หมดแล้ว ร่วมบุญจองวัตถุมงคล วัดพุทธโมกข์ เททองพระ วันที่ ๓ ธค. ๕๕

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย woottipon, 2 มีนาคม 2012.

  1. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    โคตรเหล็กไหลงอกเป็นเหล็กไหลชั้นรองลงมา หรือที่เรียก กันว่าเหล็กไหลน้ำรอง ซึ่งต่างกับเหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเจ้าป่า และ เหล็กไหลเพลิง อันเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่งหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ มีอิทธิฤทธิ์มากและเป็นกายสิทธิ์ที่ต้องใช้วิชาอาคมในการเชิญหรือในการตัด และผู้ที่จะตัดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาเท่านั้น ส่วนเหล็กไหลงอก จัดเป็นพวกโคตรเหล็กไหลที่ไม่ต้องใช้วิชาในการตัด แต่ต้องทำการขอจากเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนอาถรรพณ์ทำร้ายจนทำ ให้ชีวิตวิบัติในทุกๆ ด้าน

    เหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกถือว่าเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเยี่ยม หรือเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นหนึ่งในบรรดาโคตรเหล็กไหล หลายๆ ชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือโคตรเหล็กไหลงอกที่เขาอึมครึมและ เขากะอางค์ รวมทั้งตามถ้ำในเขตชายแดนไทยพม่าและในป่าลึกของพม่าอีกทั้งเหล็กไหลงอกที่เกาะล้านพัทยาและเหล็กไหลงอกที่เมืองลอง จังหวัดแพร่ที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า"ตับเหล็กเมืองลอง"

    เหล็กไหลงอกนั้นเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีลักษณะการงอก ไปมาเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำมนปนเขียว รูปร่างแปลกตา ดูสวยงาม บางชิ้นทอสีเป็นสีรุ้งอย่างน่าอัศจรรย์เหล็กไหลงอกมักพบตามเพดานถ้ำ บางครั้งฝังอยู่ในดินก็มี แม้ว่าเหล็กไหลงอกจะเป็นเหล็กไหลน้ำรอง แต่ก็มีอิทธิอานุภาพที่สูงส่งเช่นกัน เพราะเป็นของที่มีเทพยดารักษา โดยมากมักเป็นญาณของพระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้าและมีดวง วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขามากมายรักษาอยู่ ทั้งเทพ คนธรรพ์และพญานาคก็มี เพราะเหล็กไหลชนิดนี้ถือเป็นกายสิทธิ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะสามารถ ช่วยบรรเทาภัยพิบัติจากแม่ธาตุที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้

    ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหลงอกคือสามารถงอกหรือขยาย ขนาดตัวเองให้โตขึ้นได้ หาก เป็นองค์เหล็กที่อยู่ตามธรรมชาติแล้วมี การงอกที่เหมือนกับหินงอกหินย้อยทั่วไปก็ดูไม่น่าอัศจรรย์แต่อย่างใด แต่ถ้านำเหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกนี้มาเลี่ยมใส่ไว้ใน กรอบพลาสติกอย่างมิดชิดแล้วปรากฏว่ายังสามารถขยายขนาด หรืองอกเพิ่มจนดันกรอบให้แตกออกมาได้ย่อมนับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่อง1จริง เพราะมีหลายท่านที่เลี่ยมองค์ เหล็กไหลงอก คล้องคอไว้ แล้วต้อง เอาไปเลี่ยมกรอบใหม่ เนื่องจาก องค์เหล็กขยายขนาดและงอกเพิ่มขึ้นจนดันกรอบเก่าแตก แต่ทั้งนี้ การที่องค์เหล็กไหลงอกจะงอกขยายขนาดได้มากเท่าไรนั้นก็ต้อง ขึ้นอยู่กับการปฏิบ้ติตัวของคนผู้นั้นด้วย หากผู้ที่รับเอาองค์เหล็กไป แล้วหมั่นบูชาสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล ให้แก่โคตรเหล็กไหลงอก องค์เหล็กไหลงอกก็จะงอกขยายขนาด จนเห็นได้ชัด นานวันเข้าก็จะดันจนกรอบแตกเป็นที่น่าอัศจรรย์
     
  2. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    การงอกของโคตรเหล็กไหลนั้นจะงอกเพิ่มในจุดต่างๆที่ ไม่ซ้ำกัน โดยจุดที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีสันที่ดูสดใสและสามารถขยาย ขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนจุดที่งอกนานแล้วจะมีสีเข้ม ยิ่งถ้านานวันไป ความเงามันอาจลดลงได้ และถ้าหากละเลยการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว การงอกอาจใช้เวลานานมาก ตรงกันข้ามกับการได้ปฏิบัติทำสมาธิแผ่เมตตาจิตซึ่งจะมีผลทำให้องค์เหล็กงอกและขยายตัวเร็วขึ้นกว่าหลายเท่าตัว การงอกของโคตรเหล็กไหลงอกนั้นถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะถือว่าหากผู้ใดมีเหล็กไหลงอกซึ่งงอกไปมาสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้องโฉลกหรือกำลังจะมีโชคชีวิตย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจศีล ทำการค้าขายย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากองค์เหล็กไหลงอกจะสามารถงอกเพิ่มขึ้นได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสี ได้อีกด้วย

    เมื่อเอาไปให้ครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิจิตส่งพลังจิตประจุลงไป ในองค์เหล็กไหลจะสังเกตได้ว่าองค์เหล็กจะมีการเปลี่ยนสีทันทีจากสีดำ กลายเป็นสีเขียวเข้ม หรือบาง ครั้งอาจทอสี เป็นสีเหลือบรุ้งขึ้นมา การเปลี่ยนสีนี้พบว่ามีขึ้นในเหล็กไหลเกือบทุกชนิดทั้งในเหล็กไหลน้ำหนึ่งและเหล็กไหลน้ำรอง อันแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบรับ ระหว่างพลังจิตกับองค์เหล็กไหล

    โคตรเหล็กไหลงอกมีพุทธคุณหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดคือ ในด้านป้องกันชีวิต ป้องกันภัยจากศาสตราวุธและอุบัติภัยได้ ดัง กรณีตัวอย่างของพรานป่าที่คล้ององค์เหล็กไหลงอกติดตัวไว้ขณะ ออกไปล่าสัตว์ ยังส่งผลให้ยิงปืนไม่ออกทำให้ไม่สามารถล่าลัตว์ได้ ต้องอาราธนาเอาองค์เหล็กออกจากตัวเสียก่อนจึงออกป่าล่าสัตว์ ยิงปืนโดยไม่ด้านไม่ขัด สามารถใข้ปืนยิงได้ตามปกติทุกประการ แสดงให้เห็นว่าเทพที่สถิตย์อยู่กับองค์เหล็กนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดทำ

    บาปและผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะองค์เหล็กย่อมคุ้มครองชีวิต ทุกชีวิตเสมือนกันหมดนอกจากท่านจะคุ้มครองเราแล้วท่านยังมีเมตตา จิตสั่งสอนเราไม่ให้ไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้โคตรเหล็กไหล งอกยังดีทั้งด้านเมตตา มหานิยม โชคลาภ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์มีพิษ ต่าง ๆ และหากใครถูกแมงปอง ตะขาบ หรือแมลงสัตว์กัดต่อยก็ สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลงอกแล้วนำผงที,ได้มาทาแผล เพราะ นอกจากจะช่วยดูดพิษจากบาดแผลแล้วยังทำให้หายปวดได้อีกด้วย

    โคตรเหล็กไหลงอกจะเสพน้ำผึ้งเป็นอาหาร เมื่อหยดน้ำผึ้ง ลงไปบนโคตรเหล็กไหลที่ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ไม่นานนักนํ้าผึ้งที่ หยดลงไปจะเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจน้ำนมและแห้งไปในที่สุดอย่าง น่าอัศจรรย์มาก องค์โคตรเหล็กอื่นๆ ก็เสพน้ำผึ้งเช่นกัน แม้จะไม่ได้ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็น แต่น้ำผึ้งก็จะหมดรสหวานไป โคตรเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลชั้นรอง ไม่กินฟอสฟอรัสและดินปืน แต่ก็สามารถกิน พลังงานไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เป็นโคตรเหล็กไหลงอกก้อนใหญ่ หรือมีโคตรเหล็กรวมอยู่ที่เดียวกันมาก ๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยากับไฟฟ้า ภายในบ้านได้

    โคตรเหล็กไหลงอกจึงเป็นกายสิทธิ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งทื่พอ พบได้ในปัจจุบัน และมีครูบาอาจารย์หลายท่านนิยมเอามวลสารของ โคตรเหล็กไหลงอกมาผสมทำเป็นพระเครื่องทรงอิทธิฤทธิ์
     
  3. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    การงอกของโคตรเหล็กไหลนั้นจะงอกเพิ่มในจุดต่างๆที่ ไม่ซ้ำกัน โดยจุดที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีสันที่ดูสดใสและสามารถขยาย ขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนจุดที่งอกนานแล้วจะมีสีเข้ม ยิ่งถ้านานวันไป ความเงามันอาจลดลงได้ และถ้าหากละเลยการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว การงอกอาจใช้เวลานานมาก ตรงกันข้ามกับการได้ปฏิบัติทำสมาธิแผ่เมตตาจิตซึ่งจะมีผลทำให้องค์เหล็กงอกและขยายตัวเร็วขึ้นกว่าหลายเท่าตัว การงอกของโคตรเหล็กไหลงอกนั้นถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะถือว่าหากผู้ใดมีเหล็กไหลงอกซึ่งงอกไปมาสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้องโฉลกหรือกำลังจะมีโชคชีวิตย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจศีล ทำการค้าขายย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากองค์เหล็กไหลงอกจะสามารถงอกเพิ่มขึ้นได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสี ได้อีกด้วย

    เมื่อเอาไปให้ครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิจิตส่งพลังจิตประจุลงไป ในองค์เหล็กไหลจะสังเกตได้ว่าองค์เหล็กจะมีการเปลี่ยนสีทันทีจากสีดำ กลายเป็นสีเขียวเข้ม หรือบาง ครั้งอาจทอสี เป็นสีเหลือบรุ้งขึ้นมา การเปลี่ยนสีนี้พบว่ามีขึ้นในเหล็กไหลเกือบทุกชนิดทั้งในเหล็กไหลน้ำหนึ่งและเหล็กไหลน้ำรอง อันแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบรับ ระหว่างพลังจิตกับองค์เหล็กไหล

    โคตรเหล็กไหลงอกมีพุทธคุณหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดคือ ในด้านป้องกันชีวิต ป้องกันภัยจากศาสตราวุธและอุบัติภัยได้ ดัง กรณีตัวอย่างของพรานป่าที่คล้ององค์เหล็กไหลงอกติดตัวไว้ขณะ ออกไปล่าสัตว์ ยังส่งผลให้ยิงปืนไม่ออกทำให้ไม่สามารถล่าลัตว์ได้ ต้องอาราธนาเอาองค์เหล็กออกจากตัวเสียก่อนจึงออกป่าล่าสัตว์ ยิงปืนโดยไม่ด้านไม่ขัด สามารถใข้ปืนยิงได้ตามปกติทุกประการ แสดงให้เห็นว่าเทพที่สถิตย์อยู่กับองค์เหล็กนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดทำ

    บาปและผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะองค์เหล็กย่อมคุ้มครองชีวิต ทุกชีวิตเสมือนกันหมดนอกจากท่านจะคุ้มครองเราแล้วท่านยังมีเมตตา จิตสั่งสอนเราไม่ให้ไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้โคตรเหล็กไหล งอกยังดีทั้งด้านเมตตา มหานิยม โชคลาภ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์มีพิษ ต่าง ๆ และหากใครถูกแมงปอง ตะขาบ หรือแมลงสัตว์กัดต่อยก็ สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลงอกแล้วนำผงที,ได้มาทาแผล เพราะ นอกจากจะช่วยดูดพิษจากบาดแผลแล้วยังทำให้หายปวดได้อีกด้วย

    โคตรเหล็กไหลงอกจะเสพน้ำผึ้งเป็นอาหาร เมื่อหยดน้ำผึ้ง ลงไปบนโคตรเหล็กไหลที่ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ไม่นานนักนํ้าผึ้งที่ หยดลงไปจะเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจน้ำนมและแห้งไปในที่สุดอย่าง น่าอัศจรรย์มาก องค์โคตรเหล็กอื่นๆ ก็เสพน้ำผึ้งเช่นกัน แม้จะไม่ได้ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็น แต่น้ำผึ้งก็จะหมดรสหวานไป โคตรเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลชั้นรอง ไม่กินฟอสฟอรัสและดินปืน แต่ก็สามารถกิน พลังงานไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เป็นโคตรเหล็กไหลงอกก้อนใหญ่ หรือมีโคตรเหล็กรวมอยู่ที่เดียวกันมาก ๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยากับไฟฟ้า ภายในบ้านได้

    โคตรเหล็กไหลงอกจึงเป็นกายสิทธิ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งทื่พอ พบได้ในปัจจุบัน และมีครูบาอาจารย์หลายท่านนิยมเอามวลสารของ โคตรเหล็กไหลงอกมาผสมทำเป็นพระเครื่องทรงอิทธิฤทธิ์
     
  4. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เหล็กไหลน้ำเป็นเหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นก้อนสีดำนิลอม เขียว บางก้อนอาจเป็นสีน้ำตาลแดง บางท่านเรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" เหล็กไหลชนิดนี้มักพบตามพื้นดินบริเวณลำธารที่มีหมอกปกคลุม มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ทั้งปี ซึ่งมีความชุ่มชื้นเสมอๆ เหล็กไหลน้ำเป็น เหล็กไหลที่พบได้ยากอีกชนิดหนึ่ง โดยมากไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ในสมัยก่อนชาวขอมมักแสวงหาเหล็กไหลน้ำและนำมาเคี่ยวด้วยอาคม เพื่อหล่อหลอมเป็นเทวรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

    เหล็กไหลน้ำจะมีอำนาจในการดับพิษไฟทุกชนิด นำพาความ ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้บูชา สามารถบันดาลให้ละอองน้ำปกคลุม ทั่วบริเวณนั้นได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการล่องหนหายตัว เมื่อผู้ใดพบ แล้วก็ให้รีบเก็บไว้ แต่หากเป็นผู้ที่มีอาคมในการล้อมแร่ก็ให้บอกกล่าว แก่เจ้าป่าเจ้าเขาก่อน ต่อจากนั้นให้ผูกล้อมแร่เอาไว้ แล้วอธิษฐานให้ ตัวแร่ขยายขนาดโตขึ้นและงอกขึ้นให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าแร่เหล็กไหลน้ำดังกล่าวจะขยายขนาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

    แร่เหล็กไหลน้ำสามารถพบได้ในหลายแห่ง แต่เหล็กไหลน้ำ ที่เคยพบบริเวณลำธารในแถบภูเขาควายนั้นเป็นเหล็กไหลนาที่มีวรรณะ เป็นสีดำ สัณฐานกลม ล่อแม่เหล็กติด เหล็กไหลน้ำที่ภูเขาควายนี้ มีอานุภาพในทางดับพิษไฟได้เป็นอย่างดี สามารถดับได้แม้กระทั่งพิษ จากน้ำกรดที่มีความเข้มข้นสูงถึง 98% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม หากกำ เหล็กไหลนั้นไว้ในมือแล้วจุ่มมือลงไปในน้ำกรดดังกล่าวจะมีความรู้สึก แต่เพียงอุ่นๆ ที่มือเท่านั้นหรือแม้กระทั่งจุ่มมือลงไปในน้ำเดือดๆ ก็ตาม ก็จะรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ ที่มือ จะไม่รู้สึกร้อนหรือแสบพองแต่ประการใด และไม่ถูกกรดกัดมือหรือถูกน้ำร้อนลวกแต่อย่างใด เพราะรัศมีจากเหล็กไหลน้ำจะแผ่คุ้มครองเราเอาไว้เหล็กไหลน้ำจึงนับเป็นหนึ่งในเหล็กไหล ที่มีฤทธิ์อำนาจอันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเคย






    พบแร่เหล็กไหลน้ำที่ถ้ำเพียงดินจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นชนิดที่ล่อแม่เหล็กติด เช่นกันมีลักษณะสีดำปูดโปนไปมา และมีอานุภาพเช่นเดียวกันกับเหล็กไหลน้ำที่พบในลำธารบนภูเขาควายทุกอย่าง บางท่านจัดลำดับเหล็กไหลน้ำไว้ว่าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดในอันดับต้นๆ โดยอยู่ในอันดับที่ 4 เหล็กไหลน้ำไม่นิยมเสพน้ำผึ้ง แต่จะชอบเสพน้ำมะพร้าว แต่หากไม่สะดวกจะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำมะพร้าวก็ไม่เป็นไร ญาณที่พบใน เหล็กไหลน้ำโดยมากมักเป็นจำพวกพญานาค และคนธรรพเป็นหลัก



    แร่เหล็กไหลเพลิง
    เหล็กไหลเพลิง


    เหล็กไหลเพลิง


    เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปีเช่นกัน แต่มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีแดงเพลิง เนื่องจาก เหล็กไหลเพลิงถือว่าเป็นเหล็กไหลที่มีเตโชธาตุในตัวมากที่สุด ในบรรดาเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป และหาก เป็นเหล็กไหลเพลิง ชั้นสุดยอดจะมีสีแดงคล้ายสีเลือด เนื้อใสคล้ายเนื้อแก้ว ส่วนเหล็กไหล เพลิงชั้นรองๆ ลงไปเนื้อจะมีสีแดงแบบอิฐมอญ ส่วนผิวจะคล้ายโลหะ

    เหล็กไหลเพลิงมีอิทธิพลานุภาพแปลกไปกว่าเหล็กไหลเจ้าป่า คือเหล็กไหลเพลิงมีความสามารถในการสร้างมายาภาพเพื่อป้องกัน ตัวเอง ตามตำราได้กล่าวไว้ว่าเหล็กไหลเพลิงจะแสดงมายาให้แก่ผู้ ที่พกพาในยามเมื่อถูกศัตรูทำร้าย เช่นว่าทำให้ศัตรูเห็นว่ามีเลือดออก หรือมีเลือดสาดตามร่างกายอย่างน่ากลัว จนศัตรูเข้าใจว่าตายไปแล้ว เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่หวนกลับมาทำร้ายอีก แต่เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็ก ไหลที่ไม่ได้รับความนิยมในการนำมาฝังลงในร่างกาย เนื่องจากว่ามายา ของเหล็กไหลเพลิงยังทำให้มองเห็นว่าผู้ที่พกพาดูไม่มีเงาหัวบ้าง









    ดูเหมือนเดินไม่ติดดินบ้าง หรือบางครั้งดูเหมือนล่องหนหายตัวได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นภูตผีปีศาจ ผู้ที่จะฝังเหล็กไหลเพลิงลงในร่างกายจึงมักเป็นฤาษีชีไพรที่ไม่คิดยุ่งเรื่องทางโลกแล้วเท่านัน

    อำนาจของเหล็กไหลเพลิงที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ สามารถปรับอุณหภูมิของอากาศรอบตัวให้พอเหมาะพอดีกับผู้ที่พกพา ป้องกันไข้ป่า กันการกระทำยํ่ายีด้วยคุณไสยมนต์ดำได้ และดูเป็นสง่า ราศีแก่ผู้พบเห็น เหล็กไหลเพลิงชอบเสพน้ำผึ้ง และมีอิทธิฤทธิ์มายา หลายหลาก ถึงขั้นที่มีคำกล่าวว่าหากเอาค้อนทุบเหล็กไหลเพลิง จนละเอียดแล้วเอาผ้าห่อไว้ รุ่งเช้าเหล็กไหลเพลิงจะสามารถรวม ตัวกันเป็นก้อนขึ้นมาใหม่ตามเดิมได้ จึงเรียกเหล็กไหลเพลิงอีก อย่างหนึ่งว่า "เหล็กประสานกาย
    แร่เหล็กไหลเจ้าป่า

    เหล็กไหลเจ้าป่า


    เหล็กไหลเจ้าป่า เหล็กไหลเจ้าป่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปี โดยทั่วไปจะพบเหล็กไหลเจ้าป่าในป่าลึกตามถ้ำที่มี ธารน้ำลอดตลอดสาย และเป็นถ้ำที่มีความเย็นมาก ๆ เหล็กไหล เจ้าป่าจะฝังตัวอยู่ในหินตามถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมที่มีรูปพรรณ สัณฐาน'ทั่ว1ไปเป็นสีดำสนิทเหมือนกับนิลหรือยางตังเมที่ข้นจัด

    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าหากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นยอดจะมี ลักษณะเฉพาะของการไหลตัวที่คล้ายกับเหล็กไหลโกฏิปี คือมีการยืดตัว คล้ายใยบัวเช่นกัน แต่หากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นรองลงมา เมื่อ เหล็กไหลเจ้าป่ายืดตัวการยืดตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าจะมีลักษณะคล้าย ตังเมข้นๆไหลตัวออกมาจากซอกหิน

    หลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนแล้วปล่อยให้เหล็กไหลเจ้าป่า หยดตัวลงมาในบาตรบรรจุนํ้าผึ้งที่เตรียมไว้สำหรับรองรับก็จะได้ เหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ สีดำสนิท ซึ่งนิยมเรียกเหล็กไหล ชนิดนี้ว่า "พญาสมิงเหล็ก" และเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของเจ้าปา เจ้าเขาดูแลรักษาอยู่จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"เหล็กไหลเจ้าป่า"






    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าต้องระวังอย่าให้องค์เหล็กไหลตกลงบนพื้นดินอย่างเด็ดขาด เพราะเหล็กไหลจะหายไปทันทีเนื่องจากถูกพวกกายทิพย์นิกายต่างๆ เช่น คนธรรพ์ ยักษ์พญานาคแย่งชิงเอา เหล็กไหลไปเหล็กไหลเจ้าป่ามีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าผู้ที่มีอภิญญา 5 เช่นกัน เข้าข่ายของกายสิทธิ์เเต่พลังอำนาจจะไม่สูงส่งเท่าเหล็กไหลโกฏิปีกล่าวคือ เหล็กไหลโกฏิปีจะมีความเข้มข้นสูงกว่า แต่ก็สามารถเทียบเคียงกันได้ เพราะในบรรดาสายพันธุ์เหล็กไหลนั้น เหล็กไหลเจ้าป่านับว่าเป็น สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปีมากที่สุด ในบรรดาสายพันธุ์ เหล็กไหลจึงจัดเหล็กไหลโกฏิปีเป็นอันดับหนึ่ง และรองลงมาก็คือ เหล็กไหลเจ้าป่านั่นเอง

    อิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลเจ้าป่าจึงคล้ายคลึงกับเหล็กไหลโกฏิปี คือ สามารถกินดินปืน กินฟอสฟอรัส ระงับพิษร้อนจากไฟและน้ำกรด ทั้งปวงได้ ทำให้ใม้ขีดจุดไฟไม่ติดทั้ง ๆ ที่หัวไม้ขีดยังแห้ง ๆ ไม่ได้ชื้นแต่อย่างใด อีกทั้งตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าเองยังสามารถล่องหนหายตัว จากไปได้ จึงนับได้ว่าเหล็กไหลเจ้าป่าเป็นอีกหนึ่งของศักดื้สิทธิ์ตาม ธรรมชาติที่เป็นรองแค่เหล็กไหลโกฏิปีเท่านั้น
     
  5. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เหล็กไหลน้ำเป็นเหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นก้อนสีดำนิลอม เขียว บางก้อนอาจเป็นสีน้ำตาลแดง บางท่านเรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" เหล็กไหลชนิดนี้มักพบตามพื้นดินบริเวณลำธารที่มีหมอกปกคลุม มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ทั้งปี ซึ่งมีความชุ่มชื้นเสมอๆ เหล็กไหลน้ำเป็น เหล็กไหลที่พบได้ยากอีกชนิดหนึ่ง โดยมากไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ในสมัยก่อนชาวขอมมักแสวงหาเหล็กไหลน้ำและนำมาเคี่ยวด้วยอาคม เพื่อหล่อหลอมเป็นเทวรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

    เหล็กไหลน้ำจะมีอำนาจในการดับพิษไฟทุกชนิด นำพาความ ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้บูชา สามารถบันดาลให้ละอองน้ำปกคลุม ทั่วบริเวณนั้นได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการล่องหนหายตัว เมื่อผู้ใดพบ แล้วก็ให้รีบเก็บไว้ แต่หากเป็นผู้ที่มีอาคมในการล้อมแร่ก็ให้บอกกล่าว แก่เจ้าป่าเจ้าเขาก่อน ต่อจากนั้นให้ผูกล้อมแร่เอาไว้ แล้วอธิษฐานให้ ตัวแร่ขยายขนาดโตขึ้นและงอกขึ้นให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าแร่เหล็กไหลน้ำดังกล่าวจะขยายขนาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

    แร่เหล็กไหลน้ำสามารถพบได้ในหลายแห่ง แต่เหล็กไหลน้ำ ที่เคยพบบริเวณลำธารในแถบภูเขาควายนั้นเป็นเหล็กไหลนาที่มีวรรณะ เป็นสีดำ สัณฐานกลม ล่อแม่เหล็กติด เหล็กไหลน้ำที่ภูเขาควายนี้ มีอานุภาพในทางดับพิษไฟได้เป็นอย่างดี สามารถดับได้แม้กระทั่งพิษ จากน้ำกรดที่มีความเข้มข้นสูงถึง 98% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม หากกำ เหล็กไหลนั้นไว้ในมือแล้วจุ่มมือลงไปในน้ำกรดดังกล่าวจะมีความรู้สึก แต่เพียงอุ่นๆ ที่มือเท่านั้นหรือแม้กระทั่งจุ่มมือลงไปในน้ำเดือดๆ ก็ตาม ก็จะรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ ที่มือ จะไม่รู้สึกร้อนหรือแสบพองแต่ประการใด และไม่ถูกกรดกัดมือหรือถูกน้ำร้อนลวกแต่อย่างใด เพราะรัศมีจากเหล็กไหลน้ำจะแผ่คุ้มครองเราเอาไว้เหล็กไหลน้ำจึงนับเป็นหนึ่งในเหล็กไหล ที่มีฤทธิ์อำนาจอันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเคย






    พบแร่เหล็กไหลน้ำที่ถ้ำเพียงดินจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นชนิดที่ล่อแม่เหล็กติด เช่นกันมีลักษณะสีดำปูดโปนไปมา และมีอานุภาพเช่นเดียวกันกับเหล็กไหลน้ำที่พบในลำธารบนภูเขาควายทุกอย่าง บางท่านจัดลำดับเหล็กไหลน้ำไว้ว่าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดในอันดับต้นๆ โดยอยู่ในอันดับที่ 4 เหล็กไหลน้ำไม่นิยมเสพน้ำผึ้ง แต่จะชอบเสพน้ำมะพร้าว แต่หากไม่สะดวกจะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำมะพร้าวก็ไม่เป็นไร ญาณที่พบใน เหล็กไหลน้ำโดยมากมักเป็นจำพวกพญานาค และคนธรรพเป็นหลัก



    แร่เหล็กไหลเพลิง
    เหล็กไหลเพลิง


    เหล็กไหลเพลิง


    เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปีเช่นกัน แต่มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีแดงเพลิง เนื่องจาก เหล็กไหลเพลิงถือว่าเป็นเหล็กไหลที่มีเตโชธาตุในตัวมากที่สุด ในบรรดาเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป และหาก เป็นเหล็กไหลเพลิง ชั้นสุดยอดจะมีสีแดงคล้ายสีเลือด เนื้อใสคล้ายเนื้อแก้ว ส่วนเหล็กไหล เพลิงชั้นรองๆ ลงไปเนื้อจะมีสีแดงแบบอิฐมอญ ส่วนผิวจะคล้ายโลหะ

    เหล็กไหลเพลิงมีอิทธิพลานุภาพแปลกไปกว่าเหล็กไหลเจ้าป่า คือเหล็กไหลเพลิงมีความสามารถในการสร้างมายาภาพเพื่อป้องกัน ตัวเอง ตามตำราได้กล่าวไว้ว่าเหล็กไหลเพลิงจะแสดงมายาให้แก่ผู้ ที่พกพาในยามเมื่อถูกศัตรูทำร้าย เช่นว่าทำให้ศัตรูเห็นว่ามีเลือดออก หรือมีเลือดสาดตามร่างกายอย่างน่ากลัว จนศัตรูเข้าใจว่าตายไปแล้ว เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่หวนกลับมาทำร้ายอีก แต่เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็ก ไหลที่ไม่ได้รับความนิยมในการนำมาฝังลงในร่างกาย เนื่องจากว่ามายา ของเหล็กไหลเพลิงยังทำให้มองเห็นว่าผู้ที่พกพาดูไม่มีเงาหัวบ้าง









    ดูเหมือนเดินไม่ติดดินบ้าง หรือบางครั้งดูเหมือนล่องหนหายตัวได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นภูตผีปีศาจ ผู้ที่จะฝังเหล็กไหลเพลิงลงในร่างกายจึงมักเป็นฤาษีชีไพรที่ไม่คิดยุ่งเรื่องทางโลกแล้วเท่านัน

    อำนาจของเหล็กไหลเพลิงที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ สามารถปรับอุณหภูมิของอากาศรอบตัวให้พอเหมาะพอดีกับผู้ที่พกพา ป้องกันไข้ป่า กันการกระทำยํ่ายีด้วยคุณไสยมนต์ดำได้ และดูเป็นสง่า ราศีแก่ผู้พบเห็น เหล็กไหลเพลิงชอบเสพน้ำผึ้ง และมีอิทธิฤทธิ์มายา หลายหลาก ถึงขั้นที่มีคำกล่าวว่าหากเอาค้อนทุบเหล็กไหลเพลิง จนละเอียดแล้วเอาผ้าห่อไว้ รุ่งเช้าเหล็กไหลเพลิงจะสามารถรวม ตัวกันเป็นก้อนขึ้นมาใหม่ตามเดิมได้ จึงเรียกเหล็กไหลเพลิงอีก อย่างหนึ่งว่า "เหล็กประสานกาย
    แร่เหล็กไหลเจ้าป่า

    เหล็กไหลเจ้าป่า


    เหล็กไหลเจ้าป่า เหล็กไหลเจ้าป่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปี โดยทั่วไปจะพบเหล็กไหลเจ้าป่าในป่าลึกตามถ้ำที่มี ธารน้ำลอดตลอดสาย และเป็นถ้ำที่มีความเย็นมาก ๆ เหล็กไหล เจ้าป่าจะฝังตัวอยู่ในหินตามถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมที่มีรูปพรรณ สัณฐาน'ทั่ว1ไปเป็นสีดำสนิทเหมือนกับนิลหรือยางตังเมที่ข้นจัด

    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าหากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นยอดจะมี ลักษณะเฉพาะของการไหลตัวที่คล้ายกับเหล็กไหลโกฏิปี คือมีการยืดตัว คล้ายใยบัวเช่นกัน แต่หากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นรองลงมา เมื่อ เหล็กไหลเจ้าป่ายืดตัวการยืดตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าจะมีลักษณะคล้าย ตังเมข้นๆไหลตัวออกมาจากซอกหิน

    หลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนแล้วปล่อยให้เหล็กไหลเจ้าป่า หยดตัวลงมาในบาตรบรรจุนํ้าผึ้งที่เตรียมไว้สำหรับรองรับก็จะได้ เหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ สีดำสนิท ซึ่งนิยมเรียกเหล็กไหล ชนิดนี้ว่า "พญาสมิงเหล็ก" และเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของเจ้าปา เจ้าเขาดูแลรักษาอยู่จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"เหล็กไหลเจ้าป่า"






    ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าต้องระวังอย่าให้องค์เหล็กไหลตกลงบนพื้นดินอย่างเด็ดขาด เพราะเหล็กไหลจะหายไปทันทีเนื่องจากถูกพวกกายทิพย์นิกายต่างๆ เช่น คนธรรพ์ ยักษ์พญานาคแย่งชิงเอา เหล็กไหลไปเหล็กไหลเจ้าป่ามีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าผู้ที่มีอภิญญา 5 เช่นกัน เข้าข่ายของกายสิทธิ์เเต่พลังอำนาจจะไม่สูงส่งเท่าเหล็กไหลโกฏิปีกล่าวคือ เหล็กไหลโกฏิปีจะมีความเข้มข้นสูงกว่า แต่ก็สามารถเทียบเคียงกันได้ เพราะในบรรดาสายพันธุ์เหล็กไหลนั้น เหล็กไหลเจ้าป่านับว่าเป็น สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปีมากที่สุด ในบรรดาสายพันธุ์ เหล็กไหลจึงจัดเหล็กไหลโกฏิปีเป็นอันดับหนึ่ง และรองลงมาก็คือ เหล็กไหลเจ้าป่านั่นเอง

    อิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลเจ้าป่าจึงคล้ายคลึงกับเหล็กไหลโกฏิปี คือ สามารถกินดินปืน กินฟอสฟอรัส ระงับพิษร้อนจากไฟและน้ำกรด ทั้งปวงได้ ทำให้ใม้ขีดจุดไฟไม่ติดทั้ง ๆ ที่หัวไม้ขีดยังแห้ง ๆ ไม่ได้ชื้นแต่อย่างใด อีกทั้งตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าเองยังสามารถล่องหนหายตัว จากไปได้ จึงนับได้ว่าเหล็กไหลเจ้าป่าเป็นอีกหนึ่งของศักดื้สิทธิ์ตาม ธรรมชาติที่เป็นรองแค่เหล็กไหลโกฏิปีเท่านั้น
     
  6. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    แร่เหล็กไหลส่วนมาก ก็ได้มาจาก ฤาษี ตาปะขาว โยมที่ท่านเป็นนักปฏิบัติสายพญานาค สายฤาษี หลวงปู่หลวงพ่อ ท่านรู้ว่าเราชอบทำพระท่านก็จะให้มา บ้างอย่างก็มาเอง
     
  7. call13

    call13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +2,966
    ขอเชิญชวนร่วมทำบุญ ครับ
    จากความตั้งใจของคณะผู้จัดสร้าง ขอบอกว่าคุ้มสุดๆ
    เหลือเวลาอีกไม่มากนะครับ

    ส่วนของผม พอดีเดือนนี้ ปรับปรุงบ้านขนานใหญ่ หน้ามึดเหมือนกัน
    แต่ถึงยังไงก็ขอสั่งจองเพิ่มแน่นอน
     
  8. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    “ไม้ช่อฟ้าเก่า” พระอุโบสถวัดระฆังฯสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มีอายุนับร้อยปี ซึ่งได้รับมอบจากหลวงพ่อละมูล อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ เมื่อปี 2518 ไม้ช่อฟ้าเก่าวัดระฆังฯดังกล่าวได้ถูกเผาทิ้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงเท่าที่นำมาจัดสร้างวัตถุมงคลที่วัดเจ้าอามแห่งเดียวเท่านั้น
     
  9. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ไม้ช่อฟ้าเก่าโบสถ์วัดระฆังอายุ 100 กว่าปีนำไปแกะเป็นพระสมเด็จ ได้จำนวนไม่มากนัก หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเจ้าอามได้รับมอบจากหลวงพ่อละมูลอดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังเมื่อปี 2518


    พระครูนิวิฐสาธุวัตร หรือหลวงพ่อล่ำ เจ้าอาวาสวัดเจ้าอาม เขตบางกอกน้อย กทม. ผู้มีความใกล้ชิดกับท่านเจ้าคุณละมูลมานานพอสมควรเล่าว่า ในปี 2518 มีการประชุมพระสังฆาธิการ ในเขตบางกอกน้อย วันนั้นฝนตกหนักมีพายุทำให้กระแสลมแรงพัดเอาช่อฟ้าเก่าพระอุโบสถวัดระฆังหักลงมา

    เจ้าอาวาสวัดเจ้าอาม เห็นว่าเป็นไม้ช่อฟ้าเก่าแก่มีความศักดิ์สิทธิ์มาแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต หาไม่ได้อีกแล้วจึงขอมาสร้างวัตถุมงคล จึงนำไปจ้างช่างแกะได้ไม่มากนักและทำพิธีพุทธาภิเษกเมื่อ 9 พ.ย.35 มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย สมเด็จพระพุฒาจารย์เกี่ยว วัดสระเกศ เป็นประธานดับเทียนชัย
     
  10. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ไม้ช่อฟ้าเก่าวัดหงส์รัตนาราม น่าจะเก่ากว่าของวัดระฆัง
     
  11. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร สร้างในสมัย กรุงศรีอยุธยา ยุคนั้นเป็นวัดราษฎร์ เรียกว่า วัดเจ๊สัวหง หรือ แจ๊สัวหง หรือ เจ้าสัวหง หรือ วัดขรัวหง เพราะตั้งตามชื่อของเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง คือ นายหงวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร วัดหลวงชั้นโท คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ตั้งตามทะเบียนเลขที่ ๑๐๒ ถนนวังเดิม ๒ หรือ ถนนอิสรภาพ ๒๘ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร และ กองทัพเรือ (พระราชวังธนบุรีเดิม) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด ๔๖ ไร่ ๑ งาน ๒๓ ตารางวา

    จากหลักฐานจดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๔ ได้บันทึกไว้ว่า วัดหงส์รัตนารามนี้ พื้นที่วัดเดิมเป็นของโบราณมีมานานสำหรับเมืองธนบุรี คำคนแก่เก่า ๆ เป็นอันมากเรียกว่า วัดเจ้าขรัวหง แลว่ากันว่าจีนเจ๊สัวมั่งมี บ้านอยู่กะดีจีน สร้างขึ้นไว้แต่ในครั้งโน้น จีนที่มั่งมี คนเรียกว่า เจ้าขรัว ในสมัยกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเรียกชื่อว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช (รัชกาลที่ ๑) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาศวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) จนถึงปัจจุบัน เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร

    ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ซึ่งขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังทรงดำรงพระอิศยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้ทรงพระยศสถานที่ตั้งประวัติวัดหงส์รัตนาราม เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สืบต่อจาก กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสิงหนาทฯ ได้ประทับ ณ พระราชวังเดิม พระราชวังจึงมีฐานะเป็นพระบวรราชวังใหม่ ขึ้นตำแหน่งหนึ่ง สมตามนัยแห่ง ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าตอนประสูติของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ดังนี้ การประสูติดังนี้ เป็นไปที่พระที่นั่งข้างในหลังตะวันตก พระราชวังปากคลองบางกอกใหญ่ ครั้งนั้นเรียก พระบวรราชวังใหม่ อยู่ในกำแพงกรุงธนบุรีโบราณวัดหงส์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ตลอดสถานที่พระบวรราชวังนี้ จึงมีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ครั้งนั้นว่า วัดหงส์อาวาศขวรวิหาร ดังหลักฐานประกอบด้วยตามในพระราชทินนามสมณศักดิ์พระราชาคณะที่พระธรรมอุดม (พระธรรมวโรดมปัจจุบัน) ซึ่งได้เลื่อนจากพระธรรมไตรโลกฯ (พระธรรมไตรโลกาจารย์ปัจจุบัน) ในรัชกาลที่ ๑ ว่า พระธรรมอุดม บรมญาณอดุลยสุนทร ตีปีฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาศบวรวิหาร พระอารามหลวง ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงเป็นทางการว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร หลักฐานในข้อนี้ พิจารณา ได้ตามพระราชทินนามสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม ซึ่งได้เลื่อนจากสมณศักดิ์เดิมที่ พระพรหมมุนี (ด่อน) กล่าวไว้ดังนี้ ให้ พระพรหมมุนีเป็นพระพิมลธรรม อนันตญาณนายก ตีปฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร คงมีนามเรียกเต็มว่า วัดหงสาราม ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือประชุมพงศารภาคที่ ๒๕ ตอนที่ ๓ เรื่องตำนานสถานที่ และวัสดุต่าง ๆ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะ และมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดหงส์ฯ ดังมีข้อความกล่าวไว้เป็นเชิงประวัติว่า วัดนี้นามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมา เป็น วัดหงสาราม และในสำเนาเทศนาพระราชประวัติรัชกาลที่ ๒ ซึ่ง หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์วิหาร ทรงเทศนาถวาย ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้นามว่า วัดหงสาราม ในเรื่องเกี่ยวกับวัดหงส์ฯ แม้แต่ในพระอารามหลวงที่ เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร เรียบเรียงถวายรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวไว้เช่นเคียวกัน แต่กล่าวพิเศษออกไปว่า เรียกวัดหงสาราม มาแต่รัชกาลที่ ๑ เห็นจะเป็นว่าเมื่อเรียกโดยไม่มีพิธีรีตองสำคัญอะไร ก็คงเรียกวัดหงสาราม ทั้ง ๓ รัชกาล ก็เป็นได้ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) นี้ สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ได้ทรงรับปฏิสังขรณ์จากการทรงชักชวนของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเกณฑ์ต่อให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระยศ เจ้าฟ้ามงกุฎ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าแปลงปลูกเป็นวิหาร แต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงรับทำ จึงเป็นพระภาระของสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ แต่พระองค์เดียว ส่วน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งแรกทรงรับพระภาระสร้างโรงธรรมตึกใหญ่ขึ้นใหม่ แต่ในครั้งหลังสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์สิ้นพระชนม์ การยังไม่เสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับเป็นพระธุระทั้งพระอุโบสถ และพระวิหาร และสิ่งอื่นอีก

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารใหม่ แลเป็นหลักฐานสืบมาจนบัดนี้ว่า วัดหงส์รัตนาราม ตามในจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ ได้กล่าวไว้ว่า เดิมเป็นพระอุโบสถหลังเก่าวัดหงส์ฯ ครั้งก่อนสมัยอยุธยา เมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ ขยายทั้งตัววัด และสร้างพระอุโบสถใหม่ และอื่นอีก คงเลิกใช้อุโบสถเก่า ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้

    จากหลักฐานประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕ ว่าด้วยพระเจดีย์วิหาร ที่ทรงสถาปนาในรัชกาลที่ ๔ เรื่องที่ ๑๕ โดยมีเนื้อความว่า “วัดหงส์รัตนาราม วัดนี้ตามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมาเป็น วัดหงสาราม สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดเขมาภิรตาราม โปรดฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดหงส์ฯ การยังไม่ทันเสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ และพระราชทานนามว่า วัดหงส์รัตนาราม คำสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารที่ว่า รัตนาราม นั้น บ่งความหมายเป็นสองประการคือ รัตน แปลว่า แก้ว ประการหนึ่ง และคำว่า อาราม ซึ่งแปลว่า วัด ประการหนึ่ง เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกัน จึงได้ความหมายว่า วัดท่านแก้ว มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์ฯ นั้น ก็เพื่อถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า แก้ว เป็นการถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จบรมราชอัยกี ผู้ทรงเป็นพระบุพการีของ พระบรมราชชนนี พระราชอนุชา และพระองค์ท่าน ตามธรรมเนียมนิยมของพุทธสานิกชน เมื่อบำเพ็ญบุญกุศลแล้ว จึงอุทิศผลบุญ อีกประการหนึ่ง วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ทรงเคยอุปถัมภ์ และปฏิสังขรณ์มาในอดีต ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ และเสด็จบำเพ็ญกุศลเป็นประจำในขณะที่ทรงพระชนม์อยู่

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ถูกจัดลำดับศักดิ์เป็น พระอารามหลวงชั้นโท และมีฐานะเป็น พระอารามชั้นราชวรวิหาร ตามพระบามราชโองการประกาศ เรื่องจัดระเบียบพระอารามหลวงเป็น ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นสามัญ โดยมีสร้อยนามตามฐานะเป็น ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร วรมหาวิหาร วรวิหาร โดยลำดับ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงได้สร้อยว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มาจนถึงปัจจุบัน

    ย้อนไปในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ถือเป็นวัดที่มีสำคัญอย่างมาก นอกจากตั้งติดกับพระบรมราชวังที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเป็นเอกอุปถัมภก บูรณปฏิสังขรณ์ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นการใหญ่ และทรงสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ด้วย เดิมทีนั้นเป็นวัดร้าง ทั้งนี้ยังทรงสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า ทรงสร้างศาลาโรงธรรมขนาดเท่าพระอุโบสถขึ้นทางด้านหน้า และทรงสร้างกุฏิ และเสนาสนะอื่น ๆ ทั้งพระอาราม ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกไว้ว่า ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงอุปถัมภ์ปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ทั่วพระอาราม พระอุโบสถ การเปรียญ เสนาสนะ และกุฏิ ได้ทรงสร้างใหม่ทั้งสิ้น ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ มีหลักฐานยืนยันตรงกันอีกว่า ครั้งมาเมื่อกรุงธนบุรี พระสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์มาอยู่มาก ผู้ที่มีอุตสาหะเล่าเรียนก็ได้เข้าไปอยู่มาก เจ้าแผ่นดินกรุงธนบุรีจึงขยายภูมิวัดออกไปใหญ่ แล้วสร้างพระอุโบสถใหญ่ตรงหน้าพระอุโบสถเก่า แล้วสร้างโรงธรรมหันหน้าเข้าสู่พระอุโบสถใหม่ สร้างฐานใหญ่เท่ากันทั้งสองหลัง ตั้งอยู่อย่างนั้นนานมาจนถึงเวลาแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ในพระบรมราชวงศ์นี้ ในปีพุทธศักราช ๒๓๓๓ สมเด็จพระลูกยาเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าจุ้ย) ใน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จทรงผนวช ณ วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) นี้ เมื่อพระชนม์ครบอุปสมบท ตลอดจนพระราชนิกูล และข้าใต้สำนัก ล้วนแต่อุปสมบทวัดแห่งนี้เกือบทั้งสิ้น และนอกจากนี้ สมเด็จพระอัครมเหสี (หอกลาง) กรมหลวงบาทบริจาสอน และพระเจ้าน้านางเธอ กรมหลวงเทวินทร์สุดา ได้เสด็จบำเพ็ญกุศล ฟังเทศน์ ถือศีลปฏิธรรมอยู่ ณ วัดแห่งนี้อยู่เนือง ๆ

    วัดหงษ์อาวาสวิหาร แห่งนี้ อยู่ในราชูปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถ หลังว่างจากพระภารกิจเสมอ วัดหงษ์อาวาสวิหาร จึงนับว่าเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง และสวยงามวัดหนึ่งในยุคสมัยนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ประชาชนในละแวกใกล้เคียง จึงพร้อมใจกันสร้างศาลขึ้นที่ริมคลองคูวัดเชิงสะพานข้ามคลองหน้าวัด ด้านทิศตะวันตก เพื่อถวายเป็นพระราชอนุสรณ์เป็นแห่งแรก และปรากฏเป็นที่สักการะเคารพของประชาชนในท้องถิ่นแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คือ ศาลเจ้าพ่อตากวัดหงส์ฯ

    นอกจากทรงบูรณปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างศาสนวัตถุอื่นแล้ว พระองค์ทรงนำความเจริญทางด้านการศึกษา วางไว้เป็นฐานรากแห่งพระพุทธศาสนาที่วัดหงษ์อาวาสวิหาร หรือ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงเป็นแหล่งสรรพวิชา บ่มเพาะความรู้ขั้นสูงในยุคสมัยนั้น และเป็นชุมนุมสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์ แห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จากหลักฐานบันทึก มีรายนาม ดังต่อไปนี้ ๑. พระยาธรรมปรีชา พระยาธรรมปรีชา เดิมชื่อ แก้ว เป็นข้าราชการที่สำคัญคนหนึ่ง ตำแหน่งพระอาลักษณ์ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงถวายบังคมลาออกบวช ณ วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) ต่อมาท่านผู้นี้ได้ศึกษา และมีความรู้แตกฉานในพระปริยัติธรรม สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นพระราชาคณะที่ พระรัตนมุนี เป็นองค์แรกให้มีศักดิ์ตำแหน่งพิเศษเสมอพระราชาคณะ

    ๒. สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช ในยุค กรุงธนบุรี มาแล้ว คือ สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ชาติภูมิเดิมเป็น ชาวเมืองแกลง (ระยอง) ใน สมัยกรุงศรีอยุธยา ใกล้ล่ม สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ขณะดำรงตำแหน่ง พระยาวชิรปราการ ได้เดินทางสู่ภาคตะวันออก ผ่าน เมืองแกลง เพื่อรวบรวมผู้คนกอบกู้ชาติแผ่นดิน จึงได้พบกับ สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ซึ่งเป็นประมุขสงฆ์ เมืองแกลง (บ้านเดียวกับกวีเอกสุนทรภู่) และได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตามสมควรแก่สมณวิสัยในครั้งนั้น ดังนั้นเมื่อ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จขึ้นครองราชย์ปกครองไพร่ฟ้าสยามประเทศ จึงได้อาราธนาให้ดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาส วัดหงษ์อาวาสวิหาร และทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์สูงโดยลำดับ จนเป็น สมเด็จพระสังฆราช อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในสังฆมณฑล ต่อมาภายหลังปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกถอดสมณศักดิ์ตำแหน่ง ด้วยเหตุความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ท่านได้หยั่งรากฝากผลงานแห่งพุทธศาสนาไว้ให้ศาสนิกชนรุ่นหลังได้ศึกษา สืบทอดได้อย่างมั่งคง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นแม่กองสังคายนา ชำระพระไตรปิฎก แผนพระอภิธรรมส่วนปรมัตถ์ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช นับว่าท่านเป็นปราชญ์แท้องค์หนึ่งที่ไม่แสดงความหวั่นไหวในโลกธรรม ได้แสดงความเป็นปราชญ์ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกอย่างชัดแจ้ง

    ๓.พระเทพโมลี (ด่อน) ได้บวช และศึกษาในสำนัก วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นโดยลำดับ คือ พระพรหมมุนี พระพิมลธรรม และ สมเด็จพระวันรัต ภายหลังได้ย้ายไปอยู่ วัดสระเกษ ต่อมาได้ทรงสมณศักดิ์ประมุขสงฆ์ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ดำรงสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช จากนั้นได้ย้ายมาประทับที่ วัดมหาธาตุฯ และได้เป็นพระอุปัชฌายะของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) และ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ใน สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์) เมื่อเสด็จทรงผนวชครั้งแรกในพระพุทธศาสนาฝ่ายพระสงฆ์มหานิกายสมณวงศ์ นับว่าได้รับกรณียกิจอันสูงสุด ในสังฆมณฑลอีกองค์หนึ่ง

    ๔. เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) นาวาอากาศเอก มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้นสุขุม) เดิมได้ศึกษาทางภาษาบาลี จนสำเร็จเป็นเปรียญธรรม ๓ ประโยค จากวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร แห่งนี้ เกียรติคุณของท่านเป็นที่เลื่องลือรู้จักกันทั่วไปในนาม เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ภายหลังได้ทรงเกียรติคุณอันสูงเป็นพระอาจารย์ พระบาทสมเด็จพระมหาธีราช (รัชกาลที่ ๖) ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงนครบาล และสมัยปกครองระบอบประชาธิปไตยท่านได้ดำรงตำแหน่งสูงสุด เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นับเป็นเกียรติประวัติที่สืบนื่องมาแต่สำนักนักเรียนวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นเบื้องแรก ๕.พระธรรมไตรโลก (ไม่ทราบนามเดิม) เดิมอยู่ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ท่านเป็นผู้มีความรอบรู้ แตกฉานในภาษาบาลีอย่างมาก ผลงานของท่านเท่าที่ค้นพบ คือร่วมแปลพระคัมภีร์มงคลทีปนี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๖๔ โดย พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งต่อมา คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทรงอารธนา นับว่าเป็นปราชญ์ทางการบาลีที่สำคัญองค์หนึ่ง
     
  12. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร สร้างในสมัย กรุงศรีอยุธยา ยุคนั้นเป็นวัดราษฎร์ เรียกว่า วัดเจ๊สัวหง หรือ แจ๊สัวหง หรือ เจ้าสัวหง หรือ วัดขรัวหง เพราะตั้งตามชื่อของเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง คือ นายหงวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร วัดหลวงชั้นโท คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ตั้งตามทะเบียนเลขที่ ๑๐๒ ถนนวังเดิม ๒ หรือ ถนนอิสรภาพ ๒๘ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร และ กองทัพเรือ (พระราชวังธนบุรีเดิม) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด ๔๖ ไร่ ๑ งาน ๒๓ ตารางวา

    จากหลักฐานจดหมายเหตุในรัชกาลที่ ๔ ได้บันทึกไว้ว่า วัดหงส์รัตนารามนี้ พื้นที่วัดเดิมเป็นของโบราณมีมานานสำหรับเมืองธนบุรี คำคนแก่เก่า ๆ เป็นอันมากเรียกว่า วัดเจ้าขรัวหง แลว่ากันว่าจีนเจ๊สัวมั่งมี บ้านอยู่กะดีจีน สร้างขึ้นไว้แต่ในครั้งโน้น จีนที่มั่งมี คนเรียกว่า เจ้าขรัว ในสมัยกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเรียกชื่อว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช (รัชกาลที่ ๑) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาศวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) เรียกชื่อว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) จนถึงปัจจุบัน เรียกชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร

    ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ซึ่งขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังทรงดำรงพระอิศยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้ทรงพระยศสถานที่ตั้งประวัติวัดหงส์รัตนาราม เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สืบต่อจาก กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสิงหนาทฯ ได้ประทับ ณ พระราชวังเดิม พระราชวังจึงมีฐานะเป็นพระบวรราชวังใหม่ ขึ้นตำแหน่งหนึ่ง สมตามนัยแห่ง ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าตอนประสูติของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ดังนี้ การประสูติดังนี้ เป็นไปที่พระที่นั่งข้างในหลังตะวันตก พระราชวังปากคลองบางกอกใหญ่ ครั้งนั้นเรียก พระบวรราชวังใหม่ อยู่ในกำแพงกรุงธนบุรีโบราณวัดหงส์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ตลอดสถานที่พระบวรราชวังนี้ จึงมีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ครั้งนั้นว่า วัดหงส์อาวาศขวรวิหาร ดังหลักฐานประกอบด้วยตามในพระราชทินนามสมณศักดิ์พระราชาคณะที่พระธรรมอุดม (พระธรรมวโรดมปัจจุบัน) ซึ่งได้เลื่อนจากพระธรรมไตรโลกฯ (พระธรรมไตรโลกาจารย์ปัจจุบัน) ในรัชกาลที่ ๑ ว่า พระธรรมอุดม บรมญาณอดุลยสุนทร ตีปีฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาศบวรวิหาร พระอารามหลวง ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มีสร้อยนามเปลี่ยนแปลงเป็นทางการว่า วัดหงส์อาวาสวรวิหาร หลักฐานในข้อนี้ พิจารณา ได้ตามพระราชทินนามสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม ซึ่งได้เลื่อนจากสมณศักดิ์เดิมที่ พระพรหมมุนี (ด่อน) กล่าวไว้ดังนี้ ให้ พระพรหมมุนีเป็นพระพิมลธรรม อนันตญาณนายก ตีปฎกธรามหาคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดหงส์อาวาสวรวิหาร พระอารามหลวง

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร คงมีนามเรียกเต็มว่า วัดหงสาราม ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือประชุมพงศารภาคที่ ๒๕ ตอนที่ ๓ เรื่องตำนานสถานที่ และวัสดุต่าง ๆ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะ และมีความเกี่ยวเนื่องกับวัดหงส์ฯ ดังมีข้อความกล่าวไว้เป็นเชิงประวัติว่า วัดนี้นามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมา เป็น วัดหงสาราม และในสำเนาเทศนาพระราชประวัติรัชกาลที่ ๒ ซึ่ง หม่อมเจ้าพระประภากร บวรวิสุทธิวงศ์ วัดบวรนิเวศน์วิหาร ทรงเทศนาถวาย ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้นามว่า วัดหงสาราม ในเรื่องเกี่ยวกับวัดหงส์ฯ แม้แต่ในพระอารามหลวงที่ เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร เรียบเรียงถวายรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวไว้เช่นเคียวกัน แต่กล่าวพิเศษออกไปว่า เรียกวัดหงสาราม มาแต่รัชกาลที่ ๑ เห็นจะเป็นว่าเมื่อเรียกโดยไม่มีพิธีรีตองสำคัญอะไร ก็คงเรียกวัดหงสาราม ทั้ง ๓ รัชกาล ก็เป็นได้ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) นี้ สมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ได้ทรงรับปฏิสังขรณ์จากการทรงชักชวนของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเกณฑ์ต่อให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังดำรงพระยศ เจ้าฟ้ามงกุฎ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าแปลงปลูกเป็นวิหาร แต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงรับทำ จึงเป็นพระภาระของสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ แต่พระองค์เดียว ส่วน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งแรกทรงรับพระภาระสร้างโรงธรรมตึกใหญ่ขึ้นใหม่ แต่ในครั้งหลังสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์สิ้นพระชนม์ การยังไม่เสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องทรงรับเป็นพระธุระทั้งพระอุโบสถ และพระวิหาร และสิ่งอื่นอีก

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารใหม่ แลเป็นหลักฐานสืบมาจนบัดนี้ว่า วัดหงส์รัตนาราม ตามในจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ ได้กล่าวไว้ว่า เดิมเป็นพระอุโบสถหลังเก่าวัดหงส์ฯ ครั้งก่อนสมัยอยุธยา เมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ ขยายทั้งตัววัด และสร้างพระอุโบสถใหม่ และอื่นอีก คงเลิกใช้อุโบสถเก่า ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้

    จากหลักฐานประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕ ว่าด้วยพระเจดีย์วิหาร ที่ทรงสถาปนาในรัชกาลที่ ๔ เรื่องที่ ๑๕ โดยมีเนื้อความว่า “วัดหงส์รัตนาราม วัดนี้ตามเดิมว่า วัดเจ้าขรัวหงส์ แล้วเปลี่ยนมาเป็น วัดหงสาราม สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดเขมาภิรตาราม โปรดฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดหงส์ฯ การยังไม่ทันเสร็จ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ และพระราชทานนามว่า วัดหงส์รัตนาราม คำสร้อยนามวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหารที่ว่า รัตนาราม นั้น บ่งความหมายเป็นสองประการคือ รัตน แปลว่า แก้ว ประการหนึ่ง และคำว่า อาราม ซึ่งแปลว่า วัด ประการหนึ่ง เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกัน จึงได้ความหมายว่า วัดท่านแก้ว มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสร้อยนามวัดหงส์ฯ นั้น ก็เพื่อถวายเป็นพระอนุสรณ์แด่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า แก้ว เป็นการถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จบรมราชอัยกี ผู้ทรงเป็นพระบุพการีของ พระบรมราชชนนี พระราชอนุชา และพระองค์ท่าน ตามธรรมเนียมนิยมของพุทธสานิกชน เมื่อบำเพ็ญบุญกุศลแล้ว จึงอุทิศผลบุญ อีกประการหนึ่ง วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ ทรงเคยอุปถัมภ์ และปฏิสังขรณ์มาในอดีต ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ และเสด็จบำเพ็ญกุศลเป็นประจำในขณะที่ทรงพระชนม์อยู่

    ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ถูกจัดลำดับศักดิ์เป็น พระอารามหลวงชั้นโท และมีฐานะเป็น พระอารามชั้นราชวรวิหาร ตามพระบามราชโองการประกาศ เรื่องจัดระเบียบพระอารามหลวงเป็น ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นสามัญ โดยมีสร้อยนามตามฐานะเป็น ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร วรมหาวิหาร วรวิหาร โดยลำดับ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงได้สร้อยว่า วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มาจนถึงปัจจุบัน

    ย้อนไปในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ถือเป็นวัดที่มีสำคัญอย่างมาก นอกจากตั้งติดกับพระบรมราชวังที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเป็นเอกอุปถัมภก บูรณปฏิสังขรณ์ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นการใหญ่ และทรงสร้อยนามวัดอย่างเป็นทางการว่า วัดหงษ์อาวาสวิหาร ด้วย เดิมทีนั้นเป็นวัดร้าง ทั้งนี้ยังทรงสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า ทรงสร้างศาลาโรงธรรมขนาดเท่าพระอุโบสถขึ้นทางด้านหน้า และทรงสร้างกุฏิ และเสนาสนะอื่น ๆ ทั้งพระอาราม ในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกไว้ว่า ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงอุปถัมภ์ปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่ทั่วพระอาราม พระอุโบสถ การเปรียญ เสนาสนะ และกุฏิ ได้ทรงสร้างใหม่ทั้งสิ้น ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ มีหลักฐานยืนยันตรงกันอีกว่า ครั้งมาเมื่อกรุงธนบุรี พระสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์มาอยู่มาก ผู้ที่มีอุตสาหะเล่าเรียนก็ได้เข้าไปอยู่มาก เจ้าแผ่นดินกรุงธนบุรีจึงขยายภูมิวัดออกไปใหญ่ แล้วสร้างพระอุโบสถใหญ่ตรงหน้าพระอุโบสถเก่า แล้วสร้างโรงธรรมหันหน้าเข้าสู่พระอุโบสถใหม่ สร้างฐานใหญ่เท่ากันทั้งสองหลัง ตั้งอยู่อย่างนั้นนานมาจนถึงเวลาแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ในพระบรมราชวงศ์นี้ ในปีพุทธศักราช ๒๓๓๓ สมเด็จพระลูกยาเธอกรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าจุ้ย) ใน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จทรงผนวช ณ วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) นี้ เมื่อพระชนม์ครบอุปสมบท ตลอดจนพระราชนิกูล และข้าใต้สำนัก ล้วนแต่อุปสมบทวัดแห่งนี้เกือบทั้งสิ้น และนอกจากนี้ สมเด็จพระอัครมเหสี (หอกลาง) กรมหลวงบาทบริจาสอน และพระเจ้าน้านางเธอ กรมหลวงเทวินทร์สุดา ได้เสด็จบำเพ็ญกุศล ฟังเทศน์ ถือศีลปฏิธรรมอยู่ ณ วัดแห่งนี้อยู่เนือง ๆ

    วัดหงษ์อาวาสวิหาร แห่งนี้ อยู่ในราชูปถัมภ์ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถ หลังว่างจากพระภารกิจเสมอ วัดหงษ์อาวาสวิหาร จึงนับว่าเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง และสวยงามวัดหนึ่งในยุคสมัยนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ประชาชนในละแวกใกล้เคียง จึงพร้อมใจกันสร้างศาลขึ้นที่ริมคลองคูวัดเชิงสะพานข้ามคลองหน้าวัด ด้านทิศตะวันตก เพื่อถวายเป็นพระราชอนุสรณ์เป็นแห่งแรก และปรากฏเป็นที่สักการะเคารพของประชาชนในท้องถิ่นแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คือ ศาลเจ้าพ่อตากวัดหงส์ฯ

    นอกจากทรงบูรณปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างศาสนวัตถุอื่นแล้ว พระองค์ทรงนำความเจริญทางด้านการศึกษา วางไว้เป็นฐานรากแห่งพระพุทธศาสนาที่วัดหงษ์อาวาสวิหาร หรือ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร จึงเป็นแหล่งสรรพวิชา บ่มเพาะความรู้ขั้นสูงในยุคสมัยนั้น และเป็นชุมนุมสงฆ์ผู้รู้หลักนักปราชญ์ แห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จากหลักฐานบันทึก มีรายนาม ดังต่อไปนี้ ๑. พระยาธรรมปรีชา พระยาธรรมปรีชา เดิมชื่อ แก้ว เป็นข้าราชการที่สำคัญคนหนึ่ง ตำแหน่งพระอาลักษณ์ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงถวายบังคมลาออกบวช ณ วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) ต่อมาท่านผู้นี้ได้ศึกษา และมีความรู้แตกฉานในพระปริยัติธรรม สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นพระราชาคณะที่ พระรัตนมุนี เป็นองค์แรกให้มีศักดิ์ตำแหน่งพิเศษเสมอพระราชาคณะ

    ๒. สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงษ์อาวาสวิหาร (วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร) เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราช ในยุค กรุงธนบุรี มาแล้ว คือ สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ชาติภูมิเดิมเป็น ชาวเมืองแกลง (ระยอง) ใน สมัยกรุงศรีอยุธยา ใกล้ล่ม สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ขณะดำรงตำแหน่ง พระยาวชิรปราการ ได้เดินทางสู่ภาคตะวันออก ผ่าน เมืองแกลง เพื่อรวบรวมผู้คนกอบกู้ชาติแผ่นดิน จึงได้พบกับ สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) ซึ่งเป็นประมุขสงฆ์ เมืองแกลง (บ้านเดียวกับกวีเอกสุนทรภู่) และได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตามสมควรแก่สมณวิสัยในครั้งนั้น ดังนั้นเมื่อ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จขึ้นครองราชย์ปกครองไพร่ฟ้าสยามประเทศ จึงได้อาราธนาให้ดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาส วัดหงษ์อาวาสวิหาร และทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์สูงโดยลำดับ จนเป็น สมเด็จพระสังฆราช อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในสังฆมณฑล ต่อมาภายหลังปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกถอดสมณศักดิ์ตำแหน่ง ด้วยเหตุความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ท่านได้หยั่งรากฝากผลงานแห่งพุทธศาสนาไว้ให้ศาสนิกชนรุ่นหลังได้ศึกษา สืบทอดได้อย่างมั่งคง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นแม่กองสังคายนา ชำระพระไตรปิฎก แผนพระอภิธรรมส่วนปรมัตถ์ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช นับว่าท่านเป็นปราชญ์แท้องค์หนึ่งที่ไม่แสดงความหวั่นไหวในโลกธรรม ได้แสดงความเป็นปราชญ์ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกอย่างชัดแจ้ง

    ๓.พระเทพโมลี (ด่อน) ได้บวช และศึกษาในสำนัก วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นโดยลำดับ คือ พระพรหมมุนี พระพิมลธรรม และ สมเด็จพระวันรัต ภายหลังได้ย้ายไปอยู่ วัดสระเกษ ต่อมาได้ทรงสมณศักดิ์ประมุขสงฆ์ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ดำรงสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช จากนั้นได้ย้ายมาประทับที่ วัดมหาธาตุฯ และได้เป็นพระอุปัชฌายะของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) และ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ใน สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์) เมื่อเสด็จทรงผนวชครั้งแรกในพระพุทธศาสนาฝ่ายพระสงฆ์มหานิกายสมณวงศ์ นับว่าได้รับกรณียกิจอันสูงสุด ในสังฆมณฑลอีกองค์หนึ่ง

    ๔. เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) นาวาอากาศเอก มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้นสุขุม) เดิมได้ศึกษาทางภาษาบาลี จนสำเร็จเป็นเปรียญธรรม ๓ ประโยค จากวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร แห่งนี้ เกียรติคุณของท่านเป็นที่เลื่องลือรู้จักกันทั่วไปในนาม เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ภายหลังได้ทรงเกียรติคุณอันสูงเป็นพระอาจารย์ พระบาทสมเด็จพระมหาธีราช (รัชกาลที่ ๖) ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงนครบาล และสมัยปกครองระบอบประชาธิปไตยท่านได้ดำรงตำแหน่งสูงสุด เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นับเป็นเกียรติประวัติที่สืบนื่องมาแต่สำนักนักเรียนวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร เป็นเบื้องแรก ๕.พระธรรมไตรโลก (ไม่ทราบนามเดิม) เดิมอยู่ วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ท่านเป็นผู้มีความรอบรู้ แตกฉานในภาษาบาลีอย่างมาก ผลงานของท่านเท่าที่ค้นพบ คือร่วมแปลพระคัมภีร์มงคลทีปนี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๖๔ โดย พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งต่อมา คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทรงอารธนา นับว่าเป็นปราชญ์ทางการบาลีที่สำคัญองค์หนึ่ง
     
  13. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ไม้มะยมตายพราย รวมไปถึงไม้ตายพรายตายอื่นๆ ครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นของอาถรรพณ์ เพราะยืนตายทั้งๆที่ใบดอกผลเป็นของแปลกตามธรรมชาติ ไม่เน่าตาย ไม่ล้มตายอย่างที่ควรจะเป็น เทียบได้กับศพของคนที่ตายแล้วแห้งไปเฉยๆ

    ดังนั้นไม้มะยมตายพราย จึงเป็นของดีที่มีอาถรรพณ์ตามธรรมชาติ คนสมัยก่อนมักนำมาทำเป็นรักยม กุมารทอง และวัตถุอาถรรพณ์ต่างๆ


    มีความเชื่อว่าไม้พวกนี้มีวิญญาณอยู่ภายใน เรียกว่า พวกพรายนั่นเองครับ

    และเมื่อนำมาแกะด้วยอำนาจของพรายในเนื้อไม้ย่อมทำใหของที่ทำขึ้นมีความศักดิ์สิทธ์เป็นอัศจรรย์
    ที่เอามาทำมวลสารนั้นมี
    1.ไม้คุณยืนตายพราย
    2.ไม้มะยมยืนตายพราย
    3.ไม้กระท้อนยืนตายพราย
     
  14. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เกษาหลวงพ่อหนุนตอนนั้นได้พาแม่อิ๊ด ไปกราบหลวงพ่อหนุนพร้อมถวายแร่โคตรเศษรฐี
    หลวงพ่อหนุนท่านบอกว่าเกษาของท่านนั้น ใครมีพกติดตัวไปไหนพวกผีกลัว พวกคนเล่นของปล่อยของจะไม่กล้าเข้ามาไกล้เลย มันจะเกิดอาการร้อนจนอยู่ไม่ได้
    เกษาของครูบาอาจารย์ที่มีตะบะอันแก่กล้านั้นมักจะเป็นอย่างนี้ เพราะผ่านการฝึกฝนจิตมาอย่างดี(แบบสุดๆๆๆๆ)อย่างที่คนธรรมดาจะทำได้ ทนได้ จึงมีพลังงานพิเศษที่เกิดจากการฟอกจิตมาอย่างดีเยี่ยม แบบมนุษย์กบ บกก็ได้ น้ำก็ได้ อากาศก็ได้
     
  15. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ผลึกเกล็ดพญานาคมีลักษณะขึ้นเป็นผลึกมีสีเหลือบประกายรุ้งคล้ายเกล็ดของพญานาคตามความเชื่อ มีแร่หลายชนิดปะปนอยู่ ผลึกเกล็ดพญานาคนี้เชื่อว่ามีพลังงานของเหล่าพญานาคช่วยปกปักรักษาอยู่
    เป็นแร่หนึ่งเดียวที่มีสีวาวประกายรุ้งเจ็ดสี เชื่อว่าใครมีไว้ครอบครองจะบัลดาลโชค ความสำเร็จ สามารถใช้ในการปฏิบัติฝึกสมาธิจิต จะเข้าถึงซึ่งพลังงานได้ และเข้าถึงสมาธิได้ เป็นหินเกล็ดพญานาคเจ็ดสีที่หายากและควรแก่การครอบคอง
     
  16. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    กาฝากถือเป็นไม้พันธุ์ชนิดหนึ่งที่จะอาศัยต้นไม้ใหญ่ในการดำรงค์อยู่โดยการแทรกรากเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นไม้นั้น โดยส่วนมากกาฝากมักจะเกิดขึ้นเฉพาะในต้นไม้ที่มีเปลือกลายหนา ส่วนต้นที่มีผิวลื่นมักจะไม่เกิดกาฝาก คนโบราณกล่าวขานกันมานานถึงความวิเศษมีคุณในตัวของกาฝากว่าถ้ากาฝากไปจับต้นไม้มงคลต้นใดต้นนั้นมักมีนางไม้อาศัยอยู่ กาฝากนั้น เชื่อว่ามีอิทธิคุณวิเศษเหลือหลายดีเด่นทางด้านเมตตาค้าขาย ร่ำรวยเงินทองมักเป็นที่เสาะหากันมาแต่โบราณแต่กาฝากจะเกิดได้ยากมากอาจมีเพียง 1 ใน 100 ที่จะเกิดกาฝากบนต้นไม้มงคล กาฝากนี้เป็นกาฝากต้นคูณซื่งจะหาได้ยากยิ่งมาก เพราะมักจะไม่เกิดกาฝากบนต้นคูณ โบราณเชื่อว่ากาฝากคูณมีอิทธิคุณทางด้านค้าขายร่ำรวย เป็นมหานิยม ใครบูชาหน้าร้านค้าขายมีแต่คนนิยมชมชอบติดอกติดใจ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
    วิธีบูชา บูชาหน้าร้าน จะค้าขายร่ำรวยเงินทอง หนือนำไปแกะเป็นปลัดขิกค้าขายดีนักแล หรือนำไป ทำเป็นเครื่องรางทางด้านเมตตา ค้าขาย รวยกันทั่วหน้า
     
  17. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    คต ตามภาษาคนที่เล่นของ เค้าเรียกแทนสิ่งๆหนึ่งที่ผิดแปลกธรรมชาติ แปลกกันจิงๆ เกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน หาก็ยาก มีความอัศจรรย์ มีความขลัง เปนที่อยากได้ของผู้คนมากมาย คต สามารถเกิดได้กับพืช สัตว์ (รวมทั้งคนด้วย) เกิดมาด้วยความอาถรรพ์ ผู้เฒ่าผู้แก่บอกกันมาว่า เทวดาที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกเพื่อฝึกตบะ เมื่อฝึกได้มาพอก้อได้ขอสิงสถิตมายังสิ่งๆหนึ่ง เมื่อสิ่งนั้นถูกรวมกับกายทิพย์ของท่านก้อจะกลายเปงหินไปทันที นี้จะหมายถึงคดที่เปงจำพวกกลายเปนหินคับ ส่วนเขี้ยว เขา เค้าก้อบอกกันมาว่า สัตว์ที่เปงเจ้าของมีตบะที่แรงกล้า อาจจะให้หมายถึงเปงเทวดาก้อได้นะ อวัยวะบางอย่างของมันจะเปงสิ่งที่คุ้มครองเจ้าของของมันให้รอดพ้นจากอันตราย จะเกิดขึ้นกับสัตว์บางตัว คดนั้นหายากจิงๆ หาเจอได้เพียง 1 ใน 1000 คต มีรูปแบบการเกิดที่ต่างกัน ความขลังก้อมีหลากหลาย วิธีหาคดก้อมากมาย อยู่ที่ความพยายามและบุญกรรมที่สะสมกันมาหลายภพหลายชาติ ได้มาครอบครัวก้อหาช่ายว่าจะเที่ยวไปอวดใครๆให้มากนักได้ ทดลอง ทดสอบความขลังก้อไม่ควร และยังต้องปฏิบัติให้ตนอยู่ในหลักธรรมด้วยครับ

    ดักแด้หิน ขนาดใหญ่ใหญ่กว่าดักแด้ในธรรมชาติทั่วไป ขุดได้จากถ้ำโดยพระอาจารย์เขียว เป็นของหายากน่าเล่น พิสูจได้จริง รับประกันมีตัวตนทุกตัวครับ เวลาที่มีเหตุเพศภัยหรือมีโชคจะร้องได้ เหมือนจิ้งหรีด เป็นหิน แต่มีชีวิตครับ และจะร้องเวลาวันพระ ในตอนดึกๆ ร้องครั้งล่ะ 2 สามครั้ง บางตัวก็ร้องเหมือนกบครับ พระอาจารย์ผมท่านการันตีมาเลยว่า ถ้าหมาตัวไหนดุ เอาดักแด้นี้พกติดตัว รับประกันเลยครับ ว่าหมาไม่กัด ถ้ากัดก็ไม่เข้าครับ (ควรใช้วิจารญาน) หรือถ้าโดนแมงป่องตะขาบกัดไห้เอาดักแด้ ฝนผสมน้ำมะนาวทา หายเป็นปริดทิ้ง และยังมีพรรคุณอื่นๆๆ อีกมากมาย
    วัตถุตัวนี้ขอแนะนำว่ามีพุทธคุณและหายากครับ ถ้าจะทำทางเมตตาค้าขายท่านไห้เอาน้ำมันหอมเจิมแต้ม บูชาค้าขาย ถ้าจะเล่นสาวหรือมหาเส่ให้บูชาโดยน้ำผึ้งครับ กินน้ำผึ้งเป็นอาหาร อย่าได้ขาดทุกวันพระ รุ่นตัวนี้เป็นตัวคัดพิเศษขนาดใหญ่ และคัดพิเศษ มีปรอททุกตัว เพราะเมื่อกลายเป็ฯดักแด้หินที่อยู๋ตามโผงถ้ำแล้วด้วยระยะเวลานาน ดักแด้ก็จะฝังตัวอยู่ตามผืนถ้ำทำไห้ปรอท เข้าไปอยู่ในตัวดักแด้ บางตัวจะร้องเหมือนจริงหรีดทุกวันพระ ต้องให้กินน้ำผึ้งถึงจะหยุดร้อง แต่ทุกตัวท่านว่าร้องทุกตัวเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาบางตัวอาจไม่ร้อง รุ่นที่นำมาไห้บูชานี้ ยังไม่ได้คัดว่าร้องหรือไม่ แต่ถ้าเป็นดักแด้ตัวที่ร้อง ซื้อขายกันที่ราคาตัวล่ะ 30000-100000 บาทเลยทีเดียว รุ่นนี้คัดแล้วว่ามีปรอททุกตัว แต่ยังไม่ได้คัดว่าร้องหรือไม่เพราะฉนั้นใครที่จองไว้ก่อนแล้วเอาไปก็แล้วแต่ว่าถ้าท่านมีบุญก็อาจดวงดีได้ตัวร้องไปบูชา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบูชา รับประกันมีตัวตนทุกตัว เป็นของปู่ฤาษีท่านรักษาไว้ มีจำนวนจำกัด

    ดักแด้ทุกตัวมีกลิ่นหอมโดยไม่ได้มีการแต้มเติมอ่ะไร จะหอมโดยธรรมชาติ ท่านห้ามเอาน้ำประปาหรือน้ำหอมวิทยาศาสตร์มาแต้ม จะบูชาโดยการแช่น้ำหรือห้อยบูชาก็ได้ถ้าห้อบบูชาไม่ต้องให้น้ำผึ้งหรือน้ำเปล่า เพราะดักแด้จะอยู่กับธาตุคน
     
  18. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เชือกประกำทำจากหนังควายบิดม้วนเป็นเส้นทำด้วยกรรมวิธีโบราณ ปลุกเสกประจุอาถรรย ทำขึ้นโดยครูหมอประกำโบราณที่เดินทางเข้ามาสุรินทร์สมัยรวมช้างที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อ 200 ปีก่อน ใช้ในพิธีกรรมการคล้องช้าง หรือ ที่เรียกว่าจับช้างในสมัยโบราณ ผ่านการคล้องช้างมาแล้วหลายสิบเชือก เป็นของมงคลอาถรรย์ โบราณถือว่าเป็นของศักสิทธิ์ มีแรงอาถรรยแห่งครูประกำ ทำให้สามารถคล้องช้างพันธนาการช้างไว้ไห้อยู่ ไม่ให้หนีไปไหน ท่านว่าถือเป็นของอาถรรย์ มีอายุเกือบ 100 ปี ท่านถือว่าเป็นของอาถรรย์ ปัจจุบัน มีเหลือน้อยมาก ส่วนมากจะนำขึ้นศาลประกำเพื่อบูชาหมด มีเหลือจากครูหมอประกำที่ท่านเก็บไว้ อยู่บ้างจำนวนน้อยจึงได้มาน้อย ท่านถือเป็นของมงคลอาถรรย ยิ่งนักใครผู้ไดมีไว้ครอบครองจะเกิดโชคลาภมีเสน่หา ผู้คนรักหลง เอาติดตัวไปทำมาค้าขึ้นเป็นของค้ำคูณสำหรับครอบครัว มีค่ามากถึงขนาดเจ้าของเดิมที่เลื่อยตัดให้ยังต้องเก็บเอาแม้แต่เศษผง ท่านว่ามีแล้วไม่อดอยากแคล้วคลาดปลอดภัย พกไปไม่ตายโหง มีอำนาจบารมีพ้นคุกพ้นตางราง ถือเป็นเครื่องรางมงคลอาถรรย์ที่หายากยิ่งนักและสมัยนี้ไม่มีการคล้องช้างแล้วจึงนับว่าหายาก ยากที่จะได้มาครอบครอง ถือเป็นเครื่องรางอาถรรย์ที่ให้โชคลาภสุขสมหวังดังปราถหนา
     
  19. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    กาฝากกาหลง หายากมากดีทาง เมตตาเป็นมหาเสน่ พกติดตัวค้าขาย มีคนรักชอบหลง มีพุทธคุณในตัว ดังซื้อของต้นไม้นั้น

    กาฝากถือเป็นไม้พันธุ์ชนิดหนึ่งที่จะอาศัยต้นไม้ใหญ่ในการดำรงค์อยู่โดยการแทรกรากเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นไม้นั้น โดยส่วนมากกาฝากมักจะเกิดขึ้นเฉพาะในต้นไม้ที่มีเปลือกลายหนา ส่วนต้นที่มีผิวลื่นมักจะไม่เกิดกาฝาก คนโบราณกล่าวขานกันมานานถึงความวิเศษมีคุณในตัวของกาฝากว่าถ้ากาฝากไปจับต้นไม้มงคลต้นใดต้นนั้นมักมีนางไม้อาศัยอยู่ กาฝากนั้น เชื่อว่ามีอิทธิคุณวิเศษเหลือหลายดีเด่นทางด้านเมตตาค้าขาย ร่ำรวยเงินทองมักเป็นที่เสาะหากันมาแต่โบราณแต่กาฝากจะเกิดได้ยากมากอาจมีเพียง 1 ใน 100 ที่จะเกิดกาฝากบนต้นไม้มงคล กาฝากนี้จะหาได้ยากยิ่งมาก เพราะมักจะไม่เกิดกาฝากบนต้นไม้ประเภทนี้ โบราณเชื่อว่ากาฝากที่เกาะไม้มงคลมีอิทธิคุณทางด้านค้าขายร่ำรวย เป็นมหานิยม ใครบูชาหน้าร้านค้าขายมีแต่คนนิยมชมชอบติดอกติดใจ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
    วิธีบูชา บูชาหน้าร้าน จะค้าขายร่ำรวยเงินทอง หนือนำไปแกะเป็นปลัดขิกค้าขายดีนักแล หรือนำไป ทำเป็นเครื่องรางทางด้านเมตตา ค้าขาย รวยกันทั่วหน้า
     
  20. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    คตปลวกนี้เป็นของมงคลหายากเกิดขึ้นในรังปลวกอาถรรย์ รังปลวกจะสร้างด้วยดินแต่กลับผิดแปลกธรรมชาติภายในรังที่สร้างด้วยดินแข็งกลายเป็นหิน โดยปกติคตปลวกจะอยู่ใจกลางรังมีลักษณะเล็กแข็งคลายหิน แต่คตปลวกที่ได้มีนี้ ผมได้มาจากหมอธรรมท่านหนึ่ง ตำบลดงเย็น จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งมีการแข็งเป็นหินทั้งรัง คตปลวกนี้ที่มาเดิมทีย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน เจ้าของที่ดินได้ทำการบุกเบิกที่ดิน แล้วได้จ้างรถแทรกเตอร์มาดันที่ แต่ปรากฏว่าพอมาดันจอมปลวกนี้รถกับดับลงทุกครั้งแล้วได้มีเจ้าที่มาเข้าฝันคนที่ขับรถว่าห้ามทำลายจอมปวกนี้ คนขับรถจึงไม่กล้ามาดันที่อีกเลย หลังจากนั้นได้ว่าจ้างรถคันใหม่มาดัน ปรากฏว่ารถดับอีกเมื่อดันจอมปลวกนั้นหลังจากนั้นได้ทำการขอขมาลาโทษ คนขับรถนั้นจึงได้ดันจอมปลวกได้สำเร็จผลปรากฏว่าภายในรังปลวกนั้น มีลักษณะผิดแปลกคือ แข็งเป็นหินไปหมด ส่วนตรงปลายยอดสุดของจอมปลวกได้เจอทองคำก้อน อยู่ก้อนหนึ่ง เจ้าของที่ได้เชิญเก็บไว้บูชา และพบทองคำส่วนย่อยอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นไม่นานคนที่ขับรถได้เสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และได้มีชาวบ้านมานำตัวคตปลวกนี้ไปบูชากันแต่ผลปรากฏว่าได้เอามาคืนทุกราย หรือได้เอาไปไว้วัดกันทุกรายเพราะบางรายเจ้าของเค้าไม่ได้อนุญาตุแต่มาขโมยเอาไป หลังจากนั้นเจ้าของเชิญหมอธรรม คนที่กระผมได้คตปลวกนี้มา มาทำพิธีขอเชิญไปสร้างวัตถุมงคล และได้ทำการขอขมาแล้วจึงได้นำมา จากนั้นเจ้าของก็ได้ถมที่ดินบริเวรนั้นเพื่อไม่ให้ชาวบ้านมาขุดหรือหาคตปลวกนี้ คตปลวกนี้คาดว่าภายใต้บริเวรนั้นอาจเป็นสายแร่หรืออาจจะมีการนำสมบัติ สมัยคอมมิวนิสมาฝังไว้ ปลวกเลยได้สร้างรังบริเวรนั้นขึ้นมา และมีเจ้าปู่ผู้หนึ่งเป็นผู้รักษา
    ใครที่บูชาไปกรุณาจุดทูปบอกเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อนที่จะนำเข้าบ้าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...