เหตุที่ทำให้โลกพินาศ !!!

เหตุที่ทำให้โลกพินาศ !!!​

​

ในพระอภิธรรมได้กล่าวถึงเรื่องของกิเลสไว้อย่างน่าสนใจว่า.. ​

สมัยใดที่มนุษย์มากไปด้วยโลภะ..สมัยนั้นย่อมมีอันตรายที่เกิดจากความแร้นแค้น ข้าวยากหมากแพง และภัยธรรมชาติมาก ที่สำคัญ ราคะ จะทำให้โลกพินาศด้วยไฟ (ราคะร้อนเหมือนไฟ) ​

สมัยใดที่มนุษย์มากไปด้วยโทสะ...สมัยนั้นย่อมมีอันตรายที่เกิดจากศาตราวุธ มีภัยสงครามมาก ที่สำคัญโทสะ จะทำให้โลกพินาศด้วยน้ำ (โทสะร้ายเหมือนน้ำกรด) ​

ถ้าหนาแน่นด้วย โมหะ(ความหลง) โลกจะพินาศด้วยลม (โมหะเหมือนลมกรด) ​

มนุษย์ส่วนใหญ่ แต่ละคน จะสะสมอกุศลกรรมกันไว้คนละมาก ๆ อกุศลกรรมเหล่านั้น ย่อมเป็นมูลเหตุบันดาลให้โลกธาตุวิปริต ธรรมชาติในโลกแปรปรวน เกิดภัยพิบัติ พายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ร้ายแรงนานัปการดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้พินาศในช่วงหลายปีนี้ น่าจะเป็นส่วนผสมของราคะ โทสะ โมหะ แต่ที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นความหลงหรือโมหะ ตามด้วยโทสะและโลภะ มนุษย์หลงผิดคิดว่าชนะธรรมชาติได้แล้ว รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งหลงพัฒนาความเจริญทางวัตถุมากเท่าไร ยิ่งทำให้โลกร้อนเพราะเกิด Greenhouse Effect ซึ่งจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และทำให้เกิดทำให้เกิดทั้งพายุและน้ำท่วม แต่มนุษย์ในทุกชาติก็ไม่สนใจ ต้องการให้ประเทศอื่นช่วยลดความร้อนของโลก แต่ตัวเองไม่ยอมช่วยลด ถ้าช่วยก็ช่วยน้อยที่สุด

การประชุมเรื่องโลกร้อนทุกครั้ง ลงมติไม่เคยสำเร็จสักที เนื่องจากไม่มีชาติไหนต้องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมของตนลง ทั้งๆที่รู้ว่า การเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ และการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียม เป็นตัวการทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นไปอีก

บทความโดยคุณ phonsak1 Sun Sep 11, 2011 2:24 pm

ที่มา http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=738

 

All in all, it comes down to the root cause, that is "ignorance" อวิชชา

 

มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายไปพร้อมกัน มนุษย์มีมากเกินทัรพยากรที่มีอยู่ ไม่มีการควบคุมและคัดกรอง สัณชาติญานของสิ่งมีชีวิตคือการเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา ธรรมชาติขาดความสมดุล เกิดจากการที่มนูษย์ทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม ผลกรรมจึงตกแก่มวลมนุษยชาติ

 

รอบนี้จัดเต็มมาทุกอย่าง

 

ขออนุญาตินำไปเผยแพร่ให้เพื่อนๆชาว postjung นะครับ อนุโมทนา สาธุ ครับ

 

เหมือนหลวงพ่อกล่าวไว้ว่าเห็นตกลงจะลดขนาดกระบอกปืนกัน พอเกิดสงครามทีไร ปืนกระบอกใหญ่กว่าที่ตกลงกันมาทุกที 55 ลวงโลกกันทุกประเทศ

 

ธรรมชาติเริ่มสร้างสรรพสิ่งต่างๆ
สิ่งต่างๆเริ่มสร้างปริมาณ
ปริมาณเริ่มเกินความสมดุล
ธรรมชาติเริ่มจำกัดปริมาณ
ที่เหลือไว้คือคุณภาพ

 

..............ท่านแสดงธรรมอันเป็นเหตุไว้ดีแล้ว..สาธุ....

 

เลือกที่จะเป็น ก็ต้องรับกรรมไปตามนั้นๆ

ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรม ผมเชื่อเช่นนั้ัน

อาจทำให้คนที่นับถือพุทธตามบัตรประชาชน ได้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้ามากขึ้นก็ได้ ผมก็เชื่อเช่นนั้น

 

จริงทุกประการ ...
หรือจะมองอีกมุมหนึ่งก็น่าจะประมาณว่า มันเป็นธรรมดาของโลกทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง แล้วก็ล่มสลายไป หลังจากนั้นก็มาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ เริ่มตั้งแต่ มนุษย์คนแรกที่ถืออุบัติขึ้นบนโลก แล้วก็ค่อยๆ วิวัฒนาการกันเรื่อยมา จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเข้าใกล้การล่มสลายไปทุกทีๆ .... สรุป ทั้งหมด ทั้งมวล ก็ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนมาเนิ่นนานแล้ว นั่นคือ กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...นั่นเอง
ปล. ในโลกนี้ไม่มีดีหรือชั่ว มันมีแต่กรรมล้วนๆ

 

ไงเราต้องช่วยกันน่ะครับ

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=Khwt66WwQDQ&feature=related]Demole todo - YouTube[/ame]

อันนี้ด้วยป่ะจ๊ะ

 

ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ
...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...

 

แสดงว่าสมัยนี้ มนุษย์ ก็โลภอะสิครับ ก็เล่น เหมาหมดทั้งสามอย่างเลย
ไฟ ก็ไหม้แล้ว น้ำก็ท่วม พายุก็มา พร้อมกันเลย แบบนี้ก็แย่สิครับ

สาธุ

 

ขออนุโมทนา สาธุด้วยนะคะ

 

ความเป็นจริง ทรัพยากรยังพอรองรับมนุษย์ทั้งโลกได้ เพียงแต่มีคนบางกลุ่มที่มีความโลภไม่มีที่สิ้นสุด แย่งกอบโกยโกงกินคอรัปชั่นเอาไปเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียวหรือกลุ่มเดียว ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชีวิตของคน ๆ หนึ่งอายุเกินกว่า 90 ปีนั้นยากอย่างยิ่ง มีมากมายเท่าใดก็เอาไปด้วยไม่ได้ แต่เพราะความโลภที่มองไม่เห็นความตายอยู่เบื้องหน้า ยามมีชีวิตที่ปกติก็เอาเปรียบคนอื่น ๆ เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของธรรมชาติมาเป็นของตนเองกลุ่มตัวเอง จนสร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากแก่คนที่ไม่มีทางสู้ ยิ่งเอามาเป็นของตนมาก ก็ยิ่งไปเบียดเบียนคนอื่นมากขึ้น จนธรรมชาติไม่สามารถที่จะรับได้ ความสมดุลทางธรรมชาติจึงไม่มี ธรรมชาติจึงต้องปรับความสมดุลให้ได้เพื่อที่โลกนี่จะได้คงอยู่ต่อไปได้ แค่ธรรมชาติปรับตัวปรับความสมดุล มนุษย์ก็ต้องเดือดร้อนกันแสนสาหัสแล้ว ยิ่งไปเอาเปรียบธรรมชาติมาก ๆ ยิ่งขึ้น ยากที่มนุษย์จะคงอยู่ได้ต่อไป ส่วนคนที่อยู่ได้ ก็ต้องคับแค้นเดือดร้อนทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสแน่

 

อนุโมทนาครับ ที่ประเทศประสบภัยพิบัติอยู่ทุกวันนี้อาจเป็นเพราะธรรมชาติลงโทษหนอ

 

เจริญธาตุเจริญขันธ์กันไม่หยุดหย่อน โลกต้องร้อนเป็นเรื่องธรรมดา ทำใจคับ

 

ต้นตอปัญหาหลายๆอย่าง

[FONT=&quot]คำอนุโมทนาพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญของในหนังสือทำวัตรสวดมนต์แปร ของวัดนิพเพธพลาราม ต.แพด อ.คำตากล้า จ.สกลนคร[/FONT]
[FONT=&quot]ขอนำข้อความบางส่วนที่น่าสนใจ นำมาลงไว้
[/FONT]
[FONT=&quot]
[/FONT]
[FONT=&quot]โลกในยุคปัจุบันกำลังปั่นป่วน เร่าร้อนด้วยปัญหา เพราะผู้คนกำลังหันหลังให้แก่ธรรม โดยคิดและเข้าใจเอาเองว่า ธรรมะและศาสนา จะเป็นสิ่งค่อยขัดขวางความสนุกสนาน ถ่วงดุลความเจริญก้าวหน้าในการแสวงหาวัตถุ เครื่องปรนเปรอสนองตอบทางประสาทสัมผัส พูดให้ง่ายเข้าก็คือกามารมณ์นั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้นพากันคิดไปว่า ธรรมะนี้จะทำให้เชื่องช้าไม่ทันคนอื่นเขา ในยุคโลกไร้พรมแดน ซึ่งกำลังแตกแตนไม่ติดกัน ทุกคนในสังคมกำลังเต็มไปด้วยการวิ่งเต้น ดิ้นรน ยื้อแย่งแสวงหา มือใครยาวสาวได้สาวเอา แทบจะกล่าวได้ว่ามีแต่มนุษย์อันตราย ไว้ใจกันไม่ได้ แม้แต่พ่อยังข่มขืนลูก ครูข่มขืนนักเรียน ตลอดจนพระสงฆ์ผู้เป็นแก่นแกนแห่งจริยธรรม ก็ไม่วายเว้น มีข่าวออกมาในทางเลวทรามอย่างไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว [/FONT]
[FONT=&quot]ทั้ง หมด ต้นเหตุแห่งปัญหา ก็คือ ผู้คนพากันห่างเหินธรรม ประมาทธรรม ไม่เข้าใจคุณค่าแห่งศาสนธรรม การพัฒนาล้มเหลว ประเทศชาติขาดทุน เพราะประชาชนขาดธรรม คลื่นมหาประลัยแห่งอธรรม กำลังถาโถมเข้าถล่มโลกมนุษย์อย่างนาสะพึงกลัว เดียวนี้ เมืองไทยของเราอันเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ได้หยังรากลงอย่างมั่นคงยาวนานมากกว่าสองพันปีมาแล้ว และพอจะพูดได้ว่าเจริญรุ่งเรืองมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปาดแผล น่าจะแข็งแกรงที่สุดอบัดนี้ทรุดฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย ด้วยลูกคลื่อนแห่งอธรรม ประดังประเดมาพร้อมกันทั้งสามลูกนี้ เมืองไทยเราก็เจอเข้าเต็มเปาทั้งสามลูกคือ [/FONT]<o>

</o> [FONT=&quot] ลูกที่หนึ่ง อธมฺมราครตฺตา แปรว่า มีความกำหนัดกล้าไม่เป็นธรรมไม่ถูกธรรมมากชู้หลายผัวหลายเมีย เสพสมกันมั่วไม่ว่า พ่อ แม่ ลูกเต้า ศิษย์และอาจารย์([/FONT]incest,wanton wave.[FONT=&quot]) [/FONT]<o>

</o> [FONT=&quot] ลูกที่สอง วิสมโลภาภิภูตาแปล ว่า โลภไม่เลือก โลภไม่พอดี โกงกันได้แม้สมบัติพระราชา สมบัติศาสนา ของพระสงฆ์ เรื่องคอรัปชั่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีอำนาศ มีโอกาส ([/FONT]greedand perverted lust wave.[FONT=&quot]) [/FONT]<o>

</o> [FONT=&quot] ต่อมาคลื่นลูกที่สาม มิจฺฉาธมฺมา ปเรตา ความเห็นผิดเป็นชอบครอบงำใจ เห็นว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จะเอาอะไรกับศีลธรรม([/FONT]to mistake wrong for right opinionated wave.[FONT=&quot])[/FONT]<o>

</o> [FONT=&quot]ดังกล่าวมาสามประการเรียกว่า คลื่นแห่งอธรรม เพราะขาดธรรมความเลวร้ายทั้งสามจึงประดังประเดดาษดื่น พอกพูนขึ้น รุนแรงขึ้น ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ไม่มีทีท่าและแนวโน้มว่าจะทุเลาลง ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่ ปัญหาทางการเมือง ปัญหาทางสังคม ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ปรากฎการณ์วิปริตทางธรรมชาติต่างๆนานา ทั้ง หมดมันมาจากต้นตอทั้งสามประการนี้เอง อธมฺมราครตฺตา วิสมโลภาภิภูตา มิจฺฉาธมฺมาปเรตา ความกำหนัดบ้ากามอย่างวิปริต ความโลภมากเห็นแก่ตัวเกินขอบเขต ความเห็นผิดเป็นชอบ ทั้งสามอย่างดังกล่าวมาเป็นปัจจัยโยงใยให้แก่กันเกินขอบเขต ความเห็นผิดเป็นชอบ ทั้งสามอย่างดังกล่าวมาเป็นปัจจัยโยงใยให้แก่กันและกัน เกิดขึ้นรุนแรงขึ้น ปัญหาเหล่านี้นำมาซึ่งการ กินซึ่งกันและกัน ขมเหงผู้มีกำลังน้อยกว่า ชนิดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นเหตฺถ อตฺถิ ธมฺมจริยา สมจริยาปุญญกริยา กุสลกิริยา อญฺญมญฺญขาทิกา วตฺตติทุพพลมาริกา เพราะ เหตุที่พวกเขาไม่ประพฤติปฎิบัติตามธรรม ไม่รู้จักประพฤติเพื่อความสงบ ไม่กระทำกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เขาจึงมีแต่การ กินซึ่งกันและกัน มีแต่การกินกันเอง มีแต่การเบียดเบียนผู้อ่อนแอกว่า อ่อนแอกำลังทรัพย์ กำลังปัญญา กำลังแห่งอำนาจ กำลังแห่งโอกาส ดังเรารู้เราเห็นกันอยู่ทุกวัน ประเทศไทยของเราได้ผ่านยุควิกฤติมาตลอด ตั่งแต่การล่าอาณานิคมของพวกฝรั่ง การต่อสู้กับพม่าก็ดี การต่อสู้กับสงครามเย็นในยุคคอมมิวนิสต์ เราผ่านมาได้หมดเพราะเราอาศัยหลักธรรม อาศัยศาสนธรรมเป็นอาวุธ เป็นกำลัง เป็นยุทธศาสตร์แห่งการต่อสู้เอาตัวรอด ปัจจุบันนี้เราได้เผชิญหน้ากับสงครามเย็นอีกรูปแบบใหม่ เรียกว่า จักรวรรดิเศรษฐกิจเย็นยิ่งกว่าสงครามคอมมิวนิสต์ชะอีก หรือจะเรียกให้เห็นภาพพจน์ให้เห็นชัดเจนขึ้น พอจะพูดได้ว่า ยุคสงครามเย็นคนกินคน อญญมญฺญขาทิกา ขอเรียกตามพระพุทธเจ้า คนไทยเราแต่โบราณเคยพูดเตือนลูกหลานเอาไว้ว่า[/FONT]

[FONT=&quot] ชื่อว่าสูรย์ ก็ย่อมแสงแรงมหันต์[/FONT]<o></o>
[FONT=&quot] ชื่อว่าจันทร์ ก็ย่อมเห็นแสงเย็นอ่อน[/FONT]<o></o>
[FONT=&quot] สุภาษิตบทหนึ่ง พึงสังวร[/FONT]<o></o>
[FONT=&quot] ตายด้วยร้อนยังไม่ร้าย เท่าตายเย็น[/FONT]<o></o>