สิ่งที่เป็นของโลก

ตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ ควรที่จะปฏิบัติให้เห็นด้วยตนเอง
หากแต่ ยังไม่หมด ยังต้อง พินาว่า ปฏิบัติอย่างไร

 

ปฏิบัติยังไงไม่มีการปรุงแต่ง ก็ที่เขียนโพสต์มานี่ก็ไม่ใช่มีการปรุงแต่งหรือ

ผู้รู้เขาไม่เชื่อหรอก แต่สงสารผู้ที่แสวงหาธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะซีอาจหลงเชื่อ

ทำให้ล่าช้าหรือหลงทางของคนที่เห็นว่าธรรมของตัวเองดีเด่นกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า

อ้าวแล้วกันสอนธรรมตามพระไตรปิฎกที่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วไปบังคับให้เชื่อตรงไหน

ในพระไตรปิฎกมีเหตุผลเพียงพออยู่แล้วไม่ต้องไปบังคับใคร

ที่หลงน่ะกลัวหลงไปกับคำสอนที่ปราศจากครูบาอาจารย์ต่างหาก

 

ก็มัวแต่สงสัย ก็เลยต้องสงสัยอยู่นั่นเอง ผมไม่สนใจว่าใครจะปฎิบัติอย่างไร

แต่หากกล่าวในเชิงเหตุ-ผล ผมก็รับฟัง และ นำไปศึกษาทดลองด้วยตัวผมเอง

ว่าจริงแท้หรือไม่ ไม่นำมาเป็นเหตุให้ถกเถียงครับ คนทุกคนมาจากคนละทาง

จะให้เหมือนกันในทุกสภาพ ทุกความเข้าใจ ซึ่งเป็นไปได้ยาก หากต้องการรู้

ก็ทดลองด้วยตนเองครับ นึกคิดให้ตายก็ไม่อาจรู้ได้ แต่หากทำย่อมรู้เห็นความเป็นจริง

สาธุครับ

 

ขอโทษด้วยค่ะ หากทำให้โกรธ
เห็นว่า มีคอนเสร็ปว่า ไม่ปรุงแต่ง

ไม่คิดว่าจะโกรธขนาดนี้
แต่คุณตอบโต้คนเก่งนะคะ ยกนิ้วให้เลยค่ะ

 

ผมไม่เคยกล่าวว่า สอนธรรมของตนเองดีกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าครับ

จะกล่าวอะไรก็ให้มีหลักฐานด้วยครับ ส่วนใครจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็เป็นสิทธิส่วนตัวครับ

ผมไม่เคยไปแสดงการลองภูมิผู้อื่นเลย ซึ่งต่างจากคุณมากนัก ที่ชอบลองภูมิผู้อื่น

แทนที่จะนำสาระดีๆมาแบ่งปันผู้อื่น กลับมาคอยหาเรื่องถกเถียงด้วยนึกคิดว่าตนรู้มาก

เสียเวลาไปมากไหมครับ คุณไม่เชื่อผม ก็ไม่มีเหตุ-ผลที่จะเข้ามาคุยกับผม

ผู้อื่นที่เข้ามาอ่าน เขามีสติปัญญาเพียงพอครับ ว่าจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่ออย่างไร

เมื่อก่อนผมก็มีความคิดเห็นเช่นที่คุณกำลังคิดเห็นอยู่ แต่ตอนนี้ผมคิดเห็นว่า

ผลแห่งกรรมนั้นส่งผลทางการนึกคิด เมื่อคิดเห็นเช่นนี้แล้ว ผมจึงเลิกกระทำเช่นที่คุณกระทำอยู่

สาธุครับ

 

หากการอธิบาย บ่งบอกว่าโกรธ คงจะโกรธกันหมดแล้ว ผมได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนครับ

จึงได้ถามคุณถึงความชัดเจน ว่าต้องการเช่นไรกันแน่ ในเว็บแห่งนี้เวลามีการโต้ตอบ

จะกล่าวหาว่าผู้นั้นโกรธ ผู้นี้โกรธ แทนที่จะสนใจว่าใครโกรธ ทำไมไม่สนใจเหตุ-ผล

ที่ผู้ตั้งกระทู้นำมาแสดงครับ ดีกว่าหาเหตุให้ถกเถียงกัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย

สาธุครับ

 

รู้ว่าสงสัย ก็แก้สงสัยสิคุณ
ทำแล้วรู้เห็นความเป็นจริง มีวิธีทำอยู่ครับ ไม่ได้พูดลอยๆ แบบคิดเอานะคุณ
ผู้ปฏิบัติตามองค์ตถาคต แต่ละท่านถึงจะกล่าวว่ามีจริตต่างกัน หากแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมีองค์สามครบบริบูรณ์ นั่นคือ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ทุกขณะจิต ขอรับ

 

ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ควรน้อมนำมาสู่ตนครับ ที่ผมบอกว่ามัวแต่สงสัยนั้น คุณกำลังทำเช่นนั้นอยู่ครับ

ปฎิบัติให้ถึงเอง ก็รู้ด้วยตนเอง ผมไม่เคยว่ากล่าวผู้ใดว่าเป็นผู้ที่หลงครับ ไม่เคยเจาะจ่อ

การเจาะจ่ออย่างชัดเจนนั้น บ่งบอกว่าผู้ที่กล่าวนั้น เป็นผู้ที่บรรลุแล้วจึงจะสามารถกล่าวได้

คุณได้บรรลุแล้วหรือครับ จึงกล่าวว่าผมหลง และ ที่แสดงว่าสงสัยเพราะเห็นว่าผมหลง

สาธุครับ

 

จริงค่ะ ไม่ถกเถียงกันค่ะ
คุยกันนะคะ

อืม...คุณไม่โกรธ ก็ไม่โกรธนะคะ ดีมากๆ เลยค่ะ
คุยกันดีๆ นะคะ

 

ก็ใครไม่เชื่อก็เห็นไล่ออกจากระทู้ เป็นประจำ

ที่ว่าไม่แข่งไปเอาธรรมที่ไหนมาสอน

รู้เองเห็นเองใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไหน

รู้เห็นเองต้องรู้ตามคำสอน ตามพระไตรปิฎก

ก็ไม่รู้ธรรมแท้จะไปลองภูมิกับเขาได้อย่างไรกัน

 

หากคุยกันด้วยเหตุ ด้วยผล ผมยินดีครับ เพราะการถกเถียงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ครับ

สาธุครับ

 

สงสัยเกิดเหรอครับ พินาดูนะครับ

 

การปฎิบัติสมถะกรรมฐาน เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไหมครับ

เมื่อปฎิบัติแล้วพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไหมครับ

ยังมีอีกมากมายที่เห็นในสิ่งที่ปฎิบัติด้วยตนเอง เห็นตามเหตุ ตามผล

ที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ ผมได้บอกกล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่า ในพระไตรปิฎกนั้น

มีการเพิ่มเติมขึ้นมามากมาย ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายพันปี ได้มีผู้ที่หยิบยื่นเข้ามาไว้

โดยหวังที่จะทำลายพระพุทธศาสนา แต่ผมก็ไม่เคยบอกกล่าว่า อย่าไปเชื่อพระไตรปิฎก

ผมกลับบอกกล่าวว่า ธรรมที่มีในพระไตรปิฎก เป็นธรรมที่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้ทรงบัญญัติขึ้น ที่ผมบอกว่าคุณลองภูมิผู้อื่น เพราะคุณชอบถามในสิ่งที่ตัวคุณเองก็รู้อยู่

สาธุครับ

 

มีผู้คนมากมายกล่าวไว้ว่า " ให้ดูตนเอง สำรวจตนเอง " แต่หาผู้ที่กระทำนั้นยากเหลือเกิน

มีแต่คนที่คอยดูผู้อื่น สำรวจผู้อื่น กลับไม่มองดูจิตของตนเอง แล้วจะเห็นโทษของตนเองได้อย่างไร

สาธุครับ

 

ผมสงสัย นิดนึงครับ..ที่คุณว่า ธรรมในพระไตรปิฏก มีการ เพิ่มเติม มากมาย..คุณท รู้ได้ยังไงครับ...เพราะใรพระไตรปิฏก เขามีแยกยแยะไไว้ ว่าส่วน ที่เป็น พุทธพจน์ กับ ส่วนของอรรถาจารย์..ชัดเจน อันไหน ที่เพิ่มเติม แล้วมันผิดไปหรอ ครับ

คุณ พูดเหมือนกับว่า ตัวคุณ เป็น ศาสดาเอง ที่จะชี้ถูก ชี้ผิด ได้เลย อย่าง ันั้น หรอครับ..

 

ตรงนี้ก็ปิดประตู ลั่นกลอน ข้อความข้างบน ยังถามผู้อื่นอยู่เลย ว่า คุณได้บรรลุแล้วหรือครับ พอตอนนี้กลับกล่าวเป็นธรรมกลบปากตนเองเสีย
หลายๆท่านที่เข้ามาคุย เขาเป็นกัลยาณมิตรนะครับ ควรพินาให้แยบคาย ครับ

 

หากผมทำให้คิดเช่นนั้น ก็ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ที่ผมบอกกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงครับ

ผู้ที่หยิบยื่นเข้ามานั้น มีปัญญามาก แต่เป็นไปตามแรงแห่งกรรมครับ

ผมอธิบายได้เท่านี้ ส่วนเรื่องผมรู้ได้อย่างไร ผมไม่ขอตอบได้ไหมครับ

และ มีผู้ที่กล่าวเช่นที่ผมบอกนั้นมีอยู่ครับ เป็นที่นับถือในหมู่สงค์ด้วยครับ

สาธุครับ

 

การ ดู การรู้ ตนเอง..นั้น หากว่า ตาม ตำรา เขาให้ ดู ที่ สภาวะ ทางกายและใจของตนเอง.เพื่อ การเกิดความตั้งมั่นของจิตอันเป็นหลักการปฏิืบัติธรรม....แต่หาก คุยกัน ในเรื่องการจับผิด ของสังคม มันต้องดู ทั้งคนอื่น และ ตนเองว่า ทำอะไรไป บ้าง สมเหตุสมผล หรือไม่ มีการเอาเปรียบกันหรือไม่...

คุณ ควรแยก ประเด้นการกล่าวเรื่องนี้ด้วย...

 

เช่นนั้นก็เชิญคุณเถอะครับ เมื่อหาเหตุ-ผลไม่เจอ ก็ควรจะจบครับ

ผมไม่ชื่นชอบในการถกเถียงครับ

สาธุครับ

 

การ รู้ ของคุณ มักจะอ้างว่า รู้ได้เอง และไม่ขอตอบ เนี่ย...มันใช้ได้ ในครอบครัว คุณเองนะครับ.....

ในสังคม นอกบ้าน ที่พบคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ พรรคพวก และ เข้าสังสรรกันในสังคม สิ่งที่เป็นตัว ตัดสินความถูกต้องคือ เหตุผล และหลักฐาน ครับ การ อ้างอะไรลอยๆ สังคม ไม่ใหห้เครดิต ครับ เท่ากับ เพ้อ ฝันลมๆแล้งๆ ครับ..

อย่าคิดมากนะ ผม กล่าวไปตาม หหลัก สากลครับ