ช่วยด้วยครับ ผมมีปัญหาเวลานั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย peppay, 11 พฤษภาคม 2007.

  1. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    2. จักระระหว่างคิ้ว (ตาที่สาม) ไว้เพื่อทรงจิตก็ดีเหมือนกัน
    เป็นหนึ่งในสามจุดที่นิยม (ตาที่สาม, อก, เหนือสะดือสามนิ้ว)
    จุดนี้ฝึกเพื่อเปิดตาที่สาม (ทิพยจักขุขึ้นไป ถึงตาที่ห้า คือ พุทธจักขุ)
    และใช้เป็นทางออกของการถอดจิตก็ได้
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    3. จักระที่คอ ไม่นิยมฝึกนัก ไว้พัก และย้ายไปสู่จักระอื่นๆ เวลาฝึก
    วิชชาธรรมจักร ผมใช้หมุนลมปราณรอบคอเหมือนกำลังหมุนห่วง
    เท่านั้นเอง ไม่ก็เป็นทางผ่านขึ้นลงก่อนไปสู่จักระอื่นๆ เพราะเวลา
    กำหนดจิตตรงนี้จะถึงถึงน้ำลาย คอเหนียวหนืดและของกิน เลย
    ไม่ค่อยมีสมาธิ
     
  3. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    4. อก เป็นจุดที่รวมพลังที่ใหญ่ที่สุด เวลาฝึกจะรู้สึกพลังอัดแน่นตรงนี้
    มากเป็นพิเศษ ให้ใช้จุดนี้เป็นสูนย์กลางพลังปราณ เพื่อถ่ายขึ้นและลง
    ร่างกายส่วนบนและล่าง จุดนี้ หมุนพลังปราณแบบวิชชาธรรมจักรไม่สะดวก
    (สำหรับผมที่ทดลองดูเอง) แต่ให้กำหนดเป็นจุดปั๊มพลัง ตามจังหวะหัวใจเต้น
    ตุ้บ หนึ่ง ก็ส่งแรงลงล่างทีหนึ่ง อีกตุ้บหนึ่งก็ส่งแรงขึ้นบนอีกทีหนึ่ง
    ให้จินตนาการ เหมือนจักรวาลสองอัน อันบนเหมือนจักระแบนๆ บนหัว
    อันล่างเหมือนจักรแบนๆ ตรงท้องน้อย แล้วใช้อก เป็นจุดกลางเหมือน
    ยอดของปายกรวย ที่เอาปลายมาจิ้มกันตรงอก แล้วส่งแรงจากอก
    ทีละตุ้บ หมุนจีกรบนหัว และในท้อง จะทำให้ปราณตื่นตัวหมุนเร็วมาก
    ปกติจะหมุนไขว้กัน เวียนซ้ายกับขวา ระหว่างอันบนและอันล่าง
    เช่น จักรบนเวียนขวา จักรล่างเวียนซ้าย เวลาได้ยินคลื่นพลัง
    ให้กำหนดจิตว่าคลื่นเสียงอยู่ที่อก

    หรือใช้วิธี ส่งจากตาที่สามมาอก แล้วไปต่ออีกก็ได้
     
  4. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ฝึกไล่ปราณจากจักระบนลงล่าง ล่างขึ้นบนให้คล่อง ให้รู้สึกถึงคลื่นพลัง
    ปราณไห้ได้ มากก็รู้ น้อยก็รู้ เย็นก็รู้ ร้อนก็รู้ มีลักษณะแบบไหนก็รู้

    เมื่อไล่คล่องหมุนวนดีแล้ว ให้ไล่จากอกไปแขนบาง ท้องไปแขนบ้าง
    จนสุดปลายแขน นอนลงแล้วถ่ายออกปลายเท้าบ้าง ขึ้นหัวบ้าง
    ให้ครบทุกส่วนของร่างกาย

    เมื่อลมปราณระเบิดตัวเองออกครั้งแรกจะมีอาการต่างกัน บางท่านรู้สึก
    เหมือนมีระเบิดในตัว ตีขึ้นหัวแล้วเจ็บเหมือนเข็มมากมายทิ่มหัว จนจักระที่เจ็ด
    เปิดออก บางท่านก็ระเบิดจนตัวหมุนติ้ว

    สำหรับผมระเบิดออกแล้วถ่ายไปได้ทัน มันดันร่างกายไปเอง
    หากพลังยังไม่หมด คั่งอยู่ในตัวจะอันตราย จะตีออกมาเมื่อไร
    ก็ได้ แล้วจะเกิดการควบคุมร่างกายลำบาก ให้สลัดพลังปราณ
    ออกปลายฝ่ามือเหมือนซัดพลังทางฝ่ามือให้หมดพลังก็หมดเอง
    ไม่เหลือค้างในตัว ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น


    หรืออีกวิธีถ่ายออกปายนิ้วก็ได้ บางท่านก็ถ่ายออกที่กลางฝ่ามือ
    บางท่านถ่ายออกได้ ดึงเข้าได้ ตามจิตกำหนด


    ลองฝึกดูเอา แล้วแต่วาสนา เวลาจะได้มันได้เอง เมื่อไม่ถึงเวลาได้
    ทำยังไงก็ไม่คืบหน้า ได้แต่อบรมพละห้าไว้เท่านั้น...
     
  5. SoulMaster

    SoulMaster Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +93
    จงเชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฝึกแล้วมีผลเป็นอย่างไร
    มีปรากฎการณ์ทางสรีระร่างกาย แบบเดียวกับที่มีกับข้าพเจ้าหรือไม่ ฝึกแล้วสามารถเหาะ หรือเคลื่อนย้ายมวลสาร หรือสามารถขจัดอาสวะได้หรือไม่
    ใครเป็นปรมาจารย์ อยากพบ อยากรู้จัก
    คืออยากให้เขาเห็นของจริงว่า จักระ จักรอะไรนะไม่มีในมนุษย์ อะไรคือ กายในกาย อะไรคือธรรมในธรรม อธิบายหน่อย ไม่รู้เรื่องจริงๆขอรับ
     
  7. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    555

    ฮ่าฮ่าฮ่า ลุงเพี้ยนเอ๋ย ไหนบอกว่ารู้ทุกเรื่องไง อภินิหารมากไง ไยเจ้าไม่รู้ซะดื้อๆ
    ที่ผ่านมายอมรับมาเถอะว่าโม้
    ฮ่าฮ่าฮ่า
    แล้วอย่ามาก่อกวนชาวบ้านเขาอีกนะ
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    น่าอนาถใจนัก น่าอนาถใจนัก เป็นเอาหนัก อาการหนักมากมาก ไม่มีความอาย ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ
    เหมือนประหนึ่ง อ่านภาษาไทยได้ แต่ไม่รู้ความหมายของภาษา ไม่รู้บริบทของภาษา เพ้อเจ้อไปเหมือนคนมีปมด้อย เหมือนเป็นบ้า
    น่าอนาถใจนัก น่าอนาถใจนัก มันอ่านอย่างไร ถึงได้เข้าใจว่าข้าพเจ้าเข้ามาก่อกวน
    กลับไปลงนรกเหมือนเดิมเถอะนะคุณสัตว์โลก iofeast
     
  9. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ok ok ไม่ได้ก่อกวนก็ไม่ก็กวน
    แต่เห็นรู้ทุกเรื่องนี่ เป็นพระศร๊ ไม่ใช่เหรอครับ
    ฮ่าฮ่าฮ่า ยอมรับมาเถอะ ว่าที่ผ่านมาขี้โม้ ไปเรื่อย
    กลับไปอยู่ห้องที่เขาจัดไว้สำหรับลุงเถอะ
    ลุงขี้โม้ telwada ท่าจะบ๊อง


     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    แล้วเอ็งเคยเห็นตัวจริงของข้าฯแล้วหรือยังละที่ว่าข้าฯโม้นะ
    เพ้อเจ้อตามเคยนะคุณ
    แล้วในทางที่เป็นความจริง เอ็งคิดบ้างไหมว่า มีใครในโลกนี้รู้อะไรอะไรทุกเรื่อง
    ที่รู้ก็รู้ซิ ที่ไม่รู้ก็ถามซิ ถามคนที่รู้ ที่เราไม่รู้ก็จะได้รู้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสมองสติปัญญา กรรมพันธุ์ หรือถ้าจะกล่าวอย่างภาษาโบราณหน่อย ก็เรียกว่า มันขึ้นอยู่กับ โคตรพ่อโคตรแม่ของเอ็ง และของข้าฯด้วยว่า มีสมองสติปัญญาดีไหม ถ้ามีเชื้อสายมาดี ความจำ ความคิด ปัญญาก็ย่อมดี แต่ถ้าโคตรพ่อโคตรแม่ของเอ็งปัญญาต่ำ ความคิดอ่านต่ำ ความจำก็ย่อมต่ำ เอ็งเกิดมาสมองสติปัญญา ความจำ ความคิดก็ย่อมต่ำตาม เพราะเอ็งเอาสมองไปใช้ในทางที่ผิด เช่นเอาสมองไปใช้คิดก่อกวนผู้อื่น อ่านภาษาไทยที่เขาเขียนไว้แล้ว ดันกลับคิดไปในอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นการคิดในทางที่ทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ไม่มีสติคือระลึกได้ ว่า ภาษาไทยที่เขาเขียนนั้น มีความหมายตามบริบทของภาษาอย่างไร
    ก็เลยคิดใส่ร้ายให้กับตัวเอง คิดไปว่าเขาเขียนด่าบ้าง ฯลฯ อย่างเอ็งนะไม่มีสติหรือมีรู้จักระลึกได้
    แถมยังไม่มีสัมปชัญญะ คือไม่รู้สึกตัว ว่าตัวเองนะเขลาเบาปัญญา นะคุณ
     
  11. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    แล้วในทางที่เป็นจริง ผู้ที่บอกว่าเป็น"พระศรีฯ" มีฤทธิ์สามารถทำลายคนเกือบทั้งโลกมั่ง ทำให้เหลือศาสนาเดียวได้มั่ง ใยเจ้ายังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกหรือครับลุง
    ก็ยอมรับมาเลยว่าลุงน่ะโม้มาตลอดแอบอ้างอีกตะหาก
    ก็ลุงชอบโอ้อวด ผมก็เลยสนใจลุงเป็นพิเศษ เผื่อเป็นจริงอย่างที่ลุงพูดก็จะได้ขอศึกษากับลุงสักหน่อย
    แต่นอกจากจะแสดงภาษาดอกไม้แล้ว ก็ไม่เห็นจะแสดงอะไรที่บ่งบอกถึงสิ่งที่ตัวเองประกาศไว้เลย(โดนแหย่ปุ๊ปก็เบรคแตกทันที)
    เรื่องกรรมพันธุ์ที่ลุงบอกผมไม่เชื่อหรอก เพราะผมมั่นใจว่า พี่ชายอาลุง กับ พี่สาวน้าลุงเนี่ย สติปัญญาและความฉลาดต้องดีกว่าลุงหลายเท่าแน่ๆ
    แล้วสติยังหมายถึงรู้ทันตามความเป็นจริงอีกด้วยครับคุณลุง
    ถ้าเป็นสติ ป่ำป่ำ เป๋อเป๋อ แบบที่ลุงเที่ยวพูดเที่ยวประกาศ ผมก็ยอมรับว่า ผมไม่มีครับ
    ผมว่าเราอย่ามาเถียงกันตรงนี้ ที่ซึ่งคนอื่นเขาแสวงหาทางบุญทางกุศลกันเลย
    ถ้าคุณลุงมีปัณหาก็ไปเถียงที่อื่นอย่างเช่นกระทู้ของลุงที่ห้องวิทดีกว่า ไม่รบกวนคนอื่นด้วยครับคุณลุง


     
  12. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    จากวิสัชนาของคุณเทวดา ดังนี้

    ๑ ฝึกแล้วมีผลเป็นอย่างไร

    วิสัชนา

    ฝึกแล้วได้สมาธิ มีความสุขในความสงบสงัด เพิ่มพละห้าคือ ศรัทธา, วิริยะ
    สติ, สมาธิ, ปัญญา อันว่า "สุขแห่งความสงบ คือ เหตุใกล้แห่งนิพพาน" และ
    สุขใดเหนือความสงบไม่มี ดังนี้ การฝึกแนวนี้ พึงให้ผู้ฝึกได้เหตุใกล้ ได้สุขง่ายๆ
    ที่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับกามคุณห้า และกิเลสต่างๆ เป็นเบื้องต้น เมื่อจิตเริ่ม
    อิ่มเต็มในสุขจะคลายจากกิเลสได้ เมื่อแจ้งในสรพสิ่งว่าคือ ไตรลักษณ์
    นอกจากทางธรรมแล้ว การฝึกวิชาธรรมจักรช่วยทางร่างกายด้วย คือ สุขภาพดี

    ๒ มีปรากฎการณ์ทางสรีระร่างกาย แบบเดียวกับที่มีกับข้าพเจ้าหรือไม่ ฝึกแล้วสามารถเหาะ หรือเคลื่อนย้ายมวลสาร หรือสามารถขจัดอาสวะได้หรือไม่

    ปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งทางร่างกายและนอกร่างกายล้วนเป็นธรรม คือ
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การที่บุคคลจะฝึกได้ถึงขั้นใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเขา
    จะมีพละห้ากล้าแกร่งเท่าใด ผลการฝึกที่เคยทราบมา ก็มีการพ้นจากความตาย
    ของผู้ป่วยเอดส์ ที่นอนใกล้ตาย พ่อครูได้ให้มาใช้สมาธิแนวนี้ เขาสามารถ
    ลุกขึ้น เข้าสมาธิหมุน แล้วน้ำหนองไหลกระเด็น ระยะต่อมาแผลแห้ง
    แล้วลุกขึ้นเดินได้ มีชีวิตอยู่ต่อได้ โดยไม่ใช้ยา แต่ต้องฝึกตลอด ส่วนประสบ
    การณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง ไม่อาจเหาะได้ ได้เพียงความรู้สึกที่ตัวเบามาก
    เดินเหมือนจะหลุดลอยจากพื้น บางทีเหมือนไม่ได้ออกแรงเดินแต่ก็ไปเอง
    (ช่วงที่ฝึกหนัก) แต่ไม่เคยเหาะได้ในชาตินี้ อันนี้ ก็เป็นอาการของผู้ฝึกวิชชา
    ธรรมจักรอย่างหนึ่งเช่นกัน

    ๓ ใครเป็นปรมาจารย์ อยากพบ อยากรู้จัก

    วิชาธรรมจักรมีบันทึกว่าค้นพบเมื่อท่านอัญาโกญทัญญะได้ฟังพระธรรมแห่ง
    องค์สมเด็จพระศาสดาโลกนาถเจ้า ในปัจุบัน ท่านสามารถฝึกได้ที่ดอยเกิ้ง
    (ถ้าจำไม่ผิด) พระอาจารย์รัตน์ ท่านได้สำเร็จวิชานี้ ส่วนครูของข้าพเจ้า
    ชื่อ พ่อครูบัญชา ตั้งวงค์ไชย อยู่ที่จังหวัด อุบลราชธานี ส่วนวิชชาที่ข้าพเจ้า
    เผยแพร่นี้ ไม่ได้มาจากคำสอนของครู มาจากการที่ข้าพเจ้าได้ในขณะเข้า
    วิชชาแล้วระลึกชาติ ฟื้นวิชชาในอดีตชาติ อาจยังไม่ได้รับการรองรับ ซึ่ง
    ข้าพเจ้าใช้ฝึกเป็นการส่วนตัวของข้าพเจ้า พบว่าได้ผลดี ไม่มีอันตราย

    ๔ คืออยากให้เขาเห็นของจริงว่า จักระ จักรอะไรนะไม่มีในมนุษย์

    จักระ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ หากยึดก็ไม่มีจริง หากไม่ยึดก็สามารถมีได้จริง
    จิตเป็นผู้กำหนดเองทั้งสิ้น เหมือนกำหนดเอาสีต่างๆ เป็นอารมณ์ในการเจริญ
    กสิณ ดังนี้ มันเป็นเพียงกุศโลบายในการฝึกจิตเท่านั้น ผลแห่งการฝึกจิต ผู้
    ฝึกย่อมได้รับเอง แต่เขาไม่นิยมยึด "มรรค" เพราะปล่อยวางแล้วตั้งแต่ต้นทาง

    ๕ อะไรคือ กายในกาย

    พระพุทธองค์ทรงให้พิจารณา "อศุภะ" เป็น กายในกาย ตามหลักสติปัฏฐาน
    คือ เห็น เอ็น, ขน, ผม, เล็บ, น้ำเลือด, น้ำหนอง มารวมกันเป็นตัว แล้ว
    วันหนึ่งก็แยกสลายออก คือ อนิจจัง ดังนี้ ไม่มีอะไรในกายในกาย หากจะหา
    แต่มีธรรมแห่งกายในกาย สำหรับผู้ไม่ยึด ไม่ไขว่คว้าหา ส่วน กายในกาย
    ในวิชชาอื่นๆ ก็มีวิธีพิจารณาต่างๆ กันไป เช่น วิชชาธรรมกาย ต้องพิจารณา
    กายทิพย์ ไม่ใช่ กายเนื้อ แบบนี้ ส่วนวิชาธรรมจักร ดูเวทนาในกาย เป็น
    ลมปราณที่เคลื่อนอยู่ในกาย

    ๖ อะไรคือธรรมในธรรม

    ธรรมแท้ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำใดแทนได้ แม้นบอกว่านิพพาน ก็ไม่ใช่ธรรม
    แท้ บอกว่าเต๋า ก็ไม่ใช่เต๋าแท้ เพราะอะไรหรือ? เพราะสมมุติบัญัติ คำศัพท์
    ต่างๆ บนโลกมนุษย์นี้ เกิดขึ้นจาก "อวิชา" คือ ความไม่แจ้งในธรรมทั้งสิ้น
    เป็นความจริงชั่วขณะ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักอนิจจัง คือ จริงแล้วเดี๋ยวเปลี่ยน
    ดังนี้ การพิจารณาธรรมในธรรม คือ การแกะเปลือกธรรม ที่ใช้คำสมมุติบัญัติ
    เพื่อดูแก่นธรรมข้างในคำศัพท์นั้นๆ คือ วิมุติธรรม

    ------------------------------------------------
    อนึ่ง ผมและคุณเทวดาเราเคยได้คุยกันทางโทรศัพท์
    จริงๆ คุณเป็นคนขี้อายออก ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรนี่นา

    * *
    V
     
  13. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    1.คุณเทวดาหมายถึงพวกถอดจิตไม่ได้แล้วคิดว่าถอดได้ใช่ไหมคับ
    2.หรือว่ารวมทุกคนที่ถอดได้จริงด้วยคับ
    ถ้าคิดอย่าง แรก ก็โอเค แต่ถ้าคิดอย่างที่ สอง ด้วย
    ก็เสียแรงที่ตั้งชื่อตัวว่า เทวดา นะคับ
    หลักทางจิตเวชไม่สามารถใช้พิสูจน์หรือรับรองอะไรได้ทุกอย่างหรอกนะคับ
    แม้แต่ผู้ป่วยด้านอื่นๆ ที่อาการหายเป็นปกติ จากที่แพทย์สรุปแล้วว่าไม่รอด
    โดยที่แพทย์เองก็งง หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้ เหตุการณ์อย่างนี้ก็มีไม่ใช่น้อยนะคับ
    คำว่าจิตเวช ใช้อ้างอิงบางเรื่องได้แต่ไม่ได้เป็นคำตอบของทุกเรื่องเสมอไป

    คนจริงที่ทำได้จริงแต่ไม่เคยอวดอ้างตนข่มผู้อื่นเลย แถมมีแต่ให้กำลังใจผู้อื่นในการปฏิบัติด้วย นับถือจริงๆคับ พี่ชา
     
  14. Nothingness11

    Nothingness11 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +37
    เอ่อ... ไม่คิดว่าจะมีการเถียงกันขนาดนี้ในเว็บบอร์ดเลยนะคะ ค่อยๆคุยกันดีกว่ามั้ยค่ะ แล้วก้อขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ฝึกสำเร็จนะคะ อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยแต่ก้อขอให้พยายามค่ะ คำอธิบายข้างต้นนั้นดีมากทีเดียว ขอพยายามไปพร้อมๆกันด้วยคนนะคะ
     
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ขอบคุณ คุณสัปเหร่อที่ได้ตอบคำถาม
    พอได้กระจ่าง ขึ้นมาบ้าง แต่คุณต้องนึกถึงหลักความจริงทางสรีระร่างกายของมนุษย์ว่า
    มนุษย์จะมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้นั้น ต้องอาศํยปัจจัย หรือสิ่งประกอบที่สำคัญ 5 ประการดังต่อไปนี้
    1. อาหาร
    2. อากาศ
    3. ออกกำลังกาย
    4. อารมณ์
    5. พักผ่อนให้เพียงพอ
    ทั้ง 5 ปัจจัยนี้ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้มนุษย์หรือผู้ที่ปฏิบัติตาม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บได้ในระดับหนึ่ง
    การฝึกสมาธิ ย่อมให้ส่งผลหรือมีผล หรือบังเกิดผล ต่อสภาพสภาวะอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ อย่างนี้เป็นต้น
    การจะขจัดกิเลส หรือกามคุณทั้งหลาย ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ เป็นเครื่องช่วย หรือเป็นปัจจัยที่สำคัญในอันที่จะขจัด กามคุณและกิเลส จะขจัดได้มากได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ได้กล่าวไป สมาธิ เป็นเพียงรากฐานหรือเป็นเพียงพื้นฐานที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากเรามีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเองอยู่แล้ว
    สมาธิ ไม่สามารถรักษาอาการอย่างที่คุณกล่าวมา แต่เป็นความรู้ ความเข้าใจ ของผู้ป่วย จึงทำให้เขาเกิดพลังใจ พลังงาน อันเกิดจากต่อมไร้ท่อในร่างกายได้ขับสารออกมากระตุ้นให้หัวใจมีการสูบฉีดโลหิตที่ดี แลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้น ประกอบการการได้รับยาตามเวลา ตามขนาด และตัวเขาก็รัปประทานยานั้นได้ผล คือถูกกับยา นี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
    ส่วนคำถามอื่นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ตอบเอง เป็นกระทู้ใหม่ชื่อ"ธรรมะพื้นฐาน สำหรับบุคคลทั่วไป"แล้ว และเป็นคำตอบที่ถูกต้องกว่าที่คุณตอบ หรือที่คุณเข้าใจเอาเอง
    ส่วนเรื่องอสุภะ กรรมฐาน จะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอบอกให้พวกคุณรู้เอาไว้ว่า พวกคุณ กำลังหลงอยู่ความคิดที่ผิดๆ

    ส่วนคุณจักรราศี คุณควรรู้ไว้ว่า คำว่า วิชา จิตเวชนั้น แท้ที่จริงแล้วมีต้นตอมาจากศาสนา ไม่ต้องบอกนะว่าศาสนาไหน
    มนุษย์ไม่สามารถถอดจิตได้ เพราะพวกเขาจะไม่รู้วิธีถอดจิตอย่างเด็ดขาดและแน่นอน เพราะการถอดจิตนั้น จะต้องมีวิชาการและความรู้มากมายในการถอดจิต เพราะคำว่าถอดจิตแท้ที่จริงหมายถึงการแยกวิญญาณ บางส่วนออกไปจากร่างกายของเรา
    วิชา จิตเวช ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ของหลักวิชาการทั้งหลาย ย่อมใช้ได้เฉพาะเรื่องอยู่แล้ว
    แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ว่ากันตามหลัก จิตเวช คือ พวกคุณ ไม่รู้จักระบบหัวใจและความคิดของพวกคุณดีพอ ถ้าจะกล่าวแบบตรงๆ ก็คือ พวกคุณเป็นโรคจิตประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ร้ายแรงต่อผู้อื่น แต่อาจเป็นอันตรายต่อต้วคุณ ฉะนี้
     
  16. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    เอาเข้าไป อยากจะกรี๊ดดังๆๆ
    ไอ้คนที่เป็นโรคจิต+ขี้โม้ กลับว่าคนอื่นเป็นโรคจิตประสาท แปลกแต่จริง
    ลุงเพี้ยนเอ๋ย จะว่าคนอื่นหลงกับความคิดที่ผิดๆ ก็บอกมาซิว่า ผิดยังไง ตรงไหน
     
  17. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เรื่องของคุณชาแปลกดีครับ

    ผมก็เคยได้ยินเขาเล่ากรณีแปลกๆมาเหมือนกัน เป็นเรื่องของเจ้าอาวาสวัดถ้ำพระโพธิสัตว์ จ.สระบุรี (ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว) เห็นว่าตอนที่ท่านอาพาธไม่สบายนั้น มีนางพยาบาลเข้าไปขอเจาะเลือดเพื่อเอาไปตรวจ ผลปรากฎว่า "ท่านไม่มีเลือด" ครับ!!! ผมก็ไม่แน่ใจว่าไม่มีเลือดในกรณีนี้ที่ผมฟังคนอื่นเล่ามาอีกทีนั้นหมายถึง ในตัวท่านไม่มีเลือดเลย หรือว่าเฉพาะตอนที่เอาเข็มฉีดยาดูดเลือดออกมาจากเส้นเลือดแล้วไม่ปรากฎว่ามีเลือดออกมาน่ะครับ ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องนี้หรือทราบข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ก็ช่วยเข้ามาเล่าให้ฟังจะมีประโยชน์มากเลยครับ
     
  18. พุทธธรรมจักร

    พุทธธรรมจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +159
    สวัสดี ครับ...บังเอิญ..จริง...ๆ..ที่..กลับเข้าสู่การถาม...ตอบ...และเจอการฝึกที่คล้ายๆกับตัวเองเข้า...แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า..อย่าพึ่งเชื่อ...โปรดใช้วิจารณญาณ ด้วยครับ..หรืออ่านเล่นก็แล้วกัน..เท่าที่ฝึกและรู้มา อาการเสียวที่ตรงกึ่งกลางคิ้วถ้าฝึกแล้วมันจะไม่หาย...ครับ...ถ้านึกปุ๊บมันก็มาปั๊บ.....ผมว่ามันเป็นการวางจิต......ของเรา..ไว้ตรงไหนมันก็อยู่อย่างนั้น..ว่า..ณ...ตรงจุดไหน..ตามที่เราได้วางจิตไว้...ผมฝึกวางจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วก็หลายปี....ต่อมาก็ย้ายไปฝึกวางจิต ณ จุดอื่น (ก็ลองไปวางหลายที่เหมือนกัน คือผมฝึกแบบเพ่งรูปนิมิตนะครับ) อาการตอนแรกก็ไปๆมาๆทั่งสองจุด อยู่ที่เราวางจิตเป็นหนึ่งเดียวหรือเปล่า ณ จุดนั้นๆ ไม่มีอันตรายหรอกครับ รวมระยะฝึกของผมก็น่าจะนับสิบปีได้อยู่...ยังไม่ตายครับ.....ยังหายใจสบายอยู่แม้จะฝืดบ้าง...เวลาเป็นหวัด..คัดจมูก น้ำมูกไหล วกกลับเข้ามาครับ ถ้าเราไม่สนใจมัน ทำสมาธิอยู่อย่างนั้น...ตามตำราว่าไว้ เป็นการฝึกถอดจิต ครับ จิตจะหลุดออกจากร่างครับ (ถ้าไม่ตื่นตกใจ...หรือกลัวตาย...ต้องกล้าหาษสักหน่อยครับ) มันเป็นการเพ่งละครับ คุณลอง(ลองดูนะครับ) ทำใจให้สบาย คลายอารมณ์ ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งสิ้น ฝึกวางไว้ตรงไหนก็ได้ตามที่คุณเห็นว่าเหมาะตรงกับจริตคุณ (สำคัญอยู่ที่อย่าวางไว้นอกตัว) จุดอื่นที่เกิดขึ้นไม่ว่าจุดไหน อย่าไปสนใจมันครับ เอาจุดเดียวที่เรากำหนดไว้เป็นพอ ถึงแม้จุดอื่นจะชัดเจนกว่าที่เราตั้งไว้ก็ตาม(ไม่ว่าคุณจะฝึกแบบฝึกนิมิตหรือกสิณก็ตาม) อาจจะใช้เวลาสักหน่อยหรือว่ารวดเร็ว ตามกำลังบุญใครบุญมันล่ะครับ พอนานวันไป ...เอาจิตวางไว้จุดไหน..มันก็ไปอยู่จุดนั้น...ไม่ว่าจักระใดๆ..ตำแหน่งไหนไปได้หมด...(ที่สำคัญถ้ายังไม่ค่อยเข้มแข็งหรือกำลังจิตกล้าแข็งพอ อย่าส่งออกนอก...ไปเพ่งหรือไปยุ่งเรื่องอื่นหรือคนอื่น...ให้ใช้สติปัฏฐานสี่ควบคู่ด้วยจะเป็นการดี)...ผมว่าวางจิตไว้ตรงศูนย์กลางกาย เหนือสะดือ 2 นิ้วเป็นดีที่สุด คือการใช้งานหรือเข้าทำนองพลังจิตก็อาจเป็นได้...เวลาเพ่งออกตรงจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วมันแรงก็จริง...แต่ถ้าคุณใช้วิธีแผ่กระแสจิตออก..อาจจะรู้สึกอย่างไงๆอยู่ แต่คุณตั้งไว้ตรงศูนย์กลางกายแล้วแผ่ ออกอาจรู้สึกว่ามันง่าย...แล้วก็เบาสบาย..กว่ากันเยอะเลยก็ ..อาจจะเป็นได้ครับ....(ลองศึกษาจากตำรับตำราหรือครูบาอาจารย์เพิ่มนะครับ....บางอย่างมันเป็นอจินไตยครับไม่สามารถอธิบายได้เนื่องจากผมภูมิความรู้ไม่เพียงพอ)....ถ้ารู้สึกงง..หรือฟุ้งซ่าน...ไม่สงบระงับ..ก็ลองกลับมากำหนดใช้อานาปานุสติกรรมฐานดูนะครับก็อาจช่วยให้สงบ ระงับ ร่มเย็นได้..ให้ดีขึ้นครับ....อย่างไรแล้วก็แนะนำให้ไปฝึกสมาธิ....ในแนวของกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนะครับ..+ แนวสติปัฏฐานสูตรอีกหนึ่ง น่าจะดีกว่าไปฝึกในรูปแบบอื่น.....อาจจะเพิ่มระยะเวลาไม่ใช่เสียเวลานะครับ(สำหรับการดำรง..อยู่ในวัฏฏสงสาร)..เพราะถ้าเป็นสมาธิแล้วดีเหมือนกันหมด..แต่.....ปฏิบัติตรงแนวคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่าครับ.....ผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ที่ นี้ด้วย สุข สมหวัง จง มี แก่ ท่าน ทุกคนเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...