นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งสุวรรณนาคพาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อ
หาอาหารได้ช้างมาเป็น อาหาร ได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งพร้อมกับ

นำขนของช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างกินเนื้ออย่างอิ่มหนำ
สำราญด้วยกันทั้งสองฝ่าย และวันต่อมาอีกวันหนึ่งสุวรรณนาคได้พาบริวาร
ไพร่พลออกไปล่าเนื้อ


หา อาหารได้เม่นมา สุวรรณนาคได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม
พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปให้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของ

เม่นใหญ่เม่นตัวเล็กเมื่อแบ่งเนื้อเม่นให้สุทโธนาคจึงต้องแบ่งให้ น้อย
สุทโธนาคได้พิจารณาดูขนเม่นเห็นว่าขนาดขนช้างเล็กนิดเดียวตัวยัง
ใหญ่โต ขนาดนี้


แต่นี้ขนใหญ่ขนาดนี้ตัวจะใหญ่โตขนาดไหนถึงอย่างไรตัวเม่นจะต้อง
ใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่น

ที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไป คืนให้สุวรรณนาคพร้อมกับฝากบอกไปว่า
"ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์"

ฝ่ายสุวรรณนาคเมื่อได้ยิน

ดังนั้น จึงได้รีบเดินทางไปพบสุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้
ขนมันจะใหญ่โต แต่ตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหาร

เสียเถิด สุวรรณนาคพูดเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่เชื่อผลสุดท้ายทั้งสองฝ่าย
จึงประกาศสงคราม กัน ฝ่ายสุทโธนาคซึ่งมีความโกรธเป็นทุนอยู่ตั้งแต่
เห็นเนื้อเม่น

อยู่ แล้วจึงสั่งบริวาร ไพร่พลทหารรุกรบทันที ฝ่ายสุวรรณนาคจึงรีบเรียก
ระดมบริวารไพร่พลต่อสู้ทันทีเช่นเดียวกัน ตามการบอกเล่าสู่กันฟังมาว่า

 

อื้อหือ... ฝันติดเรทเชียวค่ะพี่นุ๊ก 555+

รีบๆโทร แล้วมา โม้ต่อนะคะ รอฟังค่ะ

 

มาแล้วๆ นิทานจากพี่รั้ง อิอิ

 

พญานาค ทั้งสองรบกันอยู่ถึง 7 ปีต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้า เพราะต่างฝ่าย
ต่างหวังจะเอาชนะกันให้ได้ เพื่อจะครองความเป็นใหญ่ในหนองกระแส

เพียง คนเดียวจนทำ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณหนองกระแสและ
บริเวณรอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตามกัน

เมื่อเกิดรบกันรุนแรงที่สุดจนทำให้ พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว
ทั้งหมด เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน ไปทั้งสามภพ
ความ เดือดร้อนทั้ง หลายได้ทราบไปถึง พระ อินทรา ธิราชผู้เป็นใหญ่

เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เพื่อร้องทุกข์และเล่า
เหตุการณ์ ต่าง ๆ

ให้ฟังเมื่อพระอินทร์ได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว จะต้อง หาวิธีการให้พญานาค
ทั้งสองหยุดรบกันเพื่อความสงบสุขของไตรภพจึงได้เสด็จจาก ดาวดึงส์
ลงมา ยัง เมืองมนุษย์โลกที่หนองกระแส แล้วพระอินทร์ตรัส เป็นเทวราช

โองการว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือ
ว่าทุกฝ่ายเสมอ กัน และหนองกระแสให้ถือว่าเป็นเขตปลอดสงคราม
ให้พญานาคทั้งสองพากันสร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแส

ใครสร้างถึงทะเล ก่อนจะ ให้ปลา บึก ขึ้นอยู่ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือว่า
การทำ สงครามครั้งนี้มีความเสมอกัน เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาท
ของพญานาค ทั้งสอง ให้เอาภูเขาพญาไฟ เป็น เขตกั้นคนละฝ่าย

ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอ ให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็น
จุลมหาจุล เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการ ดัง

กล่าวแล้วสุทโธนาคจึงพาบริวารไพร่พลอพยพออก จาก หนองกระแส
สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรง ไหน

เป็นภูเขาก็คดโค้ง ไปตามภูเขาหรือ อาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยาก
ง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน

แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า "แม่น้ำโขง"

 

คำว่า "โขง" จึงมาจาคำว่า "โค้ง" ซึ่งหมายถึงไม่ตรง ส่วนทางฝั่งลาว
เรียกว่า แม่น้ำของ ด้านสุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการ ดังกล่าว
จึงพาบริวารไพร่พลพลอย อพยพออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไป

ทางทิศใต้ ของหนองกระแส สุวรรณนาคเป็นคนตรงพิถีพิถันและเป็นผู้มี
ใจเย็น การสร้าง แม่น้ำจึง ต้องทำ ให้ตรงและคิดว่าตรง ๆ จะทำให้

ถึงจุดหมายปลายทางก่อน ตนจะได้เป็นผู้ชนะ แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า
"แม่น้ำน่าน"แม่น้ำน่าน จึงเป็นแม่น้ำที่มีความตรงกว่า แม่น้ำทุกสาย
ในประเทศไทย

การสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้งนั้น ปรากฎว่าสุทโธนาคสร้างแม่น้ำโขงเสร็จ
ก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาคเป็นผู้ชนะและปลาบึก
จึงต้องขึ้นอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลกตามการ บอกเล่าต่อ ๆ
กันมาว่า

น้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำในแม่น้ำน่านจะนำมาผสมกันไม่ได้ ถ้าผสมใส่
ขวดเดียวกันขวดจะแตกทันที ในกรณีนี้ยังไม่เคยเห็นท่านผู้ใดนำน้ำทั้งสอง
แห่งนี้มาผสมกันสักที สุทโธนาคเมื่อสร้างแม่น้ำโขงเสร็จแล้ว ปลาบึก

ขึ้นอยู่แม่น้ำโขงและเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงอิทธิฤทธิ์
ปาฏิหาริย์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า

"ตัวข้าเป็นชาติเชื้อ

 

ที่เหลือ ...ให้ท่าน ประธานเล่าต่อ จ้า.....

หากยังไม่ออกมา ..เดี๋ยวหางานให้ แบบจัดหนักเลยอ่ะ.....

 

ท่านพระอาจารย์ยันตระ กล่าวไว้ว่า

การไปสู่เทวโลก พรหมโลก ก็เหมือนๆ มีเครื่องล่อ เครื่องรับ เครื่องส่ง
ปรากฏเป็นภาพนิมิตในภพภูมิต่างๆ นั้น มีจิต จิตเป็นผู้เหนี่ยวอารมณ์เป็น
เหตุให้แสดงภาพเป็นเรื่องในจิตนั้น ความจริงไม่มีตัวตน นั้นเป็นเรื่องที่เกิด
จากจิตคุ้นและหน่วงอะไรเป็นอารมณ์ ขณะนั้น จิตไม่มีอำนาจอยู่นอกเหนือ
ของการบังคับ จึงเป็นไปเองด้วยเหตุปัจจัยภายใน

ฉะนั้น เราจึงควรน้อมจิตเป็นกุศลจิตเจริญธรรมให้ยิ่งขึ้นด้วยความไม่ประมาท
ดั่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสเป็นพระบาลีว่า

"จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา"

แปลความว่า "จิตที่เศร้าหมองไม่ผ่องใสแล้ว ทุคคติย่อมเป็นที่หวังโดยแน่
จิตที่ไม่มีความเศร้าหมองสุคติย่อมเป็นที่หวังโดยแน่" ตามธรรมชาติล้วนๆ
เท่านั้นที่แปรไป มิได้มีความแตกต่างระหว่างชีวิตและมรณะ ความตายเป็น
เพียงกระแสแห่งเหตุปัจจัย หามีความตายที่แท้จริงไม่ เพราะอนัตตานี้เอง
จึงไม่มีผู้ตาย ในขณะแห่งมรณสติปรากฏแจ้งชัด และเรามีความรู้สึกอยู่เหนือ
ความตาย

จึงเป็นภาวะปล่อยวาง แตกต่างกัน เมื่อมีความรู้สึกว่าเป็นเราของเรา ดูเหมือน
จะหลอมไหลรวมกับสรรพสิ่งเป็น "เอกภาพ" จงเฝ้าดู เฝ้ารู้เฝ้าเห็น ให้ประจักษ์
แจ้งต่อสภาพธรรมที่เรียกว่า "ความตาย" อยู่เนืองๆ จนเข้าถึงอนัตตา แล้ว
"เอกภาพ" ก็จะปรากฏชัด จงอย่าสงสัยและรีรออยู่เลย

อัตตา บัง อนัตตา...พาให้ทุกข์
อนัตตา เพิก อัตตา...พาพ้นทุกข์

 

คนโม้...ไปไหนกันหมดเนี่ย

มาทายปัญหากันดีกว่า...อะ แต่ไม่มีข้อให้เลือกนะ
ทายถูกมีรางวัล....ยกจันทร์เทวีให้ไปเลย

เราเห็นกระทู้นึงเค้าบอกว่าเกาะอะไรเอ่ยที่มีผู้หญิงมากที่สุด?

เราก็จะทายเรื่องเกาะเหมือนกัน...เกาะอะไรเอ่ย...มี น-หนู มากที่สุด?
ทายถูกรับรางวัลกันไปเลย....

 

เกาะ แน่น แน่น นะ น้อง

มารับรางวัลแล้วค่ะ

 

เย้ยยยยยย .... จะดีเหรอคะพี่นุ๊ก 5555+ คงไม่มีคนมาตอบแล้วอิแบบนี้

จันทร์เทวีขอตอบรักษาตัวเองว่า เกาะแน่น แน่น นะ น้อง นะ 555+

 

แน่ใจเหรอคะ ว่าอยากจะได้รางวัล 555

 

มีคนร่วมทายแค่ 2 คนเองเหรอ
งั้นไม่เฉลย ขอไปท่องยุทธภพก่อน
เดี่๋ยวกลับมาจ้ะ....

 

รีบๆมานะ... อย่าหายไปท่องนาน แบบท่านประธานนะคะ

 

เจอเรื่องการอธิษฐานจิตบูชา "เพชรพญานาค" มา ของตัวเองที่พริ้นท์ไว้
เมื่อครั้งที่ได้เพชรพญานาคมาค่ะ ก็เลยเอามาลงให้เผื่อว่าใครสนใจจะนำไปปฏิบัติ

การอธิษฐานจิต มีเครื่องสักการะบูชา ดังนี้
1. ธูป 5 ดอก
2. เทียน 2 เล่ม
3. พวงมะลิหรือพวงมาลัยอื่นๆ
4. จุดธูปเทียน ตั้งนะโม 3 จบ, ท่องไตรสรณะคม, อาราธณาศีล 5,
บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
5. สวดคาถาบูชา "โอม อุ อะ มะ นะ โม พุท ธา ยะ ยะ สะ สุ มัง"
6. ตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ (ไม่เกินกำลังของกฏแห่งกรรม)

ถ้าต้องการทำน้ำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาด อัญเชิญ "เพชรนาคา"
ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนบูชาท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจ
ให้สงบนิ่งสักอึดใจหนึ่ง

ตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวัง
ดังที่ได้อธิษฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายพระพุทธรูป
เป็นต้น อุทิศถวายให้ "พระแม่ธรณี หลวงปู่เทพโลกอุดร ปู่ทวดนาคราชสุนันโท
นาคา นาคี เงือกบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง" จะเป็นการ
สร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว

การอธิษฐานเพชรนาคา 9 สี
นำเพชรนาคามาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกัน แล้วอธิษฐานและหมุนตามเข็มนาฬิกา
หมุน 1 ครั้ง ป้องกันภัย
หมุน 2 ครั้ง ป้องกันภูติผีปีศาจ
หมุน 3 ครั้ง ขอโชคลาภ
หมุน 4 ครั้ง สะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี (ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู)
หมุน 5 ครั้ง ป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน
หมุน 6 ครั้ง รักษาโรค
หมุน 7 ครั้ง ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข (สามี/ภรรยา รัก)
หมุน 8 ครั้ง ถ้าไม่สบายรักษาตนเอง
หมุน 9 ครั้ง ชนะศัตรูหมู่มาร

 

คิคถึง .. ก็ไปหาเธอสิ ...อย่าปล่อยให้เธอรอนานนะ....

น้องซุปเปอร์ไซย่า..




￣ε ￣└(^o^)┘＠(￣-￣)＠(*¯︶¯*)╰（￣▽￣）╭

 

ไม่มีใครยอมไร้สาระเหมือนเราเลย...
จ้องกันใหญ่เลยนะ วันนี้ท่านประธานไม่ว่างค่ะ

อย่าถามนะว่ารู้ได้ยังไง...ง่ายมากๆ
ถ้าว่างก็เข้ามาแล้วอ่ะจิ 55

 

ดีจังเลยค่ะ... แต่เสียดายที่เราไม่มี อิอิ

 

ใครๆ เค้าก็ชอบเป็นตู้เพชร ตู้ทองเคลื่อนที่
แต่สำหรับพี่กลับไม่ชอบเพชร ไม่ชอบทอง
แต่ดันชอบหนังสือ ปลวกกินไปหลายตู้แระ
กลับบ้านเที่ยวนี้ หาหนังสือเก่าๆ ที่เก็บไว้ไม่เจอเลย
โดนขนไปทิ้งเกือบหมด ไม่รู้ว่าจะวีนใครดี
เหลือแต่หนังสือพระไตรปิฎกกับหนังสือสวดมนต์

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะ
วัตถุธาตุย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา

เล่าให้ฟังเรื่องบ้านดีกว่า
บ้านที่อยู่ในปัจจุบันนี้ พี่สาวชวนไปซื้อค่ะ
ทีแรกยังไม่มีบ้าน เป็นที่เปล่าๆ อยู่ชานเมือง
เงียบสงบดี เป็นเหมือนท้องนา นายทุนนำมาจัดสรร
เหลืออยู่ไม่กี่แปลง ตอนที่ไปเห็นก็ไม่อยากได้
แต่ชอบที่มันเงียบสงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน
ก็เลยเลือกไว้ 1 ล๊อค ดูในแปลนบ้าน ยังไม่ได้ไปดูที่

หลังจากนั้น ก็ได้ไปดูที่ตามที่ได้เลือกไว้ ปรากฏว่า
ที่ๆ เราเลือกมีจอมปลวกโตเท่าภูเขาน้อยๆ แถมมีศาลเพียงตา
ผูกผ้าสามสีอีกต่างหาก ก็ไม่คิดมากค่ะ เพราะเป็นคนไม่เชื่อ
เรื่องเร้นลับเท่าไหร่ เชื่อในความดีของตัวมากกว่า

ต่อมาผู้รับเหมาก็เข้าไปทำการก่อสร้าง เราก็ยังคงไปดู
โดยที่ไม่เคยถามเลยว่าเค้าทำอย่างไรกับจอมปลวกนั้น
จนบ้านสร้างเสร็จย้ายเข้าไปอยู่ ก่อนที่บ้านจะสร้างเสร็จ
คุณพ่อก็เสียค่ะ เราได้ถามจากคนที่ย้ายเข้าไปอยู่ก่อนว่า
เคยมีจอมปลวกอยู่ตรงนี้ แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน เค้าบอกว่า
ผู้รับเหมาทำการถมที่ และย้ายศาลไปไว้ท้ายหมู่บ้าน
ปัจจุบันเป็นศาลตายาย และศาลท้าวมหาพรหม..

 

โม้มาอีกเลยค่ะพี่นุ๊ก อิอิ รอฟังอยู่จ้าาา

 

ตอนที่ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ๆ มดเต็มบ้านเลยค่ะ
ห้องนอนเรามีแต่มด เราก็ไม่ฆ่านะ เพราะถือว่า
เค้าอยู่มาก่อนเรา อ้าว...ถ้าไม่ฆ่าแล้วทำไงล่ะ
ใช้วิธีแผ่เมตตาค่ะ สวดมนต์ทุกวัน แผ่เมตตาทุกวัน
แต่เราก็ไม่เคยโดนมดกันเลยนะ
ล้างบ้านทุกอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วค่ะ

พอย้ายไปอยู่ได้สองปี คุณแม่ก็เสีย
อยู่มาจนปัจจุบันสิบกว่าปีแล้วค่ะ
แม่ย่าบอกว่าเจ้าที่ ที่นี่เป็นตายาย
ที่แรงมาก คนที่อยู่หมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่
จะมีปัญหาเรื่องขา และจะตายกันเป็นคู่

แม่เราก่อนตายก็ถูกตัดขาและเป็นอัมพฤกษ์
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทุกวัน เราต้องเช็ดตัว
อุ้มแม่ทำธุระ ป้อนข้าวให้แม่ก่อนไปทำงาน
ตอนกลางวันก็ให้น้องชายกับหลานเล็ก 2 คนดูแล
พอกลับมาตอนเย็นกลับจากทำงาน
ก็เช็ดตัว ป้อนข้าวให้แม่ นั่งคุยกับท่าน
บางวันแม่ก็เพ้อ บอกว่าเห็นเจ้าแม่กวนอิม
อุ้มแมวสีทอง มายืนอยู่ปลายเตียง
บางวันแม่ก็บอกว่ามีผู้หญิงเดินลงมาดูแม่
ตอนกลางคืน ทุกวันแม่จะร้องอย่างเจ็บปวด
เพราะว่าท่านมีเชื้อร้ายอยู่ในตัว

ตอนที่ตัดขาเราก็ไม่รู้ พี่สาวพาเข้าโรงพยาบาล แล้วโทร.
มาบอกว่าให้หมอตัดขาแม่แล้วนะ เราโกรธมาก
แต่แล้วก็วางลง ในสมองตอนนั้น คิดเรื่องเดียว
คือเราจะทำอย่างไรต่อไป จะดูแลแม่อย่างไร
จะดูแลหลานอย่างไร น้องชายก็ไม่ทำงาน
จะบริหารครอบครัวอย่างไร ให้อยู่รอดด้วยตัวเอง

เราปฏิบัติกับแม่อย่างนี้เป็นเวลา 2 ปี ท่านก็เสียค่ะ

ตอนนั้นทุกข์มากค่ะ รับผิดชอบคนเดียวทั้งบ้าน
ดูแลคุณแม่ที่ป่วยด้วย อยากจะบ้าแต่ก็บ้าไม่ได้
อยากจะตายแต่ก็ตายไม่ได้ ขันติอย่างเดียว...