ขอเชิญร่วมบญ กันครับ เพื่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันครับ

ในห้อง 'ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tedsak, 27 พฤศจิกายน 2012.

  1. tedsak

    tedsak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +94
    เนื้องด้วยตอนนี้ได้จัดตั้งกู้ภัยในเขตทุรกันดาร และยังขาดรถกู้ภัยที่จะไปช่วยเหลือผู้ที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆเนื่องจากตอนนี้มีอุบัติเหตุเยอะมาก และไม่มีรถกู้ภัยที่จะนำส่งโรงพยาบาล ท่านใด สนใจร่วมทำบุญร่วมบริจากปัจจัย เพื่อซื้อรถกู้ภัยให้กับกู้ภัยเขตทุรกันดาร
    ปัจจุบันในสังคมไทยมีอาสาสมัครร่วมกู้ภัยอยู่เป็นจำนวนมาก บ้างมาด้วยใจ บ้างมาด้วยผลประโยชน์ หลากหลายเหตุผลในการมาร่วมกู้ภัย แต่สาเหตุใดก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้ช่วยเหลือคน

    ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญได้ที่
    ชื่อบัญชีนาย เทิดศักดิ์ แสงทอง
    020075855641
    สาขา คลองใหญ่
    ธนาคาร ออมสิน


    (เป็นบุญของท่านแล้วแต่ท่านจะทำ)
    บอกบุญการให้ธรรมทาน คือ " การสร้างสุขให้แก่โลก"
    การให้ธรรมะเป็นธรรมะทาน จัดเป็นทานที่มีผลมาก ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่า ได้สร้างบารมีอันยิ่งใหญ่
    เพราะนอกจากจะเป็นการให้แสงสว่าง คือ ปัญญาแก่คนแล้ว ยังช่วยให้คนมีคุณธรรมในใจให้เป็นคนดีอีกด้วย
    พระพุทธเจ้าทางสรรเสริญว่า "สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง" การที่พระองค์
    ตรัสเช่นนั้นเพราะการให้ธรรมะเป็นทานเป็นการให้สิ่งที่มีค่าที่หาไม่ได้จากให้ทานด้วยวัตถุอื่น ปัจจุบัน โลกกำลังผจญ
    กับปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นภัยที่น่ากลัว แต่ภัยที่น่ากลัวและทำให้โลกร้อนยิ่งกว่าก็คือ ภาวะโลกขาดธรรม
    ส่งผลให้จิตใจของมนุษย์ถูกแผดเผาด้วยไฟกิเลส แห้งแล้ง เป็นทุกข์ ไร้ชีวิตชีวา ขาดความชุ่มชื้น
    ธรรมะเปรียบดั่งน้ำที่ฉ่ำเย็น เปรียบเหมือนป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ การช่วยให้ผู้คนในโลกได้เข้าถึงและสัมผัสกับธรรมะ
    จึงเป็นการคืนความสุข ความสดชื่นแก่ผู้คนแก่สังคม และแก่โลก
    ทุกท่านสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ง่ายๆ ด้วยการช่วยบอก ช่วยสอน ช่วยแนะนำให้คนรอบข้างได้รู้จักใช้ธรรมะ
    แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือการหยิบยื่นหนังสือธรรมะดีๆสักเล่มหนึ่งให้เขาได้อ่าน ก็ชื่อได้ว่า ได้บำเพ็ญธรรมทาน
    เช่นเดียวกัน การพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทาน ถือเป็นการเติมเชื้อธรรมะ
    ให้แผ่กระจายอย่างทั่วถึงและยาวนาน

    อานิสงส์ของการให้ทาน
    * เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
    * เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
    * จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
    * ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
    * ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
    * เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล


    อานิสงส์ของการทำทาน
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ

    ๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

    ๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

    พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ "พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า" และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

    ๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น)

    ๗. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า "การถวายวิหารทาน" แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน" อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น "โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ" ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

    ๑๔. การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "ธรรมทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ"

    ๑๕. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ "การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู" ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ "ละโทสะกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
    อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน


    ที่มา หนังสือการสร้างบุญบารมี
    โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ท่านที่ร่วมบริจาค โปรส่งชื่อมาทาง
    e-mail:tedsak_man@hotmail.com
    ขออนุโมทนาบุญ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  2. tedsak

    tedsak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +94
    รูป พวกนี้เป็นภาพที่น่าสงสารมาก ลอๆๆๆๆๆคนมาช่วย จนทำให้เสียชีวิติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. tedsak

    tedsak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอ อนุโมทนาบุญ นะครับสำหรับ ผู้ที่บริจากมาแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...