รบกวนผู้รู้เรื่องภูมิจิตครับ

ปฏิบัติแล้ว ก็จะได้ปฏิเวธ คือรู้ได้ด้วยตนเอง ผลที่รู้ได้เฉพาะตน
บอกไม่ถูก โนะ^-^
ตามไปดูมาแล้วค่ะ กว่าจะได้ความรู้ก็หูหัวแฉะไปบ้าง อิอิ
กิเลสมันชอบมาเนียนๆเนอะ ต้องระวัง

 

1.กาย คือ รูป อย่างหยาบ
2.เวทนากาย คือ เวทนา อย่างหยาบ ที่ใจเอาไปปรุงเป็น อุปทาน อีกทีหนึ่ง
3.ความคิด ของใจ คือ เวทนาทุกข์หรือสุข เป็น เวทนา ที่ ละเอียด อีกขั้นหนึ่ง คือ อุปทานใจ เป็น เวทนา ที่ ต้อง ปล่อยวาง พร้อมใจ คือ อารมณ์ ต่างๆ รัก โลภ โกรธ หลง ที่ ..ไม่ละเอียด
............
เมื่อ วางกาย วางเวทนากาย วางความคิด วางใจ ...ได้ ก็คือ วางโลก...เพราะ ตาหูจมูกปากกายใจ คือ เครื่องรับรู้โลก.....พวกนี้ เป็น สิ่งที่ รู้ทัน ด้วย สติ ระดับที่ฝึกมา ดีมาก 75 เปอร์เซ็นต์
............
4. โลภ หลง ที่ละเอียด....ก็คือ ....ความสังสัย ความรู้ ความจำได้ สัญญา ความอยาก ความไม่อยาก .....มันคือ เหตุปัจจัย ที่ สร้างให้ อนัตตา เป็น อัตตา ที่มองไม่เห็น....มัน ละเอียด กว่า โลก....เลยเรียกว่า ธรรมเหนือโลก ต้องใช้ สติ ความสงบ ที่ ต้อง ปล่อยวาง กาย เวทนากาย และใจ..วางโลก ได้ก่อน ถึงจะ....สามารถ จัดการ กับ 25 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ นี้ได้..จ้า

อิอิ

 

คุณอย่ามาใหญ่ที่นี้ ดังสักนัดไหม !!

 

แสดงว่า มีดบินเมื่อคืน ไม่ได้ผล ก็ เลย อยากเปลี่ยน อาวุธ สิท่า...เอ้า

ท่าทาง จะ เสียดาย ligth worker 4 นาง เมื่อคืน กับ สมุน ล่ะสินะ

อยากใช้ปืน ก็ โอ ครับ......จัดให้ เดี๋ยว ตามใจ ท่าน ทุก ประการ....จะได้ ไม่ต้อง มี อุธรณ์ ฏีกา ทีหลัง......แล้ว อย่า มา ร้องขอความ เมตตา สงสาร ทีหลังล่ะ...หัด ยอมแพ้ ให้เป็น เสียบ้างนะ

อิอิ

จะบอกอะไรให้ นะ....ไม่ว่าแกจะใช้ อาวุธอะไรก็แล้วแต่ ที่ มัน เป็นธาตุ ที่เกิด พร้อม จักรวาล...ฉัน สามารถ สั่งมัน ได้หมดทุกธาตุแหล่ะ....เพราะ ทุกธาตุ มันเป็นหนึ่งเดียวกับ ฉันหมด เฟ้ย อิอิ

...

ในนามของพระเจ้า ข้าคือ เจ้านายของพวกแกทั้งหมด

ในนามของซาตาน ข้าคือ เจ้านายของพวกแกทั้งหมด

ในนามของพุทธะ ข้าคือ เจ้าของของพวกแกทั้งหมด

ในนามของ มนุษย์ ข้าคือ...ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะ ทุกภพภูมิ ล้วนสร้างและ กำเนิด มาจาก มนุษย์ทั้งสิ้น

ในนามของความจริง แห่ง จักรวาล ที่อยู่ภายไต้กฏของไตรลักษณ์...พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ ... เรียกร้อง อะไรกับ ..ข้าเลย..เงียบเสียเถอะ...จงยอมรับชะตากรรม ตามกรรมที่พวกเจ้าได้ก่อ มา แต่โดยดี

วะฮ่าฮ่า

 

เรียกว่า....เชื้อแห่งการเกิด เชื้อแห่งการสร้างอัตตาตัวตน สร้างภพดสร้างชาติ

อันได้แก่ ความสงสัย ความอยาก ความรู้ ความจำ ความไม่อยาก ความคิด

ต้อง กระทำ การ ชำระ ทำความเข้าใจ ให้เห็น ถึง โทษ ของ ความ ทั้งหลายเหล่านี้

เพื่อ..ให้ มัน ถึงที่สุด ของ ความรู้ ความคิด ความอยาก ความไม่อยาก ความสงสัย ความจำได้ ......เรียกว่า....เหนื่อยกับมัน พอแล้ว นั่นเอง

เหมือน ตัวตนออกไปเที่ยว จนเหนื่อย เบื่อ ต่อ การ ออกไป ท่องเที่ยว เสาะแสวง หา สิ่งต่างๆ ที่คิดว่า ดีกว่า ที่ตนเองมี ตนเองเป็น....สุดท้าย ถึงจะรู้ว่า....คง พอได้ แล้ว นั่นเอง

 

ขอโทษหากพูดผิดไป

 

ขอโทษครับพอดีคุยกับเพื่อนทาง facbook เลยต้องขอโทษไปแล้ว ขอโทษครับ

 

newbornkid มีเพื่อนสนิท ๆ ไหมพอดีเขาชวนเที่ยวผับอีกแล้ว
ชวนแล้วชวนอีก ก็บอกว่าเลิกแล้วมันเบื่อครับ

 

ตกลง คุยกับ ผมอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย

อย่านะครับ ผม กลัว....พวกท่าน แล้วครับ......อิอิ

12ราตรี เคาท์ดาวน์...คืนนี้ คือ ราตรี ที่ 13........ฝันหวาน

หวังว่า...อย่านอนหลับเพลิน กันนักล่ะ....

 

เอ่อ...ความจริง ครือว่า....ผมใหญ่ ก่อนที่จะมา เกิด เสียอีกครับ

แบบว่า..คนมันใหญ่ ทำไงได้ครับ อิอิ

 

ฟิ้ว........

 

ขออภัยหลายๆท่านครับ

เจตนาของผมเองหวังว่าจะเกิดประโยชน์ทั้งตัวผู้ถามเอง และผู้อ่านที่สนใจที่ต้องการความเข้าใจเพิ่มเติม

แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้หลายท่านต้องได้รับโทษภัยโดยไม่รู้ตัวจากการแสดงความเห็น

ผมไม่ห่วงกระทู้ที่เลอะไปแล้วครับ แต่เสียดายความรู้ดีๆที่ควรจะได้จากกระทู้นี้ และเสียความรู้สึกว่า สถานที่ที่ผมหวังความรู้ความเจริญ ความจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างจากเวบบอร์ดอื่นสักเท่าไหร่

 

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

 

แล้วคุณหล่ะฝึกเพื่ออะไร วัยรุ่น

 

ขอบคุณที่เตือนสติครับ ความจริงใจผมก็ไม่ได้คิดอย่างที่พิมพ์ก่อนหน้านี้หรอกครับ เพียงแค่จะเตือนสติผู้ที่เข้ามาโพสต์บางท่าน ว่าเจ้าของกระทู้และผู้ที่เข้ามาอ่านหวังสิ่งใด และความเหมาะสมน่าจะอยู่ที่ตรงไหน และแอบห่วงในกรรมที่เขาจะทำด้วยครับ

ตอนนี้จิตของผมเกิดความรู้ความเข้าใจ(แต่ยังไม่ลึกซึ้ง) เมื่อผมทำจิตให้เป็นเพียงผู้รู้ ผมไม่สามารถจัดให้ความรู้อันนี้ให้อยู่ในหมวดไหนในขันธ์5ได้เลย (แต่ก็เป็นไปเพียงขณะที่กำหนดนะครับ ยังไม่ได้ยั่งยืนอะไร)

ต่อมาก็เกิดความรู้สึกปล่อยวางในการกระทำของผู้อื่นมากขึ้น เหมือนกับว่าเขาทำอะไรก็ตามเขาก็ทำผมได้แค่ขันธ์เท่านั้น ส่วนความรู้ที่ผมไม่ทราบว่าเรียกอะไรนี้ ไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากมันจะทำตัวมันเอง การแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือทำ หากไม่เกิดประโยชน์อันใดส่วนใหญ่แล้วก็จะเฉยเสีย

ไม่ทราบว่าพอจะมีอะไรแนะนำให้ผมก้าวต่อไปได้หรือไม่ครับ ตอนนี้อยากได้ความไม่เสื่อมทั้งที่รู้ว่าต้องไม่อยาก เพราะรู้ว่าสิ่งที่รู้นี้หากไม่พัฒนาจนถึงขีดก็ย่อมจะเสื่อมไปตามภพชาติ หรือกาลเวลา

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

 

ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก พึงแค่ทราบว่า การปรารภอย่างข้างบนนั้น เป็น มิจฉาทิฏฐิ

ผลคือ ตามมาด้วยความเห็นผิด ไม่ตรงต่อธรรมเป็นจำนวนมาก อาธิ

สรุปแล้ว หากตามเห็นความไม่ยั่งยืน ความไม่เที่ยง อยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิ

 

ขอบคุณครับ แต่ยังไม่แน่ใจว่า แค่ผมกำหนดรู้ไปเรื่อยๆแบบนี้ จะสามารถบรรลุธรรมที่สูงกว่าได้หรือไม่ครับ

 

อย่าวัดที่ ตัวกรรมฐาน มันจะทำให้ หลอน ได้หลายแบบ

เรียกภาษาพระว่า อุปกิเลส10

ดังนั้น พระท่านส่วนใหญ่ให้เราดู กิเลสเราลดลงไหม

คำว่า กิเลสลดลงไหม มันก็ไปสอดคล้อง ศีล

พอไปสอดคล้องศีล มันก็วกกลับมา สมาธิ

พอศีล กับ สมาธิ มีจิตแล่นไป เลื่อมใสแล่นไป น้อมไป
ปัญญามันก็จะปรากฏ

พอปัญญาปรากฏ คราวนี้จะไป อุปกิเลส10 อีก

ก็ต้อง กลับมาที่ ดูกิเลสเราลดลงไหม เป็นหลัก

* * * *

เวลา ภาวนาเข้าฐาน จิตส่ายนิดเดียวที่กลางฐาน
เขาจะถือว่าเห็น กิเลสสะเทือน ตรงนี้จะเป็นปริศนา

แต่ต้องกล่าวไว้ เพราะ มันจะไม่หวือหวา เห็น
โลภะ โกรธ หลง แบบปุถุชนคนธรรมดาเห็น

พอถึงตรงนี้ ค่อยเข้าไปหาพระ เห็น สมณะ จะเกิดประโยชน์

 

ชัดเจนมาก นายก อุปกิเลส10 นีแหละคนในเว็ปหลอนกันมาก

ดอกไม้สักดอกมั๊ย

 

.........รู้ระลึกเรื่องกิเลสตัณหา หรือแม้แต่ อุปกิเลส10ก็ตาม เพื่อเตือนตัวเอง เรายังมีอยู่หรือ...ต้องระลึกตลอด เพราะถ้าปล่อยยาวววววววววว...นั่น คงตกอยู่ใน อะไรสักอย่าง..............รีเช็ค!!!!!!!