่ะ
เรื่องโทรจิตนี่ปุยก็เคยอ่านผ่านๆมามั้ง แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่ไหร่หรอกค่ะ

มีเรื่องอยากถามค่ะพี่มี๊ด แล้วโยเรนี่ใช่วิชาโทรจิตมั้ยค่ะเคยเห็นคุณตาที่ทำงานพ่อเค้าไปฝึกมาน่ะคะ แต่นานมากแล้ว แล้วมาทำให้ที่บ้านทุกคนเลย โหยนั่งทีนี่เหน็บกินเลยค่ะ5555

 

"โยเร" นี่ป้าของพี่เคยไปฝึกครับนู๋ปุย จะเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยผ่ามือพลังจักรวาล และเกษตรธรรมชาติปลอดสารพิษ อันนี้เป็นส่วนที่ดีมากครับถ้าสนใจเรียนรู้ ส่วนวิชาต่างๆนั้นก็ล้วนมีที่มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันครับ เพียงแตกแขนงออกมาให้เราเรียนรู้กันอีกมากมายตามจริตครับ

และถ้าเป็นไปได้ อ่านธรรมะของพุทธศาสนาเพื่อเปรียบเทียบด้วย แล้วหากว่าเห็นพ้องหรือถูกจริตกับด้านใดก็ขอให้เจริญธรรมในด้านนั้นๆครับ รับรองว่าเราก็สามารถเป็นครูของตนเอง และรู้เท่าทันเรื่องราวต่างๆได้ในที่สุด เพราะเราเดิน "ตามรอยพระพุทธเจ้า"ครับ..

 

เป็นวิชาที่มีอยู่ในจิตของเรานี่เองครับ อยู่ในธรรมชาติกันทุกคนอยู่แล้ว
แต่เหมือนเราจะลืม ไม่ค่อยฝึกปรืออีก เลยใช้ไม่ค่อยจะเป็นกันครับ

ส่วนเนื้อหาที่มาพิมพ์นี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง จากผู้หญิงชาวเปรูคนหนึ่งที่ติดต่อกับพลังงานต้นกำเนิดไร้รูปที่ชื่อ "อับราฮัม" (เป็นพลังงานต้นกำเนิดของเธอเองที่พยายามสื่อสารกับเธอ..มาตลอด) เธอถูกแนะนำให้ฝึกสมาธิ เธอใช้เวลาราวๆ 9 เดือนก็รับสัมผัสได้ครับ ผมคัดเอามาปรับเล็กน้อยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ โดยปกติมนุษย์ทุกคนจะมีผู้ชี้นำทางวิญญาณกันทุกคนครับ..

 

รวมถึงการไม่อยากคบค้าสมาคมกับใครบางคนด้วยหรือเปล่าคะ?

 

การไม่มีอคติใดๆ คือใจเราต้องบริสุทธิ์อย่างถ่องแท้นะครับคุณลาล่า
ถ้าเรายังมี "ความอยาก" หรือ"ความไม่อยาก" เช่น อยากรวย ไม่อยากจน
การอยากคบหาใคร หรือการไม่อยากคบหาใคร ก็เป็นการเลือกอย่างนึง (จริงๆแล้วก็ยังไม่เพียวครับ) ผมก็เป็นแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน

ถึงแม้บางคนรู้ว่าคบแล้ว เราจะมีแต่เสียใจ ผิดหวัง หรือถูกเอาเปรียบ ยิ่งคนใกล้ชิดสนิทสนมนี่ บางทีแทบจะเลี่ยงไม่ได้ครับ มันต้องพบเจอกันอยู่ดี ถึงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้ ชาติหน้าก็ยังต้องเจอกันอีกล่ะครับ เพราะมันมีรหัสกรรมต่อกัน คือการไม่ชอบหน้ากัน หรือมีอคติต่อกันนี่ล่ะ

แต่เราจำเป็นต้องมี ความอดทน + ความอดกลั้น +ให้อภัย = ซึ่งรวมกันเรียกว่า "ความรัก" จะรักมากรักน้อย ก็ต้องรักไว้ก่อนครับ เป็นคำตอบสุดท้ายของเรา บางทีเราต้องยินยอม ยอมรับการกระทำของเขา เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขตนเองก่อน โดยที่เราต้องแสดงออกด้วยการ ไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน และไม่หลีกเลี่ยง เพื่อให้ผลกรรมนั้นเป็นโมฆะในที่สุด คือเลิกแล้วต่อกันโดยสิ้นเชิญ พลังงานกรรมก็จะเป็นอิสระครับ คงเหลือแต่ พลังงานความรักที่บริสุทธิ์ หรือจะเรียกว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่ง ให้ได้ครับ

ถามสั้น แต่ตอบซะยาวเลย จะกลายเป็นกระทู้ตอบปัญญาชิวิตซะแล้วครับ ^^

 

ดีค่ะ. แต่ลาล่าคิดว่าการที่เราไม่ไปสุงสิงหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเค้า เราก็จะไม่มีกรรมเวรต่อกันอีกต่อไปไม่ใช่หรือคะ? (เพราะเราก็ไม่ได้ไปจองเวรกับเค้า)