หมดแล้ว ร่วมบุญจองวัตถุมงคล วัดพุทธโมกข์ เททองพระ วันที่ ๓ ธค. ๕๕

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย woottipon, 2 มีนาคม 2012.

  1. ญานธรรม

    ญานธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,936
    ค่าพลัง:
    +14,705
    พระอาจารย์ครับ ไม่ทราบว่ามี 9 วาระใช่ไหมครับ และพิธีสุดท้ายก็วันที่ 24 พฤศจิกายน ใช่ไหมครับ
     
  2. jomaker

    jomaker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +2,264
    มวลสารเยอะมากครับ

    สอบถามครับ มวลสารทั้งหมดที่ยกมา ได้นำไปรวมทำ พระกริ่ง ล็อเกต แหวน ด้วยหรือปล่าวครับ
     
  3. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วาระสุดท้ายเลย วันที่ 17 ม.ค 2556 ครับ
     
  4. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    สอบถามครับ มวลสารทั้งหมดที่ยกมา ได้นำไปรวมทำ พระกริ่ง ล็อเกต แหวน ด้วยหรือปล่าวครับ<!-- google_ad_section_end -->
    ตอบ รวมครับ ยกเว้นเกษาจะบรรจุในไม้ครู+ปรอท+ชันโรง+ตะกรุด
     
  5. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    รายละเอียดมวลสารจะลงไปเรื่อยๆ ให้อ่านกันครับ
     
  6. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ที่จริงเฉพาะตะกรุดอย่างเดี่ยวก็ คุ้มแล้วครับเพราะเอามวลสาร 3 ชนิด มาหลอมรวมกันคือ
    1.เหล็กเปียกพระธาตุพนม
    2.แร่โคตรเศษรฐีของแม่ชีประทุม
    3.หัวลูกปืนเนื้อตะกั่ว อธิฐานจิตโดยหลวงน้าสายหยุด
     
  7. วต

    วต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2010
    โพสต์:
    514
    ค่าพลัง:
    +1,382
    ขอสำรองไม้ครู 1 ด้าม
     
  8. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    พระกริ่งรุ่นนี้ อดีตสามเณรมารุตพงศ์ ดอกแดง วัดไชยสถาน หางดงเชียงใหม่เป็นผู้สร้างโดยได้รับมอบอิฐพระสถูปที่บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่ง สร้างที่เมืองหาง (ห้างหลวง) เมืองที่เสด็จสวรรคต แต่ก่อนเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยา (แต่ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศพม่า)คราวเสด็จไปราชการสงครามครั้งสุดท้าย เมื่อปีพ.ศ.2148 จากพระอาจารย์วรงคต (หลวงตาม้า) วัดถ้ำพุทธพรหมปัญโญ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (ศิษย์หลวงปู่ดู่วัดสะแก) ซึ่งธุดงค์บุกเข้าไปเชิญอิฐพระสถูปนี้มาด้วยองค์เองก่อนที่ทางการพม่าจะเอารถเกรดไถทำลายทิ้งจนไม่เหลือซากเพราะ"ศักดิ์สิทธิ์"มาก แสดงอานุภาพช่วยไทยใหญ่กู้ชาติรบชนะพม่าหลายหนพม่าแค้นสุดๆ เลยกวาดเสียเรียบ แม้แต่อิฐก้อนเดียวก็ไม่ให้มีเหลือ ในการสร้างพระกริ่ง " นเรศวร "ครั้งนี้เริ่มจากอิฐหนึ่งก้อนแต่อิฐก้อนนี้แปลกกว่าก้อนอิฐอื่นๆก็คือเป็นก้อนอิฐจากพระสถูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชแห่งแผ่นดินสยามเดิมอิฐก้อนนี้อยู่กับหลวงตาม้า วิริยธโร วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ)อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านเล่าว่า "อิฐก้อนนี้เป็นอิฐของพระสถูปบรรจุอัฐิสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เมืองหางประเทศพม่า โดยท่านได้ไปอันเชิญมาเอง เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีมาแล้วปัจจุบันไม่มีหลักฐานให้พบอีกแล้ว เพราะว่าทหารรัฐบาลพม่าทำลายจนหมดสิ้นแม้แต่เศษอิฐก็นำรถไถทิ้งลงแม่น้ำสาละวิน ด้วยความเคียดแค้นเพราะทหารฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาว ไทยใหญ่ได้ทั้งนี้เพราะเมื่อชนกลุ่มน้อยทำศึกกับฝ่ายทหารพม่าทุกครั้งเขาจะทำพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่สถูปเมืองหาง" สามเณรมารุตพงษ์กล่าวว่าตั้งแต่ได้รับอิฐก้อนนี้มาได้เกิดเหตุการณ์อันอัศจรรย์มากมายและท่านได้นิมิตถึงองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ท่านได้ตรัสสั่งให้สร้างพระกริ่งขึ้นจำนวนเท่าปีพ.ศ.ปัจจุบันให้บรรจุอิฐของท่านในพระกริ่งทุกองค์ด้วยท่านยังคงห่วงใยประชาราษฎรของพระองค์อยู่และจัดทำขึ้นเพื่อบูชาคุณของแผ่นดิน ชนวนที่นำมาสร้างนั้นมีจำนวนมากมาย เช่น พระยันต์ 108 ครอบจักรวาลพระยันต์พิสดารจากตำราต่างๆ ได้รับพระเมตตาอย่างยิ่งจาก เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์วัดชนะสงคราม ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง หลวงปู่นนท์ วราโภ วัดเหนือวน หลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว หลวงปู่โส กัสสโป วัดป่าหนองคำแคน หลวงปู่อินตา สีลสังวโล วัดวังทอง ครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อน ครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดพระธาตุมหาชัย หลวงตาวรงคต วิริยธโร วัดพุทธพรหมปัญโญ ครูบาตั๋น ปัญโญสำนักดอยม่อนปู่อิน พระอาจารย์ เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก หลวงพ่อพูล อัตตรักโข วัดไผ่ล้อม หลวงปู่เพิ่ม อัตตทีโป วัดป้อมแก้ว หลวงปู่ทอง โสณัตตโร วัดจักรวรรดิ์ฯ หลวงปู่มงคล วิโรจโน วัดประยูรวงศาวาง หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล หลวงปู่หวล ภูริภัทโธ วัดพุทไธสวรรค์ หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโร วัดกระโจมทอง หลวงปู่เจ้าคุณ ไวย์ วัดพนัญเชิง หลวงปู่พวง วัดป่าปูลูสันติวัฒนา ชนวนกริ่ง ครูบาเผือก ฐิตเมโธ ชนวนกริ่งไจยะเบงชร หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง วัดทุ่งปุยชนวน พระกริ่งพระเทพวิทยาคม หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ชนวนพระกริ่งฉลองอายุ 7 รอบ หลวงปู่รอด ฐิตวิริโย ชนวนหล่อองค์พระปฐมเงินวัดพุทธไธสวรรค์และชนวนอื่นๆ อีกมากมาย..... การที่จะหาวัตถุใดๆที่เนื่องในองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในเมืองไทย (โดยตรง) โดยเฉพาะกับ"พระบรมอัฐิ" ของพระองค์ท่านคงจะเป็นการที่ยากยิ่งอย่างที่สุด เพราะพระราชวังกรุงศรีอยุธยาก็โดนเผาทำลายจนป่นปี้ไปหมด แม้พระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็คงสูญหายไปในคราวเสียกรุงครั้งสุดท้ายเมื่อปีพ.ศ. 2310 นั่นเองคงมีแต่"พระสถูป"ที่สร้างบรรจุพระบรมอัฐิที่เมืองหางนี้เท่านั้นนับเป็น"วัตถุพยาน"ที่เราท่านทั้งหลายสามารถที่จะเข้าเฝ้า"แทบพระยุคลบาท"ได้มากและใกล้ชิดที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดอื่นสมกับที่หลวงตาม้าได้เคยกล่าวไว้ว่า "อิฐพระสถูปเมืองหางนี้ ก้อนเดียวก็มีอานุภาพมากเหลือล้นเป็นสื่อถึงพระญาณสมเด็จพระนเรศวรได้ดีกว่าการทำพิธีบวงสรวงใหญ่ๆเสียอีกไม่เชื่อใครมีพลังจิต จะลองจับพลังดูเอาก็ได้" ที่สำคัญอย่างพิเศษสุดๆก็คือ "พระกริ่งหลวง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"นี้หลวงตาม้า วัดถ้ำพุทธพรหมปัญโญซึ่งเป็นผู้เชิญและมอบ"อิฐพระสถูป"มาให้บรรจุในพระกริ่งรุ่นนี้เป็นพิเศษสุดแล้ว หลวงตาม้ายังได้ใช้"เหล็กจาร"ของ"หลวงปู่ดู่ วัดสะแก"จารใต้ฐานพระกริ่งทุกๆองค์ ที่"ถ้ำเมืองนะ" ซึ่งหลวงปู่ดู่กล่าวรับรองว่าเป็นที่"เสด็จสวรรคต"ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย และที่สำคัญก็คือการสร้าง"พระกริ่งหลวง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"ในคราครั้งนี้มิใช่นึกอยากจะสร้างก็สร้างเอาตามใจชอบก็หามิได้สามเณรมารุตพงศ์ได้กล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมาตรัสในนิมิตว่า "ต่อไป ประชาชนพลเมืองประเทศชาติจะเข้าสู่ยุคเข็ญมีความเดือดร้อนลำเค็ญมาก พระองค์ทรงเป็นห่วงใยในพสกนิกรเป็นอย่างยิ่งให้สร้างพระกริ่งเท่ากับจำนวนพ.ศ. และเอาอิฐพระสถูปนี้บรรจุไว้ใต้ฐานเพื่อบารมีแห่งพระองค์จะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจะพิบัติภัยต่างๆได้" ชนวนที่นำมาสร้างนั้นมีจำนวนมากมาย เช่น พระยันต์ 108 ครอบจัรวาลพระยันต์พิสดารจากตำราต่างๆ ได้รับพระเมตตาอย่างยิ่งจาก 1.เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ 2.เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์วัดชนะสงคราม 3.ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง 4.หลวงปู่นนท์ วราโภ วัดเหนือวน 5.หลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว 6.หลวงปู่โส กัสสโป วัดป่าหนองคำแคน 7.หลวงปู่อินตา สีลสังวโล วัดวังทอง 8.ครูบาดวงดี ยติโก วัดบ้านฟ่อน 9.ครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง 10.หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดพระธาตุมหาชัย 11.หลวงตาวรงคต วิริยธโร วัดพุทธพรหมปัญโญ 12.ครูบาตั๋น ปัญโญสำนักดอยม่อนปู่อิน 13.พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก 14.หลวงพ่อพูล อัตตรักโข วัดไผ่ล้อม 15.หลวงปู่เพิ่ม อัตตทีโป วัดป้อมแก้ว 16.หลวงปู่ทอง โสณัตตโร วัดจักรวรรดิ์ฯ 17.หลวงปู่มงคล วิโรจโน วัดประยูรวงศาวาง 18.หลวงปู่กอง จันทวังโส วัดสระมณฑล 19.หลวงปู่หวล ภูริภัทโธ วัดพุทไธสวรรค์ 20.หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโร วัดกระโจมทอง 21.หลวงปู่เจ้าคุณไวย์ วัดพนัญเชิง 22.หลวงปู่พวง วัดป่าปูลูสันติวัฒนา 23.ชนวนกริ่ง ครูบาเผือก ฐิตเมโธ 24.ชนวนกริ่งไจยะเบงชร หลวงปู่ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง วัดทุ่งปุย 25.ชนวนพระกริ่งพระเทพวิทยาคม หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ 26.ชนวนพระกริ่งฉลองอายุ 7 รอบ หลวงปู่รอด ฐิตวิริโย 27.ชนวนหล่อองค์พระปฐมเงินวัดพุทธไธสวรรค์และชนวนอื่นๆ อีกมากมาย. โดยถือฤกษ์มงคลในการเททองหล่อในวันเสาร์ ที่ 5 มีนาคม โดยหลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ ทำการปลุกเสกในพิธีมหาล้านนาภิเษกณ. พระวิหารลายคำ หน้าพระพุทธสิหิงค์มีพระเถระทั่วจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือร่วมอธิษฐานจิตและเป็นงานครั้งสุดท้ายของหลวงปู่ครูบาเผือก พระอริยเจ้าแห่งวัดไชยสถานเชียงใหม่ร่วมปลุกเสก ก่อนท่านมรณะภาพ และพระกริ่งทุกองค์ใต้ฐานบรรจุอิฐจากสถูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมืองหางประเทศพม่า และจารอักขระด้วยมือของหลวงตาม้า โดยใช้เหล็กจารของหลวงปู่ดู่ วัตถุประสงค์ในการสร้าง 1. เพื่อนำปัจจัยสร้างรูปหล่อครูบาเผือก ฐิตเมโธ ขนาดเท่าองค์จริง 2.เพื่อสมทบทุนในการสร้างที่พำนักพระภิกษุสงฆ์สามเณรชา วเขาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 3.เพื่อ สมทบทุนในการสร้างพระเจดีย์ ในจังหวัดเชียงราย พระกริ่ง " นเรศวร " นี้จัดสร้างขึ้นด้วยความบริสุทธิ์และความตั้งใจที่จะบูชาคุณแผ่นดินและครูบา อาจารย์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน พระคาถาบูชาองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า นะเรศ จุติ สิทธิการะณัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธาย
     
  9. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วัตถุมงคลรุ่นนี้ก็มีชนวนทั้งโลหะของพระกริ่ง นเรศวรอยุ่ด้วย คุณมารุตพงศ์ ดอกแดง บริจาดรวมบุญผสมสร้างสมเด็จองค์ปฐมของหลวงพ่อหนุนและได้ให้ผงอิฐมาด้วย
    ได้นำชนวนมาสร้างรุ่นนี้ด้วยครับ ส่วนผงอิฐได้มา 2 ที่ จากคุณมารุตพงศ์ ดอกแดงและทางศิษย์หลวงตาม้าครับ
     
  10. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ธาตุกายสิทธิ์ แร่โคตรเศรษฐี

    พอดีเวลาบ่ายของวันหนึ่งประมาณเกือบสองโมงเศษ ได้มีแม่ชีเดินเข้ามาในสำนัก ข้าพเจ้ามองดูรู้ว่าแม่ชีที่เดินเข้ามาในสำนักนี้ คือแม่ชีที่ข้าพเจ้าเชิญให้ออกจากสำนักนี้ไปนานแล้ว แม่ชีนั่งลงกราบข้าพเจ้าพูดพร้อมกับหยิบห่อกระดาษในกระเป๋าหิ้วให้ข้าพเจ้าดู
    เธอเล่าต่อไปว่า"ของสิ่งนี้มีคนเขาฝากมาให้คุณแม่เพื่อสร้างพระมหาวิหาร"
    ข้าพเจ้าจึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ฝาก เป็นหญิงหรือชาย"
    แม่ชีเธอตอบขึ้นว่า "เป็นผู้ชายค่ะ"
    ข้าพเจ้าจึงได้ซักถามเธอต่อไปว่า "ไหนเธอลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรมาตั้งแต่ต้น"

    แม่ชีเล่าว่า "ในคืนนั้นดิฉันได้ปฏิบัติอยู่ในถ้ำประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห็นผู้ชายแต่งตัว ทรงเครื่องสวยงามอร่ามแพรวพราว
    ระยับเป็นสีทอง ยืนอยู่ข้างหน้าดิฉัน ชายผู้นั้นได้พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้าจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งตรงนี้ ฉันจะฝากของเธอ เอาไปให้กับแม่ชีปทุมเพื่อร่วมสร้างพระมหาวิหาร ดิฉันรับคำท่าน ท่านก็หายวับไป พอรุ่งเช้าดิฉันจัดแจงแต่งขันธ์ห้า พอได้เวลาที่ท่านสั่ง ดิฉันได้ไปนั่งตามเดิมพร้อมเครื่องบูชาขันธ์ห้า ดิฉันนั่งสมาธิไปจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกจากสมาธิพอลืมตาขึ้นก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันรู้ทันทีว่าของที่วางนี้เป็นของที่ท่านฝากให้คุณแม่ ดิฉันจึงนำมา เพราะตรงที่ดิฉันนั่งปฏิบัตินั้นฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไรมาก่อน ดิฉันนั่งปฏิบัติมาตั้งสองเดือนกว่าแล้วค่ะ ฉันไม่เห็นมีอะไรเลย "

    ข้าพเจ้าบอกให้แม่ชีแก้ห่อดูของ ข้าพเจ้าเห็นของที่ห่อมามองดูเหมือนก้อนหินที่ที่ขรุขระและมีรอยถูกตัดไป รอยที่ตัดมีแสงไม่เหมือนตะกั่ว ตะกั่วไม่มีแสงจึงทำความแปลกให้ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจึงถามแม่ชีว่า "ของนี้ทำไมจึงมีรอยถูกตัดออกไป "
    เมื่อแม่ชีได้ฟังข้าพเจ้าถามขึ้น แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดี
    เธอตอบขึ้นว่า "ดิฉันได้ของแล้วห่อของ รีบเดินทางตั้งใจจะนำของมาให้คุณแม่ตามคำสั่งของท่าน เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางได้พบกับชายคนหนึ่งเขาทำงานอยู่แถวนั้นเขาขอดู เขาเห็นฉันหิ้วหนักมาก ฉันจึงให้เขาดู แล้วเขาขอฉัน ฉันจึงให้เขาค่ะ ดิฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไร ของที่เขาขอตัดไปก็นิดเดียวเอง"

    ในที่สุดเธอลาจากไป ข้าพเจ้าได้ให้ปัจจัยเป็นค่าเดินทางกับเธอ ข้าพเจ้ารับของก้อนโคตรเศรษฐีใส่พานมีผ้าขาวปูรองรับ มีดอกมะลิบูชาตั้งไว้ที่หน้าหน้าหลวงปู่ปาน
    ครั้นพอตกกลางคืน ในเวลาเช้ามืดของคืนวันเดียวกันกับวันที่รับของ ในเวลาตอนตีห้าครึ่งพากันออกจากพระกรรมฐาน เพื่ออุทิศส่วนกุศล
    ทำอย่างนี้เป็นประจำตลอดมา เมื่อพากันอุทิศส่วนกุศลจบลง ข้าพเจ้านั่งอยู่ในกลด เห็นว่าเสร็จกิจแล้วจึงหยิบยานัตถุ์ขึ้นมาทำท่าจะนัดยา มุ้งกลดของข้าพเจ้าบางมาก ในทันใดมีความรู้สึกว่ามีคนมายืนใกล้ๆกลดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ชำเลืองตาดูเห็นคนมายืนอยู่จริงๆ
    ท่านแต่งตัวสวยงาม ยืนชะโงกดูของที่ได้รับมาจากแม่ชีเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง ท่าที่ท่านยืนคือขาซ้ายเยื้องไปอยู่หน้า ขาขวาลดลงมาหลัง
    ยืนชะโงกดูของในพานเอามือไพล่หลัง ขาใหญ่มาก ข้าพเจ้าชำเลืองดูเห็นแต่ขา ส่วนหัวเข่ามองไม่เห็นเพราะขาของท่านยาว ไม่สามารถจะเห็นเข่าได้ข้าพเจ้านึกรู้ได้ทันทีว่า ท่านคงตามมาดูของ
    ข้าพเจ้ายกมือขึ้นพนมและพูดกับท่านว่า "ท่านผู้เจริญที่เคารพ ขณะนี้ของที่ท่านส่งมาให้ดิฉัน ดิฉันได้รับแล้วและได้บูชาไว้กับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีที่ท่านได้ชะโงกดู อยู่นั่นแหละค่ะ ต่อแต่นี้เป็นต้นไปทั้งท่านและดิฉัน จะได้ร่วมสร้างพระมหาวิหารแล้วในเวลา
    อันใกล้นี้ ขอท่านจงปกปักรักษาย่าให้ใครมาแย่งชิงเอาไปนะคะ สำนักนี้มีแต่ผู้หญิงท่านผู้มีตาทิพย์จงช่วยสอดส่องดูแลเอาไว้ให้ดี และขอท่านจงโมทนาในความตั้งใจดีต่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ด้วยเทอญ"
    ท่านโมทนาเมื่อข้าพเจ้าพูดจบลงท่านหายวับไปฉับพลัน

    นี่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาเปล่า มิได้ห็นด้วยสมาธิ ที่เขียนมาตรงๆอย่างนี้มิได้โอ้อวด ด้วยประการใด เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจริงๆ
    เมื่อผู้ใดอ่านท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน สำหรับข้าพเจ้าขอเอาศีลเป็นพยานเท่านั้น
    ข้าพเจ้า วางของลงที่โต๊ะนั่งของหลวงพ่อนั่ง ข้าพเจ้าก้มลงกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "นี่โยม โยมชีจะเอาของมาทำฉันหรือ เห็นเป็นมันวาววับโยม"
    ท่าน พูดท่านยิ้มมองดูของ ท่านถามข้าพเจ้าว่า "นั่นอะไร"
    ข้าพเจ้า ตอบท่านว่า "ไม่ทราบว่าเป็นอะไรค่ะ โยมปฏิบัติธรรมได้ของสิ่งนี้มาค่ะ หลวงพ่อ โยมนำมาให้หลวงพ่อดู"
    หลวง พ่อมองดูแล้วพูดว่า "ดีนะโยม ของนี้เป็นของพันปีมีค่ามหาศาล"
    "โยมอยากทราบว่าเป็นอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อพูดว่า " ดี.. เอาไปให้ด็อกเตอร์เขาดูบ้างซิ เผื่อเขาจะรู้บ้าง"
    ข้าพเจ้าเห็นคนเข้ามาถวายสังฆทานกันมาก จึงถอยออกมาเดินไปหาด็อกเตอร์เอาของให้ดู
    ด็อกเตอร์พูดว่า "หลวงพ่อว่าเป็นอะไร ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ"
    ข้าพเจ้าลาด็อกเตอร์ออกมานั่ง เมื่อข้าพเจ้านั่งลง หลวงพ่อได้เมตตาสั่งข้าพเจ้าขึ้นว่า
    "โยมที่เอาของให้ดู นั่นนะ ของโยมพันปีเก็บไว้ให้ดีอย่าไปทิ้งเสียล่ะ มีค่ามหาศาล"
    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับปากช่อง
     
  11. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ธาตุกายสิทธิ์ แร่โคตรเศรษฐี

    พอดีเวลาบ่ายของวันหนึ่งประมาณเกือบสองโมงเศษ ได้มีแม่ชีเดินเข้ามาในสำนัก ข้าพเจ้ามองดูรู้ว่าแม่ชีที่เดินเข้ามาในสำนักนี้ คือแม่ชีที่ข้าพเจ้าเชิญให้ออกจากสำนักนี้ไปนานแล้ว แม่ชีนั่งลงกราบข้าพเจ้าพูดพร้อมกับหยิบห่อกระดาษในกระเป๋าหิ้วให้ข้าพเจ้าดู
    เธอเล่าต่อไปว่า"ของสิ่งนี้มีคนเขาฝากมาให้คุณแม่เพื่อสร้างพระมหาวิหาร"
    ข้าพเจ้าจึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ฝาก เป็นหญิงหรือชาย"
    แม่ชีเธอตอบขึ้นว่า "เป็นผู้ชายค่ะ"
    ข้าพเจ้าจึงได้ซักถามเธอต่อไปว่า "ไหนเธอลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรมาตั้งแต่ต้น"

    แม่ชีเล่าว่า "ในคืนนั้นดิฉันได้ปฏิบัติอยู่ในถ้ำประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห็นผู้ชายแต่งตัว ทรงเครื่องสวยงามอร่ามแพรวพราว
    ระยับเป็นสีทอง ยืนอยู่ข้างหน้าดิฉัน ชายผู้นั้นได้พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้าจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งตรงนี้ ฉันจะฝากของเธอ เอาไปให้กับแม่ชีปทุมเพื่อร่วมสร้างพระมหาวิหาร ดิฉันรับคำท่าน ท่านก็หายวับไป พอรุ่งเช้าดิฉันจัดแจงแต่งขันธ์ห้า พอได้เวลาที่ท่านสั่ง ดิฉันได้ไปนั่งตามเดิมพร้อมเครื่องบูชาขันธ์ห้า ดิฉันนั่งสมาธิไปจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกจากสมาธิพอลืมตาขึ้นก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันรู้ทันทีว่าของที่วางนี้เป็นของที่ท่านฝากให้คุณแม่ ดิฉันจึงนำมา เพราะตรงที่ดิฉันนั่งปฏิบัตินั้นฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไรมาก่อน ดิฉันนั่งปฏิบัติมาตั้งสองเดือนกว่าแล้วค่ะ ฉันไม่เห็นมีอะไรเลย "

    ข้าพเจ้าบอกให้แม่ชีแก้ห่อดูของ ข้าพเจ้าเห็นของที่ห่อมามองดูเหมือนก้อนหินที่ที่ขรุขระและมีรอยถูกตัดไป รอยที่ตัดมีแสงไม่เหมือนตะกั่ว ตะกั่วไม่มีแสงจึงทำความแปลกให้ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจึงถามแม่ชีว่า "ของนี้ทำไมจึงมีรอยถูกตัดออกไป "
    เมื่อแม่ชีได้ฟังข้าพเจ้าถามขึ้น แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดี
    เธอตอบขึ้นว่า "ดิฉันได้ของแล้วห่อของ รีบเดินทางตั้งใจจะนำของมาให้คุณแม่ตามคำสั่งของท่าน เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางได้พบกับชายคนหนึ่งเขาทำงานอยู่แถวนั้นเขาขอดู เขาเห็นฉันหิ้วหนักมาก ฉันจึงให้เขาดู แล้วเขาขอฉัน ฉันจึงให้เขาค่ะ ดิฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไร ของที่เขาขอตัดไปก็นิดเดียวเอง"

    ในที่สุดเธอลาจากไป ข้าพเจ้าได้ให้ปัจจัยเป็นค่าเดินทางกับเธอ ข้าพเจ้ารับของก้อนโคตรเศรษฐีใส่พานมีผ้าขาวปูรองรับ มีดอกมะลิบูชาตั้งไว้ที่หน้าหน้าหลวงปู่ปาน
    ครั้นพอตกกลางคืน ในเวลาเช้ามืดของคืนวันเดียวกันกับวันที่รับของ ในเวลาตอนตีห้าครึ่งพากันออกจากพระกรรมฐาน เพื่ออุทิศส่วนกุศล
    ทำอย่างนี้เป็นประจำตลอดมา เมื่อพากันอุทิศส่วนกุศลจบลง ข้าพเจ้านั่งอยู่ในกลด เห็นว่าเสร็จกิจแล้วจึงหยิบยานัตถุ์ขึ้นมาทำท่าจะนัดยา มุ้งกลดของข้าพเจ้าบางมาก ในทันใดมีความรู้สึกว่ามีคนมายืนใกล้ๆกลดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ชำเลืองตาดูเห็นคนมายืนอยู่จริงๆ
    ท่านแต่งตัวสวยงาม ยืนชะโงกดูของที่ได้รับมาจากแม่ชีเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง ท่าที่ท่านยืนคือขาซ้ายเยื้องไปอยู่หน้า ขาขวาลดลงมาหลัง
    ยืนชะโงกดูของในพานเอามือไพล่หลัง ขาใหญ่มาก ข้าพเจ้าชำเลืองดูเห็นแต่ขา ส่วนหัวเข่ามองไม่เห็นเพราะขาของท่านยาว ไม่สามารถจะเห็นเข่าได้ข้าพเจ้านึกรู้ได้ทันทีว่า ท่านคงตามมาดูของ
    ข้าพเจ้ายกมือขึ้นพนมและพูดกับท่านว่า "ท่านผู้เจริญที่เคารพ ขณะนี้ของที่ท่านส่งมาให้ดิฉัน ดิฉันได้รับแล้วและได้บูชาไว้กับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีที่ท่านได้ชะโงกดู อยู่นั่นแหละค่ะ ต่อแต่นี้เป็นต้นไปทั้งท่านและดิฉัน จะได้ร่วมสร้างพระมหาวิหารแล้วในเวลา
    อันใกล้นี้ ขอท่านจงปกปักรักษาย่าให้ใครมาแย่งชิงเอาไปนะคะ สำนักนี้มีแต่ผู้หญิงท่านผู้มีตาทิพย์จงช่วยสอดส่องดูแลเอาไว้ให้ดี และขอท่านจงโมทนาในความตั้งใจดีต่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ด้วยเทอญ"
    ท่านโมทนาเมื่อข้าพเจ้าพูดจบลงท่านหายวับไปฉับพลัน

    นี่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาเปล่า มิได้ห็นด้วยสมาธิ ที่เขียนมาตรงๆอย่างนี้มิได้โอ้อวด ด้วยประการใด เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจริงๆ
    เมื่อผู้ใดอ่านท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน สำหรับข้าพเจ้าขอเอาศีลเป็นพยานเท่านั้น
    ข้าพเจ้า วางของลงที่โต๊ะนั่งของหลวงพ่อนั่ง ข้าพเจ้าก้มลงกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "นี่โยม โยมชีจะเอาของมาทำฉันหรือ เห็นเป็นมันวาววับโยม"
    ท่าน พูดท่านยิ้มมองดูของ ท่านถามข้าพเจ้าว่า "นั่นอะไร"
    ข้าพเจ้า ตอบท่านว่า "ไม่ทราบว่าเป็นอะไรค่ะ โยมปฏิบัติธรรมได้ของสิ่งนี้มาค่ะ หลวงพ่อ โยมนำมาให้หลวงพ่อดู"
    หลวง พ่อมองดูแล้วพูดว่า "ดีนะโยม ของนี้เป็นของพันปีมีค่ามหาศาล"
    "โยมอยากทราบว่าเป็นอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อพูดว่า " ดี.. เอาไปให้ด็อกเตอร์เขาดูบ้างซิ เผื่อเขาจะรู้บ้าง"
    ข้าพเจ้าเห็นคนเข้ามาถวายสังฆทานกันมาก จึงถอยออกมาเดินไปหาด็อกเตอร์เอาของให้ดู
    ด็อกเตอร์พูดว่า "หลวงพ่อว่าเป็นอะไร ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ"
    ข้าพเจ้าลาด็อกเตอร์ออกมานั่ง เมื่อข้าพเจ้านั่งลง หลวงพ่อได้เมตตาสั่งข้าพเจ้าขึ้นว่า
    "โยมที่เอาของให้ดู นั่นนะ ของโยมพันปีเก็บไว้ให้ดีอย่าไปทิ้งเสียล่ะ มีค่ามหาศาล"
    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อกลับปากช่อง
     
  12. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ขั้นตอนการสร้างพระโคตรเศรษฐี

    วันหนึ่งนั่งสวดมนต์ พอก้มกราบต้องฟุบลงไปชั่วโมง ช่วงนี้เสวยกรรมหนัก นอนคิดมาคิดไปนึกถึงของ จะเอาไปทำอะไรดี ของสิ่งนี้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเลย คิดว่าจะทำอะไรดี ใจก็นึกถึงท้าวธตรฐว่า "จะให้ของ จะให้ช่วย น่าจะให้ของที่รู้จัก ถ้าเป็นทองคำเราจะได้รู้ นี่เอาก้อนอะไรมาให้ก็ไม่รู้มาให้เรา เรายิ่งโง่ๆอยู่ จะนำไปซื้อขายก็ไม่ได้กลัวเขาไม่รู้จัก เมื่อไม่ได้สร้างก็ไม่ต้องสร้าง ตัดขันธ์ห้าดีกว่า"
    จึงได้วางก้อนของไว้ข้างตัว พิจารณาขันธ์ห้าย้อนไปย้อนมา จับพุทโธบ้าง จับอานาปานุสสติบ้าง นานพอสมควร

    ทันใดก็ได้ยินเสียงข้างหูขวาว่า "ในห่อของนั้นมี ค่ามหาศาลทำไมไม่รีบจัดการขึ้น"
    เสียงพูดนั้นดูหนักหน่วงเหมือนดุ ท่านคงจะเคืองข้าพเจ้า ที่ต่อว่าท่านว่าน่าจะเป็นทองคำ ให้มาแล้วยังโง่มากนัก ข้าพเจ้าตกใจลุกขึ้น เรียกแม่ชีเล็กเข้ามาหา บอกกับแม่ชีเล็กว่า "แม่จะทดลองของดู แม่ชีช่วยไปตามโยมแช่มมาเดี๋ยวนี้ บอกว่ามีธุระด่วน"
    แม่ชีจึงไปตามโยมแช่มมา ข้าพเจ้าจึงบอกโยมแช่มรีบไปหาตะกั่วมาให้ที ข้าพเจ้าทำพิธีตัดของก่อน

    ก่อนตัดก็กราบขอขมาขอทดลอง จึงตัดออกมาก้อนนิดหนึ่งพอสมควร ลองเอาตะกั่วเคี่ยวไฟก่อน ปรากฎว่าตะกั่วละลายเร็ว เทไว้ต่างหากแล้วจึงนำของที่ได้มาต้มเคี่ยวใส่กระทะหลอมดู สิ่งของนี้กว่าจะละลายนานมาก พอละลายออกยิ่งมีรัศมีแวววาวระยิบระยับหลายสี หลายแสง อย่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
    เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงน้อมจิตถึงท่านเจ้าของขึ้นว่า "ท่านจะให้ทำเป็นอะไรขอให้บอกมา"
    ข้าพเจ้ามีความรู้สึกขึ้นทันทีว่า "ไปทำพระ"
    พอดีคุณสว่างมาจากจันทบุรี จึงได้บอกคุณสว่างขับรถไปกรุงเทพฯ เมื่อถึงกรุงเทพฯให้หาร้านที่เขาพิมพ์พระ เมื่อติดต่อทำพิมพ์พระ ก็เข้าโรงรีดของ

    ในระหว่างที่รีดของอยู่นั้น แสงรัศมีเกิดวาววับแสงสีเกิดขึ้นหลายสี เป็นสิ่งสะดุดใจแก่ผู้รีด
    ผู้รีดคนหนึ่งพูดกับเพื่อนว่า "เฮ้ย นี่ไม่ใช่ตะกั่วนี่หว่า .....เป็นอะไรวะ"
    เพื่อนอีกคนตอบ "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน"
    ข้าพเจ้ายืนดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดข้าพเจ้าจึงนิ่งเสีย หันหน้าไปทางอื่นเพื่อให้เรื่องจบ เมื่อรีดเสร็จแล้วจึงนำของไปเข้าเครื่องพิมพ์ ข้าพเจ้ากราบอารารธนาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อสมเด็จโต พรหมรังสี และครูบาอาจารย์ทั้งหมด ท่านพ่อปู่พระอินทร์ ท่านแม่ย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท่านท้าวธตรฐและเทวดาทั้งหมด ขอเชิญท่านมาร่วมในพิธีสร้างพระมหาวิหารโคตรเศรษฐีของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ด้วยเถิด ข้าพเจ้ายืนคุมจนกระทั่งเขาทำเสร็จ ได้พระเครื่องจำนวน 285 องค์ ข้าพเจ้าตัดเอามาเพียงเล็กน้อย ไม่กล้าทำมาก เกรงว่าจะไม่มีใครศรัทธาเพราะเป็นเพียงแม่ชี หาคนศรัทธาน้อย

    เมื่อทำเสร็จ ข้าพเจ้านำพระเครื่อง 285 องค์นี้ ไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (ขอข้ามไปบ้างนะครับ)
    เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วเหลือแต่คณะของข้าพเจ้า หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้าถามว่า "โยมชีมีอะไรจะคุยกับฉันหรือ"
    ข้าพเจ้าตอบว่า "มีเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อพูดขึ้นว่า "นั่นเอาอะไรมาด้วยล่ะ เอาผ้าคลุมไว้นั่นน่ะ"
    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงตอบว่า "คือโยมเคยนำของที่ได้จากการปฏิบัติไปให้หลวงพ่อดูครั้งหนึ่งที่บ้านสายลม แล้วเจ้าค่ะ ครั้นต่อมาหลังจากนั้นโยมได้จัดทำเป็นรูปพระขึ้น"
    หลวงพ่อว่า "เออ..ว่ามา"
    ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "พระของโยมทำขึ้นครั้งนี้ไม่เหมือนใคร ทำเป็นสองหน้า หน้าหนึ่งทำเป็นพระทุ่งเศรษฐี อีกหน้าหนึ่งทำเป็นพระศิวลีค่ะหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อเมื่อฟังข้าพเจ้าพูดจบลง หลวงพ่อได้เอ่ยขึ้นว่า"ไหนว่าไม่เหมือนของใคร ยกพานมาให้ฉันดูหน่อยซิ"
    ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบว่า "โยมทำครั้งนี้ 285 องค์เจ้าค่ะหลวงพ่อ"
    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อรับพานพระแล้ว หลวงพ่อได้หยิบพระดู ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และได้กล่าวขึ้นว่า "เออ..เข้าใจ..เข้าใจ ข้างหนี่งเป็นทุ่งเศรษฐี ข้างหนึ่งพระศิวลี เข้าใจจริงๆ เข้าใจจริงๆโยมนี่"
    "นี่นะโยม พระของโยมนี่ ถ้าผู้ใดได้ไปบูชา จะเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี จนไม่เป็น ดีมากนะโยมนี่ เป็นคนมีปัญญา เอาล่ะนะ ฉันจะบอกให้ พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่มีรูปพระเลย ของๆโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ในตัวเขาแล้ว ให้ใครเอาไปทำอะไรๆ ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของๆโยมนี้ใช้ได้ทุกอย่างเลยครบหมด เนื้อเกลี้ยงๆก็ขลัง"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามต่อขึ้นว่า "เมื่อขณะที่ทำพระใครคุมอยู่"
    ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "โยมขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด เทวดาทั้งหมด โยมคุมอยู่ด้วยเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
    พระเดชพระคุณได้กล่าวขึ้น "เออ มันฉลาดอย่างนี้ เอาล่ะนะ ฉันจะถามโยมว่า ก่อนที่โยมจะได้ของสิ่งนี้มา โยมทำอย่างไรถึงได้ของ"

    ข้าพเจ้ากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นด้วยความเคารพยิ่งขึ้นว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ของโยม โยมมีความเคารพเป็นที่สุด โยมขอกราบเรียนด้วยความจริงทุกประการด้วยเคารพเจ้าค่ะ หลังจากออกพรรษาในปี 2530 โยมได้มากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เรื่องคุณวิรัช มั่งเรืองสกุล ได้ถวายที่ดินให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมในปีนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อนุญาตให้โยมรับที่ดินไว้ จึงได้จัดการก่อสร้าง มีกุฏิ 4 หลัง ไว้เป็นที่พักสำหรับแม่ชีที่อยู่ประจำ มีห้องน้ำห้องส้วมเสร็จ ได้ต่อศาลาไว้ปฏิบัติธรรม ทำวัตรเช้า-เย็น 1 หลัง ห้องน้ำห้องส้วม โรงอาหาร เครื่องต่อใช้ไม่ป่า ต้นกระถินณรงค์เป็นเสา ต่อมาปลวกกินจนเสาขาด หลังคาทั้งหมดมุงด้วยหญ้าคาผุ เวลาฝนตกรั่วต้องเอาผ้าพลาสติกคอยกันกั้นไว้ ฝาศาลาสวดมนต์ใช้ผ้าเหลืองจีวรพระที่ท่านไม่ใช้ ขอมากั้นบังฝน พอลมตีมาลำบากมากทุลักทุเล พระพุทธรูปมี 28 พระองค์ มีโยมกรุงเทพฯ เขามาถวายไว้บูชาอีก 1 องค์ รูปเหมือนหลวงปู่ปานอีก 1 องค์ รูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก 1 องค์ รวมทั้งหมด 31 องค์ค่ะ"
    โยมเห็นพระพุทธรูปเปียกฝน โยมเกิดสังเวชใจมากที่สุด โยมคิดขึ้นในตอนนั้นว่า จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ตั้งแต่ปฏิบัติมายังไม่เคยจะลองทำประโยชน์อะไรให้กับพระศาสนาเด่นชัดขึ้นมา เลย ในคืนนั้นเอง โยมตั้งใจเต็มกำลังการปฏิบัติจะได้ขั้นไหน ตอนไหนก็ตามจะไม่คำนึงถึง ตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยว เข้านั่งสมาธิแล้ว เจริญเมตตาไปในทิศทั้งปวง ทั่วโลกธาตุ ถึงหมู่สัตว์ทั้งหลายไม่มีที่ประมาณ จงถึงความสุขด้วยพระพุทธานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระธรรมานุภาพ จงถึงความสุขด้วยพระสังฆานุภาพ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแต่อดีดถึงปัจจุบัน ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาโดยทั่วกัน

    ตั้งจิตระลึกนึกน้อมถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามอยู่ขณะนี้ นึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อด้วย และสมเด็จโตพรหมรังสี และเทวดาทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ มีท่านท้าวธตรฐ คือท่านท้าวธตรฐองค์นี้ เมื่อสมัย พ.ศ. 2514 ท่านมาปรากฏให้โยมเห็นค่ะหลวงพ่อ ท่านบอกชื่อท่านให้โยมรู้จัก ท่านชื่อว่าท่านท้าวธตรฐ ถ้าโยมมีอะไรจะให้ท่านช่วยเหลือ ท่านให้โยมนึกถึงชื่อท่าน ตอนก่อนโยมไม่เชื่อเท่าไรนัก ครั้นโยมได้มาพบหลวงพ่อได้ฟังเทปสมาทานหลวงพ่อ และได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ โยมจึงได้เข้าใจ โยมจึงนึกถึงท่านให้ท่านมาช่วยในกิจของพระศาสนา
    โยมเอาจิตน้อมถึงทานบารมี นึกถึงทานที่ให้แล้ว ศีลบารมี นึกถึงศีลที่ได้สมาทานจะรักษาไว้ให้ดี ไม่ทำลายศีลจนตลอดชีวิต ปัญญาบารมี จะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งแห่งขันธ์ห้า ให้เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ เนกขัมบารมี การถือบวชของข้าพเจ้าบวชครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำว่าสึกจะไม่มี จะช่วยกิจของพระศาสนาตลอดชีวิต
    วิริยะ บารมี จะขยันทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพาน
    สัจจะ บารมี ข้าพเจ้าขอตั้งจิตจะพูดอย่างไหนทำอย่างนั้นตลอดชีวิต
    อธิษฐานบารมี คำอธิษฐานของข้าพเจ้าที่ตั้งใจมั่นคงครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถอยออกจนตลอดชีวิต
    ขันติบารมี ข้าพเจ้าจะอดทนในสิ่งจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทุกประการ
    เมตตาบารมี ข้าพเจ้าขอทรงเมตตาตลอดทั่วโลกธาตุ แม้แต่ผู้นั้นจะคิดทำร้ายข้าพเจ้าก็ตาม
    อุเบกขา บารมี ข้าพเจ้าจะวางเฉยด้วยประการทั้งปวง จะทำสติให้รู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะดีหรือร้ายก็ตามจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะทำสติให้รู้ว่านั่นคืออนิจจัง นั่นคืออนัตตา จะทรงกำหนดจิตไม่คลอนแคลนไว้ด้วยความเคารพตลอดชีวิต บารมี 10 ทั้งหมดที่บำเพ็ญมาเพื่อความหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิด

    จงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเวลานี้ ข้าพเจ้ามีทุกข์เดือดร้อน
    แต่ทุกข์ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ไม่เหมือนผู้ครองเรือน ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังได้รับความทุกข์ เพราะศาลาที่ประดิษฐานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและที่ปฏิบัติธรรมของ ข้าพเจ้าชำรุดทรุดโทรม ลมมาก็ต้องหาไม้มาค้ำไว้
    ถ้าการขอครั้งนี้เห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่หมดตัณหา และเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ต้องช่วย
    ถ้าการขอของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายและท้าวธตรฐ จงช่วยข้าพเจ้าโดยด่วนด้วยเจ้าค่ะ
    ครั้นต่อมาโยมเข้านั่งสมาธิและเข้าฌานเต็มกำลัง จากฌานที่ 1 ขึ้นไปถึงฌานที่ 4 ถอยรองลงมาจนถึงฌานที่ 1 หยุดอยู่แค่อุปจารสมาธิ แล้วขอดังเช่นเดิม เข้าฌานต่อไปจนถึงที่สุด แล้วถอยลงมาแค่อุปจารสมาธิ แล้วขออีก ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 หรือ 20 วัน โยมไม่ได้นับ ถือว่าท่านให้ก็เอา ท่านไม่ให้ก็แสดงว่าโยมยังดีไม่พอ

    หลวงพ่อเมื่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่าเรื่องให่ท่านฟังจบลง ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นว่า "โยมรู้ไหมว่า ของที่โยมได้มานั้นเป็นของใคร ฉันจะบอกให้นะโยม ของที่โยมได้มานั้นเป็นของๆท่านผู้สำเร็จท่านทำไว้แล้ว ท่านก็ฝากกับเทวดา เมื่อท่านฝากกับเทวดา ท่านสั่งกับเทวดาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีเห็นสมควรให้ ก็ขอเทวดาจงให้ของสิ่งนี้เถิด นี่โยมจึงได้มายังไงล่ะโยม"

    ข้าพเจ้า กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "ช่วยเมตตาปลุกเสกพระเครื่องของโยม เพื่อเป็นศิริมงคลด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
    พระเดช พระคุณหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า "เสกทำไมอีกเล่าโยม ของเขาดีอยู่แล้วถ้าโยมจะให้ฉันปลุกเสกละก็เอาอย่างนี้ดีกว่า โยมนั่นแหละไปทำขึ้น เพราะอะไรๆโยมก็ทำได้หมดแล้ว จะเอาอะไรอีกเล่า "
    ข้าพเจ้ากราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นว่า "จะต้องใช้มนต์บทไหนสวดเล่าค่ะหลวงพ่อ"
    หลวง พ่อพูดแกมดุขึ้นว่า "ก็อีตอนได้ของมานั่นแหละสวดบทไหนเล่า"

    ข้าพเจ้ากราบขอขมาหลวงพ่อ จึงได้เข้าใจว่าใช้พลังจิตนี่เอง ไม่โดนดุเอาความโง่ออกไปปัญญาไม่เกิด หมดเวลาหลวงพ่อกลับเข้าที่พัก ท่านโอเดินย้อนกลับมาหาข้าพเจ้า
    ท่านพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า "โยมชีเอาพระของโยมเก็บไว้ให้อาตมาสัก 10 องค์นะ" ข้าพเจ้าตอบ "
    ได้ค่ะ แต่พระของโยมไม่ใช่ราคาเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะ เพราะโยมจะต้องการสร้างพระมหาวิหาร ต้องให้บูชาองค์ละ 10,000 บาทนะคะท่าน"
    เมื่อท่านโอได้ฟังข้าพเจ้าบอกราคา ท่านโอจึงได้พูดขึ้นว่า "งั้นฉันจอง 2 องค์นะ"
    เวลานี้ท่านโอยังมีชีวิตอยู่ที่วิหาร 100 เมตร ข้าพเจ้าขอย้อนรำลึกนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ทั้งหลาย หลวงพ่อรู้หมด หลวงพ่อรู้แจ้ง บริสุทธิ์โดยไม่ต้องสงสัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระที่ควรกราบไหว้บูชา พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก
     
  13. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    แร่เหล็กไหลเปียก
    เหล็กไหลเปียกเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หายากและไม่ค่อยพบเห็น เหล็กไหลเปียกจะมีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว คือมีผิวพรรณวรรณะเป็นสีเงินยวง แต่สามารถกลับกลอกสีผิวตัวเองได้จากขาวเป็นดำและจากดำเป็นขาว คล้ายโลหะจำพวกเงินที่เมื่อโดนอากาศแล้วจะทำให้สีผิวเปลี่ยน แต่เหล็กไหล เปียกยิ่งอัศจรรย์กว่านั้นเพราะโลหะจำพวกเงินเมื่อเปลี่ยนสีผิวจาก ขาวเงินยวงเป็นสีออกดำแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม ได้เอง ต่างกับเหล็กไหลเปียกที่สามารถเปลี่ยนสีผิวตนเองให้กลับไป กลับมาได้ เหล็กไหลเปียกหรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เหล็กเปียก นี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์คือสามารถเรียกหยดน้ำในอากาศมารวมตัวกันได้ ไม่ว่าเหล็กเปียกจะอยู่ที่ไหนก็จะมีความชุ่มชื้นที่นั่นดุจเดียว กับเหล็กไหลน้ำ เหล็กเปียกมักพบเป็นก้อน มีสัณฐานดั่งก้อนแร่ใต้ดิน

    เท่าที่บันทึกไว้ ครูบาโพนสะเม็กซึ่งเป็นพระอริยเจ้าทางฝังลาวเป็น ผู้ที่ค้นพบเหล็กไหลเปียกจากการนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นแร่กายสิทธิ์ ระเภทนี้ ท่านจึงได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาหลอมแล้วนำมาเคี่ยวด้วยวิชา อาคมและได้นำเหล็กเปียกมารีดเป็นแผ่น หลังจากนั้นนำไปบรรจุไว้ ที่ยอดฉัตรของพระธาตุพนม ด้วยเชื่อว่ามีอานุภาพทางป้องกันฟ้าผ่า อัคคีภัยและบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขได้ฤทธิ์อำนาจจากเหล็กไหลเปียกทำให้หัวไม้ขีดยุ่ย ดินปืนเปียก ไม่อาจจุดระเบิดหรือติดไฟขึ้นมาได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับฤทธิ์อำนาจของ เหล็กไหลน้ำ และเหล็กไหลชีปะขาว เพียง แต่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ของเหล็กเปียกจะก่อให้เกิดความชื้น ขึ้นทุกครั้ง จะเห็นได้จากการที่พระพุทธรูปบางองค์มีนาออกจาก พระเคืยรซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเกิดขึ้นจากการนำเอาแร่เหล็กเปียกชนิด นี้หล่อหลอมลงไปในเนื้อธาตุที่ใช้ในการสร้าง ทำให้สามารถเรียก ละอองนั้าในอากาศมารวมตัวกันจนกลายเป็นนาอยู่ภายในเคืยรของ พระพุทธรูป เช่น พระพุทธรูปที่วัดนาอู จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ พระพุทธรูปที่วัดตูม จังหวัดอยุธยา เป็นต้น
     
  14. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ขี้เหล็กไหล



    มักจะปรากฏอยู่ในถํ้าหรือบริเวณที่มีเหล็กไหลเหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหลลักษณะเป็นก้อนกลมๆสีออกดำบ้างนํ้าตาลบ้างไม่สามารถยืดได้หดได้แม่เหล็กดูดไม่ติดหากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณทำพิธีกรรมให้ถูกต้องเฉกเช่นวัตถุมงคลที่ถูกปลุกเสกก็จะมีอานุภาพตามที่ประสงค์
     
  15. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เหล็กไหลนาคานับเป็นแร่กายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งเหล็กไหลนาคามีรูปร่างไม่แน่นอนบ้างกลมมนบ้างเรียวยาว มีน้ำหนักเหมือนเหล็ก มีสีเทาอมดำหรือสีเขียวอมดำ ที่น่าแปลกคือ เหล็กไหลนาคาจะมีกระแสแม่เหล็กอ่อนๆ ในตัวเอง เมื่อนำเหล็กไหล นาคาเข้าใกล้เหล็กชิ้นเล็กๆ จะสามารถดูดเหล็กชิ้นเล็กๆติดขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์



    เหล็กไหลนาคาสามารถกักเก็บพลังงานความร้อนแล้วคาย พลังงานดังกล่าวออกมาได้ เมื่อตั้งเหล็กไหลนาคาทิ้งไว้กลางแสง แดดนาน ๆ เหล็กไหลนาคาจะส่งแสงสีเรืองๆ ออกมาและหากเราตั้ง เหล็กไหลนาคาไว้ในที่เย็น ๆ เพียงพักเดียวเท่านั้นตัวเหล็กก็จะเย็นจัด เมื่อสัมผัสจะหนาวเข้าไปจนถึงกระดูก แสดงให้เห็นว่าเหล็กไหลนาคา เป็นเหล็กที่มีความไวต่ออุณหภูมิเป็นอย่างมาก เพราะสามารถดูดซึม ความร้อนและความเย็นได้อย่างรวดเร็วและยังสามารถแผ่พลังงานที่ สะสมออกมาได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

    เหล็กไหลนาคาไม่ใช่เหล็กไหลทรหดตามที่หลายคนเข้าใจกัน เหล็กไหลนาคามักพบในแถบภาคอีสานและภาคเหนือโดยมากพบตาม ริมแม่น้ำโขง จึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือ "ศิลานาคา" เหล็กไหลนาคาเป็นของที่มีคุณหลายด้าน ทั้งเป็นคงกระพัน ป้องกันอันตรายใช้ปรับธาตุในตัวเพื่อรักษาโรค บำบัดความเจ็บป่วย และอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ ทั้งยังสามารถกันเรื่องภูตผีปีศาจและอสรพิษ ทั้งปวงได้เป็นอย่างดี ผู้ที่กำองค์เหล็กชนิดนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้มี สุขภาพดี สามารถทนร้อนและทนหนาวได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
     
  16. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ไม้หินแก่นเหล็ก

    ไม้หินแก่นเหล็กจัดอยู่ในจำพวกเหล็กกายสิทธิ์บางท่านนับถือ ว่าไม้หินแก่นเหล็กเป็น "เหล็กไหลทรงฤทธิ์" ตามตำรากล่าวว่าไม้หิน แก่นเหล็กคือไม้สักหรือไม้ตะเคียนหรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ ใต้ดินโดยไม่เน่าเปีอยจนกระทั้งเวลาผ่านไปยาวนานนับล้านปีจึงกลับกลายสภาพเป็นกึ่งหินกึ่งเหล็กอย่างเช่น คดไม้สัก ซึ่งมีหลาย ๆ ชิ้น ที่แม่เหล็กสามารถดูดติดได้และถือว่าเป็นแร่กายสิทธิ์ที่เข้าจำพวก เหล็กไหลเช่นกัน เนื่องจากภายในไม้หินแก่นเหล็กจะมีตบะบารมีของเทพอสูร ที่มีฤทธิ์อยู่ อำนาจจากไม้หินแก่นเหล็กจึงดีเด่นทางด้านคงกระพัน ด้านมหาอำนาจ และยังมีอำนาจทางสะกดสัตว์ป่าทุกชนิด


    ไม้หินแก่นเหล็ก


    ในสมัยก่อนพรานป่าที่รู้พระเวทย์จะแสวงหาไม้หินแก่นเหล็กมาทำตะขอ สับช้างหรือเป็นเครื่องรางคู่กาย เมื่อร่ายพระเวทย์หรือคาถาปลุก จะทำให้เกิดอำนาจในทางข่มอาถรรพณ์ของป่าและสามารถสะกด สัตว์ใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ไม้หินแก่นเหล็กยังเป็น ธาตุที่มีความเย็นในตัวเองสูงมาก และยังสามารถแผ่พลังทางด้าน รักษาบำบัดได้ดีเช่นกัน จึงเป็นธาตุอัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำ มาอาราธนาแล้วแช่ในน้ำเพื่อทำน้ำมนต์รักษาโรค
     
  17. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    โคตรเหล็กไหลย้อยเป็นเหล็กไหลที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลหยด สามารถกล่าวได้ว่าโคตรเหล็กไหลย้อยนั้นเป็นต้นกำเนิดหรือเป็นโคตรเหล็กไหลของเหล็กไหลหยดก็ได้ โดยมากโคตรเหล็กไหลย้อยจะมีขนาดใหญ่ตั้งแต่กำปั้นขึ้นไปมีทั้งสีดำและสีออกน้ำตาลแดง บางชิ้น เมื่อนำมาขัดจะเงาออกสีเงินยวงอย่างน่าประหลาด ซึ่งถือว่าเป็นของขลังตามธรรมชาติที่อยู่ในประเภทเหล็กไหลเช่นกันโคตรเหล็กไหลย้อย และเหล็กไหลหยดมักพบตามพื้นใต้ดินหรือตามซอกผา และมีเจ้าที่เฝ้าหวงแหนอยู่ จึงต้องทำการพลีขอเสียก่อน

    "โคตรเหล็กไหลย้อย" จะมีลักษณะแปลกตาพอๆ กับโคตร เหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหด คือมีลักษณะเหมือนน้ำตา เทียนไหลทับถมกันบางชิ้นจะเรียบเป็นแผ่นใหญ่มีลักษณะคล้ายงูเลื้อยไปมา อาจารย์บางท่านจึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือบางชิ้นก็เหมือนน้ำตาเทียนที่ละลายแล้วแข็งตัวเป็นเหล็ก จัดเป็นของมีอาถรรพณ์ที่พวกยักษ์ป่าและอสูรต่างนับถือกันว่าเป็นกายสิทธิ์จึงมักติดตามเฝ้าหวงแหน ดังนั้นผู้ที่จะเอาโคตรเหล็กไหลชนิดนี้ได้จึงต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมี นอกจากนยังต้องบวงสรวงทำความพอใจให้แก่ดวงจิตวิญญาณที่เฝ้าดูแลอยู่ด้วย โคตรเหล็กไหลย้อยบางชิ้นมีความน่าอัศจรรย์มาก


    เพราะสามารถทอสีเป็นสีรุ้งหรือทอแสงออกเป็นสีทองก็มี ชาวบ้านจึงมักเรียกว่า "ทองคำดำ" ครูบาอาจารย์ที่มีฌานมีญาณได้ตรวจดูโคตรเหล็กไหลย้อยแล้วพบว่าเป็นสิ่งที่มีอำนาจฌานของฤๅษีประจุอยู่ด้วยจึงมักพลีขอต่อเจ้าที่นำมาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระเครื่อง ส่วนผู้ที่มีวิชามักหาโคตรเหล็กไหลย้อยมาทำเป็นส่วนผสมในการหลอมทำธาตุกายลิทธิ์แต่ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ที่มีอาคมบังคับธาตุได้ เพราะหากไม่มีวิชาเล่นแร่แปรธาตุแล้วตัวแร่จะหนีหายสลายเป็นเถ้าธุลีหมด ปัจจุบันมีการนำเอาแร่ชนิดนี้

    มาสร้างเป็นเครื่องรางก็มี เช่นนำเอาแร่ชนิดนี้มาแกะเป็นฤาษีและมา สร้างเป็นพระเนื้อผง ทั้งทำการปลอมแร่ให้เป็นกายสิทธิ์เหล็กไหลเทียบ ที่มีฤทธิ์อำนาจคล้ายคลึงกับเหล็กไหลน้ำหนึ่ง คือดีทั้งทางโชคลาภ ทำมา ค้าขาย และป้องกันอุบัติภัยได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสี ในตัวเองให้เป็นสีเขียวปีก แมลงทับหรือ เป็นสีทอง เหลือบ เขียวอม เหลือง ได้อย่างน่าอัศจรรย์
     
  18. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    การพิจารณาโคตรเหล็กไหลย้อยว่าเป็นเนื้อชั้นดีหรือไม่นั้น ให้ดูที่น้ำหนักและผิวพรรณ เพราะหากมีน้ำหนักเบาและพบว่ามีรูพรุนมากอีกทั้งสีผิวไม่เป็นมัน กระด้าง และดูซีดแสดงว่าเป็นเหล็กไหลย้อย ประเภท เหล็กไหลตายซาก ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับขี้เหล็กไหล แต่หากสียง ดำ เงา เป็นมันวาว และเนื้อตันก็ยังจัดว่า เป็นโคตรเหล็กไหล ชั้นดีทีฤทธิ์ในตัวมาก เรียกอีกอย่างว่า "พญาเหล็ก" ซึ่งมีอำนาจทาง มายาล่องหนหายตัวหรือทำให้ศัตรูเห็นเป็นหลายคน ดีทั้งทางแคล้ว คลาดและคงกระพัน แต่ถ้าเป็นพวกเหล็กตายซากจะมีพลังงานในตัวที่อ่อน เพราะเชื้อเหล็กตายเกือบจะหมดอยู่แล้ว ต้องเอาไปปนผสม ทำเป็นพระเครื่องแล้วปลุก เสกให้ดีจึงจะสามารถมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา
     
  19. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เหล็กไหลหยดหรือที่บางครั้งก็เรียกว่า "เหล็กหยด" ไม่ถือเป็น โคตรเหล็กไหล และไม่ใช่เหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นยอดเหมือนกลุ่มแรก อย่างเหล็กไหลโกฏิปีหรือเหล็กไหลเจ้าป่าเพราะมีคุณภาพต่ำลงมา จึงไม่สามารถดับพิษไฟได้ แต่จะมีอานุภาพเป็นยอดในทางป้องกันงู เงี้ยวเขี้ยวขอและของมีคม เหล็กไหลหยดจะเสพน้ำผึ้งทำให้กลิ่นและรสหวานของน้ำผึ้งหมดไปบางครั้งอาจทำให้น้ำผึ้งพร่องไปบ้าง
     
  20. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เหล็กไหลหยดมีทั้งที่เกิดจากการแตกตัวของรังเหล็กไหล ที่อาจถูกความร้อนตามธรรมชาติและที่ได้มาจากการตัดของผู้ที่มีอาคม ซึ่งหลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนก็จะได้เหล็กไหลหยดตัวตามธรรมชาติลง มาในบาตรน้ำผึ้งคล้ายกับการตัดเหล็กไหลเจ้าป่า แต่เหล็กไหลหยดที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ละชิ้นจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก

    โดยมากจะ มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ยาวอย่างมากไม่เกินหนึ่งนิ้วชี้ลักษณะโดยทั่วไปมีรูปร่างแปลก ๆ หลายแบบ เช่น มีสัณฐานกลมโดยธรรมชาติก็มี ที่มี ลักษณะคล้ายพวงองุ่นก็มี หรือบางทีก็หยดตัวคล้ายลักษณะของน้ำตาเทียนและหยดเทียน สีสันของเหล็กไหลหยดมักออกดำด้าน ๆ มีรูพรุน โดยรอบ บางชิ้นออกสีน้ำตาลแดง เหล็กหยดที่มีคุณภาพดีจะมีสีออกดำ เหมือนตังเมข้นๆ บางชิ้นผิวออกสีเงินยวงก็มี ซึ่งนับว่าเป็นเหล็กไหล ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเจ้าป่ามากที่สุด เหล็กหยดบางท่านอาจ เรียกว่า "เหล็กหลบ" เนื่องจากว่าเหล็กไหลมีอยู่ด้วยกัแหลายชนิด บาง ชนิดอาจมีลักษณะใกล้เคียงกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความหลากหลาย และสับสนจนเกินไปนักจึงอนุโลมให้จัดรวมอยู่ในประเภทเดียวกันได้

    "เหล็กไหลหยด" หรือ เหล็กหยดนี้ดีทาง คงกระพันหนังเหนียว และกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ดี เมื่อนำมาปลุกเสกจะมีอิทธิฤทธิ์ในตัวมาก เป็นพิเศษ นิยมพกทั้งที่เป็นเม็ด ๆ หรือเป็นชิ้นติดตัวเอาไว้เลย พวกภูตผีปีศาจต่างก็เกรงกลัวรัศมีของเหล็กหยดนี้ และยังดีทางแคล้วคลาด ล่องหนอีกด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...