ชี้ทางผมที รู้สึกเห็นผลแห่งการปฏิบัติธรรม แต่... ทำเต็มที่ไม่ได้เนื่องจาก...

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Candlecry, 8 มิถุนายน 2012.

  1. Candlecry

    Candlecry สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +23
    เดิมทีผมเป็นไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ. และไม่ได้คิดว่าศาสนาที่ผมนับถือมาตั้งแต่เกิดไม่ดี เพียงแต่หลังจากลองปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และได้สัมผัสกับความสงบ เวลาเข้าวัด เวลาฟังพระสวด แล้วรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก.
    ประกอบกับเมื่อครั้งที่เคยไปร่วมงานอุปสมบทเพื่อน ที่ วัดป่าแห่งหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว แล้วรู้สึกถึงความสงบมาก จึงอยากลองสัมผัสดู และเมื่อได้ลองศึกษาดู และลองปฏิบัติธรรม แล้วมันได้ผลทั้งทางกายและจิตใจ ดังนี้.

    ทางกาย เมื่อก่อนผมนอนไม่หลับ และปวดหัวเวียนหัวบ่อย (น่าจะเป็นเพราะนอนไม่พอนั่นแหละ) จากหน้าที่การงานแน่นอน จึงลองนั่งสมาธิ พยายามอ่านจากเว็บนี้แหละ แล้วก็ลองกำหนดลมหายใจ และพยายามให้จิตว่าง ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อน
    ตอนนี้ วันไหนนอนไม่หลับจะลุกมานั่งสมาธิทันที ขับรถเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วรู้สึกเพลีย ก็จะนั่งสมาธิ ก่อนเดินทาง.
    ทางจิตใจ ผมเป็นคนใจร้อนมาก และเวลามีปัญหา จะพยายามใช้เงิน ในทางที่ผิดมาตลอด แต่มันก็ไม่ได้สบายใจขึ้นมาเลย. หลังจากลองฝึกสมาธิและใช้ข้อความในเว็บนี้ที่บอกว่า การให้อภัย คือการให้ทานที่ยิ่งใหญ่ และรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ผมจะพยายามคิดว่าเอาธรรมะแก้ปัญหา แก้ไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องของกรรมของเวรไป.

    หลังจากเห็นค่าของการปฏิบัติ ผมจึงอยากพยายามฝึกนั่งสมาธิให้สามารถเข้าถึงญาณได้อย่างท่านอื่นๆ เพื่อที่ผมอยากให้จิตใจสงบมากกว่านี้ แน่นอนการฝึกต้องมีครู ต้องมีศรัทธา แต่ศาสนาผมท่านไม่ได้สอนการฝึกสมาธิ (หรืออาจจะสอน แล้วผมไม่รู้จัก) ผมจึงอยากขอคำชี้แนะจากท่านผู้รู้ทีครับ.

    เนื่องจากผมลองฝึกสมาธิ แล้วถึงแค่ขั้นใจเบาหวิว ผมก็ต้องรีบเลิกครับเพราะผมกลัว... เนื่องจากสมัยเรียนมีรุ่นพี่(ศาสนาเดียวกันนี่แหละครับ) ผมเห็นเขานั่งสมาธิอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่พี่คนนี้แกเรียนเก่งมาก แล้ว มาวันหนึ่ง พี่แกเป็นบ้าไปเลยครับ ผมไม่รู้ว่าแกเจออะไร หรือแกอ่านหนังสือเรียนมากเกินไป เพราะตอนนั้น อยู่ในช่วงสอบด้วยด้วย.

    ส่วนตัวผมชอบและศรัทธาพระอาจารย์มั่น อ่านและศึกษาประวัติท่านแล้วรู้สึกศรัทธาอย่างบอกไม่ถูก. เพราะผมอยากสันโดษ และปล่อยวางได้อย่างท่าน อ่านเจอในขั้นตอนการฝึกจิตฝึกสมาธิ แล้วต้องมีการจุดธูปบูชาพระ และเวลาฝึกถ้าถึงขั้นที่ถอดจิต ต้องมีครูบาอาจารย์แนะนำ แล้วผมจะทำได้อย่างไรเมื่อข้อห้ามศาสนาผมคือห้ามกราบไหว้บูชาพระอื่น... แล้วถ้าผมจะบวชเลย ท่านผู้รู้สามารถแนะนำได้ไหม หรือผมต้องทำอย่างไร เพื่อให้สบายใจมากที่สุด

    ผมไม่ได้ต้องการทำเพื่ออวดอุตริ หรือทำแล้วต้องเหนือกว่าผู้อื่น แต่รู้สึกสบายใจมากๆ เวลาเดินเข้าเขตวัด จึงอยากทำอย่างจริงๆจังๆ หากมีสิ่งกีดขวางใดๆ ผมก็ยินดีตัด ยินดีเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้ตั้งมั่นในการปฏิบติอย่างไม่มีสิ่งค้างคาในจิตใจครับ

    เวลาไม่สบายใจหรือมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ผมชอบไปวัดแล้วนั่งมองพระพุทธรูป เลยทำให้อยากอยูในสถานที่แห่งนี้ไปตลอด ไม่อยากขับรถกลับ อยากเอาบัตร ATM หรือเงินทุกอย่าง ทิ้งไป อยากทำจริงๆครับ

    วันนี้ผมก็นอนไม่หลับ เลยมานั่งสมัครสมาชิก จากเมื่อก่อนเป็นแค่คนอ่าน วันนี้เลยขอประเดิมกระทู้แรกด้วยเรื่องที่คาใจ อยากถามที่คาใจมานานนี่แหละครับ
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ตอนนี้ นับถือศาสนาอะไรหละครับ ถ้าเปลี่ยนมานับถือพุทธแล้ว ก็กราบไหว้พระพุทธได้แล้วนี่
    ถ้าไม่ได้ ไม่เป็นไร พระอาจารย์ผม มีลูกศิษย์เป็นคริสต์ เหมือนกัน อิสลามก็เคยสอน

    การฝึกด้วยตัวเอง ไม่กราบไหว้ ก็ให้นึกถึงพระรัตนตรัย ทุกครั้งก่อนนั่งสมาธิ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็นึกว่า เรากำลังจะปฏิบัติธรรม ขอให้พระรัตนตรัย คุ้มครอง กายสังขาร และจิตของเรา

    การฝึกด้วยตัวเอง ให้ฝึกโดยการ ไม่ส่งจิตออกไปข้างนอก ให้จิตของเรา อยู่แต่เฉพาะภายในร่างกายของเราเท่านั้น ไม่นึกเรื่องอื่นที่อยู่นอกตัวเรา คำบริกรรม ก็ให้ใช้สภาวะที่อยู่ภายในร่างกายของเราเอง หรือใช้ พุทโธ ทำเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นบ้าไปได้

    เพราะธรรมะของพระพุทธองค์ คือการเข้าถึงสภาวะความจริงของโลก ของตัวเอง การเป็นบ้า คือการยึดถือมั่นในสิ่งที่ไม่จริง จนสลัดไม่หลุดออกจากใจ การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง จึงเป็นการเดินไปในทิศทางตรงข้ามกับการเป็นบ้า ครับ

    แต่การปฏิบัติกรรมฐาน ทางพุทธศาสนา นั้นมีสองอย่าง คือ สมถะ กับ วิปัสสนา
    สมถะ (meditation) คือการเพ่ง จ้อง ให้จิตเกิดอารมณ์เพียงอารมณ์เดียว แน่นิ่ง ไม่มีอกุศลจิตแทรกเข้ามา ทำให้จิตเกิดกำลัง แต่ไม่เกิดปัญญา ที่จะเบื่อในโลก และชาติภพ
    วิปัสสนา (insight meditation) คือการหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตของเรา ฝึกจิตของเรา ให้เห็นจริง ถึงสภาวะของโลก ที่มันไม่มีสิ่งใดเที่ยงเลย ทำให้จิตเบื่อในอกุศลต่างๆ และปล่อยวาง เรื่องต่างๆ ไปโดยอัตโนมัติได้ ทางนี้ คือทางในการทำให้ชาติภพของเราสิ้นสุดลงได้

    ลองหาข้อมูลดู หลายๆ แนวทาง ว่าการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา แนวทางไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง ผมแนะนำให้ลองหาข้อมูลเรื่อง สติปัฎฐาน 4 กับ สมาธิแบบเคลื่อนไหว ของหลวงพ่อเทียน ดูครับ
     
  3. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    พอปฏิบัติๆไป จะคิดว่าตนเองเป็นนั่นเป็นนี่

    พึงระลึกไว้เสมอๆว่า "อะไรๆไม่เที่ยง" ตรงนี้แหละ จะช่วยหักดิบอาการนั้นได้ เมื่อยังอยู่ในโลก

    เคยเห็นไหม บางคนคิดว่าตนเอง เข้าถึงความเป็นจิตที่เหนือความเป็นเพศ เดี๋ยวมันก็ครับ เดี๋ยวมันก็ค่ะ

    อยู่กับสมมุติ แต่เอาสมมุติมาหลอกตนเอง อีกทั้งผู้อื่น ต้องพิจารณาว่าจะแสดงอย่างไร
    เพื่อ โลกก็ไม่ช้ำ ธรรมก็ไม่ขุ่น

    ความจริงที่แสดงออกมาในโลก นั่นแหละ คือ ผู้มีใจเป็นศีล
    ไม่ใช่เดี๋ยวครับ เดี๋ยวค่ะ แล้วคิดว่าตนเอง เหนือความเป็นเพศ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย เป็นต้น
    เป็นแต๋ว เป็นทอม ล่ะยุ่งเลย อย่าไปคิดว่าโก้
    อันนี้อาการเบื้องต้นเลย จากนั้น จะออกอาการหนักกว่านี้ถ้าแก้ไม่หาย ในความจริงที่แสดงออกมาน่ะ

    ส่วนปฏิบัติแล้ว อยากจะได้ญาณนั่น ญาณนี่
    พึงระลึกไว้อีกเสมอว่า ความคิดตนเองมันแล่นไปก่อนแล้ว ต้องพิจารณาอีกที
    อะไรๆก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จับหลักตรงนี้ให้ได้ในความจริง
    คือไตรลักษณ์ จะเป็นเครื่องแก้อาการวิปลาส
    แต่อย่าไปจับไตรลักษณ์ มาหลอกอำพรางกิเลสล่ะ ต้องพิจารณาอีกที

    ไม่รู้ว่าเป็นคริสต์มาก่อนหรือป่าว หรืออะไร พระที่เป็นชาวฝรั่งเข้ามาบวชมาศึกษาในสายวัดป่าก็เยอะนะ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2012
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,882
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..ศรัทธากำลังเกิด..ประคองให้ดี อยากรู้อะไรรีบหามาอ่านก่อน หากอยากปฏิบัติเข้าเวป..หลวงตา.คอม
    ..อ่าน ฟัง เสียงหลวงตาก่อนเอาไว้เป็นต้นแบบ.. แล้วค่อยเอามาสอน พวกขี้โม้ในเวปอย่างผม อิอิอิ สาธุ ประคองอารมณ์นี้ให้เด็ดขาด ให้ดีครับ สรัทธาให้มั่นไว้ครับ.
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตามธรรมเนียม หากยังนับถือ ศาสนาอื่นอยู่ เราก็จะไม่สอนการปฏิบัติ
    อย่างมากก็สอนเรื่องศีล ฟังแล้วมันก็จะได้กลางๆ เวลาคุณเผลอเอาไป
    กล่าวกับคนในศาสนาคุณ มันก็กลางๆ เพราะ ศาสนาไหนก็เน้นการมีศีล

    และ เชื่อไหมว่า หากคุณนับถือศาสนาอื่นอยู่ ฟังธรรมให้ตายอย่างไร ปฏิบัติ
    ให้ข้ามฝากตายอย่างไร สิ่งที่คุณจะได้รับก็มีเพียง ศีล ความปรกติของใจ

    ดังนั้น

    ต้องรู้จักใช้สิ่งทีเรียกว่า บารมี10ทัศ ให้เป็น เพื่อที่จะได้มีกำลังไตร่ตรอง
    พิจารณาว่า จะอยู่ตรงไหนแน่

    เอาตอนนี้ คือ เนขขัมมะบารมี

    จากรูปการณ์ ท่าคุณจะมี เนขขัมบารมีมาดีพอประมาณ หมายถึง ในอดีตชาติเคยทิ้งทรัพย์
    สมบัติแล้วเข้าไปอยู่ลำพังในราวป่ามาแล้ว แล้วก็ตายไปขณะที่อยู่ในป่านั้น
    อย่างสงบดีอยู่ จึงทำให้ เวลาเจอการ "บวช" หรือ ประเพณีการถือบวช หรือ
    การเป็น สมณะ ทำให้จิตเกิดระลึกได้ใน รส แห่งความสงบที่เคยสัมผัสมาแล้ว

    แต่เนื่องจาก การออกไปอยู่ป่าดังกล่าว เอาเข้าจริงๆ เรา และ คุณ ก็ไม่ทราบต้น
    สายปลายเหตุ อาจจะเป็นการน้อยใจเมีย หรือ หนีทัพ แล้ววิ่งอ้าวเข้าป่าหาทาง
    ออกไม่ได้ก็เป็นได้ จึงไม่ควรเอามาเป็นสาระนักในรายละเอียด

    แต่ความมี เนขขัมบารมี นี่ เอามาใช้ประโยชน์ได้

    ใช้อย่างไร คงไม่ต้องถาม หากมีจริง ก็ใช้มันเลย!! แล้วจะพบว่า มันเป็น
    ส่วนที่ช่วยให้หลุดออกจากตาข่ายทิฏฐิแห่งศาสนาได้ไม่มากก็น้อย

    พอหลุดออกมาได้ การปฏิบัติจะเต็มผล

    สังเกตนะ คุณมาถามว่า ทำอย่างไรจะเต็มผล เห็นผล ไม่ใช่แค่ได้
    ความปรกติของใจ ก็เนี่ยะ ใช้เลย ต้นทุนพอมี คือ เนขขัมมะ เนขขัมมะ
    เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ
    เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ
    เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ เนขขัมมะ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2012
  7. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    อันกายเราตัวเรา ไซร้แล้วนั้นคือจิต
    นั้นนึกคิดนี้ก้อนเนื้อ หรือไฉน
    ไหว้ด้วยตัวไหว้ด้วยใจ ต่างตรงไหน
    ไหว้ด้วยใจนี้แน่ แท้ศรัทธา
    ไหว้ด้วยกาย แต่ใจกลับเตลิด
    นั่งไตร่ตรอง พินิจต่างตรงไหน

    ลองไตร่ตรองพินิจ ถ้าสมมุติวันหนึ่งเราแขนขาดเราจะยกแขนที่ไหนไหว้ พระคุณเจ้า มันมีแต่ใจเท่านั้นเอง มีใครๆท่านไหนเห็นด้วยก็ข้าพเจ้าไหมขอรับ จะนับถือศาสนาไหนก็นับถือทางเดียวถ้าตัดใจไม่ได้ เหมือน เวลาที่ท่านเดินทางไปไหนไม่สามารถที่จะเดินสองทางได้แน่นอน ย้ายมาก็ไม่ผิดหรอก ฤาษี บางองค์ก็ยอมละทิ้งทุกอย่างที่เคยได้ฝึกมาตามพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  8. Candlecry

    Candlecry สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +23
    อนุโมทนา ทางสว่างสำหรับทุกคำตอบครับ
    นี่แหละที่เขาเรียกว่าวาสนา เคยได้อ่านในนี้แหละที่ว่าไว้ว่า วาสนามีถึงจะได้ใส่บาตรกับพระที่มีบุญ
    ดังผมนี่แหละ ใจอยากบรรลุอยากปฏิบัติธรรมให้ได้ แต่ยังต้องรอ (ใช่ว่าจะหมดหนทางซักทีเดียว)
    ส่วนการเข้าญาณหรือนั้นผมเพียงแค่รู้สึกว่า เพียงการนั่งสมาธิแล้วมีผลดีขนาดนี้ จึงอยากให้ตัวเองปฏิบัติให้ได้มากกว่านี้นั้นเองครับ
    ส่วนการเข้าป่านั้น จริงๆแล้วไม่ได้มีพันธะครอบครัวเลยครับ ปัญหาทางบ้านนั้นมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีผลต่อผมหรอก
    เพียงแต่รู้สึกสงสารและเห็นใจคนในครอบครัวผมเท่านั้น ทำไมพวกเขาไม่ปล่อยวาง ผมก็เลยอยากทำเป็นตัวอย่าง แต่ไม่ใช่หนีเข้าป่านะครับ เพียงอยากละจริงๆ
    เห็นแนวทางการปฏิบัติของหลวงปู่มั่นแล้วศรัทธาจริงๆครับ ยิ่งอ่านประวัติท่านยิ่งซึ้ง

    แต่ถ้าเปลี่ยนศาสนาแล้วออกบวชจริงๆ ผมคงต้องรอให้ทางบ้านทุกคน เข้าใจและหรืออาจจะไม่มีใครในตอนนั้นว่ากล่าวผมได้

    ผมเคยไปเที่ยววัดทำบุญสังฆทานกับเพื่อนเมื่อนานมาแล้ว ไปโดยศรัทธา
    พอถึงตอนพระท่านพรมน้ำมนต์ ผมไม่รู้ว่าพระท่าน รู้ได้ยังไงว่าผมไม่ใช่พุทธ หลังจากพรมน้ำมนต์เสร็จท่านก็เรียกผมเข้าไปบอกว่า น้ำพระพุทธมนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์ หากโยมจะนับถือก็ให้นับถือจริงๆ หากไม่ใช่พระท่านจะได้ปลงอาบัติ
    ผมก็ยังไม่รู้ความหมายไม่แน่ใจคำตอบในใจ ผมจึงถามท่านไปว่าผมเป็นคริสต์ แต่ศรัทธาได้หรือไม่
    ท่านก็ตอบว่า ได้ แต่ถ้าจะให้พรมน้ำมนต์หรือเจิมหน้าผากนั้นพระจะอาบัติ ต้องเลี่ยง.
    นับแต่นั้นมา ผมไปบุญแต่แอบข้างเสาตลอด นี่แหละหนอ วาสนา.

    อีกเรื่องเกี่ยวกับวาสนา ในชีวิตทั้งชีวิต ผมก็ภูมิใจที่ได้เจอกับพระเกจิในปัจจุบันท่านนึง ได้พบแบบที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้สัมผัสกันซึ่งๆหน้า
    "หลวงปู่คำบุ" ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเปิดกิจการใหม่ๆ และผมก็หาข้อมูลเกี่ยวกับทำมาค้าขาย จึงได้รู้จัก รกแมว จึงได้ตั้งใจขับรถจากบ้านไปอำเภอพิบูลมังสาหาร ระยะทางหลายร้อยกิโล
    ระหว่างทางคิดไปตลอด ท่านเป็นพระดัง เราจะได้เห็นหน้าท่านไหมหนอ ขั้นตอนต้องทำยังไง ต้องไปติดต่อใคร คิดไปจนถึงวัด
    พอไปถึงวัดก็ยิ่งกังวลใหญ่ วันนั้นมีปลุกเสกพระ ลูกศิษย์ท่านมีมากมายจนล้นวัด มีทั้งมาเจิมรถใหม่ เจิมป้ายร้าน
    จนผมคิดท้อในใจ แต่ก็ไม่ล้มเลิกอยากเห็นหน้าท่าน ไปยืนรอที่กุฏิกลางน้ำตรงบันได
    ในตอนนั้นหลวงพี่ศิษย์หลานหลางปู่ก็เดินมาถามผมว่ามาทำอะไร ผมไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร ผมจึงบอกว่าผมเอารกแมวมาให้ปู่เป่าให้
    นั่นแหละ หลวงพี่ท่านก็พาผมเดินขึ้นกุฏิไปหาหลวงปู่เลย ผมงงไปเลย เกรงใจลูกศิษย์ท่านที่มารอก่อนผม ก็เกรงใจ แต่ทำไงได้ ขามันเดินตามหลวงพี่ไปจนถึงอาสนะหลวงปู่แล้วครับ หลวงปู่ท่านก็อายุมากแล้ว ท่านจึงบอกเอามาจะเป่าให้ แล้วท่านก็เป่ารกแมว ที่ผมถือมาจากบ้าน เป็นแมวที่บ้านเลี้ยงไว้ แล้ววันตกลูก มันก็คาบเอามาให้แม่ผม ครอกแรก แม่ผมไม่รู้ ท่านจึงเอาทิ้ง ครอกสองนี่แหละ ผมจึงบอกให้ท่านเก็บไว้ ผมเลยจัดการตากแดด 9 แดด วันพระเท่านั้น
    หลังจากหลวงปู่ท่านเป่าเสร็จ หลวงพี่ท่านก็ เอาไปทุบๆ แล้วบดยัดใส่ตะกรุด ได้มา 5 รก พร้อมคำหมากหลวงปู่ 5 คำ
    แล้วหลวงปู่ท่านก็นั่งรถเข็นไปนั่งปรกพระที่รอปลุกเสกต่อ ผมอย่างอึ้ง ขับรถกลับคุยกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน ต่างก็คิดเพียงว่า มันไม่ฟลุกแน่นอน ที่ไปถึงแล้วได้ปลุกเสกทันทีแถมได้ปลุกเสกกับหลวงปู่โดยตรง
    ทุกวันนี้เอารกแมวใส่กระเป๋าเงิน เงินไม่เคยขาดกระเป๋าจริงๆครับ ไม่ถึงกับล้น แต่ไม่เคยอดอยากกระเป๋าแห้งเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ
    ยิ่งทำให้ความศรัทธาผมมากขึ้น

    เคยฟังคลิปเสียงธรรม การบวชอยู่บ้าน ก็เป็นอีกแนวทางที่ผมพยายามปฏิบัติ แต่พอเวลาเพื่อนๆถามเวลาผมแสดงออกถึงการปฏิบัติธรรม เพื่อนๆมักจะล้อเสมอว่า เฮ้ย นับถือ... แล้วสวดได้ด้วย ไหว้พระได้ด้วยเหรอ
    ยอมรับครับว่ามันเป็นการท้าทายศรัทธาผมจริงๆ ผมก็ได้แต่ยิ้มแทนคำตอบผมออกไปเท่านั้น นี่แหละหนอวาสนานำพา. พวกเขามีโอกาสและสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้นำพา.
    มีรุ่นพี่ผมท่านนึง บวชเรียนมาก่อน ตอนนี้ท่านสึกแล้ว เพราะแม่ท่านป่วยหนักจึงได้สึกมาดูแลแม่(นี่คืออีกอย่างที่ผมเชื่อเรื่องวาสนา ถ้าไม่มีเหตุให้สึก พี่ท่านก็คงยังครองจีวรอยู่เป็นแน่) พี่ท่านเข้าญาณได้แล้ว ผมเชื่อเพราะท่านเล่าให้ผมฟัง ว่าท่านได้พบกับ บาทหลวงศาสนาผมนี่แหละ ท่านนั้นก็เจริญกรรมฐานเช่นกัน รุ่นพี่ผมอธิบายว่าท่านได้เจอกันในนิมิต โดยพี่แกได้อธิบายรูปร่างหน้าตา การแต่งตัวของบาทหลวงท่านนี้ (เป็นพระใหญ่ที่นับถือของศาสนาผมมาก)
    ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่ผมคงโม้ แต่พี่ผมอธิบายถึงหน้าตาและลักษณะได้ถูกหมดเลยยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าผมไม่โดดเดี่ยวในทางธรรมแน่นอน หากเดินทางไปหาบาทหลวงท่านนี้ก็เป็นไปไม่ได้เพราะห่างกันเกือบๆพันกิโล รวมไปถึงสถานที่พักที่พี่ผมอธิบายนั้นแม้แต่ผมยังไม่ใช่ว่าจะเดินเพ่นพ่านได้

    ผมจะตั้งใจฝึกตั้งใจปฏิบัติต่อไป โดยยึดพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งตามที่ทุกคำแนะนำท่านบอก ดังนั้น ณ ตอนนี้ ผมมีวาสนาทำได้เพียงเท่านี้ ผมคงไม่ฝืนวาสนา ภาวนาให้อนาคตผมมีบุญได้ปฏิบัติได้มากกว่านี้ ต้องมีวันนั้นแน่นอน.
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ต้องสังเกตนะ

    นักบวช นักพรต ฤาษี ชีไพร เขาก็ทำสมาธิเหมือนกัน หากทำได้แบบสุดๆ ก็จะ
    มี เทเลพอร์ท ตะแล๊บแก๊บ เหาะเหินเดินอากาส เดินบนน้ำ อะไรเหล่านี้ได้เหมือนๆ
    กัน แยกกันไม่ออกว่า ผลของสมาธิแบบนี้คือศาสนาไหน

    หากเราเอา สภาพผลของสมาธิเหล่านี้เป็น ตัวศาสนา ก็นั่นแหละ เวลาไปเรียน
    กับพระ ไปรับศีล รับพร รับน้ำมนต์พระ พระจะต้องปลงอาบัติ เพราะ ถือว่า นอกรีต

    ไปก้าวก่ายเขตบุญศาสนาอื่น ทำให้ พระผิดศีล ผิดวินัย

    ดังนั้น หากคุณยังคงมีศาสนาอื่นในใจ ทางศาสนาพุทธจะให้ได้ แค่ศีล สอนกัน
    เน้นกันได้แต่เรื่องศีล สอนเกินกว่านั้น คนสอนก็อาบัติ ผิดวินัย

    ก็เลย ต้องเน้นกันที่ เนขขัมมะก่อน ต้องมีเนขขัมมะก่อน ต้องมาเป็น เนขขัมมะก่อน

    เป็น เนขขัมมะ ไม่ใช่การบวช แต่ เป็นการมาถือครอง "ผ้าขาว" ตามทำเนียม
    รู้สึกจะต้อง 3 เดือน

    ภายใน 3 เดือนนี้ หากไม่ลำเลิก พระในศาสนาตนขึ้นมาเป็นใหญ่ มีคุณชาติวิเศษ
    ใดยกมาอ้าง หรือ เปรียบเทียบ ก็จะถือว่า เป็นคนในศาสนาพุทธได้

    เมื่อนั้น ก็จะได้รับการสอนได้มากกว่านั้น โดย คนสอนไม่ผิด !

    ******************

    ไม่ใช่ศาสนาพุทธกีดกัน หรือ หวงวิชานะ เราเกรงใจ คนในศาสนาอื่นหนะ เพราะ
    ส่วนใหญ่หากเข้ามาทางพุทธ มาลิ้มรอง การพัฒนาที่มี สติ สัมปชญญะ บริบูรณ์
    อีกทั้ง เป็นไทยแก่ตน พร้อมที่จะประกาศตนว่า "ตรัสรู้ธรรมได้เองโดยชอบ" เขา
    เหล่านั้นจะไม่ ย้อนกลับไปศาสนาเดิมอีก

    ตรงนี้ทำให้ คนในศาสนาอื่นบางที ช้ำใจตาย มันเป็นเวรกรรมเหมือนกัน

    เช่น ในสมัยพุทธกาล มีพระอาจารย์สัญชัยปริพาชก เป็นเจ้าลัทธิใหญ่ แต่พอ
    ลูกศิษย์ตนมาฟังธรรม ก็พากันทิ้งสำนักเดิมไปจนเกือบหมด แถมศิษยที่ไป
    จากตนก็เป็น เอทัคคะ อัคระสาวกซ้ายขวา เก่งสุดๆ เจ้าลัทธิก็เลยตรอม
    ใจตายไปเลย เวรกรรม

    ดังนั้น จะมา ก็ต้อง ลองบวชเนขขัมะ กันก่อน เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2012
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  12. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ถูกต้องตามนั้นครับ คริสตศาสนิกชนหลายๆ ท่าน อาจจะยังไม่รู้ ว่า ศาสนาคริสต์นั้น นักบวช ระดับสูงๆ มีการฝึกกรรมฐานด้วย แต่ไม่ได้เป็นวิปัสสนาสมบูรณ์เหมือนพุทธ ที่จะนำออกจากวัฏฏะได้ครับ
     
  13. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    สรณคมน์

    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค
    ภยเภรวสูตร ว่าด้วยสิ่งที่เป็นภัยและน่าหวาดกลัว
    หน้าต่างที่ ๓ / ๓.
    ความหมายของศัพท์ว่า อภิกกันตะ
    [๕๒] พราหมณ์ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว รู้สึกพอใจจึงได้กล่าวคำว่า อนุกมฺปิตรูปา ดังนี้เป็นต้น.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปิตรูปา แปลว่า เป็นชนิดที่พระโคดมผู้เจริญ อนุเคราะห์แล้ว คือเป็นผู้อันพระโคดมผู้เจริญเกื้อหนุนแล้วเป็นสภาพ.
    .
    .

    .



    สรณคมน์
    บัดนี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในสรณคมน์เหล่านั้นจึงควรทราบวิธีนี้ คือ
    สรณะ การถึงสรณะ ผู้ถึงสรณะ
    ประเภทแห่งการถึงสรณะ ผลแห่งการถึงสรณะ
    สังกิเลส (ความเศร้าหมอง) และเภทะ (ความหมดสภาพ).

    ถามว่า วิธีนี้มีความหมายเป็นอย่างไรบ้าง?

    ตอบว่า ควรทราบความหมายโดยความหมายเฉพาะบทก่อน.

    ที่ชื่อว่า สรณะ เพราะหมายความว่าเบียดเบียน.(คือเบียดเบียน ความทุกข์ : ผู้โพส)
    อธิบายว่า ย่อมกำจัด คือทำความกลัว ความหมายสะดุ้ง ความทุกข์ กิเลสที่เป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติของบุคคลผู้ถึงสรณะให้พินาศไปด้วยการถึงสรณะ นั้นแล.
    คำว่า สรณะนั่นเป็นชื่อเรียกพระรัตนตรัย.


    อีกอย่างหนึ่ง
    ที่ชื่อว่า พุทธะ เพราะหมายความว่า ขจัดซึ่งภัยของสัตว์ทั้งหลายโดยทำสัตว์ทั้งหลายให้เป็นไปในประโยชน์เกื้อกูล
    และถอยกลับจากสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์เกื้อกูล.

    ที่ชื่อว่า ธรรม เพราะทำสัตว์ทั้งหลายให้ช่วยข้ามพ้นจากกันดาร คือภพและเพราะให้ความเบาใจแก่สัตว์ทั้งหลาย.

    ที่ชื่อว่า สงฆ์ เพราะทำสักการะทั้งหลายแม้เป็นของน้อยค่าให้ได้รับผลอันไพบูลย์ เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยจึงชื่อว่า สรณะ โดยบรรยายนี้ด้วย.

    จิตตุปบาท (ความเกิดความคิดขึ้น) ที่มีกิเลสอันถูกขจัดแล้วด้วยความเป็นผู้เคารพเลื่อมใสในสรณะนั้น อันเป็นไปโดยอาการที่มีความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า ชื่อว่า สรณคมน์.

    สัตว์ผู้พรั่งพร้อมด้วยสรณคมน์นั้น ชื่อว่า ถึงสรณะ.
    อธิบายว่า ย่อมเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เหล่านี้ว่าเป็นสรณะ (ที่ระลึก ที่พึ่ง) ว่าเป็นปรายนะ (เครื่องนำทาง) ด้วยจิตตุปบาทมีประการดังกล่าวแล้ว.
    นักศึกษาพึงทราบ สรณะ การถึงสรณะ และผู้ถึงสรณะ ทั้ง ๓ อย่างนี้ก่อน.

    ประเภทแห่งการถึงสรณะ
    ส่วนในประเภทแห่งการถึงสรณะ (การถึงสรณะมีกี่ประเภท) พึงทราบอธิบายต่อไป.
    การถึงสรณะมี ๒ คือ การถึงสรณะที่เป็นโลกุตตระ ๑ การถึงสรณะที่เป็นโลกิยะ ๑.

    ในสองอย่างนั้น การถึงสรณะที่เป็นโลกุตตระของบุคคลผู้เห็นสัจจะแล้ว เมื่อว่าโดยอารมณ์ย่อมมีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อว่าโดยกิจย่อมสำเร็จได้ในพระรัตนตรัยแม้ทั้งสิ้น เพราะตัดขาดกิเลสที่เป็นเหตุขัดขวางการถึงสรณะได้ในขณะแห่งมรรค.

    (ส่วน) การถึงสรณะที่เป็นโลกิยะของปุถุชน เมื่อว่าโดยอารมณ์ ย่อมมีพระพุทธคุณเป็นต้นเป็นอารมณ์ สำเร็จได้ด้วยการข่มกิเลสที่เป็นเหตุขัดขวางการถึงสรณะไว้ได้.
    การถึงสรณะนั้น เมื่อว่าโดยความหมาย ได้แก่ การได้ศรัทธาในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น และสัมมาทิฏฐิที่มีศรัทธา (ในพระรัตนตรัยนั้น) เป็นพื้นฐานท่านเรียกว่า ทิฏฐุชุกรรม (การทำความเห็นให้ตรง) (ซึ่งอยู่) ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐.

    การถึงสรณะแบบนี้นั้นมีอยู่ ๔ อย่าง คือ (การถึง)
    ด้วยการมอบตน ๑
    ด้วยการมีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเครื่องนำทาง ๑
    ด้วยการยอมเป็นศิษย์ ๑
    ด้วยการถวายมือ (การประนมมือทำความเคารพ) ๑.

    ใน ๔ อย่างนั้น ที่ชื่อว่าการมอบตน ได้แก่การยอมสละตนแด่พระรัตนตรัยมี
    พระพุทธเจ้าเป็นต้น (ด้วยการกล่าว) อย่างนี้ว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป
    ข้าพเจ้าขอมอบตนถวายแด่ พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม และ แด่พระสงฆ์.

    ที่ชื่อว่าการมีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเครื่องนำทาง ได้แก่การที่มีพระรัตนตรัยนั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้า (ด้วยการพูด) อย่างนี้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้าขอมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ขอมีพระธรรมเป็นผู้นำทาง ขอมีพระสงฆ์เป็นผู้นำทาง.

    ที่ชื่อว่าการถวายมือ ได้แก่การทำความนอบน้อมอย่างสูงในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น (ด้วยการพูด) อย่างนี้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอท่านทั้งหลายจงจำ ข้าพจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้าขอทำการกราบไหว้ การลุกรับ การประนมมือ การทำความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น นั่นแล.

    ก็บุคคลเมื่อทำอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอาการทั้ง ๔ อย่างนี้ จัดว่าได้รับการถึงสรณะแล้วทีเดียว.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2021
  14. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    อย่าเอาคำว่า ศาสนา มาสร้างกรอบ กั้นตัวเอง เอาปัญญา มาดำเนินชีวิต ครับ
     
  15. Destinyman

    Destinyman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +224
    ผมก็รู้จักคนในศาสนาอื่นที่หันมาทางพุทธนะ รู้สึกว่าชื่นชมในตัวเขามากๆ เพราะว่าเขาจะใส่บาตร และสวดมนต์ไหว้พระทุกวันและเขาจะนับถือมาก ชนิดที่ชาวพุทธบางคนยังอายเลย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ละข้อปฏิบัติเดิมในศาสนาเขานะเช่นว่าห้ามกินอะไรบ้างเป็นต้น ขอเป็นกำลังใจให้คุณนะ และขออนุโมทนาอีกครั้งขอให้คุณเจริญในธรรมหมั่นปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
     
  16. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ถ้าครอบครัวไม่เป็นภาระ ก็ลองบวชดูสักพรรษาก็ได้ครับ เผื่อว่าจะตรงใจ
     
  17. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210

    นบีท่านกล่าวว่าพระเจ้าไม่ได้เกิดจากครรภ์มารดาหรือไม่ครับ
    เคลย์ในความหมายคือโคลน
    ในร่างกายมนุษย์โคลนไปอยู่ที่ไหนครับ

    อยู่ที่เราครับ
    เราคือผู้กำหนด
    หากมีกรรมจริงเราคือผู้แก้

    ด้วยปัญญานะครับผมไม่ได้บอกว่าสมอง

    ของเราเอง

    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  18. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    การหมดสภาพ และ ไม่หมดสภาพ ของ ผู้ถึงสรณคมน์

    [FONT=&quot](ขยายความเรื่อง เภทะ หรือ เภโท จาก โพสที่15 : ผู้โพส)
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    ในการถึงสรณะ ๒ อย่างนั้น[/FONT] [FONT=&quot]การถึงสรณะที่เป็นโลกิยะย่อมเศร้าหมองด้วยเหตุทั้งหลายมีความไม่รู้[/FONT] [FONT=&quot]
    ความสงสัยและความรู้[/FONT][FONT=&quot]ผิด[/FONT][FONT=&quot](ความเข้าใจ) เป็นต้นในพระรัตนตรัย[/FONT] [FONT=&quot]เป็นการถึงสรณะที่ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่กว้างไกลมาก.[/FONT]

    ([FONT=&quot]ส่วน) การถึงสรณะที่เป็นโลกุตตระไม่มีความเศร้าหมอง.[/FONT]
    [FONT=&quot]การถึงสรณะที่เป็นโลกิยะมีการหมดสภาพอยู่ ๒ อย่างคือ[/FONT]
    [FONT=&quot]การหมดสภาพ (เภโท) แบบมีโทษ ๑[/FONT]
    [FONT=&quot]การหมดสภาพแบบไม่มีโทษ ๑.[/FONT]

    [FONT=&quot]ในการหมดสภาพทั้งสองนั้น การหมดสภาพแบบมีโทษย่อมมีด้วยเหตุทั้งหลาย มีการมอบตนในศาสดาอื่นเป็นต้น การหมดสภาพแบบนั้นมีผลไม่น่าปรารถนา. การหมดสภาพแบบไม่มีโทษในเพราะการทำกาลกิริยา(กาลกิริยา = การเสียชีวิต : ผู้โพส) การหมดสภาพแบบนั้นไม่มีผลเพราะไม่มีวิบาก.[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่การถึงสรณะแบบโลกุตตระ[/FONT][FONT=&quot]ไม่มีการหมดสภาพเลย.[/FONT]
    [FONT=&quot]จริงอยู่ พระอริยสาวก (ตายแล้วไปเกิด) แม้ในภพอื่นก็จะไม่ยอมยกย่องคนอื่นว่าเป็นศาสดา (แทนพระพุทธเจ้า).[/FONT]
    [FONT=&quot]พึงทราบความเศร้าหมองและการหมดสภาพของการถึงสรณะดังพรรณนามาฉะนี้.[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2012
  19. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    สำหรับผมแล้วการกราบไหว้บูชานั้น ไม่จำเป็นหรอกครับ เพียงมีความเคารพ ศรัทธา แล้วแต่บุคคลจะกระทำครับ สมัยก่อนนั้น อินเดียแดง ก็กู่ร้องค้องป่าวเพื่อแสดงความเคารพและศรัทธาในเทพแห่งชนเผ่าของพวกเขา หากทำสิ่งใดแล้วใจสงบจงทำเสียเถอะครับ มิใช่ให้คุณละทิ้งศาสนาเดิมมาเพื่อเป็นพุทธศาสนิกชน หรือทำควบไปทั้ง2ศาสนา แต่อยากให้คุณปล่อยวางว่าศาสนา เป็นแค่สิ่งขวางกัน ธรรมะ คือ สิ่งที่วนเวียนอยู่รอบตัวเรา กรรม คือ การกระทำ กรรมก็มีแบ่งดีชั่ว ธรรมะ ก็เช่นกัน หากว่าท่านทำสิ่งใดแล้วรู้สึกมิสบายใจนั้นคือการทำร้ายตัวท่านเอง ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ไม่ต้องเบียดเบียนตน ก็ดียิ่งกว่าทำบุญแล้วหวังผล จะเจริญงอกงามใส่ลงไปใส่ลงไป
     
  20. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอบพระคุณในธรรมทานเป็นอย่างสูง

    ตามที่ sun dog เข้าใจ ศาสนาคริสต์เน้น
    - ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ประดุจเมตตาตนเอง (เมตตาบารมี ทานบารมี)
    - การสารภาพบาปที่ตนระลึกได้และสำนึกผิดแล้วว่าจะไม่กระทำอีก (สัจจะบารมี ศีลบารมี)

    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นธรรมชาติ ของ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    ตนจึงไม่นึกว่าศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนาพุทธแต่อย่างใด

    "ความสงบ" มักมาเมื่อเราเกิด "ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่"
    ในมุมมองเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า
    การภาวนาแบบพุทธานุสติ เป็นวิธีฝึกตนให้พอใจในพุทธคุณ อันมีอยู่แล้วในตัวเรา
    การภาวนาแบบอานาปาณสติ เป็นวิธีฝึกตนให้พอใจในลมหายใจ อันมีอยู่แล้วในตัวเรา
    การเจริญสติในกาย เป็นวิธีฝึกตนให้พอใจในอิริยาบถต่างๆทางกาย อันมีอยู่แล้วในตัวเรา
    การสวดมนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบพุทธหรือคริสต์ ตนมองว่าเป็นวิธีฝึกตนให้ได้สัมผัสและพึงพอใจในความเมตตาของพระพุทธเจ้าหรือพระบิดา/พระบุตร/พระจิต อันมีอยู่แล้วในตัวเรา

    หากเราพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่เช่นนี้แล้ว เราย่อมสงบ
    ไม่ว่าจะภาวนาแบบพุทธหรือแบบคริสต์จ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...