บันทึกอาการป่วยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Scorpius, 23 สิงหาคม 2011.

  1. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    บันทึกอาการป่วยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตั้งแต่วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕ จนถึงกาลมรณภาพ โดยพระปลัดวิรัช โอภาโส


    วันที่ ๒-๖ ตุลาคม ๒๕๓๕
    หลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯ สอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสามลม (บ้าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์)

    วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ และคณะศิษยานุศิษย์ ได้ร่วมกันจัดงานวันเกิดถวายหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม

    วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๕
    หลวงพ่อกลับถึงวัด บ่าย ๓ โมง และล้างท้อง

    วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๓๕
    ล้างท้องหลวงพ่ออีก ๑ วัน

    วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๕
    วันนี้ให้น้ำเกลือหลวงพ่อ (เป็นเรื่องปกติ ถ้ากลับจากซอยสายลม จะต้องล้างท้อง ๒ วัน วันที่ ๓ ให้น้ำเกลือ)

    วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๕
    เวลา ๒๓.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐมที่สั่งมาจากโรงงานเป็นครั้งที่ ๓

    วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
    (เป็นวันออกพรรษา) ช่วงเช้า หลวงพ่อลงเทศน์ที่ศาลาพระพินิจอักษร ช่วงบ่ายก่อนหลวงพ่อลงรับแขก ท่านเล่าว่า “เมื่อคืนปลุกเสกพระ หมาไม่หอน งวดนี้ไม่ให้หมาเห็น เพราะ ๒ งวดก่อนมาให้หมาเห็นเห่ากันเจี๊ยวจ๊าว รุ่นนี้แอบไม่ให้หมาเห็น เมื่อคืนปลุกรุ่นยันกลับ (ใครทำไม่ดียันกลับหมด)” ตอนพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐมจากโรงงานรุ่น ๒ หลวงพ่อเล่าว่า “ผู้มีสมเด็จองค์ปฐมไว้แต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ร้ายก็ดี ถ้าคิดไม่ดีจะร้อนรุ่มจนทนไม่ได้ ต้องถอยไปในที่สุด”

    วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๕
    (วันตักบาตรเทโวฯ) หลวงพ่อลงเทศน์ที่ศาลาพระพินิจอักษร และเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้ายของท่าน

    วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๕
    หลวงพ่อเริ่มฉันข้าวไม่ได้ หลวงพ่อปรารภว่า “ฉันข้าวไม่ได้” ท่านพูดว่า “เห็นคนแต่งตัวสีแดงแจ๊ด แดงเป็นมันและมีคนใส่ชุดสีชมพูอยู่ข้าง ๆ ของคนใส่ชุดแดงด้วย” ถ้าหลวงพ่อเห็นสีแดง เป็นสัญลักษณ์ของการป่วย ถ้าเห็นสีแดงแต่แดงไม่มาก ก็ป่วยไม่มาก เห็นน้อยป่วยน้อย นี่เห็นแต่งแดงทั้งตัว แดงเป็นมัน ป่วยหนัก และยังมีสีชมพูคอยเสริมอีก ท่านบอกว่า “คงป่วยหนักเอาการ”
    ท่านพระครูปลัดอนันต์ มาเล่าว่า ได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ได้ยินหลวงพ่อเล่าว่า ท่านออกกำลังกาย มีเครื่องคล้าย ๆ กรรเชียงเรือ ท่านทำได้ ๑๐ ที พออีกวันท่านพูดว่าทำได้หลายสิบครั้ง ท่านพระครูปลัดอนันต์ก็บอกว่า หลวงพ่อแข็งแรงไม่น่าจะป่วยหนักอย่างที่หลวงพ่อเล่า

    วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๕
    ตอนไปรับหลวงพ่อก่อนลงรับแขกตอนบ่าย หลวงพ่อปรารภอีกว่า “ฉันข้าวไม่ได้ มันไม่รู้สึกอยากฉันข้าวเอาเลย”

    วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๕
    ตอนไปรับหลวงพ่อก่อนลงรับแขกตอนบ่าย หลวงพ่อปรารภอีกว่า “ฉันข้าวไม่ได้” แล้วท่านก็ปรารภอีกว่า “ไอ้อาการฉันข้าวไม่ได้อย่างนี้ เป็นอาการของคนใกล้จะตายแล้วนะ ถ้าข้าไม่ตายก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์แล้วนะ”

    วันที่ ๑๗–๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๕
    งานกฐินวัดท่าซุง ปีนี้จัดที่ศาลา ๑๒ ไร่

    วันที่ ๑๗ เวลา ๑๙.๐๐ น.
    หลวง พ่อลงรับแขกที่ศาลา ๑๒ ไร่ มีพิธีบวงสรวงด้วย ดูท่าทางหลวงพ่อป่วยมาก ยืนแทบไม่ไหว
    ดร.ปริญญา นุตาลัย ประกาศให้คนรีบถวานสังฆทานเร็ว ๆ หลวงพ่อจะได้ขั้นพักก่อนเวลา แต่หลวงพ่อก็บอกไม่เป็นไร ขึ้นพักตามเวลา ๓ ทุ่ม
    วันที่ ๑๘ เวลา ๐๗.๐๐ น. หลวงพ่อลงมารับแขก แต่เช้านั่งรับปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวาย
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ฉันเพล หลวงพ่อฉันเพลที่โต๊ะรับแขกนั้นเอง ฉันได้น้อยมาก
    เวลา ๑๓.๓๐ น. ถวายผ้ากฐินทาน
    เวลา ๑๕.๐๐ น. หลวงพ่อเข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีกรานกฐิน พอเสร็จพิธีท่านบอก “วันนี้ไม่ไหว” ขอกลับที่พักเลย ปกติท่านจะให้โอวาท แต่งวดนี้ ท่านบอกไม่ไหว แล้วก็กลับเลย

    วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๕
    เวลา ๐๗.๐๐ น. หลวงพ่อมาถึงตึกริมน้ำ หลวงพ่อให้พระครูใบฎีกาประทีปมาตามข้าพเจ้าไปพบเรื่องการเบิกเงิน จ่ายค่าสมเด็จองค์ปฐม ที่กำหนดจะมาส่งเมื่อ ๒๖ ต.ค. ๓๕ พอเข้าไปถึง หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าว่า “เมื่อคืน ตั้งแต่ ๒ ยาม นอนไม่ได้เลย มันหนาวสั่นไปหมดตลอดคืน” ท่านสั่งว่า “พรุ่งนี้ วันปิยมหาราช ข้าลงสวดไม่ไหวนะ ไม่ต้องเตรียมพัดนะ” (หมายถึงพัดยศของหลวงพ่อ) ปกติวันทำบุญถวายพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถ้าไม่ป่วย หลวงพ่อจะลงสวดมนต์ด้วยทุกครั้ง
    เวลา ๑๐.๔๕ น. มีพระในวัดเข้าไปลากิจหลายคณะ ดูเต็มไปหมด ข้าพเจ้าและพระครูปลัดอนันต์และพระวัชรชัยก็เข้าไปลาเพื่อไปงานกฐินที่ หัวหิน ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อป่วย แต่เพราะรับปากไว้ก่อน จึงไม่เปลี่ยนใจ และหลวงพ่อก็อนุญาต
    เวลา ๑๓.๑๕ น. ข้าพเจ้ากับพระสมุห์บัญชาไปรับหลวงพ่อเพื่อลงรับแขก หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “แป๊ะ แกไปหัวหินเมื่อไร?” กราบเรียนว่า ไปพรุ่งนี้ครับ (๒๓ ต.ค. ๓๕)
    หลวงพ่อถามว่า “ไปกี่คน”
    กราบเรียนว่า ๔ องค์ครับ
    หลวงพ่อถามว่า “มีใครบ้าง”
    กราบเรียนว่า มีพระครูปลัดอนันต์ หลวงพี่อาจินต์ พระวัชรชัย และผมครับ
    หลวงพ่อถามว่า “แล้วจะกลับเมื่อไร”
    กราบเรียนว่า พระครูปลัดอนันต์บอกว่า เสร็จงานกฐินวันที่ ๒๕ ต.ค. แล้วจะกลับ แต่ถามพระวัชรชัย ท่านบอกว่า จะกลับวันที่ ๒๖ ต.ค. ครับ ความจริงตอนไปลาหลวงพ่อท่านทราบแล้ว แต่ที่ท่านซกถามจนละเอียดถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ ท่านแสดงนัยให้ทราบ ก็เป็นห่วงหลวงพ่อ แต่ก็
    ตั้งใจว่าจะรีบกลับ พระสมุห์บัญชาและพระใบฎีกาประทีป ต่างพูดว่า วันนี้หลวงพ่อซักวิรัชจังเลย พระสมุห์บัญชา พูดว่า ความจริงหลวงพ่อป่วย ๆ อยู่อย่างนี้ ไม่น่าไปไหน

    วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๕
    ขณะข้าพเจ้านั่งรถไปหัวหินกับพระครูปลัดอนันต์และพระวัชรชัย ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านซักข้าพเจ้ายังไงบ้าง ทำให้ข้าพเจ้ามีความกังวลใจ และปรารภส่าอยากจะกลับเมื่อเสร็จงานพร้อมกับรถขนของของวัด

    วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๕ (เสาร์) ได้ข่าวหลวงพ่อหกล้ม
    เวลา ๓ ทุ่มเศษ พระครูสมุห์พิชิต (โอ) โทรศัพท์ไปหัวหิน บอกพระครูปลัดอนันต์ว่าหลวงพ่อหกล้ม (มาทราบภายหลังว่าท่านไม่ได้หกล้ม เพียงแต่ยืนเพื่อไปปิดพัดลมดูดอากาศ แล้วเข่าทุรดลงกับพื้น) ข้าพเจ้าและพระครูปลัดอนันต์ตัดสินใจกลับวัด ผู้คนที่นั่นพากันร้องไห้เป็นห่วงสุขภาพหลวงพ่อ พากันออกมาส่งข้าพเจ้าและพระครูปลัดอนันต์ที่หน้าศาลา ๓ ทุ่มกว่า คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ ก็ให้ยืมรถและให้คนขับรถมาส่งข้าพเจ้าและพระครูปลัดอนันต์ถึงวัดตี ๒

    วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ (อาทิตย์) หลวงพ่อเริ่มทรุดลง
    เวลา ๐๖.๐๐ น. เศษ พระครูปลัดอนันต์ชวนข้าพเจ้าไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อที่ห้องนอนชั้น ๓ ที่ วิหาร ๑๐๐ เมตร เข้าไปถึง หลวงพ่อนั่งอยู่บนเตียงลักษณะอ่อนเพลียเสียงแหบแห้งหลวงพ่อเรียกให้เข้าไป นั่งใกล้ ๆ พอท่านพระครูปลัดอนันต์เข้าไปนั่งใกล้ ๆ หลวงพ่อก็น้ำตาไหล หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “กฐินหัวหินได้เท่าไร” กราบเรียนว่า “ไม่ทราบครับ พวกผมทราบข่าวหลวงพ่อป่วยเลยกลับมาก่อน งานกฐินเขาเริ่มวันนี้ครับ”
    หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า “คออักเสบแดงยาวตลอดมาถึงท้อง มันปวดทรมานถึงท้อง” แล้วท่านก็กำมือ ๒ ข้าง แล้วเอาแขนไขว้กัน ก้มตัวลงมานิด ๆ แล้วพูดว่า “คล้ายมีอะไรขดอยู่ในตัวอย่างนี้ (แล้วท่านทำท่าก้มตัวแบบขดตัวให้ดู) มีความทรมานมาก” แล้วท่านก็เอามือประคองท้องไว้ทั้ง ๒ ข้าง พูดว่า “ท้องนี่ปวดระบมไปหมด” ท่านพูดกับพวกเราว่า “ขอบใจที่มาเยี่ยม” แล้วหลวงพ่อก็บอกจะไปฉันอาหารเช้า ก็ตามไปส่งหลวงพ่อที่ห้องฉันอาหาร นั่งเฝ้าดูหลวงพ่อเห็นท่านฉันต้มวุ้นเส้นได้ ๒-๓ คำ ฉันมะม่วง ๒-๓ คำ แล้วนั่งมองอาหาร มองแบบคนไม่ต้องการอะไรเลย
    แล้วก็นั่งเฉยอยู่นาน มีเสียงสุนัขครางอิ๋ง ๆ หลายตัว ท่านให้แบ่งอาหารให้ แล้วก็เดินเตรียมไปขึ้นรถ ท่านมาหยุดเลี้ยงสุนัข มีทหารถือจานแตงกวาผัดไข่ ๑ จาน หลวงพ่อยืนคล้ายหุ่นยนต์ ตาลืมไม่ค่อยจะขึ้น ท่านเอาช้อนตักแกงหวาเหวี่ยงให้สุนัขทีละซ้อนจนหมดจาน แล้วก็ขึ้นรถไปยังตึก
    ริมน้ำ ตอนบ่ายหลวงพ่อไปรับแขก ให้นั่งเก้าอี้หาม ยกขึ้นตึกรับแขก แล้วนั่งรถเข็นต่อไปยังที่รับแขก เย็นนี้ล้างท้องหลวงพ่อ หลวงพ่อฉันข้าวไม่ได้ เมื่อล้างท้องยิ่งทำให้ทรุดเร็ว


    (มีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 สิงหาคม 2011
  2. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๕ (วันจันทร์) หลวงพ่อทรุดอีก

    เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ข่าวว่าหลวงพ่อทรุดลงอีก เช้าท่านฉันต้มวุ้นเส้น ๒-๓ คำ เพลฉันแอปเปิ้ล ๒ ชิ้น เมล็ดบัว ๒-๓ เมล็ด ส้มโอ ๒-๓ คำ ไปรับหลวงพ่อก่อนลงรับแขก ครูนนทาบอกว่า ได้นิมนต์ไม่ให้หลวงพ่อลงรับแขก บอกว่าวันนี้วันจันทร์แขกไม่ค่อยมาก ครูนนทาเล่าว่า หลวงพ่อดุ ฟังไม่ถนัด ได้ยินชัดเจนแต่คำว่า “โง่” พอตอนเย็นเลิกรับแขก หลวงพ่อเล่าให้พระครูปลัดอนันต์ฟังเรื่องครูนนทานิมนต์ไม่ให้รับแขก ท่านเลยดุเอาว่า “คิดอะไรโง่ ๆ”

    เย็นนี้ล้างท้องอีก ขณะที่พระครูปลัดอนันต์ อุปัฏฐากท่านอยู่ในห้อง หลวงพ่อพูดกับท่านพระครูปลัดอนันต์ว่า “เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวจะไม่ทันการ ให้เอาใบคำสั่งมาให้เซ็น” (เป็นใบคำสั่งที่ท่านได้เตรียมพิมพ์ไว้ว่า ถ้ามรณภาพเมื่อไร ให้พระในวัดปฏิบัติตามนั้น)

    พระครูปลัดอนันต์ได้เล่าให้ฟังต่อไปว่า หลวงพ่อเล่าว่า

    พระพุทธองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า “คุณตัดสินใจแน่แล้วหรือ”
    หลวงพ่อกราบทูลว่า “แน่แล้ว”
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “คุณไม่ห่วงอะไรแล้วหรือ”
    หลวงพ่อกราบทูลว่า “ไม่ห่วง”
    พระพุทธองค์ตรัสว่า “มณฑป (สมเด็จองค์ปฐม) ยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อย”
    หลวงพ่อกราบทูลว่า “เขากำกันได้”
    พระพุทธองค์ทรงตรัสถามย้ำว่า “เขาทำกันได้หรือ”
    หลวงพ่อกราบทูลว่า “ได้ เพราะเงินเตรียมไว้ให้แล้ว”

    คืนนั้น หลวงพ่อก็ทรุดลงอีก ตอนเที่ยงคืนนกเอี้ยงและจ่าตุ๋ยได้โทรศัพท์ไปให้พระครูปลัดอนันต์และพระครู สมุห์พิชิตทราบว่า “ให้ไปดูใจหลวงพ่อด้วย” หลวงพ่อบอกว่า “ทวารท่านเปิดหมดแล้ว” เพราะว่าท่านถ่ายไม่หยุด พอ ๒ องค์ขึ้นไปถึง เห็นหลวงพ่อนอนห่มผ้า เอาผ้าขนหนูคลุมศีรษะอยู่ พระครูปลัดอนันต์นึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว จึงเข้าไปใกล้ ๆ ฟังดูว่า ท่านยังหายใจอยู่ ท่านก็ไอ พระครูปลัดอนันต์เลยพูดว่า ท่านยังไม่เป็นไร ยังหายใจอยู่

    แล้วก็ช่วยกันพยุงท่านลุกจากที่นอน ท่านถ่ายออกมาเต็มที่นอนไปหมด สีคล้ายเลือดหมู และออกเป็นสีดำ ๆ ลิ่ม ๆ พระครูสมุห์พิชิตช่วยทำความสะอาดให้หลวงพ่อ แล้วตามหมออิ๊ดมาให้น้ำเกลือ พอให้น้ำเกลือได้ ๒๐๐ ซี.ซี. ก็แจ้ง ท่านให้ถอดน้ำเกลือออก

    วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ อาการหลวงพ่อทรุดลงอีก

    วันนี้อาการหลวงพ่อหนักกว่าเมื่อวาน ตอนฉันเพลอยู่ท่านให้นกเอี้ยงมาถามข้าพเจ้าถึงยอดเงินสมเด็จองค์ปฐม ที่ยังมาไม่ครบ ก่อนลงรับแขก หลวงพ่อหันมาพูดว่า “ข้ามัวแต่ป่วยยังไม่ได้จัดกระเป๋า” เพื่อเตรียมเข้าสายลม ๒๙ ต.ค. – ๔ พ.ย. ๓๕ นี้)

    ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า “ถ้าให้ข้านอนอยู่เฉย ๆ พักผ่อนอย่างเดียว ข้าขอตายดีกว่า ตราบใดที่ยังมีผมหายใจอยู่ จะพยายามสงเคราะห์คนจนถึงที่สุด ถ้ายิ่งคนเขาตั้งใจมาเอาดี มาเอาธรรมะ ถึงข้าป่วยหนักอย่างไร ก็ต้องออกมาหาเขา ถึงจะตายก็ยอม”

    และท่านเคยปรารภว่า “ที่บ้านซอยสายลมนั้น นักบุญทั้งนั้น เขามารวมตัวกันที่นั่น หยุดไม่ได้ ต้องไปสงเคราะห์เขา”

    ได้ยินท่านพระครูปลัดอนันต์เล่าว่า กลางคืนหลวงพ่อนอนไม่หลับ จึงฉันยานอนหลับ ๔ เม็ด พอสัก ๑-๒ ชั่วโมง ฉันอีก ๒ เม็ด ต่อมาฉันอีก ๒ เม็ด รวมแล้ว ๘ เม็ด ยังไม่หลับ พอประมาณ ตี ๓ ท่านให้ฉีดยาช่วยให้นอนหลับเข้าไปและให้น้ำเกลือ

    วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ พวกเราเห็นหน้าครั้งสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่

    เวลา ๐๖.๓๐ น. สว่างแล้ว ท่านให้ถอดเกลือน้ำเกลือออก ท่านพูดว่าห่วงงาน เพราะจะต้องไปที่ตึกริมน้ำ ไปจ่ายเงินคนงาน นัดให้ธนาคารมาเบิกจ่ายเงินคนงาน

    เวลา ๐๗.๐๐ น. พอรถหลวงพ่อมาจอดที่หน้าตึกริมน้ำ เห็นพวกทหารหามหลวงพ่อลงมาจากรถ พากันอุ้มหลวงพ่อและทหารวิ่งมาเปิดประตูทั้ง ๒ บาน ข้าพเจ้ามาดูใกล้ ๆ เห็นหลวงพ่อหายใจแรงมาก ปากอ้า เพราะความเหนื่อย ต้องหายใจทางปาก เปลือกตาหนัก ลืมไม่ค่อยขึ้น หน้าซีด จึงรีบตามเข้าไปนั่งในห้องด้านใน ไปดูหลวงพ่ออยู่ที่หน้าเตียงเกินครึ่งชั่วโมงขึ้นไป หลวงพ่อทรุดมาก จนผิดปกติ จ่าตุ๋ยและนกเอี้ยง เข้าไปให้อ๊อกซิเจน หลวงพ่อคราวละ ๑๕ นาที หน้าหลวงพ่อซีด เนื้อตัวแขนเป็นรอยจ้ำ สีจางกว่าที่ขา ที่ขามีรอยจ้ำเป็นสีคล้ำ ๆ เป็นวงใหญ่ ๆ จนเลยถึงหัวเข่าขึ้นมาทั้ง ๒ ข้าง อาจารย์พรนุช บอกว่าหลวงพ่อลืมตาไม่ขึ้นตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว

    ข้าพเจ้าจึงนั่งเฝ้าดูอาการหลวงพ่ออยู่นานโดยไม่อยากพูดอะไร เพราะยังงงอยู่ ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ไปกรุงเทพฯ ปรึกษากับนายแพทย์จรูญ ปิรยวราวรรณ์ ๓ ครั้ง ในเวลาไร่เรี่ยกัน อยากให้หมอจรูญมาดูหลวงพ่อ ข้าพเจ้าบอกว่า หลวงพ่ออาการหนักมากแล้ว และดูจะผิดปกติมาก ๆ หมอจรูญจึงสั่งมาว่า ให้บอกหมออิ๊ด พยายามคาน้ำเกลือไว้ให้หลวงพ่อ และให้หมออี๊ดจับชีพจรและความดันทุก ๆ ๒-๓ ชั่วโมง

    หมอบอกว่า การคาน้ำเกลือเผื่อว่า หลวงพ่อช็อคจะได้หาเส้นได้ เพราะว่าหลวงพ่อกำหนดเข้าบ้านซอยสายลม ๓๐ ต.ค. จะได้ช่วยพยุงอาการหลวงพ่อไว้ได้ เพราะหลวงพ่อไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลแน่ ซึ่งไม่มีใครกล้าฝืนใจหลวงพ่อในเรื่องนี้

    หลวงพ่อยังยืนยันที่จะลงรับ แขก ทั้งที่วัดและบ้านซอยสายลมด้วย พอคุยกับหมอจรูญเสร็จ จ่าตุ๋ยเล่าให้ฟังว่า เมื่อกี้ขณะจ่าตุ๋ยอยู่กับหลวงพ่อ ๒ ต่อ ๒ ท่านพูดได้ความว่า “มณฑปองค์ปฐมยังก็ยังไม่เสร็จ สมเด็จองค์ปฐมของใหม่ที่สั่งมาจากโรงงานก็ยังมาไม่ครบ ยังเคลียร์เงินไม่เสร็จ และธนาคารกสิกรจะมาเคลียร์เงินวันนี้ก่อนเพล ท่านเป็นห่วง” ดูแขนหลวงพ่อเขียวเป็นจ้ำ ๆ ที่ขาทั้ง ๒ ข้าง ยังเขียวเป็นจ้ำ ๆ อยู่

    เวลา ๑๑.๐๐ น. กว่า พระทั้งวัดมานั่งรออยู่ที่เตียงด้านนอก เพื่อกราบเยี่ยมหลวงพ่อ ข้าพเจ้า พระครูปลัดอนันต์ พระใบฎีกาประทีป พระอภิชัย อาจารย์พรนุช จ่าตุ๋ย เอี้ยง นที อยู่ในที่นั้น ส่วนพระสมุห์บัญชาและพระครูใบฎีกาสมพงษ์ ได้ตามมาภายหลัง ต่างนั่งเฝ้าดูอาการหลวงพ่อด้วยความเป็นห่วง เห็นหลวงพ่อนอนหอบมาก เหนื่อย และข้อสำคัญ หนังตาหลวงพ่อยังหนักอยู่ เพราะฤทธิ์ยานอนหลับไม่หมด หลวงพ่อไม่ได้หลับ เพราะจะได้ยินท่านถามอะไรออกมาเป็นครั้งเป็นคราว ท่านนึกอะไรได้ท่านก็พูดออกมา ท่านห่วงงานที่ค้างอยู่อีกเพียงไม่กี่อย่าง
    ขณะที่เราเฝ้าดู เห็นคล้ายกับว่าหลวงพ่อนอนหลับ จึงซุบซิบกันเรื่องไปสายลม ท่านพระครูปลัดอนันต์ พูดกับข้าพเจ้าว่า “เรื่องสายลมตัดไปเลยตอนนี้ ดูหลวงพ่ออย่างนี้ ท่านไปไม่ได้อยู่แล้ว”ข้าพเจ้าจึงย้อนถามว่า “ถ้าไม่ไป แล้วหลวงพ่อจะยอมหรือ” ท่านก็พูดว่า “เรื่องนี้รอไปก่อน”

    สักประเดี๋ยวอยู่ ๆ หลวงพ่อก็คอย ๆ ลืมตาขึ้น ลืมขึ้นมาด้วยความยากลำบากเต็มทีแล้วก็พูดกระท่อนกระแท่น ลิ้นแข็งพันกัน ท่านค่อย ๆ พูดทีละคำ ด้วยความยากลำบากว่า “สาย…สาย…สาย…ลม…นะ…ต้อง…ไป…เพราะ….ประ…กาศ…แล้ว…ว่า…จะ…ไป…พ่อ…จะ…ไป…บอก…เขา…ว่า…พ่อ…ป่วย” จับความได้อย่างนี้

    ขณะที่แต่ละคนฟังหลวงพ่อ กว่าคำพูดจะหลุดมาทีละคำ ๆ คล้ายกับใจท่านจะขาดไปในวินาทีนั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นต่างก็ระงับน้ำตาไว้ไม่อยู่ ช่างเป็นภาพสะเทือนใจอย่างยิ่ง

    หลวงพ่อพยายามบอกเหตุผล และขอความเห็นเพื่อให้เรายอมรับด้วยกันกับท่านใคร ๆ ที่ได้ยินก็ต้องพยายามคล้อยตามท่าน นกเอี้ยงและจ่าตุ๋ยอยู่ใกล้หลวงพ่อ จึงเอาหน้าเข้าไปฟังใกล้ ๆ หลวงพ่อ แล้วตอบดัง ๆ ให้หลวงพ่อได้ยินว่า “ใช่ ใช่ครับ หลวงพ่อต้องไปสายลม ไปบอกเขาว่าหลวงพ่อป่วย” เท่านั้นเอง หลวงพ่อก็ร้องออกมาด้วยความโล่งอกว่า “เอ้อ…” ดูคล้ายกับหลวงพ่อสบายใจขึ้น แล้วท่านก็หลับตาคล้ายกับหมดห่วง และหลับต่อไป เราดูท่านนอนหอบ เหนื่อยมาก ท่านจะถามเป็นระยะ ๆ ว่า “ใกล้เพลหรือยัง” ฆราวาสที่อยู่ใกล้ตอบว่า “ยังครับ ขอให้หลวงพ่อนอนต่อเถอะครับ”

    หลวงพ่อนอนหลับตา แต่หายใจแรงตลอดเวลา จนกระทั่ง ๑๑.๐๐ น.เศษ (เลยเพลแล้ว) พระภิกษุที่มารอกราบเยี่ยมหลวงพ่อ ได้ไปฉันเพลกันหมด เขาจึงจัดอาหารถวายที่ข้างเตียงหลวงพ่อ สำหรับพระทั้งวัด ได้นัดให้ไปรอกราบหลวงพ่อที่ตึกรับแขก เพราะหลวงพ่อยังมีเจตนาจะไปลงรับแขก ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของท่านขณะนอนอยู่ แม้แต่จะเขยิบก็ยังลำบาก แล้วจะลุกขึ้นมานั่งได้ยังไง ดู
    แล้วไม่น่าจะลุกขึ้นมานั่งได้อย่างปกติธรรมดาที่เคยเห็นได้เลย พอฉันเพลเสร็จข้าพเจ้ากับพระครูปลัดอนันต์ รีบมานั่งเฝ้าดูอาการของหลวงพ่อ ท่านหลับตาหายใจแรง ท่าทางอ่อนเพลียมาก ดูแล้วหลวงพ่อยังต้องการนอนหลับอีกได้เป็นหลาย ๆ ชั่วโมงทีเดียว

    เวลา ๑๒.๒๐ น. หลวงพ่อถามว่า “บ่ายโมงหรือยัง” (เพราะท่านจะลงรับแขก) ท่านถามเป็นระยะ ๆ ท่านตั้งเวลาไว้ที่นาฬิกาเรือนใหญ่ ๒ เรือน บนหัวนอน ๑ เรือน และข้างเตียง ๑ เรือน มีคนไปเลื่อนไม่ให้นาฬิกาตีเมื่อถึงเวลา เพราะอยากให้หลวงพ่อพักผ่อนนาน ๆ กะว่าอาจปล่อยให้หลวงพ่อนอนจนเลยเวลารับแขก (บ่าย ๓ โมง) แล้ว จะได้นำหลวงพ่อกับที่พักเลย

    ปรากฏว่าหมอสุธรรมและคุณธวัช ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาอุทัยธานี ได้นำผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีและหมอโรคหัวใจมาด้วย หมอ ๓ คน ตรวจดูอาการแล้วมีความเห็นตรงกันว่า ต้องนำหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลทันที อยากให้เข้าไปพักในโรงพยาบาลอุทัยธานี

    หลวงพ่อตอบว่า “งานเยอะ ไปไม่ได้”

    ขณะนั้นหลวงพ่อหายใจแรงมาก และเหนื่อย ดูท่าทางยังเพลียมาก ๆ ลักษณะภายนอกดูแล้วไม่น่าจะลุกขึ้นมานั่งได้ อยู่ ๆ ท่านก็ทำท่าจะลุกขึ้น บอกว่าจะเข้าห้องน้ำ ซึ่งได้เตรียมรถเข็นแบบนั่งถ่ายได้มีที่รองรับสิ่งขับถ่ายอยู่ใต้รถได้ ท่านขึ้นนั่งถ่ายไม่ออกจึงช่วยกันหามท่านเข้าห้องน้ำ พอเสร็จก็หามท่านกลับมาที่เตียงนอน เพื่อให้ท่านนอนพัก ท่านหันไปมองนาฬิกาที่ข้างเตียง เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งพอดี เป็นเวลาที่ต้องรับแขก ท่านขอกินโอเลี้ยง จึงรีบนำโอเลี้ยงมา มีหลอดให้ท่านดูด แล้วท่านก็ดึงจีวรมาห่มเพื่อจะไปรับแขก

    ขณะนั้นหนังตาหลวงพ่อยังลืมไม่ค่อยขึ้น แต่กำลังใจท่านดีมาก มองดูแล้วท่านพยายามฝืนตัวเอง คล้ายกัดฟัน เพื่อพยุงให้ตัวลุกขึ้นให้ได้ ท่านพยายามยืนขึ้น ยืนให้ตรง แต่มีคนประคองทั้งสองข้าง ห่มจีวรพาดสังฆาฏิให้ท่าน พระและฆราวาสเกือบ ๒๐ คน ที่ล้อมรอบอยู่ในห้องของท่าน มองดูท่านด้วยความสงสาร ยอมแพ้ต่อความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งของท่าน แม้จะใกล้ถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต ท่านไม่ยอมแสดงให้พวกเรารู้สึกว่า ท่านอ่อนแอเลย ท่านพยายามฝืนกายของท่านให้พวกเราเห็นว่า ท่านยังสามารถไปรับแขกได้แน่นอน

    พวกเราเห็นอยู่แล้วว่าร่างกายท่านอ่อนเพลียมาก หนังตาก็ยังลืมไม่ค่อยขึ้น ดูคล้ายกับคนง่วงมาก ๆ แต่ท่านก็ย้ำว่าจะไปรับแขก ๆ ๆ พวกเราพยายามน้อมรับตามคำสั่งอย่างงง ๆ และต้องทำตามคำสั่ง แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ ท่านอาจจะเป็นอะไรในขณะรับแขกก็ได จึงได้บอกให้พระที่ตึกรับแขกเตรียมหมอนและผ้าห่มไว้ เผื่ออยู่ ๆ ฟุบลงไปจะได้ให้ท่านนอนพักตรงนั้น

    เมื่อหลวงพ่อได้รับการนุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว ก็พูดกับหมดทั้ง ๓ คนว่า “ขอบใจมากที่มาดูแล เวลานี้เพิ่งตื่นนอนใหม่ ร่างกายเพลีย ตัดสินใจอะไรไม่ได้” (หมายความว่าไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลตามคำแนะนำ) แล้วหลวงพ่อก็พูดอีกว่า “ต้องไปรับแขก”

    ตอนนี้หลายคนช่วยกันอุ้มหลวงพ่อขั้นนั่งรถ แล้วนำไปยังตึกรับแขก พอลงมาจากรถให้หลวงพ่อนั่งเก้าอี้หวาย แล้วแบกขึ้นชั้น เอารถเข็น มาเข็นไปยังที่นั่งรับแขก มีพระและฆราวาสมา กราบหลวงพ่อ นั่งกันเงียบกริบ

    เมื่อหลวงพ่อมานั่งรับแขกแล้ว ท่านพยายามนั่งตัวตรงอย่างเคย ทั้ง ๆ ที่หนังตาท่านลืมไม่ค่อยจะขึ้น แต่ท่านก็พยายามฝืน พยายามไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมาเลย พระครูปลัดอนันต์ รายงานหลวงพ่อว่า “พระวัดเราทั้งวัดมากราบเยี่ยมหลวงพ่อ” หลวงพ่อได้หันมาทางพระภิกษุทั้งหมด ซึ่งบางองค์นั่งมองหลวงพ่อแล้วก็น้ำตาไหล เพราะเห็นหลวงพ่อท่านต้องมานั่งทรมานร่างกาย มีความสงสารท่าน ขนาดนอนอยู่ยังแย่เลย นี่ยังต้องมานั่งฝืนร่างกายตัวเองอีก หลวงพ่อพูดกับพระทั้งหมดว่า “ขอบใจที่มาเยี่ยมพระมีก็งานทำก็ไปทำกัน” ดู ๆ พระทั้งหมดก็งง หลวงพ่อพูดเช่นนี้ หมายความว่าให้ไปกันได้แล้ว แม้จะไม่อยากไป ยังมีความอาลัยอาวรณ์อยากจะเห็นหน้าหลวงพ่อให้ชัด ๆ และนานหน่อย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ต่างพากันกราบลาอย่าลังเลใจ แล้วพากันลุกออกไปด้วยความสลดใจ
    พระสงฆ์ที่วัด ได้กราบหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายโดยพร้อมเพรียงกัน หลวงพ่อได้แสดงความเข้มแข็งให้พระทั้งหมด ณ ที่นั้นให้เห็นว่า แม้วาระสุดท้ายของชีวิตหลวงพ่อกำลังจะจากพวกเราไป ท่านไม่ได้ฉายความอ่อนแอให้พวกเราได้เห็นกันเลย ขณะหลวงพ่อรับแขกอยู่ ท่านทักทายคณะร้านศิลาหยก คณะนี้บอกว่าหลวงพ่อสั่งให้มาหา หลวงพ่อทักทายคนได้แม่นยำ สติสัมปชัญญะ และความจำของหลวงพ่อดีทุกประการ

    ท่านมีความอดกลั้นต่อทุกขเวทนา ท่านได้แสดงแบบฉบับของครูบาอาจารย์ที่น่าจดจำไว้เป็นอย่างยิ่ง แม้อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ท่านต้องจากพวกเราไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์พูดปลอบใจผู้อื่น และให้กำลังใจญาติโยมพุทธบริษัทที่มากราบท่านในวันนี้ ท่านพูดว่า “อยากจะพูดกับทุก ๆ คน แต่เสียงไม่มี” มี คุณอ้อ และ อีก ๒ คนร้องไห้โฮเสียงดัง ท่ามกลางความเงียบสงบและบรรยากาศอันสร้อยเศร้า หลาย ๆ คน พากันนั่งน้ำตาไหลเป็นแถว “คุณอ้อ” ร้องเสียงดัง บอกว่า “นิมนต์หลวงพ่อไปพักเถอะ ร่างกายหลวงพ่อไม่สบาย”

    หลวงพ่อพูดว่า “ลูกเอ๊ย นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา สังขาร มันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก ทุกขัง ตอนอยู่มันเป็นทุกข์แต่ผลที่สุดมันก็อนัตตา สลายไป มีแค่นี้ อย่ามายึดสังขารพ่อเลย ลูกเอ๊ย”

    นี่เป็นปัจฉิมโอวาทที่หลวงพ่อได้มอบไว้ในคราวรับแขกครั้งสุดท้าย ท่านพูดขาดเป็นช่วง ๆ ฟังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เพราะลิ้นแข็ง เนื่องจากข้าพเจ้ายืนอยู่หลังโซฟาของหลวงพ่อ จึงฟังไม่ค่อยชัดนัก ท่านพูดแล้วก็ดื่มน้ำ ทีละแก้วใหญ่ ๆ หลายแก้ว ก่อนเลิกรับแขก ท่านให้พระสมุห์บัญชาพรมน้ำมนต์ ท่านบอกให้ทุกคนนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็นั่งเงียบ ให้พระสมุห์บัญชาพรมน้ำมนต์ นับว่าเป็นการให้พรโดยการพรหมน้ำมนต์เป็นครั้งสุดท้าย

    พอเลิกรับแขก ก็นำหลวงพ่อไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยบาลของวัด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จหลวงพ่อก็แทบแย่ เพราะภายในห้องเอ็กซเรย์ร้อนมาก พอเสร็จก็ไปส่งหลวงพ่อกลับที่พักที่ ๑๐๐ เมตร นับว่าข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แค่บ่าย ๓ โมงครึ่งของวันที่ ๒๘ ต.ค. ๓๕ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของพระใบฎีกาประทีป พระครูปลัดอนันต์ และพระอภิชัย ซึ่งอุปัฏฐากใกล้ชิดร่วมกับจ่าตุ๋ย นกเอี้ยง จ่าประมวล นที และอาจารย์พรนุช หมออี๊ด หมอสุธรรม ส่วนหมอจรูญและหมอหญิง (หมอแสงโสม) มาถึงตอน ๒ ทุ่ม

    หลังจากส่งหลวงพ่อเสร็จ ข้าพเจ้าแวะไปร้านอาหารข้างโบสถ์ บอกคืนกิจนิมนต์ป้ากีที่นิมนต์ว่าจะไปสวดงานแต่งงานของ “กุ้ง” หลานสาวป้ากี ในวันที่ ๓ พ.ย. ๓๕ ข้าพเจ้าบอกว่าจะตามหลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯ หลวงพ่อป่วยมาก ไม่ใช่ป่วยแบบธรรมดา ดูภายนอกแล้วไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อจะมีชีวิตกลับมาอีก ป้ากีฟังแล้วก็น้ำตาไหล

    พอตกกลางคืน หลวงพ่อก็เริ่มทรุดหนัก พระครูปลัดอนันต์ เล่าให้ฟังภายหลังว่าหลังจากหลวงพ่อกลับจากเอ็กซเรย์แล้ว ก็สรงน้ำ ฉันยา ท่านยังพูดล้อเล่นกับหมอเลยท่านว่า “ท่านฉันยากนอนหลับมากไปหน่อย ทำให้ง่วงมาก”

    วันนี้ตอนค่ำ หมอหญิงมาถึง ๒ ทุ่ม ได้ขอกับหลวงพ่อว่า อยากให้ไปเช็คร่างกายที่ ร.พ.ศิริราช วันพรุ่งนี้ (๒๙ ต.ค. และกำหนดเข้าสายลม ๓๐ ต.ค.) สัก ๑ วัน แล้วหลวงพ่อจะไปสายลมเมื่อไรก็ไปได้ หลวงพ่อก็ยอมตกลง บอกให้ไปพรุ่งนี้เช้าเลย บอกฉันเช้าแล้วออกรถ ๐๗.๐๐ น. เป็นอันว่าหลวงพ่ออนุญาตให้นำท่านเข้าโรงพยาบาลได้

    พอกลางคืน หลวงพ่อบ่นว่านอนไม่หลับ จึงให้ฉีดยาช่วยให้นอนหลับอีก ๒ หน หลังจากนั้น ๕ ทุ่มกว่า พระครูปลัดอนันต์ ก็กลับไปกุฏิไปสรงน้ำ พวกที่เฝ้าหลวงพ่ออยู่ก็โทรศัพท์แจ้งว่าอาการหลวงพ่อแย่แล้ว จะต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราชทันทีในคืนนี้ เพราะว่าตาหลวงพ่อมองกลับขึ้นข้างบน และปากอ้า หายใจทางปาก หมอจรูญและหมอหญิงได้ติดต่อแจ้ง ร.พ.ศิริราชว่าจะเข้า ร.พ.ในคืนนี้เลย โดยใช้รถบัสเล็ก (รถปู่เล็ก) เพราะมีเตียงนอนด้วย

    (มีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ นำหลวงพ่อเข้าโรงพยายาลศิริราชกลางดึก
    เวลา ๐๐.๓๐ น. พระวีระยุทธโทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะเอาหลวงพ่อเข้า ร.พ.ศิริราชเดี๋ยวนี้แล้วนะ พระวีระยุทธกับพระธวัชชัยเอารถแลนด์มารับข้าพเจ้าไปยังวิหาร ๑๐๐ เมตร ไปถึงเขากำลังอุ้มหลวงพ่อลงมาจากชั้น ๓ ตาหลวงพ่อหงายกลับ หายใจทางปากดูแล้วหลวงพ่ออยู่ในสภาพหมดความรู้สึก รีบเอาขึ้นเตียงนอนในรถบัสเล็ก หมอหญิงดูแลหลวงพ่อโดยใกล้ชิด มีจ่าตุ๋ยประคองหน้ากากอ๊อกซิเจน จ่าประมวลถือแท็งก์อ๊อกซิเจน
    มีพระครูปลัดอนันต์ พระใบฎีกาประทีป พระยงยุทธ พระอภิชัยและข้าพเจ้า ฝ่ายฆราวาสมีอาจารย์พรนุช หมอหญิง นที (ขับรถ) นกเอี้ยง จ่าตุ๋ย จ่าประมวล ที่ติดตามหลวงพ่อในรถคันนี้ แต่
    ละคนขึ้นไปบนรถไม่ได้ห่มจีวรเลย เพราะรีบด่วนกันทั้งนั้น พระครูปลัดอนันต์ถาม ข้าพเจ้าว่าเอาหลวงพ่อแวะ ร.พ.อุทัยฯ หรือ ร.พ.นครสวรรค์ ก่อนดีไหม? ข้าพเจ้าพูดว่า ดีเหมือนกัน พอถามหมอหญิงว่า “หลวงพ่อจะถึง ร.พ.ศิริราชไหม”
    หมอหญิงตอบว่า “ถึงซิคะ ความจริงหนูจะเอาหลวงพ่อเข้าตอนเช้าด้วยซ้ำไป” จึงไม่แวะโรงพยาบาลอื่น มุ่งตรงสู่ ร.พ.ศิริราชเลย ข้าพเจ้ายืนดูตาหลวงพ่อที่มองกลับขึ้นไปเป็นเวลานาน หมอหญิงบอกว่า “หลวงพ่อท่านตกใจ” ข้าพเจ้าถามว่า “หลวงพ่อตกใจเรื่องอะไร” หมอก็ไม่ตอบ พออีกตอนหนึ่ง เข็มน้ำเกลือหลุดต้องแทงใหม่ หมอหญิงก็พูดกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อหลับซิคะ”
    ก็นึกแปลกใจว่า “หลวงพ่อฟังรู้เรื่องหรือ”
    ก็ติดสับสนอยู่คนเดียว นกเอี้ยงก็ไปเปลี่ยนจ่าตุ๋ย แล้วก็หลวงพี่ยงยุทธไปเปลี่ยนบ้าง แล้วก็ข้าพเจ้าเข้าไปเปลี่ยน แล้วก็กลับมาจ่าตุ๋ยเปลี่ยนจับประคองหน้ากากอ๊อกซิเจน ส่วนพระน้อยและหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปคุมคนขับ คือ นที ให้ขับเร็ว ๆ เพราะคนขับท่าทางง่วงนอน อาจารย์พรนุชและพระครูปลัดอนันต์ไม่อยากมาดูหลวงพ่อ เห็นแล้วสะเทือนใจ
    ความดันหลวงพ่อตอนออกจากวัด ๑๐๐ พออีก ๗๒ กม. จะถึงกรุงเทพฯ ความดันลดลงเหลือ ๖๐ รถถึงศิริราช เวลา ๐๓.๔๕ น. หมอหลายคนและพยาบาลหลายคนได้ร่วมกันตรวจดูหลวงพ่อ ได้มีการใส่ท่อในปากช่วยให้หายใจ และได้สวนปัสสาวะทางสายยาง พอเรียบร้อยแล้วก็ย้ายหลวงพ่อเข้าห้อง ซี.ซี.ยู (ห้องพักฟื้นคนไข้หัวใจ) ที่ตึกอัษฎางค์
    ข้าพเจ้าถามหมอว่า อาการที่หลวงพ่อมองตากลับ ใช่อาการช็อคหรือไม่ หมอตอบว่า “ใช่” เวลา ๑๐ .๒๐ น. หมอจรูญเล่าอาการหลวงพ่อให้ฟังว่า ม่านตาไม่สนอง สมองขาดอ๊อกซิเจน หลวงพ่อติดเชื้ออย่างแรงทำให้ปอดบวมข้างขวาทั้งแถบ การขับถ่ายปัสสาวะ ไม่ค่อยออก ได้แค่ ๑๒ ซี.ซี. (ตั้งแต่ตี ๕ เป็นต้นมา) จุดนี้แพทย์วิตก เพราะปัสสาวะน้อยมาก ตั้งแต่หลวงพ่อเกิดอาการช็อค ตอนก่อนเดินทางออกจากวัดทำให้ระบบไตไม่ดี หมอจรูญสรุปให้ฟังว่า โอกาสที่หลวงพ่อจะมีชีวิตมีแค่ ๓๐–๗๐ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
    วันนี้ “น้อย” มาบอกว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ขอทราบอาการของหลวงพ่อก่อนบ่ายวันนี้ จึงได้จดอาการดังกล่าวให้ทราบ โดยฝาก “น้อย” ไปให้ “พระหนู” รายงานอีกต่อหนึ่ง พอหลังเพล เจ้าหน้าที่ ร.พ.ศิริราช ส่งข่าวว่าต้องการผู้บริจาคเลือดให้หลวงพ่อจะเป็นเลือดกรุ๊ปไหนก็ได้ เพราะต้องการเลือดจำนวนมากเพื่อสกัดพลาสมา หรือเกล็ดเลือดจำนวนมากมารักษาหลวงพ่อ (ได้รับคำอธิบายว่า เลือดที่แต่ละคนบริจาคนั้น จะสกัดพลาสมาออกมาได้ไม่มาก จึงต้องการให้พวกเราไปบริจาคมาก ๆ) วันนี้ มีข่าวออกทั้งทาง ทีวี และวิทยุ ให้บริจาคเลือดให้หลวงพ่อ ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
    พอตอนบ่าย ๆ “น้อย” มาส่งข่าวว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สั่งมาว่า เวลานี้หลวงพ่อท่านตายไปแล้วนะ เหมือนการตาย ร่างกายตอนนี้ปล่อยให้หมอรักษาไป แต่ตัว
    หลวงพ่อนั้นอยู่กับพระ (พระหมายถึงพระพุทธเจ้า) พระยังไม่อยากให้หลวงพ่อตายและท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้พรมาว่า “ขอให้หลวงพ่อแพ้พระ (แพ้พระพุทธเจ้า) ขอให้ชนะมาร”
    พอได้ข่าวนี้ พวกลูกศิษย์หลวงพ่อก็ดูสดชื่นกันขึ้น ตอนเย็นขณะที่ท่านพระครูปลัดอนันต์ คุยกับแขกอยู่ที่ชั้น ๔ ตึก ๘๔ ปี (ในห้องคนไข้ที่หลวงพ่อเคยพัก) ก็ได้สั่งให้ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปบอกทางวัดท่าซุง ให้พระทั้งวัดทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้หลวงพ่อ ให้ทำเหมือนกับท่านมรณภาพแล้ว ให้สวดบังสุกุลจากหีบศพหลวงพ่อที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ตามเวลากรรมฐานทุกวัน ให้พระทุกองค์ไปร่วมกันสวดทุกวันจนกว่าอาการหลวงพ่อจะดีขึ้น

    วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อมรณภาพวันนี้
    หลังจากฉันเพลแล้ว ข้าพเจ้าไปสอบถามอาการหลวงพ่อจากหมอหญิง ซึ่งเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่า ความดันโลหิตของหลวงพ่อดีขึ้นเกิน ๑๑๐ หน้าตาดีขึ้น ปากแดง (เมื่อวานนี้ปากเขียว) แต่ยังไม่ได้สติ ตอนนี้ตาปิดเองได้ (เมื่อวานตาหงายกลับ) แต่หมอเอาที่ปิดตาปิดไว้ เพื่อกันไม่ให้ตาถูกกระทบ ปัสสาวะ บางชั่วโมงมีน้อย แต่ระบบไตยังไม่ดี ตอนนี้หลวงพ่อไม่ได้หายใจเอง ใช้เครื่องให้ช่วยหายใจอยู่ (ใช้ปั๊ม) ตอนนี้แขนอุ่น ตัวอุ่นแต่มือและปลายเท้ายังเขียวช้ำอยู่ เป็นจ้ำ ๆ แบบที่เห็นที่วัดก่อนนำเข้าโรงพยาบาล
    ข้าพเจ้าถึงถามหมอหญิงว่า เมื่อวานหมอจรูญบอกว่าหลวงพ่อมีโอกาสรอดชีวิต ๓๐–๗๐ เปอร์เซ็นต์ เท่าที่เล่ามา แสดงว่าอาการหลวงพ่อดีขึ้นอย่างนี้ จะมีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์ หมอหญิงตอบว่า “หนูยังให้ศูนย์อยู่คะ แม้ตอนมาจากวันหนูก็ให้ศูนย์คะ” ฟังแล้วก็คิดว่าโอกาสที่หลวงพ่อจะมีชีวิตกลับคืนมาคงยาก
    หมอหญิงบอกว่า “ตอนนี้หมอไม่ให้หลวงพ่อหายใจเอง แต่ใช้เครื่องช่วยจะได้ทำให้ได้พัก คิดว่าต้องทำอย่างนี้ ๓ วัน และกว่าจะรู้ผลก็ประมาณ ๗ วัน ต้องอยู่ห้อง ซี.ซี.ยู อย่างน้อย ๗ วัน” แล้วก็พูดอีกว่า “หลวงพี่คะ หมอชนะเป็นผู้มีสมาธิดี หลวงพ่อก็รับรอง หมอชนะจะทำวัตรเช้า สวดมนต์แล้วนั่งสมาธิเป็นประจำ เมื่อเช้านี้ หมอชนะเล่าว่า หลังจากทำวัตรเช้าแล้วก็นั่งสมาธิ เห็นหลวงพ่อสว่าง ใสมาก หมอชนะจึงถามหลวงพ่อว่าจะลงมาไหม” หลวงพ่อตอบว่า “ไม่ลงมา”
    หมอหญิงเล่าว่า “หลวงพี่คะ หนูเองก็เข้าใจหลวงพ่อไปอยู่ข้างบนตั้งแต่ตอนอยู่ที่วัดแล้วคะ ตอนที่ตาท่านมองกลับข้างบน หากหลวงพ่อมีชีวิตกลับคืนมาอีก สมองของท่านก็จะไม่ปกติ อาจเป็นอัมพาต อาจมีลักษณะแบบหลวงพ่อชา หนูเลยขอหลวงพ่อว่า ถ้าหลวงพ่อกลับมาในสภาพเช่นนี้ ขอหลวงพ่ออย่ากลับมาเลยคะ ขอให้อยู่ข้างบนสบายกว่าคะ วันนี้หนูขอหลวงพ่ออย่างนี้คะ”
    ฟังดูแล้ว ก็หมดหวัง จึงขึ้นไปคุยกันข้างบนห้องพักชั้น ๔ ตึก ๘๔ ปี พอตอนเพลไปแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ได้เล่าให้ลูกศิษย์หลวงพ่อฟังว่า “เมื่อคืน ท่านได้ขอพระพุทธองค์ ขอให้ช่วยให้หลวงพ่ออยู่ต่อ แต่หลวงพ่อท่านดื้อ ดังนั้น ขอให้ลูกหลาน
    ช่วยกันอธิษฐานว่า ที่บริจาคเลือดแล้วขอให้ชีวิตหลวงพ่อคืนมาด้วย” เมื่อประมวลดูเหตุการณ์รอบด้านแล้ว ก็ดูหมดหวังที่จะได้เห็นหลวงพ่อมีชีวิตกลับคืนมาอีก ตามทางแพทย์วิจัยแล้ว ถ้าหลวงพ่อมีชีวิตคืนมา อาการทางสมองต้องเสื่อมต้องเป็นอัมพาต
    พระครูปลัดอนันต์ หลวงพี่ยงยุทธ และข้าพเจ้าพากันกลับซอยสายลมเพราะเป็นวันที่หลวงพ่อจะมารับแขก กะว่าจะไปรับสังฆทานและอธิบายให้คนที่มาสายลมทราบ ส่วนหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปและพระอภิชัยพักอยู่ทางโรงพยาบาล พอกลับมาถึงก็วางแผนกันว่า ถ้าหากหลวงพ่อมรณภาพลงจะจัดงานศพที่ศาลา ๑๒ ไร่ เพราะสถานที่กว้าง จะได้ไม่แออัด การจัดอาหารเลี้ยงพระและเลี้ยงคนจะได้รวมอยู่ที่เดียวกัน ก็คิดที่จะทำอานิสงส์เพิ่มเติม โดยตั้งใจจะโทรศัพท์บอกให้หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิตติดต่อให้ช่างไม้มา ทำ
    ขณะกำลังคุยปรึกษางานกันอยู่ ๓ องค์ ยังไม่เรียบร้อยดี ก็มีโทรศัพท์แจ้งเข้ามาว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านได้สั่งให้ส่งข่าวมาว่า ให้พระที่วัดท่าซุงทั้งหมด ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้หลวงพ่อด่วน ในวันนี้
    ท่านสั่งมาว่า “ให้ จัดงานสวดศพจริง ให้เอาโลงศพจริงมาตั้ง แล้วเอารูปภาพหลวงพ่อที่ถ่ายภาพเต็มองค์ และผ้าจีวร สังฆาฏิ สงบที่หลวงพ่อเคยใช้แล้ว เขียนชื่อหลวงพ่อ เอาของทั้งหมดใส่ในโลงศพแล้วให้พระทั้งวัดสวดบังสุกุล แล้วเผาทั้งโลงศพ ภายใน ๑๖.๐๐ น.ตรง วันนี้”
    จึงรีบโทรศัพท์บอกทางวัด ให้จัดการตามคำสั่งของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา โดยด่วนก่อน ส่วนเรื่องการวางแผนจัดงานศพที่คิดกันไว้ค่อยโทรศัพท์บอกให้ทราบภายหลัง ปรากฏว่า พอ ๑๖.๒๐ น. เศษ มีโทรศัพท์แจ้งมาว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้วที่ ร.พ.ศิริราช เวลา ๑๖.๑๐ น.
    มาประมวลดูเหตุการณ์แล้ว ความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รู้เรื่องและติดต่อกับหลวงพ่อมาทุกวัน และรู้แม้กระทั่งหลวงพ่อจะจากพวกเราจริง ๆ ตามวันและเวลาดังกล่าว จึงได้สั่งให้พวกเราจัดพิธีสะเดาะเคราะห์ก่อนเวลามรณภาพ เพื่อเป็นการต่อรองกัน เพื่อให้หลวงพ่ออยู่ต่อ แต่หลวงพ่อไม่ยอมอยู่ต่อ ดังนั้นท่านเจ้าประคุณสมด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พูดไว้ก่อนแล้วว่า เมื่อคืนนี้ ได้ขอต่อพระพุทธองค์ ขอให้ช่วยให้หลวงพ่ออยู่ต่อ แต่หลวงพ่อท่านดื้อแสดง ว่าท่านไม่ยอมตั้งแต่แรก และแม้วาระสุดท้ายก่อนจะดับขันธ์ที่แท้จริง ท่านได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อต่อรองกันแล้ว ท่านก็ยังไม่ยอม จึงมรณภาพดังกล่าว
    จากนั้นพวกเรา ๓ องค์ พระครูปลัดอนันต์ หลวงพี่ยุทธ และข้าพเจ้ารีบกลับไปยัง ร.พ.ศิริราช พอเข้าไปถึง ห้อง ซี.ซี.ยู ก็ตรงเข้าห้องที่หลวงพ่อมรณภาพ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปดูเป็นองค์แรก ทันใดนั้นเหมือนปาฏิหาริย์ จะว่าเป็นความรู้สึกก็ไม่ใช่ ขอใช้คำว่าเหมือนปาฏิหาริย์หรืออัศจรรย์จิตเมื่อแรกพบ กล่าวคือ ภายในห้องนั้น เห็นหลวงพ่อนอนนิ่งอยู่ มีผ้าคลุมร่างกันสงบนิ่งของหลวงพ่อถึงหน้าอก พอข้าพเจ้าเข้าไปเพื่อกราบหลวงพ่อใกล้ ๆ จึงตรงรี่เข้าไปดูหน้าหลวงพ่อก่อน ทันใดนั้น
    หลวงพ่อยิ้มออกมา โดยที่ริมฝีปากหลวงพ่อยืดออก (ยิ้ม) เดี๋ยวนั้นเป็นอาการยิ้มโดยฉับพลัน อย่างมีความสุข บนใบหน้า ไม่มีอาการของคนเคยป่วยหนักเหลืออยู่เลย
    มีแต่รอยยิ้มสว่างอันแสนประทับใจปรากฏอยู่ ท่านหลับตาพริ้ม แต่คล้ายมีชีวิตทันทีที่เห็นปรากฏการณ์เช่นนั้น จิตใจข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดียวกับหลวงพ่อดีใจที่หลวงพ่อสบาย แล้ว ความสังเวชสลดใจหายไปในขณะนั้น เกิดปีติมาจากลืมตัวไปตะโกนเรียกให้ท่านพระครูปลัดอนันต์และหลวงพี่ยงยุทธ ให้รีบมาดู “เร็ว ๆ เข้า มาดูหลวงพ่อ หลวงพ่อยิ้มใหญ่เลย ๆ ๆ ๆ”
    พอพวกหลวงที่เข้ามาดูพร้อม ๆ กัน หลวงพ่อก็ยิ้มอีก แล้วก็ยิ้มอีก รวมเป็นการยิ้ม (ยืด) ออก ๓ ครั้ง ความอัศจรรย์อันต่อเนื่อง ที่ริมฝีปากหลวงพ่อยิ้ม (ยืด) ออกจนสุดขอบยิ่งมองดู ดวงตาที่หลับพริ้มอยู่กับริมฝีปากที่ยิ้มปริ่ม คล้ายกับยิ้มทักทายพวกเรา มองดูแล้วเหมือนมีชีวิต ยิ่งดูยิ่งจิตใจยิ่งมีความสุข ริมฝีปากบนมีลักษณะคล้ายหลวงพ่อขำอะไรมาก หรือคล้ายกับหลวงพ่อกำลังล้อเล่นเรื่องขำ ๆ กับเราด้วยซ้ำไป ท่านยิ้มมากแต่ไม่เห็นฟัน ริมฝีปากและล่างจรดกันสวยงามมาก
    ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ท่านก็ยิ้มให้เราเสมอและอยากให้พวกเรายิ้มกับท่าน ท่านอยากเห็นเรามีอารมณ์ดี อยากให้เรายิ้มได้นาน ๆ อย่างหลวงพ่อ ท่านไม่ต้องการเห็นคนหน้าบึ้งหรือใบหน้าที่อมแต่ความทุกข์ เราจึงเห็นท่านยิ้มก่อน ยิ้มทักทานพวกเราหรือคุยสนุกสนานเสมอ ๆ เพื่อให้พวกเรามีแต่อารมณ์ยิ้ม
    ครั้นถึงเวลาที่ท่านจากเราไปแล้ว สิ่งแรกที่ท่านทำก็คือ ต้องการเห็นเรายิ้มกับท่านอีกเช่นเคน ท่านไม่ต้องการเห็นเรามีสีหน้าหม่นหมองใด ๆ จึงบังเกิดความอัศจรรย์บนใบหน้าอันไร้วิญญาณของท่านเมื่อแรกพบ ท่านนอนสงบหลับตาพริ้ม รมฝีปากยิ้มปริ่ม สวยงามคล้ายกับการทักทายพวกเราทุกคน พวกเราที่ไปกราบศพท่าน ก็เห็นเช่นนี้ นี่เป็นความประสงค์ของหลวงพ่อ และท่านก็สมประสงค์แล้ว ท่านไม่ต้องการให้พวกเรามาโศกเศร้ากับสังขารของท่านอีกต่อไป (เพียงแต่ดูและและให้ใช้ปัญญา) ิ
    คำตอบก็ปรากฏชัดเจนอยู่บนใบหน้าของหลวงพ่ออยู่แล้ว ถ้าเปรียบกับตอนที่มาเข้าโรงพยาบาล เช้ามืด ๒๙ ต.ค. ๓๕ (๔.๔๕ น.) ตอนนั้นอาการหนักมาก ตาเปิด มองกลับขึ้นข้างบน ปากอ้า หน้าซีด มีเครื่องอ๊อกซิเจนช่วยในการหายใจ แต่บัดนี้ อาการท่านสงบ ท่าน ดับขันธ์แล้วอย่างมีความสุขใบหน้าอิ่มเอิบ มีรอยยิ้มปริ่ม ท่านยิ้มให้พวกเราดูเป็นครั้งสุดท้าย เป็นรอยยิ้มที่มีความหมายมาก ไม่ใช่รอยยิ้มแบบธรรมดา เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุด เป็นรอยยิ้มแห่งผู้มีชัยชนะต่อความทุกข์ทั้งมวลโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มปริ่มของท่านปานประหนึ่งจะบอกให้พวกเราทราบว่า ท่านจากเราไปแต่เพียงสังขารเท่านั้น แต่จิตคือหลวงพ่อ ยิ้มสถิตอยู่กับเราตลอดไป
    ความอัศจรรย์ที่บังเกิด ขึ้นแก่ข้าพเจ้าและหมู่คณะในครั้งนี้ เป็นเครื่องกระตุ้นกำลังใจแก่ข้าพเจ้าอย่างบอกไม่ถูก ปรากฏการณ์นี้คงไม่มีวันลืมไปจากจิตใจของข้าพเจ้าจนชั่วชีวิตเป็นสรณะที่ พึ่งได้ตลอดไป จากนั้นสักประเดี๋ยว นายแพทย์ชนะ ศิริยานนท์ แห่งโรงพยาบาลศิริราชก็เข้ามาดู
    แล้วอุทานออกมาว่า “เมื่อกี้นี้ ผมเข้ามาดูแล้ว หลวงพ่อไม่ได้เป็นอย่างนี้ หลวงพ่อไม่ได้ยิ้ม พอพวกหลวงพี่มาถึงท่านจึงยิ้ม ยิ้มมากด้วย ผมขอยืนยัน” ต่อมา นายแพทย์วัฒนะ ฐิตลิดก ก็เข้ามา ก็พูดคล้ายกัน “เออ ดูซิ หลวงพ่อยิ้มสวยมาก ยิ้มสวยมาก ดูซิ”
    ตอนหลวงพ่อมรณภาพใหม่ ๆ จ่าตุ๋ยและหลวงพี่ใบฎีกาประทีปอยู่โรงพยาบาลก็เข้ามาดูศพหลวงพ่อก่อนแล้ว จ่าตุ๋ยเข้ามาดูเที่ยวนี้อีก พูดว่า “หลวงพ่อไม่ได้ยิ้ม ท่านไม่ได้ยิ้ม ตอนแรกเข้ามาดู ท่านมีรอยยิ้มเพียงนิด ๆ เท่านั้น แต่พอพวกหลวงพี่มาถึง หลวงพ่อท่านยิ้ม ท่านยิ้มใหญ่เลย” ส่วนพระใบฎีกาประทีปนั้น เมื่อเข้ามาดูอีกครั้ง พูดว่า “ตอนแรกเข้ามาดูทีหนึ่งแล้ว หลวงพ่อไม่ได้ยิ้มอย่างนี้ ท่านยิ้มนิดเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านยิ้มมาก ยิ้มจนสุดเลย” ซึ่งต่างก็ยืนยันเสียงเดียวกันว่าหลวงพ่อเพิ่งยิ้ม และได้ขอถ่ายภาพหลวงพ่อไว้
    (อาการยิ้มของหลวงพ่อ ยิ้มอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งตอนเข็นออกมาจากห้อง ให้ลูกศิษย์ที่รออยู่ข้างทางได้เห็นและกราบท่าน ท่านยิ้มตลอดทาง แม้หลวงพี่ยุทธ บอกว่าหันไปดูหน้าหลวงพ่อขณะเข็นรถออกไป เพื่อขึ้นรถกลับวัด มองเห็นหลวงพ่อแล้วตกใจ เพราะดูคนร้องไห้กันระงม แต่พอหันไปดูหลวงพ่อ เห็นท่านยิ้มใหญ่เลย หลังจากย้ายทานขึ้นรถแล้ว ท่านยังอยู่ลักษณะเดิม แต่มองแล้วไม่ได้ยิ้มอย่างที่ไปเห็นกันครั้งแรกก็นับว่าแปลกเหมือนกัน”
    ต่อมาหมอก็แนะนำว่า ตามระเบียบของโรงพยาบาลจะต้องฉีดยาศพภายใน ๒ ชั่วโมง ถ้าทิ้งไว้นานจะฉีดไม่เข้า หมอสมศักดิ์ มาถามอาจารย์พรนุชวาจะฉีดศพไหม อาจารย์พรนุชบอกว่าไม่ต้องฉีด นายแพทย์วัฒนะ ก็ถามพระครูปลัดอนันต์ว่าจะฉีดยาศพหลวงพ่อไหม กลุ่มพระที่มาด้วยกันก็เห็นพ้องกันว่าไม้ต้องฉีดยา พระครูปลัดอนันต์จึงแจ้งให้หมอวัฒนะทราบว่าไม่ต้องฉีดยาและได้เล่าให้หมอ วัฒนะฟังว่า “หลวงพ่อเคยสั่งไว้ว่าศพท่านไม่ต้องเผา”
    และบอกว่า “เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ให้คอยดูศพท่านว่า ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน ให้คอยดู แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นยังไง” นอกจากนี้ “ท่านได้บอกว่า ขอพระไว้แล้วว่า ถ้าท่านมรณภาพแล้ว ร่างกายท่านจะเป็นยังไง แต่ท่านไม่ได้บอกว่าจะเป็นยังไง” (ตอนนี้ขอเล่าเสริมว่า พระภานุชัย บวชอยู่วัดท่าซุง ปี ๒๕๒๔ แล้วขอออกไปอยู่ข้างนอก ได้มาเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้วว่า แต่ก่อนหลวงพ่อเคยไปนอนพักที่บ้านคุณประเสริฐและคุณยาใจ โพธิ์วิเชียร ที่ อ.ศรีราชา คุณยาใจเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อเคยพูดว่า ถ้าท่านมรณภาพ ท่านจะอธิษฐานให้กายท่านเป็นแก้ว เพื่อให้คนที่เคยปรามาสท่านกลับมาขอขมา จะได้ไม่ลงนรก
    เรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะคนใกล้ชิดหลวงพ่อยังไม่เคยมีใครได้ยิน เป็นอันว่า นายแพทย์ทั้งหลายเมื่อได้ยินท่านพระครูปลัดอนันต์ยืนยันว่า หลวงพ่อสั่งให้ดูศพท่านจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คุณหมอทั้งหลาย ก็ตกลงกันว่า ถ้าหลวงพ่อสั่งอย่างนั้นก็เป็นอันว่า ไม่ต้องฉีดยาศพปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ แล้วพวกพระก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้าสบง อังสะ จีวร และสังฆาฏิ ให้หลวงพ่อ กะว่าจะอัญเชิญศพเวลา ๑๘.๒๐ น.
    จากนั้นก็มีคนส่งข่าวว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เรียกให้ท่านพระครูปลัดอนันต์ไปพบที่วัดสามพระยาด่วน ข้าพเจ้าและหลวงพี่ยงยุทธก็ตามไปเป็นเพื่อนพระครูปลัดอนันต์ไปถึงก็พบท่าน เจ่าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นั่งอยู่ข้างใน ด้านนอกมีเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์นั่งอยู่ พอเข้าไปถึงก็พบท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ กับเจ้าคุณโสภณศีลิวงศ์ เจ้าอาวาส วัดพลับพลาชัย นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
    เมื่อกราบท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แล้ว ท่านก็ถามว่า “เรื่องศพจะเอาอย่างไร” พระครูปลัดอนันต์กราบเรียนว่า “จะเอากลับวัดเลยครับ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ถามว่า “แล้วทางท่านเจ้ากรมฯ เสริมว่าอย่างไรบ้าง ได้ปรึกษาเขาหรือยัง” พระครูปลัดอนันต์กราบเรียนว่า “ลูกสาวท่านเจ้ากรมฯ เสริมมาปรึกษาเหมือนกันครับ อยากให้เอาศพไว้ที่บ้านสายลมก่อน แต่ผมว่ามันไม่สะดวกกับการย้ายไปย้ายมา จึงปรึกษาว่าจะย้ายทีเดียว เอาไปไว้วัดเลย เขาก็เข้าใจ”
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบอกว่า “อยากให้ช่วยอะไรให้บอกได้”
    พระครูปลัดอนันต์กราบเรียนว่า “กระผมก็ยังไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะไม่เคย จึงอยากขอคำแนะนำด้วยครับ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงหันมาพูดกับท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ และท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ว่า “ผมเสียดาย จะหาอีกไม่ได้แล้ว หลวงพ่อฤาษีฯ ตายวันนี้ ให้ช่วยจัดการให้สมเกียรติ” และได้พูดต่อไปอีกว่า “ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ วัดพลับพลาชัย เป็นเจ้าของเมรุรับเหมา ใช้แรงงานท่าน ท่านมีความชำนาญในการตบแต่งสถานที่ แม้แต่ผมยังต้องไปขอพึ่งให้ท่านช่วยเลย ดังนั้นให้ท่านไปจัดการเรื่องสถานที่ให้นะ” และท่านได้สั่งว่า
    “พรุ่งนี้ให้ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ ไปดูสถานที่ที่วัดก่อน แล้วค่อยกลับมาเตรียมของว่าต้องใช้อะไรบ้าง” ท่านเจ้าคุณโสภณศีลวงศ์ก็รับคำ แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็พูดว่า สำหรับท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ ท่านชำนาญเรื่องการติดต่อกับทางสำนักพระราชวัง ให้ติดต่อเรื่องการนำน้ำหลวงมาด้วย”
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ถามว่า “จะสรงน้ำพระราชทานวันไหนดี”
    พระครูปลัดอนันต์ กราบเรียนว่า “วันอาทิตย์ที่ ๑ พ.ย. ๓๕ ก็ดี จะได้มีเวลาเตรียมตัว ๑ วันครับ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงพูดว่า “ตกลง และเอาเวลา ๑๖.๐๐ น. ก็แล้วกันให้ท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ไปจัดการตามนั้นด้วย แล้ววันนั้นผมจะไปร่วมงานด้วย” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็หันมาถามท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ว่า “ส่วนเรื่องหีบศพนั้น เมื่อได้หีบหลวงมาแล้ว พอเสร็จงานเราจะคืน แล้วให้สร้างขึ้นใหม่แบบเดียวกับหีบหลวง จะทำได้หรือเปล่า ทั้งนี้เพื่อให้สมเกียรติ” ท่านเจ้าคุณอุดรคณารักษ์ กราบเรียนว่า “ทำได้ครับ”
    ขณะนั้น ข้าพเจ้าได้ขอประทานโอกาส กราบเรียนให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทราบว่า “ศพหลวงพ่อนั้น ไม่ได้ฉีดยา เพราะหลวงพ่อสั่งไม่ให้เผา เดิมทีพวกพระได้ปรึกษากันแล้วว่าอยากให้บรรจุในโลงแก้ว” ท่านพระครูปลัดอนันต์กราบเรียนเสริมว่า “หลวงพ่อได้สั่งไว้ก่อนมรณภาพว่า ถ้า
    ท่านมรณภาพแล้วให้คอยดูร่างกายท่าน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คอยดูไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นอย่างไรครับ”
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ถามว่า “หมายความว่าอยากจะให้คนได้เห็นศพท่านใช่ไหม” ข้าพเจ้ากราบเรียนว่า “ใช่ครับ” ท่านพูดว่า “ความจริง ผมเคยทำมาแล้ว เคยทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์มาแล้ว โดยใช้สังกะสีและเอาน้ำแข็งใส่ไว้ข้างใต้” ท่านถามว่า “แล้วจะเอาโลงแก้วแบบไหน”
    ข้าพเจ้ากราบเรียนว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ (๒๔ ต.ค. ๓๕) ได้ปรึกษากับคุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ เรื่องโลงแก้วกะจะไปดูที่ฝรั่งเศส แต่อยู่ ๆ หลวงพ่อมามรณภาพกะทันหัน ก็ไม่ทราบว่าจะไปหาที่ไหน เพราะผมเองก็ไม่รู้จัก ว่าเขาขายที่ไหนบ้าง” พอดีคุณแสงเดือนอยู่ในที่นั้นด้วย ซึ่งก็ไม่นึกว่าจะมา เพราะมีคนเยอะ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คุณแสงเดือนกราบเรียนว่า “หนูเจอร้านขายโลงแก้วแล้ว ชื่อ ร้านเจริญชัยการช่าง อยู่ตรงเสาชิงช้านี่เอง เจ้าคะ”
    ท่านจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระหนูติดต่อเดี๋ยวนั้น ได้ราคามา ๒ แสน ๘ หมื่นบาท ทางร้านทราบว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้ติดต่อมา จึงลดราคาเหลือแค่ ๒ แสนบาทถ้วน และได้สั่งฐานตั้งโลงศพมาด้วย รวมเป็นราคา ๒ แสนสี่หมื่นกว่าบาท เป็นอันว่าเรียบร้อย ทางร้านจะส่งมาถึงวัน ๓๑ ต.ค. ๓๕
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงบอกว่า “หากมีอะไรติดต่อปรึกษามาได้ตลอดเวลา บอกผ่านพระหนูหรือท่านเจ้าคุณศรีปริยัติบดีก็ได้ มีอะไรก็โทรศัพท์มาได้เลย ฉันยินดีช่วยทุกอย่าง” นับเป็นความเมตตาอย่างสูง ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้มีความเมตตาเป็นแม่งานจัดงานศพ ให้โดยตลอดอย่างสมเกียรติ จนกว่าจะครบ ๑๐๐ วัน ท่านคอยให้พระหนูสอบถามมาทางวัดเป็นระยะ ๆ เสมอ
    จากนั้นจึงกราบลา แล้วกลับมายังโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีผู้คนรอกันเต็มไปหมดตั้งแต่ประตูรั้วชั้นนอกจนถึงตลอดทางที่เข้าไปถึง ห้องหลวงพ่อมรณภาพ พอไปถึงก็จัดการย้ายศพมาไว้ที่รถเข็นเพื่อเข็นออกไปขึ้นรถ พระครูปลัดอนันต์ถือพานพระพุทธรูปเดินนำหน้า ส่วนพวกข้าพเจ้าเข็นอยู่ข้าง ๆ รถเข็นทางด้านท้าย เพื่อให้ผู้คนได้เห็นใบหน้าหลวงพ่อชัด ๆ หลวงพี่ยงยุทธ พูดว่า คนร้องไห้กันทั้ง ๒ ข้างทาง หลวงพี่มองไปทางหลวงพ่อบอกว่า “มองไปที่ร่างหลวงพ่อ ตกใจ เห็นหลวงพ่อนอนยิ้ม สวยมาก พวกนั้นมัวแต่ร้องไห้ หลวงพ่อก็นอนยิ้มสวยให้พวกเราดู”
    การเข็นรถต้องค่อย ๆ เคลื่อนรถเข็นมาช้า ๆ ให้คนได้เห็นกันทั่ว ๆ นับว่ามีระเบียบดีมาก ทั้ง ๆ ที่ร้องไห้ แต่ว่าไม่ได้ลุกฮือมาที่ศพหลวงพ่อ จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่รถบัสจอดอยู่ (รถปู่เล็ก) ก็ขึ้นไปไว้ที่เตียง ได้ยินเสียงคนร้องไห้ระงมไปหมด และแล้วรถก็เคลื่อนออกจากโรงพยาบาล เวลา ๒๐.๐๐ น. พอดี มาถึงวัดท่าซุง ทางเข้าวิหาร ๑๐๐ เมตร เวลา ๒๓.๒๐ น. (ฝนตกปรอย ๆ มาตลอดทาง)
    มาถึงวัดท่าซุง มีท่านพระครูอุทัยคณาภิรักษ์ (รองเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี) พระครูอุทัยธรรมโกศล (เจ้าคณะอำเภอเมืองอุทัยธานี) พระครูอุเทศสาธุกิจ (รองเจ้าคณะอำเภอเมืองอุทัยธานี) พระครูอุทิตศุภการ (เลขาเจ้าคณะจังหวัด) พระมหาชลอ (วัดพิชัยฯ) พระสมพงษ์ ปสนนจิตโต (ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชัย) พระปลัดสำราญ กาญจโน (เลขาเจ้าคณะอำเภอ) และพระวัดท่าซุงทั้งหมด ตลอดจนญาติโยมพุทธบริษัทไปรอกันอยู่มากและนักเรียนโรงเรียมพระสุธรรมยานเถระ วิทยาที่อยู่หอพัก
    เมื่อรถจอดเทียบบันไดวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ยกศพหลวงพ่อมาไว้ที่ห้องนอนหลวงพ่อที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เมื่อพระสงฆ์กราบศพหลวงพ่อแล้วก็ล๊อคห้อง แล้วพากันไปประชุมเรื่องการจัดงานในวิหาร ๑๐๐ เมตร พระครูปลัดอนันต์ได้เล่ารายละเอียด เกี่ยวกับการมรณภาพของหลวงพ่อให้ทุกคนฟัง และได้ให้ข้าพเจ้าเล่าเกี่ยวกับการขอคำแนะนำจาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ให้ทุกคนฟังและได้ปรึกษากันว่า เราจะเก็บศพหลวงพ่อไว้ที่ห้องนอนหลวงพ่อในคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าจะจัดสถานที่ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ให้เรียบร้อย แล้วค่อยเคลื่อนศพหลวงพ่อไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลา ๑๒ ไร่

    รายงานการป่วยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จนถึงกาลมรณภาพ ขอยุติแค่เพียงเท่านี้
    พระปลัดวิรัช โอภาโส
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    ข้าพเจ้า ขอไหว้พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด หาบุคคลเปรียบปานมิได้ ผู้เสด็จขึ้นสู่สาคร คือ ไญยธรรม ผู้ข้ามสาคร คือ สงสารได้แล้ว ด้วยเศียรเกล้า.
    ขอไหว้พระธรรมอันยอดเยี่ยมสงบละเอียดลึกซึ้ง เห็นได้แสนยาก อันกระทำภพน้อยและภพใหญ่ให้บริสุทธิ์ ซึ่งพระสัมพุทธเจ้าบูชาแล้ว ด้วยเศียรเกล้า.
    ขอไหว้พระสงฆ์ผู้ปราศจาก ทุกข์ ไม่มีเครื่องข้อง คือ กิเลส ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลผู้สูงสุด มีอินทรีย์สงบ ผู้ปราศจากอาสวะ ด้วยเศียรเกล้า.

    ผมได้รับบันทึกเรื่อง บันทึกอาการป่วยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากพี่ Pop เห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาให้แบ่งบันกับญาติธรรมทุกท่านครับ
    ปล. ขอบคุณคุณกัญน์ พี่ Pop และต้นฉบับด้วยครับ อนุโมทนา สาธุ

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน :
    การทรงอารมณ์ใจให้เป็นปกติ http://palungjit.org/threads/การทรงอารมณ์ใจให้เป็นปกติ.291609/
    ธรรมะเพื่อการพิจารณาก่อนนอนและตื่นนอน http://palungjit.org/threads/ธรรมะเพื่อการพิจารณาก่อนนอนและตื่นนอน.302661/

    พุทธภูมิ :
    พระไตรปิฏก ช่วงที่อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างบารมีทั้งหมด http://palungjit.org/threads/พระไตรปิฏก-ช่วงที่อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างบารมีทั้งหมด.293474/
    บารมี ๑๐ จากพระไตรปิฏก http://palungjit.org/threads/บารมี-๑๐-จากพระไตรปิฏก.300770/
    ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า http://palungjit.org/threads/ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.295173/
    นางแก้ว คู่บารมีพระโพธิสัตว์ http://palungjit.org/threads/นางแก้ว-คู่บารมีพระโพธิสัตว์.299474/
     
  5. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอบคุณมากๆครับผม

    ผมเพิ่งมีโอกาสอ่านวันนี้เองครับ
     
  6. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    “ถ้าให้ข้านอนอยู่เฉย ๆ พักผ่อนอย่างเดียว ข้าขอตายดีกว่า ตราบใดที่ยังมีผมหายใจอยู่ จะพยายามสงเคราะห์คนจนถึงที่สุด ถ้ายิ่งคนเขาตั้งใจมาเอาดี มาเอาธรรมะ ถึงข้าป่วยหนักอย่างไร ก็ต้องออกมาหาเขา ถึงจะตายก็ยอม”

    และท่านเคยปรารภว่า “ที่บ้านซอยสายลมนั้น นักบุญทั้งนั้น เขามารวมตัวกันที่นั่น หยุดไม่ได้ ต้องไปสงเคราะห์เขา”

    สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  7. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    สาธุ
    ขอนอบน้อมในธรรม,ในจริยาวัตรของหลวงพ่อเป็นอย่างสูงด้วยเกล้าครับ
     
  8. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขอกราบบูชาพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่หาประมาณมิได้
    ที่หลวงพ่อมีเมตตาต่อลูกหลานทุกคน

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  9. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +905
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    catt23
    ........:':)':)'(.......
     
  11. nichaojung

    nichaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +8,247
    อ่านแล้วเกิดปิติครับ ขออนุโมทนา ในการให้ธรรมทานกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  12. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ชิวิตเป็นอนิจจัง..ทุกขัง..อนัตตา..
     
  13. jirarad

    jirarad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +487
    ขณะที่หลวงพ่ออยู่ ไม่มีวาสนาไปกราบ แต่วันนี้ได้อ่านแล้ว
    เสมือนได้เข้าไปกราบหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด หลวงพ่อรักและเมตตาลูกศิษย์ทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ค่ะ
     
  14. P.S._FabriNET

    P.S._FabriNET เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +803
    แม้จะไม่มีบุญได้กราบท่านขณะยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ (เพราะยังเด็ก) แต่จากการที่ได้ไปกราบขอขมารวมทั้งกราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯต่อหน้าโลงแก้วแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีบุญเกิดมาในชาตินี้ และได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐยิ่งแล้วต่อโลกใบนี้ โดยทุกวันนี้ก็ยังรับฟังเสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อฯ ที่โหลดไว้ในมือถือ อยู่ตลอดเวลาขณะทำงาน กราบ กราบ กราบ

    ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ
     
  15. whitehawk.bkk

    whitehawk.bkk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +66
    สาธุ สาธุ สาธุ แม้จะเกิดไม่ทัน แต่พอได้อ่านบทความซึ่งถ่ายทอดออกมาแล้ว รู้สึกน้ำตาไหลตื้นตัน ในความเด็ดเดี่ยว และกำลังใจขององค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำดีมาก แม้วาระสุดท้ายของชีวิต ท่านยังใช้ได้คุ้มค่าทุกๆเสี้ยววินาที สาธุ สาธุ สาธุ ขอบพระคุณท่านที่โพสบทความดีครับ
     
  16. ทองสุก

    ทองสุก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +36
    อ่านแล้วตื้นตันใจครับ อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าดีใจ หรือเสียใจหรือ อะไรกันแน่
     
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขอกราบอนุโมทนาสาธุในพระคุณความดีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้บำเพ็ญมาแล้วทุกอย่างทุกประการตั้งแต่ต้นจนอวสาน จะขอจดจำปฏิปทาลีลาปฏิบัติจาลึกเทิดทูนไว้ในดวงใจตลอดไปจนกว่าจะบรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะพิเศษในอนาคตกาล
     
  18. TuCkIe

    TuCkIe สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +16
    ..อนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้นะคะ ขอบคุณกับบทความดีๆ นะคะ
     
  19. tharushnu

    tharushnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ...สาธุ
    _____________________________________________

    <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FBuddhaPhothiyan&amp;width=500&amp;colorscheme=light&amp;show_faces=true&amp;border_color&amp;stream=true&amp;header=true&amp;height=427" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:500px; height:427px;" allowTransparency="true"></iframe>
     
  20. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ลูกไม่มีบุญได้กราบหลวงพ่อขณะยังดำรงธาตุขันธ์อยู่
    แต่ลูกกราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ
    และจะประพฤติตนเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    และจะไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อที่แดนนิพพานแห่งนั้น....สาธุ

     

แชร์หน้านี้

Loading...