ช่วยบอกวิธีทำให้จิตสงบเวลานั่งกรรมฐานด้วย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เกียรติ, 4 สิงหาคม 2007.

  1. เกียรติ

    เกียรติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +159
    สวัดดีครับ คือผมมีเรื่องจะขอคำชี้แนะครับ เวลาที่นั่งกรรมฐานผมมักจะเกิดคิดเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาแล้ว เกิดขึ้นมาในสมองทั้งที่ผมพยายามไม่คิดแล้วแต่มันก็มีเรื่องต่างๆขึ้นมาเสมอ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจและนั่งกรรมฐานอยู่ไม่ได้ ช่วยบอกวิธีแก้ไขให้ด้วยครับ ขอขอบคุณไว้ร่วงหน้าครับ[bw-cry]
     
  2. พุทธธรรมจักร

    พุทธธรรมจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +159
    สวัสดีครับ....ขอเป็นเล่าเรื่องสัพเพเหระ.....ให้กันฟังไปนะครับ...มีประโยชน์บ้างไม่มีบ้าง.....ไม่ว่ากันนะครับ...ถือว่าอ่านเพลินๆก็แล้วกัน....ตัวคิดมันเป็นสังขาร..ในขันธ์ ๕ ละครับ..เรื่องที่มันจะไม่คิด..หรือปรุงแต่ง...ไม่มี...เมื่อมันคิดก็ต้องปล่อยมันไป.....ให้มันคิด...ดูมันไป..เอาสติ..สัมปชัญญะ...ผู้รู้ตามมันไป......มันคิดดีบ้าง...ก็ช่างมัน...คิดไม่ดีบ้างก็ช่างมัน....ปล่อยมันอยู่อย่างนั้น......สำคัญ..เราต้องพยายามตั้งสติ..อย่าเคร่งเครียด..อย่าอยากมี..อยากได้...อยากสงบเร็วๆ.....ทำใจให้สบาย.....หาวิธีคลายอารมณ์...หรือทำในสิ่งที่ชอบก่อน...นั่งสมาธิภาวนา....ร่างกายสบาย...มีสัปปายะ..ที่ดี..อากาศชุ่มชื่นเย็นสบาย....ไม่วิตกกังวลในเรื่องใด (ถ้ามีกิจธุระก็ควรทำให้เสร็จเสียก่อนแล้วจึงค่อยมานั่งสมาธิ) นั่งแบบสบายๆ ๆ ๆ คล้ายคนกำลังจะหลับ... พักผ่อน(แต่ไม่หลับ) เอากรรมฐานที่เราใช้มากำหนดจิตภาวนา (แนะนำให้ใช้อานาปานุสติกรรมฐานคือ กำหนดลมหายใจเข้าออก คำภาวนาตามถนัด เป็นกรรมฐานที่แก้ความฟุ้งซ่านระงับ ลองศึกษาเพิ่มเติมจากตำรับตำราเกี่ยวเรื่องของจริต) กำหนดกำกับอยู่อย่างนั้น....คิดอยู่ไว้เสมอว่า เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป ไม่มีอะไรจีรัง ยังยืน อยู่ในโลกนี้ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีคนที่ไม่ตาย ปู่ ย่า ตายาย สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ล้วนแล้วต้องตายลงทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติที่เรามีหรือหามาได้..หรือกำลังหา...ตายไปแล้ว...หาไปกับเราไม่..มีแต่บุญกุศลที่เราทำเท่านั้นที่ช่วยค้ำชู ติดตามตัวเราไปในภายภพเบื้องหน้า (พยายามพิจารณา คิดในเรื่องที่ดี บุญกุศลต่าง หรือข้อธรรม..กรรมฐานต่างๆ..) ถ้าสงบระงับแล้ว....ก็กำกับ ...บริกรรม ..ภาวนาต่อไป..วางใจเป็นกลางสบายๆๆ..ถ้ามันฟุ้ง....คิดอีก...คอยกำกับแล้วไม่อยู่...ก็ปล่อยมันคิดไป....(ลืมไป...ตลอดทั้งวันควรคบ...หรือพูดจา..กับกัลยามิตรที่ดี ..เอื้อต่อการกำกับสมาธิภาวนา...หรือท่อง...บริกรรม...สวดมนต์...ไปด้วย..เป็นการเกลี่ยจิตที่ดี..พึงเว้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง..เข้าทำนองปลีกวิเวกยิ่งดีใหญ่) นั่งไป...ภาวนาไป...อย่าไปบังคับหรือเร่งรีบ....วันนี้ไม่ได้...พรุ่งนี้เอาใหม่...พรุ่งนี้ไม่ได้...มะรื้นเอาใหม่....มันก็สงบระงับเข้าได้สักวัน...ที่สำคัญ..ได้แล้ว...อย่าอยากให้มันคงอยู่อย่างนั้น.....อันนี้ก็กลับมาไม่สงบเหมือนกัน....ให้เอาใจ...เอาจิตแนบติดกับคำบริกรรมเบาๆ....ให้มันคงอยู่อย่างนั้น.....อย่าอยากคิดให้มันสงบ..ระงับ..เข้าทำนอง...ทำตามหน้าที่...ดู...คำบริกรรม...อยู่อย่างนั้น...มันจะคิดอย่างไร..ถอยหน้า...ถอยหลัง....เข้า...ๆๆ..ออก..ๆๆ...สำคัญอย่าให้คำบริกรรม...หาย....คิดปล่อยมันคิดไป..พยายามวางในจิตใจ..ว่า...เราวางเรื่องต่างๆแล้ว (เอ๊าลองคิดดู....ที่จริงเราวางเรื่องต่างๆสัก..1..-2 ชั่วโมงขณะนั่งสมาธิภาวนา ก็ไม่เห็นมันจะกระทบเสียหายกับเรื่องที่คิดเลย..เพราะอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้ในเรื่องที่คิดอยู่ดี...) คิด..ก็คิดไป...คำบริกรรมภาวนาก็บริกรรม...ภาวนาไป....เอาแบบสบายๆๆ...ถ้ารู้สึกตั้งใจเกินไป...ก็ผ่อนลงมา...ถ้าหย่อนเกินไป...ก็ดึงจิตมา...เอาแบบสบายๆๆ..เดินสายกลาง....เอ๊า...พอแค่นี้ก่อน......ที่สำคัญต้องให้สบาย.ๆ...ถึงจะดี ....ลองไปปฏิบัติ.....ภาวนาดู.....เผื่อจะนั่งนานเป็นชั่วโมง...ก็ได้...ใครจะรู้กับเรา....สุดท้ายนี้ก็มีแค่นี้แหละ.....สุขสมหวัง...จงมี..แก่ทุก..ผู้...ทุกคนเถิด
     
  3. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ให้อยู่กับความรู้สึกตัวแทนครับ ถึงมีความคิดก็ปล่อยให้คิดไป สติของเราสนใจแต่ความรู้สึกตัวก็พอ ไม่นานความคิดเหล่านั้นจะอ่อนกำลังลงจนเบาบางและจิตก็จะสงบเป็นสมาธิ บางครั้งแม้จะยังมีความคิดอยู่แต่เนื่องจากสติเราสนใจอยู่กับความรู้สึกตัวจิตก็จะไม่ว้าวุ่นหรือวุ่นวายไปตามความคิดเหล่านั้นครับ (แม้ว่าความคิดเหล่านั้นจะมีอยู่ก็ตาม ถ้าจิตสงบมากจริงๆในบางขณะจะรู้สึกว่าแทบไม่มีความคิดเลยมีแต่ความรู้สึกตัวครับ)
     
  4. ชอลิ้วเฮียง

    ชอลิ้วเฮียง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +738
    ดูมันแสดง โดยไม่ต้องอยากให้มันดับ

    ( ความอยากเป็นตัณหาหล่อเลี้ยงให้มันเกิด- ถ้าเราอยากฯ เท่ากับเสียทีต่อมัน นี่เป็นอวิชชาในการดับความคิดที่หลวงปู่ดุลย์ท่านแนะไว้ )


    ไม่เราก็มัน จะดับกันไปข้างหนึ่ง
     
  5. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ปล.อย่าไปอยากให้ความคิดดับหรือไปอยากให้มีความคิด เพียงมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตามดูความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ถ้าความคิดจะคิดก็คิดถ้าจะดับก็ให้ดับไปตามธรรมชาติ เมื่อสติเราแก่กล้าขึ้นเราก็จะสามารถควบคุมจิตใจได้ว่าต้องการจะคิดหรือไม่คิดอะไร จะเกิดปัญญาคอยกำกับสติ ความคิดอะไรที่ไม่ดีเราก็ทิ้งไปและไม่ไปทำตามความคิดนั้น ส่วนความคิดอะไรที่ดีเราก็สามารถนำมาทำตามได้ เพียงแต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดและการกระทำเหล่านั้น มีสติอยู่กับปัจจุบันกับสิ่งที่ทำไปทีละขณะๆ......
     
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    น้ำกระเพื่อมในแก้ว อดทนเดี๋ยวเดียวก็นิ่ง
    ไปยั้งไม่ให้กระเพื่อม ไปต้านทาน ไปยุ่งก๊ะมัน


    มันก๊อไม่หยุดเสียทีอ่ะ...
     
  7. thanoos

    thanoos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +986
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ตอบกระทู้นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำตอบที่ดีๆทั้งนั้น เรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะแต่ละท่านสั่งสมบุญมาไม่เหมือนกันหรือไม่ท่ากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้ตั้งใจจริงปฏิบัติไปเรื่อยๆ อย่าหยุด ที่สำคัญพยายามฝึกให้มีสติอยู่บ่อยๆในชีวิตประจำวันไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ สติเป็นเรื่องสำคัญมากๆและเป็นหัวใจของการปฏิบัติ พอเผลอไปคิดเรื่องอื่นเมื่อรู้แล้วก็กลับมาให้มีสติใหม่ ปัจจุบันมีหนังสือแนวปฏิบัติที่ดีมากมาย ที่ทางชมรมกัลยาณธรรมพิมพ์เผยแพร่แจกฟรีหรือขายในราคาถูกมากๆ หรือเข้าไปอ่านหนังสือธรรมะในwebที่ www.kamlayatam.com ได้ แนวปฏิบัติของท่านพระครูเกษมธรรมทัต วัดมเหยงค์ อยุธยา ท่านสอนแนวปฏิบัติได้ดีมากๆ และมีอีกหลายท่านที่ไม่ขอกล่าวในที่นี้ อย่างไรก็ตามขออนุโมทนาครับ
    ต่างคนต่างมา แล้วก็ต่างคนต่างไป
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ก่อนอื่นคุณควรได้รู้ความหมายของคำว่า "กัมมัฎฐาน" เป็นอันดับแรก เพื่อที่คุณจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเมื่อรู้ความหมายแล้ว ความเข้าใจในส่วนอื่นๆก็จะตาม ดังนี้

    กัมมัฎฐาน หมายถึง ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบายทางใจ, วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ ๑ วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา ๑ (นิยมเขียน กรรมฐาน) ดู ภาวนา - subjects of meditation; meditation exercises; the act of meditation or contemplation; ground for mental culture
    (จากพจนานุกรม ฉบับ พระธรรมปิฎก ประยุต ปยุตฺโต)
     
  9. Just_Aware

    Just_Aware เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +579
    มีแต่คำตอบดีๆทั้งนั้นเลยครับ


    เมื่อรู้ว่ากระสับกระส่าย ก็แปลว่ามีสติแล้ว

    เมื่อรู้ว่าคิดอยู่ ก็แปลว่ามีสติอยู่แล้ว

    เมื่อรู้ว่าฟุ้งซ่านอยู่ ก็แปลว่ามีสติอยู่แล้ว


    อยากดับความฟุ้งซ่าน.. ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอยาก.. แม้ฟุ้งซ่านหาย แต่ความอยากก็ยังอยู่ ความสมใจ ชัยชนะของโมหะ ก็ยังคงอยู่

    นิ่ง สงบ และรู้ ดูมันไป นั่นแหละ คือหน้าที่ของเรา

    เพราะโลภะ โทสะ โมหะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปกีดกัน ขัดขวาง ทำลายได้โดยง่าย

    แต่เรา สามารถรู้จักพวกเค้าได้โดยง่ายถ้ามีสติ ตามรู้ ตามดูพวกเค้า

    เหมือนหนึ่งว่า หากคุณอยากรู้จักวิธีคิดแบบโจร คุณก็ต้องลอง เปิดตา เปิดใจ สังเกตุ ดูว่า โจรมันขึ้นบ้านยังไง เข้าทางไหน ใช้วิธีใด

    เมื่อ(จิต)คุณดูดีแล้ว เห็นบ่อยๆแล้ว วันหลัง โจรจะขึ้นบ้านคุณ แม้พวกโจรยังเดินไม่ถึงตัวบ้านคุณก็รู้ตัว แล้ว เปิดไฟปุ๊บ โจรก็ไม่ขึ้นบ้านอีก เพราะเจ้าของบ้านตื่นซะแล้ว

    โจรไม่หายไป โจรยังอยู่ แต่เป็นเพราะเราเองทันมัน ทันโจร โจรเลยไม่มายุ่งกับเรา.. เราไปฆ่าโจร คงเป็นเรื่องใหญ่ กว่าเยอะจริงมั๊ย

    หัด รู้ ดู ตาม ความอยาก ความไม่อยาก ความชอบ ความไม่ชอบ ความฟุ้งซ่านและไม่ฟุ้งซ่านต่อไปเรื่อยๆเถอะครับ ต่อไปทุกอย่างจะเบาลง ง่ายขึ้น โดยอัตโนมัติ
     
  10. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    เมื่อมีเรื่องเข้ามาในสมอง ก็พยายามอย่าไปต่อยอดมัน เดี๋ยวก็สงบเองครับ ทำจนชินแล้วอีกหน่อยก็ไม่ต้องปล้ำกับลมหายใจแล้วครับ
    แล้วก็พยายามภวนาเรื่อยๆ หรือตอนเช้าตอนตื่นนอนก็อย่าเพิ่งลุกขึ้น หายใจเข้าออก พุทธโธๆๆๆ สักพักแล้วค่อยลุกก็ดีนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2007
  11. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    โมทนาในทุกคำตอบครับ มีข้อแนะนำเพิ่มเติม ในการปราบจิตพยศ (ฟุ้งซ่าน) สำหรับผู้มีเวลาฝึกฝน คือ

    นอนน้อย 4-5 ชม. ต่อวัน และทำงานใช้แรงจนเหนื่อย

    การนอนน้อย จิตจะอยากพักผ่อนเองโดยอัตโนมัติ หมดกำลังคิดฟุ้งซ่าน
    การทำงานใช้แรงจนเหนื่อย จิตจะปล่อยวาง สบายๆ เองโดยอัตโนมัติ คนที่ชอบออกกำลังกายจะทราบดี

    เมื่อสติ และสมาธิ แก่กล้าแล้ว การจะหยุดฟุ้งซ่านเมื่อมันเกิดขึ้น ก็สามารถจะทำได้
     
  12. thanoos

    thanoos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +986
    ขออภัยwebที่ถูกต้องคือwww.kanlayanatum.com
     
  13. thanoos

    thanoos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +986
    ขอโทษอีกเป็นครั้งที่ 2
    ที่ถูกเป็น www.kanlayanatam.com(b-smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...