วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    การฝึกเจริญสมาธิเพื่อหยุดความคิด
    วัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญสมาธิ คือ การฝึกสติอย่างเข้มข้น เพื่อหยุดความคิดทุกรูปแบบ การฝึกหยุดความคิดทุกรูปแบบ โดยการมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกควบคุมความคิด.
    ขณะที่มีสมาธิตั้งมั่นอยู่กับกิจที่กำหนดไว้ เช่น อยู่กับลมหายใจ จะทำให้หยุดการคิดหรือไม่ไปคิดเรื่องอื่น และไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน. ความคิดฟุ้งซ่านอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการคิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลได้โดยง่าย เนื่องจากขณะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้.
    ให้ท่านฝึกทดลองเจริญสมาธิตามรูปแบบที่เคยฝึกปฏิบัติมาก่อน เมื่อสมาธิมีความตั้งมั่นตามสมควร คือ ขณะที่มีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ ที่มีเจตนากระทำอยู่ ก็จะไม่คิดเรื่องอื่นใด รวมทั้งไม่ได้คิดฟุ้งซ่านด้วย. ภาวะที่จิตใจมีความตั้งมั่นดังกล่าวแล้ว เป็นภาวะที่ท่านไม่มีการคิดโลภ คิดโกรธ และไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ หรือมีภาวะนิพพานชั่วคราว.
    ต่อไปให้ท่านทดลองลืมตาเจริญสมาธิ จะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ให้ผลเช่นเดียวกันกับการหลับตาทำสมาธิ เพียงแต่ว่า อาจรู้สึกสงบน้อยกว่าการหลับตาเจริญสมาธิ และมีโอกาสที่จะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น.
    การเจริญสมาธิอย่างถูกต้องตามหลักการในพระพุทธศาสนา คือการฝึกมีสติในการกำกับและควบคุมความคิดอย่างจริงจังถึงขั้นหยุดความคิด เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นอย่างดีเยี่ยมและอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ. ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกสมาธิจนมีความชำนาญคือ จะสามารถหยุดความคิดต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับหลักธรรมหรือหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้ในทันทีที่ต้องการ.


    หลักการและวิธีฝึกเจริญสมาธิอย่างง่าย ๆ
    ท่านควรเลือกที่นั่งให้เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการฝึกเจริญสมาธิ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากการเผลอสติหรือหลับในแล้วพลัดตกลงมา. ท่านควรฝึกนั่งตัวตรง ดำรงจิตมั่น ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่ควรเร่งสติหรือตั้งใจมากเกินไป จนเกิดความเครียดหรือมีอาการเกร็งไปหมด.
    ท่านควรฝึกตั้งใจมั่น(มีสติ)ในระดับพอเหมาะพอดี(ทางสายกลาง) โดยสังเกตว่า ขณะฝึกปฏิบัติจะต้องมีความรู้สึกเบาสบาย กล้ามเนื้อทั้งตัวมีความผ่อนคลาย มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปล่อยวางทุกเรื่องให้หมด คงเหลือแต่เพียงการรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวเท่านั้น.
    เพื่อที่ท่านจะได้ฝึกเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ จึงควรฝึกเจริญสมาธิในท่าที่ท่านเคยนั่งตามปกติ โดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะนั่งขัดสมาธิกับพื้นตามรูปแบบที่นิยมกันในอดีตเสียก่อน แล้วจึงค่อยฝึกเจริญสมาธิ. ในกรณีย์ที่มีความพร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิบนพื้นตามรูปแบบเดิม ก็สามารถทำได้ตามอัธยาศัย.
    การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องระวัง เพราะอาจจะเผลอสติหรือนอนหลับไปได้โดยง่าย. ท่านควรฝึกในท่านอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัย. การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนตะแคง จัดว่าเป็นท่าที่เป็นทางสายกลางของอิริยาบถนอน คือ จะไม่หลับง่ายเหมือนท่านอนหงาย และไม่ลำบากร่างกายเหมือนในท่านอนคว่ำ. การเจริญสมาธิในอิริยาบถนอนจะช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนดีที่สุด จึงเหมาะสำหรับใช้ในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นครั้งคราว.
    การฝึกปฏิบัติธรรมในท่ายืน ในท่าเดิน และในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่การฝึกเจริญสมาธิ ในที่นี้จัดว่าเป็นการฝึกเจริญสติ เพราะต้องแบ่งสติไปใช้หลายด้าน เพื่อให้มีความปลอดภัย เช่น ใช้ในการรับรู้ข้อมูลการทรงตัว การเดิน การคิด เป็นต้น.
    การเจริญสมาธิทำให้เกิดการหยุดความคิด จึงเป็นผลให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ รวมทั้งไม่มีความทุกข์ ซึ่งเป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส.
    หลักการสำคัญของการเจริญสมาธิ คือ ให้ฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว โดยไม่มีการใช้สมองไปในการนึกคิดเรื่องอื่นใด ถ้าเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือมีความคิดหรือมโนภาพแทรกขึ้นมาก็ให้หยุดเสีย โดยการลืมตาชั่วคราวแล้วเจริญสมาธิต่อไป หรือเร่งสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ได้ ความคิดหรือมโนภาพก็จะถูกตัดตอน.
    วิธีฝึกเจริญสมาธิตามรูปแบบอานาปานสติสมาธิ เป็นการฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว กล่าวคือ พอลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านเข้า พอลมหายใจผ่านออกตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านออกตรงรูจมูก.
    บางท่านที่ไม่เคยฝึกอานาปานสติสมาธิมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นของยาก แต่ขอยืนยันว่า เมื่อตั้งใจฝึกฝนตนเองได้ไม่นานนัก ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เหมือนกับการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั่นเอง เพียงแต่เป็นความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ ว่า มีลมหายใจผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเท่านั้นเอง.
    เมื่อท่านฝึกได้สักระยะเวลาหนึ่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า การรับรู้ความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ กลับกลายเป็นของดี เพราะมีความละเอียดอ่อน มีความสงบทั้งใจและกาย มีความประณีต มีความเบาสบาย(ปีติ) มีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ) ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ตาเพ่ง ไม่ต้องใช้ใจเพ่ง ไม่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมองมาก ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับได้ดีที่สุด.
    เมื่อท่านสามารถหยุดความคิดได้ดี สมองก็จะทำหน้าที่เพียงแค่การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก เพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง จึงเป็นผลให้ร่างกาย สมองหรือจิตใจได้รับการพักผ่อนด้วยความมีสติ.
    ท่านไม่ควรเร่งสติ(เร่งความตั้งใจ)มากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด เพราะจะทำให้สมองและร่างกายไม่ได้พัก และไม่ควรทำแบบสบายจนเกินไป จนกลายเป็นความย่อหย่อน หรือง่วงนอน แต่ให้ตั้งอยู่ในความพอเหมาะพอดี.
    ท่านไม่ควรฝึกเจริญสมาธินานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนร่างกายของตนเอง และไม่ควรฝึกน้อยจนเกินไปกลายเป็นความเกียจคร้าน คงให้ถือปฏิบัติตามทางสายกลาง คือ ความพอเหมาะและพอดีกับสภาพร่างกาย จิตใจ เพศ อายุ ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ภาระกิจอื่น ๆ และเหตุปัจจัยต่าง ๆ ในขณะนั้น.
    ท่านที่เริ่มฝึกใหม่ ๆ อาจรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกนั้น จะสัมผัสเบา ๆ ที่รูจมูก. ถ้าประสงค์จะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น ก็ควรหายใจให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วจะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ.
    ขณะฝึกเจริญสมาธิ ท่านควรพยายามฝึกให้มีสติตั้งมั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถหยุดความคิดของท่านได้อย่างต่อเนื่อง. ขณะที่ท่านสามารถหยุดความคิดไม่ให้ไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั้น จิตใจของท่านจะว่างจากกิเลสและกองทุกข์ เข้าถึงภาวะนิพพานเป็นการชั่วคราว.
    ปัญหาที่ผู้เริ่มต้นฝึกเจริญสมาธิพบและเป็นเหตุให้มักเลิกลาไป คือ ไม่สามารถดับความคิดฟุ้งซ่านได้ดีสมกับความต้องการ. แต่อันที่จริงแล้ว ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมากเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้เห็นชัดเจนว่า จะต้องฝึกเจริญสมาธิต่อไป เพราะยังไม่สามารถควบคุมความคิดได้.


    การเจริญสติเพื่อรู้เห็น กำกับความคิด และควบคุมความคิด
    การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของตนเอง ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา(ใช้ประโยคย่อ ๆ ว่า รู้เห็นและควบคุมความคิด หรือใช้คำว่า เจริญสติ) จะทำให้มีการพัฒนาความสามารถในการบริหารจิตด้วยการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามหลักธรรมได้มากขึ้น ขณะเดียวกันความทุกข์ก็จะลดลง ความสุขสงบและความบริสุทธิ์ผ่องใสทางจิตใจก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย.
    ความสามารถดังกล่าว ขึ้นอยู่กับความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของตนเอง. ถ้าท่านมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ท่านมีความทุกข์หรือความคิดขาดหลักธรรมเป็นครั้งคราว ตามแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น.
    การจะป้องกันและหยุดความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ท่านจะต้องมีเจตนา มีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรในการฝึกฝนตนเอง ให้มีและให้ใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ในความจำอย่างว่องไว ในการรู้เห็นการเริ่มต้นของความคิดที่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปน และหยุดความคิดดังกล่าวอย่างรวดเร็วที่สุด.
    เมื่อท่านฝึกสติเช่นนี้เป็นประจำ ไม่นานนักก็จะสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติ เช่นเดียวกับความสามารถต่าง ๆ ทางโลกที่ใช้ในชีวิตประจำวัน.
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    หลักการของการฝึกเจริญสติ
    การเจริญสติ(เจริญสติปัญญาทางธรรม)เป็นเนื้อหาสำคัญของสัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘และเป็นวิธีการสำคัญมาก ๆ ที่ใช้ในการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ไม่ได้เจริญสมาธิ. คนไทยส่วนมากไม่ได้ศึกษาธรรมและไม่ได้ปฏิบัติธรรมในเรื่องสัมมาสติอย่างจริงจัง จึงทำให้ความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์มีน้อยกว่าที่ควรจะทำได้.
    หลักการของการฝึกเจริญสติในที่นี้ คือ การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ที่มีอยู่ในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลดังกล่าว อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องรอวัน เวลา และสถานที่.
    เหตุที่ต้องฝึกเจริญสติ เพราะในชีวิตประจำวัน ท่านจะไม่สามารถเจริญสมาธิได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นจะต้องเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ไปด้วย เพื่อการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งการมีความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และการไม่มีความทุกข์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจที่รุนแรง.


    องค์ประกอบของการเจริญสติปัญญาทางธรรม
    การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรม(เจริญสติ)เป็นกิจส่วนใหญ่ของการปฏิบัติธรรม เป็นการเจริญวิปัสสนา(เจริญสติ)เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ที่ท่านสามารถทดลองฝึกและพิสูจน์ผลของการฝึกได้ด้วยตัวเอง. องค์ประกอบโดยย่อ ที่จะต้องตามฝึกมี ๓ องค์ประกอบ ดังนี้ :-
    ๑. ในชีวิตประจำวัน ให้ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ คือ มีส่วนหนึ่งของสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอยู่เสมอเพื่อป้องกันความคิดฟุ้งซ่านและมีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา(ไม่จำเป็นต้องทุกวินาที) และฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติ หรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการรู้เห็นความคิด ถ้ารู้เห็นว่ามีความคิดที่เป็นอกุศล หรือขัดแย้งกับหลักธรรม ก็ให้รีบหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที อย่ารอแม้แต่วินาทีเดียว.


    ๒.ฝึกพิจารณาธรรม ด้วยการศึกษาธรรมเพิ่ม ทบทวนธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ รวมทั้งหลักธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ โดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม ที่มีอยู่ในความจำมาประกอบการพิจารณา.


    ๓.ฝึกใช้สติปัญญาทางโลก และสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน


    วิธีเร่งรัดการบริหารจิตให้เป็นไปตามหลักธรรม
    ขอแนะนำให้ท่านฝึกตั้งเจตนาอยู่เสมอ หรือสอนตัวเอง หรือเตือนตัวเองตามหลักธรรมอยู่เสมอว่า "เราจะมีสติไม่คิดและไม่ทำอกุศลทั้งปวง เราจะคิดและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ และรักษาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เพื่อให้เราห่างไกลจากอกุศลและความทุกข์อยู่ตลอดเวลา" รวมทั้งมีความตั้งใจ และมีความเพียร ที่จะฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมดังกล่าววันละหลาย ๆ ครั้ง จะทำให้ท่านสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามหลักธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
    ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรฝึกประเมินผลของการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมวันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อช่วยเร่งรัดให้ท่านปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมได้อย่างจริงจัง.
    ทุกครั้งที่รู้ว่าคิดหรือทำอกุศล ให้ตั้งใจมีเจตนาหรือตักเตือนตนเองว่า "เราจะไม่คิดและไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป". ทั้งนี้ เพื่อสร้างเจตนาซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ข้อมูลเจตนาเช่นว่านี้ มีอยู่ในความจำมากขึ้น. นาน ๆ เข้า ท่านจะมีข้อมูลเช่นนี้ในความจำของสมองมากขึ้น จนเพียงพอที่จะหยุดการคิดและการทำอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ในอดีตเรานิยมใช้คำว่าอธิษฐานจิต ซึ่งนั่นก็คือความเจตนานั่นเอง.
    เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมนี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะทรงโปรดให้สวดปาฏิโมกข์(สวดศีล ๒๒๗ ข้อ)อย่างปัจจุบันนี้แทน. ดังนั้น จึงเข้าใจว่า การมีสติปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมอย่างจริงจัง ครบถ้วน และถูกต้องตามสมควร จะสามารถพัฒนาความรู้สึกนึกคิดและความจำ(จิตใจ) รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้สูงขึ้นจนภาวะจิตใจมีความประเสริฐในระดับต่าง ๆ (อริยบุคคล).


    วิธีฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะเดินทาง ขณะฟังบรรยาย และขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะดูรายการทางโทรทัศน์ ท่านควรฝึกมีสติตั้งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ(ถ้าทำได้) พร้อมกับฝึกมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่เสมอ.
    การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพียงอย่างเดียว หรือมีสติอยู่ที่อิริยาบถและการเคลื่อนไหว โดยไม่ตั้งใจใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรม ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถป้องกันกิเลสและดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
    การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมครบตามองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการ จะทำให้ความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมก้าวหน้าได้เร็วขึ้น.
    หน้าที่ของผู้เริ่มฝึกปฏิบัติธรรม คือ จะต้องจดจำข้อมูลหลักธรรมให้ขึ้นใจ และหมั่นทบทวนเจตนาที่จะฝึกฝนตนเองวันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรู้เห็นและควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้เกิดความเคยชิน จนถึงขั้นเป็นนิสัยหรือเป็นวิถีทางในการดำเนินชีวิตตามปกติ.
    การวางแผนการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งการวางแผนการชีวิตเพื่อความก้าวหน้า ย่อมสำเร็จไปได้ด้วยดี ถ้ามีสติคอยรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมที่ได้กำหนดไว้.


    การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นสุดยอดของการบริหารจิต
    ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านฝึกเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง(หรือตามความเหมาะสม) สลับด้วยการฝึกเจริญสมาธิประมาณ ๓๐ - ๖๐ วินาทีหรือมากกว่า โดยไม่ต้องหลับตาก็ได้ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จะได้ป้องกันร่างกายการล้าของสมอง ซึ่งเท่ากับเป็นการพักและเป็นการเตรียมตัวที่จะปฏิบัติและดำเนินชีวิตอย่างมีสติเต็มที่ในชั่วโมงถัดต่อไป.
    ทุก ๆ วัน ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรหาโอกาสฝึกเจริญสมาธิอย่างจริงจัง เพื่อการฝึกสติอย่างเข้มข้น ด้วยการฝึกเจริญสมาธิระยะยาววันละ ๑ - ๒ ครั้ง โดยใช้เวลาครั้งละ ๑๐ - ๓๐ นาทีหรือตามความเหมาะสม จะเป็นที่บ้านหรือในที่ปลอดภัยก็ได้ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติในความจำ ให้มีความสามารถทางสติมากขึ้นอย่างรวดเร็ว.
    การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน จึงเป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด และเป็นสุดยอดของการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรม เพราะสามารถทำได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่. เมื่อฝึกฝนเป็นประจำ พอนานเข้า สมองจะมีความสามารถในการทำหน้าที่ตามที่ได้ฝึกฝนเอาไว้จนคล้ายอัตโนมัติ.
    ในช่วงแรกของการฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเร่งรัดตนเองเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าไม่เร่งรัด อาจพ่ายแพ้ความคิดที่เป็นอกุศล ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เลิกลาการปฏิบัติธรรมไปได้โดยง่าย.
    เมื่อฝึกอย่างจริงจังสักระยะเวลาหนึ่ง ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำจะมากขึ้น ทำให้จิตใจเบาสบาย สงบสุข และไม่ค่อยมีความทุกข์ เป็นผลให้มีความศรัทธาในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อไป ขณะเดียวกัน ความรู้และความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมก็จะมากขึ้นตามลำดับด้วย.


    ความก้าวหน้าและการประเมินผล
    ท่านควรฝึกสังเกตความก้าวหน้าของตนเองเองในเรื่องการใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวันว่า ทำได้มากน้อยเพียงใด โดยสังเกตว่า มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ แล้วแบ่งสติมาทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งรู้เห็นและควบคุมความคิดในระหว่างทำกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่เสมอหรือไม่ มากน้อยเพียงใด.
    ท่านควรประเมินผลความสำเร็จซึ่งเกิดจากการพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ว่า สามารถทำให้ความทุกข์จากปัญหาต่าง ๆ ลดลง และทำให้สามารถดำเนินชีวิตตามหลักธรรม(โอวาทปาฏิโมกข์)ได้มากน้อยเพียงใด.
    ถ้าการบริหารจิตของท่านไม่สามารถลดความทุกข์ลงได้กว่าที่ควร หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นไปตามหลักธรรมได้ดีเท่าที่ควร ก็มักจะพบว่า มีสาเหตุมาจากการมีความเพียรน้อยไป ก็ควรพยายามที่จะเร่งความเพียรให้มากขึ้น แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่า มีสาเหตุมาจากอะไร ก็ควรปรึกษาผู้รู้หลายท่านว่า การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมของท่านที่ผ่านมาถูกทางหรือไม่ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไป.


    ควรแสวงหาความรู้ในการบริหารจิตตลอดไป
    เมื่อยังไม่ตาย ทุกคนควรศึกษาหาความรู้ไปทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป เพื่อการศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ.
    สำหรับการศึกษาหาความรู้ทางธรรม ท่านควรศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังต่อไปเรื่อย จนกว่าจะจบชีวิต.
    อริยสัจ ๔ มีเนื้อหาน้อย พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจะทำให้เกิดการพัฒนาจิตใจเพื่อการศึกษาและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.
    การแสวงหาความรู้จำเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้หลาย ๆ ท่าน อย่างเลือกศึกษาจากท่านเดียว เพราะการศึกษาจากท่านเดียวที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านั้น อาจจะไม่ครอบคลุมทุกประเด็น นอกจากนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่คัดมาจากพระไตรปิฏกด้วย เพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงได้ด้วยตนเอง.


    สรุป

    แก่นธรรมของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
    ความทุกข์(ทุกข์) คือ ความไม่สบายใจทุกรูปแบบ ซึ่งทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ตรงมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น.
    สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) คือ ความคิดที่เป็นอกุศล(คิดด้วยความโลภและความโกรธ) เพราะไม่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง(มีความหลงหรือโมหะหรืออวิชชา) หรือมีกิเลส ๓ ตัว.
    ความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน) คือ ภาวะที่ไม่คิดอกุศล จึงไม่มีความทุกข์. ถ้าดับความทุกข์ได้ชั่วคราว เรียกว่านิพพานชั่วคราว.
    ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์(มรรคมีองค์ ๘) คือ วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อดับความทุกข์. การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยการเจริญสติสลับกับการสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องตามโอวาทปาฏิโมกข์.


    ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกบริหารจิตด้วยการฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติ. การฝึกเจริญสมาธิก็เพื่อหยุดความคิด พักสมอง และพักร่างกาย. การฝึกเจริญสติก็เพื่อการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์ พร้อมทั้งให้เวลาในการศึกษา ทบทวน แก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรม รวมทั้งใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาจิตของตนเองให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ


    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif] www.geocities.com/satipanya

    [/FONT]
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตนำที่ได้ตอบในพีเอ็มของเพื่อนเรา ท่านหนึ่งในเรื่องการแผ่เมตตา ลงลงไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่น และเพื่อให้ได้มั่นใจว่าธรรมมะของพระพุทธองค์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผล ที่สืบเนื่องเป็นที่ประจักษ์ได้จริงครับ



    "ขออนุญาต อธิบาย การแผ่เมตตาในรูปพลังงานครับ เพราะจะตรงกับจริตนิสัยของคุณครับ

    -จุดระเบิดพลังงานแห่งความเมตตา ด้วยการตระหนักรู้ใน รสแห่งเมตาที่เรารู้เราสัมผัสได้ด้วยดวงจิตของเรา

    -บูสต์พลังงานแห่งความเมตตา ขึ้นให้เต็มดวงจิตของเราก่อนจนรู้สึกเอ่อล้น หัวจิตหัวใจ ด้วยการระลึกรู้อารมณ์แห่งความรัก ความสุข ความดีงามทั้งปวง

    -การปลดปล่อยพลังงาน คือการแผ่ กระแส หรือรัศมีแห่งความเมตตาเป็นความรู้สึกเป็นรูปของคลื่นกระจายออกไปในทุกทิศทาง

    - การที่รัศมีแห่งความเมตตาได้สัผัสกับดวงจิตของผู้ใด ก็บังเกิดการเหนี่ยวนำ(เป็นปกติในคุณสมบัติของคลื่น) ให้ดวงจิตนั้นบังเกิดความสุข ความปิติความเมตตาในดวงจิตนั้น

    -ปฏิกิริยาลูกโซ่ แห่ง พลังงานอันเป็นบวก ของเมตตาฌาน ก็จะสืบเนื่องต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

    -จุดประกายจิตใจที่ดีงามดวงแล้วดวงเล่า ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

    -เมื่อคนทั้งปวงมีจิตที่ทรงไว้ด้วยพรหมวิหารสี่ ศีลก็บังเกิด ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็บังเกิด สันติสุขก็บังเกิด ลดการเบียดเบียนซึ่งกันและกันลง

    -โลกก็บังเกิดความสงบสุขสันติ

    เป็นภาพรวมใหญ่เฉพาะในส่วนของการแผ่เมตตาครับ หากเรารู้เจตนาของฟ้าในเรื่องนี้ การแผ่เมตตาจะยิ่งส่งผลยิ่งขึ้นครับ

    ขอบคุณในความปรารถนาดีทุกสิ่งครับ ช่วยเตือนทุกคนในต่างประเทศให้ทราบด้วยว่าอย่าได้ละเลยในการปฏิบัติธรรม และสมาธิจิต เพราะใกล้เข้ามาแล้วครับ ในเรื่องราวของภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากน้ำมือมนุษย์"
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอกราบโมทนากับธรรมทานของน้อง Vanco ด้วยครับ


    และขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    ก่อนอื่นก็ขอโมทนาในบุญที่คุณมีจิตเจตนาที่จะช่วยให้คุณแม่คุณได้เข้าถึงธรรมความดี อันเป็น กรรมฝ่ายกุศลที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นการตอบแทนพระคุณได้ดีที่สุด

    ส่วนเรื่องน้องชายของคุณเด็กอนุบาลนั้น เป็นวาระกรรมของเขา ที่ค่อนข้างหนัก ขอแนะนำว่า อย่าเพิ่งให้เขาจับภาพพระหรือฝึกกรรมฐานอื่นตอนนี้ จะยิ่งเกิดวิปัสนูปกิเลสได้ง่ายและทำให้อาการรุนแรงขึ้นไปอีก

    สิ่งที่แนะนำให้ทำก็คือ ให้หัดหายใจจนได้ลมสบาย และฝึกคลายอารมณ์ให้เบา เพื่อให้หายหรือทุเลาจากอาการทางจิตก่อนครับ ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตเขาผ่องใสไม่เศร้าหมอง ไม่เครียด คนรอบข้างต้องใจเย็นๆ ชักจูงใจให้เริ่มคิดเป็นบวกไปทีละน้อยครับ

    ส่วนประเด็นเรื่องการปฏิบัติธรรมนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าให้กำหนดเวลาใดเวลาหนึ่งนั้น ก็เพื่อเป็นสัจจะ ไม่ให้เราขาดจากการปฏิบัติธรรมทุกวันครับซึ่งถูกต้อง เพราะ ร่างกายเรายังอาบน้ำสระผมทำความสะอาดให้มัน แล้ว "ใจ" เราจะปล่อยให้สกปรก ไม่ชำระล้างทุกวันกระนั้นหรือ บางคนกายภายนอกสวยๆ แต่ใจไม่ล้างมาเป็นปีก็มี คิดว่าจะงามจริงๆ ไหม

    แต่การปฏิบัติจริงของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น เขาเอากันทุกเวลาครับ ก่อนนอนก็พิจารณา ตื่นมาก็ไปกราบพระก่อน เข้าห้องน้ำ อุจจาระปัสสาวะ ก็ยังมาพิจารณาว่าสิ่งนี้ออกมาจากร่างกาย อยู่ในร่างกายเราเราก้หลงว่า ร่างกายสวยงาม แต่พอขี้เยี่ยวออกมา ทำไมเราจึงว่ามันสกปรก

    ดังนั้นของจริงเขาพิจารณากันตลอดเวลาครับ โดยเฉพาะที่อารมณ์แนบๆ

    แต่หากอารมณ์เรายังไม่แนบ ก็ต้องตั้งท่าระลึกรู้ด้วยสติเพื่อพิจารณากันหน่อย ทันมั่ง ไม่ทันมั่ง ลืมมั่ง ไม่ลืมมั่ง

    ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นกันทุกคนครับ แต่อย่าทิ้ง นึกได้เมื่อไรก็พิจารณาเลย

    อารมณ์ในการปฏิบัติมีขึ้นมีลงขึ้นกับ

    -ความตั้งมั่นของจิต
    -สติความระลึกรู้ (ทันในอารมณ์ที่เข้ามาสัมผัส)
    -ความรุนแรงของอารมณ์ที่มากระทบ
    -สภาพแวดล้อม
    -กรรมที่ส่งผลขณะนั้น
    -เจ้ากรรมนายเวรบ้าง มารบ้าง มาดลใจ

    ส่วนอารมณ์ใจของนักปฏิบัติ(ในด้านความนิ่งนั้น) ต้องการอารมณ์ใจที่เป็นอุเบกขา มีสติตั้งมั่น รู้เท่าทันอารมณ์(ของกิเลสที่มากระทบ) เป็นอารมณ์ที่สเตเบิ้ล หากเป็นกราฟก็เป็นกราฟเส้นตรงในแนวราบเรียบครับ

    มีอะไรติดขัดในการปฏิบัติในเรื่องใด สอบถามมาได้ครับ

    บางเรื่องผมก็เพิ่งทราบเพิ่งเรียนรู้พร้อมๆไปกับทุกท่านครับ เพราะพระท่านบอกผ่านมาอีกที

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านด้วยครับ
     
  5. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    เมื่อวานนี้ฝนตกตอนเย็นปวดหัวจาระเบิด ช่วงนี้กระแสหลายๆอย่างกำลังพุ่งขึ้นมา ขอให้ทุกท่านเจริญสติ และสมาธิให้ดีนะจ๊ะ
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ศาสนศาสตร์ ****

    พระธรรม...คือ ธรรมะ
    ธรรมะ....คือ หลักสัจจะธรรม

    การปฏิบัติธรรม...คือ การปฏิบัติดนด้วย สัจจะ
    เท่านี้เอง...แก่นสารของศาสนา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** หลักสัจจะธรรม ****

    " ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

    ตัวกระทำ...คือ ผลที่เกิดจากการกระทำ
    ทุกคนจึงมีตัวกระทำเป็นของตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. ppinter

    ppinter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +289
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    หลักสัจจะธรรม...เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลักเดียวที่ปักอยู่อย่างมั่นคง
    การปรากฏ...ของหลักสัจจะธรรม .... ยากยิ่งนัก
    การเผยแพร่....หลักสัจจะธรรม ไปทั่วโลก .... ยิ่งยากนัก

    ใครบ้างหนอ...ที่จะมาช่วยเผยแพร่ หลักสัจจะธรรมสู่มวลมนุษย์ !!!!!!!
    - "หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif]"ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืม ความตาย นั่นหมายถึงว่าการจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความ สุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ต้องประกอบกิจการ งานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน[/FONT] [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย"
    [/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ( พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดานางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] "ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ( เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์ ) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มา เกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก! ( ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด ) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้าหรือพรหมใหม่[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็น อันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น.. นิพพาน!"[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ( ท่านก็ยกมือชี้ขึ้นให้ดูนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกัน คือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] "ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระ นิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะ มีความเข้าใจแล้ว ( ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติจะไม่มี การเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่า ท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธามีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม" ( พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] "ฤาษี .. เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ท้ง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี" ( แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดานางฟ้ากับพรหมว่า )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ขอทุกท่านจงอย่างลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิด เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราไม่เกิดเป็นมนุษย์[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ ( แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์ ) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่าง ๆ มนุษย์ มีความหิวมีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ อย่างบางท่านเป็นพระมหา กษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] แต่ว่าท่านทั้งหลายเมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิเข้าเขตนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่าน ทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน ( ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นางฟ้าเป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดานางฟ้า กับพรหมก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่า ๆ มีความเข้าใจดีแล้ว ( คำว่า "เข้าใจ" บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คือ อารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็ก น้อยเท่านั้น และ บาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด..." ( เมื่อ พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ )[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif]****************************************************[/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif]( หลวงพ่อได้สรุปใจความสั้น ๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้ )
    [/FONT][FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif]"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้นเป็นของไม่ยาก
    ๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอ ๆ
    ๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ ( ด้วยความจริงใจ )
    ๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
    ๔. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพาน ได้ในที่สุด"

    [/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif]
    [/FONT]
    [FONT=CordiaUPC,BrowalliaUPC,MS Sans Serif] หมายเหตุ : เทศน์ที่ "เทวสภา" วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๘.๐๐ น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๐๐ น.[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2007
  11. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอคำแนะนำเพื่อนๆว่าควรอธิษฐานจิตอย่างไรวันไปร่วมงานเป่ายันต์เกราะเพชร

    เด็กอนุบาลอยากได้ไอเดียเพื่อนๆเรื่องการอธิษฐานขอพรพระวันไปร่วมงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ:)

    เด็กอนุบาลเชื่อว่าในระหว่างงานพิธี ถ้าเราใช้ปัญญา เมตตา และ สัจจะ ในการอธิษฐานจิต ขอพรพระท่านและท่านเทพยดาผู้มีคุณทั้งหลาย จะทำให้เกิดกุศลผลบุญอันไม่มีประมาณ ที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วจักรวาลให้พ้นทุกข์ได้ รวมถึงชะลอการเกิดภัยพิบัติในโลกมนุษย์ได้ จึงใคร่ขอคำแนะนำจากท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิและสาวกภูมิ ช่วยแนะนำเด็กอนุบาลด้วยจ้าว่าควรอธิษฐานจิตอย่างไร_/|\_
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post655022 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_655022 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">เด็กอนุบาลขอคำแนะนำเพื่อนๆว่าควรอธิษฐานจิตอย่างไรวันไปร่วมงานเป่ายันต์เกราะเพชร
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เด็กอนุบาลอยากได้ไอเดียเพื่อนๆเรื่องการอธิษฐานขอพรพระวันไปร่วมงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ :)

    เด็กอนุบาลเชื่อว่าในระหว่างงานพิธี ถ้าเราใช้ปัญญา เมตตา และ สัจจะ ในการอธิษฐานจิต ขอพรพระท่านและท่านเทพยดาผู้มีคุณทั้งหลาย จะทำให้เกิดกุศลผลบุญอันไม่มีประมาณ ที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วจักรวาลให้พ้นทุกข์ได้ รวมถึงชะลอการเกิดภัยพิบัติในโลกมนุษย์ได้ จึงใคร่ขอคำแนะนำจากท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิและสาวกภูมิ ช่วยแนะนำเด็กอนุบาลด้วยจ้าว่าควรอธิษฐานจิตอย่างไร_/|\_
    <!-- / message -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("655022")</SCRIPT> [​IMG] [​IMG] </TD><TD class=alt1 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right><!-- controls --><TABLE id=table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left><!-- Start Post Groan Hack --><!-- End Post Groan Hack --></TD><TD><!-- Start Post Thank You Hack --><!-- End Post Thank You Hack -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    มีวิธีการง่ายๆครับ โดยการอธิฐานว่า

    "ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพอันหาที่สุด ประมาณไม่ได้ ขอให้ยันตร์เกราะเพชรนี้ จงคลุมโลก คลุมจักรวาล ช่วยคุ้มครองดวงจิตทุกดวงทุกมิติ ทุกภพภูมิ ให้มีดวงจิตที่ละเอียดอ่อนเข้าถึงธรรม เข้าถึงกุศล เข้าถึงความดี แห่งองค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    และขอให้อานิสงค์พลานุภาพแห่งยันต์นี้จงปกปักรักษา กาย วาจา ใจ ของทุกๆท่านผู้ประพฤติธรรม มีความเคารพในพระรัตนไตร ให้มีความปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงอันจะบังเกิดขึ้นด้วยเทอญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2007
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    และเนื่องในโอกาสที่จะมีการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุงในวันเสาร์ที่ 18 สค.นี้ ผมขออนุญาต ลงเรื่องอารมณ์วิปัสนาญาณการตัดขันธุ์ห้าเอาไว้ให้สำหรับท่านที่จะไปมโนเต็มกำลังกันครับ


    คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่าฤทธิ์ทางใจ เป็นอภิญญาในหมวดของวิชชาสาม หากเป็นมโนเต็มกำลังก็จะใช้กำลังใจขยับขึ้นไปเป็นหมวดของอภิญญาหก หรือ ฉฬภิญโญ

    กำลังสมาธิใน การไปแบบครึ่งกำลังนั้น เป็นกำลังของฌานสี่หยาบที่ถอยจิตลงมาสู่ อุปจารสมาธิ ใช้กำลังสมาธิของเรากึ่งหนึ่ง ขอบารมีพระท่านเมตตาอีกกึ่งหนึ่ง จึงมีชื่อเรียกว่า มโนมยิทธิครึ่งกำลัง

    แต่ครั้น จะไปแบบเต็มกำลัง นั่นก็คือการถอดกายทิพย์ดึงอาทิสมานกายออกไปเต็มที่ ด้วยกำลังของฌานสี่ละเอียดควบวิปัสนาญาณ รวมทั้งขอบารมีพระท่านให้เมตตาด้วย ภาพที่เห็นได้สัมผัสจากมโนเต็มกำลังนั้น จะมีความสว่างไสว พราวพราว ชัดเจนอย่างมาก ชัดเจนกว่าการเห็นด้วยตาเนื้อเสียด้วยซ้ำไป ความถูกต้องก็มีมากกว่า ธรรมมะที่ได้ก็ตราตรึงลงในดวงจิตของเรามากกว่า

    การไปด้วยมโนมยิทธิเต็มกำลังจึงเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของท่านที่ได้มโนมยิทธิ หลายท่านตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะถึงปลายปี (เดือนธค. ช่วงหยุดยาววันเฉลิมจนถึง10 ธค.) จะได้ไปฝึกมโนเต็มกำลังกัน

    สิ่งสำคัญในการฝึกก็คือจิตของผู้ฝึกนั่นเอง

    ควรทำใจสบายๆเป็นกลางๆเอาไว้ อย่าห่วงอย่ากังวล อย่าไปสงสัย อย่างนั้นอย่างนี้ อย่าอยากได้จนเกินไป ทำใจให้เป็นอุเบกขาญาณเอาไว้ ช่วงใกล้ฝึกทำตัวเหมือนอยู่คนเดียวมาคนเดียว ไปคนเดียว อย่าไปสนใจอะไร กับใครเขา

    จับลมสบายเอาไว้ให้เป็นปกติ ทรงภาพพระท่านอยู่เหนือเศียรเกล้าเอาไว้ตลอดเวลา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น ถึงไม่เห็นก็รู้สึกได้ ยิ่งทรงภาพพระท่านใสเป็นแก้วประกายพรึกเปล่งรัศมีฉัพพรรณรังสีสว่างไสวได้ด้วยยิ่งดี

    พอเริ่มเข้าพิธีก็เริ่มทำตามเขา เวลาที่เขาเปิดเทปคำสอนของหลวงพ่อก็ขอให้น้อมจิตเข้าหาธรรม ให้จิตเราสะอาดด้วยวิปัสนาญาณเข้าไว้

    สมาธิ สมถะ คือ กำลังของจิต

    วิปัสสนาญาณ คือ ความสะอาดของจิต

    ค่อยๆพิจารณาจนจิตน้อมในธรรม เห็นโทษในการยึดมั่นถือมั่นใน สังขารร่างกายและทรัพย์สมบัติอันเป็นของนอกกาย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ การดิ้นรนไขว่คว้า ความทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด ต้องวิ่งตามกิเลส ไหลไปตามอารมณ์ หลงไปตามตัณหา ด้วยอวิชชาบดบังใจ บดบังญาณทัศนะเอาไว้

    พอเขาให้เริ่มภาวนาว่า " นะ มะ พะ ธะ" เราก็หายใจเข้าว่า "นะ มะ " หายใจออก ภาวนาว่า "พะ ธะ" ไป
    พวกเราฝึกกันมาดีแล้วก็จับคำภาวนาพร้อมจับลมสบายไปเลยไม่ต้องตั้งท่ากันอีก

    รอบข้างเขาจะเริ่มมีอาการแปลกๆกันบ้าง ร้องบ้าง ล้มลงบ้าง หายใจแรงๆบ้าง สั่นเป็นเจ้าเข้าบ้าง ตบเข่าบ้าง เราช่างเขา อย่าไปสนใจ หรือไปวอกแว่ก วางจิตเป็นอุเบกขา คิดว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องของเขาเราสนใจแต่ความดีของเราเอง ไม่ต้องไปสนใจ

    เมื่อจิตสงบดี ใจสบาย จะปรากฏแสงสว่างขึ้นในจิตของเรา ให้ตั้งจิตว่า "เราขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ขอไปที่พระนิพพานเพียงจุดเดียวด้วย พระพุทธเจ้าข้า"

    จากนั้นจิตก็จะปรากฏภาพพระนิพพานขึ้น หากไปหมดเต็มกำลังจะเป็นความรู้สึกเหมือนกับเราได้ขึ้นไปอยู่ที่จุดนั้นด้วยกายเนื้อของเรา แต่เห็นทุกๆสิ่งสว่างไสว ชัดเจนยิ่งกว่า ตาเนื้อเสียอีก ภาพที่เห็นสว่างเหมือนมีสปอตไลท์จำนวนมาก

    หากกำลังใจหย่อนลงมา ภาพที่ปรากฏก็จะมีความชัดเจนน้อยลง แต่ก็นับว่าสว่างกว่า การไปด้วยมโนครึ่งกำลังตามปกติ

    ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การไปด้วยมโนเต็มกำลังสำเร็จนั้นก็คือ วิปัสนาญาณ ยิ่งละเอียดมากเท่าไร จิตยิ่งปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายได้มากขึ้นเท่านั้น จิตก็แยกจากกายได้เต็มที่ ดังนั้นพึงพิจารณาวิปัสนาญาณให้ละเอียดมากๆจนถึงอารมณ์ที่เราปล่อยวางจากร่างกายของเราของผู้อื่น

    ส่วนกำลังของสมถะ นั้น ลมสบายพวกเราก็ทำได้กันแทบทุกคนแล้วตอนนี้ กำลังในจุดนี้พอเพียงแล้วสำหรับมโนมยิทธิเต็มกำลัง


    อานิสงค์ที่ได้จากการฝึกมโนเต็มกำลัง

    -เป็นการพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ เรื่อง สวรรค์ นรก พรหม นิพพานมีจริงและมีสภาพอย่างไร

    -เพื่อพิสูจน์เรื่องชาติภพ

    -เพื่อพิสูจน์เรื่องกฏของกรรม

    -เพื่อการเรียนรู้ธรรมจากครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อ

    -เพื่อพระนิพพาน

    ดังนั้นการฝึกมโนมยิทธินี้จึงมีความหมายมากกว่าการอวดฤทธิ์ อวดเดช อย่างที่มีหลายๆท่านได้มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

    เพราะอันที่จริงวิชชานี้ท่านมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้โดยง่ายโดยเร็ว มีไว้เพื่อรู้แล้วปล่อยวาง มิใช่การรู้เพื่อการยิ่งเพิ่มความยึดมั่นถือมั่น

    สำหรับพุทธภูมิ ก็เพื่อการบำเพ็ญบารมี เพื่อระลึกรู้ เพื่อรวบรวมสรรพวิชชา และการรวบรวมบุญ

    ท่านที่ได้ไปก็ขอแสดงความยินดีด้วยเนื่องจากทางวัดได้เปิดการฝึกเป็นกรณีพิเศษจริงๆ

    ขอให้ทุกท่านที่ได้ไปจงได้เข้าถึงซึ่งอภิญญาสมาบัติสมดังประสงค์ทุกอย่างทุกประการด้วยเทอญ

    ท่านที่ไม่ได้ไปก็จงเข้าถึงธรรมอันควร แก่การเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText][SIZE=+2] ฝึกบริหารจิตสร้างโลกแห่งมิตรภาพ
    [/SIZE]
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]<table><tbody><tr><td align="left" bgcolor="#ffff00" height="250" valign="top" width="400">[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
    เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์
    ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
    คือ
    ๑. กายสุจริต
    ๒.วจีสุจริต
    ๓.มโนสุจริต
    ๔.ความเป็นคนกตัญญูกตเวที
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบ ด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
    เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ ฯ
    (สุตตันต. เล่ม ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ข้อ ๒๑๓ )
    [/FONT] </td></tr></tbody></table>
    [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]

    [/FONT]<center>[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText] คุณเคยรู้สึกเหงา ๆ เหมือนกับว่าเราอยู่คนเดียวบนโลกนี้หรือไม่
    หากว่าคุณเคยมีความรู้สึกเช่นนี้ เราขอบอกว่าคุณไม่ได้แปลกไปจากใคร ๆ เลย
    เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมเมืองกรุง ล้วนแต่กำลังรู้สึก"เหงา" เหมือนกับคุณเช่นเดียวกัน
    [/FONT]</center>[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]

    ในการแก้ไขปัญหาความเหงาทุกข์เศร้าใจของคนไทย ถ้าจะให้แก้ไขถึงตัวต้นตอ เราจะต้องทำการปรับปรุงโครงสร้างของสังคมไทยให้ความเป็นสังคมชาวพุทธกลับมาคืนอีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะนี้สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมบริโภคนิยมอย่างเต็มตัวแล้ว
    สังคมบริโภคนิยม เป็นสังคมที่มุ่งกระตุ้นให้คนเรามีความต้องการบริโภคอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนจึงมุ่งแข่งขันกันกอบโกยเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง ความรู้สึกแข่งขันทำให้คนเราขาดความรู้สึกอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน เมื่อคนเราไม่เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ละคนจึงรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยวจากคนรอบข้าง นี้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้คนในสังคมเมืองเกิดความเหงาอยู่ตลอดเวลา
    เรื่องนี้คงต้องแก้ไขในระยะยาว สำหรับคราวนี้คงขอเสนอวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนด้วย กระบวนการฝึกบริหารจิตสร้างโลกแห่งมิตรภาพ ด้วยเทคนิคการฝึกคิดที่จะนำมาเสนอต่อไปนี้ หากท่านสามารถฝึกได้ทุกวัน โลกแห่งความเหงาของท่านก็จะหายไป กลายเป็นโลกอันแสนอบอุ่นมาแทนที่ ขอเชิญติดตามได้เลยครับ

    [/FONT]<center><table table="" border="1" cols="2" width="700"><tbody><tr><td bordercolor="#A9D597" bordercolorlight="#BEFAAF" bordercolordark="#246F22" bgcolor="#ddfbdf">
    <center>กระบวนการบริหารจิตสร้างโลกแห่งมิตรภาพ</center>
    ตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า คนที่มองโลกด้วยสายตาที่ซาบซึ้งในคุณค่าของความดี (กตัญญู) นั้น เขาจะมีความรู้สึกราวกับว่าถูกเชิญให้ไปอยู่บนโลกสวรรค์ทั้งเป็นเลยทีเดียว(โปรดพิจารณาพระสูตรข้างบน) คือมีความรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับมีญาติมิตรมากมายอยู่รายรอบ มีความสุข ปีติ ปราโมทย์ มองเห็นโลกอันแสนจะธรรมดาใบนี้ว่าช่างรื่นรมย์ราวกับโลกแห่งสรวงสวรรค์
    วันนี้สำนักข่าวชาวพุทธจึงขอเสนอวิธีฝึกคิดสำหรับคนไทยยุคไอที เพื่อเปลี่ยน โลกแสนเหงา ให้กลายเป็นโลกอันแสนอบอุ่นภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ด้วยการประยุกต์ หลัก "กตัญญู" หรือ ความเห็นคุณค่าของความดี มาเป็นกระบวนการคิดบริหารจิตยามเช้า โดยจะขออธิบายกระบวนการฝึกคิดตามขึ้นตอนดังต่อไปนี้
    1. ๑.ทุกเช้าคุณควรกำหนดเวลาสัก ๑ ชั่วโมงเพื่อทำการฝึกคิดมองเห็นคุณค่าของความดี โดย
      คุณอาจจะเลือกเวลาในช่วงเวลาขับรถหรือนั่งรถเมล์ไปที่ทำงาน หรือ เวลาเดินเล่นในสวน
      สาธารณะ ยามเช้าก็ได้
    1. ๒. วิธีฝึกบริหารจิตมองให้เห็นคุณค่าของสรรพสิ่งมี ๒ วิธี คือ
      1. ก. ให้มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว พร้อมกับอธิบายพรรณาถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ
        (โยนิโสมนสิการ) ว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าอย่างไรแก่เราบ้าง กล่าวง่าย ๆ ก็คือ
        อธิบายให้ตัวเองฟังว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราพบเห็นอยู่รอบตัวกำลังช่วยเหลือ
        อะไรเราอยู่นั่นเอง
      1. ตัวอย่าง
        มองเห็นถังขยะ ก็อธิบายในใจว่า โอ้..ถังนี้ช่วยเก็บขยะให้เรา
        มองเห็นสวนดอกไม้ ก็อธิบายในใจว่า โอ้..ดอกไม้ให้ความสดชื่นแก่เรา
        มองเห็นบ้านเรือน ก็อธิบายในใจว่า โอ้..บ้านเหล่านี้ให้ที่อาศัยแก่มนุษย์
        มองเห็นเสาไฟฟ้า ก็อธิบายในใจว่า โอ้..เสาไฟฟ้าเหล่านี้ช่วยนำกระแสไฟมาให้แก่เรา
        มองเห็นสุนัข ก็อธิบายในใจว่า โอ้..สุนัขช่วยเฝ้าบ้าน ระวังภัยให้เรา
      <center> เป็นต้น</center>
      1. ข. ให้มองทุกสิ่งทุกอย่างในฐานะเป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันและกัน หรือกล่าวง่าย ๆ
        คือ เวลาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อธิบายให้ตัวเองฟังว่า สิ่งนั้น ๆ มันมีองค์ประกอบที่
        กำลังมีการช่วยเหลือกันและกันอย่างไรบ้าง
        1. เช่น
          เรามองเห็นบ้านหลังหนึ่ง
          เราก็อาจจะอธิบายในใจว่า
        บ้านหลังนี้ มีหลังคาช่วยบังแดด , มีเสาช่วยยันหลังคาไว้ ,มีตะปูช่วยตอกยึดแน่น
        มีอิฐช่วยก่อให้มั่นคง , มีปูนช่วยโบกทับให้แข็งแรง,มีสีช่วยทาให้สวยงาม . มีคนงานช่วยก่อสร้าง
        ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสามัคคีกัน ช่วยกันประกอบรวมตัวเป็นบ้านหลังงาม เป็นต้น
      <center>ฯลฯ</center> การมองให้เห็นความดีงามของสรรพสิ่งที่ช่วยเหลืออิงอาศัยกันและกันเช่นนี้ นอกจาก
      จิตใจจะได้สัมผัสคุณค่าของความดีงามแล้ว ยังเป็นการฝึกปัญญาให้เห็นธรรมะชั้นสูง
      ที่เรียกว่า "อิทัปปจยตา" อีกด้วย (การอิงอาศัยกันและกัน โดยปราศจากความหมายของความเป็นตัวตน)
    1. ๓.ให้พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาในทุกขณะที่สายตามองเห็นสิ่งต่าง ๆ (ผัสสะ) มีความไม่ประมาท
      ไม่ให้เผลอสติเลยสักขณะเดียว ทั้งนี้เพื่อจิตใจจะได้เป็นสมาธิแน่วแน่กับธรรมะที่พิจารณาอยู่
    1. ๔.การฝึกบริหารจิต ตั้งใจคิดอธิบายให้ตนเองเข้าถึงคุณความดีเช่นนี้ หากปฏิบัติได้ถูกต้อง
      และ ต่อเนื่อง จิตใจของผู้ฝึกจะได้สัมผัสกับความรู้สึกอันอบอุ่นแห่งมิตรภาพที่มวลสรรพสิ่งมอบให้
      ผู้ฝึกจะเห็นความสัมพันธ์อิงอาศัยกันและกันของสิ่งทั้งปวง ทำให้เกิดปีติ จิตใจเบิกบานแจ่มใส
    1. ๕. หากผู้ฝึกต้องการให้ทัศนคติในการมองโลกที่ดีเช่นนี้ให้ประทับอยู่ในจิตใจอย่างถาวรตลอดไป
      ก็ควรที่จะต้องหาอุบายตั้งกติกาให้ตัวเองฝึกคิดเช่นนี้เป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการปลูกฝังอบรม
      ให้กลายเป็นนิสัยที่เคยชินของตนเองสืบต่อไป
    </td></tr></tbody></table></center>[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]
    [/FONT]<center>[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText][FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText][SIZE=+2] พระไตรปิฎก คือ มรดกทางปัญญาของคนไทย
    ธำรงรักษาไว้ ด้วยการศึกษาให้เข้าใจ

    [/SIZE]
    [/FONT]
    [/FONT]</center>
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    สาธุ ขอโมทนากับความรู้ดีๆ ที่ทุกท่านนำมาถ่ายทอดครับ

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5/8/50 งานมินิมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต
    โดยชมรมคนตาทิพย์ ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว
    ผมได้นำพระและผ้ายันต์ที่คุณ คณานันท์ ฝากไปแจกให้ผู้ที่ไปร่วมงาน
    เรียบร้อยตามความประสงค์ครับ....ขอโมทนาสาธุ

    งานนี้ก็เป็นอีกงานหนึ่งของสายวิชาพลังจิต
    มีการดึงเอาความสามารถพิเศษของคนที่เขามีอยู่แล้ว
    ให้ปรากฏออกมา สัมผัสได้ เพิ่มความมั่นใจ
    แล้วให้เขาไปต่อยอดเอาเอง ตามจริต ตามความถนัดของเขา

    เมื่อถึงเวลา ก็จะมาประสานงาน ช่วยเหลือกัน ได้อย่างกว้างขวาง
    มากยิ่งขึ้น

    งานนี้ดูๆไป ก็เหมือนคนบ้า มาเล่นอะไรกัน ก็ไม่รู้
    อาจารย์อาชวินบอกว่า พวกเรา เป็นคนบ้า..แต่มีสติ ครับ

    จบรายงานข่าว...สำนักข่าวเม้าตาอิน
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    <TABLE class=tborder id=post656164 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 02:01 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#3428 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>mead<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_656164", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:15 PM
    วันที่สมัคร: Apr 2005
    ข้อความ: 3,719 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 23,140 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 25,233 ครั้ง ใน 2,955 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2979 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_656164 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โมทนาทุกท่านด้วยครับ
    ตอนนี้อาจารย์นักเขียน โนวา อนาลัย กำลังเริ่มสอนเทคนิคสมาธิในกระทู้ครับ
    เริ่มต้นเรียนได้เลยครับ ผมก็ห่างการฝึกมานานแล้ว คราวนี้ต้องเอาจริงสักทีแล้วครับ
    เชิญไปสมัครเรียนเสริมกัน พลังจิตพิชิตจิตฝัน รุ่นที่ 1 ครับ สามารถต่อยอดเป็นวิชาโทรจิตได้ครับ

    http://www.palungjit.org/board/showt...=86527&page=40
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    บทที่หนึ่งเพิ่งจะเริ่มวันนี้ ลองอ่านดูครับ.-..................



    <!-- End Post Thank You Hack --><!-- Start Post Groan Hack --><SCRIPT type=text/javascript><!--function post_groan_give_655919(){ fetch_object('post_groan_button_655919').style.display = 'none' fetch_object('post_thanks_button_655919').style.display = 'none' do_groan_add = new vB_AJAX_Handler(true) do_groan_add.onreadystatechange(groan_add_Done_655919) do_groan_add.send('showthread.php?do=post_groan_add_ajax&p=655919')}function groan_add_Done_655919(){ if (do_groan_add.handler.readyState == 4 && do_groan_add.handler.status == 200) { fetch_object('post_groan_box_655919').innerHTML = do_groan_add.handler.responseText }}function post_groan_remove_all_655919(){ do_groan_remove_all = new vB_AJAX_Handler(true) do_groan_remove_all.onreadystatechange(groan_remove_all_Done_655919) do_groan_remove_all.send('showthread.php?do=post_groan_remove_all_ajax&p=655919') fetch_object('post_groan_button_655919').style.display = '' fetch_object('post_thanks_button_655919').style.display = '' }function groan_remove_all_Done_655919(){ if (do_groan_remove_all.handler.readyState == 4 && do_groan_remove_all.handler.status == 200) { fetch_object('post_groan_box_655919').innerHTML = do_groan_remove_all.handler.responseText }}function post_groan_remove_user_655919(){ do_groan_remove_user = new vB_AJAX_Handler(true) do_groan_remove_user.onreadystatechange(groan_remove_user_Done_655919) do_groan_remove_user.send('showthread.php?do=post_groan_remove_user_ajax&p=655919') fetch_object('post_groan_button_655919').style.display = '' fetch_object('post_thanks_button_655919').style.display = '' }function groan_remove_user_Done_655919(){ if (do_groan_remove_user.handler.readyState == 4 && do_groan_remove_user.handler.status == 200) { fetch_object('post_groan_box_655919').innerHTML = do_groan_remove_user.handler.responseText }}//--></SCRIPT>

    <!-- End Post Groan Hack --><!-- start adv-->




    <!-- / close content container --><!-- / post #655919 --><!-- post #655953 --><!-- open content container -->
    <!-- this is not the last post shown on the page --><TABLE class=tborder id=post655953 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] วันนี้, 12:08 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#398 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>nova_analai<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_655953", true); </SCRIPT>


    สมาชิก​



    [​IMG]



    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:14 PM


    วันที่สมัคร: Aug 2007


    สถานที่: Lawrence, Kansas, USA


    ข้อความ: 72 <!-- Start Post Thank You Hack -->


    ได้ให้อนุโมทนา 132 ครั้ง


    ได้รับอนุโมทนา 763 ครั้ง ใน 73 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->


    พลังการให้คะแนน: 84 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_655953 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ขั้นตอนการทำสมาธิ


    การกระทำทางจิตจะเป็นไปได้ดังปรารถนาก็ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะที่คมชัด เราจะใช้การฝึีกสมาธิเป็นพื้นฐานที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ในบทฝึกฝนบทนี้และบทต่อๆไป ดังนั้นขอแนะนำให้พวกเรานั่งสมาธิเป็นนิสัย อย่างน้อย-ก่อนนอนทุกคืน ผู้ที่ยังไม่เคยนั่งมาก่อนให้เริ่มจากนั่งวันละ 10-15 นาทีก่อนอย่าฝืนหากนั่งแล้วง่วงหรือเมื่อยหรืออึดอัด ให้สำรวจท่านั่งว่าสบาย-แต่อย่าสบายเกินเช่นพิงศีรษะกับผนัง จะทำให้หลับง่าย แลัวค่อยๆเพิ่มเวลาจนนั่งได้ 30 นาที ไม่หลับ เป้าหมายที่เราต้องการจากการทำสมาธิคือ การฝึกให้กายหลับ-แต่จิตตื่น เพราะเมื่อร่างกายเราหลับ-ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะปิดสวิทช์โดยธรรมชาติ และประสาทสัมผัสที่หกจะเข้ามาทำหน้าที่แทน



    ควรนั่งสมาธิอย่างน้อย 30 นาที โดยน้อมประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าสู่ภายใน ตามวิธีการดังนี้ คือ:


    1. ตา - น้อมประสาทตาเข้าสู่ภายใน-กำหนดจุดวางจิตไว้ ณ ตาที่สาม คือหว่างคิ้้ว


    2. หู - น้อมประสาทหูเข้าสู่ภายในด้วยการฟังเสียงบริกรรมของตนเองในใจ หายใจเข้า-บริกรรมว่า พุท หายใจออก-บริกรรมว่า โธ หรือ หายใจเข้า-บริกรรมว่า หนึ่ง หายใจออก-บริกรรมว่า สอง ก็ได้


    3. จมูก - จับลมหายใจ เข้า-ออก


    4. ล้ิน - ให้กระดกปลายลิ้นเล็กน้อย แตะไว้ด้านในระหว่างแนวเหงือกกับฟันแถบบน ลักษณะการกระดกลิ้นเช่นนี้จะทำให้ต่อมน้ำลายสองข้างลิ้นปิด ทำให้นั่งได้นานโดยไม่ต้องกลืนน้ำลาย แต่ก็ต้องฝึกฝนจนคุ้นเคยก่อน ซึ่งทำได้ไม่ยาก พอทำจนเป็นนิสัยแล้วจะพบว่าได้ผล


    5. กาย - นั่งในท่าที่สบาย ผ่อนคลาย จะนั่งขัดสมาธิหรือนั่งเก้าอี้ตามปกติก็ได้ หลังพิงได้ ศีรษะอย่าพิง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย คนที่มีปัญหาปวดหลัง ให้จินตนาการว่า กระดูกสันหลังของเราเปรียบเสมือนเหรียญบาทจำนวนมากวางซ้อนกัน มันอาจจะวางเยื้องออกไปนอกแถวบ้าง ตรงบ้าง ทำให้ปวดหลัง ดังนั้นให้จินตนาการว่าเราปรับสภาพเหรียญตั้งนี้จนตรงกันหมด ซ้อนกันเรียบร้อยที่สุดด้วยการสั่นสะเทือนจนมันเข้าที่​



    6. จิต - เมื่อน้อมประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าภายในแล้ว ให้กลับไปจดจ่อที่จุดวางจิต บริกรรมต่อไปเสมือนว่า เราหายใจผ่านจุดวางจิต ไม่ว่าจิตจะเตลิดไปไหน เสมือนลิงกระโดดไปเกาะต้นไม้กิ่งอื่น ให้นำมันกลับมาที่ิกิ่งเดิม หรือจุดวางจิตจุดเดิมคือตาที่สาม เมื่อนั่งได้ประมาณ 30 นาทีแล้ว ... อย่าคิดวิตก วิจารณ์ว่า นั่งไม่ได้ดี คงทำไม่ได้ ให้พอใจกับความพยายามที่ได้ทำไปแล้ว ​



    เมื่อกล่าวว่า กายหลับ หมายถึงว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วเราจะพบว่าร่างกายเราอยู่ในสภาวะเหมือนการหลับ คือไม่รู้ว่าแขนขาอยู่ตรงไหน ทั้งที่มีสติสัมปชัญญะอยู่พร้อมก็ไม่รู้สึกว่าแขนขาอยู่ในท่านั้นๆ เสมือนหาแขนขาไม่พบ ​



    เมื่อกล่าวว่า จิตตื่น หมายถึงภาวะที่สติสัมปชัญญะเรายังคงอยู่ไม่ต่างไปจากภาวะยามตื่นจริงๆ บางคนตกเข้าภวังค์นี้ ได้ยินเสียงตัวเองกรน แต่ไม่รู้ว่าใครกรน หรือได้ยินเสียงตัวเองหายใจ ไม่รู้ว่าใครหายใจ บางคนรู้ตัวว่ากำลังคิด แต่เสมือนไปคิดอยู่นอกร่างกาย​



    ให้ประคองจิตและสติสัมปชัญญะให้คมชัด จนรู้ได้ว่า เรากรน เราหายใจ เราคิด ร่างกายเราหลับแล้ว เรารู้ตัวอยู่เพราะจิตเราตื่นอยู่ หยุดกรนได้ แต่ปล่อยลมหายใจไปตามธรรมชาติ บางคนที่ไม่คุ้นกับภาวะนี้อาจตกใจ ทำให้หายใจไม่เป็นส่ำขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะหยุดหายใจ หรือรู้สึกเสมือนว่าหายใจไม่ออก เพราะหาตัวตนที่เคยหายใจไม่พบ หากรู้ล่วงหน้าว่าจะพบกับภาวะนี้ เตรียมใจว่าจะพบ พอพบแล้วประคองสติสัมปชัญญะให้ตระหนักว่า เรากำลังทำในสิ่งที่เป็นเพียงธรรมชาติ ให้เชื่อถือในธรรมชาติ จะรู้สึกเสมือนว่าลมหายใจหาย ตัวจะเบาเหมือนเมฆ ใหญ่เหมือนภูเขา นุ่มเหมือนฟองน้ำ หรือ โปร่งใส ฯลฯ และรู้สึกเสมือนว่าหายใจได้ทุกทิศทาง หรือหายใจได้ด้วยผิวหนัง ให้จดจ่อกับภาวะนี้จนรู้สึกคุ้นเคย (บางคนบอกว่ารู้สึกเสมือนว่า หายใจด้วยสะดือ บางคนก็บอกว่าหายใจได้ด้วยตาที่สาม)​



    แต่เราจะหยุดคิดไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของจิต พี่นักเขียนได้ยินมาบ่อยๆว่า "นั่งให้จิตว่าง" แต่บอกตามตรงว่าไม่เคยตกในภาวะที่ว่าว่างเปล่า-ไม่มีความคิด เพราะอย่างไรก็มีความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมาเสมอ แต่การจะเผชิญกับความว่างเปล่านั้น เป็นความว่างเปล่าของสภาวะแวดล้อมภายใน ที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้อยู่ในสภาวะดังกล่าว ก็ยังคงมีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา แต่มันแตกต่างไปจากปกติคือ เป็นความคิดหรืออารมณ์พอใจในความว่างเปล่าอันสงบสุข ไม่ได้คิดเกี่ยวกับภาวะอื่นๆ เช่น ธุระหน้าที่การงาน หากติดใจกับภาวะและความรู้สึกนี้ อาจนั่งอยู่ในภาวะนี้ได้ 8-9 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะว่าดีก็ดีตรงที่สบาย เพราะหากเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วตกอยู่ในภาวะนี้ ถอนออกมา อาการบางอย่างอาจหายไปได้หมด เช่น ปวดหลัง ปวดไซนัส ไมเกรน ​



    วันหลังเมื่อพี่นักเขียนนำเสนอเรื่องประสาทสัมผัสที่หก หรือประสาทสัมผัสภายใน


    จะแนะนำต่อเรื่องการก้าวไปสู่ "เวลาแห่งจิต" ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึง เป็นภาวะที่ีคล้ายกับภาวะที่ว่าเวลาหายไป 8-9 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ​



    แต่ถ้าหากจะนำจิตวิญญาณไปทำงาน จะปล่อยให้อยู่ในภาวะนี้ไม่ได้ ต้องติดตามด้วยสติสัมปชัญญะให้รู้ว่า ร่างกาย อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นไปอย่างไร จะหยุดพิจารณาก็หยุดได้ ไม่ล่องลอยไปไหน และไม่พอใจอยู่ ณ จุดนั้นๆโดยไม่รับรู้หรือเรียนรู้อะไร เพราะถ้าปล่อยให้ติดกับความพอใจนี้จนเป็นนิสัย จะเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างนอกเบาะสมาธิ ​



    ในทางตรงกันข้าม หากเราฝึกประสาทสัมผัสภายในที่เรียกว่า การใช้เวลาแห่งจิต เราใช้เวลาในทางกลับกันคือ ใช้เวลา 5-10 นาทีหลับอิ่มเหมือนได้นอน 2 ชั่วโมง เป็นต้น​



    เมื่อสติสัมปชัญญะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะดังกล่าวนี้ เป็นภาวะที่เราสามารถตั้งคำถาม ตั้ง Key word ได้และกำหนดขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการได้ ข้อมูลความรู้จะวิ่งมาหาเรา เราไม่ต้อง search หากเราหยุดนิ่ง เมื่อข้อมูลวิ่งมาหาเรา เราจึงจะเห็นมัน ในบางกรณีหากเรากำหนดว่าจะค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่จำเพาะเจาะจง เราก็อาจปล่อยให้สติสัมปชัญญะพุ่งไปหาสิ่งนั้นได้ตรงๆ และรู้เห็นได้ แต่ถ้าเป็นการขอรู้ ขอ download ในสิ่งที่เราเจาะจงไม่ได้แน่นอน เช่นขอรู้เกี่ยวกับสภาวะความเป็นจริงของจิตวิญญาณของเรา เราไม่มีความรู้พอที่จะเจาะจงได้ เราจำเป็นต้องหยุดนิ่งเพื่อให้เห็นว่าอะไรวิ่งเข้ามาหาเรา​



    การฝึกสมาธิเป็นพื้นฐานของการเปลี่่่่่่่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ หากทำได้ทุกวันจนเป็นนิสัย ก็รู้ได้ เห็นได้ ไม่มากก็น้อย และพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองต่างๆที่พี่นักเขีียนจะนำมาเสนอแนะให้พวกเราได้ลองกัน ต้องใจเย็นๆนะคะ เพราะมันเป็นได้ด้วยการฝึกฝน - แต่ทุกคนทำได้​



    - - - - - - - - - - -​



    การอัดจิตวิญญาณลงในวัตถุธาตุ


    การทดลองฝึกฝนนี้ต้องมีอย่างน้อย 2 คน และทำการ-ด้วยวิธีการเดียวกันหมดทุกคน


    ให้แต่ละคนนำเอาวัตถุที่มีขนาดเล็กพอวางในฝ่ามือได้มาหนึ่งชิ้น เช่น แหวน หินก้อนเล็ก เหรียญ ฯลฯ สัมผัสวัตถุนั้นให้คุ้นเคยจนสามารถนึกคิดให้เห็นได้เมื่อหลับตา​



    1. วางวัตถุชิ้นนั้นลงบนฝ่ามือซ้าย คุ้มมือเล็กน้อยเหมือนเวลาวักน้ำด้วยฝ่ามือแล้วประคองไว้ในอุ้งมือ​



    2. นำมือขวามาป้องข้างบน ห่างจากวัตถุและมือซ้ายประมาณ? 4 นิ้ว​



    3. ให้เอาจิตจดจ่อก้บวัตถุชิ้นนั้น หลับตาลงแล้วคิดถึงสาระสั้นๆหนึ่งสาระ อย่ายาวมาก เช่น คิดถึงพระอาทิตย์ ดาวดาว ต้นไม้ รถยนต์ หรือคิดถึงสถานการณ์สั้นๆ เช่น ภาพตนเองเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า คิดถึงนักดนตรีคนโปรดกำลังร้องเพลง คิดถึงการกลับมาจากการท่องเที่ยว-เข้าบ้าน-ทำอะไรเป็นสิ่งแรก ฯลฯ จดจ่อสักครู่จะรู้สึกถึงอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แม้จะน้อยนิด ก็ใช้ได้​



    4. จากนั้นให้นำเอาวัตถุไปแลกกัน ​



    5. นำเอาวัตถุของเพื่อนที่เราจะอ่านมาวางลงในฝ่ามือลักษณะเดียวกันกับเมื่อตอนที่อัดจิตวิญญาณลงไปในข้อ 1 ไม่ต้องมองดูหรือพิจารณามัน เพียงแต่ให้สัมผัสมันโดยไม่ต้องนึกคิด ไม่ต้องวินิจฉัย เพราะจะทำให้วิตกวิจารณ์ แต่เอาจุดวางจิตไปวางไว้ที่วัตถุนั้นเสมือนกับว่าเวลาทำสมาธิ​



    6. เอามือขวาป้องไว้ข้างบน แล้วหลับตาลงด้วยความผ่อนคลาย


    ภาพ เสียง หรือเหตุการณ์ใดที่แว้บขึ้นมาเป้่นสิ่งแรก ให้จับภาพหรือเสียงนั้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที เห็นอะไรก็ีรับทันที โดยไม่ต้องคิดต่อ แล้วลืมตาช้าๆ​



    จากนั้นให้บอกกับเจ้าของวัตถุว่าเราเห็นหรือได้ยินอะไรอย่าพยายามคิดต่อ ว่ากันซื่อๆตรงๆที่สุดเท่าที่รู้เห็น​



    ตามปกติแล้ว พี่นักเขียนจะทำการทดลองนี้กับนักเรียนที่มาเรียนสมาธิได้เพียง 1 สัปดาห์ บางคนไม่ยอมฝึกสมาธิก็ทำได้ เพราะมีสมาธิตามธรรมชาติดี แต่คนที่ไม่ยอมฝึกแล้วทำไม่ได้ มักเสียกำลังใจ ทำให้คิดว่าจะทำไม่ได้เหมือนคนอื่นๆอยู่ร่ำไป แล้วก็ทำไม่ได้จริงๆ แต่คนที่ฝึกสมาธิ-ทำได้ทุกคน ​



    หากยังทำไม่ได้ให้ฝึกสมาธิต่อไป อยากทดลองเมื่อไรก็ทดลองได้ ไม่ต้องกลัวว่าประสาทสัมผัสที่หกของเราใช้การไม่ได้ เพราะเราทุกคนมีประสาทสัมผัสที่หก และมันทำงานอยู่เสมอ เราเพียงแต่กำลังฝึกฝนที่จะรู้เห็นว่ามันทำงาน ไม่ใช่ว่าหัดให้มันทำงาน​



    ไม่ว่าจะทำได้ หรือ ทำไม่ได้ในคราวแรก หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะทำได้แล้วจะทำให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ประสาทสัมผัสภายในอื่นๆได้อีก อย่าท้อนะคะ เรามีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ใช้งาน ขยันเอามาใช้กัน ช่วยกันเอาใจกัน​



    เวลาพี่นักเขียนสนับสนุนว่าคุณทำได้ อย่าคิดว่าฟลุ๊ค เพราะจะทำให้ขาดความมั่นใจว่าจะทำซ้ำอีกไม่ได้​



    เวลาพี่นักเขียนถามอะไรใครขึ้นมาคุณๆยังสัมผัสกับ "ความหมาย"ของมัน และบอกกับพี่ว่ามันมีความหมาย มันทำให้พี่รู้ว่าเราจะก้าวหน้าได้ เพราะสิ่งที่เรารู้เห็นไม่ได้ไร้สาระ ดังนั้นต้องศรัทธาในความหมายของสิ่งที่เราทำได้ จิตวิญญาณของเราจึงจะพัฒนาได้อย่างก้าวหน้า ​



    ขยันฝึกสมาธิกันนะคะ ยังมีอีกมากที่อยากจะแชร์


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ไม่สูญ ไม่เสียเวลา ไม่วก ไม่วน คือ ทางตรง ****

    ทำอะไรให้เป็น "สัจจะ"
    เราไม่ควรทำตัวขวาง "หลักสัจจะธรรม"
    การพยายามตั้งใจ ลดกิเลสนิสัย...คือ ทางตรง
    พึ่ง โลกุตตระ สัจจะ ตลอดชีวิต

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    เราทุกคน...กำลังเดินอยู่บนทางใด !!!!
    ถ้าคนไทย...เชื่อสัจจะ ปฏิบัติด้วยสัจจะ....มาตั้งแต่วันก่อน
    วันนี้ วันพรุ่งนี้...เราก็ไม่ลำบาก
    รอดพ้น...จากกรรมได้ไม่ยาก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลนำบุญมาฝากเพื่อนๆคับ จากงานเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อวาน

    เมื่อวานนี้เด็กอนุบาลได้มีโอกาสพาครอบครัว รวมถึงคุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย และ แฟนน้องชาย ไปรับยันต์เกราะเพชร ที่วัดท่าขนุน จึงอยากให้เพื่อนๆ ร่วมโมทนาบุญคับ

    เด็กอนุบาลขอมหาโมทนาในพระเมตตาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกองค์ มีสมเด็จฯองค์ปฐม เป็นต้น พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งท่านพรหม เทวดา และ พระยายมราช ทุกท่าน ที่ได้สงเคราะห์ให้งานเป่ายันต์เกราะเพชร เมื่อวาน ได้ยังประโยชน์ แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตริยจักรวาล ที่ตั้งใจรับยันต์ สมกับวัตถุประสงค์ของงานนี้ด้วยดีทุกประการ

    อิทัง ปุญญะผลัง ขอถวายกุศลผลบุญทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ ให้แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และในหลวงรัชกาลที่9

    อิทัง ปุญญะผลัง ขอกุศลผลบุญนี้ จงสำเร็จแด่ ท่านพรหมทุกองค์ เทวดาทุกองค์ อีกทั้ง ท่านพระยายมราช

    อิทัง ปุญญะผลัง ขอกุศลผลบุญนี้ จงสำเร็จแด่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ครูบาอาจารย์ทุกท่านของเด็กอนุบาล ตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน และในอนาคต

    อิทัง ปุญญะผลัง ขอกุศลผลบุญนี้ จงสำเร็จแด่ทุกดวงจิตทั่วไตรภพอนันตริยจักรวาล ขอทุกดวงจิตทั้งหลาย ที่ได้โมทนาบุญนี้ จงมีเมตตาแผ่กุศลของทุกท่าน ไปให้ดวงจิตอื่นๆ เพื่อสร้างสันติสุขไปทั่วอนันตริยจักรวาลเถิด

    ขอกุศลผลบุญทั้งหมดที่เด็กอนุบาลได้ทำมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน และที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคต ได้เป็นเหตุปัจจัย ให้เด็กอนุบาล ได้เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ถ้ายังไมถึงพระนิพพานเมื่อใด ขอ "ความไม่มี" จงอย่าได้มีปรากฏแก่เด็กอนุบาลเลย เพื่อให้มีกำลังในการดูแลพระพุทธศาสนาให้วัฒนาสถาพรสืบไป_/|\_ :)
    <!-- / message -->
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ในงานมโนมยิทธิเต็มกำลัง ในวันเสาร์ที่ผ่านมานี้

    พวกเราหลายๆท่านก็ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกกันดีไม่น้อย น่าชื่นใจ

    พี่มารีนถอดกายทิพย์ออกมาได้ด้วยกำลังของฌานสี่ละเอียด น้องอีกคน ก็สามารถถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนพระนิพพานได้

    เท่าที่ได้พิจารณาดู หากเราเน้นการวางอารมณ์ใจในวิปัสสนาญาณกันให้เข้มข้นกันกว่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยในการปฏิบัติ

    ส่วนสำหรับผมเอง โดยทั่วไปผมมักใช้โอกาสในการไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ในการไปรับคำสั่งในการทำงานจากพระท่าน ว่าท่านมีสิ่งใดที่จะสอน หรือมีสิ่งใดที่ท่านจะสั่งงานให้เราทำ สำหรับในครั้งนี้สิ่งที่ท่านได้เมตตาบอกมามีดังนี้

    " การทำงานในเรื่องช่วยคนจากภัยพิบัตินั้น ให้ระมัดระวัง อย่าให้ผู้คนแตกตื่นตกใจกัน เพราะวิสัยของมนุษย์ทั้งหลายนั้นย่อมหวาดกลัวความตายเป็นธรรมดา แม้ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ยังมีความกลัวตายกันอยู่อีกมาก ความกลัวก่อให้เกิดความวิตกกังวลและทำให้จิตใจเศร้าหมองเป็นธรรมดา

    ผู้ไม่กลัวตายนั้น ย่อมมีใน
    พระเจ้าจักรพรรดิ์
    ม้าอาชาไนย
    และพระอรหันต์ขีนาสพ ผู้ปราศจากกิเลสสิ้นเชิงเท่านั้น

    หมู่คนอีกมากที่ยังเกรงกลัวความตาย ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น มีบุคคลอีกหลายท่านที่จะต้องตายลงไปในภัยพิบัติครั้งนี้ เป็นวาระ เป็นกรรม แต่การตายของท่านทั้งหลายนี้ มีสุขคติภูมิเป็นที่ไป รวมทั้งที่จะสามารถไปนิพพานได้ในครั้งนี้อีกนับเป็นแสนท่าน

    ดังนั้นจงอย่าให้ดวงจิตของท่านเหล่านี้เศร้าหมอง ท่านจะช่วยผู้คนหรือไม่ช่วยผู้คน ก็จงอย่าได้ไปตำหนิหรือเร่งรัดท่าน จงทำจิตเราเองให้เป็นอุเบกขา เราทำหนาที่ของเรา เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ให้ท่านปฏิบัติในส่วนของท่านไป จะสังเกตุได้ว่า เมื่อเราพูดถึงภัยพิบัติ ท่านเหล่านี้ จะมีอารมณ์วางเฉย มองเป็นธรรมดา ไม่กระตือรือล้นที่จะรับรู้อย่างไร

    ในภัยพิบัติครั้งนี้ ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมจะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือท่านผู้มีหน้าที่ชำระล้างกิเลสของตนออกจากใจ และจากไปจากภพภูมินี้ โดยมิได้มีหน้าที่ช่วยเหลืองานทางด้านภัยพิบัติแต่อย่างไร

    กับผู้ที่จิตอธิฐาน มาทำหน้าที่ต่อยอดฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่ต่อไปให้ครบ 5000 ปี เหล่านี้มีหน้าที่มีความจำเป็นต้องอยู่เพื่อทำงานต่อไป ไม่ใช่มีเฉพาะในรุ่นๆของพวกเราเท่านั้น ยังมีในกลุ่มเด็กที่กำลังเติบใหญ่ขึ้น และเป็นผู้มีบุญมีกุศลมาเกิดเพื่อสานต่องานอีกเป็นจำนวนมาก"

    จากนั้นท่านก็ให้ไปดู ว่าผู้ที่มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนในยามเกิดภัยพิบัตินั้น มีเทวดาท่านมาแต้มตรงอุณาโลมเป็นสีแดงเป็นเครื่องหมายให้ทราบว่า ผู้นี้ ไม่ใช่คนที่อยู่ในบัญชีที่จะต้องชำระล้าง ท่านบอกว่ามีพญานาคอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องทำหน้าที่ชำระล้างด้วย ดังนั้นจงได้ระมัดระวัง ตัวเอาไว้ อย่าได้เห็นเป็นนาค แล้วจะทำความคุ้นเคยไปเสียหมด

    เป็นที่น่าสังเกตุในครั้งนี้ท่านพูดถึงแต่กลุ่มคนดี คนปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้พูดถึง คนในกลุ่มอื่นเลย คาดว่าเป็นไปตามกฏของกรรมที่พระและเทพพรหมเทวาทั้งหลายท่านได้วางอุเบกขากันไปแล้ว

    ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความดีกัน อย่าได้ประมาทในเวลา ในสังขาร ในความตาย ของตนเอง

    ทำความดีทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกโอกาสที่ทำได้
    การทำจิตให้บริสุทธิ์ของเราทำได้ทุกเวลาทุกนาทีที่เราต้องการ
    พรหมวิหารสี่ทรงเอาไว้ให้เป็นปกติ
    รักษาศีลให้สะอาด ทั้งสามชั้น
    มีวิปัสสนาญาณ ที่ละเอียด ตัดสังโยชน์สิบอย่างสม่ำเสมอ

    ขอความเจริญในธรรมจงมีต่อทุกท่านทุกดวงจิตด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...