"ร่างใหม่ของบุคคลสำคัญ" ไม่ได้มีแต่ทิเบต พวกฝรั่งก็เชื่อและหากันครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 1 เมษายน 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ที่ทิเบตมีความเชื่อกันว่าเมื่ออาจารย์คนสำคัญละสังขาร
    ไปแล้ว จะมี "ส่วนหนึ่ง" ของท่านที่จะไปเกิดใหม่เป็นคน
    และทำหน้าที่สืบต่อกิจที่คั่งค้างของท่าน ที่เรียกว่าการหา
    ร่างใหม่ของอาจารย์หรือ "ตุลกู" นั่นเอง


    สำหรับฝรั่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเชื่อแบบนี้นะครับ ตรงข้าม
    เขาเชื่อมากเสียด้วย เช่น เชื่อว่าเมื่อไมเคิลฯ ตายแล้ว จะมี
    "สังขารที่รับช่วงต่อแทน" หรือได้รับอะไรบางอย่างไปแล้ว
    จะสามารถโด่งดังได้ ประสบความสำเร็จสูง เมื่อหาได้แล้ว
    จะได้ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนมาก กับคนที่ไม่ใช่ เรียกว่าแม่นยำ
    และมีความเสี่ยงในการลงทุนปั้นนักร้องใหม่ น้อยครับ


    ฝรั่งเชื่อมากเลยนะครับ ไม่ใช่เล่นๆ เขาเชื่อกันจริงๆ ในระดับ
    สูง ถ้ายังไม่ถึงระดับสูง (ทางโลก) ก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ครับ
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    การแยกทางกันของจิตวิญญาณภาคสว่างและมืด จนเกิดเป็นตุลกู


    พระลามะที่บำเพ็ญบารมี, ปฏิบัติธรรม ได้มรรคผลมาก จะมีจิตวิญญาณ
    อย่างน้อยสองดวง ดวงแรกคือ "ธรรมกาย" ได้ธรรมแล้ว เมื่อตายลงจะ
    จุติ ณ สุขาวดีสวรรค์เป็น "ตัวตนภาคสว่าง" คอยส่องนำทางดวงจิตอื่น
    ดวงจิตที่สอง เป็นจิตชั้นต่ำที่ใช้เชื่อมประสานคนที่อยู่ระดับล่างลงไปใน
    ครั้งยังมีชีวิตอยู่ สองดวงจิตจะอยู่ในสังขารเดียวกัน โดยดวงจิตที่สองนี้
    ก็คือ "กายที่สอง" หรือที่เรียกว่า "นิรมาณกาย" บางท่านเป็นเทพนักษัตร
    บางท่านเป็นพรหมฤษี ก็มี ซึ่งดวงจิตที่สองนี้เองที่จะไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์
    เพื่อ "เอาธรรมกาย" ตามดวงจิตแรกไป และก่อเกิดเป็น "ตุลกู" หรือร่าง
    ใหม่ของอาจารย์ผู้บำเพ็ญธรรม เพื่อบำเพ็ญธรรมอีกครั้ง ให้สว่างไสวเช่น
    จิตวิญญาณดวงแรกที่หลุดพ้นไปสู่สุขาวดีแล้ว แถมยังมีบารมีฉุดช่วยดวง
    จิตอื่นๆ ที่ตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์ ให้มาประสานอยู่ในร่างสังขารเดียวกัน
    เพื่อจะ "เดินตามรอยกัน" ร่วมบุญบารมีกันไว้ และกลายเป็นตุลกูคนต่อไป


    อนึ่ง ลามะที่มีบารมี, ฤทธิ์มาก สามารถถ่ายทอด "จิตวิญญาณ" เพื่อเกิด
    ในสังขารใหม่ "ได้แม้ยังไม่ละสังขาร" ด้วยซ้ำ ทั้งการถ่ายทอดสู่สังขาร
    ของคนที่ยังมีชีวิต ก็ได้, ถ่ายทอดสู่ครรภ์ของหญิงมีครรภ์ ก็ได้ ฯลฯ
    ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ตายก่อนจึงจะเกิดตุลกู (เรื่องนี้ ไม่มีใน
    ตำราของทิเบต เป็นประสบการณ์โดยตรงของข้าพเจ้าเองครับ)
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "จิตวิญญาณมืดที่มีฤทธิ์มาก" จะจรจากสังขารเก่า ไปสู่สังขารใหม่?


    คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกอย่างสูงในปัจจุบัน ล้วนมี "โปเกม่อน" หรือ
    "จิตวิญญาณที่มีฤทธิ์มาก" คอยหนุนนำส่งเสริมอยู่ทั้งสิ้น ไม่มีใครไม่มีแล้วจึง
    จะประสบความสำเร็จทางโลกขนาดนั้นได้ ต้องใช้ "พลังพิเศษของพวกเขา"
    จึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้ ขอเรียกเป็นภาษาวัยรุ่นว่า "โปเกม่อน" ก็
    แล้วกัน (เด็กรุ่นใหม่จะได้เข้าใจง่ายๆ) โปเกม่อนจะอยู่ร่วมกับสังขารมนุษย์และ
    ช่วยให้คนๆ นั้นประสบความสำเร็จ ทว่า โปเกม่อนสามารถย้ายสังขารได้ แม้ว่า
    สังขารนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ตาม ในบางท่านเมื่อโปเกม่อนจากไปแล้ว ไม่
    นานก็จะ "ตาย" เพราะไม่มีอะไรคุ้มครองป้องกันตัว (บวกกับสวาปามบุญไปมาก
    แล้ว มีแต่เจ้ากรรมนายเวรมารอทวงหนี้) ดังนั้น การดูโปเกม่อนว่าอยู่ที่ใคร ใคร
    ได้รับ "สืบทอดวิญญาณทรงฤทธิ์" นั้นไป เป็นไสยศาสตร์โบราณของชาวผิวขาว
    ทีเดียว ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ เขาทำกันจริงจัง ยิ่งกว่าโรงเรียนสอนพ่อมดในหนังอีก
    เพราะว่าในหนัง มันมีแค่คนกลุ่มเล็กๆ แต่ตอนนี้มันแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้วครับ


    ปกติ โปเกม่อนจะจรจากสังขารไปก่อนคนตายไม่นานนัก แล้วหาร่างสังขารใหม่ที่
    "ดีกว่าเก่า" ไปเรื่อยๆ เพื่อ "อัพเกรดตัวเอง" และสร้างความมั่นคงในการดำรงอยู่
    ในโลกมนุษย์ให้ตัวเองต่อไป เพราะ "พวกเขาไม่มีรายชื่อจะได้เกิดเป็นมนุษย์เลย"
    จนกว่าจะมี "พระโพธิสัตว์มาโปรดและได้บุญบารมีจากการช่วยคุ้มครองท่าน" จึง
    จะมีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งก็มักไปคุ้มครองพระดีๆ แล้วเดินตามรอยท่าน ก็จะได้
    เกิดเป็น "ตุลกู" ของท่านนั้นๆ หรือก็คือ ร่างใหม่ที่เจริญตามรอยท่านนั้นๆ นั่นเอง
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เคลื่อนย้ายวิญญาณ-ชำระล้าง-หาร่างใหม่ สกัดวงจรการแพร่ระบาดของโลกมืด


    จิตวิญญาณมืด ที่อยู่นอกระบบสามภพ และไม่มีคิวเกิดเป็นมนุษย์ มีจำนวนมากมาย เมื่อ
    ก่อนพวกเขาอ่อนแอและต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่เมื่อมนุษย์ลุ่มหลง เช่น กราบไหว้
    ส่งพลังจิตไปผิดที่ พวกเขาก็อาศัยพลังจิตเหล่านั้น สะสมจนแก่กล้า และกลายสภาพเป็น
    "ปีศาจ" (จิตวิญญาณที่มีฤทธิ์มากถึงขั้นแปลงเป็นมนุษย์ได้) พวกเขาจึงค่อยๆ ขยายการ
    ครอบงำโลกมนุษย์ ครอบครองร่างสังขารมนุษย์ จากน้อยๆ ไปจนถึงวันนี้ โลกกำลังเป็น
    ของพวกเขาโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรต้องผ่านพวกเขาอนุมัติก่อนเช่น ถ้าคุณจะ
    ค้าขายสำเร็จได้ คุณก็ต้องยอมพวกเขา ไม่เช่นนั้น คุณก็ไปไม่รอด พวกเขามีมากและรอ
    เล่นงานคุณ ให้คุณก้มจำนนต่อพวกเขา (ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) และค่อยๆ บีบแล้ว
    กลืนกินเหล่ามนุษย์ ให้กลายสภาพเป็นพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาได้ครองร่างคนแล้ว
    เขาจะใช้ร่างนั้นเสวยสุขทางโลกอย่างเกินพอดี ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อร่างนั้นไม่ไหวแล้ว หมด
    บุญแล้ว ไม่มีอะไรจะให้ได้อีกแล้ว สนองกิเลสพวกเขาไม่ได้แล้ว พวกเขาก็จะทอดทิ้งร่าง
    นั้นไป ทำให้คนตายลงอย่างง่ายดายและกลายเป็นบริวารชั้นต่ำในโลกมืดของพวกเขาไป


    การ "เคลื่อนย้ายวิญญาณ" ของโปเกม่อน มาไว้ในผู้ทรงธรรมที่แท้จริง ที่ไม่หลงโลก
    อย่างแท้จริง เพื่อหยุดยั้งไม่ให้โปเกม่อนเข้าไปทำร้ายมนุษย์ ตัดวงจรอุบาทว์เสีย แล้วจึง
    "ชำระล้างจิตวิญญาณบาป" นั้น ให้ใสบริสุทธิ์ เพื่อถือกำเนิดใหม่พ้นไปจากการเป็นปีศาจ
    เมื่อจิตวิญญาณกำเนิดใหม่ ไม่ใช่ปีศาจ กลายเป็นเทพ ภาคสว่างแล้ว จะรับหน้าที่เป็นเทพ
    "คุ้มครองสังขาร" ให้แก่ผูบำเพ็ญบารมี-ปฏิบัติธรรมได้ เพื่อจะได้มีบุญบารมีพอเกิดเป็นคน
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "เทพคุ้มครองสังขาร" เป็นเพียงเทพระดับต้นที่จิตวิญญาณเกิดใหม่ ทำได้


    กิจของเทพมีมากมาย คณานับ แตกต่างกันไป ตามแต่ "บัญชาสวรรค์" ทว่า เมื่อมี
    จิตวิญญาณเกิดใหม่ จากจิตวิญญาณมืด ณ โลกมนุษย์ เขาไม่ได้เกิดบนสวรรค์ ยัง
    รับบัญชาสวรรค์โดยตรง ไม่ได้ ก็จะทำหน้าที่พื้นฐานของเทพก่อน คือ "คุ้มครอง"
    สังขารของผู้มีบุญบารมี, ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม เพื่อเอาบุญบารมีเป็นพื้นฐานไว้ก่อน
    ก็เมื่อเทพนั้นได้เกิดในสวรรค์ ได้เข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าปกครองสวรรค์นั้นๆ แล้ว จึงจะ
    รับกิจเฉพาะของตนได้ ตามความเหมาะสมประการต่างๆ แล้วแต่จะจัดสรรกันไป จึง
    ต้องเริ่มต้นจากคุ้มครองสังขารมนุษย์เพราะง่ายที่สุด และ "ซับซ้อนน้อยที่สุด" กว่า
    หน้าที่อื่นๆ นี่คือ การตอบคำถามข้องใจที่ว่าทำไมต้องเป็นเทพคุ้มครองร่างมนุษย์?
    เมื่อเกิดใหม่แล้ว (เมื่อพ้นจากความเป็นปีศาจแล้ว) ไม่ต่างจากเทพวานรที่คุ้มครอง
    พระถังซัมจั๋ง ก็เกิดจาก "ปีศาจลิง" มาก่อน เป็นปีศาจลิงที่ถูกพระยูไลปราบ แล้วกัก
    ไว้ที่ภูเขาแห่งหนึ่งนานแสนนาน เมื่อได้รับการปลดปล่อยออกมาจากการถูกกักขัง ก็
    ทำหน้าที่ดูแลพระถังซัมจั๋ง จนพ้นจากความเป็นปีศาจ สำเร็จเป็นเทพวานร ดังกล่าว


    อนึ่ง ยังมีกิจเทพอื่นๆ อีกมากมายที่จิตวิญญาณระดับล่างสามารถบำเพ็ญได้ เช่น ทูต
    สวรรค์ หรือเทพที่สื่อสารระหว่างโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ เพื่อบอกข่าวให้แก่มนุษย์
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "ตุลกู" คือ ผู้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ จากเทพคุ้มครองร่างบุคคลสำคัญ นั่นเอง


    ตุลกู มาจาก "เทพคุ้มครองร่างของผู้ทรงธรรม" ซึ่งเมื่อ จิตวิญญาณหลักของผู้ทรง
    ธรรมจรจากร่างแล้ว "จะไม่เกิดเป็นมนุษย์ทันที แต่จะจุติยังสุขาวดีสวรรค์" เพื่อเป็น
    ตัวตนภาคสว่างเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์คอยส่องนำทางจิตวิญญาณดวงต่อๆ ไป ดังนั้น จิต
    ที่ไปเกิดเป็นตุลกู จึงไม่ได้มาจากจิตหลัก แต่มาจากจิตรองหรือ "เทพคุ้มครองร่าง"
    ซึ่งมีบุญบารมีพร้อมจะได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว "เจริญรอยตามผู้ทรงธรรมคนเดิมนั้น"
    เอาความหลุดพ้นตามๆ กันไป หรือก็คือ "จิตวิญญาณที่ได้รับการชำระล้างบาปแล้ว
    พร้อมกำเนิดใหม่เป็นมนุษย์" นั่นเอง ทว่า ในพระลามะที่มีฤทธิ์และบารมีมาก ก็ไม่
    ต้องรอให้ละสังขารก่อน ก็ได้ สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณนั้นๆ ไปเกิดเป็นมนุษย์
    ก่อนที่ตนจะตาย ก็ได้ หรือถ่ายทอดให้สังขารมนุษย์ (เช่น ลูกศิษย์) โดยตรง ก็ได้
    เช่นกัน ดังนี้ "ตุลกู" จึงมีได้ทั้งที่เกิดใหม่เป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นลูกศิษย์รับช่วงต่อไป
    ทั้งที่เกิดหลังร่างเก่าตายแล้ว และทั้งที่เกิดล่วงหน้าโดยร่างเก่ายังไม่ตาย ก็ได้ ฯลฯ
    ทว่า ตุลกูในทิเบตจะไม่ใช้ในความหมายกว้างขนาดนี้ จะใช้เพียงความหมายเดียวก็
    คือ "ร่างใหม่ของอาจารย์ผูทรงธรรมที่เกิดหลังท่านตายแล้ว" เท่านั้นเอง (ทั้งที่จริง
    ตุลกู สามารถมีได้มากกว่ากรณีนี้ ดังที่กล่าวไว้แล้ว) การถ่ายทอดตุลกู ให้สังขารอื่น
    ทั้งที่ "ตนยังไม่ละสังขาร" นั้น เพราะอะไร เพราะสามารถ "กระจายงาน แจกจ่ายกิจ
    ภาระอันมากมายออกไปหลายสังขารได้ ภายในชาติเดียวกันนั่นเอง" พระลามะที่ทำ
    ได้เช่นนี้ จะอยู่เหนือชาติภพ, อยู่เหนือสังขาร, เหนือจิตวิญญาณ ฯลฯ ไม่ต้องรอให้
    ตายก่อน หรือมีสังขารใหม่เกิดขึ้นก่อน ก็สามารถทำกิจมากมายได้ในชาติเดียวกันนั้น
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "ตุลกู" ผู้สืบทอดธรรมของผู้ทรงธรรม มีหลายแบบ ดังนี้


    1. แบบเกิดใหม่หลังร่างเก่าตายลง : แบบนี้ พบทั่วไปที่ทิเบต
    ขอไม่อธิบายเพิ่มมากนัก (หาอ่านได้ในตำราคัมภีร์ของทิเบต)

    2. แบบเกิดใหม่ก่อนร่างเก่าตายลง : แบบนี้ พบได้น้อย เกิด
    เป็นมนุษย์คนใหม่ ก่อนที่ผู้ทรงธรรมผู้นั้นจะตาย เพราะท่านได้
    โปรดสำเร็จก่อนจะตาย และรับจิตวิญญาณดวงอื่นไปโปรดต่อ

    3. แบบเกิดใหม่ในสังขารลูกศิษย์ : แบบนี้ พบได้น้อยลงไปอีก
    คือ ผู้ทรงธรรมโปรดจิตวิญญาณดวงนั้นแล้ว ถ่ายทอดให้แก่ศิษย์
    ต่อไปเลย โดยไม่ต้องเกิดเป็นคน ลูกศิษย์ทำกิจรับช่วงต่อได้ทันที

    4. แบบเกิดใหม่ในสังขารเดิม : แบบนี้ พบได้น้อยมากอย่างยิ่ง
    คือ จิตวิญญาณหลักของผู้ทรงธรรม ได้ละจากสังขารไปก่อนจะ
    หมดอายุขัย แล้วจิตวิญญาณคุ้มครองร่างนั้น ได้อาศัยร่างเดิมใน
    การทำกิจรับช่วงต่อไปแทน โดยไม่ต้องเกิดใหม่ หรือหาร่างใหม่


    ทั้งสี่แบบนี้ ล้วนเป็น "ตุลกู" ทั้งสิ้น แต่ทางทิเบตจะหาเฉพาะแบบ
    แรกเท่านั้น อีกสามแบบหลังจะไม่นิยมหากัน (สามแบบหลังหายาก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2012
  8. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ร่างใหม่ ร่างเก่า มึน ชีวิตก็มีแค่ชีวิตเดียวจะเอาอะไรกันนักหนา
     
  9. teebusoh

    teebusoh Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +76
    น่าศึกษาหาความเข้าใจ ครับ
     
  10. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ถ่ายทอดเจตนารมณ์จากรุ่นสู่รุ่น...
     
  11. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828

    นั่นสินะ ชีวิตก็มีแค่ชีวิตเดียว
    จะทำกรรมอะไรกันนักหนา
    เดี๋ยวชีวิตเดียว ก็ใช้หนี้กรรม
    ไม่หมดหรอก ใช่ไหมครับ?
     
  12. DHAMMAPHOL

    DHAMMAPHOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,744
    ค่าพลัง:
    +2,105
    "ผมขออนุญาต ปูเสื่อ ติดตามนะครับ"
     
  13. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    การตามหาตุลกู (ร่างใหม่ของคนสำคัญ) สำคัญอย่างไร?


    สำคัญครับ ไม่เช่นนั้น พระลามะทิเบตคงไม่ทำกันมายาวนาน
    และฝรั่งคงไม่เสี่ยงลงทุนกับการปั้นดาราคนที่ไม่ใช่ เสี่ยงลง
    เงินกับคนที่ไม่ใช่ ไปทำไม ใช่ไหมครับ? คนที่มีจิตวิญญาณ
    ที่มีฤทธิ์มาก ก็มีความสามารถสูง ทำอะไรได้มาก ดังนั้น การ
    ตามหาตุลกู ก็เพื่อ "รับกิจที่สำคัญ" ที่คั่งค้างไว้ สานต่อให้จบ
    เช่น ท่านพุทธทาส ทำงานอะไรค้างไว้? อะไรที่ต้องแก้ไข?
    ท่านฤษีลิงดำ ทำอะไรค้างไว้? อะไรที่พลาดไปต้องรีบหยุด?


    สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทิเบตและฝรั่ง สืบทอดสิ่งสำคัญของ
    พวกเขาได้ (ในเป้าหมายชีวิตที่ต่างกัน แต่ใช้วิธีที่คล้ายกัน)
    และประเทศไทยละ? เราจะเรียนรู้วิธีการของเพื่อนบ้านต่าง
    ประเทศ เพื่อนำมาใช้ ปรับประยุกต์เพื่อพัฒนาประเทศเราใน
    ด้านต่างๆ ได้หรือไม่? คงตอบยาก เพราะภูมิปัญญาด้านนี้
    ของเรา ไม่มีมาแต่ต้น คงต้องเริ่มต้นศึกษาใหม่จากศูนย์กัน
     
  14. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "ผู้ได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์" ก็มีกิจสำคัญไม่ต่างจากตุลกู


    นอกจากตุลกู ผู้มีกิจสำคัญในการสืบสานต่อกิจเดิม ของร่างเก่าแล้ว
    ยังมี "ผู้ได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์" อีก เขาคือใคร? เขาก็คือคนที่
    สลายวิญญาณเก่า (ดับลง) แล้วเกิดใหม่โดยได้รับวิญญาณขันธ์หรือ
    กายทิพย์ระดับกายธรรม (ธรรมกาย) ของสิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบน ง่ายๆ
    ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. บำเพ็ญบารมียิ่งยวดจนวิญญาณเก่าสลายลง
    แล้วบารมีนั้นสอดคล้องกับ "โพธิสัตว์องค์หนึ่ง" พอดี เขาก็จะได้รับ
    พระวิญญาณศักดิสิทธิ์ (กายทิพย์) ของพระโพธิสัตว์องค์นั้น แล้วเกิด
    ใหม่ (ครอบขันธ์เก่า สังขารเดิม) นาย ก. จะเปลี่ยนไป เหมือนคนใหม่
    เกิดใหม่ ทำตัวดี และมีธรรมสูง ทั้งยังได้อิทธิฤทธิ์โดยไม่ต้องฝึกเลย
    เพียงแค่ "กระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน" ให้ตื่นตัวเท่านั้น (โดยวิธี
    แบบตันตระจะเร็วมาก) เขาก็พร้อมทำหน้าที่ที่สำคัญได้ทันที เสมือน
    เป็น "ตัวแทน" ของพระโพธิสัตว์องค์นั้น ที่มีสังขารอยู่บนโลกมนุษย์
    ในทางคริสตรศาสนา บาทหลวงที่มีญาณสูงจริงๆ จะสามารถตามหา
    หรือดูออกได้ว่า "ผู้ใดได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์แล้ว" และสามารถ
    นำเขามาทำหน้าที่ที่สำคัญได้อีกด้วย (แต่ปัจจุบัน ไม่ทราบว่ายังมีมา
    ตามหาหรือสนับสนุนผู้ที่ได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์กันอยู่อีกหรือไม่?)
     
  15. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ตุลกูที่บำเพ็ญบารมีสำเร็จเท่านั้นที่จะได้รับ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์"


    ตุลกู ไม่ใช่ว่าจะสำเร็จธรรม และได้รับการยอมรับกันทุกคน ในทิเบตมีตุลกู
    มากมาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ดีตามรอยสังขารเก่า เพราะมาจากจิตที่ยัง
    ไม่มีธรรม จำต้องบำเพ็ญบารมีจนกว่าจะมีบารมีธรรม (ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า
    ตุลกู ไม่ใช่จิตวิญญาณหลักๆ ของผู้ทรงธรรมจะจุติสุขาวดี แต่จิตวิญญาณ
    รองหรือเทพคุ้มครองสังขารจึงไปเกิดเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าตุลกู นั่นเอง) ก็
    เมื่อบำเพ็ญบารมียิ่งยวดแล้ว จนวิญญาณเก่าดับสลายลง ก็จะได้รับวิญญาณ
    ขันธ์จาก "ตัวตนภาคสว่าง" หรือ "สิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบน" เมื่อนั้นตุลกูจึงจะ
    มีความสามารถและมีบารมีธรรมพอ เทียบเท่าหรือไม่น้อยกว่าสังขารเก่าได้
    ดังนั้น ไม่ใช่ว่าตุลกูทุกคนจะประสบความสำเร็จ ก็ต่อเมื่อบำเพ็ญบารมีจนได้
    รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์ เท่านั้น จึงสามารถมีบารมีธรรม พอทำกิจต่อไปได้


    ดังนั้น การตามหาตุลกู ก็ยังไม่ใช่ที่สุด ยังต้องเคี่ยวเข็ญให้ตุลกูบำเพ็ญบารมี
    จนกว่าจะสำเร็จธรรม จึงจะสามารถทำหน้าที่ ที่สำคัญสืบต่อไปได้ ดังกล่าว
     
  16. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    เมื่อได้รับ "พระวิญญาณศักดิสิทธิ์จากท่านใด" ก็เหมือนท่านนั้นเกิดใหม่อีกครั้ง?


    บุคคลที่สร้างคุณงามความดี หรือสร้างบารมีไว้จนกลายเป็นตำนาน ก็ดี, เป็นอดีตไปแล้ว
    ก็ดี ท่านจะละสังขารแล้วไปอยู่บนสวรรค์ ท่านสามารถสำเร็จมโนมยิทธิและถอดกายทิพย์
    ลงมาครอบขันธ์ให้มนุษย์ได้ เพื่อจะได้เจริญรอยตามท่านนั้นๆ ด้วยวิธีง่ายๆ และไม่ต้องมี
    การพูดสื่อสารผ่านภพกัน เพราะวิญญาณศักดิสิทธิ์ย่อมทำหน้าที่ตามธรรมชาติไปเอง เช่น
    ถ้า นาย ก. ได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์ของ "พระยาพิชัยดาบหัก" ก็สามารถทำหน้าที่ได้
    ไม่ต่างจากท่านจริงๆ และเหมือนกันเป็นท่านจริงๆ ฟื้นคืนชีพจากอดีต, จากตำนาน มาอยู่
    ณ เวลาปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งยังมีวิบากกรรมไม่ต่างกันอีกด้วย (เพราะวิญญาณนั้น ครอบอยู่)
    ดังนั้น ผู้ที่สร้างคุณงามความดีไว้ในอดีตทั้งหลาย สามารถถ่ายทอดพระวิญญาณศักดิสิทธิ์
    นี้ มายังคนปัจจุบันได้มากมาย (เท่าที่คนจะรับได้) และคนปัจจุบัน ก็สามารถสร้างความดี
    ได้ดังคนในอดีตนั้น "ตามๆ กันไป" คือ เจริญรอยตามคุณงามความดี กันไป นั้นเอง ทั้งนี้
    ผู้ที่ได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็น "เจ้าตัวจริงๆ ก็ได้" เช่น ผู้ที่ได้รับฯ จาก
    พระถังซัมจั๋ง ไม่จำเป็นต้องเป็นท่านจริงๆ เพียงแต่บำเพ็ญบารมีมาพร้อมเหมาะสมที่จะเดิน
    ตามรอยท่านได้ ก็เท่านั้น เช่น พระศรีอาริยเมตตรัย อาจแบ่งภาคส่วนเล็กๆ มาเป็นเทพอสูร
    แล้วเกิดเป็นมนุษย์ จากนั้นรับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์ของพระกษิติครรภ์ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง
    เดินตามรอยตัวเองทุกชาติไป (ควรจะได้เรียนรู้อย่างอื่น แบบอื่น อย่างแนวทางคนอื่นบ้าง)


    อนึ่ง เมื่อเราได้รับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์จากท่านใด แล้วเจริญรอยตามท่านใด เราก็จะเป็น
    "เทพองค์แทน" ของท่านนั้นๆ คือ มีท่านเป็นองค์ปฐม ส่วนเราจะเป็นองค์ลำดับที่เท่าไรก็
    แล้วแต่บารมีจะบำเพ็ญได้ เช่น เทพสยามเทวาธิราชก็มีตั้งแต่องค์ปฐม เรียงลำดับมากมาย
    ถ้าเราได้ไปต่อคิว ก็แล้วแต่ว่าบารมีเราจะได้เท่าไร ก็ได้ลำดับเท่านั้น จะไม่ใช่เทพองค์ใหม่
    (เพราะไม่ได้บำเพ็ญบารมีในแบบของตัวเอง เป็นการใช้พระวิญญาณศักดิสิทธิ์ของท่านอื่น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 เมษายน 2012
  17. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    "จิตคนเราไม่ต่างกัน" เพียงรับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์คุณก็เป็นศรีอาร์ฯ ได้!


    จิตของคนเราไม่ต่างกัน มีแต่เพียง "จิตประภัสสร" เท่านั้น ไม่ต่างกัน ไม่มีอื่นเลย
    แต่ที่ต่างกันก็เพียง "วิญญาณขันธ์ที่ปรุงแต่งจิต ให้เกิดดับในแต่ละชาติภพเท่านั้น"
    ดังนั้น เมื่อบุคคลใดก็แล้วแต่ที่บำเพ็ญบารมี จนวิญญาณสลายแล้วได้รับวิญญาณ
    ขันธ์ของพระศรีอาร์ฯ ก็จะกลายเป็นพระศรีอาร์ฯ อีกองค์หนึ่งได้ ทว่า แม้คนเราจะ
    ได้วิญญาณขันธ์เหมือนกัน, ต้นทุนทางบุญกรรมเหมือนกัน นั่นก็ใช่ว่าคนเราจะมีที่
    สุดแห่งปลายทางการบำเพ็ญเหมือนกัน ก็หาไม่ เพราะอะไร? เพราะรายละเอียดใน
    การบำเพ็ญบารมี, การตีโจทย์, แก้โจทย์ของคนเรา มันต่างกัน ยังไงละครับ ดังนั้น
    ผลสุดท้าย จึงมีพระพุทธเจ้ามากมายสืบเนื่องต่อๆ กันมาเหมือนกันได้ ทว่า ยุคของ
    ท่าน ก็เสวยผลบุญกรรม "ต่างกันในรายละเอียด" นั่นเอง ดังนี้ ท่านทั้งหลาย ก็เป็น
    ดังพระศรีอาร์ฯ ได้ และเจริญรอยตามท่านได้ ด้วยการรับพระวิญญาณศักดิสิทธิ์นี้ ก็
    จะได้รับพลัง, บารมี, ธรรม และที่สำคัญคือ "โจทย์ในการบำเพ็ญบารมี" เหมือนกัน
    กับท่าน (ซึ่งท่านได้บำเพ็ญเพียรผ่านมาแล้วนั่นเอง) ดังนั้น จึงมีพระศรีอาร์ฯ ได้มาก
    มาย ไม่จำกัด เฉกเช่น มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมากมาย สืบเนื่องต่อไปไม่จำกัด นั่นเอง


    ทว่า คนเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระศรีอาร์ฯ ทุกคน บางคนก็เลือกที่จะรับพระวิญญาณ
    ศักดิสิทธิ์ของท่านอื่น เช่น พระกษิติครรภ์, พระสมันตภัทร เป็นต้น ซึ่งแต่ละท่านจะมี
    กิจ, มีบารมี, มีบุญกรรม, มีธรรม ที่แตกต่างกันในรายละเอียด แต่มีเป้าหมายเดียวกัน
     
  18. idontknowitwell

    idontknowitwell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +131
    ตันตระอีกแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2012
  19. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ทำนอง แบบ นี้ ใน เมือง ไทย ก่ มี ...

    กายทิพย์ เดิม ออกจาก (สลัด) กายหยาบ แต่ มี กายทิพย์ ใหม่ เข้า มา ทำ หน้าที่ แทน

    ยัง มี อะไร แปลก ๆ ใน เมือง ไทย อีก เยอะ ตั้ง แต่ หัว จรด ท้าย ... 55
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2012
  20. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    มี เยอะ มาก ใน สังคม ทั่ว ไป และ พวก ที่ ปฏิบัติธรรม ไม่ ได้ อยู่ ใน สาย กลาง (คิดว่า จะ เอา กิเลส ให้อยู่ หมัด 555 มัน ยอม ให้ รู้ สึุก โดน น๊อค
    แต่ หา รู้ ไม่ ถูก กลืน กิน ไป แล้ว) พวกนี้ จะมี ฌาน และกลายเป็น มาร หลัง จาก สิ้น กาย หยาบ ไป แล้ว เป็น บริวาร ของ พญามาร สำหรับ คน ทั่ว ไป ไม่ มี พลัง (หรือ ไร้ประโยชน์หรือ ไม่ยินยอม แก่ พญามาร) ก่ ส่ง
    ไป ลง นรก ไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...