วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เอาเรื่องกินมาล่อ เผื่อพรรคพวก"พลังจิตพิชิตอาหาร"จะหลงเข้ามาอ่านกันบ้างครับ
     
  2. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังด้วยคนครับ ขอให้คุณคณานันท์มีความสุข มีกำลังกายและกำลังใจที่ดี เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป และขอให้บรรลุพระโพธิญาณโดยเร็วด้วยนะครับ
    ขออนุญาต ลอกข้อความพี่ตั้มมานะครับ ไม่ได้เข้ามาดูกระทู้นี้เสียตั้งนาน
    ยังไม่รู้ว่าจะเรียนวิชาอะไรเลย ขอคำแนะนำที่เห็นผลไวๆหน่อยได้ไหมครับ
    ตอนนี้ไม่ทราบว่าผมยังขาดตก บกพร่องอะไรบ้าง วานคุณคณานันท์ช่วยถามพระท่านให้หน่อยสิครับ ถ้าตอบเป็นสาธารณะไม่ได้ ก็ pm ไปก็ได้ครับ
    ผมรู้สึกว่าตัวเองยังเอาดีอะไรไม่ได้เลย อายน้องๆ อ่ะครับ
     
  3. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    หลงเข้ามาอ่านตามที่พี่วางกับดักไว้พอดีเลยคะ :p

    Toutou ก็เคยเป็นนะ อยากทานอะไรก้อได้ทานแบบว่าแ่ค่นึกยังไม่ได้บอกใคร บางทีคุณแม่ก็เตรียมไว้ให้เลย คล้ายกับว่าสื่อสารกันได้ทางโทรจิต หรือไม่ก็มีเหตุให้ได้ทาน

    ดันมีจิตสัมผัสด้านอาหารซะงั้น -_-'

     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กราบขอบคุณครับพี่พรหมประกาศิต สำหรับพรที่มีให้

    ของพี่ต้องลด"เมตตา"ลงนิดหนึ่งครับ เพราะใช้พลังงานตรงนี้สูงไปหน่อย ตัว"เมตตา" ตรงนี้พุทธภูมิหลายๆท่านก็เป็นกันทุกคนครับ ไม่ใช่เรื่องแปลก เหมือนกับหลักสูตรหนึ่งที่ต้องสอบให้ผ่านกัน แถมยังต้องไปเจอแบบเต็มที่อีก ก่อนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นต้องดึงพลัง"เมตตา"ตรงนี้ ไปเป็นกำลังของเมตตาพรหมวิหารสี่จริงๆครับ

    ส่วนการปฏิบัติทางกาย มีการเคลื่อนย้ายพลังจากจักรที่อยู่ล่างสุดโคจรย้อนกลับไปกระตุ้นการเปิดตาที่สามได้ครับ กลับกลายมาช่วยเพิ่มญาณทัศนะได้ด้วยเสียอีก

    บอกเป็นนัยแบบนี้มองตาก็รู้ใจ หลายๆท่านครับ
     
  5. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลถามคุณคณานันท์เกี่ยวกับเมตตาของพรหมวิหาร4

    อ่า พี่คณานันท์ครับ ขอเรียกพี่แล้วกันนะครับ "พลังเมตตา" ที่พี่แนะนำให้คุณ พรหมประกาศิต ลดลง แล้วเอาไปเพิ่ม "เมตตาในพรหมวิหาร 4" สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไรหรือครับ เด็กอนุบาลจะได้วางจิตให้ถูกต้อง ตอนนี้เท่าที่เด็กอนุบาลพอจะคิดได้ เดาว่า เมตตาในพรหมวิหาร 4 คือต้องเมตตาแบบมีการพิจารณาวิปัสสนาควบไปด้วยหรือเปล่าครับพี่

    ขอบคุณมากที่พี่สอนเรื่อง เมตตาอัปปนาญาณ เด็กอนุบาลจะเอามาใช้บ่อยๆในชีวิตประจำวันครับ เมื่อเช้าตอนไปเดินออกกำลังกายรอบบึงหลังบ้าน ทำแล้วรู้สึกเย็นใจอย่างประหลาด ถามนิดนึงว่า ขั้นตอนในการแผ่กระแสเมตตาออกไปนี่เราควรต้องทำช้า เพื่อให้เราแน่ใจว่ากระแสแผ่ไปทั่วจักรวาลจริงๆไช่ไหมครับ :)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    วิธีสร้างบุญบารมีในชีวิตประจำวัน

    1. นั่งสมาธิให้จิตนิ่งสนิท อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)
    อานิสงส์ ---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
    เมื่อจิตสงบนิ่ง จะปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ ได้บุญมาก
    จิตจะผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
    จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
    ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
    เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
    อานิสงส์ ---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
    เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
    แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,
    พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
    อานิสงส์--- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
    สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
    ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
    อานิสงส์ ---ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
    อานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศสรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

    6. สร้างพระถวายวัด
    อานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
    ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป


    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป
    อานิสงส์ ---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
    ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
    สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไปได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
    จิตเป็นกุศล

    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
    อานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
    ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
    ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
    อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
    ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
    หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
    เป็นอิสระ

    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ
    อานิสงส์---ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
    ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

    11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
    อานิสงส์ ---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

    12. รักษาศีล5หรือศีล8
    อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
    ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
    กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

    อานิสงส์10ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
    4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
    7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

    อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

    1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
    2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
    3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
    4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
    5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
    6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
    7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
    8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญสตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
    9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
    10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

    อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)

    1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
    2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
    3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
    4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
    5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
    6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
    7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
    8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
    9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
    10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

    *ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีก จนกว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้น หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

    http://www.onoi.org/forum/index.php?topic=14.0;prev_next=next#new
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    เชื่อหรือไม่มนุษย์เรามีเวลาสั่งสม บุญหรือบาป เพียง 13,687 วัน เท่านั้นเอง

    *ผู้ที่อ่านบทความนี้จนจบ จะรู้สึกเลยว่า เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที มันช่างมีค่า และความหมายมากเพียงใด และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่เราปล่อยผ่านไปปล่าวๆ ให้กลับคืนได้อีกเลยตลอดกาล*

    สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ในยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุขัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี

    อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2548 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที
    เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ

    วันหนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น

    เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก

    มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันดีกว่า

    แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า "เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ" โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้ท่านคิดเช่นนั้น แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ อดีตชาติของท่านอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่ท่าน "จุติ" จากชาติที่แล้ว จนท่านมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าท่านจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือกตาย"

    โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)

    การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ
    1)การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป ที่มีอาการครบ 32 (ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ ประเทศเนปาล-อินเดีย นะครับ)
    2)การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ ในอนาคตกาล)
    3)การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
    4)การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา "สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่งจะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน")

    พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)
    1)ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
    2)สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
    3)ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16")
    4)อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
    5)ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
    6)ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    7)ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    8)ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
    9)ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
    10)ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี-พระศรีอริยเมตรไตรย์มี , เชื่อว่าทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้-เอาไปได้แค่บุญกุศล , ร่างกายมนุษย์มีไว้สร้างบุญบารมี-ไม่ได้เอาไว้หาความสุขสำราญ)

    อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย

    โลกมนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริงและค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย

    ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น

    ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ

    โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!

    ก่อนจะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะครับ !!!

    ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก

    พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า "บุญ-บาป ไม่มี" หรือที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มันให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ ..หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ" ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ

    ถึงท่านจะนับถือศาสนาอะไร มันเป็นเพียงชื่อเรียก เหมือนชื่อคน เราสมมุติกันขึ้นมา ซึ่งมันไม่มีผลอะไรกับกฏแห่งกรรมเลย เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านนับถือศาสนาอะไร มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ

    *พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    ปัญญาของมนุษย์เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า จะให้ทุกๆคนมีสติปัญญาที่จะเข้าใจ ธรรมะ ของพระพุทธองค์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
    เพราะเหตุแห่งความโง่เขลานี้ คนที่ตายจากโลกนี้โอกาสจะกลับมาเป็นคนอีก เทียบเท่าฝุ่นที่ปลายเล็บ เมื่อเทียบกับฝุ่นบนพื้นปฐพี
    คนที่จะไปสวรรค์เท่ากับเขาของโค เมื่อเทียบกับขนของโค มนุษย์เกือบทั้งหมดตายไป จะไปเกิดใน นรก-เปรต-อสุรกาย-เดรัจฉาน

    -------------------------------------------------------
     
  8. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอโมทนาในธรรมทานของคุณ vanco

    ได้อ่านเรื่องการทำบุญ ทำกุศล รวมทั้งโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเราได้เกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างความดี โดยมีระยะเวลาที่จำกัดและไม่แน่นอนนี้ ทำให้เด็กอนุบาลเกิดกำลังใจในการทำความดีขึ้นมาอีกเยอะเลย หลังจากอืดๆ ไปในช่วงหลัง จากนี้ไปไม่กล้าดำรงตนอยู่ในความประมาทในการทำความดีอีกแล้ว :)

    ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างให้เด็กอนุบาล ได้ตระหนักว่า แม้เรายังไม่มีโอกาสได้บวชตอนนี้ เราก็ยังสามารถสร้างกุศลในด้านการบวชได้โดยการ สนับสนุนให้คนอื่นได้บวช ทั้งทางตรงและทางอ้อมไปก่อน เป็นคำแนะนำที่ดีแท้แท้ ช่วยหาทางออกให้เด็กอนุบาลจนได้ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไร เด็กอนุบาลก็พร้อมที่จะบวชเพื่อทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่ และ สร้างความดีให้ตัวเองทันทีครับ

    ตอนนี้ก็คิดว่าตัวเองโชคดีมาก ที่มีโอกาสได้พบเพื่อนๆที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเต็มที่ในทางธรรม เป็นมิตรภาพแบบใหม่ที่แม้เราจะไม่ได้พบเจอกัน แต่รู้สึกได้เลยว่าใจเราอยู่ใกล้กัน คอยให้กำลังใจกันอยู่ตลอด ซึ้งมากคับ

    ท้ายที่สุดขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้โปรดบันดาลบุญกุศลที่ผมเคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาดีแล้วในทุกๆชาติ จนถึงปัจจุบันขณะจิตนี้ ให้สำเร็จแด่เพื่อนๆใน web นี้ทุกคน ขอให้มีความก้าวหน้า บารมีเต็ม ในเร็ววัน ทั้งทางโลกและทางธรรมครับ
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    พลังเมตตาที่ว่า นี้เป็น เรื่องการตอบโดยเฉพาะบุคคลครับ ไม่เป็นไร สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นโดยทั่วไปให้เจริญให้มากๆยิ่งขึ้นไปครับ

    ส่วนอารมณ์ใจในการเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่นั้นให้ค่อยๆแผ่ออกช้าๆ เย็นๆ ให้ละเอียดๆได้ยิ่งดีครับ

    ขอยินดีด้วยที่เห็นผลแห่งการปฏิบัติปรากฏแก่ใจของตนเอง ครับ
     
  11. พรหมประกาศิต

    พรหมประกาศิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +13,541
    ต้องขอขอบคุณคุณคณานันท์เป็นอย่างสูง ที่กรุณาตอบและชี้แนะแนวทางให้
    ผมเข้าใจว่าน่าจะลดความขี้เกียจของตัวเองลงมากกว่านะ คือรู้สึกตัวว่าความเพียรของเราย่อหย่อนมาก ไม่อยากจะทำในสิ่งที่ต้องควรทำ เพราะว่ามีความเกียจคร้านเป็นเหตุ ขี้เกียจนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือพิจารณากายคตาสติ อะไรต่างๆเหล่าเนี้ย มีแบบฝึกหัดอะไรบ้างหรือเปล่าครับที่จะต้องทำ แบบคล้ายๆว่าเริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นประถม 1-2-3 ขึ้นไปเรื่อยๆน่ะครับ
    อยากรู้ว่าตัวเองยังจะต้องทำอะไรหรือเรียนรู้อะไรในตอนนี้ บอกเป็นนัยๆ มันไม่เข้าใจอ่ะครับ
    หรือว่าต้องร้องเพลงรอไปก่อนดีครับ (sing) :'(
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มาต่อกันในเรื่องการเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ในแบบของพุทธภูมิกันต่อครับ


    การเจริญเมตตาเป็นทั้ง บารมี และเป็นพรหมวิหารสี่ ทำให้จิตใจของเราชุ่มเย็นไม่เร่าร้อน

    การปฏิบัติจริงนั้นมีการควบอารมณ์ในการปฏิบัติอื่น เพิ่มเข้าไปได้ดังนี้

    เมื่อเราพิจารณาในทานที่เราบำเพ็ญมา เวลาเราเจริญเมตตาเราก็ผสานบุญและผลานิสงค์ในทานอันสำเร็จแล้วนั้น เติมเต็มในดวงจิตของสรรพสัตว ทั้งปวง ให้ใจของท่านทั้งหลายติดอยู่ในทาน

    เมื่อพิจารณาในศีล
    -สมาธิ อันประกอบไปด้วยฌาน
    -การเจริญสัมมาทิษฐิ
    -การเจริญวิปัสสนาญาณ
    -จนถึงที่สุดคืออารมณ์พระนิพพาน

    เราก็ตั้งความปรารถนาให้หมู่สัตว์ทั้งหลายสำเร็จประโยชน์ เช่นเดียวกับที่เราได้บำเพ็ญอยู่ทุกอย่างทุกประการด้วย ตั้งใจให้อารมณ์ในการปฏิบัติที่เราทำได้สัมผัสใจของหมู่สัตว์ให้เขาทั้งหลายได้เข้าถึงอารมณ์นั้นโดยง่าย


    ด้วยผลแห่งการเจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ ก็จะปรากฏกระแสคลื่นความเย็นออกมาจากจิตของเรา เป็นความสงบ สบาย

    เหล่าเทพพรหมเทวา ที่ท่านได้รู้ ได้เห็น ท่านก็จะมาปกปักรักษาตัวเรา ผู้เจริญพรหมวิหารอยู่เป็นนิจ เสด็จลอยอยู่เหนือเศียรเกล้า จำนวนมหาศาล

    เราก็พึงอธิฐานถวายบุญให้แก่ทุกท่านที่มาปกปักรักษาตัวเรา ว่า

    "บุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ตลอดจนที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ว่าจะเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา บารมีสามสิบทัศน์ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายทุกๆท่านผู้มีคุณ นับตั้งแต่

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย บิดามารดา ท่านผู้มีพระคุณ อันได้แก่ เทพพรหมเทวาทั้งปวง

    รวมไปถึงท่านผู้ทรงเป็นพยานบุญในการสร้างบารมีของข้าพเจ้า อันได้แก่ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท่านท้าวสักกะเทวราช ท่านพญามัจจุราช แม่พระธรณี แม่พระคงคา เป็นต้น

    ขอได้โปรดมีส่วนร่วมในบุญ ในกุศล ในบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาทุกอย่างทุกประการ และขอได้โปรดเมตตาเป็นพยานในการสร้างบารมีของข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    หากแม้ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งไปในการบำเพ็ญบารมี ก็ขอให้เทพพรหมเทวาทั้งปวงช่วยดลจิตดลใจข้าพเจ้า ให้กลับเข้าสู่แนวทางแห่งการปฏิบัติที่มุ่งลัดตัดตรงสู่พระโพธิญาณด้วยเทอญ"

    สิ่งนี้เป็นเครื่องเกื้อกูลการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิ

    ยามใดที่เราเดือดร้อน พระแท่นกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ท่านก็จะแข็งกระด้างขึ้น เป้นเครื่องหมายว่า มีพุทธภูมิผู้หนึ่งกำลังเดือดร้อน

    ยามใดที่เราพลาดพลั้งล่วงสู่ที่ตัดสินโทษ พระยามัจจุราชท่านก็ยังเป็นพยานบุญในเราเองชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง พระโพธิสัตว์และพุทธภูมิท่านอื่นที่ได้อธิฐานจิตสงเคราะห์กันท่านก็จะมาช่วย ชั้นที่สาม ก็ต้องอ้างในบุญบารมีและความเป็นสัมมาทิษฐิให้เป็นเครื่องช่วยตนเองให้พ้นนรกเอา

    ยามที่ต้องสร้างบารมีและเรียนรู้สรรพวิชชาทั้งปวง ท่านท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่ในพรหมทั้งปวงท่านก็จะเมตตา เปิด"พรหมศาสตร์" มหาสมุทรแห่งสรรพวิชาและปัญญาญาณให้ได้สัมผัส

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม เจริญในการบำเพ็ญบารมี ด้วยกำลังบาทฐานแห่งเมตตาฌานกันทุกๆท่านด้วยเทอญ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตอบให้ในพีเอ็มแล้วครับพี่พรหม
     
  14. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    การบ้านของพี่พรหม คงเยอะน่าดู(b-wow) คุณครูเลยส่งให้ทาง PM
    อิอิ สม...สม...5555[b-nurse] งานนี้ท่าจะโดนคุณครูฉีดเข้าเส้นซะแหล่ว อิอิ(evil2)
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มาต่อกันในเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิกันต่อ

    เนื่องจากผมได้ติดค้าง คุณป้าของพี่จ๊ะ คนกิเลสหนา ที่ได้เมตตาช่วยขอแรงพวกเราที่ได้มโนมยิทธิ ให้ช่วยกันส่งกำลัง(ด้วยฤทธิ์ทางใจ)ไปช่วยรักษาประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งชายแดนภาคใต้

    ก็เลยขอรวบยอดวิธีการที่ได้ตั้งใจจะแนะนำให้ทราบกันอยู่แล้ว ไปเลยทีเดียวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ท่านผู้ที่สนใจในการปฏิบัติ



    การบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิไปจนถึงระดับแห่งพระมหาโพธิสัตว์นั้น นอกเหนือจากการที่เราจะสงเคราะห์บุคคลทั้งหลาย ด้วยกายหยาบ โดย การ จุดดวงธรรมในจิตใจของเขา ให้เข้าถึง ไตรสรณะคมม์ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญาในธรรม สัมมาทิษฐิ ตลอดจนไปถึง อริยะมรรค อริยะผล แล้ว

    ในการจุติลงมาสร้างบารมีในรูปแห่งมนุษย์นั้น มีข้อจำกัดมากมาย กายเนื้อยังต้องเนื่องด้วยทุกข์ ด้วยปัจจัยสี่ ต้องดูแลบริหาร ยามจะโปรดยามจะสร้างบารมี บางครั้งก็ไม่อาจทำ ไม่อาจบำเพ็ญได้ทุกๆวัน

    อันที่จริงการลงมาจุตินั้น บางครั้งเป็นการลงมาบำเพ็ญบารมีที่สำคัญ เป็นภาระกิจที่สำคัญๆเพียงประการเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนบารมีธรรมการปฏิบัติ อื่นนั้น เป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว


    สมัยก่อนที่เราจะลงมาจุติเป็นมนุษย์นั้น (หลายคนอาจลืมไป) อยู่ที่พรหมก็ดี ที่สวรรค์ชั้นดุสิตก็ดี ระหว่างเสวยบุญอยู่นั้น เราไม่ได้รอเปล่าๆปลี่ๆ เราส่งอาทิสมานกายของเราลงไปสอดส่องดูแลผู้ประพฤติธรรมอยู่เสมอ หากท่านผู้ทรงคุณธรรมท่านใดเดือดร้อน เราก็ไปช่วยเหลือแก้ไข (โดยไม่เกินอำนาจกฏของกรรม) บ้างก็ไปช่วยเพื่อนพุทธภูมิที่กำลังเดือดร้อนอยู่ตามพันธสัญญาแห่งพุทธภูมิ ผู้ที่เราไปช่วยจะทราบหรือไม่ ไม่มีผลประการใดเพราะเป็นไปด้วยกำลังแห่งพรหมวิหารสี่ที่บริสุทธิ์

    คราใดที่โลกมนุษย์ สงบสันติผู้คนมีศีลมีธรรม เราก็เจริญมุทิตาจิตยินดีที่มผู้เข้าใกล้พระนิพพานมากขึ้น

    คราใดที่โลกมนุษย์ เกิดกลียุคภัยพิบัติ เราทั้งหลายต่างก็อาสาลงมาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตแห่งพระพุทธศาสนา

    ครั้นลงมาแล้วก็จงอย่าได้ไปคิดว่า คนอื่นเขาจะรู้ เขาจะยกย่องเรา ในสิ่งที่เราได้ทำอยู่ในอดีต รวมไปถึงที่ทำในปัจจุบัน เพราะเราทำเพื่อผลแห่งธรรม ไม่ได้ทำเพราะจะหวังให้เขายกย่องเรา

    แม้ในพระทศชาติแห่งองค์พระศาสดาที่ท่านลงมาบำเพ็ญบารมีนั้น คนบางจำพวกในยุคสมัยของพระองค์ ก็เห็นพระองค์เป็นประหนึ่งคนธรรมดาเท่านั้น หาไม่แล้วคงไม่กล้ากระทำการอันประมาทจาบจ้วงต่อพระองค์เป็นแน่

    ชาติที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระภูริทัติพญานาค ทรงถูกนำไปคล้องด้วยมนต์และนำไปแสดงเพื่อหาเงินกลางตลาด

    ชาติที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ใบ้ ทรงถูกนำไปยั่วยุด้วยประการทั้งปวง ทั้งการเหยียดหยามดูหมิ่น จนกระทั่งถูกนำไปทิ้งยังป่าช้าผีดิบ

    ชาติที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรนั้นเล่า เพราะจิตที่เมตตา มอบช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้กับเมืองอื่นไป จนกระทั่งถูกประชาชนทั้งนครเกลียดชังขับไล่ ออกจากพระนคร ไป ระหก ระเหินอยู่ในป่าหิมพานต์

    หากแม้นผู้คนในยุคสมัยนั้นได้ทราบว่า พวกเขากระทำการอันเป็นบาปหยาบช้าต่อพระมหาโพธิสัตว์ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา และพระวิสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม เขาจะกล้ากระทำการเยี่ยงนั้นหรือ

    และด้วยน้ำใจพระมหาสัตว์ผู้ทรงกรุณาธิคุณไม่หวั่นไหว ก็ทรงให้อภัยทานต่อผู้ไม่รู้ทั้งหลาย รวมทั้งยังมั่นคงในสัมมาสัมโพธิญาณไม่แปรเปลี่ยน สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้ปรากฏ องค์พระประทีปแก้วส่องธรรมสู่มรรคผลนิพพาน เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

    เราก็ควรนำกำลังใจขององค์พระศาสดาในการบำเพ็ญบารมีไว้เป็นแบบอย่าง ยิ่งเป็นปรมัตตถ์บารมีใกล้เต็มเท่าไร เครื่องทดสอบก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เรารู้เท่าทันก่อนก็จะปรับจิตได้ทันในความเป็นธรรมดา
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ดังนั้นหากการบำเพ็ญบารมีทางกายเนื้อของเรามีข้อจำกัดมาก ก็มีวิธีการที่จะพึงบังเกิดผลเป็นกุศลต่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้อีกทางหนึ่ง

    หากใช้กายเนื้อวันหนึ่งเราอาจสร้างบารมีทำความดีได้ 10 นาทีบ้าง หนึ่งชั่วโมงบ้าง เต็มที่ก็ได้สัก แปดชั่วโมง เพราะมีข้อจำกัดทางกายที่ต้องพักต้องผ่อน ต้องดูแล ต้องกินต้องทำความสะอาด


    ดังนั้นเราก็พึงสร้างบารมีโดยการใช้ฤทธิ์ทางใจเข้ามาช่วย เพราะอย่าลืมว่า บารมี แปลว่า "กำลังใจ" ดังนั้นต้องบำเพ็ญต้องสร้างบารมีกันที่ใจก่อนเป็นประการสำคัญ ยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิด้วยแล้วยิ่งนำปัญญาบารีมาช่วยด้วยก็จะยิ่งยังประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ได้มากมายยิ่งขึ้น

    " การสร้างบารมีไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น การสร้างบารมีทุกลมหายใจ"


    มีวิธีการดังต่อไปนี้

    ให้ทรงอารมณ์ใจของเราเอาไว้ ในอาณาปานสติ จนถึงลมสบายจิตเป็นฌาน จากนั้นตั้งความปรารถนาขึ้นมาในจิตของเรา ว่า "เรามีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ทั่วอนันต์จักรวาล เมื่อสรรพสัตว์ทั้งปวงได้สัมผัสกับคลื่นแห่งความเมตตาจากจิตของเราแล้วขอให้

    -เข้าถึงธรรมได้โดยง่าย
    -มีจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาเช่นเดียวกับเรา
    -มีดวงจิตในหนทางแห่งสัมมาทิษฐิ
    -มีส่วนร่วมในบุญในกุศลเช่นเดียวกับเราทุกอย่างทุกประการ
    -หากเป็นโอปปาติกะ สัมพเวสี ก็ขอให้ได้อาศัยบุญจากเราไปบังเกิดในสุขคติภูมิอันมีสรรค์เป็นต้น"

    จากนั้นกำหนดคลื่นแห่งความเมตตาจากดวงจิตเราแผ่กระจายออกไป พร้อมๆกับการกำหนดรู้ลมหายใจของเรา ระลึกว่า ทุกลมหายใจของเรา เราจะกำหนดใจในพรหมวิหารสี่ พร้อมอารมณ์พระนิพพานอยู่สมำเสมอ

    ทำจนชินเป็นปกติ

    จากนั้นกำหนดจิตของเราต่อไปว่า "ทุกก้าวย่างที่เราได้ ไปสัมผัสได้ไปถึง ไปเหยียบ ขอแม่พระธรณีได้โปรดเป็นพยานบุญ พยานแห่งเมตตาของข้าพเจ้าที่มีไม่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ขอให้ทุกที่ที่ข้าพเจ้าได้ไปจงเป็นสถานที่ที่สุขสงบ ร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ มีสันติสุข เป็นดินแดนแห่งสัมมาทิษฐิ คนและสัตว์ทั้งปวงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข "

    ทำให้ชินเป็นปกติ เมื่อนั้นแล้วจะปรากฏผลให้ได้ประจักษ์แก่ใจด้วยตนเอง
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ลำดับต่อไปก็เป็นการสร้างบารมีกันในยามหลับ หากจะถามว่าหลับแล้ว เราเองจะสร้างบารมีได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ใช้ปัญญาบารมี ร่วมกับเมตตาบารมี ขอกำลังจากพระท่านสงเคราะห์เราก็จะใช้ความเป็นทิพย์ของจิต สร้างบารมีได้


    วิธีการมีดังนี้

    ก่อนที่จะหลับก็ขอให้จับลมสบาย พิจารณาในวิปัสสนาญาณ จนจิตสะอาดจากนิวรณ์ห้า จากนั้นใช้กำลังความเป็นทิพย์ของจิต ขึ้นไปบนพระนิพพาน มุ่งตรงไปยังสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา กราบขอพุทธานุญาตต่อพระองค์ในการโปรดสัตว์ด้วยอาทิสมานกาย

    จากนั้นอธิฐานฤทธิ์ บนพระนิพพานว่า

    "ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังแห่งเมตตาฌาน ข้าพเจ้าขอแยกอาทิสมานกายออกเป็นจำนวนหาที่สุดประมาณมิได้ เพื่อโปรดสรรพสัตว์

    หากท่านใดมีวาสนาผูกพันกับข้าพเจ้าก็ดี เป็นวาระอันเป็นพุทธบัญชาก็ดี ขอให้อาทิสมานกายของข้าพเจ้าได้ไปโปรดเขาเหล่านั้น ได้ทั่วอนันตจักรวาลไม่มีขอบเขตอันใด แลทั้งภพภูมิ แลมิติทั้งปวง ให้เขาเหล่านั้น ได้เข้าถึงธรรมถึงความดี จนถึงปรมัตถธรรมคือมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"

    จากนั้นเราก็แยกอาทิสมานกายให้ออกเดินทางไป โปรดในธรรม ในการสงเคราะห์ ตามแต่ที่พระพุทธองค์ท่านจะทรงมีบัญชา กายเนื้อเราอาจจะระลึกรู้จดจำไม่ไหว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไอ้ใจมันออกไปบำเพ็ญบารมีของมันเองแล้ว อย่าลืมว่าธรรมทั้งปวงสำเร็จได้ด้วยใจเป็นสำคัญ

    ไอ้ทีนี้เราทำได้ทุกคืนวันเป็นปกติดี เราก็อธิฐานให้อาทิสมานกายของเราออกไปคุ้มครองรักษาบ้าน รักษาเมืองในจุดสำคัญกันด้วย โดยเฉพาะ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พอรวมใจกันได้หลายๆท่านเข้า ก็จะปรากฏผล หากเป็นไปตามกฏของกรรมเราก็วางอุเกขารมณ์ แต่เจตนา อานิสงค์ก็เกิดเเล้วตามจิตที่เป็นกุศลของเรา
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** โปรด...ให้เดินทางตรง ****

    โลกุตตระ กล่าวว่า
    มนุษย์ทุกคนที่หลุดพ้นไปได้...ด้วย "สัจจะ" ทั้งสิ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอการบ้านพี่คณานันท์ด้วยสิครับ

    อิอิ เด็กอนุบาลอยากได้การบ้านเพิ่มเติมจากพี่คณานันท์บ้างอะครับ ช่วงนี้เรื่องงานทางโลกเริ่มลงตัว เลยอยากมุ่งทางธรรมมากขึ้นครับ ช่วงนี้เท่าที่ทำอยู่ก็ทำแผ่เมตตาอัปปนาญาณไปเรื่อยๆระหว่างวันครับ แล้วก็ฝึกพิจารณาธาตุสี่ของตัวเองและชาวบ้านระหว่างวันครับ

    เด็กอนุบาลมีน้าชายอยู่คนนึง ชื่อน้าปุ๊ ครับ ตอนนี้ชีวิตน้ากำลังลำบากมาก ร่างกายก็เจ็บป่วยเรื้อรัง การเงินและครอบครัวน้าก็กำลังลำบาก เด็กอนุบาลอยากช่วยให้เจ้ากรรมนายเวรของน้าชายได้อโหสิกรรมให้น้าเร็วๆ อยากให้พี่คณานันท์ช่วยแนะนำวิธีการที่ดีในการช่วยน้าให้สำเร็จด้วยครับ ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็ทำตามคำแนะนำคุณกระเจียวคือ เขียนชื่อน้าลงในกระดาษแล้ววางไว้ใต้พระบรมสารีริกธาตุ แล้วขอพรจากพระให้ช่วยน้าในช่วงที่เข้าฌานสูงสุดแล้วเห็นภาพพระสว่างครับ

    น้าของเด็กอนุบาลคนนี้ข้อเสียคือเป็นคนดื้อมาก เข้ากับคนได้ยาก และมักจะได้หัวหน้างานที่เอาเปรียบหรือโกงน้าเสมอ แต่ความดีที่สุดของน้าคือ การดูแลคุณยายของเด็กอนุบาลช่วงที่ยายเจ็บป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ น้าเค้าดูแลยายอย่างดีที่สุดในแบบที่ลูกคนนึงจะดูแลพยาบาลแม่ได้ ถ้าเด็กอนุบาลกราบอธิษฐานกับพระแล้วอ้างถึงความดีของน้าด้านนี้ คำอธิษฐานจะประสบผลสำเร็จเร็วขึ้นไหมครับพี่คณานันท์ _/|\_
     
  20. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลส่งการบ้านพี่คณานันท์เรื่องสร้างบารมีขณะตื่น

    ขออนุโมทนาในธรรมทานที่พี่คณานันท์ได้สอนวิธีแผ่เมตตาเพื่อสร้างบารมีทั้งตอนหลับและตอนตื่น ผมเพิ่งตะหนักว่าทำไมบางคนสร้างบารมีได้เต็มอย่างรวดเร็ว นั่นแน่ ใช้ปัญญาบารมีคิดหาวิธีแบบนี้ทำกันนี่เอง คิดได้อย่างไรครับพี่คณานันท์ นี่เป็นวิชชาของพระพุทธเจ้าเหรอครับพี่ :)

    ลองแอบไปทำดูแล้ว แต่ทำแบบตื่นก่อนนะครับ แบบหลับยังทำม่ายได้ เด๋วโดนไล่ออกจากงาน ตอนทำก็แอบเอาใบโพยที่พิมพ์ข้อความพี่คณานันท์ไว้ ไปนั่งซ้อมบท แล้วทำสมาธิในรถ แล้วพอเห็นภาพพระสว่างก็ไล่อธิษฐานจิตตามบท จริงๆไม่อยากใช้บทเท่าไรครับ เพราะดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่เด็กอนุบาลกลัวจะจำไม่ได้ เพราะกำลังสัญญายังเป็นเด็กอนุบาลอยู่เหมียนเดิม :)

    สิ่งที่รู้สึกได้หลังการทำก็คือ ใจมันเย็นสบายอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเราทำในสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว และรู้สึกถึงใบหน้าอันเบิกบานของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับกระแสเมตตาบุญจากเรา รู้สึกภูมิใจว่า จากนี้ไปเราได้ตั้งใจทำความดี ช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกลมหายใจเข้าออกจิงๆ โดยไม่ต้องตั้งท่า วางจิตกันเป็นครั้งๆไป คราวนี้ทุกครั้งที่ไปทำความดี พูดดี คิดแบบวิปัสสนา หรือ จับลมหายใจเข้าออกเห็นภาพพระสว่าง กระแสบุญและภูมิธรรมของเราก็จะไหลไปให้สรรพสัตว์ตลอด แบบนี้ เหมือนกับภาษิตที่ว่า "นอกจากจะหาปลาให้เขากินแล้ว เรายังสอนให้เข้าหาปลาเองได้ด้วย"-คือการโมทนารับกระแสบุญและภูมิธรรมจากเราจะช่วยทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีใจน้อมนำปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องขึ้นไปเรื่อยๆด้วยตัวของเขาเองด้วย

    ความรู้สึกมีความสุขยิ่งยวดที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นทุกลมหายใจเข้าออกแบบนี้เองใช่ไหมครับพี่คณานันท์ ที่หล่อเลี้ยงใจพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้ไม่คลายใจจากการใฝ่พุทธภูมิ นี่ขนาดผมไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ ผมยังรู้สึกดีในการบำเพ็ญความดีของชาวพุทธภูมิแบบนี้ จริงๆครับ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...