: : : เปิดเรื่องลี้ลับ กับ ตำนาน เมดูซ่า (Madusa) กึ่งปีศาจ กึ่งเทพ!!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 9 สิงหาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ช่วงนี้ฉันติดละครค่ะ
    โดยเฉพาะเรื่อง "มายาพิศวาส"
    ในเรื่องได้กล่าวถึงเรื่องราวแห่งความลึกลับขของ Madusa!
    หัวเป็นงู... แต่ไม่เกี่ยวกับเฒ่าหัวงู หรอกนะ!

    น่าสนใจมากค่ะ!

    ทำให้ต้องมานั่งท่องเว็บ หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อ่านอย่างจริงจัง.. ว่ามีจริงหรือไม่??

    ได้ผล.. มีแฮะ!!

    ใครยังไม่เคยรู้จักเรามาทำความรู้จักกับ Madusa ไปพร้อมๆกันกับฉันนะคะ
    มดูซ่า เป็นชื่อที่ทำให้นึกถึงนางมารร้ายที่มีผมเป็นงู
    แต่คำว่า เมดูซ่า-Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้วที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ
    เช่นในภาษาสันสกฤตคือ "เมธา"
    ในภาษากรีกคือ Metis
    และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat
    [​IMG]

    มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย
    ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีก
    ทีหลังเป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู
    หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย

    ในยุโรปสมัยโบราณยุคหินงูยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้ายซึ่งเกิดขึ้นมาภายหลัง
    หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ
    และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ
    เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้



    เมดูซ่า นั้นแต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ
    มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่าdreadlocks) ที่ดูคล้ายงู

    ในสังคมดึกดำบรรพ์ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่
    ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่
    ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
    เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี
    ในสังคมกรีกในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีกจนมาถึงประมาณ๖๐๐ปีก่อนคริสตศตวรรษ
    วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก!!
    ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไป

    ในภายหลังชื่อของเธอก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส
    แล้วชาวกรีกก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า
    มาให้เทพ อะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคมที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่างคือ
    รักษาพรหมจรรย์และรับใช้ครอบครัว
    ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดาเหนือตนเอง

    [​IMG]
    ามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของ เมดูซ่า และพี่น้องอีกสองสาว
    ทั้ง เมดูซ่า และพี่สาวแต่เดิมนั้นเป็นสาวงามมาก
    ต่อมา เมทิส แม่ของนางถูก เทพเซอุส ข่มขืนแล้วกลืนลงท้องไป

    เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญาและสามารถแปลงร่างต่างๆได้
    เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง
    ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก
    ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้

    ในภายหลังพลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผากของ เซอุส
    กลายเป็น เทพธิดาอะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่
    ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น
    เพราะในบรรดาพี่น้องมีแต่ เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์

    พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอมีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย
    อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด


    วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป
    เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา
    สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ

    เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ
    อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์
    แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว!!
    และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว!!
    [​IMG]
    จากสาวงามเลื่องชื่อต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็นจะต้องกลายเป็นหินไป

    เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอายก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง
    ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้าโดยทำให้กลายเป็นหินไป
    จากการมองหน้าของนางเป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับ ชะตากรรมอันโหดร้าย

    เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึง มากที่สุด
    ในตำนาน กรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของ เมดูซ่า ตามวิหารต่างๆมากมาย

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=101977
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
    เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก
    สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบและโล่ที่ได้ประทานมาจากเอเทน่าฟันคอขาดโดยมองเมดูซ่าจากโล่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้
    เมดูซ่า - วิกิพีเดีย
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จริงๆแล้ว เรื่องเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าชาวกรีกนี่ จัดอยู่ในหมวดวิชา Humanities หรือจะให้ละเอียดหน่อยก็เป็น Classic ครับ
    สำหรับเจ้าวิชา Classic เนี่ยะ (ตามที่มหาวิทยาลัย Cornell แห่งเมือง Ithaca, New York จัดสอน) ก็เกี่ยวกับ ตำนาน ภาษาท่เก่ามากๆ เช่น Latin หรือ Sanskrit หรือเกี่ยวกับ วัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวกรีกและโรมัน

    ต้องตกลงกันก่อนด้วยนะครับ ว่าเราจะคุยกันถึงฉบับที่ใครแต่ง หากอย่างไร จะได้ยิบยกขึ้นมาอ้างได้ ถ้าขัดแย้งกับท่ผู้อ่านบางคนทราบมา
    เอาเป็นว่าเล่าตามนักประพันธ์สามคนคือ Apollodorus, Hesiod, และ Homer
    จะปนๆกันไปนะครับ อาจจะสับสนหน่อยแต่รับรองว่าสนุกแน่


    [​IMG]

    <!--coloro:red--><!--/coloro--><!--sizeo:7--><!--/sizeo-->
    บทที่ 1 กำเนิดเทพกรีก ตามตำราฮีเสียด<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    ตามตำรา Hesiod เรื่องมันเริ่มตรงที่
    เทพเจ้าที่ชื่อ Chaos (เคออส) แปลว่าความว่างเปล่า ก็อย่างชื่อบอกแหละว่างเปล่าจริงๆ ทั้งจักรวาลไม่มีอะไรเลย
    จากนั้นก็มี Gaia (กายยา หรือไกอา หรือจิอา) ซึ่งแปลว่าดิน, Tartarus (ทอรทารัส) ซึ่งแปลว่านรก
    และ Eros (อีรอส) ซึ่งแปลว่าตัญหา เกิดขึ้นมา
    แล้ว Gaia ก็ให้กำเนิด Uranus (ยูเรนัส) ซึ่งเป็นเทพแห่งท้องฟ้า โดยลำพัง
    แต่ตามคำรา Apollodorus แล้ว เรื่องมันเริ่มตรงที่ Gaia เลย แตกต่างกันนิดหน่อย ไม่มาก

    แล้ว Uranus ก็ได้เป็นผู้ปกครองเทพเจ้าทั้งหมดเป็นคนแรก
    ต้องเข้าใจอีกนิดนะว่า เทพเจ้ากรีก ส่วนใหญ่จะเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม
    ตัวอย่างก็เช่น เวลาพูดถึง Uranus ก็ให้คิดถึงท้องฟ้า ความกว้างใหญ่ที่แผ่ปกคลุมพื้นดิน
    หรือ Eros ซึ่งเป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม มีผลกับทุกสิ่งทั้งเทพเจ้าและมนุษย์
    เวลาอ่าน ก็ลองคิดตามไปด้วย จะคิดว่า Tartarus เป็นเทพเจ้าแห่งนรก เป็นผู้สร้างนรก หรือเป็นตัวนรกเองก็ได้
    หรือจะคิดว่า Gaia ก็คือ พระแม่ธรณี จะนึกภาพเป็น เทพเจ้าแห่งพื้นดิน หรือเป็นตัวพื้นดินเอง ก็ได้เช่นกัน

    จากนั้น Gaia และ Uranus ก็สมสู่กัน และให้กำเนิดลูกๆ มากมาย
    (อย่าตกใจนะว่า ก็แม่ลูกกันไม่ใช่เหรอ มันเป็นเรื่องของนิยายเชิงนามธรรม อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน)
    ลูกๆ ของ Gaia และ Uranus ก็แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม
    กลุ่มแรกเป็นยักษ์ร้อยมือ ห้าสิบหัว มีสามคนด้วยกัน (ไม่รู้ว่าจะใช้ลักษณะนามอะไรดี ใช้ คน หมดเลยแล้วกัน)
    ชื่อ Briareus (ไบอาริอุส), Gyes (กายเอ็ส) และ Cottus (คอททัส)
    กลุ่มที่สองเรียกว่า Cyclopes หรือยักษ์ตาเดียว
    ชื่อ Arges (อาเกส), Steropes (สเตอโรเปส) และ Brontes (บรอนเตส)
    ชื่อของสามคนนี้แปลว่า แสงสว่างจากฟ้า ฟ้าผ่า และ ฟ้าร้อง ตามลำดับ
    ลูกทั้งหกคนนื้ ถูก Uranus จับโยนลงไปในนรกและขังไว้เพราะความเกลียดชัง
    จากนั้น Uranus และ Gaia ก็มีลูกสองกลุ่มถัดมา เรียกว่า Titans (ไททาน) ซึ่งเป็นชายหกคน
    และ Titanides (ไททานไนด์) ซึ่งเป็นหญิงเจ็ดคน แต่บางทีก็ถูกเรียกเป็น Titans เหมือนกันหมด

    [​IMG]

    เนื่องจาก Uranus หรือท้องฟ้าเนี่ย กลัวว่าลูกของตนจะมาแย่งชิงอำนาจ และตำแหน่งเทพแห่งเทพไป
    เมื่อ Gaia ให้กำเนิด Titans ออกมา Uranus ก็เอาไปขังไว้ใต้ดินทีละคน ทุกๆ คน
    ตรงนี้ต้องคิดนิดหนึ่ง ไอ้ใต้ดินเนี่ย มันที่ไหน ก็ในเมื่อ Gaia คือพื้นดิน ใต้ดินก็น่าจะเป็นในตัว Gaia เอง
    พวก Titans ถูก Uranus ขังไว้ในท้อง Gaia เมื่อมากๆ เข้า Gaia ก็เจ็บปวดและทนไม่ไหว
    จึงวางแผนที่จะให้ลูกๆ ในท้องทำร้ายพ่อ และหนีออกมา
    จึงสร้างเคียวขึ้นมา จากสิ่งที่เรียกว่า Adamant
    (เอาชนะไม่ได้ เพราะไม่มีใครเอาชนะเวลาได้ เป็นอีกหนึ่งการตีความนามธรรมเป็นรูปธรรม)
    ซึ่งเชื่อว่าแข็งแรงที่สุด และนำไปให้ลูกๆ ในท้อง พร้อมกับบอกแผนการไป
    แต่เนื่องจากลูกทุกคนก็กลัวพ่อ จึงไม่มีใครกล้าทำตามแผนของ Gaia
    ยกเว้น Cronus (โครนัส) ซึ่งยอมที่จะช่วยแม่
    Cronus เป็นเทพแห่งเวลา หรือตัวเวลา นั่นเอง

    เอาละ ตามแผนของ Gaia นั้น Cronus จะรอจนกว่า Uranus จะมาสมสู่กับ Gaia พอมาถึง
    Cronus ซึ่งอยู่ในท้องก็จะต้องใช้มีดตัดอวัยวะเพศของ Uranus (ไม่ต้องเสียว เป็นการตีความจากนามธรรม)
    แล้วพาพี่น้องหนีกันออกมา แน่นอน ว่าสำเร็จตามแผน
    ตั้งแต่นั้นมา ท้องฟ้าก็ไม่เคยสัมผัสพื้นดินอีกเลย
    (อีกนัยยะทางนามธรรมหนึ่ง ก็คือ เวลา ได้ทำให้ ท้องฟ้า แยกจาก แผ่นดิน)

    เมื่อออกมาแล้ว Cronus ก็นำอวัยวะของพ่อไปทิ้งทะเล เมื่อตกโดนทะเล ก็มีฟองเกิดขึ้นมากมาย
    และในท่ามกลางฟองนั้นก็มีเทพเจ้าอีกคนถือกำเนิดขึ้นมา
    คือ Aphrodite นั้นเอง (จริงๆ แล้ว ในภาษากรีก คำว่า Aprhodite แปลว่า เกิดจากฟอง)
    Aphrodite จึงเป็นเทพแห่งความรักและตัญหา (ฝ่ายหญิง จำได้ไหม Eros เป็นแบบเดียวกัน แต่ฝ่ายชาย)
    นี่ก็เป็นที่มาของภาพวาดชื่อดัง Birth of Venus ของ ศิลปิน S&o Botticelli
    และคำภาษาอังกฤษ aphrodisiac ที่แปลว่า ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ

    แต่ทว่า มีข้อขัดแย้งนิดหน่อย ตรงนี้ ที่กล่าวมาเกี่ยวกับการเกิดของ Aphrodite เป็นไปตามที่ Hesiod เขียน
    แต่ตำรา Apollodorus นั้น Aphrodite เป็นลูกของ Zeus เกิดเรียบง่ายกว่าเยอะ ไม่หวือหว่าเท่า
    (ไว้เล่าถึง Zeus แล้วจะค่อยขยายต่อนะ)

    เอาละ Cronus ก็พาพี่น้องออกกันมาได้สำเร็จ และกลายเป็นมหาเทพ
    หลังจากแย่งชิงบัลลังค์จากพ่อได้ ดังที่ Uranus กลัว ก็ขึ้นครองบัลลังค์เป็นราชาแห่งเทพแทน
    ตำราภายหลังเล่าต่ออีกนิดว่า Uranus ก็แช่ง Cronus ไว้ว่า จะหลานจะมาชิงบัลลังก์ เหมือนที่พ่อทำกับปู่
    ทำให้ Uranus ระแวง และต่อไปจะนำไปสู่ตำนานกำเนิด มหาเทพ Zeus (ซูส หรือ เซอูส) ราชาแห่งเทพคนปัจจุบัน
    เรื่องราวของเทพองค์อื่นๆ จะขอเล่าในตอนหน้าถ้ามีโอกาสนะ... Coming Soon

    [​IMG]



    ที่มา : http://vcharkarn.com/magazine/issue2/issue002_greek.php





    <!--coloro:purple--><!--/coloro--><!--sizeo:7--><!--/sizeo-->สมาคมเทพใหญ่แห่งกรีก<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->

    เทพ 12 องค์ ที่นั่งบัลลังก์สมาคมเทพ ณ เทือกเขา Olympus (โอลิมปัส)
    หมายเหตุ : ชื่อหน้า ภาษากรีก (ชื่อในวงเล็บ ภาษาโรมันและอังกฤษ)

    1. Zeus (Jupiter) - God of Universe
    ... เซอุส (จูปิเตอร์) - ราชาจอมเทพ (รุ่นที่3)
    2. Hera (Juno) - Goddess of Marriage & Birth
    ... เฮร่า (จูโน) - ราชินีเทพ เทพีแห่งการแต่งงานและการคลอด
    3. Ares (Mars) - God of War
    ... เอเรส (มาร์ส) - เทพแห่งสงคราม
    4. Hephaestus (Valcan) - God of Fire (พระเพลิง)
    ... เฮฟเฟตัส (วัลแคน) - เทพแห่งไฟ
    5. Aphrodite (Venus) - Goddess of Love
    ... อะโฟรไดท์ (วีนัส) - เทพีแห่งความรักและเสน่หา
    6. Hermes (Mercury) - Herald of the God, Medicine, Shepherds, Travel, Merchants Weights&measures, Oratory&Literature, Speed&Athletics, Thieve
    ... เฮอร์เมส (เมอร์คิวรี่) - เทพแห่งการสื่อสาร, การแพทย์, การเลี้ยงสัตว์, การเดินทาง, พ่อค้าและการชั่งตวง, สุนทรพจน์และวรรณกรรม, ความเร็วและการกีฬา, ขโมย
    7. Demeter (Ceres) - Goddess of Harvest
    ... ดีเมเทอร์ (เซเรส) - เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว (แม่โพสพ)
    8. Poseidon (Neptune) - Lord of the Oceans
    ... โพไซดอน (เนปจูน) - จ้าวแห่งสมุทร
    9. Athena (Minerva) - Goddess of Wisdom
    ... เอเธน่า (มิเนอร์ว่า) - เทพีแห่งปัญญาและชัยชนะ
    10.Apollo (Apollo) - God of Light & Music
    ... อะพอลโล - เทพแห่งแสงและการดนตรี
    11.Artemis (Diana) - Goddess of the Hunt
    ... อาร์เทมิส (ไดอะน่า) - เทพีแห่งการล่า
    12.Dionysus (Baccus) - God of Wine & celebrate
    ... ดีโอนีซัส (แบคคัส) - เทพแห่งไวน์และการฉลอง


    สำหรับเทพอื่นๆ ก็เช่น
    13.Cronos (Saturn) - God of Time
    ... โครนอส (แซทเทิร์น) - เทพแห่งเวลา
    14. (Uranus) - God of Heaven (Sky)
    ... (ยูเรนัส) - เทพแห่งสวรรค์ (ท้องฟ้า)
    15.Gaia or Rhea (Cebelle) - Goddess of Earth
    ... ไกอา หรือ รีอา (เซเบล) - เทพแห่งโลก (แม่ธรณี)
    16.Hades (Pluto) - God of Hell
    ... ฮาเดส (พลูโต) - เทพแห่งนรก (ยมราช)
    17.Hestia (Vesta) - Goddess of the Heart & the Hearth
    ... เฮสเทีย (เวสต้า) - เทพีแห่งความรักและเตาไฟ (ครัวเรือน)
    18.Helious (Sol) - God of Sun
    ... เฮลิออส (โซล) - สุริยะเทพ (บางตำราว่าเป็นองค์เดียวกับ Apollo)
    19.Eros (Aurora) - God of Dawn
    ... อีรอส (ออโรร่า) - เทพแห่งแสงรุ่งอรุณ
    20.Cerena (Luna) - Goddess of Moon
    ... เซเรน่า (ลูน่า) - เทพีแห่งดวงจันทร์ (จันทราเทพี)
    21. Nemasis (RHAMNUSIA) - Goddess of Justice, Retribution, Punishment & Vengeance
    ... เนเมซิส - เทพีแห่งยุติธรรม โชคชะตา การลงทัณฑ์ และการแก้แค้น
    22. Pan (Pan) - God of Shepherds, Flocks & Fornication
    ... แพน - เทพแห่งคนเลี้ยงสัตว์, ฝูงสัตว์ และสัมพันธ์สวาท
    23. Percephone (Perserpine) - Goddess of Sping
    ... เพอร์เซโฟเน่ (เพอร์เซอร์ไพน์) - เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ
    *
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เทพีอาเธน่า
    [​IMG]
    ใน คณะเทพโอลิมเปียนมีเทวีพรหมจารีอยู่ 3 องค์ ทรงนามตามลำดับว่า เฮสเทีย (Hestia) เอเธน่า (Athene) อาร์เตมิส (Artemis) องค์แรกเป็นเทวีภคินีของเทพปริณายกซูส ส่วน 2 องค์หลังเป็นธิดา แต่ละองค์มีประวัติและความสำคัญดังจะกล่าวต่อไปนี้
    อันเทวดาของกรีกนั้นถึงแม้ไม่ตายก็หาความรู้สึกเจ็บปวดในกายองค์ไม่ การถือกำเนิดของเอเธน่านั้น กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่ง ซูส เทพบดีได้รับคำทำนายว่า โอรสธิดาที่ประสูติแต่มเหสีเจ้าปัญญานาม มีทิส (Metis) นั้นจะ มาโค่นบัลลังก์ ของพระองค์ ไท้เธอก็แก้ปัญหาด้วยการจับเอามีทิสซึ่งทรงตั้งครรภ์แก่นั้นกลืนเข้าไปในท้อง แต่เวลาไม่ นานนัก เทพปริณายกซูสบังเกิดอาการปวดเศียรขึ้นมา ให้รู้สีกปวดร้าวเป็นกำลัง ไท้เธอจึงมีเทวโองการสั่งให้เรียก ประชุมเทพ ทั้งปวงบนเขาโอลิมปัส ให้ช่วยกันหาทางบำบัดเยียวยา แต่... ความอุสาหพยายามของทวยเทพก็ไม่เผล็ดผล ซูส ไม่อาจทนความ เจ็บปวดต่อไปได้ ในที่สุดจึงมีเทวบัญชาสั่งโอรสองค์หนึ่งของไท้เธอ คือ ฮีฟีสทัส (Hephaestus) หรือ วัลแคน (Vulcan) ให้ใช้ขวานแล่งเศียรของไท้เธอออก เทพฮีฟีสทัสปฏิบัติตาม เอาขวานจามลงไป ยังไม่ทัน เศียรซูสจะแยกดี เทวีเอเธน่าก็ผุด ขึ้นมาจากเศียรเทพบิดา ในลักษณะเจริญวัยเต็มที่แต่งฉลององค์หุ้มเกราะแวววาว พร้อมสรรพ ถือหอกเป็นอาวุธ และประกาศ ชัยชนะเป็นลำนำกัมปนาทเป็นที่พิศวงหวั่นหวาดแก่ทวยเทพเป็นที่สุด พร้อมกันนั้นทั่วพื้นพสุธาและมหาสมุทร ก็บังเกิด อาการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างใหญ่ ประกาศกำเนิดเทวีองค์นี้สนั่นไป ทั้งโลก



    [​IMG]



    การอุบัติของเทวีองค์นี้ถือว่าเป็นไปเพื่อยังสันติสุขให้บังเกิดในโลกและขจัดความโฉดเขลาที่ครอง โลกจนตราบ เท่าบัดนั้นให้สิ้นไป ด้วยว่าพอเจ้าแม่ผุดจากเศียรซูส เทวีแห่งความโฉดเขลาซึ่งไม่ปรากฏรูป ก็ล่าหนีให้เจ้าแม่เข้า ครองแทนที่ ด้วยเหตุนี้เทวีเอเธน่าจึงเป็นที่นับถือบูชาในฐานะเทวีครองปัญญา นอกจากนั้น เจ้าแม่ยังมีฝีมือในการ เย็บปักถักร้อย และการยุทธศิลปป้องกันบ้านเมือง



    ภายหลังการอุบัติของเจ้าแม่เอเธน่าไม่นาน มีหัวหน้าชนชาวฟีนิเชียคนหนึ่งชื่อว่า ซีครอบส์ (Cecrop) พาบริษัทบริวาร อพยพเข้าไปในประเทศกรีซเลือก ได้ชัยภูมิอันตระการตาแห่งหนึ่งในแคว้น อัตติกะ (Attica) ตั้งภูมิลำเนาก่อสร้างบ้านเรือน ขึ้นเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งปวงเฝ้าดูงานสร้างเมืองนี้ด้วยความ เลื่อมใสยิ่ง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเมืองมีเค้าจะกลาย เป็นนครอันน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว เทพแต่ละองค์ต่างก็แสดงความปรารถนาใคร่จะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร จึงประชุมกันถกถึงเรื่องนี้ เมื่อมีการอภิปรายโต้แย้งกันพอสมควรแล้ว เทพส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันยอมสละสิทธิ์ คงเหลือแต่เทพโปเซดอนและเทวีเอเธน่า 2 องค์เท่านั้นยังแก่งแย่งกันอยู่
    [​IMG]
    เพื่อยุติปัญหาว่าใครควรจะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนคร เทพปริณายกซูสไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดโดยอำนาจตุลาการที่ไท้เธอ จะพึงใช้ได้ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเข้า ข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไท้เธอจึงมีเทวโองการว่านครนั้นพึงอยู่ในความคุ้มครองของเทพ หรือเทวี ซึ่งสามารถเนรมิตของที่มีประโยชน์ที่สุดให้มนุษย์ใช้ได้ และมอบหน้าที่ตัดสิน ชี้ขาดให้แก่ที่ประชุม


    เทพโปเซดอนเป็นฝ่ายเนรมิตก่อน เธอยกตรีศูลคู่หัตถ์ขึ้นกระแทกลงกับพื้น บันดาลให้มีม้าลำยองตัวหนึ่งผุดขึ้นท่าม กลางเสียงแสดงความพิศวงและชื่นชมของ เหล่าเทพ เมื่อเทพผู้เนรมิตม้าอธิบายคุณประโยชน์ของม้าให้เป็นที่ตระหนักแก่เทพ ทั้งปวงแล้ว เทพต่างองค์ต่างก็คิดเห็นว่า เทวีเอเธน่าคงไม่สามารถเอาชนะเนปจูนเสีย เป็นแน่แล้ว ถึงกับพากันแย้มศรวลด้วย เสียงอันดังแกมเย้ยหยันเอาเสียด้วย เมื่อเจ้าแม่เอเธน่าเนรมิตต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมา แต่ครั้นเจ้าแม่อธิบายถึงคุณประโยชน์ ของต้นมะกอก ที่มนุษย์จะเอาไปใช้ได้นานัปการนับตั้งแต่ใช้เนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน ไปจนใบ กับซ้ำว่ามะกอกยังเป็น เครื่องหมายถึงสันติภาพและความรุ่งเรืองวัฒนาอีกด้วย และเพราะฉะนั้นจึงเป็นที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าม้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายของ สงครามดังนี้ มวลเทพก็เห็นพ้องต้องกันว่า ของที่เจ้าแม่เอเธน่าเนรมิตมีประโยชน์กว่า จึงลงมติตัดสิน ชี้ขาดให้เจ้าแม่เป็นฝ่าย ชนะ



    [​IMG]
    เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชัยชนะครังนี้ เจ้าแม่เอเธน่าได้ประสาทชื่อนครนั้น ตามนามของเจ้าแม่เองว่า เอเธนส์ ( Athens ) และสืบจากนั้นมาชาวกรุงเอเธนส์ก็ นับถือบูชาเจ้าแม่ในฐานะเทวีผู้ปกครองนครของเขาอย่างแน่นแฟ้น



    [SIZE=3][COLOR=black]นอกจากชื่อเอเธน่าหรือมิเนอร์วาแล้ว ชาวกรีกและโรมันยังรู้จักเจ้าแม่ในชื่ออื่น ๆ อีกหลาย ชื่อ ในจำนวนนี้มี ชื่อที่แพร่หลายกว่าเพื่อนได้แก่ พัลลัส (Pallas) จนบางทีเขาเรียกควบกับชื่อ เดิมว่า พัลลัสเอเธน่า ก็มี ว่ากันว่า มูลเหตุของชื่อนี้สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมตอนเจ้าแม่ปราบยักษ์ชื่อ พัลลัส ซึ่งไม่ปรากฏตำนานชัดแจ้ง อาศัยเหตุที่ เจ้าแม่ถลกหนังยักษ์มาคลุมองค์ คนทั้งหลายเลยพลอย เรียกเจ้าแม่ในชื่อของยักษ์นั้นด้วย และเรียกรูปประติมา หรือ อนุสาวรีย์อันเป็นเครื่องหมายถึงเจ้าแม่ ว่า พัลเลเดียม (Palladium) ในที่สุดคำว่า Palladium ก็มีที่ใช้ใน ภาษาอังกฤษถึงภาวะหรือ ปัจจัยที่อำนวยความคุ้มครองหรือความปลอดภัยให้เกิดแก่ชุมชน ทำนอง Palladium ที่ชาวโรมัน อารักขาไว้ในวิหารเวสตาฉะนั้น [/COLOR][/SIZE]
    [FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=black][IMG]http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/picture/at.jpg[/IMG][/COLOR][/SIZE][/FONT]
    [SIZE=3][FONT=Tahoma][SIZE=3][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=black]เทวีเอเธน่ามีต้นโอลีฟเป็นพฤกษาประจำตัว และนกฮูกเป็นนกคู่ใจ ... [/COLOR][/SIZE][/FONT][/SIZE][/FONT][/SIZE]
    [COLOR=lemonchiffon][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon][URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/index.html"]home[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/aboutus.html"]ผู้จัดทำ[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page01.html"]เทพีอาเธน่า[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page02.html"]เทพีอาเทมิส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page03.html"]เทพอีรอส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page04.html"]เทพีเอรอส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page05.html"]เทพแพน[/URL] [/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon][FONT=Tahoma][SIZE=3][COLOR=lemonchiffon]
    [B][SIZE=3][FONT=Tahoma][COLOR=lemonchiffon][B][SIZE=3][FONT=Tahoma][COLOR=lemonchiffon][URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page06.html"]เทพฮาเดส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page07.html"]เทพซีอุส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page08.html"]เทพีวีนัส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page09.html"]เทพีดิมิเทอร์[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page10.html"]เทพีฮีรา[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page11.html"]เทพฮีพีสทัส[/URL] [URL="http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-1/no16-28/page12.html"]เทพโปเซดอน[/URL] [/COLOR][/FONT][/SIZE][/B][/COLOR][/FONT][/SIZE][/B][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE]

    เทพีอาเธน่า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR style="TEXT-ALIGN: left"><TD align=right>Titan ll กำเนิดเทพเจ้า ...
    เกริ่นเรื่อง: ตามความเชื่อของชนชาติกรีกโบราณ เชื่อกันว่า...
    25 มี.ค. 53 ,
    </TD><TD width=75></TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT language=JavaScript src="/a/script/play_sound.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="/a/script/insert_poll.js"></SCRIPT>


    อดีตกาล นานแสนนานมาแล้ว ไม่อาจนับเวลาได้ ย้อนหลังไปถึงยุคก่อนกำเนิดโลก สรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นเพียงความวุ่นวายที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่มหึมาจนหาขอบเขตมิได้มีแต่ความมืดมิด ปราศจากรูปใดๆ เรียกว่า เคออส (
    Chaos)
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    กาลเวลาล่วงมาอีกนานนับกัปไม่ถ้วน โลกพิภพจึงผุดขึ้นเป็นผืนแผ่นกว้างใหญ่ไพศาล
    เรียกว่า จีอา (
    Gaea)
    ซึ่งถือว่าเป็นจอมมารดาของสรรพสิ่งทั้งมวลเพราะถือกำเนิดขึ้นก่อนใคร
    ผืนแผ่นดินนี้มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และทำให้เกิดพายุได้ต่อมาจีอา
    ก็บันดาลให้เกิดแผ่นฟ้าที่ดาษดาไปด้วยดวงดาวขึ้นปกคลุมเหนือผืนแผ่นดิน
    เรียกว่า อูรานอส (
    Ouranos)
    ซึ่งถือเป็นจอมบิดาของสรรพสิ่งทั้งปวงคู่กับจอมมารดาจีอา
    และบันดาลให้เกิดขุมนรกที่มืดมิดและน่ากลัว เรียกว่า ทาร์ทะรัส (
    Tartarus)

    <O:p> </O:p>
    กาลเวลาผ่านมาอีกนับกัปไม่ถ้วน จอมมารดาจีอาและจอมบิดาอูรานอส จากที่เดิมเป็นเพียงธรรมชาติผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ก็ค่อยๆ กลายเป็นจอมเทพผู้ทรงอำนาจคู่แรก ทั้งสองร่วมกันเถลิงอำนาจ
    อยู่ ณ สวรรค์โอลิมปัส ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านตั้งอยู่กลางแผ่นดินสูงขึ้นไปจนสุดชั้นฟ้า

    <O:p></O:p>ต่อมาไม่นานจอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดเทพบุตร 6 องค์ คือ
    - โอเซียนัส (Oceanus)
    - ซีอัส (Coeus)
    - ครีอัส (Creus)

    - ไฮเพอร์เรียน (
    Hyperion)
    - ไอแอพิทัส (
    Iapetus)
    - โครนัส (
    Cronus)
    <O:p> </O:p>
    และให้กำเนิดเทพธิดา 6 องค์ นามว่า
    - เธีย (Thea)
    - รีอา (
    Rhea)
    - ธีมิส (
    Themis)
    - ธีทิส (
    Thetis)
    - เนโมซินี (
    Nemosyne)
    - ฟีบี (
    Phoebe)
    <O:p> </O:p>
    เทพบุตรและเทพธิดาทั้ง 12 องค์นี้มีขนาดร่างกายใหญ่มหึมา เรียกว่า ไทแทน (Titan)
    หรือ ไจแกนทีส (Gigantes)
    ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตนี้เอง ทำให้จอมบิดาอูรานอสหวาดหวั่น
    จึงได้จับเทพไทแทนทั้งหมดโยนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัส (
    Tartarus)
    ซึ่งเป็นขุมนรกส่วน
    ที่ลึกที่สุดในยมโลกที่มืดมิด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดใช้พลังเป็น
    ปฏิปักษ์กับจอมบิดาได้ ต่อมาจอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดโอรสที่ดุร้ายแถมมีร่างกายที่

    แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก คือเป็นยักษ์ 50 หัว 100 แขน จำนวน 3 ตน คือ
    <O:p></O:p>คอตทัส (Cottus) เบรียรูส (Briareus) และ ไกจีส (Gyges)

    <O:p> </O:p>
    อูรานอสรู้สึกกลัวในความดุร้ายของยักษ์ 50 หัวพวกนี้ จึงจับพวกเขาโยนลงไปขังในตรุทาร์ทะรัส
    อีกต่อมาจอมมารดาจีอาก็ให้ กำเนิดโอรสเป็นยักษ์ตาเดียว เรียกว่าไซคลอปส์ (
    Cyclops)
    อีก 3 ตนมีนามตามลำดับว่า

    <O:p></O:p>ฟ้าลั่น - บรอนทีส (Brontes)
    ฟ้าแลบ - สเทอโรพีส (
    Steropes)
    แสงสว่างวาบ - อาจีส (
    Arges)
    <O:p> </O:p>
    จอมบิดาอูรานอสก็จับไซคลอปส์ทั้งสาม โยนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสอีกเช่นเดียวกันด้วยแสงสว่าง
    จากไซคลอปส์ทั้งสามในตรุทาร์ทะรัสที่มืดมิดจึงพอมองเห็นกันได้เมื่อเริ่มมองเห็นแสงเทพไทแทน
    ก็เริ่มคิดหาทางแต่ก็หาวิธีออกจากตรุทาร์ทะรัสไม่ได้ ฝ่ายจอมมารดาจีอานั้นรู้สึกไม่พอใจที่
    อูรานอสจับลูกๆลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสทั้งหมด แต่แม้จะห้ามปรามอย่างใรอูรานอสก็ไม่ฟัง
    จอมมารดาจีอาจึงลงไปที่ตรุทาร์ทะรัสและยุยงลูกๆ ให้ร่วมคิดกันแย่งอำนาจจากบิดาให้จงได้

    แม้เทพไทแทนจะอยากเป็นอิสระ จากตรุทาร์ทะรัสแต่เมื่อคิดถึงการต้องไปต่อสู้แย่งชิงอำนาจจาก
    จอมบิดาอูรานอสก็ไม่มีใครกล้าพอยกเว้นโครนัสน้องสุดท้องคนเดียวที่กล้าจะทำตามคำยุยง
    จอมมารดาจีอาจึงช่วยโครนัสให้หลุดจากพันธนาการ และมอบเคียวให้เป็นอาวุธเพื่อไปสู้กับจอมบิดา

    <O:p></O:p>ตกกลางคืนโครนัสก็ไปแอบรอท่าอยู่ใต้เตียงอูรานอสกับจีอา เมื่ออูรานอสหลับโครนัสก็ถือเคียวอาวุธคู่มือเข้าจู่โจมจอมบิดาอูรานอสโดยไม่ให้รู้ตัว อูรานอสกำลังน้อยกว่าแถมไม่รู้ตัวมาก่อนทำให้เสียเปรียบยิ่งต่อสู้กันนานไปก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลทั่วร่างเลือดของอูรานอสแต่ละหยดเมื่อตกต้อง
    ผืนแผ่นดินก็กลายเป็นยักษ์ ภูติอีรินิส และพรายน้ำจำนวนมากในที่สุดอูรานอสก็พ่ายแพ้และถูก
    โครนัสใช้เคียวตัดอัณฑะขว้างทิ้งลงทะเลและยึดอำนาจบนเขาโอลิมปัสไปได้


    ก่อนจะสิ้นชีวิตอูรานอสได้กล่าวสาปแช่งโครนัสว่าวันหน้าขอให้โครนัสถูกลูกของตนเองแย่งชิงอำนาจไปเหมือนกับที่ตนเองถูกกระทำโครนัสจัดแจงปล่อยเทพไทแทนทั้งหมดออกจากขุมนรก
    ทาร์ทะรัส ซึ่งเทพไทแทนทุกองค์รู้สึกปิติยินดีในอิสรภาพเป็นอย่างยิ่งจึงพร้อมใจกันยกให้
    โครนัสเป็นเทพบิดาปกครองเทพทั้งมวลอยู่ที่เขาโอลิมปัส

    <O:p> </O:p>
    เมื่อโครนัสยึดอำนาจจากอูรานอสจอมบิดาได้แล้ว ก็ได้ขึ้นเถลิงอำนาจเป็นจอมเทพแห่งเขา
    โอลิมปัสสืบแทนจอมบิดาและได้แบ่งปันอำนาจหน้าที่ให้พี่ๆที่เป็นไทแทน คือ

    <O:p> </O:p>
    - โอเชียนัส เป็น เทพคุ้มครองมหาสมุทรและแม่น้ำ
    - ซีอัส เป็น เทพแห่งภูมิปัญญา
    - ครีอัส เป็น เทพคุ้มครองฝูงแกะ
    - ไฮเพอร์เรียน เป็น เทพคุ้มครองดวงอาทิตย์และไฟ
    - ไอแอพิทัส เป็น เทพสงคราม
    - เธีย เป็น เทพีแห่งการมองเห็น
    - รีอา เป็น เทพีคุ้มครองการแต่งงาน
    - ธีมิส เป็น เทพีความยุติธรรม
    - ธีทิส เป็น เทพีคุ้มครองเด็กและสายน้ำใต้ดิน
    - เนโมซินี เป็น เทพีแห่งความทรงจำ
    - ฟีบี เป็น เทพีแห่งความฉลาด

    <O:p> </O:p>
    จากนั้นบรรดาเทพไทแทนต่างก็มีคู่ครองแต่อาจเป็นเพราะสวรรค์ยังมีเทพจำนวนน้อยเทพไทแทนส่วนใหญ่จึงจับคู่แต่งงานกันเองในระหว่างพี่น้อง คือ

    โอเชียนัส กับ ทีธิส
    มีธิดาชื่อ - คลีมีน (
    Clemene) - ยูริโนม (Eurynome) - มีทิส (Metis)
    และเทพธิดาดูแลสายน้ำอีก 3,000 องค์

    <O:p> </O:p>
    ซีอัส กับ ฟีบี
    มีธิดาด้วยกัน 2 องค์ คือ - เอสเทอเรีย กับ - ลีโต (*มารดาของเทพอพอลลอนกับเทพีอาร์ทีมิส)

    <O:p> </O:p>
    ครีอัส กับ ยูรีเบีย (Eurybia)
    มีบุตรด้วยกัน 3 องค์ คือ - เพอร์สเซส (
    Perses) - พอลลัส (Pallas)
    และ - แอสตราเอียส (Astraeus)

    <O:p> </O:p>
    ไฮเพอร์เรียน กับ เธีย
    มีบุตรธิดา 3 องค์ คือ - ฮีเลียส - พระอาทิตย์ - ซีลีน - พระจันทร์ และ - อีออส - รุ่งอรุณ

    <O:p> </O:p>
    ไอแอพิทัส กับ คลีมีน (*ธิดาของโอเชียนัสกับธีทิส)
    มีบุตรคือ - แอตลาส - โปรมิธิอุส และ - เอปิธิอุส

    <O:p> </O:p>
    เนโมซินี กับ ธีมิสครองตัวเป็นโสดไม่จับคู่กับผู้ใด
    ส่วนโครนัสนั้นเลือกรีอาผู้ซึ่งเป็นเทพธิดาที่สวยที่สุดเป็นคู่ครอง
    http://my.dek-d.com/MailinG_ZA/blog/?blog_id=10064472
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โครนัสครองอำนาจเหนือเหล่าเทพทั้งปวงอยู่ ณ สวรรค์โอลิมปัสเป็นสุขสงบมาแสนนานเป็น
    ยุคสมัยแห่งความยิ่งใหญ่ของเทพไทแทนจนกระทั่งวันหนึ่งพระนางรีอาก็ให้กำเนิดเทพบุตรองค์
    แรก คำสาปของอูรานอสจอมบิดาก็ผุดขึ้นในความทรงจำขอโครนัส ทันทีโครนัสจึงรีบไปหา
    พระนางรีอาและจับเทพบุตรนั้นกลืนกินเสีย หลังจากนั้นโครนัสก็ยังกลืนกินเทพบุตรและเทพธิดา
    องค์ต่อๆมาอีกรวม 5 องค์ พระนางรีอาพยายามขอร้องให้โครนัสไว้ชีวิตบุตรที่เกิดใหม่ แต่โครนัส
    กลัวคำสาปแช่งของจอมบิดาจึงไม่ยอมฟัง

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    พระนางรีอาจึงปรึกษากับจอมมารดาจีอาและวางแผนช่วยชีวิตบุตรองค์ต่อไปให้รอดพ้นจากการ
    ถูกโครนัสกลืนกินให้จงได้ครั้งถึงเวลาประสูติบุตรองค์ต่อไป เป็นเทพบุตรชื่อว่า ซูส (
    Zeus)

    พระนางรีอาก็เอาซูสไปซ่อนเสียก่อนที่โครนัสจะมาถึงส่วนจอมมารดาจีอาก็เอาหินก้อนหนึ่งมา
    ห่อผ้าไว้ทำทีว่าเป็นเด็กเกิดใหม่ให้พระนางรีอาอุ้มไว้ โครนัสได้ข่าวการประสูติของเทพบุตรองค์
    ใหม่ก็รีบมาหมายจะจับกินเสีย พระนางรีอาแสร้งทำเป็นอ้อนวอนขอชีวิตไว้แต่โครนัสไม่ยินยอม
    เช่นเดิมโครนัสแย่งผ้าห่อก้อนหินไปจากพระนางรีอาและกลืนกินลงท้องไปโดยเข้าใจว่าเป็นบุตร
    ที่เกิดใหม่แล้วก็กลับไป

    <O:p> </O:p>
    โครนัสกลับไปแล้วพระนางรีอาก็จัดแจงฝากฝังซูสให้นางอัปสรนีเรียด ธิดาของผู้เฒ่าทะเลนีรูส
    นำไปเลี้ยงดู นางอัปสรจึงพาซูสไปเกาะครีตโดยนำซูสไปไว้ในถ้ำบนยอดเขาไอคาและเลี้ยงดูด้วย
    น้ำนมจากนางแพะชื่อว่าแอมัลเธีย (
    Amalthea)
    โดยมีกลุ่มสาวกของพระนาง<?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pERSONNAME w:st="on" productid="รีอา เรียกว่า">รีอา เรียกว่า</ST1:pERSONNAME> คิวรีทิส
    ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนสรรพวิชาให้ซูสระหว่างที่ซูสยังเป็นทารกน้อย นางอัปสรนีเรียดต้องหา
    วิธีป้องกันไม่ให้โครนัสรู้ว่าซูสยังมีชีวิตอยู่โดยการผูกเปลกับต้นไม้ให้ซูสนอนโครนัสที่คอยสอด
    ส่องทั้งบนสวรรค์และบนดินจึงมองไม่เห็นซูสที่ไม่ได้อยู่ทั้งบนสวรรค์และบนแผ่นดิน

    <O:p> </O:p>
    นอกจากนี้เหล่าคิวรีทิสก็ช่วยกันคิดค้นเพลงเต้นรำแบบหนึ่งขึ้นเพลงเต้นรำแบบนี้ต้องใช้เสียง
    ประสานของอาวุธที่อึกทึกจนกลบเสียงร้องของซูสไว้ไม่ให้ได้ยินไปถึงสวรรค์ฝ่ายโครนัสสำคัญ
    ผิดว่าคำสาปของจอมบิดาไม่เป็นผลแล้วก็สิ้นวิตกมิได้แยแสกับเสียงเอ็ดอึงของเหล่าคิวรีทิสทำให้
    ซูสสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จนเติบใหญ่เป็นเทพบุตรหนุ่มที่แข็งแรงและได้นำหนังนางแพะแอมัลเธีย
    ที่ตายไปแล้วมาทำเป็นโล่ห์ประจำตัว เทพบุตรหนุ่มซูสกลับมารบกับโครนัสผู้เป็นบิดาในที่สุดโครนัส

    ก็เป็นฝ่ายปราชัยให้แก่ซูสที่มีพลกำลังเหนือกว่า ซูสจับตัวโครนัสไว้และปรึกษาพระนางรีอาผู้เป็น
    มารดาว่าจะทำอย่างไร

    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระนางรีอาแนะนำให้มีทิสธิดาของโอเชียนัส ปรุงยาสำรอกและบังคับให้โครนัสดื่ม
    โครนัสดื่มยานั้นไปแล้วจึงได้สำรอกเทพบุตรและเทพธิดาที่กลืนลงท้องไปออกมา
    หมดทุกองค์ รวมทั้งหินที่เข้าใจว่าเป็นซูสด้วย เทพบุตรและเทพธิดาพี่ๆ ของซูสที่โครนัสสำรอก
    ออกมา คือ

    <O:p> </O:p>
    - เฮสเทีย (Hestia)
    - ดีมิเตอร์ (Demeter)
    - ฮีรา (Hera)
    - ฮาเดส (Hades)
    - โพไซดอน (Poseidon)
    <O:p> </O:p>
    ตามลำดับสำหรับก้อนหินที่โครนัสสำรอกออกมาด้วยนั้น
    ภายหลังได้เอาไปเก็บรักษาไว้เป็นที่เคารพบูชาแทนองค์ซูส ณ วิหารเดลฟี (<ST1:pLACE w:st="on">Delphi</ST1:pLACE>)
    จากนั้นซูสก็เนรเทศโครนัสออกไปจากเขาโอลิมปัส เมื่อซูสยึดอำนาจจากโครนัสได้สำเร็จซูสก็
    สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจอมเทพแห่งสวรรค์โอลิมปัส โดยมีพี่ๆ ที่สำรอกออกมาจากท้องโครนัสเป็น
    กำลังสนับสนุน

    <O:p> </O:p>
    ฝ่ายโครนัสเมื่อถูกขับไล่ออกจากสวรรค์โอลิมปัสก็ไปรวบรวมกำลังกลับมาทวงอำนาจคืนจากซูส
    กองกำลังฝ่ายโครนัสประกอบด้วยเทพบุตรไทแทน คือ ซีอัส ครีอัส ไฮเพอร์เรียน และ ไอแอพิทัส
    ส่วนโอเชียนัสกับเทพธิดาไทแทนที่เหลือวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด นอกจากนี้โครนัสก็ยัง
    มีหลานๆ มาเป็นกำลังสนับสนุนในการศึกนี้ด้วย ที่เป็นจอมทัพคนสำคัญ

    คือ แอตลาส โอรสของ ไอแอพิทัส กับ คลีมีน
    <O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>สงครามแย่งชิงบัลลังก์สวรรค์เป็นไปอย่างดุเดือดยาวนานถึง 10 ปี ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ

    ในที่สุดจอมมารดาจีอาก็พยากรณ์ว่าหากต้องการชัยชนะ ซูสจะต้องใช้อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพจาก
    ตรุทาร์ทะรัส

    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ซูสเชื่อคำพยากรณ์จึงลงไปยมโลกขอให้ไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวทำอาวุธให้แลกกับการปลดปล่อย
    ให้เป็นอิสระจากตรุทาร์ทะรัส ยักษ์ไซคลอปส์จึงผลิตสายฟ้ามอบให้ซูสใช้เป็นอาวุธ
    สร้างตรีศูลให้โพไซดอน และทำหมวกล่องหนให้ฮาร์เดส จากนั้นซูสก็พายักษ์ไซคลอปส์
    และยักษ์ 50 หัวจากตรุทาร์ทะรัสมาเป็นพวกต่อสู้กับฝ่ายโครนัส

    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ด้วยอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพของเทพทั้งสามในที่สุดซูสก็จับโครนัสได้และพวกไทแทนบริวาร
    ก็ยอมแพ้ศิโรราบ<O:p></O:p> ซูสลงโทษโครนัสและบริวารโดยการเนรเทศน์โครนัสให้ไปอยู่เกาะกลางทะเล
    ซึ่งต่อมาโครนัสก็สามารถหนีออกจากเกาะนั้นได้และไปอาศัยอยู่ที่เฮสเพอเรีย ซึ่งก็คือดินแดนอิตาลี
    ในปัจจุบันอย่างสงบ แอตลาสถูกลงโทษให้เป็นผู้แบกสวรรค์ไว้บนบ่า ส่วนผู้สนับสนุนอื่นๆ ก็ถูกจับ
    ไปขังในตรุทาร์ทะรัส

    <O:p> </O:p>
    เสร็จศึกครั้งนี้ซูสก็แบ่งการปกครองออก เป็น 3 ส่วน คือ ตัวซูสเองปกครองสวรรค์และพิภพ
    ฮาเดสปกครองขุมนรกและบาดาล ส่วนโปไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    โดยเหลือมหาสมุทรรอบนอกให้โอเชียนัสปกครองต่อไป

    <O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>ส่วนยักษ์ไซคลอปส์ก็ ช่วยสร้างพระราชวังที่โอ่โถงสง่างามบนยอดเขาโอลิมปัสมอบให้
    ซูสจอมเทพ พระราชวังนี้อยู่สูงเหนือเมฆและสามารถมองได้ไกลรอบด้าน จอมเทพซูสจึงสามารถ
    มองเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกมนุษย์ได้จากพระราชวังแห่งนี้เมื่อสงครามสงบ ซูสซึ่งมีความพึงพอใจ
    ในตัวมีทิสเทพธิดาไทแทนที่มาช่วยทำยาสำรอกให้โครนัส ดื่มก็คอยเฝ้าตามตื้อมีทิสไปทุกแห่งหวัง
    จะได้นางเป็นชายา ฝ่ายมีทิสนั้นก็พยายามหลีกหนีโดยแปลงร่างไปต่างๆนานา แต่ซูสก็ยังติดตาม
    ไปไม่ห่าง ในที่สุดมีทิสก็ยอมแพ้ความพยายามของซูส และยอมรับซูสเป็นสวามีจนตั้งครรภ์ขึ้น
    แต่จอมมารดาจีอากลับพยากรณ์ว่าหากมีทิสมีโอรส โอรสนั้นจะโค่นอำนาจของซูส ด้วยความเกรง
    กลัวคำพยากรณ์ซูสจึงจับมีทิสกลืนลงท้องไป


    ต่อมาไม่นานซูสก็มีอาการปวดหัวจนทนไม่ไหวต้องผ่าหัวออก จึงปรากฏร่างของเทพีเอเธนาใน
    ชุดนักรบเดินออกมาจากหัวของซูสเทพีเอเธนานี้เป็นธิดาของซูสกับเมทิส เป็นเทพีแห่งสติปัญญา
    และมักจะอยู่ใกล้ๆ ซูสเพื่อให้คำแนะนำซูสตลอดมาเมื่อสิ้นมีทิสไปแล้ว ซูสก็เจ้าชู้มีชายาไปทั่วแต่
    ที่หมายมั่นปั้นมือมากที่สุดก็คือเทพธิดาฮีราพี่สาวสุดสวย ฝ่ายฮีราก็เอาแต่หนีด้วยกลัวความเจ้าชู้
    ของน้องชายจนซูสไม่อาจเข้าใกล้ตัวฮีราได้ ซูสจึงใช้แผนแปลงร่างเป็นนกน้อยบินฝ่าสายฝน
    ไปตกตรงหน้าฮีรา
    <O:p></O:p>
    ฮีราเห็นนกน้อยที่น่าสงสารบินหมดแรงมาตกตรงหน้า เนื้อตัวสั่นเทาด้วย
    ความหนาวนางจึงโอบอุ้มนกน้อยนั้นไว้แนบออกเพื่อให้ไออุ่นซูสได้ทีก็แปลงร่างกลับเป็น
    จอมเทพและกอดฮีราไว้จนนางไม่อาจหนีได้อีกต่อไป ด้วยอุบายของซูสทำให้ฮีรารู้สึกอับอาย
    จึงยินยอมอภิเษกกับซูสหลังจากที่หลีกหนี ซูสมาได้ถึง 300 ปีและฮีราก็อยู่ช่วยซูสปกครองสวรรค์
    ที่เขาโอลิมปัสตลอดมาพระนางฮีราให้กำเนิดโอรสธิดากับซูส คือ


    ฮีบี้ (Hebe)
    อิลลิธธียา (Ilithyia)
    แอรีส (Ares)
    และด้วยอารมณ์โกรธที่เห็นซูสให้กำเนิดเทพีเอเธนาจากศีรษะ
    พระนางฮีราก็ให้กำเนิดโอรสโดยไม่พึ่งพาซูสบ้างโอรสองค์นั้น คือ เฮฟิสทัส
    http://my.dek-d.com/MailinG_ZA/blog/?blog_id=10064475
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ด้านการปกครองสวรรค์ในยุคแรกนั้น ซูสถูกท้าทายอำนาจอีกหลายครั้ง<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    เริ่มจากจอมมารดาจีอาที่มีความไม่พอใจซูส เนื่องจากซูสจับไทแทนซึ่งเป็นโอรสและธิดาของ
    จอมมารดาจีอาหลายองค์ไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัส จอมมารดาจีอาจึงเนรมิตอสูรขึ้นตนหนึ่ง
    เรียกว่า ไทฟอน (
    Typhon)
    เป็นอสูรที่ดุร้ายและมีร่างกายประหลาดน่ากลัวมาก คือ
    มีหัวเป็นมังกรนับร้อยหัวที่ยาวเกือบจะถึงดวงดาว มีเปลวไฟพิษพวยพุ่งออกจากดวงตา
    มีลาวาไหลออกจากปากแผดเสียงก้องกัมปนาทตลอดเวลาดังกว่าราชสีห์คำรามพร้อมกันเป็นร้อยตัว

    มันหักยอดเขาขว้างใส่เหล่าทวยเทพจนเทพทั้งหลายต่างตกใจพากันหนีเตลิดจากเขาโอลิมปัส
    ไปหลบซ่อนตัวกันจ้าละหวั่นและด้วยความที่กลัวว่าอสูรจะตามทัน เทพเหล่านั้นยังจำแลงองค์
    เป็นสัตว์นานาชนิดด้วยเพื่อมิให้อสูรจำได้ เช่น ซูสจำแลงร่างเป็นแกะ ฮีราจำแลงร่างเป็นโค เป็นต้น

    <O:p> </O:p>
    แต่เทพีแห่งสติปัญญาเอเธนาได้กล่าววาจาเตือนสติซูสจนซูสเกิดความละอายจึงกลับคืนสู่
    เขาโอลิมปัสอีกครั้งเพื่อหาทางปราบอสูรไทฟอน ส่วนเทพอื่นๆเมื่อได้สติก็กลับมาช่วยซูสต่อสู้กับ
    ไซฟอน ซูสใช้สายฟ้าอาวุธประจำ ตัวต่อสู้กับอสูรไทฟอนอย่างดุเดือด จนยากที่จะมีผู้ใดรอดชีวิต
    อยู่ได้หากเข้าไปใกล้บริเวณสู้รบ การสู้รบดำเนินไปเป็นเวลานาน ไทฟอนหันไปหักยอดเขา
    เอตนามาขว้างใส่ซูส แต่ซูสก็ใช้สายฟ้าฟาดยอดเขาเอตนาลอยละลิ่วกลับมาทับอสูรไทฟอนไว้ใต้
    เขาจนไม่ สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกซูสจึงได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ครั้งนี้ ส่วนไทฟอนก็ยังคง
    ถูกทับอยู่ใต้เขา และมันยังคงพยายามพ่นไฟ พ่นลาวา ออกมาอยู่บ่อยๆ

    <O:p> </O:p>
    ต่อมาไม่นานนัก จอมมารดาจีอาก็เนรมิตยักษ์ร้ายชื่อเอนเซลาดัส (Enceladus) มาต่อสู้กับซูสอีก

    แต่ซูสก็สามารถจับยักษ์ร้ายเอนเซลาดัสไว้ได้ ซูสจับเอนซาลาดัสล่ามโซ่และขึงพืดไว้ใต้ภูเขาเอตนา

    เอนเซลาดัสคำรนคำรามแผดเสียงกึกก้องอยู่ใต้เขาเอตนาบางทีก็พ่นไฟขึ้นหวังจะ ทำอันตรายซูสทำ
    ให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเอนเซลาดัสก็เริ่มอ่อนแรง
    จึงหยุดสำแดงฤทธิ์อาละวาดเพียงแต่ขยับตัวทำให้เกิดแผ่นดินไหวเป็นครั้งคราวเท่านั้น

    <O:p> </O:p>
    เมื่อทั้งอสูรไทฟอนและยักษ์ร้ายเอนเซลาดัสพ่ายแพ้อย่างราบคาบจอมมารดาจีอาก็เลิกคิดจะเนรมิต
    สัตว์ร้ายใดๆ มาทำร้ายซูสอีก สรวงสวรรค์จึงสงบขึ้น แต่สงครามสั่นบัลลังก์อำนาจของซูสยังมีขึ้นอีก
    ครั้งหนึ่ง คราวนี้เกิดจากพี่น้องของตนเองโดยมีมเหสีฮีราเป็นผู้นำกบฏ

    <O:p> </O:p>
    เนื่องจากซูสขึ้นครองตำแหน่งจอมเทพตั้งแต่วัยหนุ่ม ด้วยนิสัยใจร้อน หุนหันพลันแล่น
    และเอาแต่ใจ เทพองค์อื่นๆ รู้สึกไม่พอใจจึงวางแผนโค่นอำนาจซูส แผนก่อการครั้งนี้นำโดยเทวีฮีรา
    ผู้เป็นมเหสี โปไซดอน เฮอร์เมส และ เทพีเอเธนาโดยเทพีฮีรานั้นคิดก่อการโค่นอำนาจซูสส่วนหนึ่ง
    มาจากเพราะเบื่อกับความเจ้าชู้ของซูสด้วยเทวีฮีราลงมือมอมยาให้ซูสหลับ จากนั้นเทพกบฏก็เข้ามา
    จับซูสมัดไว้กับรถม้าด้วยเชือกหนังและยึดสายฟ้าอาวุธของซูสไว้ด้วย เมื่อซูสได้สติก็ไม่สามารถ
    แก้มัดเชือกหนังนั้นได้เพราะเทพกบฏผูกปมไว้ถึง 100 ปม

    <O:p> </O:p>
    ระหว่างที่เหล่าเทพหารือกันว่าจะให้ใครขึ้นเป็นจอมเทพแทนซูส ธีทิสเทพีไทแทนผู้เป็น
    ชายาองค์หนึ่งของซูสก็ได้เรียกเบรียรูสยักษ์ 50 หัว ให้มาช่วย เบรียรูสใช้มือ 100 มือแก้ปมเชือก
    ทั้ง 100 ปมออกได้อย่างรวดเร็ว พอซูสเป็นอิสระก็สามารถแย่งสายฟ้ากลับคืนมาได้ เมื่ออาวุธสายฟ้า
    อันทรงอานุภาพกลับมาอยู่ในมือซูส เหล่าเทพกบฏต่างก็คุกเข่าขออภัยโทษต่อมหาเทพ

    ซูสให้โพไซดอนและเฮอร์เมสสาบานว่าจะไม่คิดคดทรยศอีก จากนั้นก็ลงโทษสถานเบาให้ลงไปช่วย
    งานมนุษย์เป็นเวลา 1 ปี
    <O:p></O:p>
    สำหรับเทพีเอเธนานั้น ซูสไม่ได้ลงโทษด้วยเทพีเอเธนานั้นไม่ได้เต็มใจ
    จะเข้ากับกลุ่มกบฏ<O:p></O:p>ส่วนมเหสีฮีราใน ฐานะผู้นำกบฏถูกลงโทษหนักโดยจอมเทพจับมัดด้วยสายเงิน
    ที่ข้อเท้าแขวนนางไว้กับขื่อสวรรค์และเอาทั่งเหล็กมาถ่วงไว้ด้วย เฮฟีสทัสพระโอรสพยายาม
    เข้าช่วยเหลือพระมารดาจึงถูกซูสจับโยนตกลงมาจากสวรรค์ทำให้ขาหักกลายเป็นเทพพิการไป

    <O:p>
    </O:p>
    การลงโทษโดยการแขวนนี้เจ็บปวดทรมานมากจนพระนางฮีราทนไม่ไหวร้องไห้คร่ำครวญ
    ตลอดทิวาและราตรีแต่ไม่มีเทพองค์ใดกล้าช่วยเหลือ แต่ผ่านพ้นไปเพียงแค่ 4 วัน มหาเทพไม่ได้
    หลับได้นอนเพราะเสียงร้องคร่ำครวญของมเหสีพระองค์จึงบอกให้นางสาบานว่าต่อไปจะไม่คิด
    โค่นบัลลังก์ของพระองค์อีก พระนางฮีราไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นจึงยอมสาบานมหาเทพจึง
    ยุติการลงโทษนางและรับกลับเป็นมเหสีเช่นเดิม

    <O:p> </O:p>
    วันเวลาผ่านไปเมื่อซูสเติบใหญ่ขึ้นนิสัยมุทะลุวู่วาม เอาแต่ใจก็ลดน้อยลงกลายเป็นมหาเทพที่ฉลาด
    และสามารถปกครองสามโลกได้อย่างเที่ยงธรรมและปล่อยบรรดาไทแทนออกมาจากตรุทาร์ทะรัสด้วย
    http://my.dek-d.com/MailinG_ZA/blog/?blog_id=10064478
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=Head vAlign=center align=left height=25>ตำนานเทพเจ้าอียิปต์ 1


    </TD></TR><TR><TD align=middle height=30><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD><FIELDSET><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>

    ตำนานเทพเจ้าอียิปต์ 1

    เรื่อง เทพรา พิโรธ ตรัสเรียก เทพีเสคเมต

    ก่อนที่ดินแดนไอยคุปต์จะผุดขึ้นจากผืนน้ำอันเป็นการเริ่มต้นของกำเนิดโลก รา เทพเจ้าผู้มีรัศมีรุ่งเรือง ทรงถือกำเนิดขึ้นและทรงไว้ด้วยฤทธานุภาพสูงสุด
    ในทันใดที่เทพ รา ตรัสว่า
    "ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ?
    ?คือ รา (Ra) ในยามเที่ยง?
    ?และ ทุม (Tum) ในยามสายัณห์ "
    พระองค์ทรงปรากฎร่างเป็นดวงสุริยาที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก บทจรข้ามท้องฟ้าและลับหายไปทางทิศตะวันตก ในวันแรกของการให้กำเนิดโลก
    เมื่อพระองค์ขนานนาม ชู (Shu) สายลมก็พัด สายฝนโปรายปรายเมื่อพระองค์เอ่ยนาม เตฟนุต (Tefnut) แล้วพระองค์ก็ทรงเอ่ยนาม เกบ (Geb) ทำให้เกิดแผ่นดินโผล่ขึ้นจากทะเล และทรงเอ่ยออกมาว่า นุต (Nut) ก็บังเกิดร่างของเทวีแห่งท้องฟ้าที่หยัดพระบาทไว้ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง พร้อมวางพระหัตถ์ยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง และเมื่อทรงเอ่ยนาม ฮาปิ (Hapi) ก็เกิดแม่น้ำไนล์ไหลผ่านดินแดนไอยคุปต์เพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์

    ต่อจากนั้นเทพราจึงทรงสร้างสรรพสิ่งจากพระสาโท (เหงื่อ) และน้ำพระเนตร (น้ำตา) ที่ไหลมาจากดวงตาแห่งรา สิ่งสุดท้ายที่พระองค์สร้างคือ มนุษย์ชายและหญิงนั้นก็ได้ให้กำเนิดประชาชนที่พำนักอาศัยทั่วไปบนแผ่นดินไอยคุปต์ แล้วเทพราก็ทรงกลายร่างเป็นมนุษย์ และทรงขึ้นครองบัลลังค์เป็นฟาโรห์องค์แรกของไอยคุปต์ ทรงปกครองโลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์สถาพร ทั้งสงบสุขและมั่งคั่ง

    ในยุคสมัยของเทพ รา แม่น้ำไนล์หลากท่วมท้องนาและลดลงสู่ระดับเดิมทุกปี โดยทิ้งโคลนตะกอนหนาเคลือบผิวดินที่ทำให้ผลผลิตงอกงาม ไม่มีปีใดที่แห้งแล้งเพราะแม่น้ำไนล์หลากน้อยเกินไป หรือท่วมมากหรือนนเกินไป นั่นถือเป็นยุคทองของไอยคุปต์

    แต่เนื่องจากข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร และ รา ก็ทรงเนรมิตให้พระองค์เองกลายเป็นมนุษย์เพื่อปกครองไอยคุปต์ พระองค์จึงต้องดำเนินตามวิถีวัฏสังขารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป เมื่อทรงชรา พระอัฐิ (กระดูก) ดูเป็นแท่งเงิน พระวรกาย (ร่างกาย) เหมือนทองคำ และพระเกศา (ผม) เป็นสีดอกเลา พระองค์ไม่สามารถปกครองผู้คนในไอยคุปต์ได้ดีเช่นเดิม ไม่อาจรบกับ อาโปฟิส มังกรแห่งความชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากละอองปีศาจในความมืดยามราตรี ซึ่งทุกสิ่งที่ดีงามที่สดใสและได้รับจุมพิตจากดวงอาทิตย์ จะถูก อาโปฟิส คอยค้นหาและกลืนกิน

    ในขณะนั้นปีศาจแห่งอาโปฟิสก็เข้าครอบงำขวัญวิญญาณของคนในไอยคุปต์และทำให้คนเหล่านั้นเป็นกบฎต่อ รา ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเคารพบูชามังกรแห่งความมืดแทนการเคารพบูชาดวงเนตรแห่งทิวาและราตรีกาล

    รา จึงตรัสว่า "นุน ผู้มีอาวุโสสูงสุดของทุกสิ่งและผองเทพที่ข้าเรียกให้มีชีวิต จงดูเถิด มนุษยชาติที่ข้าสร้างในชั่วเวลาวูบเดียว ข้ให้พวกเขาเกิดมาบนโลก และเป็นบริวารของข้า ทั้งยามเป็นและยามตาย ต่อมาบัดนี้ พวกเขากับวางแผนจะล้มล้างข้า ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ทำสิ่งที่เลวทรามในสายตาข้าไปจนถึงไอยคุปต์ตอนบน จงบอกข้าสิว่า ข้าควรเผาพวกมันด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของข้าได้แล้วใช่ไหม?"

    นุน กล่าวทูลแทนคณะเทพว่า "รา ผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้า พระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพย่งกว่าเทพทุกองค์ที่พระองค์สร้างขึ้น หากพระองค์ใช้กำลังเพลิงจากดวงพระเนตรสุริยา ประหารชีวิตมนุษย์ ดินแดนไอยคุปต์ทั้งหมดจะกลายเป็นทะเลทราย ดังนั้น โปรดเนรมิตสิ่งที่จู่โจมทำลายแต่เพียงมนุษย์ชาย-หญิงที่ชั่วร้าย โดยไม่ทำลายต่อสิ่งที่ดีงามเถิด พระเจ้าข้า"

    รา จึงตัดสินพระทัยว่า "แทนการใช้เพลิงจากดวงตาเผาพลาญ ข้าจะส่ง เสคเมต (Sekhmet) ไปกำจัดมนุษย์"

    ขณะที่ รา ตรัสถึงชื่อ 'เสคเมต' สิ่งนั้นก็บังเกิดขึ้นทันทีในรูปของนางสิงห์ร่างขนาดยักษ์ นางพุ่งตรงไปยังไอยคุปต์ตอนบน ขย้ำและกัดกินมนุษย์เป็นอาหารจนแม่น้ำไนล์แดงฉานไปด้วยโลหิตและพื้นดินริมฝั่งแม่น้ำกลายเป็นโคลนเหนียวสีแดง

    ในเวลาไม่นาน มนุษย์ชั่วช้าส่วนใหญ่ก็ถูก เสคเมต สังหารจนหมด บรรดาคนที่เหลือก็ขอร้องให้ รา ทรงอภัยโทษ และ รา ก็ทรงโปรดให้ไว้ชีวิตพวกเขาด้วยพระองค์ไม่ปรารถนาจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด เพราะพระองค์จะต้องกลายเป็นผู้ครอบครองโลกที่อ้างว้างและไม่มีมนุษย์คอยรับใช้

    แต่ เสคเมต เกิดติดใจในรสเลือดของมนุษย์ นางจึงไม่ยอมที่จะหยุดล่าสังหาร ทุกๆวันนางสิงห์จะท่องไปทั่วดินแดนไอยคุปต์และฆ่าทุกคนที่พบเห็น ยามกลางคืนนางจะซ่อนตัวอยู่ในแนวก้อนหินริมทะเลทราย รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและเริ่มออกล่าอีกครั้ง

    รา จึงตรัสว่า "กลอุบายเท่านั้นที่จะสามารถหน่วงเหนี่ยว เสคเมต ได้ หากข้าทำได้และช่วยให้มนุษย์พ้นจากเขี้ยวอันคมกริบและอุ้งมือของนางสำเร็จ ข้าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่กว่าเดิมและเหนือมนุษย์ให้นาง เพื่อให้นางมีใจยินดีและไม่รู้สึกด้อยเกียรติว่าถูกทอนอำนาจ"

    ดังนั้น รา จึงทรงเรียกผู้เดินสารที่รวดเร็วว่องไว และทรงบัญชา "จงวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าและเงียบยิ่งกว่าเงาของตัวเอง ไปยังเกาะแห่ง เอเลฟันไตน์ (Elephantine) ในแม่น้ำไนล์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของ คาตารัคต์* (Cataract) จงนำดินสีแดงซึ่งมีอยู่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวมาให้ข้าโดยด่วน"

    เหล่านักเดินสารมุ่งฝ่าความมืดและกลับมายัง เฮลิออโปลิส นครแห่ง รา พร้อมกับดินสีแดงจาก เอเลฟันไตน์ จำนวนมาก ในขณะเดียวกัน โดยราชโองการของ รา นักบวชหญิงแห่งวิหารดวงอาทิตย์ทุกองค์และผู้รับใช้ในพระราชวังทุกคนก็ร่วมกันบดข้าวบาร์เลย์ และเริ่มทำเบียร์ซึ่งทำได้ถึง 7,000 เหยือก แล้วผสมดินนั้นเข้ากับดินของ เอเลฟันไตน์ จนมีสีแดงข้นราวกับเลือดเมื่อต้องแสงจันทร์

    "เอาล่ะ" รา ทรงเอ่ยขึ้น "ขนสิ่งนี้ทวนกระแสน้ำ เพื่อคุ้มครองมนุษยชาติ นำไปยังที่ที่ เสคเมต มุ่งจะไปทำการล่าเหยื่อในวันรุ่งขึ้น และเทมันลงบนพื้นเพราะนี่จะเปนกับดักเพื่อจับนาง"

    เมื่อฟ้าสาง เสคเมต ออกจากถ้ำของนางหลังกองหิน นางอยู่ท่ามกลางแสงแดดและมองไปรอบๆเพื่อหาอาหาร นางไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่สถานที่ที่นางได้ฆ่าคนไปมากมายเมื่อวานนี้ กลับกลายเนท้องนาที่ถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนาเท่ากับความกว้าง 3 ฝ่ามือ และดูเหมือนเลือด

    เสคเมต จึงหัวเราะด้วยเสียงราวกับเสียงคำรามของนางสิงห์ที่กำลังหิวโหย นางคิดว่าสิ่งนั้นคือเลือดที่นางทำให้มันหลั่งในวันก่อน นางจึงก้มลงและดื่มมันอย่างตะกละตะกราม ดื่มแล้วดื่มเล่า ฤทธิ์ของเบียร์ที่แล่นเข้าสู่สมองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนางสิงห์ไม่อาจออกล่าหรือสังหารได้

    จวบจนกลางวันใกล้จะสิ้นสุด นางคลานมาจนถึง เฮลิออโปลิส ที่ รา ทรงรอคอยอยู่ และเมื่อกลางวันแตะขอบฟ้า นางสิงห์ก็มิได้สังหารมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงแม้สักคนเดียวตั้งแต่เย็นเมื่อวาน

    "เจ้ามาโดยสันติ ดีมาก" รา ตรัส "สันติจงมีแด่เจ้าเช่นเดียวกับนามใหม่ เจ้ามิใช่ เสคเมต นักฆ่าอีกต่อไป แต่เป็น ฮาธอร์ (Hathor) เทพีแห่งความรัก อำนาจที่เจ้ามีต่อมนุษย์จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะความรู้สึกแห่งรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง ทุกคนที่ได้รู้จักความรักจะเป็นเหยื่อของเจ้า ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันนี้ นักบวชหญิงแห่งความรักจะดื่มเบียร์แห่ง เฮลิออโปลิส กับดินสีแดงแห่ง เอเลฟันไตน์ ในวันแรกของทุกปี เป็นเทศกาลอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติต่อ ฮาธอร์"

    ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติจึงปลอดภัยเพราะเทพ รา ผู้ซึ่งให้ทั้งความปิติและความเจ็บปวดใหม่แก่มนุษย์

    Date: 03 มิถุนายน 2552

    </TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตำนานเทพเจ้าอียิปต์ 1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เทพเจ้าอียิปต์ ดินแดนต้องคำสาป
    [​IMG]

    ชาวอียิปต์ เป็นชนชาติที่เคร่งครัดศาสนาที่สุดในโลก แต่ละแห่งจะมีเทพเจ้าประจำท้องถิ่นของตน เทพเจ้าเหล่านี้มักเป็นสัตว์ หรือคนปนกับสัตว์ เมื่อโนมิส รวบรวมอียิปต์ เทพเจ้าก็มาอยู่รวมกัน อียิปต์จึงมีเทพเจ้าหลายองค์ คือ
    1. รา หรือ เร ( Ra or Re ) เป็นสุริยเทพ ( Sun God ) เทพเจ้าสูงสุด

    ชื่อนี้เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ที่ท่านคุ้นกันดีอยู่แล้ว ราที่รู้จักกันก็คือสุริยเทพนั่นเอง แต่ก่อนที่ท่านจะโดยสารเรือทองล่องท้องฟ้าส่งแสงให้มนุษย์ เล่ากันว่า ท่านเองก็เกิดมาแต่โลกมนุษย์นี่แหละ โดยเกิดเป็นปมบ่มอยู่ในดอกบัวอันฝังเหง้าอยู่ในทะเลลึกเป็นเวลานานเกินกว่าที่จะนับได้ จวบจนกระทั่งท่านได้พัฒนาตัวเองจนสูงสุดจึงออกจากดอกบัว ขึ้นมาอยู่บนโลก
    ตอนนั้น ไม่มีทั้งเทวดาและมนุษย์หน้าดำๆ อย่างเราๆท่านๆเลย รานี่แหละเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆขึ้น โดนสร้าง ชู (Shu) และเทฟนัต (Tafnut) ขึ้นก่อน สององค์นี่คือบรรพชนของเทพทั้งมวล โดยทรงสร้างขึ้นจากร่างของพระองค์เองทีเดียว ส่วนบรรดาเทพชั้นรองลงมาและมนุษย์พระองค์ก็สร้างจากน้ำตาของพระองค์ พวกมนุษย์ถึงได้รู้จักความเศร้ายังไงล่ะ
    พวกเทพเทวาชั้นรองๆ ลงมากับทั้งมนุษย์ก็อยู่ร่วมโดลกกันมาอย่างสวัสดิภาพเป็นเวลานาน จนกระทั่งล่วงเข้าวัยชรา ทั้งมนุษย์และเทพเริ่มวางแผนชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกันและเริ่มทะเลาะเบาะแว้งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีความเกรงใจราผู้เป็นใหญ่เอาเสียเลย เข้าทำนองพ่อแม่แก่เฒ่ากลายเป็นหัวหลักหัวตอ พฤติกรรมที่แย่มากๆ ของลูกๆ หลานๆ ก็เลยทำให้ราเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ ในที่สุดพระองค์ก็เลยตัดสินใจทอดทิ้งโลกมนุษย์ ลงเรือขึ้นไปบนฟากฟ้าและล่องไปรอบจักรวาล

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดูดำดูดีโลกเสียเลยนะ พระองค์ยังคงสอดส่องดูและและให้ความช่วยเหลือมนุษย์อยู่ตลอดเวลา โดยพระองค์จะใช้เวลา 12 ชั่วโมงในตอนกลางวันเดินทางข้ามฟ้าจากตะวันออกสู่ตะวันตก ดวงเนตรอันใหญ่โตและแจ่มจรัสจะคอยสอดส่องช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของมนุษย์ให้ลุล่วงไปเป็นอย่างดี แต่ใช่ว่าราจะไร้ศัตรูเสียเลยก็เปล่า มีอยู่บางโอกาสที่งูใหญ่ อาเปป (Apep) แห่งลุ่มน้ำไนล์ พยายามที่จะกลืนเรือของพระองค์ ถึงครานั้นดวงเนตรของราจะดับมืดทันควัน เกิดเป็นเสียงอึกทึกจากการต่อสู้เลื่อนลั่นอยู่ในท้องฟ้า แต่ราก็สามารถด้นหลุดมาได้ และกลับมาส่องแสงสว่างให้แก่โลกดังเดิม

    พอตกค่ำ เรือทองจะพาราท่องไปในโลกใต้พื้นพิภพอีก 12 ชั่วโมง โดยจะเป็นผู้นำแสงสว่างและความอบอุ่นลงไปสู่วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ ณ ที่นั้น และจะกลับมาสู่ฟากฟ้าใหม่อีกในวันรุ่งขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง เล่ากันว่ามีเพียงครั้งเดียวในอดีตกาลที่ผ่านมาเนิ่นนานที่ราทอดทิ้งเรือทองของพระองค์ ตอนนั้นฟาโรห์แห่งอียิปต์ทำพิธีเสกสมรสกับมเหสีองค์ใหม่ ราลงมาร่วมภิรมย์กับนางเพื่อให้นางตั้งครรภ์และมีบุตรเป็นต้นวงศ์ของฟาโรห์ที่เป็นเชื้อสายแห่งราโดยแท้?

    2. โอซิริส ( Osiris ) เป็นเทพเจ้าชั้นสูง จนได้ชื่อว่า เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เนื่องจากแม่น้ำไนล์ไหลหลากมาก ช่วยให้พืชพันธุ์ริมฝั่ง จึงอุดมสมบูรณ์ กลับคืนสู่ดินแดนเหล่านี้ โอซิริส ถูกเซท ( Seth ) น้องชายฆ่าตาย ร่างกายถูกสับออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำไนล์ ไอซิส มเหสีของโอซิริส ได้เก็บเอาชิ้นส่วนของศพที่ลอยน้ำ มาชุบชีวิตขึ้นใหม่ การฟื้นขึ้นใหม่เปรียบกับพืชพันธุ์ริมแม่น้ำไนล์ ที่ล้มตายสูญหาย ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ปรากฏการณ์นี้ ทำให้ชาวอียิปต์ เชื่อในเรื่อง การเกิดใหม่ เป็นแรงผลักดัน ทำให้มีการสร้างมัมมี่ และปิรามิด โอซิริส ยังเป็นเทพเจ้าที่ทรงคุณงามความดี และยุติธรรม จึงเป็นตุลาการแห่งโลกหน้า วิญญาณของผู้ตาย จะต้องไปเฝ้า เทพโอซิริส เพื่อตัดสินที่จะไปเกิดใหม่ โอซิริส เป็นภาษาพื้นเมือง หมายถึง คนที่ตายไปแล้ว

    3. ไอซิส ( Isis ) เป็นมเหสี และน้องสาวของโอซิริส มีรูปโฉมงดงาม ไอซิสถูกเทพเจ้าโฮรัสตัดศีรษะ แล้วเอาหัววัวมาใส่แทน เนื่องจากแม่น้ำไนล์ เมื่อน้ำหลากจะไหลมาโดยไม่มีฝนตก เชื่อว่า เป็นน้ำตาของเทพีไอซิส ร้องไห้ที่สามีถูกเซทน้องชายฆ่าตาย และเทพไอซิส ได้ชื่อว่าเป็นเทพีแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร และความสมบูรณ์สัญลักษณ์ของเทวีไอซิสมีหลายแบบ พระนางอาจเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นวัว หรือมีดวงจันทร์สวมบนศีรษะ หรือสวมมงกุฎรูปดอกบัวและมีหูเป็นข้าวโพด หรือถือขาแพะ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นรูปปั้นมักเป็นรูปพระมารดากำลังให้นมเทพเจ้าฮฮรัสอยู่ แสดงถึงการปกป้องเด็กๆจากโรคภัย บนศีรษะมีเขาสองเขาและมีวงสุริยะอยู่ตรงกลาง

    4. เซท ( Seth ) เทพเจ้าประจำอียิปต์บน เป็นเทพแห่งความแห้งแล้ง พายุ ทะเลทราย ความวุ่นวาย ชั่วร้าย โหดเหี้ยม และสิ่งที่ไม่ดี เซตเป็นลูกคนที่ 3 ของเทพีนัต เซตอิจฉาเทพโอสิริสผู้พี่ จึงคิดกำจัดโอสิริสเพื่อเป็นฟาโรห์แทน ภายหลังถูกทำร้ายจนตาบอด หมายถึง ความจงเกลียดจงชัง ทำให้ตาบอดมืดมัวมองไม่เห็น เป็นตัวแทน ความมืดของพายุร้ายกลางทะเลทราย

    5. โฮรัส ( Horus ) เป็นโอรสของโอซิริส และไอซิส และเป็นพระสวามีของเทวีฮาธอร์ มีศีรษะเป็นเหยี่ยว ถือเครื่องหมายของชีวิต เทพฮอรัส ทรงเป็นเทพที่เกิดจากการรวมกันของเทพนกเหยี่ยวและ เทพแห่งแสงสว่าง ทรงมีพระเนตรขวาเป็นดวงอาทิตย์และพระเนตรซ้ายเป็นดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเพราะขณะที่สู้กับเซทนั้นถูกกัดที่ตาซ้ายจนหมองมัวสัญลักษณ์ของเทพฮอรัสคือเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว ทรงสวมมงกุฎสองชั้นหรือแกะสลักเป็นรูปวงสุริยะมีปีกอยู่ที่รั้ววิหารประจำพระองค์ หรือคือนกเหยี่ยวกำลังบินอยู่เหนือการสู้รบของฟาโรห์ ที่อุ้งเล็บมีแส้แห่งความจงรักภักดีและแหวนแห่งความเป็นนิรันดร์อยู่

    6. อนูบิส ( Anubis ) เป็นพระโอรสของเทวีเนฟธีส และเทพโอสิริส ทรงมีสัญลักษณ์เป็นสุนัขไนสีดำเพราะออกหากินเวลากลางคืน ซึ่งเป็นสัตว์ในทะเลทรายใกล้สุสาน ทรงได้รับความเคารพมากในไอยคุปต์โดยเฉพาะในทะเลทรายแห่งตะวันตกที่เรียกว่าบ้านแห่งความตาย พระองค์เป็นผู้เสาะหาน้ำมันหอมหรือยาที่หายากในการทำมัมมี่ศพเทพโอสีริสร่วมกับเทวีอีสิสและเทวีเนฟธีสพระมารดา จากนั้นพระองค์จะทำพิธีศพให้เทพโอสีริส พิธีที่พระองค์ทรงคิดขึ้นนั้นเป็นรูปแบบพิธีการฝังศพในเวลาต่อมา และที่สำคัญที่สุดคือ ทรงเป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ โดยเป็นผู้ดูตาชั่งอย่างละเอียดโดยมีขนนกเป็นเครื่องวัดถ้าขนนกเอนขึ้นแปลว่ามีความผิดมาก ถ้าคนนกเอนลงถือว่ามีความดีมาก ส่วนเทพธอธจะเป็นผู้บันทึกการตัดสิน เมื่อถือว่าวิญญาณนั้นบริสุทธิ์แล้ววิญญาณจะไปเข้าเฝ้าเทพโอสีริส เพื่อพิพากษาให้ไปสู่ในโลกแห่งวิญญาณใหม่ หากไม่บริสุทธิ์จะถูกลงโทษอย่างโหดร้ายเทพอานูบิสมีสัญลักษณ์เป็นชาย มีศีรษะเป็นสุนัขในหรือเป็นสุนัขคอยติดตามเทวีไอสิส หรือเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือสุนัขชูคอหมอบอยู่ที่ฐานหรือบนหลุมศพ

    7. ฮาเธอร์ ( Hathor ) เทพีแห่งความรัก และการเกิดของเด็ก มีสัญลักษณ์เป็นวัวตัวเมีย เป็นเทพีผู้ให้น้ำนมเลี้ยงโฮรัส มีลักษณะคือ หัว และ ตัวเป็นมนุษย์ แต่มีสัญลักษณ์เป็นเขาวัว อยู่บนศีรษะ

    8. พตาห์ ( Ptah ) เทพเจ้าประจำเมืองเมมฟิส เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะ และการช่าง

    9. แอมมอน ( Ammon ) เทพเจ้าประจำเมืองธีบิส มีสัญลักษณ์ได้หลายอย่าง เช่น แกะ แพะ งู ฯลฯ

    10. คนูม ( Khnum ) เทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ผู้ให้กำเนิดโลก และพื้นน้ำ มีศีรษะเป็นแกะ

    11. เนคเบท ( Nekhbet ) เทพีผู้คุ้มครองฟาโรห์ ประจำอียิปต์บน มีสัญลักษณ์เป็นแร้ง

    Date: 03 มิถุนายน 2552
    เทพเจ้าอียิปต์ ดินแดนต้องคำสาป
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระพรหม

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    พระพรหม
    <SMALL>ब्रह्मा</SMALL>


    [​IMG]
    เทวรูปปั้นพระพรหม
    ข้อมูลทั่วไป[ซ่อน]
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ตำแหน่ง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>เทวดาแห่งการสร้างสรรค์</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>สัตว์พาหนะ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>หงส์</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>คู่ครอง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระสุรัสวดี</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    พระพรหม (อักษรโรมัน Brahmā; อักษรเทวนาครี ब्रह्मा) เป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ถือว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล และเป็นหนึ่งในตรีมูรติ อันประกอบด้วยพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ต่างจาก พรหมัน อันเป็นเป้าสูงสุดของปรัชญาฮินดู แต่มีรากศัพท์เดียวกัน โดยที่พรหมันนั้นเป็นนาม นปุงสกลิงก์ คือไม่มีเพศ ขณะที่พระพรหม เป็นปุลลิงก์ หรือบุรุษเพศ ตามคัมภีร์พระเวท ถือว่าพระพรหมมีชายา คือพระนางปชาบดี มีหงส์เป็นพาหนะ มี 4 พระพักตร์ เป็นเทพแห่งการสร้างและการให้พร ที่เรียกว่า "พรหมพร" ถือเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา
    [แก้] นิยามของ พรหม ใน ภควัทคีตา (บทเพลงแห่งองค์ภควันต์)

    <DL><DD><DL><DD>สิ่งที่บุคคลควรรู้สูงสุดคือ พรหม <DD>พรหมคือสภาวะอันสูงสุด ไม่มีเบื้องต้น ไม่เป็นทั้งสิ่งมีอยู่และสิ่งไม่มีอยู่ <DD>พรหมหยั่งรู้ถึง อารมณ์ โลภ โกรธ หลง แต่พรหมปราศจากอารมณ์เหล่านั้น <DD>พรหมไม่มีความยึดมั่นในสรรพสิ่ง <DD>พรหมคือสภาวะอยู่เหนือความดีและความชั่ว <DD>พรหมมิอาจหยั่งรู้ได้ด้วยการคิดและใช้เหตุผล <DD>พรหมคือแสงสว่างเหนือแสงสว่างทั้งปวง </DD></DL></DD></DL>[แก้] พระพรหม ในคติพระพุทธศาสนา

    [​IMG]
    พระพรหม


    ในคติพุทธศาสนา พระพรหม เป็นชาวสวรรค์ชั้นสูงขั้นหนึ่งที่สูงกว่าเทวดาทั่วไป เรียกว่า "พรหม" พระพรหมยังอยู่ในกามาวจรภพ มีการวนเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าชั้นพรหม (พรหมภูมิ)
    พระพรหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม
    "พระพรหม" ในทางพระพุทธศาสนา เป็น "พระพรหมผู้วิเศษ" ล้วนแต่บุรุษเพศทั้งสิ้น ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตว์ในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่มชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌานสมาบัติเป็นอาหาร จึงไม่ต้องมีการถ่ายคูตรมูถ คืออุจจาระ ปัสสาวะอันลามกเหม็นร้าย สรีระร่างกายหน้าตาแห่งบรรดาพระพรหมนั้น มีสัณฐานกลมเกลี้ยงสวยงามนัก มีรัศมีออกจากกายตัวเลื่อม ประภัสสรรุ่งเรืองกว่ารัศมีพระอาทิตย์ และพระจันทร์ หลายพันเท่า เพียงแต่หัตถ์หนึ่งเล่าอันพระพรหมทั้งหลายเหยียดยื่นออกไปหวังจะให้ส่อง รัศมีไปทั่วห้วงจักรวาลก็ย่อมจักทำได้ อวัยวะร่างกายที่ต่อกัน คือ หัวเข่าก็ดี แขนก็ดี มีสัณฐานกลมเกลี้ยงเรียบงามนัก จักได้เห็นที่ต่อกันนั้นหามิได้ เกศเกล้าแห่งพระพรหมทั้งหลายนั้นงามนัก ปรากฏโดยมากมีศีรษะประดับด้วยชฎา สถิตย์เสวยสุขพรหมสมบัติอยู่ ณ พรหมภูมิที่ตนอุบัติตราบจน กว่าจะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน
    (เป็นผู้วิเศษ ที่มีแต่เพศชาย ไม่ต้องกินดื่มอาหารใดๆ เหมือนสัตว์ในภูมิอื่นๆ จึงไม่ต้องมีการขับถ่ายของเสีย พระพรหมมีใบหน้ากลมเกลี้ยง มีแสงจากกายที่ส่องสว่างกว่าแสงพระอาทิตย์ และแสงพระจัทร์เป็นหลายพันเท่า โดยพิจารณาเพียงฝ่ามือข้างเดียวของพระพรหมที่แบออกนั้น ก็สามารถส่องแสงสว่างไปทั่วจักรวาลได้ อวัยวะใดๆที่ต้องมีรอยต่อกัน (เช่น บริเวณแขน ที่มีศอก และรอยพับ เชื่อมระหว่างแขนบน และแขนล่าง) ก็เกลี้ยง เรียบเนียน เส้นผมก็สวยงามมาก ซึ่งโดยมากจะมีชฏาประดับบนศีรษะ และอยู่เสวยสุขในชั้นพรหมของตนเอง จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ซึ่งก็เป็นเวลาแสนนาน)
    พรหมอุบัติ (ในทางพระพุทธศาสนา) พระพรหม เกิดจากท่านผู้มีความเพียรกล้า ทรงไว้ซึ่งปัญญาเกินสามัญชน ปรารถนาจะพ้นจากกิเลสานุสัย เพราะเห็นว่ามีโทษพาให้ ยุ่งนัก ใคร่จักห้ามจิตมิให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงสู้อุตสาหะพยายามบำเพ็ญสมถภาวนา ตามที่ท่านบุรพาจารย์สั่งสอนกันสืบๆ มา บางพวกเป็นชีป่าดาบส บางพวก ทรงพรตเป็นโยคี ฤๅษีในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ในโลก บางพวกก็เป็นพระภิกษุสามเณร ต่างบำเพ็ญสมถภาวนา จนได้สำเร็จฌาน ครั้นถึงกาลกิริยาตายจากมนุษย์โลก จึงตรงไปอุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่สุขไม่มีเรื่องกามเข้าไปเกี่ยวข้อง ตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุเป็นพระพรหมผู้วิเศษ
    พระพรหมมีชื่อเรียกอื่นในภาษาไทยเช่น จตุรพักตร์ (4 หน้า), ธาดาบดี (ผู้สร้าง), หงสรถ (มีหงส์เป็นพาหนะ) เป็นต้น

    พระพรหม - วิกิพีเดีย
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    [​IMG] <-----
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระอิศวร

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    พระอิศวร
    พระศิวะ

    <SMALL>शिव</SMALL>


    [​IMG]

    ข้อมูลทั่วไป[ซ่อน]
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ตำแหน่ง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>เทวดาแห่งการทำลาย</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ศาสตราวุธ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>ตริศูล</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>สัตว์พาหนะ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>โคอุศุภราช</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>คู่ครอง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระแม่อุมา
    หรือพระแม่ปารวตี
    หรือพระแม่ทุรคา</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    พระอิศวร หรือ พระศิวะ (สันสกฤต: शिव Śiva) หรือชาวจีนเรียกว่า พระยกอ๋องซ่งเต เป็นเทพตามความเชื่อของชาวฮินดู มีพาหนะ คือ โคเผือก ชื่อว่า อุศุภราช พระอิศวรเป็นมหาเทพแห่งการทำลาย มีกายสีขาว แต่พระศอเป็นสีดำเพราะเมื่อตอนที่พระนารายณ์และเหล่าเทวดา อสูร ทำพิธีกวนสมุทรโดยใช้พญานาคเป็นตัวฉุดเขาพระสุเมรุนั้น ใช้เวลากวนนานมาก พญานาคจึงคลายพิษออกมาปกคลุมไปทั่วโลก พระศิวะ จึงว่าเกรงจะเป็นภัยต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลกจึงได้สูบเอาพิษเหล่านั้นไว้จึงทำให้ คอของพระศิวะเป็นสีดำนั้นเอง มีพระเนตรถึง 3 ดวง ดวงที่ 3 อยู่กลางพระนลาฏ ซึ่งตามปกติจะหลับอยู่ เนื่องจากพระเนตรดวงที่ 3 นี้ มีอานุภาพร้ายแรงมาก หากลืมขึ้นเมื่อใดจะเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้ ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล มีมเหสีคือ พระแม่อุมา รูปลักษณ์ของพระอิศวร โดยมากจะปรากฏให้เห็นเป็นชายผมยาว มีพระจันทร์เป็นปิ่นปักผม มีลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์เป็นสังวาล มีงูเห่าพันรอบพระศอ นุ่งห่มหนังเสืออันเป็นเครื่องนุ่งห่มของฤๅษี การบูชาพระอิศวรจะกระทำได้โดยการบูชาต่อศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์นั่นเอง
    พระอิศวรมีท่าร่ายรำอันเป็นการร่ายรำของเทพเจ้า เรียกว่า "ปางนาฏราช"(nataraja) เมื่อแปลงกายลงไปปราบฤๅษีที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ่งต่อมาชาวฮินดูได้ถือเอาท่าร่ายรำนี้เป็นต้นแบบของการร่ายรำต่าง ๆ มาตราบจนปัจจุบัน
    พระอิศวรยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีอีกด้วย โดยมีพระนามเรียกว่า "ปีศาจบดี"

    พระอิศวร - วิกิพีเดีย
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระวิษณุ

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->
    <!-- /jumpto --><!-- bodytext -->
    พระวิษณุ
    พระนารายณ์

    <SMALL>विष्णु</SMALL>


    [​IMG]
    เทวรูปพระนารายณ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
    ข้อมูลทั่วไป[ซ่อน]
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ตำแหน่ง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>เทวดาแห่งการปราบมาร
    หรือ การคุ้มครองดูแลโลก</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>ศาสตราวุธ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>สังข์
    จักร
    ตรี
    คฑา
    หรือ ดอกบัว</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>สัตว์พาหนะ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>ครุฑ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=93 bgColor=#f3f3f4>คู่ครอง</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>พระลักษมี</TD></TR></TBODY></TABLE>​



    พระวิษณุ (อังกฤษ: Vishnu , อักษรเทวนาครี : विष्णु) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์ เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")
    โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลัง อนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
    พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ
    • พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
    • พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
    • พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม
    <TABLE class=toc id=toc sizset="1" sizcache="0"><TBODY sizset="1" sizcache="0"><TR sizset="1" sizcache="0"><TD sizset="1" sizcache="0">เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>[แก้] การกำเนิดของพระวิษณุ

    ในคัมภีร์ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วนของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ)
    ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) จะกล่าวต่างออกไปคือ “พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง
    คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า “นร” เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม “พระวิษณุ (นารายณ์) ”
    พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี 4 กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์
    [แก้] ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ

    เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่
    การอวตาร (Avatar) หรือในภาษาอังกฤษว่า “Incarnation” แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย
    [แก้] การอวตารของพระวิษณุ

    [​IMG]
    "ทศาวตาร" หรือ "นารายณ์สิบปาง" หรือ อวตารทั้งสิบของพระวิษณุ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย (นับเวียนตามเข็มนาฬิกา) มัตศยาวตาร (ปลา), กูรมาวตาร (เต่า), วราหาวตาร (หมูป่า), วามนาตาร (พราหมณ์ค่อม), กฤษณาวตาร (พระกฤษณะ), กัลกยาวตาร (อัศวินม้าขาว), พุทธาวตาร (พระศากยโคดมพุทธเจ้า), ปรศุรามาวตาร (รามผู้ถือขวาน), รามจันทรวาตาร (พระราม), นรสิงหาวตาร (นรสิงห์, คนครึ่งสิงห์) ส่วนรูปตรงกลางเป็นรูปพระกฤษณะและเหล่าสาวก


    การอวตารของพระวิษณุนั้นทรงอวตารเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามศิวะโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดา การอวตารของพระวิษณุบ้างก็ว่ามีมากจนนับได้ยาก แต่ปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง ดังนี้
    • ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา) เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
    • ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า) เพื่อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวนเกษียรสมุทร
    • ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า) มีสองตำนานหลักๆคือ 1) เพื่อปราบอสูรนาม"หิรัณยากษะ"ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2) เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม
    • ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์) เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ"
    • ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย) เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ"
    • ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ) เพื่อปราบกษัตริย์ (ผู้เป็นมนุษย์) นาม "พระเจ้าอรชุน" หรือ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผู้มีใบหน้า 1พันหน้า ผู้ก่อยุคเข็ญและทำลายล้างศาสนา
    • ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร (อวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งอโยธยา) เพื่อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษํตริย์ แห่งกรุงลงกา - ปางนี้เป็นหลักในการจัด จารีต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของสังคมอินเดีย
    • ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ) เพื่อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน
    • ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์อวตารในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะแยกออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื่อว่าปางที่เก้านี้คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็นพลราม) หรือพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะ เป็นการอวตารคู่กับพระกฤษณะ
    • ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี) เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
    [แก้] ปางอื่นๆที่น่าสนใจ

    • อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางอัปสร หรือ นางฟ้าผู้เลอโฉม) เพื่อหลอกล่อเหล่าอสูร เพื่อให้เหล่าเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร เพื่อเทวดาจะได้เป็นอมตะและมีฤทธิ์เหนืออสูร
    • นารัตอวตาร (อวตารเป็นเทวฤษีนารัต) เพื่อให้ความรู้ สั่งสอน และชี้แนะแก่ มวลเทวะ มวลมนุษย์ และ หมู่มวลอสูร
    • ศึกษาภาพปางต่างๆมหาเทพได้ที่ Picasa Web Albums - พิพิธภัณฑ์ภาพพระเ...
    [แก้] พระนารายณ์ 10 ปาง ในพระพุทธศาสนา

    อาจเป็นไปได้ว่าชาวพุทธไม่ชอบการที่ฮินดูนำพระศาสดาของพุทธ ไปเป็นอวตารปางหนึ่งของมหาเทพของเขา จึงมีการสลับปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทน
    1. ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
    2. ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
    3. ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
    4. ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
    5. ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
    6. ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
    7. ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
    8. ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
    9. ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
    10. ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)
    [แก้] ความเชื่อและคตินิยม

    พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง
    1. คำบูชาพระวิษณุ (นารายณ์) โอม...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ
    2. บทอธิฐานขอพร พระนารายณ์ โอม...ศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ ุเรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ
    3. บทอธิฐานขอพร พระวิษณุ โอม...สะศางขะจักรัม สะกิริฏะ กุณตะลัม สปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะละ เกาสตุภะ ศริยัม นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุซัม ฯ
    4. บทอธิฐานขอพร พระราม โอม...นีลามพุชะ ศยามะละ โกมะลางคัมสีตา สมา โรปิตะ วามะภาคัม ปาเณา มหาสายะกะ จารุ จาปัม นะมามิ รามัม ระฆุวัมศะ นาถัม ฯ
    พระวิษณุ - วิกิพีเดีย
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG] <-----rabbit_eating

    ไม่สนุกหรอ ตำนานเขาอ่านแล้วสนุกดีนะ อภิมนุษย์ อภิอัตตา ก็ยังต้องอยู่ในเกิดแก่เจ็บตาย
    มีสุข มีทุกข์ มีกลัว มีแก่งแย่ง มีพยาบาท มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีการสร้าง มีการทำลาย
    ละกามได้ แต่ก็ยังมีอัตตามีอายุขัย มีเกิด มีตาย มีเยอะแยะ ไร้ตัวตน เป็นความว่าง chaos ก็ยัง
    ออกลูกออกหลานเกิดทายาทจากความว่างที่มีความโกลาหลปั่นป่วนวุ่นวาย ได้อีกนะ
    หุหุ

    ปล.เราก็เป็นโซ่ข้อหนึ่งของสังสารวัฏที่หาจุดเริ่มต้นไม่ถูกหาจุดสิ้นสุดก็ยังไม่ได้ ลูบๆคลำๆกันต่อไปนะ
    หวังว่าจะมีสติปัญญาหยุดเกิดหยุดตายได้มั่ง อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  15. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    โอ้ โฮ ได้ความรูุ้มากมาย ขอบคุณที่นำความรู้ดีๆมาให้อ่าน
    อนุโมธนา
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สัญลักษณ์ของศาสนาโบราณทวีปมู

    ศาสนาของคนโบราณ บ่งบอกได้ถึงจริยธรรม คุณธรรม จารีตในสมัยนั้นๆ

    '''''''''''ขอเริ่มจาก ขอนำจารึกอักษรภาษาสัญลักษณ์ที่ใช้บนทวีปมู ที่เขียนจารึกโดยนักบวชชาวนาอะคัล(Naacal)เป็นสัญลักษณ์โบราณที่ใช้เมื่อนับย้อนไปประมาณ 50,000-30,000 ปีที่แล้ว

    [​IMG]

    สัญลักษณ์ที่ 15

    '''''''''''หมายถึง ดวงตาที่ครอบคลุมดูแลทั่วทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล ภายใต้สามเหลี่ยมที่ทรงพลังที่สุดที่เป็นศูนย์กลางของทุกจักรวาลรวมทั้งเอกภพทั้งหมด

    ก่อนกาลทวีปมูใช้สัญลักษณ์นี้แทนพระเจ้า รา

    ในอียิปต์ หมายถึง ดวงตาแห่งเทพโอสิริส, ดวงตาที่สาม

    และยังใช้อยู่ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอริค

    และใช้กันในสมาคมfreemason ที่มีต้นสายที่ยาวนานย้อนไปได้ถึงยุคไอยคุปย์(สังเกตที่แบ็งค์ 1 ดอลล่าร์อเมริกา)


    สัญลักษณ์ที่ 16 และ 18

    หมายถึง ภาวะที่ดูแลสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้สมดุล

    '''''''''''สามเหลี่ยมหัวตั้ง :ซึมซับรับพลังงานทุกๆจิตวิญญาณในจักรวาล พลังงานในรูปแบบจิตวิญญาณ และการกระทำ

    '''''''''''สามเหลี่ยมกลับหัว : ส่งคืนผลของการกระทำ จิตวิญญาณ ภายใต้ภาวะสมดุลย์ของพลังงานของทุกสรรพสิ่ง

    '''''''''''วงกลมภายใน : คือ ภาวะการหมุนเวียนจัดสรรของวงรอบ-วงกลม พลังงานที่ไหลเข้า-ไหลออก ภายใต้ภาวะสมดุลย์

    วงกลมภายนอก คือ ศูนย์กลางของทุกจักรวาล รา พระอาทิตย์ดวงแม่

    สัญลักษณ์ที่ 19

    '''''''''''คือ ภาวะที่ถึงจุดกัลปวสานของทุกๆเอกภพ ก่อนเข้าสู่ยุคเริ่มใหม่ มีเพียงสามเหลี่ยมพลังงานที่ซ้อนกัน กลับกลายเป็นสภาพว่างไร้สรรพสิ่ง


    สัญลักษณ์ที่ 17

    '''''''''''คือ การก่อกำเนิดเมล็ดพืชแรก อีกครั้ง หลังจากกาลสิ้นสุด เป็นการเริ่มใหม่ของทุกสรรพสิ่ง จากศูนย์กลางธรรมชาติภายใน

    เมล็ดพืชแรก =จุดแรกที่เริ่มต้น= พินทุ(บาลี)

    สัญลักษณ์ที่ 20

    คือ การรังสรรค์ การสร้างของพลังแห่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ในตอนเริ่มต้น

    '''''''''''แนวคิดศาสนธรรมโบราณทวีปมูมีอยู่ว่า :-
    '''''''''''ในตอนเริ่มต้นนั้น มีเพียงความยุ่งเหยิง(Chaos)ทั่วทั้งจักรวาลที่มืดมิด และลำดับต่อมา ภาวะทั้งหลายดำเนินไปเข้าสู่ภาวะสงัด ไร้สรรพเสียง ต่อมาผู้สร้างพร้อมด้วย"ความปรารถนา"ได้บัญญัติอำนาจเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ทั้งสี่ขึ้น เพื่อ สร้างกฏและระเบียบในจักรวาล เพื่อให้การสร้างได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อกฏและระเบียบได้ถูกสร้างให้บังเกิดโดยพลังอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ตามความปรารถนา และบัญญัติของผู้สร้าง"

    *จารึกของนักบวชนาอะคัล(naacal)) อันมีชื่อเรียกว่า ข้อเขียนดลใจอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง มู(The Sacred Inspired Writing of Mu)

    [​IMG]

    '''''''''''แผ่นจารึกนิเวน พบที่เม็กซิโก ต่อเติมความขาดหายไป ที่จากรึกแห่งนาอะคัลอ้างถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ดังบัญญัติของผู้สร้าง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกฏ และการจัดระเบียบทั่วทั้งเอกภพแผ่นจากรึกเลขที่ ๑๒๓๑ จารึกแผ่นนี้เป็นดั่งกุญแจที่ไขสู่การทำงานและความเคลื่อนไหวของเอกภพ เป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 (Sacred Four)

    '''''''''''ปัจจุบันอาจมีชื่อเรียกต่างกันมาก เช่น สวัสดิกะ เป็นต้น โดยชาวอารยันได้นำไปใช้เป็นเครื่องหมายหนึ่งในศาสนา และสมัยนาซีเยอรมัน..ฯ



    ทิศทางการหมุนวนของพลังงาน กุญแจคือปุ่มตรงกลาง เมื่อลองใช้นิ้วลองลากเส้นออกมาจากจุดเริ่มต้นวนออกมา

    นี้เป็นทิศทางการหมุนวนของพลังงานในเอกภพในทางสร้างสรรของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่



    '''''''''''สัญลักษณ์และความหมายของจารึก ดังกล่าวมาแล้ว ก็จะทำให้ผู้สนใจติดตามอ่านมา เข้าใจรูปสัญลักษณ์ด้านล่าง

    .ความเป็นไปของสรรพสิ่งในเอกภพทั้งมวล


    [​IMG]

    '''''''''''จากรูปสัญลักษณ์องค์ความรู้ทวีปมู เอกภพทั้งหลายกำลังขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลางทุกทิศทาง ดังที่กล่าวไว้ในสัญลักษณ์ที่ 15,16 , 18,20 และ๑๒๓๑

    '''''''''''การเกิดและดับของบางดาราจักรของดาวฤกษ์(อาทิตย์ดวงอื่น) ที่สามารถสังเกตุได้จากบนโลกเราได้ หมายถึง การเดินทางภาพที่มากับแสง นับพันล้านปีแสง


    '''''''''''และแสงใช้เวลาเดินทาง 3x10^8 เมตรต่อวินาที(^ ยกกำลัง) ;ดังนั้นสิ่งที่เราสังเกตุเห็นในวันนี้ เป็นอดีตของดาราจักรกลุ่มนั้น เมื่อหลายล้านปีมาแล้ว ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์ และอีกหลายทฤษฎีพิเศษสามารถอธิบาย ประสานเชื่อมต่อความสัมพันธ์นี้ได้เป็นอย่างดี<!-- google_ad_section_end --> http://palungjit.org/threads/ทวีปมู-mu-หรือ-รีมูเลีย-lemuria-คือ-นครอันตธานที่จมหาย.159670/
     
  17. Tawan1990

    Tawan1990 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +320
    สงสาร เมดูซ่า -.- เง่ออออ
     
  18. meawmeaw99

    meawmeaw99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +77
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ อ่านแล้วสนุกดี
     
  19. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    โอ้ ตำนานขององค์เทพซูสนี่คล้ายๆ เทพของญี่ปุ่นที่ใช้ดาบเลเซอร์ ตัดหัวมังกรแปดหัวเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...