สิ่งที่เป็นของโลก

- คนรู้มามากแล้วไม่นำไปปฏิบัติมีไหม? นั่นมันคือคนโง่
-มีมากมายครับ อย่าบอกว่าไม่เคยพบเห็นนะครับ และ เขาไม่ได้โง่ครับ แต่ไม่สามารถเอาชนะตนเองได้ครับ ผมไม่เคยเห็นใครโง่ครับ มีแต่รู้ไม่เหมือนกัน

- คนที่ปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาเลย จะเอาความรู้ที่ไหนมาปฏิบัติให้ถูกต้องจริงไหม?
-หลวงปู่ที่ผมศัทธาก็ไม่ได้บอกเช่นคุณเลยครับ มีแต่ให้มุ่งเน้นที่การปฎิบัติให้มาก เฝ้ามองดูจิต จิตจะบอกทุกอย่างเอง หลวงปู่บอกว่าต่อไปจะหาสถานที่ปฎิบัติได้ยาก การปฎิบัติก็จะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก ไม่เห็นท่านบอกว่าให้ยึดตามพระไตรปิฎกเลยครับ

- การปฏิบัติโดยตั้งใจจริง แต่ขาดความรู้จริง จะหลุดพ้นไหม ? ทำแบบโง่ๆซิ
มีพระอาจารย์บอกไว้ว่า ปฎิบัติอย่างโง่ๆดีกว่ารู้มากแล้วยึดติด จิตจึงไม่มีทางที่จะสงบได้ เพราะการรู้มากทำให้เกิดความสงสัยอยู่ตลอด

- ชัดเจนตรงไหน บอกด้วย<!-- google_ad_section_end -->
-ชัดเจนสิครับ หากยอมรับตามความเป็นจริง มีพระอาจารย์มากมายที่ปฎิบัติแล้วบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้ที่ศึกษาเพียงถ่ายเดียวมีไหมที่บรรลุมรรคผลนิพพาน

สาธุครับ

 

ผู้ที่ไม่เชื่อมั่นในตนเอง ย่อมเชื่อถือในสิ่งที่นึกคิดว่า จะให้ความช่วยเหลือได้ แต่ไม่ยอมมุ่งมั่นด้วยตนเอง

มนุษย์ชื่นชอบความสุขสบาย ให้ลำบากแค่เพียงน้อยนิดที่มากไปกว่าเดิมก็เกิดอาการทนอยู่ไม่ได้

ด้วยการรักตัวตนของตนเอง สร้างจนกลายเป็นความขี้เกียจ และ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดกับตนเอง

ชีวิตจึงเป็นทุกข์ และ อำนาจแห่งเงินตรา จึงมีผลด้วยเหตุนี้

เหตุ คือ การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ผล คือ สิ่งที่เกิดจากการกระทำนั้นๆ

สาธุครับ

 

ขอโทษนะอ่าน ๓ รอบ แต่ไม่รู้เรื่องน่ะ จะสือความหมายถึงอะไร
ตรงกับธรรมะบทข้อไหน ๕๕๕ ขอตัวก่อน

 

ผมสื่อในสิ่งที่เป็นอยู่บนโลกครับ ผู้คนมากมายพ่ายแพ้ต่อความขี้เกลียดที่มีเกิดขึ้นกับตนเอง

จึงได้แสวงหาเงินตรามาเพื่อความสุขสบาย ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความทุกข์อย่างที่มีให้เห็น

อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเล่นการพนัน ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย บางคนบ่นว่าเป็นทุกข์

เพราะไม่มีเงินใช้จ่าย แต่กลับไปซื้อหวยด้วยจำนวนเงินที่มากมาย ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์

คงเข้าใจมากขึ้นแล้วนะครับ ผมคงอธิบายให้ฟังเท่านี้ เพราะอธิบายมากกว่านี้ต้องใช้เวลาที่นานพอสมควร

สาธุครับ

 

สรุปว่าจะให้ช่วยตอบกระทู้ข้างบน หรือ จะขอตัวก่อนครับ ลังเลจังน่ะครับ

สาธุครับ

 

อ่านไม่เข้าใจหรือ ? หรือทำเป็นไม่เข้าใจ

 

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ได้ปรุงแต่งให้จิตใจมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก

ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ที่เริ่มกล้าแสดงออกเป็นอย่างมาก ทั้งสื่อในหลายรูปแบบ

ทั้งการเรียกร้องสิทธิ ซึ่งแสดงออกในทางที่ดี และ ทางที่ไม่ดี แต่ได้นำพาให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

ซึ่งจะนำพาให้เกิดความวุ่นวายขึ้ยอีกมากบนโลกใบนี้ วัฒนธรรมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสแห่งกาลเวลา

มนุษย์เริ่มยอมรับในสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่ยอมรับ เริ่มกระทำในสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่เคยทำ

ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มมากขึ้นตามเงา การดิ้นรนแข่งขันในสังคมก็เริ่มทวีคูณเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย หากหยุดมองดู การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะได้เห็นความเป็นไปของกระแสแห่งการเวลา

สาธุครับ

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าเนี้ย จะทำให้คนหลงว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า

 

โพสที่คุณพิมพ์ขึ้นเอง และ แก้ไขด้วยตัวคุณเอง ครั้นผมถามบ้างก็แสดงออกเช่นนี้

หากยังลังเลด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ บ่งบอกสิ่งใด หากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

กรุณาอย่าเข้ามาจะดีกว่าครับ ผมไม่ได้ชื่นชอบการถกเถียง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

สาธุครับ

 

ผมบอกกล่าวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ ผมไม่ได้กล่าวอ้างว่าเป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กรุณาอย่าได้หาเหตุให้ถกเถียงเลยครับ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ปฎิบัติธรรมด้วยครับ

สาธุครับ

 

- คนรู้มามากแล้วไม่นำไปปฏิบัติมีไหม? นั่นมันคือคนโง่
-มีมากมายครับ อย่าบอกว่าไม่เคยพบเห็นนะครับ และ เขาไม่ได้โง่ครับ แต่ไม่สามารถเอาชนะตนเองได้ครับ ผมไม่เคยเห็นใครโง่ครับ มีแต่รู้ไม่เหมือนกัน


- มีที่ไหน คนที่รู้แล้วไม่นำเอาไปปฏิบัติ โง่น่ะซิ

- คนที่ปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาเลย จะเอาความรู้ที่ไหนมาปฏิบัติให้ถูกต้องจริงไหม?
-หลวงปู่ที่ผมศัทธาก็ไม่ได้บอกเช่นคุณเลยครับ มีแต่ให้มุ่งเน้นที่การปฎิบัติให้มาก เฝ้ามองดูจิต จิตจะบอกทุกอย่างเอง หลวงปู่บอกว่าต่อไปจะหาสถานที่ปฎิบัติได้ยาก การปฎิบัติก็จะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก ไม่เห็นท่านบอกว่าให้ยึดตามพระไตรปิฎกเลยครับ
- ฟังมาดีหรือเปล่า จะไปเฝ้ามองดูจิตในเมื่อยังไม่รู้จักจิต สถานที่ปฏิบัติจะต้องแสวงทำไม ก็สถานที่ปฏิบัติก็อยู่ กาย วาจา ใจ นี่เอง นี่ว่ามันยากเพราะคนปฏิบัติไม่รู้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามพระไตรปิฎกก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า


- การปฏิบัติโดยตั้งใจจริง แต่ขาดความรู้จริง จะหลุดพ้นไหม ? ทำแบบโง่ๆซิ
มีพระอาจารย์บอกไว้ว่า ปฎิบัติอย่างโง่ๆดีกว่ารู้มากแล้วยึดติด จิตจึงไม่มีทางที่จะสงบได้ เพราะการรู้มากทำให้เกิดความสงสัยอยู่ตลอด

- แน่ใจนะว่าพระอาจารย์สอนแบบนี้ รู้มากแล้วยึดติดมีที่ไหน ข้อสำคัญคนที่ยึดติดน่ะแหละคือคนที่ไม่รู้จริงจึงยึดติด ความสงสัยนั้นดีกว่าปล่อยให้โง่งมงาย

- ชัดเจนตรงไหน บอกด้วย<!-- google_ad_section_end -->
-ชัดเจนสิครับ หากยอมรับตามความเป็นจริง มีพระอาจารย์มากมายที่ปฎิบัติแล้วบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้ที่ศึกษาเพียงถ่ายเดียวมีไหมที่บรรลุมรรคผลนิพพาน
- สิ่งที่ไม่เป็นจริงจะยอมรับไดยังไง ต้องหาเหตุผลมาให้ได้ก่อนค่อยรับไม่งั้นโง่ตาย พระอาจารย์อะไรที่ท่านปฏิบัติบรรลุ มรรค ผล นิพพาน โดยไม่ต้องรู้อะไรมาก่อน มีมากมาย ท่านบอกเหรอ ? ก็บอกไปแล้วว่าคนที่ศึกษาแล้วรู้ย่อมนำเอาไปปฏิบัติ คนที่ศึกษาที่ไม่รู้เท่านั้นที่ไม่นำเอาไปปฏิบัติ

 

คิดว่าถกเถียงก็ลบกระทู้ได้นี่ครับ หรือล๊อกกระทู้ได้เลย จะได้ไม่มีใครรบกวน
คิดออกมาได้ยังไง คิดแต่เรื่อง อกุศล

 

ดีครับ แสดงออกชัดเจนดีครับ บ่งบอกได้ชัดเจนถึงการยึดติด ผู้ที่เข้ามาอ่านจะได้มองเห็นครับ

สาธุครับ

 

ไม่มีความจำเป็นครับ ที่จะต้องลบกระทู้ หรือ ล๊อกกระทู้

สาธุครับ

 

ดีแล้วอย่าลบหรือล๊อก เห็นไล่บ่อยๆว่าไม่มีความจำเป็นอย่าเข้ามา เลยแนะนำให้เท่านั้นเอง

 

หากเข้ามาแล้วไม่สร้างประโยชน์ ก็อย่าเข้ามา มาทำให้สิ้นเปลืองเนื้อที่น่ะครับ

ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะเข้ามา แต่สนใจที่ว่าเข้ามาแล้วสร้างประโยชน์ไหมต่างหาก

สาธุครับ

 

ผมเห็นประโยชน์ครับ เมื่อทำอะไรแล้วต้องได้รับประโยชน์ ของกรรมอันนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นอกุศลจะไม่เข้ามาทำกรรมครับ

 

ขันติ...อดทน... อดกลั้น...แล้วตอบกระทู้อย่างมีสติ...แค่ด่านแรกเองครับท่าน oatthidet

 

นี่ขนาดมีความคิดเห็นเช่นนี้ ยังทำได้ขนาดนี้ หากคิดเห็นไม่ได้ขนาดนี้ จะทำได้ขนาดไหน

สาธุครับ

 

ผมก็ตอบไปตามที่เขาถามมา ไม่จำเป็นต้องอดทน อดกลั้น เพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรครับ

เขาถาม ผมก็ตอบ ในรูปแบบที่เขาเสนอมา การยกเรื่องด่านแรก หรือ ด่านสุดท้าย

มีแต่คนที่นึกคิดว่าตนเองนั้นอยู่สูงแล้ว สำเร็จแล้ว จบกิจแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วกลับไม่ใช่

เป็นการหลงตนเอง โดยไม่มองในสิ่งที่ควรเป็นเลย มองที่เหตุ-ผลก็จะเห็นเองครับ

สาธุครับ