สงสัยว่าตัวเองใกล้บ้าแล้วหรือปล่าว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ThesLong, 30 พฤศจิกายน 2011.

  1. ThesLong

    ThesLong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +827
    เรื่องมีอยู่ว่าเวลามีปัญหาในชีวิตเกิดขึ้น!
    ผมจะถาม ตัวเองในใจ แล้วรอฟังคำตอบ
    พอถามแล้วรอสักพัก
    สิ่งที่เกิดขึ้น ได้ยินคำตอบแบบเสียงนึกคิด
    เหมือนเรานึกขึ้นเองแต่ไม่ใช่ มันเป็นคำตอบที่เราไม่รู้
    และก็มันจะบอกนาน ถ้าเรารอฟังคำตอบ
    วันนี้ ได้รับคำตอบมา 4-5คำตอบ
    ผมเลยสงสัยว่า คำตอบที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่เรา
    เหมือนมีอีกคนตอบแทน อ่ะครับ
    อันนี้เรียกบ้าได้ยัง
    ขอบคุณครับ
     
  2. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +840
    ไม่บ้าหรอกครับ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมันอยู่ครับ
     
  3. HAARP

    HAARP สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +7
    ไม่เหงแปลก
     
  4. อีกาวิดน้ำ

    อีกาวิดน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +627
    อีกา เห็นว่า ถ้าหากคำตอบที่ได้รับ ทำให้เราสบายใจ คลายกังวลในปัญหา ณ ขณะนั้นได้ ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร บางครั้งอีกาก็เคยเป็น จะมีเสียงในใจว่า น่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ บางที ดูคล้ายกับในหนังฝรั่ง ที่มียมทูตตัวน้อย ๆ สีขาว กับ สีดำ มาพูดกรอกหูเราทั้งสองข้าง ตัวสีดำ ก็พูดแนะนำให้แก้ปัญหาในทางไม่ถูกต้อง เป็นผลให้ชีวิตเราไหลลงต่ำ แต่ตัวสีขาว จะค้านและแนะนำให้แก้ปัญหาในด้านที่ดี พาชีวิตขึ้นสู่ที่สูงครับ ถ้าคุณบ้า อีกาคงจะบ้าด้วยเหมือนกัน:cool:
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    "ได้ยินคำตอบแบบเสียงนึกคิด
    เหมือนเรานึกขึ้นเองแต่ไม่ใช่ มันเป็นคำตอบที่เราไม่รู้"

    อันนี้เราเรียกว่าจินตนาการนะเพราะมันไม่อยู่ในกรอบความคิดและความรู้ของเรา
    เรียกเท่ห์ๆอีกอย่างว่า ความคิดสร้างสรรค์ไง
    จินตนาการมาจากการใช้สมองซีกขวาได้มีประสิทธภาพ
    คนที่มีตรงนี้มากๆก็จะเก่งเรื่องคิดนอกกรอบ คิดไม่เหมือนใคร รู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน
    คิดในเรื่องที่ไม่เคยปรากฏในโลกมาก่อน คิดในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน
    ถ้ามีศีล5คุมอยู่ก็ไม่บ้าหรอก
    แต่ถ้ามีจินตนาการมากแต่ขาดศีล ทุศีล อันนี้จะพากันไปทางเป็นบ้าได้ง่ายๆ
    เช่น บ้าพลัง บ้าเก่ง บ้าโกง บ้าทำลายล้าง บ้าหลงตัวเอง บ้าหลอกตัวเอง
    บ้าหลอกคนอื่น บ้าโลกธรรม8 บ้าหลงกิเลส บ้าสิ่งเพสติด บ้าเสพสุข ....

    คนที่ฝึกนั่งสมาธิมากๆ จะมีจินตนาการสูง มีจินตนาการชั้นเลิศ
    มีทั้ง แสง สี เสียง นิมิต จิตหลอน จิตหลง จิตเภท จิตป่วน
    เวลาจิตมีสมาธิมากๆ ต้องฝึกสติเรื่องการรู้ทันอาการของจิต อาการของจินตนาการทางจิต
    ควบคู่ไปด้วย การรักษาศีลก็คือการฝึกสติให้รู้สึกตัวแยกแยะเรื่องดีชั่วออกได้

    จินตนาการเรื่องไหนได้ ก็ต้องมีสติรู้สึกตัว รู้ทันจินตนาการตนเอง ใช้วิจารณญาณแยกแยะ
    เรื่องไหนควรทำเรื่องไหนไม่ควรทำ จะได้ไม่หลงไปทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสื่อม
    จินตนาการพาหลงก็มี จินตนาการพาให้ประสบความสำเร็จในเป้าหมายก็มี
    จินตนาการให้คำตอบกับโจทย์ที่เราตั้งเองก็มี และเราเลือกจะทำตามจินตนาการหรือไม่ก็ได้อีก
    อยู่ที่เราจะมีสติกำหนดทิศทางเลือกให้ตัวเอง อย่าเชื่อและศรัทธาในจินตนาการทุกเรื่อง
    แต่ให้เชื่อในเรื่องสัจธรรมแห่งความดี แล้วจินตนาการก็จะมีแต่เรื่องดีดี ตามมา
    ถ้าจินตนาการพาให้เราหลงนะ สุดท้ายอาจเป็นบ้าไปจริงก็ได้ ถ้าเราหลงในจินตนาการ

    คนบ้าคือคนขาดสติ คนไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ตัวว่าทำดีหรือทำชั่ว เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด
    ถ้าเรายังมีสติรู้ผิดถูก รู้ชั่วดี มีความละอายในการทำชั่ว ยังไงก็ไม่เรียกว่าบ้าหรอกค่ะ

    แต่ที่คุณเอะใจ แล้วมาถามคนอื่นๆ เนี่ย นับว่าดี เป็นการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นคนอื่นๆ

    ศีล คือยารักษาอาการบ้า ที่ได้ผลมากขนานหนึ่ง

    ความรู้ดีรู้ชั่ว ก็เป็นยารักษาอาการบ้าได้เหมือนกัน เหมือนเรานึกอะไรขึ้นมาได้
    แล้วเราก็รู้ว่ามันดีหรือชั่ว ถ้าเรามีสติเราก็เลือกที่ทำแต่เรื่องที่ดี
    ถ้าไม่มีสติก็ทำแต่เรื่องที่ชอบใจสะใจไม่สนใจผลดีผลเสียที่ตามมา

    แต่ถ้าเข้าโหมดจินตนาการตลอด นี่จะอันตรายได้ เพราะถ้าเสียการควบคุมไปแล้ว
    ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า และตัวเองก็จะแยกแยะเรื่องจริง เรื่องจินตนาการไม่ออก
    เพราะขาดโหมดในการใช้เปรียบเทียบแยกแยะ ลองสังเกตที่ตัวเองนะ เวลาที่รู้สึกตัว
    ตามจริง และเวลาที่อยู่ในจินตนาการ มันต่างกันอย่างไร และทั้งสองอาการมันก็คือตัวเรา
    เป็นสภาวะธรรมชาติของตัวเราเอง แต่เราไม่เคยรู้มาก่อน มันก็เลยไม่เข้าใจ
    การไปสงสัยว่าเป็นสิ่งอื่นๆมาแทรกแซง อาจทำให้เราจับสาเหตุผิดตัวได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  6. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    มีคนแบบที่ท่านกล่าวมาจริงๆนะครับ (เยอะด้วย) เช่น ในบอร์ดนี้เป็นต้น ฮ่าฮ่า
     
  7. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    เขาเรียกว่าเกม 20 คำถาม เบื้องบนกำลังทดสอบท่านออยู่
    โปรดระวังตัวด้วย ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ ผมก็เคยเป็น
    อยากจะทำอะไรก็รีบคิดรีบทำในสิ่งดีๆนะครับ
    เพราะโลกนี้เกินจะเยียวยาแล้ว สภาพจิตใจคนชักไม่ปกติซะแล้ว
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ธรรมชาติของจิต แล ขันธ์ นั้น เป็นของกลาง เป็นของเก่า เป็นของโลก
    ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของที่แท้จริง เมื่อเราปล่อยให้มันสงบ แล้ว ตามดูความแส่
    ส่ายไปรู้ เราก็จะพบว่า มันหาคำตอบได้ โดยคำตอบนั้น มาจากใคร ก็
    มาจาก ขันธ์และจิต อื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ บางคำตอบก็มาจาก หมา แมว
    ใกล้ๆ บางคำตอบก็มาจาก ผู้มีปัญญาที่อยู่ไกลคนละจักรวาล ก็เป็นไปได้
    เพราะ จิตย่อมแล่นไปไกล แส่ส่าย ไม่เที่ยง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่ตั้ง

    แต่เราไปสำคัญผิดว่า จิต กับ ขันธ์ มีเราเป็นคนครอบครอง ทำให้จำต้อง
    เห็นว่า มีผู้อื่นครอบครองอยู่ด้วย พอเห็นดังนั้น การมารู้ความรู้ ที่ดีกว่าตน
    รู้ ก็มักจะเกิดมานะ ส่วนมาก ลดตนให้ต่ำลงตามธรรมชาติจิตย่อมไหลลง
    ต่ำ ก็จะยกเสียงนั้นว่า สูงกว่า เลิศกว่า เมื่อนั้น พระเจ้าก็เป็นบัญญัติ
    อาจารย์ ผู้ประเสริฐ เป็นสมมติเรียก เพราะความสำคัญผิด

    * * * *

    ปรกตินั้น หากผู้ปฏิบัติไม่มีศีล สิ่งที่เป็นคำตอบแรกๆ ที่พาเราไปติด ไปจับ
    ไปยึด ก็จะเป็นเรื่องต่ำๆ เรื่องโลกๆ เช่นเราไม่มี ศีลทางกามตัณหา พอเรา
    ปล่อยจิตว่างๆ มันก็จะไปจับ กามตัณหาของไก่แจ้ข้างบ้าน ของนกหนูที่อยู่
    บนหลังคา มาเป็น คำตอบ มาแก้ปัญหา ไปวันๆ สลบเหมือดนอนเนื่องแล้ว
    คิดว่าแก้ปัญหา

    บางครั้ง ก็ไปเสพการแก้ปัญหาของพวกเปรต ก็จะเป็นอารมณ์อยากเสพจัดๆ
    เช่น กัญชา ยาฝิ่น ล๊อดแอนโรว์ พวกฮิปปี้ ยิปปี้ ตับตับประดับประดู้อย่าง
    พวกยุคหิน(มนุษยที่จิตใจยังเป็นยุคหิน) ก็จะออกอการดิบๆ หื่นๆ แล้วสำคัญ
    ว่า คนจริง อิสระจริง

    แต่ถ้าเราฝึก ศีล มี สติ กั้น เรื่องราวที่ต่ำจะถูกดักไว้ ไม่สามารถลอดตา
    ข่ายทิฏฐิที่เป็นสัมมาเข้ามาได้ เมื่อนั้น สิ่งที่เราไปรู้ ไปเห็น ไปยิน ก็ไปเอา
    มาจากโลก ยืมมาจากโลก ซึ่งก็จะมีระดับความสามารถในแการแก้ปัญหาได้
    ดีไปตามระดับชของศีล เมื่อศีลถึงขีดสุด การแก้ปัญหาก็จะดีที่สุด

    ก็ลองพิจารณาไปแบบนี้ อย่าไปผลิกว่า นั่นมี พระเจ้า มีเจ้านาย มีอะไร
    วิเศษมาตอบ แล้วก็ไม่ใช่ เราเป็นผู้วิเศษที่หาคำตอบเจอด้วย เพราะ ของ
    เหล่านั้นมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เราแค่ ปล่อยจิต ปล่อยขันธ์ แล้วไป งับ
    เข้ามาเป็นตน มีคน มีเรา มีเขา โง้ง ขึ้นมา

    * * *

    ยกตัวอย่าง วิน มายา จิต ที่เขางอ ช้อนได้ ซึ่ง จขกท ก็เคยปรารภ
    เรื่องนี้(หากจำผิด ก็ขออภัย แปลว่า ศีลผมยังปรกติไม่พอ เลย 4S หยิบ
    ผิดไปตามคุณธรรมที่พร่อง) วินเขาก็ว่า ที่งอช้อนได้เพราะ มัน เป็นสิ่งที่
    มีอยู่ก่อนแล้ว เขาเพียงแต่ไปเห็น แล้วจูนมันเข้ามาในจิต น้อมเข้ามาแล้ว
    ส่งออกทำให้เกิด อิทธิวิธีขึ้น

    จะเห็นว่า วิน มายา จิต เขาก็เห็นเหมือนกันว่า มันมีเสียง หรือ ผัสสะ
    บางอย่างดังอยู่ เขาเพียงสดับด้วยอยาตนะบางอย่างตามที่เขาฝึกได้ แล้ว
    เขาก็นำมันมาใช้ จึงไม่เรียกว่า ตนทำได้ และ ให้ชื่อมันว่า มายาจิต

    เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ทีนี้ เวลาจะยกขึ้นเป็น ธรรม ของพุทธศาสนา ก็เพียงแต่ แยกแยะ

    สิ่งที่ออกไปรู้ข้างนอก คือ วิญญาณธาตุ กับ สิ่งที่รู้มาจากภายใน
    คือ มโนธาตุ

    ให้สังเกตว่า หากเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก มันมาจากข้าง
    นอก ไม่ได้มาจาก ภายในตน พึงทราบว่า อย่างนี้คือ วิญญาณธาตุ

    แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ความรู้ที่ออกมา มันมีความภาคภูมิ มาจากภูมิจิตภูมิ
    ธรรมภายใน พึงทราบว่า อย่างนี้คือ มโนธาตุ

    ทั้งสองอัน แปรปรวนทั้งคู่ ไม่มีอันไหนเที่ยง หากขาด สติ หรือ สัมปชัญยะ
    เสียแล้ว ธรรมมาจากภายใน หรือ ธรรมมาจากภายนอก ก็แยกไม่ออก

    เมื่อแยกไม่ออก ก็ไม่ชื่อว่า รู้จริง จะรู้สึกได้เลยว่า ความรู้นั้นไม่จริง

    แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม แลเห็นได้ว่า อย่างนี้คือธรรมภายนอก อย่างนี้คือธรรมภายใน

    อย่างนี้คือธรรมภายนอกไปเป็นธรรมภายใน , อย่างนี้คือธรรมภายในไปเป็นภายนอก
    [ มีคนอื่นเขานั่งเหม่อหาคำตอบ เราตอบให้ , มีเรานั่งหาคำตอบมีนกหนูหมูกาไก่ตอบให้ ]

    แบบนี้เราก็จะจำแนก ธรรมภายใน ธรรมภายนอก ธรรมภายในภายนอก ธรรมภาย
    นอกในภายใน ได้ ก็จะเริ่มเข้าใจเรื่อง วิญญาณธาตุ มโนธาตุ

    นำสู่การเข้าใจเรื่อง อยาตนะ6 เดี๋ยวจิตเกิดที่หู เดี๋ยวจิตเกิดที่ตา ที่กาย ที่ใจ ฯ เห็น
    ความเกิดดับแปรปรวน มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ ไม่มีอะไรเป็น ตัว เป็น ตน
    ที่เราจะต้องไปสำคัญผิด ไปติดอุปทานว่ามีเรา มีเขา ให้มัน โง้ง ขึ้นมา

    ดูอย่างนี้ เนืองๆ จนกว่า จิตจะยอมรับ สัจจ นี้ว่ามีอยู่

    เพราะลำพัง ฟังตอนนี้ มันก็ไม่ยอมรับ แต่ หากเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่เพียร
    ไม่พัก ย่อมเห็นตามในสัจจ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสชี้ชวนให้มาดู "โลกอันวิจิตร
    อันผู้ไม่รู้ติดข้องอยู่ บัณฑิตหาติดข้องอยู่ไม่"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    "โลก นั้น พร่องเสมอ"

    สายตาของปุถชนผู้ไม่เคยสดับ ย่อม เรียก หรือ ขานชื่อ บัณฑิต ว่า บ้า

    แต่ ท่านพุทธทาสก็ไม่ปฏิเสธ โลก ที่เขาต้องพร่องอย่างนั้น แล้วท่านก็เสริม
    เข้าไปอีกหน่อยว่า "คนบ้าวิสามัญ"

    ดังนั้น จะ บ้า หรือ ไม่บ้า วิญญูชนพึงรู้ได้ด้วยตนเอง

    <object style="height: 0px; width: 0px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/7T4xeyE5TdU?version=3&feature=player_detailpage&autoplay=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/7T4xeyE5TdU?version=3&feature=player_detailpage&autoplay=1" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="0" height="0"></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...................เป็นหนึ่งชัดเจน..........................
     
  12. kenzoo2522@hotmail.c

    kenzoo2522@hotmail.c Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +99
    ผมเองก็ไม่อยากให้เอาคำตอบหรือสิ่งที่ผมกล่าวตรงนี้เป้นบรรทัดฐานนะครับ
    แต่ก้ขอตอบว่า...น่าจะเป็นการสื่อทางจิตครับ เรือยหสั้นๆว่า...สื่อจิต ครับ
    จะมีคนบางกลุ่มเขาก็ชำนาญกันนะ อย่างที่มีบางท่านบอกนั่นแหล่ะ เราแค่ตัดสินใจเท่านั้นเอง ว่าจะเลือกกุศลหรืออกุศล...ครับผม
     
  13. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259
    ปล่อยไปตามธรรมชาติครับ อย่าไปสงสัยคิดมากอะไร

    คนส่วนใหญ่ที่นี่ เขาเลยขั้นที่เรียกว่า ใกล้บ้า ไปกันไกลแล้ววว

    55555


    (||)(||)(||)(||)(||)
     
  14. สิบหก

    สิบหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    680
    ค่าพลัง:
    +603
    จิตใต้สำนึก ........ ของเราเอง มันจะยุหรือห้ามเราเอง ไม่มีอะไร ...........
     
  15. pipatz

    pipatz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +199


    อุย...........................
     
  16. HAARP

    HAARP สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +7
    หมายถึงใครเอาหลักฐานมาดูหน่อย
     
  17. ธารธรา

    ธารธรา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +17
    อาจจะเป็นได้ว่าจิตคนเราสามารถสื่อถึงความรู้ที่สูงกว่าภูมิปัญญาของตัวเองได้นะ

    ก็ฟังได้แต่อย่าเพิ่งเชื่อ ลองคิดค้นคว้าดูก่อนว่าจริงไหม
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    “อัจฉริยะกับคำว่า“บ้า”บางทีมันก็อยู่ใกล้กันอย่างเฉียดฉิว”
    คนอัจฉริยะ หรือคนบ้า”....?
    ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)

    เรื่องย่อของเรื่องสั้น“ความทรงจำของคนบ้า”

    “ความทรงจำของคนบ้า” ใช้กลวิธีการนำเสนอ(Point of View)การเล่าเรื่องไปตามลำดับเหตุการณ์ก่อนและหลังของพัฒนาการทางจิตใจของตอลสตอย โดยมีการเล่าเรื่องย้อนหลังกลับไปสู่วัยเด็กเพียงตอนเดียว เนื้อหาทั้งหมดบรรยายถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงด้านความคิดที่ตอลสตอยเพียงคนเดียว ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องด้วยวิธีผู้แต่งเป็นผู้เล่าเอง(Omniscient Point of View)โดยเขาได้สังเกตเห็นว่าตนเองเป็นบุคคลที่มีความคิดที่แปลกแยกในตัวเอง ช่างคิดช่างสงสัยมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อยิ่งโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยิ่งรู้สึกตัวเองว่ามีความแปลกแยกและขัดแย้งในตัวเองมากขึ้น ทางหนึ่งนั้นคือ เขามีความคิดเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เช่นว่า มีความต้องการที่จะสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวยให้แก่ครอบครัวด้วยการอาศัยความได้เปรียบเรื่องทุนทรัพย์ สติปัญญา เพื่อสร้างความมั่งคั่งจากการข่มเหง เอาเปรียบผู้เดือดร้อนยากจน เขาจึงได้ออกเดินทางด้วยรถม้ากับคนใช้เพื่อไปดูคฤหาสน์ที่มีผู้ประกาศขาย

    แต่การเดินทางไปครั้งนี้เขากลับต้องเผชิญกับความคิดที่สับสนในตนเองครั้งสำคัญ จนทำให้เขาต้องเดินทางกลับมามือเปล่า จุดเปลี่ยนของเรื่องก็คือ ความคิดที่ขัดแย้งระหว่างการเดินทาง จนเขาไม่แน่ใจว่า นี่คือ “คนบ้า”..ใช่หรือไม่

    อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เขายังสามารถเขียนนวนิยายได้อีกมากมายหลายเรื่อง และเรื่องที่เด่นที่สุดคือ แอนนา คาเรนินา ผู้อ่านวรรณกรรมของเขาสามารถตัดสินใจได้เองว่า เขามีความผิดปกติทางจิตหรือไม่ อย่างไร ผู้อ่านอาจตัดสินใจได้จากผลงานจากเรื่อง แอนนา คารเรนินา ซึ่งเป็นนวนิยายอมตะอีกเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากเรื่องสั้นเรื่องนี้

    [​IMG]




    บทสรุปที่ได้จากเรื่องสั้น “ความทรงจำของคนบ้า”

    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ตอลสตอยเป็นนักเขียนที่มักนำเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวมาเขียนเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย เรื่องสั้นก็เช่นเดียวกันเป็นการเขียนเล่าถึงความรู้สึกผิดสังเกตเห็นความแปลกแยกในตัวเอง เขาได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้น่าจะเป็นช่วงอายุประมาณ 41 - 44 ปี

    (ปี 1869 เขียนเรื่อง สงครามและสันติภาพแล้วเสร็จ และเริ่มต้นเขียน แอนนา คาเรนินาในปี 1875 โดยมีเรื่องสั้นเรื่องนี้คั่นกลางระหว่างนั้น)

    เรื่องสั้นนี้เล่าว่า เขาได้ไปตรวจร่างกายที่สถานีอนามัยของรัฐ มีแพทย์หลายคนลงความเห็นแตกต่างกันไป บ้างตั้งข้อสงสัยว่าเขายังปกติดีเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไปหรือไม่ ซึ่งเขาพยายามปฏิเสธอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในตัวของเขานั้น เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลโรคจิต แพทย์บางคนก็ลงความเห็นว่า เขายังไม่มีอาการทางจิต เพียงแต่มีอาการตื่นเต้น* แพทย์รับรองว่าเขาจะหายเป็นปกติเพียงแต่ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในวิธีการรักษานั้นแต่อย่างใด แต่เขาก็ยอมรับว่าเเขาป็น “บ้า” จากคำกล่าวที่ว่า ทำไมผมจึงกลายเป็นบ้า ทำไมความบ้าของผมจึงถูกเปิดเผยสู่โลกภายนอก”

    ตอลสตอยรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่แปลกคนมาตั้งแต่เป็นเด็กอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ เมื่อพี่เลี้ยงได้อุ้มเขาเข้านอน ทุกคนที่แวดล้อมตัวเขาล้วนมีแต่แสดงความรักต่อกัน ทุกคนในโลกที่แวดล้อมตัวเขาก็ล้วนมีแต่ความสุข ทว่า...ทันใดนั้นเขาต้องตกใจกับเสียงตวาดของแม่บ้าน เขาหวาดกลัวจนต้องหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม ทำให้เขาคิดคำนึงถึงภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกเฆี่ยนตีต่อหน้าต่อตาเขา พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของเด็กชายคนนั้น

    ความหวาดกลัวทำให้ตอลสตอยร้องไห้และความสิ้นหวังในวันนั้นเป็นเสมือนร่องรอยของความยุ่งเหยิงเสมือนลีกณะของคนบ้าที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้
    [​IMG]



    ความรู้สึกแปลกๆ ในศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์ เขาเกิดความสงสัยใคร่อยากรู้เกี่ยวกับการทรมานพระเยซูบนไม้กางเขน เขาเกิดคำถามว่า ทำไมผู้คนพวกเหล่านั้นจึงได้จับพระเยซูไปทรมานด้วยการตรึงบนไม้กางเขน แต่ไฉนพระเยซูจึงยังมีเมตตาด้วยการสวดวิงวอนให้แก่คนพวกนั้น โดยไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้คนเหล่านั้นเลย และผู้ใหญ่(อย่างป้าของตอลสตอย)ก็ให้คำตอบเรื่องนี้แก่เขาไม่ได้

    ความขัดแย้งในความคิดระหว่างช่วงชีวิตที่เป็นชายหนุ่ม แม้ว่าเขาเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง สมยูรณ์พร้อมสรรพมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนที่จิตใจอ่อนแอเหมือนกับเพศหญิง จนเขาต้อง“เสียคน”เพราะความไม่ประสีประสาในตอนวัยรุ่น เขาจึงถูกเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันชักชวนให้เขาได้เรียนรู้ความชั่วทุกอย่าง จนแม้ชีวิตที่ล่วงเลยผ่านไปร่วม 20 ปีก็ไม่ได้สร้างรอยจารึกเป็นความทรงจำที่ดีและพิเศษให้เขาแต่อย่างใด ยิ่งนานวันมากขึ้นๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่า มีความคิดที่ขัดแย้งในตัวเองเด่นชัดมากขึ้น

    หลังชีวิตการแต่งงานผ่านไป 10 ปีแล้ว เขาก็รู้สึกว่าความบ้านั้นได้หวนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ตอลสตอยนำเอาเงินทองที่สะสมเอาไว้เอามารวมกันกับมรดกทางภรรยา โดยหวังว่าจะนำไปซื้อคฤหาสน์จาก “พวกคนที่ฉลาดน้อยกว่าเขา” ซึ่งจำใจขายมันในราคาที่ถูกๆ เขาจึงได้ออกเดินทางกับคนใช้ไปด้วยรถไฟและต่อด้วยรถม้าเพื่อไปดูคฤหาสน์หลังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อมันจริงๆ


    ระหว่างเดินทางในคืนหนึ่ง เขาต้องตกใจผวาตื่นขึ้นมา แล้วก็เกิดความคิดสับสนงุนงงกับเป้าหมายของชีวิตตนเอง ตอลสตอยตั้งคำถามกับตนเองว่า เขากำลังจะไปไหนกันแน่ ทำไมต้องมากับรถม้าคันนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังเดินทางไปซื้อคฤหาสน์หลังนั้นแต่อย่างใด กลับรู้สึกว่า “กำลังเดินทางไปหาความตายยังที่นั่น”มากกว่า ในห้วงคำนึงนั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกตกใจกลัวอย่างสุดขีด
    [​IMG]



    “ทำไมฉันจึงได้ท้อแท้อย่างนี้นะ ฉันกำลังกลัวอะไรอยู่นะ” แล้วหูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับตัวเองว่า
    “แกกำลังกลัวเรา...เราอยู่ที่นี่” มันเป็นเสียงแห่งความตายนั่นเอง

    ระหว่างการเดินทาง เมื่อมาถึงห้องพักของโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาก็ยิ่งต้องตกใจอีกกับความรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เขาคิดใคร่ครวญทบทวนกับสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ เขากำลังสับสนอย่างหนักระหว่างความอยากได้ใคร่รวย ความมั่งคั่ง การอยู่เหนือกว่าคนอื่น(แบบชนชั้นสูงในสังคมรัสเซีย) แต่ใจหนึ่งเขาก็ตระหนักคิดว่าคฤหาสน์หลังไหนๆ ก็ไม่อาจให้ความสุขเพิ่มขึ้นแก่ตัวเขา

    จากจุดนี้เอง อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการพลิกกลับความคิดของตอลสตอยเพื่อแบ่งปันเงินทอง ความร่ำรวยไปสู่คนยากคนจน และคืนเสรีภาพจากการตกเป็นทาสที่ดิน ก็เป็นได้...?

    ตอลสตอยคิดคำนึงถึงการเอารัดเอาเปรียบคนที่ลำบากยากจน และการลงทุนเพื่อสร้างฐานะความมั่งคั่งของตนเอง เขาตกใจกลัวกับภาพหลอนในจินตนาการของตอลสตอย และการคิดทบทวนอย่างถ่องแท้เช่นนั้น ได้ทำให้เขาไม่แน่ใจว่า ชีวิตเขาเองกำลังเผชิญกับอะไร หรือต้องกลัวอะไรกันแน่

    ยิ่งเมื่อเขาได้ยินเสียงจาก“ความตาย”บอกแก่เขาว่า “เราอยู่ที่นี่” อาจทำให้เขาคิดได้ว่า คนเราย่อมหนีความตายไปไม่พ้น

    [​IMG]
    เขารู้สึกสับสนและกำลังหลงทาง ไม่เฉพาะแต่เพียงการหลงทางในการแสวงหาเป้าหมายของชีวิต ความมั่งคั่งร่ำรวยก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องเอามายึดเป็นสาระอะไรแก่ชีวิตต่อไปอีกแล้ว คำสอนทางศาสนาก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่ตัวเขาได้เมื่อเขาเดินทางเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกๆ ที

    จนแม้ก็ไม่มีแม้ใครช่วยเขาได้ในเวลานี้ แม้แต่พระเจ้าก็ตาม....!

    บทสรุปของความคิดที่สับสนทั้งหมดก็คือ ในระหว่างการเดินทางกลับสู่คฤหาสน์ที่เมืองยาสนายาโปลียานา เขาได้พบกับหญิงแก่คนหนึ่งซึ่งเข้ามาถามทางแล้วเธอก็เล่าถึงความยากจนให้ตอลสตอยฟัง และเมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาเตรียมจะเล่าเรื่องการซื้อคฤหาสน์หลังใหม่ให้ภรรยาฟัง แต่เขาก็รู้สึกละอายต่อบาป ขยะแขยงตัวเองขึ้นมาทันที เขานึกขึ้นมาได้ว่า แม้จะเขาได้กำไรจากการซื้อคฤหาสน์หลังนี้ แต่มันก็เป็นความสุขบนความทุกข์ยากของชาวนาที่ยากคนจน แล้วคนเหล่านี้พวกเขาก็ต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย เท่าเทียม เป็นใหญ่เป็นโตเมีหน้านมีตาช่นเดียวกันกับเขา และ ก็เพราะว่า ทุกคนเกิดมาต่างก็ล้วนอยากเป็น “ลูกพระลูกเจ้า”เช่นเดียวกัน
    [​IMG]




    เขารู้ว่า การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่พอใจกับภรรยายิ่งนัก เธอคงรู้สึกรำคาญสามีและอาจมีปากเสียงกัน เพราะว่าโซเฟียก็เปรียบได้กับมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ยังมีความทัเยอทะยาน อยากได้ในลาภยศ ทรัพย์สิน คำสรรเสริญ ซึ่งผิดกับตัวเขาที่กลับรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

    ตอลสตอยเชื่อว่า นั่นคือสัญญาณแรกแห่งความบ้ามาเยือนตัวเขาแล้ว และในอีก 1เดือนต่อมา เขาก็คิดว่า ความบ้าคงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแน่แล้ว เมื่อเขาไปโบสถ์ ฟังสวดมิซซาเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับบ้าน เขาได้เริ่มแจกจ่ายเงินของเขาทั้งหมดให้แก่ผู้คนที่ผ่านทาง แล้วก็เดินเท้ากลับบ้าน แทนที่จะนั่งรถม้ากลับบ้านเช่นเคยทำ เขาเดินคุยกับชาวนาตลอดทางเดินกลับบ้านนั้น

    [​IMG]

    ประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากความบันเทิงจากการอ่านแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่

    1. ได้เห็นความแตกต่างระหว่างอัจฉริยภาพและความคิดที่ขัดแย้งในตัวผู้ประพันธ์

    2. เห็นถึงความคิดที่ละเอียดอ่อน การเฝ้าสังเกตสิ่งที่มากระทบจิตใจของผู้ประพันธ์ การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะเป็นความคิดเชิงระบบที่จะนำไปสร้างเป็นเรื่องราวในการเขียนเป็นนวนิยาย

    3. การเขียนบันทึกต่างๆ รวมทั้งการสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นเรื่องสั้น นวนิยายหรือบทความใดๆ ก็ตาม เป็นการปลดปล่อยความคิดหรือพลังที่อัดแน่นอยู่ในใจนั้นออกมา โดยไม่เก็บงำเอาไว้แต่เพียงลำพังนั้น จะไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพจิตแก่ตนเอง

    4. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญญา เป็นความรู้เชิงพุทธิปัญญาที่ตอลสตอยได้นำมาจากชีวิตที่เขาประสบจากชีวิตในยุคสมัยนั้น เข้าใจได้ตามหลักพุทธศาสนาว่า “ตถตา”ทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง แล้วชีวิตก็ควรคืนสู่สามัญด้วยการเจริญปัญญา พัฒนาขัดเกลาจิตใจตนเองและสร้างประโยชน์สุขที่แท้จริงให้แก่สังคม มากกว่าการตักตวงเอาผลประโยชน์ด้วยความเห็นแก่ตัวและอาศัยความได้เปรียบกว่าคนด้อยโอกาสในสังคมตักตวงเอาสิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง สุดท้ายของเป้าหมายชีวิตของทุกคนล้วนคือการตาย ไม่มีใครสามารถเอาทรัพย์สินเงินทองที่สั่งสมนั้นไปได้แม้สักราย การเผชิญหน้ากับความรู้สึกเข้าถึงความตายได้ทำให้คนเห็นถึงสัจธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพุทธศาสนา

    5. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ได้แก่ ความประทับใจในการเล่าเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งทางความคิด การแสวงหาทางออก การถูกทดสอบสภาพจิตใจเพื่อแสวงทางเลือกที่เหมาะสมกับอุดมการณ์ ความคิด โดยเฉพาะชีวิตและงานของตอลสตอย หากผู้อ่านไม่ทราบพื้นหลังชีวิตและการทำงานของตอลสตอยมาก่อนแล้ว การอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้จะไม่เกิดอรรถรสแต่อย่างใด



    [​IMG]



    กล่าวโดยสรุป หากมองภาพกว้างๆ สำหรับงานเขียนของตอลสตอยถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพราะวรรณกรรมไม่เพียงเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมเท่านั้น แต่ในสังคมที่ให้ความสำคัญของวรรณกรรม หรือการอ่าน วรรณกรรมจึงเป็นได้ทั้งกระจกสะท้อนส่องให้เห็นสภาพสังคมที่เป็นอยู่กันในขณะนั้นและวรรณกรรมยังเปรีบได้เป็น “แสงสว่าง” หรือความคาดหวังให้แก่สังคมได้เห็นถึงทางสว่างให้แก่สังคมที่มืดตัน ทำให้ประเทศรัสเซียในเวลาต่อๆ มายังได้มีนักเขียนหลายคนมารับช่วงต่อจากเขา เพื่อสานต่อจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหญ่

    การเขียนเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับความจริง เป็นขนบทางวรรณกรรมสำคัญอีกรูปแบบหนึ่ง งานเขียนของตอสตอยเป็นอีกจุดเริ่มต้นหนึ่งการชักนำเข้าสู่การเป็นวรรณกรรมแนวสัจจนิยม (Realistic Literary) ถึงแม้ชีวิตของตอสตอยได้ถือกำเนิดในสังคมชนชั้นสูง แต่เขาก็กล้าที่จะเขียนเรื่องราวชีวิตต่งๆ ที่เขาประสบพบเห็นออกมาตีแผ่ให้สังคมใหญ่ได้รับรู้ ทั้งฉาก ชีวิตของตัวละคร ในลักษณะสมจริง

    [​IMG]


    ความเป็นอัจฉริยะกับความมัดแย้งหรือที่เรียกว่าอาการคล้าย"คนบ้า”นั้น เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน แต่เพราะว่าตอลสตอยเป็นคนที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเองและมั่นคงในจุดยืนของอุดมการณ์นั้น แต่แล้วอุดมการณ์ในใจตัวเขาเองกับโลกความเป็นจริง ที่มีผู้กล่าวว่า“อัจฉริยะกับคำว่า“บ้า”บางทีมันก็อยู่ใกล้กันอย่างเฉียดฉิว” มันมีเส้นแบ่งอยู่อย่างบางเฉียบทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่วิธีการของคนมอง ขึ้นอยู่กับว่าจะมองโดยอคติหรือฉันทาคติ ซึ่งเป็นมูลเหตุที่จะช่วยพิจารณาหรือตัดสินว่าคนๆ นั้นเป็น “คนอัจฉริยะ หรือคนบ้า”....?




    แต่ทว่า...ตอลสตอยไม่ได้ถูกชาวโลกมองว่าเขาเป็นคนบ้า เนื่องจากเขายังสามารถผลิตผลงานที่เป็นมรดกทางวรรณกรรมให้แก่ชาวโลกอย่างมากมายหลายเรื่อง

    แต่ถ้าหากตอลสตอยเป็นคนที่ไร้ค่า ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร เขาก็อาจถูกเพื่อนร่วมกันโลกตัดสินว่า เขาเป็น “คนบ้า”อย่างแน่นอน

    ในโลกนี้ยังมีศิลปินอีกมากมายที่ทำงานด้วยการเปลี่ยนความขัดแย้งในตัวเองให้เป็นพลังขับ ในการสร้างผลงานนั้นออกมา



    …………………………………………………………………


    [​IMG]



    [COLOR=red]หมายเหตุ[/COLOR]
    * อาการ Anxiety ซึ่งเป็นอาการที่อยู่ในกลุ่มของโรคประสาท




    เรื่องแนะนำให้อ่าน



    เอนทรี่ลืมเขียนแห่งปี 2553..“ศตวรรษการจากไปของลีโอ ตอลสตอย” (Tolstoys Centennial Festival,1910-2010)
    ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) และวรรณกรรมอมตะของโลก “แอนนา คาเรนิน่า” (Anna Karenina)
    แอนนา คาเรนิน่า(Anna Karenina) วรรณกรรมอมตะของโลก และของ ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)


    อ้างอิง
    สุชาติ สวัสดิศรี(แปล), รวมเรื่องสั้นรัสเซียก่อนการปฏิวัติถึงรัฐสังคมนิยมล่มสลาย “ความรื่นรมย์ครั้งสุดท้าย”, สำนักพิมพ์สามัญชน, 2532
    พัฒจิรา จันทร์ดำ, การอ่านและวิจารณ์เรื่องสั้น, สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊ค, 2547
    โคทม อารียา(บทนำ),แอนนา คาเรนินา, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544
    ปรีชา ศรีวาลัย, ประวัติศาสตร์สากล, โอ เอส พริ้นติ้งเฮ้าส์, 2536


    .........................................................


     
  19. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,780
    ถ้าบ้า แล้ว ถูกต้อง ก็ยอมบ้า ไปเถอะค่ะ

    ปูก็ยังคิดเลยว่า ตัวเอง บ้าหรือเปล่า... ทำไมเห็นภาพล่วงหน้า ก่อนมันเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เกิดจริงๆ มาเตือนภัยก็เป็นจริง .... แค่เสียงยังดีสิ นี่ของปู มาเป็นภาพเลย...หลอนอย่างแรง เฮ้อ....
     
  20. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    ไม่ได้คิดจะฟันธงให้น้องนะ
    แต่...ที่น้องว่ามา...
    ก็อาจตีความได้หลายทาง

    เป็นได้ทั้งทางดี
    คือ..มีจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่น..สื่อกับตัวน้องโดยตรง

    ถ้าเป็นได้ทั้งทางร้าย
    น้องจะอาจจะถูกกล่าวหาได้ง่ายๆว่าบ้าหรือเพี้ยน

    ถ้าถามความเห็นส่วนตัวพี่
    ใจพี่อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวน้องนั้น
    ขอให้โน้มเอียงไปเป็นอย่างข้อแรกที่พี่ว่ามาเถอะ

    คืออาจจะมีจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่นเขาสื่อกับตัวน้อง

    แต่ - มีข้อคิดอยู่อย่างเดียว
    คือบุคคลที่จิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่น
    จะสื่อหรือติดต่อด้วยได้นั้น.....
    ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติ
    หรือทำสมาธิจนจิตละเอียดมากๆ
    มากพอที่จะรับสื่อจากจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่น
    สามารถสื่อจิตติดต่อด้วยได้

    เพราะถ้าจิตยังหยาบๆไม่ละเอียดเหมือนคนทั่วไป
    เรา(คนทั่วไปอย่างเราๆ)ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อ
    กับจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่นได้
    เหมือนๆกับที่จิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่นเขาเอง
    ก็จะสื่อ/ติดต่อกับจิตเรา ..ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
    ประมาณว่า...
    จิตต้องละเอียดพอๆกันถึงจะสื่อกันได้
    ...อะไรแบบนี้....

    อ้อ- ถ้าจะถามว่าคำว่าจิตวิญญาณชั้นสูงที่มาจากมิติอื่น คืออะไร
    ก็อธิบายแบบสั้นๆว่า..คือมนุษย์ต่างดาว
    (หมายถึงเฉพาะกลุ่มดีเท่านั้นนะ
    เพราะว่ามนุษย์ต่างดาวมีทั้งกลุ่มดี และกลุ่มไม่ดี)..ก็เป็นได้
    ถ้าพูดแบบชาวบ้านเอาพอเข้าใจง่ายๆก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...