คุณตาผู้เกรียงไกร - เรื่องราวของคุณตาของผม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ืniranam2008, 15 มิถุนายน 2012.

  1. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    วันแรกของการเดินทาง

    การเดินทางเริ่มแล้ว..เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เณรน้อยกราบลาหลวงตา สะพายบาตรด้านซ้าย สะพายย่ามด้านขวา ภายในย่ามมีหยูกยาที่หลวงตาจัดไว้ให้ พร้อมด้วยมีดพกในซองหนังคร่ำคร่าอีก1 เล่ม ส่วนหลวงลุงมีกลดแบกไว้บนบ่าอีกอย่างหนึ่ง เมื่อพร้อมหลวงลุงก็บอกให้ออกเดินทางกันได้..

    ก่อนหลุดพ้นจากบริเวณวัด เณรน้อยหันกลับไปมองอีกครั้งก่อนจะตัดใจหันกายเดินตามหลวงลุงซึ่งเดินนำหน้าห่างออกไปทันที ออกจากวัดได้ไม่เท่าไร ก็เห็นเงาคนตะคุ่มอยู่ข้างทาง เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็รู้ทันทีว่าเป็นโยมพ่อ

    “พ่อเณรเอ๊ย แม่เจ้าตระเตรียมอาหารมาให้พ่อดักใส่บาตรให้ทันก่อนเจ้าออกเดินทาง แม่เจ้ามิกล้ามาใส่บาตรด้วย เกรงว่าจะร้องไห้ เดี๋ยวจะทำให้เจ้าพะวง ดูแลตัวเองดีๆนะ กระผมฝากหลวงพี่ ช่วยดูแลพ่อเณรมันด้วยนะขอรับ” พ่อเพิ่มพูดพลางใส่บาตรให้เณรน้อย ก่อนจะหันไปใส่บาตรให้หลวงลุงที่หยุดยืนอยู่ข้างๆพร้อมกล่าวฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกชาย

    “โยมอย่าได้กังวลไปเลย อาตมาจะปกป้องดูแลลูกชายของโยมเป็นอย่างดี คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงดอก”
    ......................…..

    การเดินทางเป็นไปได้อย่างเชื่องช้าเพราะจังหวะก้าวสั้นๆของเณรน้อย บวกกับความเป็นเด็ก ทำให้หลวงลุงต้องบอกให้หยุดพักบ่อยครั้ง ถึงแม้เณรน้อยมิได้ปริปากบ่น แต่สีหน้าที่อิดโรย อ่อนล้า ไหนเลยจะหลุดรอดสายตาหลวงลุงที่หันมามองดูบ่อยๆได้ไม่ เส้นทางของการเดินธุดงค์ในวันแรก จาก บางแพ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ผ่าน โพธาราม ในที่สุดก็เดินทางได้เพียง 10 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น คืนแรกต้องหยุดพักที่ถ้ำพระนอน ตำบลเตาปูน ห่างจากโพธารามประมาณ 9 กิโลเมตร สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเณรน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำ คือ พระพุทธไสยาสน์ องค์ใหญ่ ยาวเกือบห้าวา พร้อมด้วยพระพุทธรูปองค์ใหญ่น้อยอีกหลายร้อยองค์ วางเรียงรายอยู่ภายในถ้ำ ดูสงบเงียบวังเวงและเยือกเย็นเป็นยิ่งนัก

    หลวงลุงเลือกที่จะปักกลดอยู่ภายนอกเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในถ้ำ ตกเย็น สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจต่อเณรน้อยก็คือ ภาพของค้างคาวนับล้านตัวที่บินออกมาจากถ้ำเป็นสายสีดำไม่ขาดสายนานนับชั่วโมง หลวงลุงได้เล่าให้เณรน้อยฟังว่า ฝูงค้างคาวบินออกหากินอย่างนี้ทุกเย็น หากเป็นฤดูร้อนจะบินไปทางตะวันออก ส่วนฤดูหนาวจะบินไปทางตะวันตก ส่วนพระนอนที่อยู่ภายในถ้ำนั้น สันนิษฐานว่าสร้างมานานแล้ว จากตำนานและหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานได้ว่าราชบุรีเป็นหัวเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่งของแคว้นสุวรรณภูมิมาตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียได้เผยแพร่พุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนแถบนี้ เมื่อราวปี พ.ศ. 218 โดยแคว้นสุวรรณภูมินี้มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครปฐมหรือที่สมัยนั้นเรียกกันว่า “ทวารวดี” ราชบุรียังเป็นแหล่งพบปะของพ่อค้าวาณิชแต่ครั้งโบราณ ทั้งยังเป็นเมืองหน้าด่านที่ติดต่อกับพม่า ราชบุรีจึงเป็นดินแดนที่หลากหลายชาติพันธุ์และกลุ่มชนที่สุดแห่งหนึ่ง (ข้อมูลประกอบจาก ททท.)

    คืนนั้น เณรน้อยก็ได้นั่งสมาธิสักพักใหญ่อยู่ภายในกลดเดียวกับหลวงลุง หลังจากนั้นล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหลับตาลงก็คือภาพของหลวงลุงที่ยังนั่งสมาธินิ่งสงบไม่ไหวติง…
     
  2. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ขอบคุณครับ คุณวสันตฤดู....ผมเคยให้บางคนอ่าน มีบางคนบอกว่า ยังกะเขียนเป็นบทหนังเลย ...เอิ่ม...หากมีใครติดต่อขอไปทำหนัง ช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ อิ อิ....

    *************


    วนตอกช่วยชาวบ้าน

    ไม่ว่าผ่านไปทางใด ภาพที่ผู้คนเห็นก็คือพระร่างสูงใหญ่กับเณรน้อยร่างเล็กที่เดินตามกันไปนั้นดูสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก ก็จะมีผู้ใส่บาตรทั้งอาหารสุก อาหารแห้ง รวมทั้งหยูกยาตลอดเส้นทาง ทั้งสองจะฉันเพียงพอประมาณ ที่เหลือก็จะให้ทานแก่ชาวบ้านที่ยากไร้หรือมอบให้วัดที่อยู่ในทางผ่าน


    ผ่านไป 3-4 วัน เส้นทางที่ทั้งสองมุ่งตรงไปก็คือแนวเทือกเขาตะนาวศรีที่ทอดยาวทะมึนอยู่ตรงหน้า อันเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับพม่า วันนี้ ทั้งสองได้เข้าเขตด่านมะขามเตี้ย ใกล้ชายแดนเข้าไปทุกที ในที่สุดเย็นวันที่สี่ ทั้งสองก็หยุดพักปักกลดที่นอกหมู่บ้านชาวไร่ที่อยู่ใกล้ชายป่าเชิงเขา

    หลังจากปักกลดเสร็จไม่นานนัก สายตาของทั้งสองก็เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาหาอย่างร้อนรน เมื่อมาถึง ทั้งหมดก็ก้มกราบ ริ้วรอยความวิตกกังวลฉาบที่อยู่บนสีหน้า ประกอบกับเสียงถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มของชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถหลุดพ้นสายตาของหลวงลุงไปได้

    “เจริญพรเถิดโยม ไม่ทราบว่าโยมมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดหรือ จงพูดออกมาเลย หากอาตมาช่วยได้ก็จะช่วย”

    “กระผมกำลังมีทุกข์กังวลอย่างมากจริงๆขอรับหลวงพ่อ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ค่ำคืนนี้จะมีกลุ่มคนจากหมู่บ้านพรานถัดลึกเข้าไปในชายป่าโน้นจะมาฉุดลูกสาวของกระผม ก่อนหน้านี้ หัวหน้าหมู่บ้านพรานเขามาสู่ขอลูกสาวของกระผมให้ลูกชายเขา แต่กระผมไม่ยกให้ เนื่องจากทราบมาว่าเป็นคนขี้เหล้าเมายา แถมวางตัวเป็นนักเลงโต เมื่อไม่ยกให้ พ่อเขาก็ลั่นวาจาว่าคืนนี้จะยกพวกมาฉุด พวกกระผมหาได้เป็นนักสู้อันใดไม่ เป็นเพียงชาวไร่ มือถือจอบถือเสียม ไหนเลยจะไปสู้รบตบมือกับพวกพรานที่มีปืนผาหน้าไม้ได้ เห็นที่จะต้องเสียลูกสาวไปเป็นแน่แท้ เมื่อเห็นหลวงพ่อมาปักกลดอยู่ที่นี่ กระผมเหมือนเห็นพระมาโปรด ใคร่ขอหลวงพ่อช่วยพูดห้ามศึกในค่ำคืนนี้ด้วยเถิดขอรับ หากพวกเขาเห็นพระ คงมีความยำเกรง อาจเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้”

    “อาตมาคงไม่สามารถหาวาจามาห้ามคนที่อยู่ในภาวะที่เลือดร้อนตามที่โยมเล่าได้ดอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาตมาจะช่วยทำเครื่องป้องกันภัยให้ที่บ้านของโยม ตอนนี้ขอให้โยมช่วยไปตัดต้นไผ่ แล้วจักตอกมาให้อาตมา 49 เส้น ให้ตอกแต่ละเส้นมีความยาวสองศอก รีบไปจัดการโดยเร็วเถิด”

    ชาวบ้านกลุ่มนั้นกราบลาแล้วรีบกลับไปดำเนินการทันที

    “หลวงลุงจะทำการสิ่งใดหรือขอรับ” เณรน้อยสอบถามอย่างกระหายใคร่รู้

    “หลวงลุงจะใช้วิชาที่เรียกว่าการ “วนตอก” ที่เคยได้รับการถ่ายทอดมา เอาล่ะหลวงลุงจะถ่ายทอดให้แก่เจ้าเลย ก่อนพลบค่ำคืนนี้ เจ้าจะได้ช่วยหลวงลุงได้อีกแรงหนึ่ง” (จากบันทึกเรื่อง การวนตอกกันโจรขโมย ของคุณตา)

    หลวงลุงก็เริ่มอธิบายวิธีการพร้อมทั้งคาถาที่ใช้ประกอบให้เณรน้อยที่นั่งตั้งใจฟังอย่างสนใจยิ่ง …ค่ำคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ…
     
  3. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    มหัศจรรย์การวนตอก

    หลังจากชาวบ้านช่วยกันจักตอกได้มาครบแล้ว 49 เส้น หลวงลุงก็ให้เณรน้อยช่วยทำการวนตอกทันที

    การวนตอก (จากบันทึกของคุณตา) - ผู้ที่ทำต้องสาบานต่อหน้าพระพุทธก่อนว่า”ข้าพเจ้าวนเวียนไม้ตอกนี้ สำหรับไม่ให้โจรผู้ร้ายที่เข้ามาในอาณาเขตของข้าพเจ้า ออกไปจากอาณาเขตของข้าพเจ้าไปได้ ถ้าข้าพเจ้าทำร้ายศัตรูที่เข้ามาในอาณาเขตนี้แล้วไซร้ ขอให้ข้าพเจ้ามีอันเป็นไปต่างๆนานา” จากนั้นให้นำเส้นตอกมาขดตรงกลางให้เป็นวงกลม ยึดวงนั้นไว้ด้วยเชือก ให้ปลายตอกทั้งสองปลายมาบรรจบกัน ทำการปลุกเสกด้วยคาถาสั้นๆตามกำลังวันดังนี้

    “นะวน นะเวียน นะประสิทธิ์ นะวนเวียน มาหากู”

    เสร็จแล้วให้เอาไปปักไว้ที่รอบๆบ้านสลับเป็นฟันปลา ห่างกัน 1-2 วา เท่านี้ โจรผู้ร้ายที่เข้ามาก็จะออกไปมิได้เลย…...............................

    ความมืดโรยตัวลงแล้ว ค่ำคืนนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านชาวไร่แห่งนี้ดูจะรีบดับไฟเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ กลางลานหน้าบ้านที่มีการวนตอกโดยรอบ ท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ สามารถมองเห็นพระภิกษุร่างสูงใหญ่ยืนเด่นนิ่งสงบอยู่กลางลาน เณรน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบตามองหลวงลุง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจในหลวงลุงอย่างเต็มเปี่ยม ด้านหลังมีกลุ่มคนนั่งเบียดเสียดอยู่นับสิบ ทุกคนนั่งนิ่งเงียบสายตาจับจ้องไปที่ทางเดินหน้าบ้าน หวั่นวิตกว่าวิธีของหลวงพ่อท่านนี้เพียงเส้นตอกไม่กี่เส้นจะได้ผลหรือ แม้แต่สุนัขเดินชน เส้นตอกนั้นก็คงล้มแล้วไหนเลยจะสามารถต้านทานกลุ่มคนที่จะมาในคืนนี้ได้

    พวกเขามากันแล้ว แสงไฟจากคบไต้ส่องวูบวาบเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ชาวบ้านที่อยู่กลางลานขยับตัวเบียดกันแน่นกว่าเดิม เสียงหัวใจเต้นแรง โดยเฉพาะหญิงสาวลูกเจ้าของบ้านเนื้อตัวสั่นเทากอดแม่ไว้แน่น น้ำตาไหลรินด้วยความกลัว เสียงขบกรามของผู้เป็นพ่อดังเล็ดลอดออกมา ดวงตาบ่งบอกได้ว่า หากมันผู้ใดจะเอาตัวลูกสาวไป ต้องข้ามศพข้าก่อนเพียงประการเดียวเท่านั้น

    กลุ่มคนประมาณ 10 คน หยุดลงที่นอกบริเวณบ้านแล้ว ภายใต้แสงคบไฟ เห็นได้ว่าทุกคนล้วนถืออาวุธมีทั้งปืนและมีดดาบ ทุกคนโพกหัว มีหนวดเครารกครึ้ม ดั่งโจรร้าย

    “ชิชะ ไอ้บุญมา มึงคิดว่าเอาพระมาขวางหน้ากู แล้วกูจะมิกล้าฉุดลูกสาวมึงกระนั้นรึ เฮ้ยพวกมึงบุกเข้าไปลากตัวนังบัวมาเร็ว ใครขัดขวางพวกมึงก็จัดการได้เลย พระเณรไม่ต้องละเว้น” เสียงหัวหน้าตะโกนไล่ความเงียบขึ้น

    พวกลูกน้องที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงเฮ พากันวิ่งกรูเข้าไปในลานบ้านทันที ภาพที่หัวหน้าและทุกคนที่อยู่กลางลานเห็นก็คือ กลุ่มคนเหล่านั้นหยุดกึกอยู่ระหว่างตอก กลับไม่ขยับกายเคลื่อนต่อไปข้างหน้าทั้งที่มีหลวงพ่อยืนอยู่ห่างออกไปเพียงสองวา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หันรีหันขวาง แล้วเริ่มเดินออกไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง เดินวนไปวนมาดูน่าเวียนหัวเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านทุกคนที่ผลุดลุกขึ้นตามเสียงเฮเมื่อตะกี้ ก็พากันยืนนิ่งดูด้วยความพิศวง งงงวยเป็นยิ่งนัก คาดไว้ตอนแรกว่าเห็นทีหลวงพ่อคงต้องหลั่งเลือดลงพื้นเป็นคนแรกซะแล้ว นายบุญมาที่กระโจนมายืนเคียงข้างหลวงพ่อเตรียมปกป้อง หันหน้าไปดูหลวงพ่อ พบว่า ท่านมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย

    “โยมทั้งหลายนั่งลงเถิด มิต้องวิตกกังวลไปดอก” เสียงหลวงพ่อพูดขึ้นเบาๆ บอกกับชาวบ้านที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ด้านหลัง

    “เฮ้ย พวกมึงเป็นอะไรไปวะ ทำไม่ไม่เดินหน้าต่อไป” เสียงหัวหน้าตวาดถามออกไปด้วยความโกรธระคนสงสัย แต่ดูเหมือนว่าพวกลูกน้องทั้งหลายหาได้ยินเสียงของเขาไม่ ตัวเขาเองก็เลยเดินตามเข้าไปด้วยความแค้นเคือง เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ตัวลูกน้องที่เดินวนเวียนอยู่นั้น ภาพเบื้องหน้ากลับเปลี่ยนไปเป็นป่าไผ่ขึ้นรกแน่นขนัดมิสามารถฝ่าออกไปได้ แถมมีหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไหนเลยจะเป็นลานกว้างเหมือนที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่

    “นี่มันอะไรกันวะ พวกมึงไม่ต้องกลัว กูก็ศิษย์มีครูนะโว้ย ของเล่นแค่นี้เอากูไม่อยู่หรอก”

    หัวหน้าพูดจบก็นั่งลงบริกรรมคาถา แล้วหยิบมีดหมอในย่ามที่สะพายมาด้วย ฟันไปที่ต้นไผ่จนล้มระเนระนาด ท่ามกลางเสียงเฮด้วยความยินดีของบรรดาลูกน้อง ทั้งหมดเดินไปฟันไป แต่หาพบเห็นหนทางออกไม่ ยิ่งมีต้นไผ่ล้มลงกองมากขึ้นยิ่งไม่สามารถขยับเดินไปทางไหนได้ ชาวบ้านก็เห็นคนทั้งกลุ่มเอามีดฟาดฟันอากาศอย่างเอาเป็นเอาตาย เดินวนจนแทบจะครบรอบบริเวณบ้านแล้วแต่ไม่สามารถฝ่าแนวตอกด้านในมาได้เลย ช่างน่ามหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก !!! ในที่สุดทั้งหมดก็ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่กับที่ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกสะพรึงกลัว ไม่ขยับเดินหน้าถอยหลังอีกต่อไป เหมือนมีอะไรขวางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถึงตอนนี้ชาวบ้านที่อยู่กลางลานก็พร้อมใจกันก้มกราบหลวงพ่อโดยพร้อมเพรียงกันด้วยความเลื่อมใสอย่างท่วมท้น

    เช้าแล้ว เสียงไก่ขันดังแว่วมา ชาวบ้านที่อยู่ข้างเคียงเริ่มออกมาดูเหตุการณ์ด้วยความสงสัยว่าเมื่อคืนทำไมได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกเพียงชั่วครู่แล้วก็เงียบไปเลย สงสัยแม่บัวลูกสาวไอ้บุญมาคงโดนฉุดไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ กลับเห็นกลุ่มคนจากบ้านพรานนั่งๆยืนๆอยู่ข้างลานบ้าน

    สุดท้ายเรื่องราวของวันนั้นก็จบลงด้วยการยอมจำนนของกลุ่มพรานและให้สัญญาว่าจะไม่มารุกรานพร้อมทั้งจะอยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้องกับหมู่บ้านชาวไร่ หลังจากนั้นทั้งสองหมู่บ้านก็มีความรักใคร่กลมเกลียวแลกปันสิ่งของ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสืบต่อมา
     
  4. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ไสยศาสตร์

    หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น หลวงลุงทราบว่าเณรน้อยเก็บความสงสัยเอาไว้เต็มเปี่ยม ว่าสิ่งที่เหลือเชื่อที่เห็นกันถ้วนทุกคนนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร หลวงลุงก็เลยเล่าให้เณรน้อยฟังถึงความเป็นมาดังนี้…

    (คัดลอกมาจากตำราของคุณตา)….

    พุทธศาสตร์ กับ ไสยศาสตร์ เป็นของที่เป็นคู่พัวพันกันมาแต่อดีตกาล

    ในยุคพระเวท (ศาสนาพราหมณ์) ซึ่งเป็นสมัยก่อนพุทธกาลนั้น พระเวทยุคแรกๆ ก็มีแต่เพียงคำสั่งสอนและข้อปฏิบัติวัตรบูชา ครั้นกาลเวลาล่วงต่อมายุคหลังๆจนถึงยุคพระเวทที่ 4 (อรรถวนเวท) คำสั่งสอนและการปฏิบัติได้เกิดมีการเพิ่มเติมวิทยามนต์ กลับกลายเป็นสมัยฤทธิ์นิยม เป็นสมัยที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ อันเป็นไปเพื่อการต่อสู้ประหัตประหารล้างผลาญ และบังคับสิ่งต่างๆให้อยู่ในอำนาจว่าด้วยเวทมนตร์ทั้งสิ้น

    จากยุคพระเวทที่4 นี่เองจึงมีผู้ฝึกฝนในกาลต่อมา ผู้ที่ฝึกใจให้กล้าแกร่งเหล่านั้น ได้ค้นคว้าและผูกเป็นบทคาถาอาคมเวทมนตร์ สั่งสอนสืบต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคน

    เมื่อผู้ที่ได้ศึกษาได้ฝึกฝนอย่างถูกวิธีและปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะสามารถบังคับจิตตนเองและส่งกำลังกระแสจิตอันกล้าแข็งเหล่านั้นไปครอบงำผู้อื่น ให้รู้สึก ได้เห็น ได้ยิน และให้เป็นไปเช่นนั้น เช่นนี้ ตามความประสงค์ของตนได้ทุกประการ ผู้ที่กำลังจิตอ่อนกว่า จึงตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ฝึกอย่างดีด้วยประการฉะนี้

    แต่อย่างไรก็ตาม อำนาจดวงจิตหรือฤทธิทางไสยศาสตร์นี้ จะได้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดอำนาจบังคับดวงจิตแล้ว สิ่งทั้งหลายก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมทันที

    การนำคาถาอาคมไปใช้ต้องตั้งใจให้มั่น นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณครูบาอาจารย์ และต้องท่องและจดจำวิธีการให้แม่นยำ อย่าได้ผิดพลาดอักขระแม้แต่ตัวเดียว ต้องทำสมาธิ ปล่อยใจให้เป็นไปในคาถา ถ้าเป็นไปในทางเมตตา ก็ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร ทำจิตให้อ่อนโยน นุ่มนวลและภาวนาไปด้วยใจที่มั่นคง ถ้าเป็นไปในทางต่อสู้ ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งประดุจเหล็กเพชร นึกอยู่ในใจว่าจะให้ศัตรูเกรงกลัวอยู่ในอำนาจจิตของเรา แล้วภาวนาคาถาไป ถ้าเป็นไปในการรักษาโรคภัย ก็ต้องตั้งใจเมตตาคิดอยู่แต่ให้คนไข้หายเวทนา ดั่งนี้เป็นต้น อย่าสักแต่เพียงท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง

    ในสมัยพุทธกาล ในบางครั้งที่พระพุทธเจ้าจะทรงเทศนาสั่งสอนใคร ยังต้องใช้ความอัศจรรย์ทางฤทธิเข้าช่วย ดั่งเรื่องที่เล่าไว้ในพระสูตรมากมาย เช่น ตอนปราบองคุลีมาลย์ เป็นต้น



    เณรน้อยได้ฟังแล้วก็ตั้งปนิธานไว้ในใจว่า จะมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ารวมทั้งคาถาอาคมต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษย์และจะได้สืบทอดวิชาเหล่านั้นไม่ให้ล้มหายตายจากไปจากแผ่นดินนี้
     
  5. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ป่าดงดิบ

    ใกล้เที่ยงแล้ว..แสงแดดควรแผดกล้า แต่ ณ จุดที่หลวงลุงกับเณรน้อยยืนอยู่นี้กลับรกครึ้มภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และนี่คือชายป่า เบื้องหน้าคือ ป่าดงดิบของเทือกเขาตะนาวศรีลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศพม่า เสียงลมหวีดหวิว เสียงสัตว์ป่าหลากชนิดดังแว่วออกมาเหมือนจะท้าทายความกล้าของผู้ที่จะเข้าไปเยือน เณรน้อยอดสยิวกายขึ้นไม่ได้เมื่อนึกถึงความเร้นลับของป่าดงดิบที่อยู่เบื้องหน้าจากคำบอกเล่าของเหล่าพรานจากหมู่บ้านพรานที่ตามมาส่งถึงชายป่า 4-5 คน แม้แต่พรานเหล่านั้น น้อยคนนักที่จะกล้าบุกฝ่าเข้าไปในส่วนลึกของป่า ส่วนใหญ่จะหากิน หาของป่า และสัตว์ป่าตัวเล็กๆตามแนวชายป่าไม่ลึกเท่านั้น พรานที่เคยเข้าไปลึกๆ ไม่หายสาบสูญไป ก็กลับออกมาแบบปางตาย หรือไม่ก็เสียสติไปก็มี ล่าสุดเมื่อสิบวันก่อนมีพรานสองคนพ่อลูกเข้าป่าไปจนป่านนี้ยังไม่กลับออกมาเลย พรานคนอื่นก็ไม่กล้าเข้าไปตามค้นหา นี่หรือป่าที่เรากำลังจะเข้าไป หลวงลุงมีจุดมุ่งหมายอันใดหรือ เณรน้อยได้แต่คิดอยู่ในใจ…

    หลวงลุงได้จุดธูปปักไว้ตรงหน้ากองผลไม้ แล้วหันหน้าเข้าไปยังทิศทางของป่าลึก ยืนสงบนิ่งอยู่พักใหญ่ เหล่าบรรดาพรานที่ติดตามมาก็พนมมือไหว้อย่างเงียบๆด้วย ไม่นานนักทุกคนก็ได้สัมผัสกับลมเย็นยะเยือกที่พัดกรรโชกมาวูบหนึ่ง หลวงลุงก็หันไปพูดกับเหล่าพรานที่ยืนอยู่ด้านหลัง

    “โยมทั้งหลายกลับบ้านไปเถิด มิต้องห่วงอาตมากับเณรน้อยดอก อีกไม่กี่วันก็จะกลับออกมาแล้ว”
    ......................…

    บรรดาพรานที่ตามมาส่ง ได้กราบลา หันกายเดินกลับจนลับสายตาไปแล้ว หลวงลุงก็หันหน้ามายังเณรน้อย

    “เจ้าพร้อมหรือไม่ หากไม่พร้อมในคราวนี้ หลวงลุงจะเข้าไปคนเดียวก่อน ส่วนเจ้าก็ย้อนกลับไปรอที่หมู่บ้านพรานก่อนก็ได้นะ”

    “กระผมพร้อมขอรับ แต่กระผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเราต้องเข้าไปในป่าลึกนี้ด้วยล่ะขอรับ มันดูน่าสะพรึงกลัวและดูเหมือนจะแฝงไปด้วยอันตรายแทบทุกฝีก้าว”

    “ในป่าดงดิบเช่นนี้มันก็น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิด แต่หากเราสามารถเอาชนะความกลัว เอาชนะภัยอันตรายได้ ก็จะเป็นการฝึกให้สมาธิของเรายิ่งกล้าแข็งขึ้น เราจะได้สลัดความสุขสบายในเมือง ได้หาความสงบเพื่อบำเพ็ญภาวนา ตีความคำสั่งสอนตามหลักพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งฝึกวิชาเหนือวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาให้แตกฉาน การใช้ชีวิตอยู่ในป่า จะทำให้เราฝึกปฏิบัติได้โดยไม่เป็นการโอ้อวดต่อผู้ใด หลวงลุงไม่อยากโอ้อวดว่ามีวิชาดี เมื่อหลายวันก่อนที่ทำการวนตอกนั้น ก็มีจุดประสงค์จะช่วยทำเหตุการณ์ร้ายให้กลายเป็นดี หาไม่แล้ว วันนั้นเห็นทีต้องเกิดการนองเลือดเป็นแน่แท้”

    “หากเจ้าพร้อม เราก็ออกเดินทางเข้าไปในป่ากันได้แล้ว หลวงลุงได้ทำการบอกกล่าวต่อเจ้าป่าเจ้าเขาแล้ว แต่ก็นั่นล่ะ หาใช่ว่าเราจะสามารถเดินทางผ่านป่านี้ได้อย่างปลอดภัยดอกนะ ขอให้เจ้าระมัดระวังตัว เดินตามหลวงลุงทุกฝีก้าวนะ เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
     
  6. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ป่าดงดิบ (2)

    ช่วงแรกของการเดินทางเข้าไปในป่า เณรน้อยยังตื่นตาตื่นใจที่เห็นสัตว์ป่าตัวเล็กตัวน้อยทั้งกระต่าย กวาง เม่น ไก่ป่า ฯลฯ ที่ออกมาหากิน ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ ไหนเลยจะเป็นภาพที่น่ากลัวเหมือนกับที่เคยจินตนาการเอาไว้ เณรน้อยเดินตามหลวงลุงไปด้วยความร่าเริงใจตามประสาเด็ก แต่เมื่อเริ่มเดินลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ในป่า สภาพแวดล้อมที่เคยเห็นในตอนแรก ก็เริ่มเปลี่ยนไป เส้นทางเดินเริ่มมีความลำบาก เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และต้นหญ้าพงหนาม กลิ่นความอับชื้นเริ่มเพิ่มมากขึ้น เมื่อก้มมองที่เท้าก็จะพบเห็นทากเกาะติดขาเพื่อดูดเลือดอยู่หลายตัว เณรน้อยเริ่มรู้สึกขยะแขยง คันคะเยอไปทั้งตัว รีบจ้ำอ้าวตามหลวงลุงที่ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

    หลังจากหยุดพักฉันอาหารเพลแล้ว หลวงลุงก็หยิบเอาน้ำมันในย่ามออกมาให้เณรน้อยทาที่ขาเพื่อไม่ให้ตัวทากมาเกาะได้อีก หลวงลุงบอกว่าอีกไม่ไกลนักจะถึงเชิงเขาข้างหน้า คงมีถ้ำให้พักกันในคืนนี้

    เดินต่อไปได้ไม่นานนัก เณรน้อยแทบเดินชนหลวงลุงที่หยุดกระทันหัน เมื่อเดินเบี่ยงออกมาทางซ้ายมือ เณรน้อยก็มือเย็นเท้าเย็น รู้แล้วว่าทำไมหลวงลุงจึงหยุดเดิน เพราะที่เห็นข้างหน้านั้นคือ งูจงอางตัวใหญ่ชูคอแผ่แม่เบี้ย สูงกว่าหลวงลุงซะอีก งูตัวนั้นก็ชูคอนิ่ง หลวงลุงก็ยืนนิ่ง เหมือนจะวัดใจกัน เณรน้อยก็เหมือนเท้าถูกตรึงไว้กับที่ ดูแล้วว่าหากหันหลังวิ่งหนีก็ไม่พ้นรัศมีการฉกของงูตัวใหญ่นี้แน่นอน จะทำอย่างไรดีล่ะ แม้แต่หน้าก็ไม่อาจหันไปมองหลวงลุง สายตาได้แต่จับจ้องไปที่ตาอันแดงก่ำของงู ปากที่อ้าเล็กน้อยสามารถเห็นเขี้ยวยาวแวววาวที่อยู่ข้างใน ลิ้นที่แลบออกมาเป็นระยะยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงกลัว

    เณรน้อยรวบรวมสมาธิทันที เมื่อสมาธิเข้าสู่เอกัคคตาจิตในพริบตานั้น ความกลัวก็เริ่มลดน้อยลง จิตใจมีความสงบ คิดว่าหลวงลุงคงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว (ขอยืมสำนวนนิยายกำลังภายในมาหน่อย) พลันได้ยินเสียงหลวงลุงพูดออกมาอย่างแผ่วเบาในขณะที่ร่างกายแทบไม่มีความเคลื่อนไหว

    “พ่อเณรน้อย หลวงลุงพอจะรับรู้ได้ว่าเจ้าได้เข้าสู่เอกัคคตาจิตแล้ว เจ้าจงฟังคาถากำบังกายที่หลวงลุงจะท่องให้เจ้าฟังต่อไปนี้ให้ดี หลวงลุงจะท่องให้ฟังรอบเดียว หลังจากนั้น ขอให้เจ้าท่องภาวนาในใจอย่าได้ขาดปาก แล้วเดินตามหลวงลุงต่อไปอย่างเงียบๆนะ เอาล่ะจงฟังให้ดี”

    ปัตติมาพุทโธ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง
    นะมิตตะพุทโธ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง
    ชาตตะพุทโธ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง
    กายยะพุทโธ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง
    สุคตาพุทโธ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง
    (จากบันทึกของคุณตา เรื่องคาถากำบังกาย)

    หลังจากเณรน้อยได้รับฟังและท่องได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อท่องไปได้สามสี่รอบ เณรน้อยก็สังเกตเห็นว่างูที่ชูคอนิ่งสงบอยู่นั้น เริ่มส่ายหน้าเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง หลวงลุงเริ่มขยับกายแล้ว ทางอื่นก็ไม่เดิน แต่หลวงลุงกลับเดินนำตรงไปยังงูที่อยู่ตรงหน้า สายตาของงูนั้นกลับไม่ได้สนใจมองร่างของทั้งสองคนที่เดินเฉียดด้านข้างไปแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าไม่มีมนุษย์ตนใดอยู่ตรงหน้าอีกต่อไปเลย อา..นี่ล่ะหรือ ความเยี่ยมยอดของคาถากำบังกายของหลวงลุง เณรน้อยเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาจับจิต ภาวนาคาถาอย่างเชื่อมั่นแล้วเดินผ่านงูตัวใหญ่ไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!!!
     
  7. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เกาะเอวข้ามน้ำ

    ผ่านไปแล้ว 2 วัน การเดินทางยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ค่ำคืนแรกได้อาศัยถ้ำเป็นที่หลับนอน คืนที่สองต้องนั่งพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ ทุกครั้งที่มีการหยุดพัก หลวงลุงก็จะสอนเคล็ดวิชาต่างๆให้เณรน้อย ทำให้เณรน้อยรู้สึกกระตือรือร้นสนใจเป็นอย่างมาก เวลาเดินไปก็จะทบทวนไปด้วยอย่างไม่เกียจคร้าน

    การเดินทางในวันที่สามช่วงเช้าก็ยังคงเป็นไปด้วยดีไม่มีอุปสรรคใด ยามบ่ายตะวันคล้อย แสงแดดที่เดิมสอดส่องลอดเงาร่มไม้หนาทึบมาได้เพียงน้อยนิดก็ยิ่งอ่อนแสงลงไปอีกเหมือนจะเข้าสู่หัวค่ำแล้ว เณรน้อยได้ยินเสียงครืนๆของสายน้ำดังอยู่เบื้องหน้า ยิ่งเดินหน้าเข้าไปก็ได้ยินชัดขึ้น ชัดขึ้น ในที่สุดสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาอยู่ตรงหน้าก็คือสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากจากน้ำตกที่อยู่ห่างออกไป

    “หลวงลุงขอรับ นี่เราจะข้ามไปได้อย่างไรล่ะขอรับ กระผมไม่เห็นจะมีเส้นทางไหนให้เดินอ้อมไปได้เลย”

    “อืมม์ ก็อย่างที่เจ้าว่าล่ะนะ หากจะย้อนกลับไปหาเส้นทางใหม่ก็คงจะเสียเวลา จะหยุดพักอยู่ริมฝั่งในคืนนี้ก็เห็นทีจะไม่มีความสงบและแถวนี้ก็เปียกชื้นมากด้วย เจ้าคิดว่าเราจะฝ่าข้ามน้ำไปได้ไหมรึ”

    “เห็นทีจะไม่ไหวกระมังขอรับ กระผมไม่เห็นหินที่พอจะให้เดินเหยียบข้ามไปได้”

    “เอาล่ะ ประเดี๋ยวหลวงลุงจะพาเจ้าเดินข้ามน้ำไป เจ้าอย่าได้ทำหน้าเคลือบแคลงสงสัยเลย ก่อนอื่น หลวงลุงจะเล่าความเป็นมาของเคล็ดวิชานี้เสียก่อน เจ้าจงฟังไว้นะ

    วิชานี้ตกทอดมาจากสมัยขอม เป็นตำราว่าด้วยการสร้างพระศรีมหาโพธิ์ โดยให้เอาไม้ศรีมหาโพธิ์ มาแกะเป็นพระพุทธรูป หน้าตัก 4-5 นิ้ว แต่ก่อนแกะต้องบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน ของหอมทั้งปวง แกะแล้วแต่งแก้ให้แล้วเสร็จใน 1-2 วัน จากนั้นให้ลงรักปิดทอง จงลงพระด้วย นะ (อักษรขอม) อยู่ที่ตาซ้าย โม (อักษรขอม) อยู่ที่ตาขวา พุท (อักษรขอม) อยู่ที่หน้าผาก ธา (อักษรขอม) อยู่ที่อก และ ยะ (อักษรขอม) อยู่ที่พระเศียร ปลุกเสกพระพุทธรูปนั้ด้วยบทสวด “อิติปิโส ฯลฯ” และบท “พาหุง ฯลฯ” หลังจากนั้น ก็จะสามารถนำไปใช้ปลุกเสกของต่างๆ เพื่อการต่างๆได้หลายอย่าง โดยใช้บทคาถาดังนี้

    อิระชา นะโมพุทธายะ มะอะอุ พุทโธ
    (จากบันทึกของคุณตา)

    อย่างครั้งนี้ หลวงลุงจะใช้แป้งน้ำมันหอมที่เคยเจิมนาภีพระพุทธรูปที่สร้างจากพระศรีมหาโพธิ์ ที่หลวงลุงได้รับตกทอดมา เสกคาถา 7 คาบ มาทาที่เท้า แล้วกลั้นใจภาวนาอย่าได้ขาด ก็จะสามารถเดินไปบนผิวน้ำนี้ได้ ดังนั้นเมื่อยามที่หลวงลุงจะนำพาเจ้าข้ามสายน้ำแห่งนี้ ขอให้เจ้าจงตั้งสติให้มั่น หลับตาแล้วเกาะเอวหลวงลุง กลั้นใจภาวนาคาถาที่หลวงลุงบอกอย่าได้ขาดปากเชียวนะเจ้า”

    ว่าแล้วหลวงลุงก็นั่งลงหยิบตลับกลมๆออกมาจากย่าม แล้วเปิดฝาเอาแป้งน้ำมันหอมในตลับนั้นออกมาทาที่เท้าทั้งสองข้างของตัวเองและของเณรน้อย แล้วทั้งสองก็เดินไปที่ริมแม่น้ำ หลวงลุงยืนบริกรรมคาถาอยู่เงียบๆ เณรน้อยก็หลับตา เกาะเอวหลวงลุงพร้อมท่องคาถาอยู่ในใจด้วย เมื่อจิตสงบนิ่งแล้วหลวงลุงก็บอกต่อเณรน้อยให้สูดหายใจแล้วกลั้นใจไว้และให้ก้าวเท้าเดินตามหลวงลุงลงไปในสายน้ำที่เชี่ยวกรากนั้นทันที

    เณรน้อยสามารถรับรู้ถึงสายน้ำที่ไหลผ่านที่เท้าได้ แต่ทุกย่างก้าวกลับเหมือนเดินเหยียบอยู่บนพื้นแข็งๆที่มีสายน้ำไหลผ่านเคลือบอยู่บางๆเท่านั้น!!

    เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสได้ถึงก้อนกรวดแข็งๆ หลวงลุงก็ให้ปล่อยลมออกแล้วลืมตาได้ เณรน้อยหันหลังไปก็พบว่าได้มายืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเมื่อกี้นี้แล้ว เณรน้อยอดไม่ได้ที่จะต้องแอบแลบลิ้นปลิ้นตาด้วยความพิศวงงงงวยเป็นยิ่งนัก!!!
     
  8. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    อะลอร์

    เวลาผ่านไปอีกหลายวัน พระและเณรน้อยก็ยังคงปฏิบัติวัตรต่างๆอยู่ภายในป่าลึก บางครั้งหากพบถ้ำที่สะอาดก็จะหยุดพักปฏิบัติธรรมแลฝึกวิชาอาคมต่างๆเป็นเวลาหลายวันก่อนออกเดินทางลึกเข้าไปอีก เณรน้อยรู้สึกว่าการมาในครั้งนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ยิ่ง การเดินทางบางครั้งไม่สามารถหาผลหมากรากไม้มาทานได้ หลวงลุงก็จะเสกใบไม้ให้กิน โดยการหยิบใบไม้มาแล้วบริกรรมคาถาดังนี้

    อุ อะ ยะ สะ อิ ติ (คาถาเสกใบไม้ทานแก้หิว – ตำราของคุณตา)

    หลังจากเคี้ยวกลืนใบไม้นั้นแล้ว ก็สามารถ อดอาหาร อดน้ำได้ 2-3 วัน ช่างน่าแปลกใจเป็นยิ่งนัก


    สองสามวันนี้ไม่มีถ้ำให้หยุดพัก จึงต้องเดินบุกป่าฝ่าดงไปทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันทั้งสองได้ออกเดินต่ออีกแล้ว หลังจากเดินไปได้ไม่นานนัก ทั้งสองก็ได้กลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูก หลวงลุงรีบนำเณรน้อยไปทางต้นตอของกลิ่นนั้นทันที เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นสภาพพุ่มไม้ ต้นไม้เล็กๆลู่เป็นทางและหักระเนระนาด เหมือนผ่านการเป็นสนามประลองกำลังของสัตว์ใหญ่ที่ต้องมีการสู้รบกันโดยใช้เวลาไม่น้อย

    เมื่อเดินเลยแนวพุ่มไม้ออกไป สภาพที่เห็นบนลานที่ไม่กว้างมากนักนั้น ทำให้เณรน้อยแทบเบือนหน้าหนี
    มันเป็นภาพของหลงเหลือจากการต่อสู้ระหว่างคนสองคนกับเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่เกือบเท่าม้าสองตัว มองไปมุมหนึ่งจะเห็นร่างของชายวัยกลางคนนอนทอดกายด้วยสภาพที่ไร้หัว โดยที่หัวได้กลิ้งอยู่ที่พื้นห่างออกไป ดวงตาของชายหัวขาดผู้นั้นเบิกโพลง เหมือนหัวได้ขาดขณะที่ได้รับการตกใจอย่างสุดขีดสุดขีด เลือดที่ไหลนองดูเหมือนว่าจับตัวแข็งมานานพอสมควรแล้ว เนื้อตัวก็ฉีกขาดจากกรงเล็บของเสือ ข้างๆนั้น ก็เห็นเสือตัวใหญ่นอนตายด้วยกระสุนที่เจาะเข้าปากทะลุออกท้ายทอยเป็นรูขนาดใหญ่ ถัดมาอีกมุมหนึ่ง ภาพก็สยดสยองไม่แพ้กัน จะเห็นร่างของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์นอนตะแคงในท่าที่กอดเสือตัวใหญ่อีกหนึ่งตัวที่นอนตายอยู่เคียงข้าง เลือดอันแดงฉานอาบร่างของทั้งคนทั้งสัตว์ ด้านหลังของชายหนุ่มเป็นรอยกรงเล็บเสือลากลึกเป็นทาง ใบหน้าเป็นรอยเสือตะปบยับเยิน ในกองเลือดนั้นจะเห็นตับไตไส้พุงจากท้องของเสือที่โดนกรีดด้วยมีดยาวของชายหนุ่มที่ยังถือคาอยู่ในมือ

    หลวงลุงยืนนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ ทันใดนั้น หลวงลุงก็หันหน้ามาที่เณรน้อย

    “เร็ว พ่อเณร มาช่วยกันหน่อย ชายผู้นี้เขายังไม่ตาย ยังมีลมหายใจอยู่รวยริน มาช่วยยกออกจากซากเสือตัวนี้เร็ว”

    จากสภาพที่เห็นแทบไม่น่าเชื่อว่าชายผู้นั้นจะยังมีชีวิตรอดอยู่ โชคดีที่ถัดไปไม่ไกลนั้น เป็นถ้ำที่เสือสองตัวอาศัยอยู่ ทั้งสองได้ช่วยกันอุ้มร่างที่ยับเยินของชายคนนั้นไปที่ถ้ำ สำหรับซากศพของทั้งคนและเสือสองตัว ก็ช่วยกันขุดกลบฝังจนเป็นที่เรียบร้อย เณรน้อยอดไม่ได้ที่จะหยิบเขี้ยวเสือข้างหนึ่งที่หักจากปากเสือตัวที่โดนยิงเก็บไว้ ซึ่งในภายหลัง หลวงลุงก็ได้ช่วยแกะสลักและลงอักขระปลุกเสกให้ด้วย (หมายเหตุ - อันนี้ คุณตาให้ผม ผมยังเก็บเอาไว้เลยครับ)

    หลวงลุงได้ช่วยรักษาชายผู้นั้นโดยสมุนไพรสารพัดที่หลวงลุงออกไปหามาได้จากในป่า จนทั้งสองจำต้องปักหลักอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายเดือนจนเลยเข้าช่วงพรรษา เลยเวลาที่กำหนดว่าจะต้องกลับแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นอาการดีขึ้นก็มีกำลังใจที่จะอยู่เฝ้าดูอาการต่อไปเรื่อยๆ เมื่อแผลเริ่มหายดีแล้ว สภาพของชายหนุ่มผู้นั้นก็แทบมองไม่เป็นมนุษย์ ใบหน้าแหว่ง ลิ้นขาด พูดไม่ได้ ตาบอดไปหนึ่งข้าง ตามลำตัวเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั้งข้างหน้าและข้างหลัง สายตาที่เขามองพระและเณรน้อยเต็มไปด้วยความตื้นตันสำนึกในบุญคุณ เมื่อทั้งสามกลับออกจากป่ามาที่หมู่บ้านพรานจึงจะทราบว่า พรานสองพ่อลูกที่หายไปก็คือทั้งสองคนนี้เอง คนที่รอดชีวิตเป็นพรานหนุ่ม ลูกชายพรานวัยกลางคนที่เสียชีวิตไป เขามีชื่อว่า อะลอร์ และ อะลอร์ ผู้นี้แหล่ะที่จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเณรน้อยในช่วงชีวิตของเขาต่อไปในภาคหน้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMGA0048.JPG
      IMGA0048.JPG
      ขนาดไฟล์:
      45.1 KB
      เปิดดู:
      111
  9. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

    ช่วงที่ไปธุดงค์ แล้วมีเหตุที่ต้องช่วยรักษา อะลอร์ จนไม่สามารถกลับวัดได้ก่อนเข้าพรรษา ทำให้ต้องรอจนออกพรรษาแล้วจึงจะเดินธุดงค์กลับได้ วันเวลาที่ผ่านไปในช่วงนั้นทั้งพ่อและแม่ของเณรน้อยได้แต่มาคอยถามหลวงตาว่าทั้งสองกลับมาหรือยัง ถึงแม้หลวงตาจะให้คำยืนยันว่าทั้งเณรน้อยและหลวงพี่ยังปลอดภัยดี ทั้งสองก็หาได้วางใจไม่ จนหลวงตาต้องบอกว่า แทบทุกค่ำคืน หลวงตาจะนั่งสมาธิแล้วถอดกายทิพย์ไปเฝ้าติดตามดูอยู่ตลอดนั่นล่ะ ทั้งสองคนถึงจะคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

    จวบจนทั้งสองกลับจากธุดงค์ถึงวัดบางแพ พ่อแม่เณรน้อยได้ข่าวก็แทบจะโบยบินไปหาลูกที่วัดในทันที อยากจะสรวมกอด แต่ก็ทำไม่ได้ น้ำตาแห่งความปีติดีใจไหลอาบแก้ม เณรน้อยดูคล้ำไปถนัดตาแต่ก็ทำให้ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน หลวงลุงได้กล่าวชื่นชมเณรน้อยให้ทุกคนฟัง ยากนักที่จะหาใครที่เป็นเด็กตัวเท่านี้ แต่สามารถเดินธุดงค์ผ่านเรื่องราวต่างๆมาอย่างมิย่อท้อ เณรน้อยเองก็เล่าเรื่องราวต่างๆที่ตัวเองประสบให้พ่อแม่และหลวงพี่ต่างๆฟังอย่างน่าสนุกสนาน

    “พ่อเณร น้าเพิ่ม ให้มาตามกลับไปที่บ้านด่วนเลยนะ น้าจันไม่สบายมาก” เสียงพี่จุ่นมาตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างกุฏิของหลวงตา ทำให้เณรน้อยละสายตาจากหนังสือที่อยู่ตรงหน้า รีบกราบลาหลวงตา แล้วตามพี่จุ่นไปทันที
    ............................

    “กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา...” เสียงสวดของพระดังก้องกังวานภายในศาลาที่จัดงานศพของแม่จัน ผู้ที่จากไปด้วยโรคที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ พ่อเพิ่มนั่งพนมมือ ดวงตาแดงก่ำ สายตาจับจ้องไปที่โลงศพที่วางอยู่เบื้องหน้า เณรน้อยก็นั่งพนมมือนิ่งสงบอยู่ข้างๆ สีหน้าบ่งบอกได้ว่ามีความเสียใจแต่สามารถสกดกลั้นไว้ได้ดีกว่าผู้เป็นพ่อ เณรน้อยจำภาพของแม่ที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงได้ดี แม่ปวดท้องมาก ปวดอยู่หลายวัน ในที่สุดก็จากไปอย่างมิอาจหวนกลับ
    ................................

    พ่อดูแก่ลงมาก หลังจากแม่ได้จากไป ในที่สุดเณรน้อยก็ได้ลาสิกขาบท มาช่วยพ่อทำนา ชั่วเวลาที่ผ่านไปอีกเพียงครึ่งปีหลังจากแม่จากไป พ่อเพิ่มก็เริ่มล้มป่วยกระเสาะกระแสะ เริ่มมีหลายโรครุมเร้า เพียงแปดเดือนหลังจากนั้น เด็กน้อยก็ต้องมานั่งพนมมืออยู่ในศาลาอีกครั้ง เสียงพระสวดเมื่อคราวที่แล้วแทบจะยังไม่สิ้นเสียงกังวานไปจากสองหู บทสวดเดิมๆก็ดังมากระทบโสตอีกครั้งแล้ว

    การจากไปของทั้งแม่และพ่อในเวลาที่ไม่ห่างกันนัก มันช่างเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่นัก เด็กชายภักดิ์ ยังไม่โตพอที่จะดูแลเรือกสวนไร่นา จึงให้ป้าเป็นผู้จัดการดูแล ตัวเองนั้นก็ขอกลับไปบวชอีกครั้ง ตั้งปณิธานไว้ว่า บวชเรียนคราวนี้จะมุ่งมั่นศึกษาวิชาในด้านการรักษาโรค และจะอุทิศตัวเพื่อช่วยคนเจ็บป่วยเท่าที่กำลังตนจะพึงกระทำได้..

    *********
     
  10. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    จบตอนช่วงชีวิตวัยเด็กของคุณตาของผม ไว้แต่เพียงเท่านี้ และ ก็เป็นตอนสุดท้ายที่ผมได้เขียนเอาไว้...

    คิดว่าจะเขียนต่อในภาค 2 ช่วงชีวิตวัยหนุ่ม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ลงมือเขียนซักกะที...งานราษฎร์ งานหลวงเยอะแยะ...คงต้องให้มีเวลาว่างจริงๆที่จะนั่งสมาธิ รวบรวมเรื่องราวที่เคยอ่าน เคยรับฟังการเล่า มาเขียนต่ออีกครั้ง...

    ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ...

    และหวังว่า คาถาที่แทรกให้ในเรื่อง คงพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ให้สมกับเจตนารมณ์ของคุณตาที่บันทึกเก็บเอาไว้ ก็คงเพื่อให้ชนรุ่นหลัง ได้เก็บเอาไปศึกษาเรียนรู้หรือนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง....

    ในบันทึก มีหลายหน้า ที่คุณตาบันทึกเป็นอักขระโบราณ ผมอ่านไม่ออก ไม่รู้เป็นภาษาอะไร...

    ก็ไม่รู้ว่า หากเกิดภัยพิบัติใหญ่ เหมือนที่กล่าวขวัญถึงกันในห้องภัยพิบัตินั้น พอจะเอาคาถาเสกใบไม้กินแก้หิวไปใช้ได้หรือไม่สินะครับ อิ อิ...

    สวัสดีครับ...
     
  11. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,948
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ขอบคุณมากค่ะที่นำมาให้อ่าน มีประโยชน์และสาระน่าติดตาม และแสดงถึงพุทธานุภาพและการฝึกสติที่ดีช่วยในการดำเนินชีวิตให้ปลอดภัยในยามคับขัน ขอโมทนาค่ะ
     
  12. saisiam

    saisiam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณจริงๆค่ะ คุณ niranam2008 ที่เอาเรื่องเล่าสนุก และดีๆแบบนี้มาแบ่งปันกัน บางตอนอ่านแล้วหัวเราะเลยค่ะ ความจริงน่าจะเขียนเป็นหนังสือได้เลยน่ะค่ะ ถ้าเขียนออกมาจริงๆ จะซื้อเป็นคนแรกเลยค่ะ

    ยังไงอยากให้มีภาคต่อ จะรออ่านน่ะค่ะ :cool:
     
  13. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636
    เตือนนิดนึงนะครับท่านเจ้าของกระทู้ ระวังผู้ไม่หวังดี หาประโยชน์จากบทความนี้ แอบอ้างไปเป็นของตัวเองและนำไปตีพิมพ์นะครับ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ..อยากให้เขียนเตือนผู้อ่านทุกท่านไว้หน้าแรกด้วยครับ ^^!
     
  14. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    คุณ datchanee...ขอบคุณครับ :)

    คุณ saisiam...ภาค 2 อาจต้องรอนานหน่อยนะครับ ;)

    คุณ manganiss...ขอบคุณที่กรุณาเตือนครับ...เดี๋ยวไปเขียนบอกกล่าวไว้ที่หน้าแรกด้วยล่ะกัน...
     
  15. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    ชอบ...อ่านสนุกดีครับ แล้วจะติดตามเรื่อยๆ ขอบคุณครับ
     
  16. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    พออ่านได้นะ
    อิติปิโสภะคะวา
    ปิทิพชะนาจิตติ
    นะโมพุทธายะ
    มะอะอุ อะระหัง สัพเพ ชะนานัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  17. ใบโพริ์

    ใบโพริ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +212
    ท่อนแรกก็พอ มีคุณและโทษนะ
     
  18. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    เขียนได้ดีมากๆ น่าติดตาม ผมจะติดตามรออ่าน ตอนต่อไป กลับมาเร็วไวนะครับ
     
  19. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ขอบคุณครับ คุณใบโพริ์...ตกลงที่อ่านและถอดข้อความมานั้น คือตัวยึกยือจากหน้าแรกในบันทึกของคุณตาเหรอครับ?...

    คุณ ton344....คงต้องรอนานหน่อยนะครับ อิ อิ

    คุณ onimaru_u....ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มิถุนายน 2012
  20. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    826
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขอเป็นสมาชิกติดตามอ่านด้วยคนครับ อิ อิ อิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...