ตอบทีครับ อาปานุสติกรรมฐาณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 8 ธันวาคม 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618

    ผมสงสัยว่า การกําหนดรู้ กระทบหน้าอก และ ศูนย์เหนือสะดือ เนี่ย มันทํายังไง

    บางครั้ง ผมเล่นอาปานุสติกรรมฐาณ มันเหมือนมีลม ขึ้นมาบนท้อง ช่วงท้องอะครับ แต่ไม่เห็นกระทบหน้าอก ผมไม่เข้าใจว่ากระทบยังไง คือ แบบว่า

    พอกระทบแล้ว ตหน้าอกมันจะ หงายขึ้นรึยังไงเหรอครับ (หรือขยายใหญ่ขึ้น)

    ผมฝึกอาปานุสติ ก็จะได้ 1-2 เดือนแล้ว ยังไม่ไปไหนเลย ฌาณ 4 ยังไม่ได้เลย ฌาณ 1 อันนี้ได้แล้ว (ไม่แน่ใจว่ามาจาก อาปานุสติ หรือ กสิน ไม่รู้)

    ถ้า ผมมี ได้อาปานุสติ อกุศล ความคิดก็ไม่มี เพราะจิตไปจับ อาปา ไม่ได้ไปสนอย่างอื่น เป็นกรรมฐาณ ที่สุดยอดจริงๆ
     
  2. bestsu

    bestsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +617
    ลองศึกษาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโยครับ

    จิตมีหน้าที่รู้อยู่เฉยๆเท่านั้น เวลาดูลมก็ดูอยู่เฉยๆ เหมือนคนที่เป็นอัมพาต ที่ทำได้แต่มองคนอื่นเดินไปมา นอกนั้นจิตจะทำงานของมันเอง ไปของมันเอง ตัดพ้อว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าไม่ได้เลย เพราะมันทำให้เราสงสัยในการปฏิบัติ นิวรณ์ตัวสงสัย มันทำงานกั้นความก้าวหน้าทุกครั้งที่นึกถึงนะครับ ไม่ใช่แค่ตอนเจริญกรรมฐานถึงตัดความสงสัยทิ้ง ไม่ต้องทำอะไรนอกจากดูลมเฉยๆแล้วมันไปของมันเอง
     
  3. storydragon

    storydragon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +4
    อืมๆ ความรู้ใหม่ๆ
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เอา อานาปานสติ จากพระโอษฐ์ มาฝาก....."ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้าเธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก.........เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาวก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจออกยาว...........หรือว่าเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจเข้าสั้น หรือ เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าหายใจออกสั้น..........ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะกายทั้งปวงจักหายใจเข้า ดังนี้ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวงจักหายใจออกดังนี้...............ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออกดังนี้.........ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปิติ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปิติ จักหายใจออกดังนี้....................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจออกดังนี้............
     
  5. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เวลาเราหายใจผ่านช่องจมูก ทําไมเราถึงรู้ละ ว่ามันผ่านช่องจมูกเเล้ว
    เวลาเราหายใจผ่านทางปาก ทําไมเราถึงรู้ละ ว่ามันผ่านช่องปากไปเเล้ว

    เช่นกันกับช่องอก เเต่

    คนที่เริ่มใหม่ๆ เนี้ย จิตมันจับตรงช่วงอกไม่ค่อยจะทันกัน เพราะ มัน ชอบเอาจิตไปจดอยู่ ตอนเข้าสุด กับออกสุด คือบริเวณ ฐานหนึ่ง กับสาม มันก็เลยข้ามไป ข้ามมา พอจะเอามากําหนดตรงช่วงอก กับปรากฎว่า มันเลยไปออกปาก ออกจมูกไปซะ

    ไอ้พอกําหนดเข้า มันก็ดันเลยมาเเทงเอา ลิ้นปี่เสียเเล้ว เลยไปก็เลยมา จับไม่ได้ไล่ไม่ทันซะที เพราะ ใจ มันไปจดจ่อเเต่ว่า มันถึงไหน มายัง เอ๊ เมื่อไรจะมา อ้าวววว อ้าวววว เลยไปซะเเล้ววววววววววววววว

    งั้นเอาเเบบเริ่มต้นก่อน
    เอาเเค่ให้มันรู้ว่าผ่าน เหมือนยืนบนเขา เเล้วลมพัดมาเบาๆ ตามลมตรงช่วงที่มันผ่าน ช่องอก เอาเเค่ตามนะ เน้นว่าเอาเเค่ตามเฉยๆ พอรู้สึกเเบบเล็กๆ อย่าไปจดจ่อกับมัน มันจะเบา จะเเรงก็ช่างมัน เน้นว่า เอาเเค่ใจรุ้สึกได้ ว่ามันผ่าน

    ที่นี้มันก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก ฐาน โดยปริยาย เอาเเค่ตามให้ทัน

    เเต่อย่าไปฝืน ซูด ลึกๆ เพื่อให้ลมมันยาวขึ้นจะได้กําหนดได้ง้ายๆ อันนั้นผิด ไม่ควรทํา ควรปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ ของมันเอง

    เเล้วเดี่ยวพอ ลมมันละเอียดขึ้น ฐาน ที่หายไปมันก็จะชัดขึ้นตามกําลัง นะจ๊ะ



    ปล คํา ศัพไม่ค่อยสูง เพราะความรู้ทางปริยัต ยังด่อย อย่าถือสาหาเหตุ คว้าไว้เเต่ เเก่น ก็พอนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2011
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตสังขาร จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตสังขาร จักหายใจออกดังนี้........................ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นทำจิตสังขารให้รำงับอยู่ จักหายใจออกดังนี้.........................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออกดังนี้...................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่จักหายใจออกดังนี้................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออกดังนี้.....................ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่จักหายใจออกดังนี้.....................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำจักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้.............ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ตามเห็นความจางคลายอยู่เป็นประจำจักหายใจออกดังนี้.......................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ตามเห็นความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ จักหายใจออกดังนี้..........................ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจเข้าดังนี้ ย่อมทำในบทศึกษาว่าเราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ จักหายใจออก ดังนี้..........ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่.................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...................อันนี้จากพระโอษฐ์ ควรทบทวนให้เข้าใจอย่างมาก ทั้ง การภาวนา และ จุดประสงค์...แล้ว เรียกให้ถูกหน่อยก็ดี ....." อานาปานสติ" ไม่ใช่ อาปา...:cool:
     
  8. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    ไปกำหนดรู้ ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง
    จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้อย่างไร

    การไปกำหนดได้หมายรู้ เป็นสัญญา
    ไปฟังคนอื่น แล้วจิตนาการตามไป ก็คือ การปรุงแต่ง เป็นสังขาล

    ถ้าจงใจปฎิบัติ ไม่ได้รู้ตามความเ็ป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกขณะ
    อีกกี่ แสนโกฎ์กัลป์ จะบรรลุ
     
  9. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อ่อโอเคครับเข้าใจแล้ว ปกติ คนเราน่าจะจับลมหายใจไปตรงที่จมูก คือรอคอยตรงจมูก คงไม่ได้ สังเกตว่าลมมันผ่านไปทางไหนบ้าง เช่น เวลา พอหายใจเข้า ลมมันเข้าทางจมูกแล้วมันลงไปไหนต่อ แบบนั้น เหรอครับ ?
     
  10. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    ไม่ใช่ไปสังเกตุ แบบนั้นคือเราไป ดักทาง ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง
    รู้อย่างเดียว ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไร

    เธอต้องแยกให้ ออกระหว่างรู้ตามความเป็นจริง กับ จงใจปฎิบัติ
    เพราะการจงใจปฎิบัติ เป็น สัญญา เป็นขันธ์ เป็นทุกข์

    เธอลองรู้ตามนะ
    พอเธอไปดักรอไปปลายจมูก จิตมันก็ไหลไปที่ปลายจมูก
    จากนั้น เธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เกิน ชม
    เธอก็จะอึดอัด เป็นทุกข์

    เพราะอะไรหลอ อาการที่จิตไหลไป เป็นโมหะ อย่างนึง
    ส่วนอาการที่เกิดความอึดอัดเป็น โทสะอย่างนึง
     
  11. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เอาเเค่ ให้ มันรุ้ รู้ ไป อย่าไปกําหนด อย่าไปปัก เอาเเค่ รู้ รู้ เเค่นั้น

    เข้าใจไหม รู้ น่ะ เอาเเค่รู้เฉยๆ เเค่รู้เฉยๆ เเล้วก็ เฉยๆ เอาเเค่นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  12. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    แค่รู้-ชบา

    รู้ตัวว่าฉันควรยืนที่ใด ให้มันพอใจของเธอตรงใจของเธอ ให้เหมือนที่ต้องการ
    ทั้งใจตัวฉันเองก็รู้ ว่าไม่ควรคิดไปไกลฝันไปไกล ให้เราได้รักกัน
    ใจของเธอถูกปิดกั้นเอาไว้ ต่อให้ฉันทุ่มเทสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันได้ใจ
    ได้เป็นเพื่อนกับเธอ แค่แอบรักเธอไปวันๆ อยู่กับเธอที่เป็นแค่เพียงฝัน
    เธอก็รักแต่เขา เธอก็แคร์แต่เขา เธอก็มีแต่เขาข้างในหัวใจ
    เธอไม่เคยลืมเขา เธอไม่เคยเปลี่ยนใจ เธอก็มีแต่เขาอยู่ทุกเวลา
    เธอก็มีแต่เขา เธอไม่เคยมองเห็น ว่ายังมีคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างเธอ
    ไม่อาจเป็นฉันที่จะยืนอยู่ตรงนั้นในใจเธอ
    รู้ตัวว่าฉันควรทำเช่นไร ได้ยังคงมองห่างๆและคอยห่วงๆเท่านั้นก็พอใจ
    ใจของเธอถูกปิดกั้นเอาไว้ ต่อให้ฉันทุ่มเทสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันได้ใจ
    ได้เป็นเพื่อนกับเธอ แค่แอบรักเธอไปวันๆ อยู่กับเธอที่เป็นแค่เพียงฝัน
    เธอก็รักแต่เขา เธอก็แคร์แต่เขา เธอก็มีแต่เขาข้างในหัวใจ
    เธอไม่เคยลืมเขา เธอไม่เคยเปลี่ยนใจ เธอก็มีแต่เขาอยู่ทุกเวลา
    เธอก็มีแต่เขา เธอไม่เคยมองเห็น ว่ายังมีคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างเธอ
    ไม่อาจเป็นฉันที่จะยืนอยู่ตรงนั้นในใจเธอ
    Solo
    เธอก็รักแต่เขา เธอก็แคร์แต่เขา เธอก็มีแต่เขาข้างในหัวใจ
    เธอไม่เคยลืมเขา เธอไม่เคยเปลี่ยนใจ เธอก็มีแต่เขาอยู่ทุกเวลา
    เธอก็มีแต่เขา เธอไม่เคยมองเห็น ว่ายังมีคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างเธอ
    ไม่อาจเป็นฉันที่จะยืนอยู่ตรงนั้นในใจเธอ:'(
     
  13. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    มันลําบากแหะสัญญาของผม คือ ให้ไปดักรอ เพราะต้องดูว่าหายใจตอนไหน มันก็ดักวอ

    เวลาหายใจก็ไม่ปกติ คือผมไปกําหนดมันซะงั้น ผมพอเข้าใจตามดูลมหายใจ มันคล้ายๆ ตามดูหญิง นั้นแหละ
     
  14. babaecomputer

    babaecomputer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +77
    ผมก็ทำอานาปานสติ เหมือนกัน ในขณะทำจะรู้สึกเย็นทั่วร่างกาย เหมือนขนลุก ตอนใหม่ๆผมรู้สึกเป็นสุข แต่หลังๆมานี้ก็ไม่ได้ไปตื่นเต้นกับมัน ผมคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราเป็นเพียงแค่ผู้ดูเฉยๆ มันก็รู้สึกเย็นมากขึ้นอีก ผมพยายามจับที่ลมหายใจเข้าออก มันก็อึดอับ แต่ถ้าไม่จับมันก็จะหลับไป ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อครับ วานผู้รู้ช่วยแนะนำต่อด้วยครับ อนุโมทนาล่วงหน้าด้วยนะครับ
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............. เมื่อหายใจเข้ายาว ก็ รู้สึกตัวทั่วถึงว่าหายใจเข้ายาว...เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าหายใจออกยาว...เมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าหายใจออกสั้น..:cool:
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ........... แยก รู้....คิด......อยาก(ตัณหา)...ให้ออกก่อน..... จะได้เลือก แต่ "รู้" มา "รู้".....:cool:
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อันนี้แหละ แจ่ม

    อันนี้ เขาเรียกว่า วิจัยธรรมได้ นะ ดังนั้น ให้ยกตัวนี้มาพิจารณา

    ให้เอา ภูมิความรู้นี้ เป็น สมุติฐาน ภาษาสมัยใหม่คือ ปักหมุด แต่
    หากเราใช้ ภาษาพระไตรปิฏก ก็คือ ยกขึ้นเป็น"ความรู้"

    ต้องยกเป็น "ความรู้" ยกเป็น "ความรู้" ได้ เพราะ เราปฏิบัติแล้ว
    เข้ามาเห็น

    เห็นผิด เห็นถูก ไม่ใช่เรื่องที่จะมาแยกแยะ เพราะมันก็
    คือ "ธรรม" ที่เรากำลังสดับ แล้ว ได้ยิน ( เห็นด้วยตัวเอง )

    ทีนี้ "ความรู้" ใดก็ตาม แม้แต่จะเป็น "องค์ปัญญา" ก็ตาม ท่านก็
    ให้ดูว่า มันไม่เที่ยง ต้องเข้าไปเห็นความไม่เที่ยง อย่าไปยึดว่าเป็นเรา

    ก็จะเห็นว่า คุณ ปรารภออกมาก็จริง แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่า เรารู้
    อยู่แค่นั้น รู้ไปมากกว่านั้นไม่ได้ หากเรายึดว่า ความรู้นั้นของเรา
    มันจะติดเลย สังเกตสิ มันจะหนึบ ไม่หลุดจากมือ ไม่หลุดจากความ
    คำนึง ไม่หลุดจากดำริ

    พอดำริ ปั๊ป พวกกิเลสมารมันจะสบช่อง เอามาเป่าหู จนเราหลง
    ว่า เราเป็น พอเชื่อมันนะ ก็ ท้อแท้

    แต่พอเรากำลังยก "ความรู้" ว่าเราภาวนาแล้วปัก ภาวนาแล้วจ้องก่อน
    ภาวนาแล้วเพ่งไปก่อน นี่จะเห็นเลยว่า เรากำลังแล่นไปสร้าง "ดำริ"
    หรือ "ทิฏฐิ" ซึ่งต่อไป มารจะสบช่องเอามายัดใส่มือ แต่ถ้าเราเห็น
    ว่าเรา "ดำริ" แต่เรา ยกให้ห่างๆ ยกเป็น "ความรู้" เป็น ภูมิธรรม
    ไปเสีย แล้วตามดูมันเกิดดับ คราวนี้ มารสะดุ้งเลย มารมันอายเลยนะ
    ที่มันจะคว้า เอาความคิดนั้น มาปรักปรำนักภาวนาไม่ได้อีก

    พอมันหลุด คราวนี้ คุณถึงจะพอเห็นว่า เราไปยึด "ความรู้" มันก็
    เลยติด แต่ถ้า ตามดูความไม่เที่ยงเนืองๆ ซะ ไม่ว่าจะเป็น ภูมิปัญญา
    ตัวไหนก็ตาม มันก็จะไปต่อได้ เห็นทางที่ใช่ เข้าไปเรื่อยๆ

    อย่าไปกลัวว่า ไปดูความไม่เที่ยง เห็นการดับขององค์ธรรมที่เป็นปัญญา
    แล้วจะไม่เหลืออะไรติดมือ "ปัญญา" มันคนละตัวกับ "วิชชา"

    ปัญญานั้น มันคาบเกี่ยวระหว่าง โลกๆ กับ โลกุตระ ดังนั้น ท่าน
    จึงให้พิจารณา ปัญญาใดๆ ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตนเสีย จะ
    ทำให้เห็นสิ่งที่ยิ่งกว่า

    เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว จะไม่หายไปง่ายๆจนกว่าจะหมดความจำเป็น จะอยู่
    ซึ่งท่านก็นิยามใหม่ว่า มี "วิชชา"

    ก็ค่อยๆทำไปนะ อย่ามัวแต่ เล่น ตัดแต้ม ให้แต้ม มันจะทำให้ การปฏิบัติ
    ที่มาถูกทางอยู่แล้ว ไปเผลอว่า เกิดการผิดพลาดหลงทาง

    คนปฏิบัตินะ ถ้าลงมือปฏิบัติ แล้ว ใครครวญพิจารณา ไม่เอาแต่ ความ
    สงบ หรือ อภิญญา เราก็จะวิจัยธรรมได้ เรียกว่า เอามาใช้งาน หรือ
    มารื้อค้นได้ เพื่อเล็งความไม่เที่ยง ยกขึ้นใช้ไตรลักษณ์ฟาดลงไปนั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...